Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยวินิจฺฉย-ฎีกา • Vinayavinicchaya-ṭīkā |
สงฺฆาทิเสสกถาวณฺณนา
Saṅghādisesakathāvaṇṇanā
๓๒๕. เอวํ นานานยปฎิมณฺฑิตสฺส ปาราชิกกณฺฑสฺส วินิจฺฉยํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตทนนฺตรมุทฺทิฎฺฐสฺส เตรสกณฺฑสฺส วินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘โมเจตุกามตา’’ติอาทิฯ โมเจตุํ กาเมตีติ โมเจตุกาโม, ตสฺส ภาโว โมเจตุกามตา, ตาย สมฺปยุตฺตํ จิตฺตํ โมเจตุกามตาจิตฺตํฯ เอตฺถ ‘‘โมเจตุกามตา’’ติ อิมินา เอกาทสสุ ราเคสุ ‘‘โมจนสฺสาโท’’ติ วุตฺตํ อิมสฺส สงฺฆาทิเสสสฺส มูลการณํ สุกฺกโมจนวิสยํ ราคมาหฯ
325. Evaṃ nānānayapaṭimaṇḍitassa pārājikakaṇḍassa vinicchayaṃ dassetvā idāni tadanantaramuddiṭṭhassa terasakaṇḍassa vinicchayaṃ dassetumāha ‘‘mocetukāmatā’’tiādi. Mocetuṃ kāmetīti mocetukāmo, tassa bhāvo mocetukāmatā, tāya sampayuttaṃ cittaṃ mocetukāmatācittaṃ. Ettha ‘‘mocetukāmatā’’ti iminā ekādasasu rāgesu ‘‘mocanassādo’’ti vuttaṃ imassa saṅghādisesassa mūlakāraṇaṃ sukkamocanavisayaṃ rāgamāha.
เอกาทส ราคา นาม ‘‘โมจนสฺสาโท, มุจฺจนสฺสาโท, มุตฺตสฺสาโท, เมถุนสฺสาโท, ผสฺสสฺสาโท, กณฺฑุวนสฺสาโท, ทสฺสนสฺสาโท, นิสชฺชสฺสาโท, วาจสฺสาโท, เคหสฺสิตเปมํ, วนภงฺคิย’’นฺติ เอวมาคตาฯ อิธ โมจนํ นาม สมฺภวธาตุโมจนํ, ตทตฺถาย ตพฺพิสยราคสมฺปยุตฺตเวทนา โมจนสฺสาโท นามฯ เตนาห อฎฺฐกถายํ ‘‘โมเจตุํ อสฺสาโท โมจนสฺสาโท’’ติฯ มุจฺจมาเน อสฺสาโท มุจฺจนสฺสาโท, สมฺภวธาตุมฺหิ มุจฺจมาเน ตํราคสมฺปยุตฺตา เวทนา มุจฺจนสฺสาโท นามฯ เอเตเนว นเยน มุตฺตสฺสาทาทิวาจสฺสาทาวสาเนสุ ปเทสุ อตฺถกฺกโม เวทิตโพฺพฯ อิเมหิ นวหิ ปเทหิ อสฺสาทสีเสน กุนฺตยฎฺฐิญาเยน ตํสหจริโต ราโค ทสฺสิโตฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘นวหิ ปเทหิ สมฺปยุตฺตอสฺสาทสีเสน ราโค วุโตฺต’’ติฯ
Ekādasarāgā nāma ‘‘mocanassādo, muccanassādo, muttassādo, methunassādo, phassassādo, kaṇḍuvanassādo, dassanassādo, nisajjassādo, vācassādo, gehassitapemaṃ, vanabhaṅgiya’’nti evamāgatā. Idha mocanaṃ nāma sambhavadhātumocanaṃ, tadatthāya tabbisayarāgasampayuttavedanā mocanassādo nāma. Tenāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘mocetuṃ assādo mocanassādo’’ti. Muccamāne assādo muccanassādo, sambhavadhātumhi muccamāne taṃrāgasampayuttā vedanā muccanassādo nāma. Eteneva nayena muttassādādivācassādāvasānesu padesu atthakkamo veditabbo. Imehi navahi padehi assādasīsena kuntayaṭṭhiñāyena taṃsahacarito rāgo dassito. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘navahi padehi sampayuttaassādasīsena rāgo vutto’’ti.
เคหสฺสิตเปมนฺติ เอตฺถ เคหฎฺฐา มาตุอาทโย อาเธยฺยอาธารโวหาเรน ‘‘เคหา’’ติ วุจฺจนฺติฯ ‘‘มญฺจา อุกฺกุฎฺฐิํ กโรนฺตี’’ติอาทีสุ วิย ตนฺนิสฺสิโต สิเนหปริยาโย ราโค ‘‘เคหสฺสิตเปม’’นฺติ วุโตฺตฯ อิมินา ปเทน ราคสฺส สภาโว สนฺทสฺสิโตฯ วนโต ภญฺชิตฺวา อาภตํ ยํ กิญฺจิ ผลปุปฺผาทิ วนภงฺคิยํ นามฯ อิธ ปน ราควเสน ปฎิพทฺธจิตฺตํ มาตุคาเมหิ วิรหทุกฺขาปนยนตฺถํ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๔๐) เตสํ ฐาเน ฐเปตฺวา ทสฺสนผุสนวเสน วินฺทิตุํ ราคีหิ คเหตพฺพโต เตหิ ปิฬนฺธิตมาลสหิตํ ตมฺพูลนฺติ เอวมาทิ ‘‘วนภงฺคิย’’นฺติ อธิเปฺปตํฯ อิมินา ปตฺถิตวิสยโคจโร ราโค ตทายตฺตวตฺถุวเสน สนฺทสฺสิโตฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘เอเกน ปเทน สรูเปเนว ราโค, เอเกน ปเทน วตฺถุนา วุโตฺตฯ วนภโงฺค หิ ราคสฺส วตฺถุ, น ราโคเยวา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๔๐)ฯ
Gehassitapemanti ettha gehaṭṭhā mātuādayo ādheyyaādhāravohārena ‘‘gehā’’ti vuccanti. ‘‘Mañcā ukkuṭṭhiṃ karontī’’tiādīsu viya tannissito sinehapariyāyo rāgo ‘‘gehassitapema’’nti vutto. Iminā padena rāgassa sabhāvo sandassito. Vanato bhañjitvā ābhataṃ yaṃ kiñci phalapupphādi vanabhaṅgiyaṃ nāma. Idha pana rāgavasena paṭibaddhacittaṃ mātugāmehi virahadukkhāpanayanatthaṃ (pārā. aṭṭha. 2.240) tesaṃ ṭhāne ṭhapetvā dassanaphusanavasena vindituṃ rāgīhi gahetabbato tehi piḷandhitamālasahitaṃ tambūlanti evamādi ‘‘vanabhaṅgiya’’nti adhippetaṃ. Iminā patthitavisayagocaro rāgo tadāyattavatthuvasena sandassito. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘ekena padena sarūpeneva rāgo, ekena padena vatthunā vutto. Vanabhaṅgo hi rāgassa vatthu, na rāgoyevā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.240).
‘‘โมเจตุกามตา’’ติ อิทเมว อวตฺวา ‘‘จิตฺต’’นฺติ วจเนน วีติกฺกมสาธิกาย กายวิญฺญตฺติยา สมุฎฺฐาปกํ ราคสมฺปยุตฺตํ จิตฺตวิเสสํ ทเสฺสติฯ เตน จิเตฺตน สมุฎฺฐาปิยมานํ วิญฺญตฺติสงฺขาตํ วีติกฺกมํ ‘‘วายาโม’’ติ อิมินา ทเสฺสติฯ วายาโม นาม ตํจิตฺตสมฺปยุตฺตวีริยํฯ เอตฺถ ปน ‘‘เสโมฺห คุโฬ’’ติอาทีสุ วิย ผเล เหตูปจารญาเยน วีติกฺกมสฺส วิเสสเหตุภูตวีริยวาจเกน จ ปเทน วีติกฺกโมว วุโตฺตติ ทฎฺฐพฺพํฯ อชฺฌตฺตพาหิรวตฺถุฆฎฺฎนํ, อากาเส กฎิกมฺปนนฺติ สุกฺกโมจนโตฺถ วายาโมติ อโตฺถฯ สุกฺกสฺส โมจนํ สุกฺกโมจนํฯ
‘‘Mocetukāmatā’’ti idameva avatvā ‘‘citta’’nti vacanena vītikkamasādhikāya kāyaviññattiyā samuṭṭhāpakaṃ rāgasampayuttaṃ cittavisesaṃ dasseti. Tena cittena samuṭṭhāpiyamānaṃ viññattisaṅkhātaṃ vītikkamaṃ ‘‘vāyāmo’’ti iminā dasseti. Vāyāmo nāma taṃcittasampayuttavīriyaṃ. Ettha pana ‘‘semho guḷo’’tiādīsu viya phale hetūpacārañāyena vītikkamassa visesahetubhūtavīriyavācakena ca padena vītikkamova vuttoti daṭṭhabbaṃ. Ajjhattabāhiravatthughaṭṭanaṃ, ākāse kaṭikampananti sukkamocanattho vāyāmoti attho. Sukkassa mocanaṃ sukkamocanaṃ.
เอตฺถ จ สุกฺกสฺสาติ ‘‘สุกฺกนฺติ ทส สุกฺกานิ นีลํ ปีตกํ โลหิตกํ โอทาตํ ตกฺกวณฺณํ ทกวณฺณํ เตลวณฺณํ ขีรวณฺณํ ทธิวณฺณํ สปฺปิวณฺณ’’นฺติ (ปารา. ๒๓๗) ปทภาชเน วุตฺตานิ สตฺตานํ ปิตฺตาทิอาสยเภเทน, ปถวิธาตุอาทีนํ จตุนฺนํ วา รสโสณิตมํสเมทอฎฺฐิอฎฺฐิมิญฺชานํ ฉนฺนํ เทหธาตูนํ วา เภเทน อเนกธา ภิเนฺน ทสวิเธ สุเกฺก อญฺญตรสฺส สุกฺกสฺสาติ อโตฺถฯ โมจนํ วิสฺสฎฺฐีติ ปริยายํ, ปกติยา ฐิตสกฎฺฐานโต โมจนนฺติ อโตฺถฯ ยถาห ปทภาชเน ‘‘วิสฺสฎฺฐีติ ฐานโต จาวนา วุจฺจตี’’ติ (ปารา. ๒๓๗)ฯ อิห ‘‘ฐานํ นาม วตฺถิสีสสงฺขาตํ มุตฺตกรณมูล’’นฺติ เกจิฯ ‘‘กฎี’’ติ อปเรฯ ‘‘สกลกาโย’’ติ อเญฺญฯ อิเมสํ ติณฺณํ วจเนสุ ‘‘ตติยสฺส ภาสิตํ สุภาสิต’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๓๗) อฎฺฐกถายํ ตติยวาทสฺส กตปาสํสตฺตา เกสโลมนขทนฺตานํ มํสวินิมุตฺตฎฺฐานญฺจ มุตฺตกรีสเขฬสิงฺฆาณิกาถทฺธสุกฺขจมฺมญฺจ วเชฺชตฺวา อวเสสํ สกลสรีรํ กายปฺปสาทภาวชีวิตินฺทฺริยอพทฺธปิตฺตานํ วิย สมฺภวธาตุยา จ ฐานนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Ettha ca sukkassāti ‘‘sukkanti dasa sukkāni nīlaṃ pītakaṃ lohitakaṃ odātaṃ takkavaṇṇaṃ dakavaṇṇaṃ telavaṇṇaṃ khīravaṇṇaṃ dadhivaṇṇaṃ sappivaṇṇa’’nti (pārā. 237) padabhājane vuttāni sattānaṃ pittādiāsayabhedena, pathavidhātuādīnaṃ catunnaṃ vā rasasoṇitamaṃsamedaaṭṭhiaṭṭhimiñjānaṃ channaṃ dehadhātūnaṃ vā bhedena anekadhā bhinne dasavidhe sukke aññatarassa sukkassāti attho. Mocanaṃ vissaṭṭhīti pariyāyaṃ, pakatiyā ṭhitasakaṭṭhānato mocananti attho. Yathāha padabhājane ‘‘vissaṭṭhīti ṭhānato cāvanā vuccatī’’ti (pārā. 237). Iha ‘‘ṭhānaṃ nāma vatthisīsasaṅkhātaṃ muttakaraṇamūla’’nti keci. ‘‘Kaṭī’’ti apare. ‘‘Sakalakāyo’’ti aññe. Imesaṃ tiṇṇaṃ vacanesu ‘‘tatiyassa bhāsitaṃ subhāsita’’nti (pārā. aṭṭha. 2.237) aṭṭhakathāyaṃ tatiyavādassa katapāsaṃsattā kesalomanakhadantānaṃ maṃsavinimuttaṭṭhānañca muttakarīsakheḷasiṅghāṇikāthaddhasukkhacammañca vajjetvā avasesaṃ sakalasarīraṃ kāyappasādabhāvajīvitindriyaabaddhapittānaṃ viya sambhavadhātuyā ca ṭhānanti veditabbaṃ.
‘‘สุกฺกโมจน’’นฺติ อิมินากิํ วุตฺตํ โหตีติ? ‘‘อาโรคฺยตฺถาย, สุขตฺถาย, เภสชฺชตฺถาย, ทานตฺถาย, ปุญฺญตฺถาย, ยญฺญตฺถาย, สคฺคตฺถาย, พีชตฺถาย, วีมํสตฺถาย, ทวตฺถาย โมเจตี’’ติ (ปารา. ๒๓๗) วุตฺตทสวิธอธิปฺปายโนฺตคธอญฺญตรอธิปฺปาโย หุตฺวา ‘‘ราคูปตฺถเมฺภ, วจฺจูปตฺถเมฺภ, ปสฺสาวูปตฺถเมฺภ, วาตูปตฺถเมฺภ, อุจฺจาลิงฺคปาณกทฎฺฐูปตฺถเมฺภ โมเจตี’’ติ (ปารา. ๒๓๗) วุตฺตปญฺจวิธกาลานมญฺญตรกาเล ‘‘อชฺฌตฺตรูเป, พหิทฺธารูเป, อชฺฌตฺตพหิทฺธารูเป, อากาเส กฎิํ กเมฺปโนฺต โมเจตี’’ติ (ปารา. ๒๓๗) วุตฺตจตุรุปายานมญฺญตเรน อุปาเยน ยถาวุตฺตราคปิสาจวเสน วิวโส หุตฺวา ยถาวุตฺตนีลาทิทสวิธสมฺภวธาตูนมญฺญตรํ ยถาวุตฺตฎฺฐานโต ขุทฺทกมกฺขิกาย ปิวนมตฺตมฺปิ สเจ โมเจตีติ สเงฺขปโต คเหตพฺพํฯ เอตฺถ จ อุจฺจาลิงฺคปาณกา นาม โลมสปาณา, เยสํ โลเม อลฺลิเน องฺคชาตํ กมฺมนิยํ โหติฯ
‘‘Sukkamocana’’nti iminākiṃ vuttaṃ hotīti? ‘‘Ārogyatthāya, sukhatthāya, bhesajjatthāya, dānatthāya, puññatthāya, yaññatthāya, saggatthāya, bījatthāya, vīmaṃsatthāya, davatthāya mocetī’’ti (pārā. 237) vuttadasavidhaadhippāyantogadhaaññataraadhippāyo hutvā ‘‘rāgūpatthambhe, vaccūpatthambhe, passāvūpatthambhe, vātūpatthambhe, uccāliṅgapāṇakadaṭṭhūpatthambhe mocetī’’ti (pārā. 237) vuttapañcavidhakālānamaññatarakāle ‘‘ajjhattarūpe, bahiddhārūpe, ajjhattabahiddhārūpe, ākāse kaṭiṃ kampento mocetī’’ti (pārā. 237) vuttacaturupāyānamaññatarena upāyena yathāvuttarāgapisācavasena vivaso hutvā yathāvuttanīlādidasavidhasambhavadhātūnamaññataraṃ yathāvuttaṭṭhānato khuddakamakkhikāya pivanamattampi sace mocetīti saṅkhepato gahetabbaṃ. Ettha ca uccāliṅgapāṇakā nāma lomasapāṇā, yesaṃ lome alline aṅgajātaṃ kammaniyaṃ hoti.
อญฺญตฺร สุปินเนฺตนาติ สุปิโน เอว สุปินโนฺต, นิสฺสกฺกวจนปฺปสเงฺค กรณวจนโต สุปินนฺตาติ อโตฺถฯ สุปินา นาม ‘‘วาตาทิธาตุโกฺขภวเสน วา ปุพฺพานุภูตอิตฺถิรูปาทิวิสยวเสน วา อิฎฺฐานิฎฺฐเทวตานุภาเวน วา ปุเญฺญน ปฎิลภิตพฺพอตฺถสฺส, อปุเญฺญน ปตฺตพฺพานตฺถสฺส จ ปุพฺพนิมิตฺตวเสน วา โหตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๓๗) วุเตฺตสุ จตูสุ การเณสุ เอเกน การเณน กปินิทฺทาย สุปิเน ทิสฺสมานารมฺมณโต ยํ สุกฺกโมจนํ โหติ, ตํ อวิสยํ สุกฺกโมจนํ วินาติ วุตฺตํ โหติฯ
Aññatra supinantenāti supino eva supinanto, nissakkavacanappasaṅge karaṇavacanato supinantāti attho. Supinā nāma ‘‘vātādidhātukkhobhavasena vā pubbānubhūtaitthirūpādivisayavasena vā iṭṭhāniṭṭhadevatānubhāvena vā puññena paṭilabhitabbaatthassa, apuññena pattabbānatthassa ca pubbanimittavasena vā hotī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.237) vuttesu catūsu kāraṇesu ekena kāraṇena kapiniddāya supine dissamānārammaṇato yaṃ sukkamocanaṃ hoti, taṃ avisayaṃ sukkamocanaṃ vināti vuttaṃ hoti.
สงฺฆาทิเสโสว สงฺฆาทิเสสตาฯ สงฺฆาทิเสสํ อาปชฺชิตฺวา ตโต วุฎฺฐาตุกามสฺส กุลปุตฺตสฺส อาทิมฺหิ ปริวาสทานตฺถํ , มเชฺฌ จ มูลายปฎิกสฺสเนน วินา วา สห วา มานตฺตทานตฺถํ, อวสาเน อพฺภานตฺถญฺจ สโงฺฆ เอสิตโพฺพติ ‘‘สโงฺฆ อาทิมฺหิ เจว เสเส จ อิจฺฉิตโพฺพ อสฺสาติ สงฺฆาทิเสโส’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๓๗; กงฺขา. อฎฺฐ. สุกฺกวิสฺสฎฺฐิสิกฺขาปทวณฺณนา) วุตฺตตฺตา สงฺฆาทิเสสา นาม, สุกฺกวิสฺสฎฺฐิสงฺฆาทิเสสาปตฺติ โหตีติ อโตฺถฯ ยถาห ปทภาชเน ‘‘สโงฺฆว ตสฺสา อาปตฺติยา ปริวาสํ เทติ, มูลาย ปฎิกสฺสติ, มานตฺตํ เทติ, อเพฺภติ, น สมฺพหุลา, น เอกปุคฺคโล, เตน วุจฺจติ ‘สงฺฆาทิเสโส’ติฯ ตเสฺสว อาปตฺตินิกายสฺส นามํ นามกมฺมํ อธิวจนํ, เตนปิ วุจฺจติ ‘สงฺฆาทิเสโส’’ติ (ปารา. ๒๓๗)ฯ เอตฺถ จ ปริวาสาทิกถา สงฺฆาทิเสสาวสาเน อาคตฎฺฐาเนเยว อาวิ ภวิสฺสติฯ
Saṅghādisesova saṅghādisesatā. Saṅghādisesaṃ āpajjitvā tato vuṭṭhātukāmassa kulaputtassa ādimhi parivāsadānatthaṃ , majjhe ca mūlāyapaṭikassanena vinā vā saha vā mānattadānatthaṃ, avasāne abbhānatthañca saṅgho esitabboti ‘‘saṅgho ādimhi ceva sese ca icchitabbo assāti saṅghādiseso’’ti (pārā. aṭṭha. 2.237; kaṅkhā. aṭṭha. sukkavissaṭṭhisikkhāpadavaṇṇanā) vuttattā saṅghādisesā nāma, sukkavissaṭṭhisaṅghādisesāpatti hotīti attho. Yathāha padabhājane ‘‘saṅghova tassā āpattiyā parivāsaṃ deti, mūlāya paṭikassati, mānattaṃ deti, abbheti, na sambahulā, na ekapuggalo, tena vuccati ‘saṅghādiseso’ti. Tasseva āpattinikāyassa nāmaṃ nāmakammaṃ adhivacanaṃ, tenapi vuccati ‘saṅghādiseso’’ti (pārā. 237). Ettha ca parivāsādikathā saṅghādisesāvasāne āgataṭṭhāneyeva āvi bhavissati.
๓๒๖. เอตฺตาวตา มูลสิกฺขาปทาคตํ อตฺตูปกฺกมมูลกํ อาปตฺติํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อิมิสฺสา สงฺฆาทิเสสาปตฺติยา ปรูปกฺกเมนปิ อาปชฺชนํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ปเรนา’’ติอาทิฯ อุปกฺกมาเปตฺวาติ องฺคชาตสฺส คหณํ วา ฆฎฺฎนํ วา กาเรตฺวาฯ
326. Ettāvatā mūlasikkhāpadāgataṃ attūpakkamamūlakaṃ āpattiṃ dassetvā idāni imissā saṅghādisesāpattiyā parūpakkamenapi āpajjanaṃ dassetumāha ‘‘parenā’’tiādi. Upakkamāpetvāti aṅgajātassa gahaṇaṃ vā ghaṭṭanaṃ vā kāretvā.
๓๒๗. สญฺจิจฺจาติ ‘‘อุปกฺกมามิ โมเจสฺสามี’’ติ เจเตตฺวา ปกเปฺปตฺวาฯ อุปกฺกมนฺตสฺสาติ อชฺฌตฺตรูปาทีสุ ตีสุ ยตฺถ กตฺถจิ ฆเฎฺฎนฺตสฺสฯ สมุทฺทิฎฺฐนฺติ ‘‘เจเตติ อุปกฺกมติ น มุจฺจติ, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ (ปารา. ๒๖๒) ปทภาชเน ภควตา วุตฺตนฺติ อธิปฺปาโยฯ
327.Sañciccāti ‘‘upakkamāmi mocessāmī’’ti cetetvā pakappetvā. Upakkamantassāti ajjhattarūpādīsu tīsu yattha katthaci ghaṭṭentassa. Samuddiṭṭhanti ‘‘ceteti upakkamati na muccati, āpatti thullaccayassā’’ti (pārā. 262) padabhājane bhagavatā vuttanti adhippāyo.
๓๒๘. อิมิสฺสํ คาถายํ ‘‘อตฺตโน องฺคชาตํ อุปกฺกมนฺตสฺสา’’ติ อิมินา อชฺฌตฺตรูเป วา พหิทฺธารูเป วา อชฺฌตฺตพหิทฺธารูเป วา อตฺตโน องฺคชาตํ ฆเฎฺฎนฺตสฺสาติ อิมสฺส อตฺถสฺส วุตฺตตฺตา องฺคชาตฆฎฺฎเนน วินาภาวโต อิมินา อสงฺคยฺหมานสฺสาปิ อากาเส กฎิกมฺปเนน สุกฺกโมจเน สงฺฆาทิเสสสฺส ปฐมคาถายํ ‘‘วายาโม’’ติ สามญฺญวจเนน สงฺคหิตตฺตา ตํ ฐเปตฺวา ‘‘เตน โข ปน สมเยน อญฺญตรสฺส ภิกฺขุโน โมจนาธิปฺปายสฺส อากาเส กฎิํ กเมฺปนฺตสฺส อสุจิ มุจฺจิ…เป.… อสุจิ น มุจฺจิฯ ตสฺส กุกฺกุจฺจํ อโหสิ…เป.… อนาปตฺติ ภิกฺขุ สงฺฆาทิเสสสฺส, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ อากาเสกฎิกมฺปนวตฺถุมฺหิ วุตฺตตฺตา อมุเตฺต ถุลฺลจฺจยํ สงฺคเหตุมาห ‘‘สญฺจิจฺจา’’ติอาทิฯ
328. Imissaṃ gāthāyaṃ ‘‘attano aṅgajātaṃ upakkamantassā’’ti iminā ajjhattarūpe vā bahiddhārūpe vā ajjhattabahiddhārūpe vā attano aṅgajātaṃ ghaṭṭentassāti imassa atthassa vuttattā aṅgajātaghaṭṭanena vinābhāvato iminā asaṅgayhamānassāpi ākāse kaṭikampanena sukkamocane saṅghādisesassa paṭhamagāthāyaṃ ‘‘vāyāmo’’ti sāmaññavacanena saṅgahitattā taṃ ṭhapetvā ‘‘tena kho pana samayena aññatarassa bhikkhuno mocanādhippāyassa ākāse kaṭiṃ kampentassa asuci mucci…pe… asuci na mucci. Tassa kukkuccaṃ ahosi…pe… anāpatti bhikkhu saṅghādisesassa, āpatti thullaccayassā’’ti ākāsekaṭikampanavatthumhi vuttattā amutte thullaccayaṃ saṅgahetumāha ‘‘sañciccā’’tiādi.
ตตฺถ สญฺจิจฺจาติ ‘‘อุปกฺกมามิ โมเจสฺสามี’’ติ ชานิตฺวา สญฺชานิตฺวาติ อโตฺถฯ ‘‘อุปกฺกมนฺตสฺสา’’ติ สามญฺญโต ตํ วิเสเสตุํ ‘‘อากาเส กมฺปเนนปี’’ติ อาห, กฎิกมฺปเนนาติ คเหตพฺพํฯ กถมิทํ ลพฺภตีติ เจ? อิมาย กถาย สงฺคเหตพฺพวตฺถุมฺหิ ‘‘อากาเส กฎิํ กเมฺปนฺตสฺสา’’ติ (ปารา. ๒๖๖) ปาเฐ ‘‘กฎิํ กเมฺปนฺตสฺสา’’ติ วจนสหจรสฺส ‘‘อากาเส’’ติ วจนสฺส สนฺนิธานพเลน ลพฺภติ อตฺถปฺปกรณสทฺทนฺตรสนฺนิธานา สทฺทานํ วิเสสตฺถทีปนโตฯ
Tattha sañciccāti ‘‘upakkamāmi mocessāmī’’ti jānitvā sañjānitvāti attho. ‘‘Upakkamantassā’’ti sāmaññato taṃ visesetuṃ ‘‘ākāse kampanenapī’’ti āha, kaṭikampanenāti gahetabbaṃ. Kathamidaṃ labbhatīti ce? Imāya kathāya saṅgahetabbavatthumhi ‘‘ākāse kaṭiṃ kampentassā’’ti (pārā. 266) pāṭhe ‘‘kaṭiṃ kampentassā’’ti vacanasahacarassa ‘‘ākāse’’ti vacanassa sannidhānabalena labbhati atthappakaraṇasaddantarasannidhānā saddānaṃ visesatthadīpanato.
๓๒๙. วตฺถินฺติ มุตฺตวตฺถิํ, มุตฺตกรณสฺส วตฺถินฺติ อโตฺถฯ กีฬาย ปูเรตฺวาติ คามทารโก วิย กีฬิตุกามตาย มุตฺตวตฺถิํ ทฬฺหํ คเหตฺวา ปูเรตฺวาติ อโตฺถฯ ยถาห วตฺถิวตฺถุมฺหิ อฎฺฐกถายํ ‘‘เต ภิกฺขู วตฺถิํ ทฬฺหํ คเหตฺวา ปูเรตฺวา ปูเรตฺวา วิสฺสเชฺชนฺตา คามทารกาวิย ปสฺสาวมกํสู’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๖๔)ฯ ‘‘น วฎฺฎตี’’ติ สามเญฺญน กสฺมา วุตฺตนฺติ? ตสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ วุตฺตนเยน โมจนาธิปฺปาเยน ทฬฺหํ คเหตฺวา ปูเรตฺวา ปูเรตฺวา วิสฺสเชฺชนฺตสฺส สุเกฺก มุเตฺต โมจนาธิปฺปาโย เจเตติ, อุปกฺกมติ, มุจฺจตีติ องฺคานํ สมฺปนฺนตฺตา สงฺฆาทิเสสสฺส , อมุเตฺต ถุลฺลจฺจยสฺส สมฺภวโต อุภยสงฺคหตฺถมาหฯ
329.Vatthinti muttavatthiṃ, muttakaraṇassa vatthinti attho. Kīḷāya pūretvāti gāmadārako viya kīḷitukāmatāya muttavatthiṃ daḷhaṃ gahetvā pūretvāti attho. Yathāha vatthivatthumhi aṭṭhakathāyaṃ ‘‘te bhikkhū vatthiṃ daḷhaṃ gahetvā pūretvā pūretvā vissajjentā gāmadārakāviya passāvamakaṃsū’’ti (pārā. aṭṭha. 2.264). ‘‘Na vaṭṭatī’’ti sāmaññena kasmā vuttanti? Tasmiṃ vatthusmiṃ vuttanayena mocanādhippāyena daḷhaṃ gahetvā pūretvā pūretvā vissajjentassa sukke mutte mocanādhippāyo ceteti, upakkamati, muccatīti aṅgānaṃ sampannattā saṅghādisesassa , amutte thullaccayassa sambhavato ubhayasaṅgahatthamāha.
๓๓๐. อุปนิชฺฌายนวตฺถุมฺหิ ‘‘น จ ภิกฺขเว สารเตฺตน มาตุคามสฺส องฺคชาตํ อุปนิชฺฌายิตพฺพํ, โย อุปนิชฺฌาเยยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปารา. ๒๖๖) ปาฬิยํ ‘‘มาตุคามสฺสา’’ติ สามเญฺญน วุตฺตตฺตา ‘‘ติสฺสนฺน’’นฺติ วทติฯ ติสฺสนฺนํ ปน อิตฺถีนนฺติ มนุสฺสามนุสฺสติรจฺฉานคตวเสน ติสฺสนฺนํ อิตฺถีนํฯ ‘‘องฺคชาต’’นฺติ วิเสเสตฺวา วุตฺตตฺตา ‘‘นิมิตฺต’’นฺติ มุตฺตกรณเมว วุจฺจติ, ปฎสเตนาปิ ปฎิจฺฉาทิตํ วา อปฺปฎิจฺฉาทิตํ วา โยนิมคฺคนฺติ อโตฺถฯ เตนาห อฎฺฐกถายํ ‘‘สเจปิ ปฎสตํ นิวตฺถา โหติ, ปุรโต วา ปจฺฉโต วา ฐตฺวา ‘อิมสฺมิํ นาม โอกาเส นิมิตฺต’นฺติ อุปนิชฺฌายนฺตสฺส ทุกฺกฎเมวฯ อนิวตฺถานํ คามทาริกานํ นิมิตฺตํ อุปนิชฺฌายนฺตสฺส ปน กิเมว วตฺตพฺพ’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๖๖)ฯ ปุรโต วาติ เอตฺถ ‘‘ฐตฺวา’’ติ ปาฐเสโสฯ
330.Upanijjhāyanavatthumhi ‘‘na ca bhikkhave sārattena mātugāmassa aṅgajātaṃ upanijjhāyitabbaṃ, yo upanijjhāyeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (pārā. 266) pāḷiyaṃ ‘‘mātugāmassā’’ti sāmaññena vuttattā ‘‘tissanna’’nti vadati. Tissannaṃ pana itthīnanti manussāmanussatiracchānagatavasena tissannaṃ itthīnaṃ. ‘‘Aṅgajāta’’nti visesetvā vuttattā ‘‘nimitta’’nti muttakaraṇameva vuccati, paṭasatenāpi paṭicchāditaṃ vā appaṭicchāditaṃ vā yonimagganti attho. Tenāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘sacepi paṭasataṃ nivatthā hoti, purato vā pacchato vā ṭhatvā ‘imasmiṃ nāma okāse nimitta’nti upanijjhāyantassa dukkaṭameva. Anivatthānaṃ gāmadārikānaṃ nimittaṃ upanijjhāyantassa pana kimeva vattabba’’nti (pārā. aṭṭha. 2.266). Purato vāti ettha ‘‘ṭhatvā’’ti pāṭhaseso.
๓๓๑. เอเกน…เป.… ปสฺสโต เอกํ ทุกฺกฎนฺติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘เอเกน ปโยเคน เอกํ ทุกฺกฎ’’นฺติ วจนโต อเนเกหิ ปโยเคหิ อเนกานิ ทุกฺกฎานีติ พฺยติเรกโต ลพฺภติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อิโต จิโต จ วิโลเกตฺวา ปุนปฺปุนํ อุปนิชฺฌายนฺตสฺส ปโยเค ปโยเค ทุกฺกฎ’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๖๖)ฯ อิมิสฺสา อฎฺฐกถาย ‘‘อิโต จิโต จา’’ติ วุตฺตตฺตา อุมฺมีลนนิมีลนนฺติ เอตฺถ ‘‘วิวิธา ตํ อโนโลเกตฺวา ตเมว โอโลเกนฺตสฺสา’’ติ ลพฺภติฯ
331. Ekena…pe… passato ekaṃ dukkaṭanti sambandho. ‘‘Ekena payogena ekaṃ dukkaṭa’’nti vacanato anekehi payogehi anekāni dukkaṭānīti byatirekato labbhati. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘ito cito ca viloketvā punappunaṃ upanijjhāyantassa payoge payoge dukkaṭa’’nti (pārā. aṭṭha. 2.266). Imissā aṭṭhakathāya ‘‘ito cito cā’’ti vuttattā ummīlananimīlananti ettha ‘‘vividhā taṃ anoloketvā tameva olokentassā’’ti labbhati.
๓๓๒. อโมจนาธิปฺปายสฺส มุตฺตสฺมิํ อนาปตฺติ ปกาสิตาติ โยชนาฯ โมจนาธิปฺปายํ วินา เภสชฺชกรณตฺถํ สุทฺธจิเตฺตน องฺคชาเต เภสชฺชเลปํ กโรนฺตสฺส วา สุทฺธจิเตฺตเนว อุจฺจารปสฺสาวาทิํ กโรนฺตสฺส วา มุเตฺตปิ อนาปตฺตีติ อิทํ ‘‘อนาปตฺติ สุปินเนฺตน นโมจนาธิปฺปายสฺสา’’ติอาทินา (ปารา. ๒๖๓) นเยน อนาปตฺติวาเร วุตฺตเมวาติ อโตฺถฯ
332. Amocanādhippāyassa muttasmiṃ anāpatti pakāsitāti yojanā. Mocanādhippāyaṃ vinā bhesajjakaraṇatthaṃ suddhacittena aṅgajāte bhesajjalepaṃ karontassa vā suddhacitteneva uccārapassāvādiṃ karontassa vā muttepi anāpattīti idaṃ ‘‘anāpatti supinantena namocanādhippāyassā’’tiādinā (pārā. 263) nayena anāpattivāre vuttamevāti attho.
อิมสฺมิํ ปาเฐ ‘‘อนุปกฺกมนฺตสฺสา’’ติ อวุเตฺตปิ อิมสฺส ปาฐสฺส ปุรโต ‘‘เจเตติ น อุปกฺกมติ มุจฺจติ, อนาปตฺตี’’ติ (ปารา. ๒๖๒) จ ‘‘น เจเตติ น อุปกฺกมติ มุจฺจติ, อนาปตฺตี’’ติ (ปารา. ๒๖๒) จ วจนโต ตํ สงฺคเหตุมาห ‘‘อนุปกฺกมโตปิ จ มุตฺตสฺมิํ อนาปตฺติ ปกาสิตา’’ติฯ โมจนสฺสาทราเคน ปีฬิโต หุตฺวา ‘‘อโห วต เม มุเจฺจยฺยา’’ติ จิเนฺตตฺวา วา เอวรูปโมจนสฺสาทราคปีฬาปุพฺพงฺคมจิเตฺต อสติปิ เกวลํ กามวิตกฺกมเตฺตน อุปหโต หุตฺวา ตาทิสอชฺฌตฺติกพาหิรวตฺถูสุ ฆฎฺฎนวเสน วา อากาเส กฎิกมฺปนวเสน วา อุปกฺกมํ อกโรนฺตสฺส ตาทิสจินฺตาพเลน วา กามวิตกฺกพเลน วา สุเกฺก มุเตฺตปิ อนาปตฺตีติ อิทํ ยถาวุตฺตปาฐวเสน ปกาสิตนฺติ อโตฺถฯ
Imasmiṃ pāṭhe ‘‘anupakkamantassā’’ti avuttepi imassa pāṭhassa purato ‘‘ceteti na upakkamati muccati, anāpattī’’ti (pārā. 262) ca ‘‘na ceteti na upakkamati muccati, anāpattī’’ti (pārā. 262) ca vacanato taṃ saṅgahetumāha ‘‘anupakkamatopi ca muttasmiṃ anāpatti pakāsitā’’ti. Mocanassādarāgena pīḷito hutvā ‘‘aho vata me mucceyyā’’ti cintetvā vā evarūpamocanassādarāgapīḷāpubbaṅgamacitte asatipi kevalaṃ kāmavitakkamattena upahato hutvā tādisaajjhattikabāhiravatthūsu ghaṭṭanavasena vā ākāse kaṭikampanavasena vā upakkamaṃ akarontassa tādisacintābalena vā kāmavitakkabalena vā sukke muttepi anāpattīti idaṃ yathāvuttapāṭhavasena pakāsitanti attho.
สุปินเนฺตน มุตฺตสฺมิํ, อนาปตฺติ ปกาสิตาติ เอตฺถ อนฺตสทฺทตฺถาภาวโต สุปิเนติ อโตฺถฯ สุปิเน เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวนฺตสฺส วา มาตุคาเมหิ กายสํสคฺคํ อาปชฺชนฺตสฺส วา สุเกฺก มุเตฺตปิ อวิสยตฺตา อนาปตฺติ ปาฬิยํ ‘‘อนาปตฺติ ภิกฺขุ สุปินเนฺตนา’’ติ (ปารา. ๒๖๓) อิมินา ปกาสิตาติ อโตฺถฯ
Supinantena muttasmiṃ, anāpatti pakāsitāti ettha antasaddatthābhāvato supineti attho. Supine methunaṃ dhammaṃ paṭisevantassa vā mātugāmehi kāyasaṃsaggaṃ āpajjantassa vā sukke muttepi avisayattā anāpatti pāḷiyaṃ ‘‘anāpatti bhikkhu supinantenā’’ti (pārā. 263) iminā pakāsitāti attho.
เอตฺถ ฐตฺวา อฎฺฐกถายํ ‘‘สุปิเน ปน อุปฺปนฺนาย อสฺสาทเจตนาย สจสฺส วิสโย โหติ, นิจฺจเลน ภวิตพฺพํฯ น หเตฺถน นิมิตฺตํ กีฬาเปตพฺพํฯ กาสาวปจฺจตฺถรณรกฺขนตฺถํ ปน หตฺถปุเฎน คเหตฺวา ชคฺคนตฺถาย อุทกฎฺฐานํ คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๖๒) วุตฺตตฺตา อณฺฑปาลิกา กิกีสกุณา วิย, วาลปาลิกา จมรี วิย, เอกเนตฺตปาลโก ปุริโส วิย จ กายชีวิเตปิ อเปกฺขํ ปหาย สีลํ รกฺขิตุกาเมน สิกฺขากาเมน นิพฺพานคามินิปฎิปตฺติํ ปูเรตุกาเมน กุลปุเตฺตน ‘‘อญฺญตฺร สุปินนฺตา’’ติ (ปารา. ๒๓๗) วทโต ตถาคตสฺส อธิปฺปายานุกูลํ อฎฺฐกถาโต ญตฺวา อปฺปมเตฺตน ปฎิปชฺชิตพฺพนฺติ อยมตฺรานุสาสนีฯ
Ettha ṭhatvā aṭṭhakathāyaṃ ‘‘supine pana uppannāya assādacetanāya sacassa visayo hoti, niccalena bhavitabbaṃ. Na hatthena nimittaṃ kīḷāpetabbaṃ. Kāsāvapaccattharaṇarakkhanatthaṃ pana hatthapuṭena gahetvā jagganatthāya udakaṭṭhānaṃ gantuṃ vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.262) vuttattā aṇḍapālikā kikīsakuṇā viya, vālapālikā camarī viya, ekanettapālako puriso viya ca kāyajīvitepi apekkhaṃ pahāya sīlaṃ rakkhitukāmena sikkhākāmena nibbānagāminipaṭipattiṃ pūretukāmena kulaputtena ‘‘aññatra supinantā’’ti (pārā. 237) vadato tathāgatassa adhippāyānukūlaṃ aṭṭhakathāto ñatvā appamattena paṭipajjitabbanti ayamatrānusāsanī.
สุกฺกวิสฺสฎฺฐิกถาวณฺณนาฯ
Sukkavissaṭṭhikathāvaṇṇanā.
๓๓๓. มนุสฺสิตฺถินฺติ มนุสฺสชาติกํ อิตฺถิํ, ‘‘มาตุคาโม นาม มนุสฺสิตฺถี, น ยกฺขี, น เปตี, น ติรจฺฉานคตา, อนฺตมโส ตทหุชาตาปิ ทาริกา, ปเคว มหตฺตรี’’ติ (ปารา. ๒๗๑) ปทภาชเน วุตฺตตฺตา ตทหุชาตกุมาริกาภาเวนปิ ฐิตํ ชีวมานกมนุสฺสมาตุคามนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘มนุสฺสิตฺถิ’’นฺติ สามญฺญวจเนน ชีวมานกมนุสฺสิตฺถินฺติ อยํ วิเสโส กุโต ลพฺภตีติ? วินีตวตฺถุมฺหิ (ปารา. ๒๘๑ อาทโย) มติตฺถิยา กายํ ผุสนฺตสฺส ถุลฺลจฺจยวจนโต ปาริเสสโต ลพฺภติฯ อามสโนฺตติ ‘‘หตฺถคฺคาหํ วา เวณิคฺคาหํ วา อญฺญตรสฺส วา อญฺญตรสฺส วา องฺคสฺส ปรามสน’’นฺติ (ปารา. ๒๗๐) วุตฺตตฺตา หตฺถาทิองฺคปจฺจงฺคผุสนาทินานปฺปการานํ อญฺญตเรน ปกาเรน อามสโนฺตติ อโตฺถฯ อตฺตโน กาเยน อิตฺถิยา กายสฺส สํสเคฺค มิสฺสีภาเว ราโค กายสํสคฺคราโคฯ สงฺฆาทิเสโส เอตสฺส อตฺถีติ สงฺฆาทิเสสิโก, กายสํสคฺคสงฺฆาทิเสโส อาปโนฺน โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ
333.Manussitthinti manussajātikaṃ itthiṃ, ‘‘mātugāmo nāma manussitthī, na yakkhī, na petī, na tiracchānagatā, antamaso tadahujātāpi dārikā, pageva mahattarī’’ti (pārā. 271) padabhājane vuttattā tadahujātakumārikābhāvenapi ṭhitaṃ jīvamānakamanussamātugāmanti vuttaṃ hoti. ‘‘Manussitthi’’nti sāmaññavacanena jīvamānakamanussitthinti ayaṃ viseso kuto labbhatīti? Vinītavatthumhi (pārā. 281 ādayo) matitthiyā kāyaṃ phusantassa thullaccayavacanato pārisesato labbhati. Āmasantoti ‘‘hatthaggāhaṃ vā veṇiggāhaṃ vā aññatarassa vā aññatarassa vā aṅgassa parāmasana’’nti (pārā. 270) vuttattā hatthādiaṅgapaccaṅgaphusanādinānappakārānaṃ aññatarena pakārena āmasantoti attho. Attano kāyena itthiyā kāyassa saṃsagge missībhāve rāgo kāyasaṃsaggarāgo. Saṅghādiseso etassa atthīti saṅghādisesiko, kāyasaṃsaggasaṅghādiseso āpanno hotīti vuttaṃ hoti.
๓๓๔. กายสํสคฺคราเคน อิตฺถิยา อนฺตมโส โลมมฺปิ อตฺตโน สรีเร โลเมน ผุสนฺตสฺส ภิกฺขุโน สงฺฆาทิเสสาปตฺติ โหตีติ โยชนาฯ เอตฺถ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๗๔) ‘‘โลมคณนาย สงฺฆาทิเสสา โหนฺตี’’ติ กุรุนฺทฎฺฐกถามตสฺส อฎฺฐิตตฺตา , ‘‘โกฎฺฐาสคณนาย น โหติ, อิตฺถิคณนาย โหตี’’ติ มหาอฎฺฐกถามตสฺส ฐิตตฺตา สงฺฆสนฺตเก มญฺจปีเฐ ปจฺจตฺถรณาทินา เกนจิ อปฺปฎิจฺฉาทิเต ผุสนฺตสฺส วิย โลมคณนาย อหุตฺวา ผุฎฺฐโลมานํ พหุเตฺตปิ เอกสฺมิํ ปโยเค เอกา เอว อาปตฺติ, พหูสุ ปโยเคสุ ปโยคคณนาย อาปตฺติโย โหนฺตีติ สนฺนิฎฺฐานํฯ
334. Kāyasaṃsaggarāgena itthiyā antamaso lomampi attano sarīre lomena phusantassa bhikkhuno saṅghādisesāpatti hotīti yojanā. Ettha (pārā. aṭṭha. 2.274) ‘‘lomagaṇanāya saṅghādisesā hontī’’ti kurundaṭṭhakathāmatassa aṭṭhitattā , ‘‘koṭṭhāsagaṇanāya na hoti, itthigaṇanāya hotī’’ti mahāaṭṭhakathāmatassa ṭhitattā saṅghasantake mañcapīṭhe paccattharaṇādinā kenaci appaṭicchādite phusantassa viya lomagaṇanāya ahutvā phuṭṭhalomānaṃ bahuttepi ekasmiṃ payoge ekā eva āpatti, bahūsu payogesu payogagaṇanāya āpattiyo hontīti sanniṭṭhānaṃ.
๓๓๕. อิตฺถิยาติ มนุสฺสิตฺถิยาฯ สมฺผุโฎฺฐติ หตฺถาทิสรีราวยเว สํสคฺคํ สมาปโนฺนฯ เสวนเจตโน วายมิตฺวา กายสํสคฺคราเคน อตฺตโน กายํ จาเลตฺวาติ อโตฺถฯ สงฺฆาทิเสสตาติ เอตฺถ สกเตฺถ ตทฺธิตปฺปจฺจโยฯ ‘‘สงฺฆาทิเสสิตา’’ติ ปน ปาโฐ สุนฺทโร, สงฺฆาทิเสสสฺส อตฺถิตา วิชฺชมานภาโวติ อโตฺถฯ สงฺฆาทิเสสาปตฺติยา สพฺภาวสงฺขาตา อตฺถิตา อีปจฺจยเตฺถ ปุคฺคเล สงฺฆาทิเสสีสทฺทปวตฺตินิมิตฺตํ โหตีติ ภาวปจฺจโย ตํอตฺถวเสน ลพฺภติฯ ยถาหุ ‘‘ยสฺส คุณสฺส หิ ภาวา ทเพฺพ สทฺทสนฺนิเวโส, ตทภิธาเน ตฺตตาทโย’’ติฯ
335.Itthiyāti manussitthiyā. Samphuṭṭhoti hatthādisarīrāvayave saṃsaggaṃ samāpanno. Sevanacetano vāyamitvā kāyasaṃsaggarāgena attano kāyaṃ cāletvāti attho. Saṅghādisesatāti ettha sakatthe taddhitappaccayo. ‘‘Saṅghādisesitā’’ti pana pāṭho sundaro, saṅghādisesassa atthitā vijjamānabhāvoti attho. Saṅghādisesāpattiyā sabbhāvasaṅkhātā atthitā īpaccayatthe puggale saṅghādisesīsaddapavattinimittaṃ hotīti bhāvapaccayo taṃatthavasena labbhati. Yathāhu ‘‘yassa guṇassa hi bhāvā dabbe saddasanniveso, tadabhidhāne ttatādayo’’ti.
๓๓๖. เอเกน หเตฺถน คเหตฺวาติ (กงฺขา. อฎฺฐ. กายสํสคฺคสิกฺขาปทวณฺณนา) เอตฺถ ‘‘กายสํสคฺคราเคนา’’ติ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ ‘‘มนุสฺสิตฺถิ’’นฺติ อชฺฌาหาโรฯ ตํ มนุสฺสิตฺถิํฯ ตตฺถ ตตฺถาติ อิตฺถิยา ตสฺมิํ ตสฺมิํ สรีราวยเวฯ ‘‘เอกาวาปตฺตี’’ติ ปฐมํ คหิตหตฺถสฺส อนปนีตตฺตา วุตฺตํฯ คหิตหตฺถํ ปน โมเจตฺวา ปุนปฺปุนํ ผุสนฺตสฺส ปโยคคณนาย อาปตฺติ โหตีติ พฺยติเรกโต ลพฺภติฯ
336.Ekena hatthena gahetvāti (kaṅkhā. aṭṭha. kāyasaṃsaggasikkhāpadavaṇṇanā) ettha ‘‘kāyasaṃsaggarāgenā’’ti ānetvā sambandhitabbaṃ. ‘‘Manussitthi’’nti ajjhāhāro. Taṃ manussitthiṃ. Tattha tatthāti itthiyā tasmiṃ tasmiṃ sarīrāvayave. ‘‘Ekāvāpattī’’ti paṭhamaṃ gahitahatthassa anapanītattā vuttaṃ. Gahitahatthaṃ pana mocetvā punappunaṃ phusantassa payogagaṇanāya āpatti hotīti byatirekato labbhati.
๓๓๗. เอเกน หเตฺถน อคฺคเหตฺวา สีสโต ยาว ปาทํ, ปาทโต ยาว สีสญฺจ กายา หตฺถํ อโมเจตฺวา ทิวสมฺปิ ตํ อิตฺถิํ ผุสนฺตสฺส เอกาวาปตฺตีติ โยชนาฯ เอตฺถาปิ ‘‘อโมเจตฺวา’’ติ พฺยติเรกโต โมเจตฺวา ผุสนฺตสฺส ปโยคคณนาย อเนกาปตฺติโยติ ลพฺภติฯ
337. Ekena hatthena aggahetvā sīsato yāva pādaṃ, pādato yāva sīsañca kāyā hatthaṃ amocetvā divasampi taṃ itthiṃ phusantassa ekāvāpattīti yojanā. Etthāpi ‘‘amocetvā’’ti byatirekato mocetvā phusantassa payogagaṇanāya anekāpattiyoti labbhati.
๓๓๘. เอกโต คหิตปญฺจงฺคุลีนํ คณนาย สเจ อาปตฺติ สิยา, เอกสฺส มาตุคามสฺส สรีรํ ราคจิเตฺตน ผุสนฺตสฺส ทฺวตฺติํสกลาปโกฎฺฐาสโต พฺยติเรกสฺส สรีรสฺสาภาวา ทฺวตฺติํสกลาปโกฎฺฐาสคณนาย อาปตฺติยา ภวิตพฺพํ, ตถา อภาวโต อิทมฺปิ น โหตีติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘น หิ โกฎฺฐาสโต สิยา’’ติ อาหฯ
338. Ekato gahitapañcaṅgulīnaṃ gaṇanāya sace āpatti siyā, ekassa mātugāmassa sarīraṃ rāgacittena phusantassa dvattiṃsakalāpakoṭṭhāsato byatirekassa sarīrassābhāvā dvattiṃsakalāpakoṭṭhāsagaṇanāya āpattiyā bhavitabbaṃ, tathā abhāvato idampi na hotīti dassanatthaṃ ‘‘na hi koṭṭhāsato siyā’’ti āha.
๓๔๐-๑. อิตฺถิยา วิมติสฺสาปิ อตฺตโน กาเยน อิตฺถิยา กายํ ผุสโต ตสฺส ถุลฺลจฺจยํ สิยา, อิตฺถิยา ปณฺฑกาทิสญฺญิโนปิ อตฺตโนปิ กาเยน อิตฺถิยา กายํ ผุสโต ตสฺส ถุลฺลจฺจยํ สิยาฯ อาทิ-สเทฺทน ปุริสติรจฺฉานคตานํ สงฺคโหฯ อิตฺถิยา อิตฺถิสญฺญิโน อตฺตโน กาเยน อิตฺถิยา กายสมฺพทฺธํ ผุสโต ตสฺส ถุลฺลจฺจยํ สิยาฯ ปณฺฑเก ปณฺฑกสญฺญิโน อตฺตโน กาเยน ปณฺฑกสฺส กายํ ผุสโต ตสฺส ถุลฺลจฺจยํ สิยาฯ ยกฺขิเปตีสุ ยกฺขิเปติสญฺญิโน อตฺตโน กาเยน ตาสํ กายํ ผุสโต ตสฺส ถุลฺลจฺจยํ สิยาติ โยชนาฯ เอตฺถ ‘‘ปณฺฑกคฺคหเณน อุภโตพฺยญฺชนโกปิ คยฺหตี’’ติ วชิรพุทฺธิฎีกายํ วุตฺตํฯ ‘‘อิตฺถิยา เวมติกสฺสาปิ ปณฺฑกาทิสญฺญิโนปิ อตฺตโน กาเยน อิตฺถิยา กายสมฺพทฺธํ ผุสโต ตสฺส ถุลฺลจฺจยํ สิยา’’ติ น โยเชตพฺพํฯ กสฺมา? ตถา โยชนายํ ปาฬิยํ ทุกฺกฎํ วุตฺตํ, น ถุลฺลจฺจยนฺติ อนิฎฺฐปฺปสงฺคโตฯ
340-1.Itthiyā vimatissāpi attano kāyena itthiyā kāyaṃ phusato tassa thullaccayaṃ siyā, itthiyā paṇḍakādisaññinopi attanopi kāyenaitthiyā kāyaṃ phusato tassa thullaccayaṃ siyā. Ādi-saddena purisatiracchānagatānaṃ saṅgaho. Itthiyā itthisaññino attano kāyena itthiyā kāyasambaddhaṃ phusato tassa thullaccayaṃ siyā. Paṇḍake paṇḍakasaññino attano kāyena paṇḍakassa kāyaṃ phusato tassa thullaccayaṃ siyā. Yakkhipetīsu yakkhipetisaññino attano kāyena tāsaṃ kāyaṃ phusato tassa thullaccayaṃ siyāti yojanā. Ettha ‘‘paṇḍakaggahaṇena ubhatobyañjanakopi gayhatī’’ti vajirabuddhiṭīkāyaṃ vuttaṃ. ‘‘Itthiyā vematikassāpi paṇḍakādisaññinopi attano kāyena itthiyā kāyasambaddhaṃ phusato tassa thullaccayaṃ siyā’’ti na yojetabbaṃ. Kasmā? Tathā yojanāyaṃ pāḷiyaṃ dukkaṭaṃ vuttaṃ, na thullaccayanti aniṭṭhappasaṅgato.
‘‘ทุกฺกฎํ กายสํสเคฺค, ติรจฺฉานคติตฺถิยา’’ติ อิมินา วินีตวตฺถุมฺหิ อาคตนเย สงฺคหิเตปิ เตเนว นเยน ปณฺฑเก วิมติอิตฺถิสญฺญิตาทิอญฺญมติปเกฺข จ ปุริสติรจฺฉานคเตสุ ปุริสติรจฺฉานคตสญฺญิวิมติปณฺฑกาทิอญฺญมติปเกฺข จ อิติ อิเมสํ ติณฺณํ กายปฎิพทฺธามสนาทีสุ จ ปทภาชเน วุตฺตสพฺพทุกฺกฎาปตฺติโย อุปลกฺขิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ
‘‘Dukkaṭaṃ kāyasaṃsagge, tiracchānagatitthiyā’’ti iminā vinītavatthumhi āgatanaye saṅgahitepi teneva nayena paṇḍake vimatiitthisaññitādiaññamatipakkhe ca purisatiracchānagatesu purisatiracchānagatasaññivimatipaṇḍakādiaññamatipakkhe ca iti imesaṃ tiṇṇaṃ kāyapaṭibaddhāmasanādīsu ca padabhājane vuttasabbadukkaṭāpattiyo upalakkhitāti daṭṭhabbaṃ.
๓๔๒. อตฺตโน กาเยน ปฎิพเทฺธน อิตฺถิยา กาเยน ปฎิพทฺธํ ผุสนฺตสฺส ภิกฺขุโน ปน ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ เอตฺถ ปิ-สโทฺท วุตฺตทุกฺกฎานํ สมุจฺจยโตฺถฯ จ-สเทฺทน ปน อวุตฺตสมุจฺจยเตฺถน ‘‘นิสฺสคฺคิเยน กายํ อามสติฯ นิสฺสคฺคิเยน กายปฎิพทฺธํ อามสติฯ นิสฺสคฺคิเยน นิสฺสคฺคิยํ อามสติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปารา. ๒๗๖) ปาฬิยํ อาคตทุกฺกฎานํ สงฺคโห เวทิตโพฺพฯ
342. Attano kāyena paṭibaddhena itthiyā kāyena paṭibaddhaṃ phusantassa bhikkhuno pana dukkaṭanti yojanā. Ettha pi-saddo vuttadukkaṭānaṃ samuccayattho. Ca-saddena pana avuttasamuccayatthena ‘‘nissaggiyena kāyaṃ āmasati. Nissaggiyena kāyapaṭibaddhaṃ āmasati. Nissaggiyena nissaggiyaṃ āmasati, āpatti dukkaṭassā’’ti (pārā. 276) pāḷiyaṃ āgatadukkaṭānaṃ saṅgaho veditabbo.
๓๔๓-๔. น เกวลํ ปทภาชนาคตอิตฺถิสรีราทิกเมว อนามาสํ, วินีตวตฺถูสุ ทารุธีตลิกวตฺถุอนุโลมโต โปตฺถลิกาทิอิตฺถิรูปกญฺจ นิสฺสคฺคิยวารานุโลมโต อสรีรฎฺฐํ มาตุคาเมหิ ปริภุตฺตวตฺถาภรณาทิญฺจ วิภงฺคกฺขนฺธกาทีสุ วุตฺตนยานุสาเรน อฎฺฐกถาคตํ อวเสสํ อนามาสวตฺถุญฺจ อามสนฺตสฺส อาปตฺติํ สงฺคเหตุมาห ‘‘อิตฺถีน’’นฺติอาทิฯ
343-4. Na kevalaṃ padabhājanāgataitthisarīrādikameva anāmāsaṃ, vinītavatthūsu dārudhītalikavatthuanulomato potthalikādiitthirūpakañca nissaggiyavārānulomato asarīraṭṭhaṃ mātugāmehi paribhuttavatthābharaṇādiñca vibhaṅgakkhandhakādīsu vuttanayānusārena aṭṭhakathāgataṃ avasesaṃ anāmāsavatthuñca āmasantassa āpattiṃ saṅgahetumāha ‘‘itthīna’’ntiādi.
‘‘อิตฺถีนํ อิตฺถิรูปญฺจา’’ติ อิทํ ‘‘อิตฺถิกาย อิตฺถิธนํ (ปารา. ๓๔), สทฺธานํ สทฺธาปรายน’’นฺติอาทีสุ วิย โลกโวหารวเสน วุตฺตํฯ อิตฺถีนํ ทารุโลหมยาทิกํ อิตฺถิรูปญฺจาติ โยชนาฯ อาทิ-สเทฺทน เหฎฺฐิมปริเจฺฉทโต มตฺติกาย, ปิเฎฺฐน วา กตํ มาตุคามรูปํ สงฺคณฺหาติฯ มาตุคามรูปํ เยน เกนจิ ทินฺนํ สพฺพรตนมยํ วินา อวเสสํ สาทิยิตฺวา ภินฺทิตฺวา สมณสารุปฺปปริกฺขารํ การาเปตุํ, อผุสิตฺวา ปริภุญฺชิตเพฺพ วา โยเชตุํ วฎฺฎติฯ
‘‘Itthīnaṃ itthirūpañcā’’ti idaṃ ‘‘itthikāya itthidhanaṃ (pārā. 34), saddhānaṃ saddhāparāyana’’ntiādīsu viya lokavohāravasena vuttaṃ. Itthīnaṃ dārulohamayādikaṃ itthirūpañcāti yojanā. Ādi-saddena heṭṭhimaparicchedato mattikāya, piṭṭhena vā kataṃ mātugāmarūpaṃ saṅgaṇhāti. Mātugāmarūpaṃ yena kenaci dinnaṃ sabbaratanamayaṃ vinā avasesaṃ sādiyitvā bhinditvā samaṇasāruppaparikkhāraṃ kārāpetuṃ, aphusitvā paribhuñjitabbe vā yojetuṃ vaṭṭati.
‘‘วตฺถ’’นฺติ อิมินา นิวาสนปารุปนทฺวยมฺปิ สามเญฺญน คหิตํฯ อิทญฺจ มาตุคาเมน ปริภุญฺชิตุํ ฐปิตมฺปิ อนามาสเมว, จีวรตฺถาย ทินฺนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา คณฺหิตุํ วฎฺฎติฯ เหฎฺฐิมปริเจฺฉเทน ติณจุมฺพฎกํ, องฺคุลิยา ปณฺณมุทฺทิกํ อุปาทาย อลงฺการเมวฯ เอตฺถ จ วาลเกสวฎฺฎเกเสสุ ปเวสนกทนฺตสูจิอาทิ กปฺปิยภณฺฑํ ทิยฺยมานํ สมณสารุปฺปปริกฺขารตฺถาย คเหตพฺพํฯ
‘‘Vattha’’nti iminā nivāsanapārupanadvayampi sāmaññena gahitaṃ. Idañca mātugāmena paribhuñjituṃ ṭhapitampi anāmāsameva, cīvaratthāya dinnaṃ sampaṭicchitvā gaṇhituṃ vaṭṭati. Heṭṭhimaparicchedena tiṇacumbaṭakaṃ, aṅguliyā paṇṇamuddikaṃ upādāya alaṅkārameva. Ettha ca vālakesavaṭṭakesesu pavesanakadantasūciādi kappiyabhaṇḍaṃ diyyamānaṃ samaṇasāruppaparikkhāratthāya gahetabbaṃ.
ตตฺถชาตผลํ ขชฺชนฺติ รุเกฺข ฐิตํ ขาทิตพฺพํ ปนสนาฬิเกราทิผลญฺจ มนุเสฺสหิ ราสิกตํ ปริภุญฺชิตพฺพผลญฺจ ‘‘มนุเสฺสหิ ราสิกเตสุปิ เอเสว นโย’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๘๑) อฎฺฐกถายํ วุตฺตตฺตา อนามาสนฺติ อุปลกฺขณโต อิมินาว คเหตพฺพํฯ อรเญฺญ รุกฺขโต ปติตํ ผลํ ‘‘อนุปสมฺปนฺนสฺส ทสฺสามี’’ติ คเหตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘มุคฺคาทิํ ตตฺถชาตก’’นฺติ อุปลกฺขณปทตฺตา คจฺฉโต วิยุตฺตมฺปิ คเหตพฺพํฯ มุคฺคาทินฺติ เอตฺถ ‘‘อปรณฺณ’’นฺติ ปาฐเสโสฯ
Tatthajātaphalaṃ khajjanti rukkhe ṭhitaṃ khāditabbaṃ panasanāḷikerādiphalañca manussehi rāsikataṃ paribhuñjitabbaphalañca ‘‘manussehi rāsikatesupi eseva nayo’’ti (pārā. aṭṭha. 2.281) aṭṭhakathāyaṃ vuttattā anāmāsanti upalakkhaṇato imināva gahetabbaṃ. Araññe rukkhato patitaṃ phalaṃ ‘‘anupasampannassa dassāmī’’ti gahetuṃ vaṭṭati. ‘‘Muggādiṃ tatthajātaka’’nti upalakkhaṇapadattā gacchato viyuttampi gahetabbaṃ. Muggādinti ettha ‘‘aparaṇṇa’’nti pāṭhaseso.
สพฺพานิ ธญฺญานีติ ‘‘สาลิ วีหิ ยโว กงฺคุ, กุทฺรูสวรกโคธุมา’’ติ วุตฺตานิ สตฺต ธญฺญานิฯ เขตฺตมเคฺคน คจฺฉตา สาลิสีเส หเตฺถน อผุสเนฺตน คนฺตพฺพํฯ สเจ มโคฺค สมฺพาโธ โหติ, สรีเร ธญฺญํ ผุสเนฺตปิ มคฺคตฺตา น โทโสฯ วีถิยํ, เคหงฺคเณ วา ธเญฺญสุ ปสาริเตสุ อปสกฺกิตฺวา เจ คนฺตุํ น สกฺกา, ‘‘มคฺคํ อธิฎฺฐาย คนฺตพฺพ’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๘๑) อฎฺฐกถาวจนโต ‘‘อิมํ มคฺคํ คมิสฺสามี’’ติ คนฺตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘กุลเคเห ธญฺญมตฺถเก เจ อาสนํ ปญฺญาเปตฺวา ทินฺนํ โหติ, นิสีทิตุํ วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๘๑ อตฺถโต สมานํ) อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ ‘‘อาสนสาลายํ ธเญฺญ วิปฺปกิเณฺณ อนุกฺกมิตฺวา เอกมเนฺต ปีฐกํ ปญฺญาเปตฺวา นิสีทิตพฺพํฯ สเจ มนุสฺสา ตสฺมิํ ธญฺญมตฺถเก อาสนํ ปญฺญาเปตฺวา เทนฺติ, นิสีทิตุํ วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๘๑ อตฺถโต สมานํ) อฎฺฐกถายํ วุตฺตตฺตา อตฺตนา ตตฺถ อาสนํ ปญฺญาเปตฺวา นิสีทิตุํ น วฎฺฎติฯ
Sabbāni dhaññānīti ‘‘sāli vīhi yavo kaṅgu, kudrūsavarakagodhumā’’ti vuttāni satta dhaññāni. Khettamaggena gacchatā sālisīse hatthena aphusantena gantabbaṃ. Sace maggo sambādho hoti, sarīre dhaññaṃ phusantepi maggattā na doso. Vīthiyaṃ, gehaṅgaṇe vā dhaññesu pasāritesu apasakkitvā ce gantuṃ na sakkā, ‘‘maggaṃ adhiṭṭhāya gantabba’’nti (pārā. aṭṭha. 2.281) aṭṭhakathāvacanato ‘‘imaṃ maggaṃ gamissāmī’’ti gantuṃ vaṭṭati. ‘‘Kulagehe dhaññamatthake ce āsanaṃ paññāpetvā dinnaṃ hoti, nisīdituṃ vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.281 atthato samānaṃ) aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. ‘‘Āsanasālāyaṃ dhaññe vippakiṇṇe anukkamitvā ekamante pīṭhakaṃ paññāpetvā nisīditabbaṃ. Sace manussā tasmiṃ dhaññamatthake āsanaṃ paññāpetvā denti, nisīdituṃ vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.281 atthato samānaṃ) aṭṭhakathāyaṃ vuttattā attanā tattha āsanaṃ paññāpetvā nisīdituṃ na vaṭṭati.
๓๔๕. ธมนสงฺขาทิํ สพฺพํ ปญฺจงฺคตุริยมฺปิ จาติ สมฺพโนฺธฯ ธมนสโงฺข นาม สทฺทกรณสโงฺข ฯ อาทิ-สเทฺทน วํสสิงฺคตาฬาทีนํ สงฺคโหฯ ปญฺจงฺคตุริยนฺติ อาตตํ, วิตตํ, อาตตวิตตํ, ฆนํ, สุสิรนฺติ ปญฺจงฺคสงฺขาตํ ตุริยํฯ ตตฺถ อาตตํ นาม จมฺมปริโยนเทฺธสุ เภริอาทีสุ เอกโต อากฑฺฒิตฺวา โอนทฺธํ เอกตลตุริยํฯ วิตตํ นาม อุภโต อากฑฺฒิตฺวา โอนทฺธํ อุภยตลตุริยํฯ อาตตวิตตํ นาม อุภยโต จ มชฺฌโต จ สพฺพโต ปริโยนนฺธิตํฯ ฆนํ สมฺมาทิฯ สมฺมนฺติ ตาฬํ, ฆณฺฎากิงฺกณิอาทีนมฺปิ เอเตฺถว สงฺคโหฯ สุสิรนฺติ วํสาทิฯ
345. Dhamanasaṅkhādiṃ sabbaṃ pañcaṅgaturiyampi cāti sambandho. Dhamanasaṅkho nāma saddakaraṇasaṅkho . Ādi-saddena vaṃsasiṅgatāḷādīnaṃ saṅgaho. Pañcaṅgaturiyanti ātataṃ, vitataṃ, ātatavitataṃ, ghanaṃ, susiranti pañcaṅgasaṅkhātaṃ turiyaṃ. Tattha ātataṃ nāma cammapariyonaddhesu bheriādīsu ekato ākaḍḍhitvā onaddhaṃ ekatalaturiyaṃ. Vitataṃ nāma ubhato ākaḍḍhitvā onaddhaṃ ubhayatalaturiyaṃ. Ātatavitataṃ nāma ubhayato ca majjhato ca sabbato pariyonandhitaṃ. Ghanaṃ sammādi. Sammanti tāḷaṃ, ghaṇṭākiṅkaṇiādīnampi ettheva saṅgaho. Susiranti vaṃsādi.
อิธ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๘๑) กุรุนฺทฎฺฐกถายํ วุตฺตนเยน เภริโปกฺขรญฺจ เภริตลจมฺมญฺจ วีณา จ วีณาโปกฺขรจมฺมญฺจ ทโณฺฑ จ อนามาสํฯ ‘‘ปูชํ กตฺวา เจติยงฺคณาทีสุ ฐปิตเภริโย อจาเลเนฺตน อวเสสฎฺฐานํ สมฺมชฺชิตพฺพํฯ กจวรฉฑฺฑนกาเล กจวรํ วิย คเหตฺวา เอกสฺมิํ ฐาเน ฐเปตพฺพ’’นฺติ มหาปจฺจริยํ วุตฺตํฯ ตุริยภเณฺฑสุ ยํ กิญฺจิ อตฺตโน ทียมานํ ตํ ปริวเตฺตตฺวา กปฺปิยปริกฺขารํ คเหตุํ อธิวาเสตพฺพํฯ โทณิ วา โปกฺขรํ วา ทนฺตกฎฺฐนิกฺขิปนตฺถาย, จมฺมญฺจ สตฺถโกสกรณตฺถาย คเหตพฺพํฯ
Idha (pārā. aṭṭha. 2.281) kurundaṭṭhakathāyaṃ vuttanayena bheripokkharañca bheritalacammañca vīṇā ca vīṇāpokkharacammañca daṇḍo ca anāmāsaṃ. ‘‘Pūjaṃ katvā cetiyaṅgaṇādīsu ṭhapitabheriyo acālentena avasesaṭṭhānaṃ sammajjitabbaṃ. Kacavarachaḍḍanakāle kacavaraṃ viya gahetvā ekasmiṃ ṭhāne ṭhapetabba’’nti mahāpaccariyaṃ vuttaṃ. Turiyabhaṇḍesu yaṃ kiñci attano dīyamānaṃ taṃ parivattetvā kappiyaparikkhāraṃ gahetuṃ adhivāsetabbaṃ. Doṇi vā pokkharaṃ vā dantakaṭṭhanikkhipanatthāya, cammañca satthakosakaraṇatthāya gahetabbaṃ.
รตนานิ จ สพฺพานีติ มุตฺตา มณิ เวฬุริโย สโงฺข สิลา ปวาฬํ รชตํ ชาตรูปํ โลหิตโงฺก มสารคลฺลนฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๘๑) วุตฺตานิ สพฺพานิ รตนานิ จฯ เอตฺถ จ วิทฺธา, อวิทฺธา วา สามุทฺทิกาที สพฺพาปิ มุตฺตา อนามาสาฯ ภณฺฑมูลตฺถญฺจ คณฺหิตุํ น วฎฺฎติฯ อนฺตมโส ชาติผลิกํ อุปาทาย นีลปีตาทิเภโท สโพฺพปิ มณิ โธตวิโทฺธ อนามาโสฯ อาหตากาเรเนว ฐิโต อวิทฺธาโธโต มณิ ปตฺตาทิ ภณฺฑมูลตฺถํ อธิวาเสตุํ วฎฺฎตีติ วุตฺตํฯ มหาปจฺจริยํ ปน ปฎิกฺขิตฺตํฯ ปจิตฺวา กโต กาจมณิเยเวโก วฎฺฎติฯ เวฬุริเย จ มณิสทิโสเยว วินิจฺฉโยฯ
Ratanāni ca sabbānīti muttā maṇi veḷuriyo saṅkho silā pavāḷaṃ rajataṃ jātarūpaṃ lohitaṅko masāragallanti (pārā. aṭṭha. 2.281) vuttāni sabbāni ratanāni ca. Ettha ca viddhā, aviddhā vā sāmuddikādī sabbāpi muttā anāmāsā. Bhaṇḍamūlatthañca gaṇhituṃ na vaṭṭati. Antamaso jātiphalikaṃ upādāya nīlapītādibhedo sabbopi maṇi dhotaviddho anāmāso. Āhatākāreneva ṭhito aviddhādhoto maṇi pattādi bhaṇḍamūlatthaṃ adhivāsetuṃ vaṭṭatīti vuttaṃ. Mahāpaccariyaṃ pana paṭikkhittaṃ. Pacitvā kato kācamaṇiyeveko vaṭṭati. Veḷuriye ca maṇisadisoyeva vinicchayo.
ธมนสโงฺข ‘‘สพฺพํ ธมนสงฺขาทิ’’นฺติอาทิคาถาย ตุริเยสุ คหิโตฯ รตนขจิโต สโงฺข อนามาโสฯ ปานียสโงฺข โธโตปิ อโธโตปิ อามาโสฯ อวเสสสโงฺข ปน อญฺชนาทิเภสชฺชตฺถํ, ปตฺตาทิภณฺฑมูลภาเวน จ อธิวาเสตุํ วฎฺฎติฯ สุวเณฺณน เอกโต วิลิยาเปตฺวา กตา มุคฺควณฺณา สิลา อนามาสาฯ เสสา สิลา ขุทฺทกนิสานาทิกมฺมตฺถํ อธิวาเสตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘ปวาฬํ โธตมโธตญฺจ วิทฺธมวิทฺธญฺจ สพฺพถา อนามาสํ, นาปิ อธิวาเสตพฺพ’’นฺติ มหาปจฺจริยํ วุตฺตตฺตา ปวาฬปฎิมาเจติยานิ เจว โปตฺถเกสุ ปเวเสตพฺพอาณิยา มูเล, อเคฺคจ ปเวเสตพฺพํ ปทุมาทิอากาเรน กตํ วฎฺฎญฺจ น คเหตพฺพํ น ผุสิตพฺพํฯ
Dhamanasaṅkho ‘‘sabbaṃ dhamanasaṅkhādi’’ntiādigāthāya turiyesu gahito. Ratanakhacito saṅkho anāmāso. Pānīyasaṅkho dhotopi adhotopi āmāso. Avasesasaṅkho pana añjanādibhesajjatthaṃ, pattādibhaṇḍamūlabhāvena ca adhivāsetuṃ vaṭṭati. Suvaṇṇena ekato viliyāpetvā katā muggavaṇṇā silā anāmāsā. Sesā silā khuddakanisānādikammatthaṃ adhivāsetuṃ vaṭṭati. ‘‘Pavāḷaṃ dhotamadhotañca viddhamaviddhañca sabbathā anāmāsaṃ, nāpi adhivāsetabba’’nti mahāpaccariyaṃ vuttattā pavāḷapaṭimācetiyāni ceva potthakesu pavesetabbaāṇiyā mūle, aggeca pavesetabbaṃ padumādiākārena kataṃ vaṭṭañca na gahetabbaṃ na phusitabbaṃ.
พีชโต ปฎฺฐาย รชตํ, ชาตรูปญฺจ กตํ วา โหตุ อกตํ วา, สพฺพโส อนามาสํ, น จ สาทิตพฺพํฯ อิมินา กตํ ปฎิมาทิกญฺจ อารกูฎโลหญฺจ อนามาสนฺติ วกฺขติฯ กตากตสุวณฺณรชตานํ อสาทิยิตพฺพตาย อิธ อฎฺฐกถาย อาคตตฺตา อุตฺตเรน ราชปุเตฺตน กาเรตฺวา อาหฎํ สุวณฺณเจติยํ น วฎฺฎตีติ มหาปทุมเตฺถเรน ปฎิกฺขิตฺตนฺติ สุวณฺณปฎิมาเจติยโปตฺถกาวจฺฉาทกมณิปทุมวฎฺฎาทิ ยํ กิญฺจิ น สาทิตพฺพเมว, น จ อามสิตพฺพํฯ เอเตน กตํ เสนาสโนปกรณํ ปน ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ ธมฺมมณฺฑเป กตมฺปิ ปฎิชคฺคิตุํ วฎฺฎติฯ โลหิตวโณฺณ มณิ, มสารคลฺลมณิ จ สพฺพถา อนามาโส, น จ อธิวาเสตโพฺพติ มหาปจฺจริยํ วุตฺตํฯ
Bījato paṭṭhāya rajataṃ, jātarūpañca kataṃ vā hotu akataṃ vā, sabbaso anāmāsaṃ, na ca sāditabbaṃ. Iminā kataṃ paṭimādikañca ārakūṭalohañca anāmāsanti vakkhati. Katākatasuvaṇṇarajatānaṃ asādiyitabbatāya idha aṭṭhakathāya āgatattā uttarena rājaputtena kāretvā āhaṭaṃ suvaṇṇacetiyaṃ na vaṭṭatīti mahāpadumattherena paṭikkhittanti suvaṇṇapaṭimācetiyapotthakāvacchādakamaṇipadumavaṭṭādi yaṃ kiñci na sāditabbameva, na ca āmasitabbaṃ. Etena kataṃ senāsanopakaraṇaṃ pana paribhuñjituṃ vaṭṭati. Dhammamaṇḍape katampi paṭijaggituṃ vaṭṭati. Lohitavaṇṇo maṇi, masāragallamaṇi ca sabbathā anāmāso, na ca adhivāsetabboti mahāpaccariyaṃ vuttaṃ.
๓๔๖. สพฺพมาวุธภณฺฑนฺติ ขคฺคาทิ สพฺพํ อาวุโธปกรณํ ปตฺตาทิกปฺปิยปริกฺขารมูลตฺถาย ทียมานํ สตฺถวาณิชาย อกาตพฺพตฺตา น คเหตพฺพํ, ‘‘อิมํ คณฺหถา’’ติ ทินฺนํ ภินฺทิตฺวา ขณฺฑาขณฺฑิกํ กตฺวา ‘‘ขุราทิกปฺปิยปริกฺขารํ กาเรสฺสามี’’ติ สาทิตุํ วฎฺฎติฯ สงฺคามภูมิยํ มเคฺค ปติตขคฺคาทิํ ทิสฺวา ปาสาเณน ภินฺทิตฺวา ‘‘ขุราทิกปฺปิยภณฺฑานิ กาเรสฺสามี’’ติ คณฺหิตุํ วฎฺฎติฯ อุสุสตฺติอาทิกํ ผลโต ทณฺฑํ อปเนตฺวา กปฺปิยปริกฺขารการาปนตฺถาย คเหตพฺพํฯ
346.Sabbamāvudhabhaṇḍanti khaggādi sabbaṃ āvudhopakaraṇaṃ pattādikappiyaparikkhāramūlatthāya dīyamānaṃ satthavāṇijāya akātabbattā na gahetabbaṃ, ‘‘imaṃ gaṇhathā’’ti dinnaṃ bhinditvā khaṇḍākhaṇḍikaṃ katvā ‘‘khurādikappiyaparikkhāraṃ kāressāmī’’ti sādituṃ vaṭṭati. Saṅgāmabhūmiyaṃ magge patitakhaggādiṃ disvā pāsāṇena bhinditvā ‘‘khurādikappiyabhaṇḍāni kāressāmī’’ti gaṇhituṃ vaṭṭati. Ususattiādikaṃ phalato daṇḍaṃ apanetvā kappiyaparikkhārakārāpanatthāya gahetabbaṃ.
ชิยาติ ธนุคุโณฯ จ-กาเรน อิมิสฺสา คาถาย อวุตฺตํ องฺกุสโตมราทิํ ปรหิํ โสปกรณํ สงฺคณฺหาติฯ ธนุทณฺฑโกติ ชิยาวิรหิโต ธนุทณฺฑโกฯ อิทํ ปรหิํโสปกรณภณฺฑาทิกํ วิหาเร สมฺมชฺชิตพฺพฎฺฐาเน ฐปิตํ เจ, สามิกานํ วตฺวา เตหิ อคฺคหิตํ เจ, อจาเลเนฺตน สมฺมชฺชิตพฺพํฯ
Jiyāti dhanuguṇo. Ca-kārena imissā gāthāya avuttaṃ aṅkusatomarādiṃ parahiṃ sopakaraṇaṃ saṅgaṇhāti. Dhanudaṇḍakoti jiyāvirahito dhanudaṇḍako. Idaṃ parahiṃsopakaraṇabhaṇḍādikaṃ vihāre sammajjitabbaṭṭhāne ṭhapitaṃ ce, sāmikānaṃ vatvā tehi aggahitaṃ ce, acālentena sammajjitabbaṃ.
ชาลญฺจาติ มจฺฉชาลปกฺขิชาลาทิชาลญฺจฯ ชาลํ ทียมานํ ฉตฺตเวฐนตฺถํ, อาสนเจติยาทิมตฺถเก พนฺธนาทิปโยชเน สติ ตทตฺถญฺจ คเหตพฺพํฯ สรวารณํ นาม ผลกาทิกํ อเญฺญหิ อตฺตโน วิชฺฌนตฺถาย วิสฺสฎฺฐสรนิวารณํ วินาสโนปโรธการณํ โหตีติ ภณฺฑมูลตฺถํ สาทิตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘ทนฺตกฎฺฐาธารผลกาทิ ยทิจฺฉิตํ กโรมี’’ติ มุฎฺฐิํ อปเนตฺวา คเหตุํ วฎฺฎติฯ
Jālañcāti macchajālapakkhijālādijālañca. Jālaṃ dīyamānaṃ chattaveṭhanatthaṃ, āsanacetiyādimatthake bandhanādipayojane sati tadatthañca gahetabbaṃ. Saravāraṇaṃ nāma phalakādikaṃ aññehi attano vijjhanatthāya vissaṭṭhasaranivāraṇaṃ vināsanoparodhakāraṇaṃ hotīti bhaṇḍamūlatthaṃ sādituṃ vaṭṭati. ‘‘Dantakaṭṭhādhāraphalakādi yadicchitaṃ karomī’’ti muṭṭhiṃ apanetvā gahetuṃ vaṭṭati.
๓๔๗. เจติยนฺติ เอตฺถ ‘‘สุวณฺณเจติย’’นฺติ อิทํ ‘‘สุวณฺณปฎิพิมฺพาที’’ติ อนนฺตรํ วุตฺตตฺตา ลพฺภติฯ สุวณฺณคฺคหณญฺจุปลกฺขณนฺติ รชตมยญฺจ คเหตพฺพํฯ อารกูฎกนฺติ สุวณฺณวณฺณํ โลหวิเสสมาห ฯ ‘‘อนามาส’’นฺติ อิทํ ‘‘อสมฺปฎิจฺฉิยํ วา’’ติ เอตสฺส อุปลกฺขณํฯ
347.Cetiyanti ettha ‘‘suvaṇṇacetiya’’nti idaṃ ‘‘suvaṇṇapaṭibimbādī’’ti anantaraṃ vuttattā labbhati. Suvaṇṇaggahaṇañcupalakkhaṇanti rajatamayañca gahetabbaṃ. Ārakūṭakanti suvaṇṇavaṇṇaṃ lohavisesamāha . ‘‘Anāmāsa’’nti idaṃ ‘‘asampaṭicchiyaṃ vā’’ti etassa upalakkhaṇaṃ.
๓๔๘. สพฺพํ วาทิตมิติ สมฺพโนฺธฯ โอนหิตุนฺติ จมฺมวรตฺตตนฺตีหิ พนฺธิตุํฯ โอนหาเปตุนฺติ ตเถว อเญฺญหิ การาเปตุํฯ วาทาเปตุนฺติ อเญฺญหิ วาทาเปตุํฯ วาเทตุนฺติ อตฺตนา วาเทตุํฯ วาทิตนฺติ วาทนียํ ยถา ‘‘กรณียํ การิต’’นฺติ, วาทนารหํ ตุริยภณฺฑนฺติ อโตฺถฯ อิทญฺจ โอนหนาทิกิริยาย กมฺมํฯ
348. Sabbaṃ vāditamiti sambandho. Onahitunti cammavarattatantīhi bandhituṃ. Onahāpetunti tatheva aññehi kārāpetuṃ. Vādāpetunti aññehi vādāpetuṃ. Vādetunti attanā vādetuṃ. Vāditanti vādanīyaṃ yathā ‘‘karaṇīyaṃ kārita’’nti, vādanārahaṃ turiyabhaṇḍanti attho. Idañca onahanādikiriyāya kammaṃ.
๓๔๙. อุปหารํ กริสฺสามาติ ปูชํ กริสฺสามฯ อิติ อนุมติคฺคหณตฺถายฯ วตฺตพฺพาติ เต วตฺตาโร วตฺตพฺพาติ โยชนาฯ
349.Upahāraṃ karissāmāti pūjaṃ karissāma. Iti anumatiggahaṇatthāya. Vattabbāti te vattāro vattabbāti yojanā.
๓๕๐-๑. ธุตฺติยา อิตฺถิยาติ วิปนฺนาจาราย โลฬิตฺถิยาฯ สยํ ผุสิยมานสฺสาติ ภิกฺขุโน ปโยคํ วินา อิตฺถิยา อตฺตนาว ผุสิยมานสฺสฯ กาเยน อวายมิตฺวาติ ตสฺสา สรีรสมฺผสฺสานุภวนตฺถํ อตฺตโน กายํ อจาเลตฺวาฯ ผสฺสํ ปฎิวิชานโตติ ผสฺสํ อนุภวนฺตสฺสฯ
350-1.Dhuttiyā itthiyāti vipannācārāya loḷitthiyā. Sayaṃ phusiyamānassāti bhikkhuno payogaṃ vinā itthiyā attanāva phusiyamānassa. Kāyena avāyamitvāti tassā sarīrasamphassānubhavanatthaṃ attano kāyaṃ acāletvā. Phassaṃ paṭivijānatoti phassaṃ anubhavantassa.
อสญฺจิจฺจาติ เอตฺถ ‘‘ผุสเน’’ติ ปาฐเสโส, ‘‘อิมินา อุปาเยน อิมํ ผุสามี’’ติ อเจเตตฺวาฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ‘‘อิมินา ปตฺตปฎิคฺคหณาทินา อุปาเยน เอติสฺสา สรีรสมฺผสฺสํ อนุภวิสฺสามี’’ติ อจิเนฺตตฺวา ปตฺตถาลกตฎฺฎกปณฺณปุฎเภสชฺชาทิํ ปฎิคฺคณฺหาเปนฺติยา หเตฺถ อตฺตโน หเตฺถน ผุสนาทีสุ อนาปตฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘อสฺสติยา’’ติ อิทํ ปน อิมินาว สงฺคหิตตฺตา อิธ วิสุํ น วุตฺตํ, มาตุคามสฺส สรีเร ผุสนภาวํ อชานิตฺวา อญฺญวิหิโต หุตฺวา สติํ อนุปฎฺฐเปตฺวา หตฺถปาทปสารณาทีสุ ผุสนฺตสฺสาติ อโตฺถฯ
Asañciccāti ettha ‘‘phusane’’ti pāṭhaseso, ‘‘iminā upāyena imaṃ phusāmī’’ti acetetvā. Kiṃ vuttaṃ hoti? ‘‘Iminā pattapaṭiggahaṇādinā upāyena etissā sarīrasamphassaṃ anubhavissāmī’’ti acintetvā pattathālakataṭṭakapaṇṇapuṭabhesajjādiṃ paṭiggaṇhāpentiyā hatthe attano hatthena phusanādīsu anāpattīti vuttaṃ hoti. ‘‘Assatiyā’’ti idaṃ pana imināva saṅgahitattā idha visuṃ na vuttaṃ, mātugāmassa sarīre phusanabhāvaṃ ajānitvā aññavihito hutvā satiṃ anupaṭṭhapetvā hatthapādapasāraṇādīsu phusantassāti attho.
อชานนฺตสฺสาติ ทารกาการํ ทาริกํ ‘‘มาตุคาโม’’ติ อชานิตฺวา เกนจิ กรณีเยน ผุสนฺตสฺส ฯ โมกฺขาธิปฺปายิโน จาติ ‘‘โมกฺขาธิปฺปาโย กาเยน วายมติ, ผสฺสํ ปฎิวิชานาติ, อนาปตฺติฯ โมกฺขาธิปฺปาโย กาเยน วายมติ, น จ ผสฺสํ ปฎิวิชานาติ, อนาปตฺติฯ โมกฺขาธิปฺปาโย น จ กาเยน วายมติ, ผสฺสํ ปฎิวิชานาติ, อนาปตฺติฯ โมกฺขาธิปฺปาโย น จ กาเยน วายมติ, น จ ผสฺสํ ปฎิวิชานาติ, อนาปตฺตี’’ติ (ปารา. ๒๗๙) วุตฺตโมกฺขาธิปฺปายวโต จตุพฺพิธสฺส ปุคฺคลสฺสาติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘อนาปตฺตี’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ
Ajānantassāti dārakākāraṃ dārikaṃ ‘‘mātugāmo’’ti ajānitvā kenaci karaṇīyena phusantassa . Mokkhādhippāyino cāti ‘‘mokkhādhippāyo kāyena vāyamati, phassaṃ paṭivijānāti, anāpatti. Mokkhādhippāyo kāyena vāyamati, na ca phassaṃ paṭivijānāti, anāpatti. Mokkhādhippāyo na ca kāyena vāyamati, phassaṃ paṭivijānāti, anāpatti. Mokkhādhippāyo na ca kāyena vāyamati, na ca phassaṃ paṭivijānāti, anāpattī’’ti (pārā. 279) vuttamokkhādhippāyavato catubbidhassa puggalassāti vuttaṃ hoti. ‘‘Anāpattī’’ti iminā sambandho.
อิเมสุ โย มาตุคาเมน อาลิงฺคนาทิปโยเคน อโชฺฌตฺถรยมาโน ตํ อตฺตโน สรีรโต อปเนตฺวา มุญฺจิตุกาโม หตฺถจาเลน, มุฎฺฐิอาทีหิ วา ปฎิปณามนํ, ปหรณาทิกญฺจ ปโยคํ กโรติ, อยํ ปฐโม ปุคฺคโลฯ อตฺตานมโชฺฌตฺถริตุํ อาคจฺฉนฺติํ อิตฺถิํ ทิสฺวา ปหรณาการาทิสพฺพปโยคํ ทเสฺสตฺวา ตาเสตฺวา อตฺตโน สรีรํ ผุสิตุํ อเทโนฺต ทุติโยฯ อิตฺถิยา อโชฺฌตฺถริตฺวา อาลิงฺคิโต โจปนรหิตํ มํ ‘‘อนตฺถิโก’’ติ มนฺตฺวา ‘‘สยเมว ปลายิสฺสตี’’ติ, ‘‘อโจปนเมว โมโกฺขปาโย’’ติ ญตฺวา นิจฺจโลว หุตฺวา ผสฺสํ ปฎิวิชานโนฺต ตติโยฯ อตฺตานํ อโชฺฌตฺถริตุมาคจฺฉนฺติํ อิตฺถิํ ทิสฺวา ทุติโย วิย ตาเสตุํ กายปฺปโยคํ อกตฺวา ‘‘อคเต ปาเตสฺสามิ, ปหริตฺวา ตาเสสฺสามี’’ติ วา จิเนฺตตฺวา นิจฺจโลว หุตฺวา ติฎฺฐโนฺต จตุโตฺถติ เวทิตโพฺพฯ
Imesu yo mātugāmena āliṅganādipayogena ajjhottharayamāno taṃ attano sarīrato apanetvā muñcitukāmo hatthacālena, muṭṭhiādīhi vā paṭipaṇāmanaṃ, paharaṇādikañca payogaṃ karoti, ayaṃ paṭhamo puggalo. Attānamajjhottharituṃ āgacchantiṃ itthiṃ disvā paharaṇākārādisabbapayogaṃ dassetvā tāsetvā attano sarīraṃ phusituṃ adento dutiyo. Itthiyā ajjhottharitvā āliṅgito copanarahitaṃ maṃ ‘‘anatthiko’’ti mantvā ‘‘sayameva palāyissatī’’ti, ‘‘acopanameva mokkhopāyo’’ti ñatvā niccalova hutvā phassaṃ paṭivijānanto tatiyo. Attānaṃ ajjhottharitumāgacchantiṃ itthiṃ disvā dutiyo viya tāsetuṃ kāyappayogaṃ akatvā ‘‘agate pātessāmi, paharitvā tāsessāmī’’ti vā cintetvā niccalova hutvā tiṭṭhanto catutthoti veditabbo.
๓๕๒. ปฐเมนาติ เอตฺถ ‘‘ปาราชิเกนา’’ติ ปาฐเสโส, กายจิตฺตสมุฎฺฐานนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อิธ จิตฺตํ นาม กายสํสคฺคราคสมฺปยุตฺตํ จิตฺตํ, สุกฺกวิสฺสฎฺฐิมฺหิ โมเจตุกามตาย สมฺปยุตฺตํ จิตฺตํฯ
352.Paṭhamenāti ettha ‘‘pārājikenā’’ti pāṭhaseso, kāyacittasamuṭṭhānanti vuttaṃ hoti. Idha cittaṃ nāma kāyasaṃsaggarāgasampayuttaṃ cittaṃ, sukkavissaṭṭhimhi mocetukāmatāya sampayuttaṃ cittaṃ.
กายสํสคฺคกถาวณฺณนาฯ
Kāyasaṃsaggakathāvaṇṇanā.
๓๕๓-๔. ทุฎฺฐุลฺลวาจสฺสาเทนาติ ทุฎฺฐุ กุจฺฉิตภาวํ อุลติ คจฺฉตีติ ทุฎฺฐุลฺลา, ทุฎฺฐุลฺลา จ สา วาจา จาติ ทุฎฺฐุลฺลวาจา, วจฺจมคฺคปสฺสาวมเคฺค เมถุนธมฺมปฎิสํยุตฺตา วาจา, ยถาห ‘‘ทุฎฺฐุลฺลา นาม วาจา วจฺจมคฺคปสฺสาวมคฺคเมถุนธมฺมปฎิสํยุตฺตา วาจา’’ติ (ปารา. ๒๘๕), ทุฎฺฐุลฺลวาจาย อสฺสาโท ทุฎฺฐุลฺลวาจสฺสาโท, ตถาปวตฺตวจีวิญฺญตฺติสมุฎฺฐาปกจิตฺตสมฺปยุตฺตา เจตนา, เตน สมฺปยุโตฺต ราโค อิธ สหจริเยน ‘‘ทุฎฺฐุลฺลวาจสฺสาโท’’ติ วุโตฺต, เตน, ทุฎฺฐุลฺลวาจสฺสาทสมฺปยุเตฺตน ราเคนาติ อโตฺถฯ อิมินา ‘‘โอภาสนฺตสฺสา’’ติ วกฺขมานโอภาสนสฺส เหตุ ทสฺสิโตฯ
353-4.Duṭṭhullavācassādenāti duṭṭhu kucchitabhāvaṃ ulati gacchatīti duṭṭhullā, duṭṭhullā ca sā vācā cāti duṭṭhullavācā, vaccamaggapassāvamagge methunadhammapaṭisaṃyuttā vācā, yathāha ‘‘duṭṭhullā nāma vācā vaccamaggapassāvamaggamethunadhammapaṭisaṃyuttā vācā’’ti (pārā. 285), duṭṭhullavācāya assādo duṭṭhullavācassādo, tathāpavattavacīviññattisamuṭṭhāpakacittasampayuttā cetanā, tena sampayutto rāgo idha sahacariyena ‘‘duṭṭhullavācassādo’’ti vutto, tena, duṭṭhullavācassādasampayuttena rāgenāti attho. Iminā ‘‘obhāsantassā’’ti vakkhamānaobhāsanassa hetu dassito.
อิตฺถิยา อิตฺถิสญฺญิโน ภิกฺขุโนติ โยชนาฯ อิตฺถิยา อิตฺถิสญฺญิโนติ ‘‘มาตุคาโม นาม มนุสฺสิตฺถี, น ยกฺขี, น เปตี, น ติรจฺฉานคตา, วิญฺญู ปฎิพลา สุภาสิตทุพฺภาสิตํ ทุฎฺฐุลฺลาทุฎฺฐุลฺลํ อาชานิตุ’’นฺติ ปทภาชเน นิทฺทิฎฺฐสรูปาย สุภาสิตทุพฺภาสิตํ ชานนฺติยา มนุสฺสิตฺถิยา อิตฺถิสญฺญิโน ภิกฺขุโนติ อโตฺถฯ ‘‘ทฺวินฺนํ มคฺคาน’’นฺติ เอตสฺส สมฺพนฺธีวเสน ‘‘อิตฺถิยา’’ติ อิทํ สามิวเสน โยเชตพฺพํ, ยถาวุตฺตสรูปสฺส มาตุคามสฺส วจฺจมคฺคปสฺสาวมคฺคนฺติ อโตฺถฯ วณฺณาวณฺณวเสน จาติ ‘‘วณฺณํ ภณติ นาม เทฺว มเคฺค โถเมติ วเณฺณติ ปสํสติฯ อวณฺณํ ภณติ นาม เทฺว มเคฺค ขุํเสติ วเมฺภติ ครหตี’’ติ นิเทฺทเส วุตฺตนเยน อุโภ มเคฺค อุทฺทิสฺส โถมนครหณวเสนาติ วุตฺตํ โหติฯ
Itthiyā itthisaññino bhikkhunoti yojanā. Itthiyā itthisaññinoti ‘‘mātugāmo nāma manussitthī, na yakkhī, na petī, na tiracchānagatā, viññū paṭibalā subhāsitadubbhāsitaṃ duṭṭhullāduṭṭhullaṃ ājānitu’’nti padabhājane niddiṭṭhasarūpāya subhāsitadubbhāsitaṃ jānantiyā manussitthiyā itthisaññino bhikkhunoti attho. ‘‘Dvinnaṃ maggāna’’nti etassa sambandhīvasena ‘‘itthiyā’’ti idaṃ sāmivasena yojetabbaṃ, yathāvuttasarūpassa mātugāmassa vaccamaggapassāvamagganti attho. Vaṇṇāvaṇṇavasena cāti ‘‘vaṇṇaṃ bhaṇati nāma dve magge thometi vaṇṇeti pasaṃsati. Avaṇṇaṃ bhaṇati nāma dve magge khuṃseti vambheti garahatī’’ti niddese vuttanayena ubho magge uddissa thomanagarahaṇavasenāti vuttaṃ hoti.
เมถุนสฺส ยาจนาทโย เมถุนยาจนาทโย, เตหิ เมถุนยาจนาทีหิ, ‘‘ยาจติปิ อายาจติปิ ปุจฺฉติปิ ปฎิปุจฺฉติปิ อาจิกฺขติปิ อนุสาสติปิ อโกฺกสติปี’’ติ (ปารา. ๒๘๕) อุเทฺทเส วุตฺตเมถุนยาจนาทิวเสนาติ วุตฺตํ โหติฯ อิเมหิ ทฺวีหิ ‘‘โอภาสนฺตสฺสา’’ติ วุตฺตโอภาสนา ทสฺสิตาฯ โอภาสนฺตสฺสาติ อุเทฺทสยนฺตสฺส, ปกาเสนฺตสฺสาติ อโตฺถฯ ‘‘วิญฺญุ’’นฺติ อิมินา โอภาสนกิริยาย กมฺมมาห, อิมินา วิเสสิตพฺพํ ‘‘มนุสฺสิตฺถิ’’นฺติ อิทํ ปกรณโต ลพฺภติ, ยถาทสฺสิตปทภาชนาคตสรูปํ วิญฺญุํ ปฎิพลํ มนุสฺสิตฺถินฺติ วุตฺตํ โหติฯ อนฺตมโส หตฺถมุทฺทายปีติ โอภาสเน อนฺติมปริเจฺฉททสฺสนํฯ ทุฎฺฐุลฺลวจนสฺสาทภาเว สติ โย วจฺจมคฺคปสฺสาวมคฺคปฎิพทฺธํ คุณโทสํ วา เมถุนธมฺมยาจนาทิวเสน วา ทุฎฺฐุลฺลาทุฎฺฐุลฺลํ ชานนฺติํ มนุสฺสิตฺถิํ เหฎฺฐิมปริเจฺฉเทน หตฺถมุทฺทายปิ วเทยฺยาติ อโตฺถฯ
Methunassa yācanādayo methunayācanādayo, tehi methunayācanādīhi, ‘‘yācatipi āyācatipi pucchatipi paṭipucchatipi ācikkhatipi anusāsatipi akkosatipī’’ti (pārā. 285) uddese vuttamethunayācanādivasenāti vuttaṃ hoti. Imehi dvīhi ‘‘obhāsantassā’’ti vuttaobhāsanā dassitā. Obhāsantassāti uddesayantassa, pakāsentassāti attho. ‘‘Viññu’’nti iminā obhāsanakiriyāya kammamāha, iminā visesitabbaṃ ‘‘manussitthi’’nti idaṃ pakaraṇato labbhati, yathādassitapadabhājanāgatasarūpaṃ viññuṃ paṭibalaṃ manussitthinti vuttaṃ hoti. Antamaso hatthamuddāyapīti obhāsane antimaparicchedadassanaṃ. Duṭṭhullavacanassādabhāve sati yo vaccamaggapassāvamaggapaṭibaddhaṃ guṇadosaṃ vā methunadhammayācanādivasena vā duṭṭhullāduṭṭhullaṃ jānantiṃ manussitthiṃ heṭṭhimaparicchedena hatthamuddāyapi vadeyyāti attho.
อิมสฺมิํ คาถาทฺวเย ทุฎฺฐุลฺลวาจสฺสาเทน อิตฺถิยา อิตฺถิสญฺญิโน วิญฺญุํ ตํ อิตฺถิํ ทฺวินฺนํ มคฺคานํ วณฺณวเสน อนฺตมโส หตฺถมุทฺทายปิ โอภาสนฺตสฺส ภิกฺขุโน ครุกํ สิยาติ เอกํ วากฺยํ, ตถา ‘‘ทฺวินฺนํ มคฺคานํ อวณฺณวเสนา’’ติ อิมินา จ ‘‘เมถุนยาจนาทีหี’’ติ อิมินา จ โยชนาย วากฺยทฺวยนฺติ เอวํ โยชนาวเสน ตีณิ วากฺยานิ โหนฺติฯ
Imasmiṃ gāthādvaye duṭṭhullavācassādena itthiyā itthisaññino viññuṃ taṃ itthiṃ dvinnaṃ maggānaṃ vaṇṇavasena antamaso hatthamuddāyapi obhāsantassa bhikkhuno garukaṃ siyāti ekaṃ vākyaṃ, tathā ‘‘dvinnaṃ maggānaṃ avaṇṇavasenā’’ti iminā ca ‘‘methunayācanādīhī’’ti iminā ca yojanāya vākyadvayanti evaṃ yojanāvasena tīṇi vākyāni honti.
ตตฺถ ปฐมวาเกฺย วณฺณวจเนน สงฺคหิตํ โถมนาทิกถํ กเถนฺตสฺส สงฺฆาทิเสโส โหติฯ ‘‘อิตฺถิลกฺขเณน สุภลกฺขเณน สมนฺนาคตาสี’’ติ เอตฺตกเมว โถมนตฺถํ วทโต สงฺฆาทิเสโส น โหติ, ‘‘ตว วจฺจมโคฺค จ ปสฺสาวมโคฺค จ อีทิโส สุโภ สุสณฺฐาโน, เตน นาม อีทิเสน อิตฺถิลกฺขเณน สุภลกฺขเณน สมนฺนาคตาสี’’ติ วทนฺตสฺส โหติฯ ‘‘วเณฺณติ, ปสํสตี’’ติ ปททฺวยญฺจ ‘‘โถเมตี’’ติ ปทสฺส ปริยาโยฯ
Tattha paṭhamavākye vaṇṇavacanena saṅgahitaṃ thomanādikathaṃ kathentassa saṅghādiseso hoti. ‘‘Itthilakkhaṇena subhalakkhaṇena samannāgatāsī’’ti ettakameva thomanatthaṃ vadato saṅghādiseso na hoti, ‘‘tava vaccamaggo ca passāvamaggo ca īdiso subho susaṇṭhāno, tena nāma īdisena itthilakkhaṇena subhalakkhaṇena samannāgatāsī’’ti vadantassa hoti. ‘‘Vaṇṇeti, pasaṃsatī’’ti padadvayañca ‘‘thometī’’ti padassa pariyāyo.
ทุติยวาเกฺย อวณฺณปทสงฺคหิตํ ขุํสนาทิตฺตเย ขุํสนํ นาม ปโตโทปเมหิ ผรุสวจเนหิ ตุทนํฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ขุํเสตีติ วาจาปโตเทน ฆเฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๘๕)ฯ ปตุชฺชเตเนนาติ ‘‘ปโตโท’’ติอคจฺฉเนฺต อสฺสาทโย ปวเตฺตตุํ วิชฺฌนกปาจนทโณฺฑ วุจฺจติฯ วมฺภนํ นาม อปสาทนํฯ อปสาทนํ นาม คุณโต ปริหาปนํฯ ยถาห ‘‘วเมฺภตีติ อปสาเทตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๘๕)ฯ ครหา นาม โทสาโรปนํฯ ยถาห ‘‘ครหตีติ โทสํ เทตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๘๕)ฯ อิมํ ขุํสนาทิปฎิสํยุตฺตวจนํ วกฺขมาเนสุ ‘‘สิขรณีสิ, สมฺภินฺนาสิ, อุภโตพฺยญฺชนาสี’’ติ อิเมสุ ตีสุ ปเทสุ อญฺญตเรน โยเชตฺวา กเถนฺตเสฺสว สงฺฆาทิเสโส, น อิตรสฺสฯ
Dutiyavākye avaṇṇapadasaṅgahitaṃ khuṃsanādittaye khuṃsanaṃ nāma patodopamehi pharusavacanehi tudanaṃ. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘khuṃsetīti vācāpatodena ghaṭṭetī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.285). Patujjatenenāti ‘‘patodo’’tiagacchante assādayo pavattetuṃ vijjhanakapācanadaṇḍo vuccati. Vambhanaṃ nāma apasādanaṃ. Apasādanaṃ nāma guṇato parihāpanaṃ. Yathāha ‘‘vambhetīti apasādetī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.285). Garahā nāma dosāropanaṃ. Yathāha ‘‘garahatīti dosaṃ detī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.285). Imaṃ khuṃsanādipaṭisaṃyuttavacanaṃ vakkhamānesu ‘‘sikharaṇīsi, sambhinnāsi, ubhatobyañjanāsī’’ti imesu tīsu padesu aññatarena yojetvā kathentasseva saṅghādiseso, na itarassa.
ตติยวาเกฺย เมถุนยาจนาทิวจเนหิ สงฺคหิตํ อายาจนาทิํ กโรนฺตสฺสาปิ สงฺฆาทิเสโสฯ ‘‘ยาจติ นาม เทหิ เม อรหสิ เม ทาตุ’’นฺติอาทินา (ปารา. ๒๘๕) นเยน เอเกกํ ปทํ ‘‘เทหิ เม เมถุนํ ธมฺม’’นฺติอาทิวเสน เมถุนธมฺมปเทน สห ฆเฎตฺวา เมถุนธมฺมํ ยาจนฺตเสฺสว โหติฯ
Tatiyavākye methunayācanādivacanehi saṅgahitaṃ āyācanādiṃ karontassāpi saṅghādiseso. ‘‘Yācati nāma dehi me arahasi me dātu’’ntiādinā (pārā. 285) nayena ekekaṃ padaṃ ‘‘dehi me methunaṃ dhamma’’ntiādivasena methunadhammapadena saha ghaṭetvā methunadhammaṃ yācantasseva hoti.
‘‘กทา เต มาตา ปสีทิสฺสติ, กทา เต ปิตา ปสีทิสฺสติ, กทา เต เทวตาโย ปสีทิสฺสนฺติ, กทา เต สุขโณ สุลโย สุมุหุโตฺต ภวิสฺสตี’’ติอาทิอายาจนปทนิเทฺทเส เอเกกํ ปทํ ตเตฺถว โอสาเน วุเตฺตน ‘‘กทา เต เมถุนํ ธมฺมํ ลภิสฺสามี’’ติ ปเทน ฆเฎตฺวา เมถุนํ ยาจนฺตเสฺสว โหติฯ
‘‘Kadā te mātā pasīdissati, kadā te pitā pasīdissati, kadā te devatāyo pasīdissanti, kadā te sukhaṇo sulayo sumuhutto bhavissatī’’tiādiāyācanapadaniddese ekekaṃ padaṃ tattheva osāne vuttena ‘‘kadā te methunaṃ dhammaṃ labhissāmī’’ti padena ghaṭetvā methunaṃ yācantasseva hoti.
‘‘กถํ ตฺวํ สามิกสฺส เทสิ, กถํ ชารสฺส เทสี’’ติ (ปารา. ๒๘๕) ปุจฺฉานิเทฺทสวจเนสุ จ อญฺญตรํ เมถุนธมฺมปเทน ฆเฎตฺวา ปุจฺฉนฺตเสฺสว โหติฯ
‘‘Kathaṃ tvaṃ sāmikassa desi, kathaṃ jārassa desī’’ti (pārā. 285) pucchāniddesavacanesu ca aññataraṃ methunadhammapadena ghaṭetvā pucchantasseva hoti.
‘‘เอวํ กิร ตฺวํ สามิกสฺส เทสิ, เอวํ ชารสฺส เทสี’’ติ (ปารา. ๒๘๕) ปฎิปุจฺฉานิเทฺทสวจเนสุ อญฺญตรํ เมถุนธมฺมปเทน ฆเฎตฺวา วิเสเสตฺวา ปฎิปุจฺฉนฺตเสฺสว โหติฯ
‘‘Evaṃ kira tvaṃ sāmikassa desi, evaṃ jārassa desī’’ti (pārā. 285) paṭipucchāniddesavacanesu aññataraṃ methunadhammapadena ghaṭetvā visesetvā paṭipucchantasseva hoti.
‘‘กถํ ททมานา สามิกสฺส ปิยา โหตี’’ติ ปุจฺฉโต มาตุคามสฺส ‘‘เอวํ เทหิ, เอวํ เทนฺตี สามิกสฺส ปิยา ภวิสฺสติ มนาปา จา’’ติ อาณตฺติวจเน, อนุสาสนิวจเน จ เอเสว นโยฯ
‘‘Kathaṃ dadamānā sāmikassa piyā hotī’’ti pucchato mātugāmassa ‘‘evaṃ dehi, evaṃ dentī sāmikassa piyā bhavissati manāpā cā’’ti āṇattivacane, anusāsanivacane ca eseva nayo.
๓๕๕. อโกฺกสนิเทฺทสาคเตสุ ‘‘อนิมิตฺตาสิ นิมิตฺตมตฺตาสิ อโลหิตาสิ ธุวโลหิตาสิ ธุวโจฬาสิ ปคฺฆรนฺตีสิ สิขรณีสิ อิตฺถิปณฺฑกาสิ เวปุริสิกาสิ สมฺภินฺนาสิ อุภโตพฺยญฺชนาสี’’ติ เอกาทสสุ ปเทสุ ‘‘สิขรณีสิ สมฺภินฺนาสิ อุภโตพฺยญฺชนาสี’’ติ ปทตฺตยํ ปเจฺจกํ อาปตฺติกรํ, อิมินา ปทตฺตเยน สห ปุเพฺพ วุตฺตานิ วจฺจมคฺคปสฺสาวมคฺคเมถุนธมฺมปทานิ ตีณิ จาติ ฉปฺปทานํ ปเจฺจกํ อาปตฺติกรตฺตา อิโต ปรานิ อนิมิตฺตาทีนิ อฎฺฐ ปทานิ ‘‘อนิมิตฺตาสิ เมถุนธมฺมํ เทหี’’ติอาทินา นเยน เมถุนธมฺมปเทน สห ฆเฎตฺวา วุตฺตาเนว อาปตฺติกรานีติ เวทิตพฺพานิ, ‘‘เมถุนยาจนาทีหี’’ติ เอตฺถ อาทิ-สทฺทสงฺคหิเตสุ ‘‘อนิมิตฺตาสี’’ติอาทีสุ เอกาทสสุ อโกฺกสปเทสุ อโนฺตคธเตฺตปิ เกวลํ อาปตฺติกรตฺตา ครุตรํ ปทตฺตยํ วิสุํ สงฺคเหตพฺพนฺติ ญาเปตุมาห ‘‘สิขรณีสี’’ติอาทิฯ
355. Akkosaniddesāgatesu ‘‘animittāsi nimittamattāsi alohitāsi dhuvalohitāsi dhuvacoḷāsi paggharantīsi sikharaṇīsi itthipaṇḍakāsi vepurisikāsi sambhinnāsi ubhatobyañjanāsī’’ti ekādasasu padesu ‘‘sikharaṇīsi sambhinnāsi ubhatobyañjanāsī’’ti padattayaṃ paccekaṃ āpattikaraṃ, iminā padattayena saha pubbe vuttāni vaccamaggapassāvamaggamethunadhammapadāni tīṇi cāti chappadānaṃ paccekaṃ āpattikarattā ito parāni animittādīni aṭṭha padāni ‘‘animittāsi methunadhammaṃ dehī’’tiādinā nayena methunadhammapadena saha ghaṭetvā vuttāneva āpattikarānīti veditabbāni, ‘‘methunayācanādīhī’’ti ettha ādi-saddasaṅgahitesu ‘‘animittāsī’’tiādīsu ekādasasu akkosapadesu antogadhattepi kevalaṃ āpattikarattā garutaraṃ padattayaṃ visuṃ saṅgahetabbanti ñāpetumāha ‘‘sikharaṇīsī’’tiādi.
สิขรณีสีติ เอตฺถ ‘‘สิขรณี อสี’’ติ ปทเจฺฉโทฯ ‘‘อสี’’ติ ปเจฺจกํ โยเชตพฺพํฯ ตุ-สโทฺท เกวลยุตฺตมฺปิ อาปตฺติกรํ โหตีติ วิเสสํ โชเตติฯ เกวเลนาปิ อโกฺกสวจเนนาติ โยชนาฯ สิขรณีสีติ พหิ นิกฺขนฺตอาณิมํสา ภวสิฯ สมฺภินฺนาสีติ มิสฺสีภูตวจฺจมคฺคปสฺสาวมคฺคาฯ อุภโตพฺยญฺชนาสีติ อิตฺถินิมิเตฺตน, ปุริสนิมิเตฺตน จาติ อุภโตพฺยญฺชเนหิ สมนฺนาคตาฯ ‘‘อยํ อิตฺถี, อยํ ปุริโส’’ติ พฺยญฺชยตีติ พฺยญฺชนํ, มุตฺตกรณานิฯ สุณนฺติยาติ เอตฺถ ‘‘วิญฺญุมนุสฺสิตฺถิยา’’ติ อธิการโต ลพฺภติ, อิมินา อโกฺกสิตพฺพวตฺถุ ทสฺสิตํ โหติฯ ภาสิตํ สุณนฺติยา สุภาสิตทุพฺภาสิตํ ชานนฺติยา มนุสฺสิตฺถิยา วิสเย ปวตฺตอโกฺกสวจเนน สงฺฆาทิเสโส โหตีติ อโตฺถฯ
Sikharaṇīsīti ettha ‘‘sikharaṇī asī’’ti padacchedo. ‘‘Asī’’ti paccekaṃ yojetabbaṃ. Tu-saddo kevalayuttampi āpattikaraṃ hotīti visesaṃ joteti. Kevalenāpi akkosavacanenāti yojanā. Sikharaṇīsīti bahi nikkhantaāṇimaṃsā bhavasi. Sambhinnāsīti missībhūtavaccamaggapassāvamaggā. Ubhatobyañjanāsīti itthinimittena, purisanimittena cāti ubhatobyañjanehi samannāgatā. ‘‘Ayaṃ itthī, ayaṃ puriso’’ti byañjayatīti byañjanaṃ, muttakaraṇāni. Suṇantiyāti ettha ‘‘viññumanussitthiyā’’ti adhikārato labbhati, iminā akkositabbavatthu dassitaṃ hoti. Bhāsitaṃ suṇantiyā subhāsitadubbhāsitaṃ jānantiyā manussitthiyā visaye pavattaakkosavacanena saṅghādiseso hotīti attho.
๓๕๖. ปุนปฺปุนํ โอภาสนฺตสฺส วาจานํ คณนาย ครุกา สิยุนฺติ โยชนาฯ เอตฺถ ‘‘เอกํ อิตฺถิ’’นฺติ อชฺฌาหริตพฺพํฯ เอกวาจาย พหู โอภาสนฺตสฺส จ อิตฺถีนํ คณนาย ครุกา สิยุนฺติ โยชนาฯ เอตฺถาปิ ‘‘อิตฺถิโยปี’’ติ ลพฺภติฯ
356. Punappunaṃ obhāsantassa vācānaṃ gaṇanāya garukā siyunti yojanā. Ettha ‘‘ekaṃ itthi’’nti ajjhāharitabbaṃ. Ekavācāya bahū obhāsantassa ca itthīnaṃ gaṇanāya garukā siyunti yojanā. Etthāpi ‘‘itthiyopī’’ti labbhati.
๓๕๗. สา เจ นปฺปฎิชานาตีติ เอตฺถ ‘‘ยํ สุณนฺติํ มนุสฺสิตฺถิํ ทฺวินฺนํ มคฺคานํ วณฺณาวณฺณวเสน โอภาสติ, สา เจ น ปฎิชานาตี’’ติ สามตฺถิยา ลพฺภมานํ อาทาย โยเชตพฺพํฯ อตฺตโน ภาสิตํ ทุฎฺฐุลฺลํ วุตฺตสมนนฺตรเมว อตฺถวเสน สเจ น ชานาตีติ อโตฺถฯ ตสฺสาติ ตสฺส ทุฎฺฐุลฺลภาสิตภิกฺขุสฺสฯ อุพฺภชาณุํ, อธกฺขกํ วา อาทิสฺส ภณเน จาปิ ตสฺส ถุลฺลจฺจยํ สิยาติ โยชนาฯ ภณเนติ ทฺวินฺนํ มคฺคานํ วณฺณาทิกถเน, ‘‘ภณโต’’ติปิ ลิขนฺติ, ภณนฺตสฺส, ภณนเหตูติ อโตฺถฯ เหตุมฺหิ อยมนฺตปจฺจโย ‘‘อสมฺพุธ’’นฺติอาทีสุ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.คนฺถารมฺภกถา) วิยฯ อุพฺภชาณุนฺติ ชาณุโต อุทฺธํฯ อเกฺขกนฺติ อกฺขกโต เหฎฺฐาฯ
357.Sā ce nappaṭijānātīti ettha ‘‘yaṃ suṇantiṃ manussitthiṃ dvinnaṃ maggānaṃ vaṇṇāvaṇṇavasena obhāsati, sā ce na paṭijānātī’’ti sāmatthiyā labbhamānaṃ ādāya yojetabbaṃ. Attano bhāsitaṃ duṭṭhullaṃ vuttasamanantarameva atthavasena sace na jānātīti attho. Tassāti tassa duṭṭhullabhāsitabhikkhussa. Ubbhajāṇuṃ, adhakkhakaṃ vā ādissa bhaṇane cāpi tassa thullaccayaṃ siyāti yojanā. Bhaṇaneti dvinnaṃ maggānaṃ vaṇṇādikathane, ‘‘bhaṇato’’tipi likhanti, bhaṇantassa, bhaṇanahetūti attho. Hetumhi ayamantapaccayo ‘‘asambudha’’ntiādīsu (pārā. aṭṭha. 1.ganthārambhakathā) viya. Ubbhajāṇunti jāṇuto uddhaṃ. Akkhekanti akkhakato heṭṭhā.
๓๕๘. อุพฺภกฺขกนฺติ อกฺขกโต อุทฺธํฯ อโธชาณุมณฺฑลนฺติ ชาณุมณฺฑลโต อโธฯ อุทฺทิสนฺติ อุทฺทิสฺสฯ ‘‘อุทฺทิสฺสุพฺภกฺขํ วา ตถา, อโธชาณุมณฺฑล’’นฺติ จ ลิขนฺติ, โส ปาโฐ สุนฺทโรฯ วณฺณาทิภณเน ทุกฺกฎนฺติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘วิญฺญุมนุสฺสิตฺถิยา’’ติ อธิการโต ลพฺภติฯ กายปฎิพเทฺธ วณฺณาทิภณเน ทุกฺกฎนฺติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ วจฺจมคฺคปสฺสาวมคฺคา สงฺฆาทิเสสเกฺขตฺตํ, อธกฺขกํ อุพฺภชาณุมณฺฑลํ ถุลฺลจฺจยเกฺขตฺตํ, อุทฺธกฺขกํ อโธชาณุมณฺฑลํ ทุกฺกฎเกฺขตฺตนฺติ อิเมสุ ตีสุ เขเตฺตสุ อกฺขกเญฺจว ชาณุมณฺฑลญฺจ ถุลฺลจฺจยทุกฺกฎานํ ทฺวินฺนํ อวธิภูตํ กตฺถ สงฺคยฺหตีติ? ทุกฺกฎเกฺขเตฺตเยว สงฺคยฺหติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อกฺขกํ, ปน ชาณุมณฺฑลญฺจ เอเตฺถว ทุกฺกฎเกฺขเตฺต สงฺคหํ คจฺฉตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๘๖)ฯ
358.Ubbhakkhakanti akkhakato uddhaṃ. Adhojāṇumaṇḍalanti jāṇumaṇḍalato adho. Uddisanti uddissa. ‘‘Uddissubbhakkhaṃ vā tathā, adhojāṇumaṇḍala’’nti ca likhanti, so pāṭho sundaro. Vaṇṇādibhaṇane dukkaṭanti sambandho. ‘‘Viññumanussitthiyā’’ti adhikārato labbhati. Kāyapaṭibaddhe vaṇṇādibhaṇane dukkaṭanti etthāpi eseva nayo. Vaccamaggapassāvamaggā saṅghādisesakkhettaṃ, adhakkhakaṃ ubbhajāṇumaṇḍalaṃ thullaccayakkhettaṃ, uddhakkhakaṃ adhojāṇumaṇḍalaṃ dukkaṭakkhettanti imesu tīsu khettesu akkhakañceva jāṇumaṇḍalañca thullaccayadukkaṭānaṃ dvinnaṃ avadhibhūtaṃ kattha saṅgayhatīti? Dukkaṭakkhetteyeva saṅgayhati. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘akkhakaṃ, pana jāṇumaṇḍalañca ettheva dukkaṭakkhette saṅgahaṃ gacchatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.286).
๓๕๙. ปณฺฑเก ยกฺขิเปตีสุ ทฺวินฺนํ มคฺคานํ วณฺณาทิภณเน ตสฺส ภณนฺตสฺส ถุลฺลจฺจยํ ภเวติ อธิการวเสน อาคตปเทหิ สห โยเชตพฺพํฯ ปณฺฑกาทีสูติ อาทิ-สเทฺทน ยกฺขิเปตีนํ คหณํฯ
359. Paṇḍake yakkhipetīsu dvinnaṃ maggānaṃ vaṇṇādibhaṇane tassa bhaṇantassa thullaccayaṃ bhaveti adhikāravasena āgatapadehi saha yojetabbaṃ. Paṇḍakādīsūti ādi-saddena yakkhipetīnaṃ gahaṇaṃ.
๓๖๐. อุพฺภกฺขก…เป.… อยํ นโยติ ‘‘ปณฺฑกาทีสู’’ติ อิมินา โยเชตพฺพํฯ อยํ นโยติ ‘‘ทุกฺกฎเมว โหตี’’ติ วุโตฺต นโยฯ สพฺพตฺถาติ สงฺฆาทิเสสถุลฺลจฺจยทุกฺกฎเกฺขตฺตวเสน สเพฺพสุ เขเตฺตสุฯ
360.Ubbhakkhaka…pe… ayaṃ nayoti ‘‘paṇḍakādīsū’’ti iminā yojetabbaṃ. Ayaṃ nayoti ‘‘dukkaṭameva hotī’’ti vutto nayo. Sabbatthāti saṅghādisesathullaccayadukkaṭakkhettavasena sabbesu khettesu.
๓๖๑. อตฺถปุเรกฺขาโร หุตฺวา โอภาสโตปิ อนาปตฺตีติ โยชนาฯ มาตุคามานํ ‘‘อนิมิตฺตาสี’’ติอาทีสุ ปเทสุ อตฺถกถนํ ปุเรกฺขตฺวา ‘‘อนิมิตฺตาสี’’ติอาทิปทํ ภณนฺตสฺส วา มาตุคาเมหิ สห อฎฺฐกถํ สชฺฌายนฺตานํ วา อนาปตฺตีติ อโตฺถฯ ธมฺมปุเรกฺขาโร หุตฺวา โอภาสโต อนาปตฺตีติ โยชนาฯ ปาฬิธมฺมํ วาเจนฺตสฺส วา ตาสํ สุณนฺตีนํ สชฺฌายนํ วา ปุเรกฺขตฺวา ‘‘อนิมิตฺตาสี’’ติอาทีสุ ปเทสุ ยํ กิญฺจิ ปพฺพชิตสฺส วา อิตรสฺส วา มาตุคามสฺส กเถนฺตสฺส อนาปตฺตีติฯ ปุเรกฺขตฺวานุสาสนินฺติ ‘‘อิทานิ อนิมิตฺตาสิ…เป.… อุภโตพฺยญฺชนาสิ, อปฺปมาทํ ทานิ กเรยฺยาสิ, ยถา อายติมฺปิ เอวรูปา นาโหสี’’ติ อนุสาสนิํ ปุเรกฺขตฺวาฯ
361. Atthapurekkhāro hutvā obhāsatopi anāpattīti yojanā. Mātugāmānaṃ ‘‘animittāsī’’tiādīsu padesu atthakathanaṃ purekkhatvā ‘‘animittāsī’’tiādipadaṃ bhaṇantassa vā mātugāmehi saha aṭṭhakathaṃ sajjhāyantānaṃ vā anāpattīti attho. Dhammapurekkhāro hutvā obhāsato anāpattīti yojanā. Pāḷidhammaṃ vācentassa vā tāsaṃ suṇantīnaṃ sajjhāyanaṃ vā purekkhatvā ‘‘animittāsī’’tiādīsu padesu yaṃ kiñci pabbajitassa vā itarassa vā mātugāmassa kathentassa anāpattīti. Purekkhatvānusāsaninti ‘‘idāni animittāsi…pe… ubhatobyañjanāsi, appamādaṃ dāni kareyyāsi, yathā āyatimpi evarūpā nāhosī’’ti anusāsaniṃ purekkhatvā.
๓๖๒. อุมฺมตฺตกาทีนนฺติ ปิตฺตุมฺมตฺตกยกฺขุมฺมตฺตกวเสน ทฺวินฺนํ อุมฺมตฺตกานญฺจ อาทิ-สทฺทสงฺคหิตสฺส อิมสฺมิํ อาทิกมฺมิกสฺส อุทายิเตฺถรสฺส จ อนาปตฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘อิทํ สิกฺขาปทํ ติสมุฎฺฐานํ กายจิตฺตโต จ วาจาจิตฺตโต จ กายวาจาจิตฺตโต จ สมุฎฺฐาติฯ กิริยํ, สญฺญาวิโมกฺขํ, สจิตฺตกํ, โลกวชฺชํ, กายกมฺมํ, วจีกมฺมํ, อกุสลจิตฺต’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๘๗) อฎฺฐกถายํ วุตฺตปกิณฺณกวินิจฺฉยํ ทเสฺสติ ‘‘สมุฎฺฐานาทโย…เป.… ตุลฺยาวา’’ติฯ เวทนาย อทินฺนาทาเนน อสมตฺตา ‘‘เวทเนตฺถ ทฺวิธา มตา’’ติ อาห, สุโขเปกฺขาเวทนาวเสน ทฺวิธา มตาติ อโตฺถฯ
362.Ummattakādīnanti pittummattakayakkhummattakavasena dvinnaṃ ummattakānañca ādi-saddasaṅgahitassa imasmiṃ ādikammikassa udāyittherassa ca anāpattīti vuttaṃ hoti. ‘‘Idaṃ sikkhāpadaṃ tisamuṭṭhānaṃ kāyacittato ca vācācittato ca kāyavācācittato ca samuṭṭhāti. Kiriyaṃ, saññāvimokkhaṃ, sacittakaṃ, lokavajjaṃ, kāyakammaṃ, vacīkammaṃ, akusalacitta’’nti (pārā. aṭṭha. 2.287) aṭṭhakathāyaṃ vuttapakiṇṇakavinicchayaṃ dasseti ‘‘samuṭṭhānādayo…pe… tulyāvā’’ti. Vedanāya adinnādānena asamattā ‘‘vedanettha dvidhā matā’’ti āha, sukhopekkhāvedanāvasena dvidhā matāti attho.
ทุฎฺฐุลฺลวาจากถาวณฺณนาฯ
Duṭṭhullavācākathāvaṇṇanā.
๓๖๓. กามปาริจริยายาติ เมถุนธมฺมสงฺขาเตน กาเมน ปาริจริยาย, เมถุนธเมฺมน ปาริจริยายาติ อโตฺถฯ อถ วา กามิตา ปตฺถิตาติ กามา, เมถุนราควเสน ปตฺถิตาติ อโตฺถ, กามา จ สา ปาริจริยา จาติ กามปาริจริยา, ตสฺสา กามปาริจริยายาติปิ คเหตพฺพํ, เมถุนราคจิเตฺตน อภิปตฺถิตปาริจริยายาติอโตฺถฯ ‘‘วณฺณํ ภาสโต’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธ, ‘‘เอตทคฺคํ ภคินิ ปาริจริยานํ ยา มาทิสํ สีลวนฺตํ กลฺยาณธมฺมํ พฺรหฺมจาริํ เอเตน ธเมฺมน ปริจเรยฺยา’’ติ อตฺตโน เมถุนธเมฺมน ปาริจริยาย คุณํ อานิสํสํ กเถนฺตสฺสาติ วุตฺตํ โหติฯ ตสฺมิํเยว ขเณติ ตสฺมิํ ภณิตกฺขเณเยวฯ สา เจ ชานาตีติ ยํ อุทฺทิสฺส อภาสิ, สเจ สา วจนสมนนฺตรเมว ชานาติฯ
363.Kāmapāricariyāyāti methunadhammasaṅkhātena kāmena pāricariyāya, methunadhammena pāricariyāyāti attho. Atha vā kāmitā patthitāti kāmā, methunarāgavasena patthitāti attho, kāmā ca sā pāricariyā cāti kāmapāricariyā, tassā kāmapāricariyāyātipi gahetabbaṃ, methunarāgacittena abhipatthitapāricariyāyātiattho. ‘‘Vaṇṇaṃ bhāsato’’ti iminā sambandho, ‘‘etadaggaṃ bhagini pāricariyānaṃ yā mādisaṃ sīlavantaṃ kalyāṇadhammaṃ brahmacāriṃ etena dhammena paricareyyā’’ti attano methunadhammena pāricariyāya guṇaṃ ānisaṃsaṃ kathentassāti vuttaṃ hoti. Tasmiṃyeva khaṇeti tasmiṃ bhaṇitakkhaṇeyeva. Sā ce jānātīti yaṃ uddissa abhāsi, sace sā vacanasamanantarameva jānāti.
๓๖๔. สา มนุสฺสิตฺถี โน ชานาติ เจ, ตสฺส ถุลฺลจฺจยนฺติ สมฺพโนฺธฯ ยกฺขิเปติเทวีสุ ชานนฺตีสุ, ปณฺฑเก จ ชานเนฺต อตฺตกามปาริจริยาย วณฺณํ ภาสโต ตสฺส ภิกฺขุโน ถุลฺลจฺจยํ โหตีติ โยชนาฯ เสเสติ ปุริสติรจฺฉานคตวิสเย, ยกฺขิอาทีนํ อชานนวิสเย จ อตฺตกามปาริจริยาย วณฺณํ ภาสโต ตสฺส อาปตฺติ ทุกฺกฎํ โหตีติ โยชนาฯ
364.Sā manussitthī no jānāti ce, tassa thullaccayanti sambandho. Yakkhipetidevīsu jānantīsu, paṇḍake ca jānante attakāmapāricariyāya vaṇṇaṃ bhāsato tassa bhikkhuno thullaccayaṃ hotīti yojanā. Seseti purisatiracchānagatavisaye, yakkhiādīnaṃ ajānanavisaye ca attakāmapāricariyāya vaṇṇaṃ bhāsato tassa āpatti dukkaṭaṃ hotīti yojanā.
๓๖๕. จีวราทีหีติ จีวรปิณฺฑปาตาทีหิฯ วตฺถุกาเมหีติ ตณฺหาย วตฺถุภาเวน วตฺถู จ กามิตตฺตา กามาติ จ สงฺขาเตหิ ปจฺจเยหิฯ
365.Cīvarādīhīti cīvarapiṇḍapātādīhi. Vatthukāmehīti taṇhāya vatthubhāvena vatthū ca kāmitattā kāmāti ca saṅkhātehi paccayehi.
๓๖๖. ราโค เอว ราคตาฯ ‘‘ราคิตา’’ติ วา ปาโฐ, ราโค อสฺส อตฺถีติ ราคี, ตสฺส ภาโว ราคิตา, อตฺตกามปาริจริยาย ราโคติ อโตฺถฯ โอภาโสติ อตฺตกามปาริจริยาย คุณภณนํฯ เตน ราเคนาติ กามปาริจริยาย ราเคนฯ ขเณ ตสฺมินฺติ ภณิตกฺขเณฯ วิชานนนฺติ ยํ มนุสฺสิตฺถิํ อุทฺทิสฺส อตฺตกามปาริจริยาย วณฺณํ ภณติ, ตาย ตสฺส วจนตฺถสฺส วิชานนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ
366. Rāgo eva rāgatā. ‘‘Rāgitā’’ti vā pāṭho, rāgo assa atthīti rāgī, tassa bhāvo rāgitā, attakāmapāricariyāya rāgoti attho. Obhāsoti attakāmapāricariyāya guṇabhaṇanaṃ. Tena rāgenāti kāmapāricariyāya rāgena. Khaṇe tasminti bhaṇitakkhaṇe. Vijānananti yaṃ manussitthiṃ uddissa attakāmapāricariyāya vaṇṇaṃ bhaṇati, tāya tassa vacanatthassa vijānananti vuttaṃ hoti.
๓๖๗. ปญฺจงฺคานีติ มนุสฺสิตฺถิตา, ตํสญฺญิตา, ปาริจริยาย ราคิตา, เตน ราเคน โอภาสนํ, ขเณ ตสฺมิํ วิชานนนฺติ อิมานิ เอตฺถ อตฺตกามปาริจริยสิกฺขาปเท ปญฺจ องฺคานิ , ปญฺจ อาปตฺติการณานีติ อโตฺถฯ อสฺสาติ อตฺตกามปาริจริยสิกฺขาปทสฺสฯ
367.Pañcaṅgānīti manussitthitā, taṃsaññitā, pāricariyāya rāgitā, tena rāgena obhāsanaṃ, khaṇe tasmiṃ vijānananti imāni ettha attakāmapāricariyasikkhāpade pañca aṅgāni , pañca āpattikāraṇānīti attho. Assāti attakāmapāricariyasikkhāpadassa.
อตฺตกามปาริจริยกถาวณฺณนาฯ
Attakāmapāricariyakathāvaṇṇanā.
๓๖๘. ‘‘ปฎิคฺคณฺหาตี’’ติอาทิกิริยาตฺตโยปาทานสามตฺถิเยน ติกฺขตฺตุํ ปฎิปาทนกํ ‘‘โย ภิกฺขู’’ติ จ ‘‘ครุ โหตี’’ติ ปทสามตฺถิเยน ‘‘ตสฺสา’’ติ จ ลพฺภมานตฺตา ติวิเธหิ สห ‘‘โย ภิกฺขุ ปุริสสฺส สเนฺทสํ ปฎิคฺคณฺหาติ, วีมํสติ ปจฺจาหรติ เจ, ตสฺส ครุ โหตี’’ติ เอกํ วากฺยํ โหติฯ เอวํ ‘‘อิตฺถิยาปิ วา’’ติ อิมินา โยชนายปิ เอกํ วากฺยํ โหตีติ อิมิสฺสา คาถาย วากฺยทฺวยํ ยุชฺชติฯ
368. ‘‘Paṭiggaṇhātī’’tiādikiriyāttayopādānasāmatthiyena tikkhattuṃ paṭipādanakaṃ ‘‘yo bhikkhū’’ti ca ‘‘garu hotī’’ti padasāmatthiyena ‘‘tassā’’ti ca labbhamānattā tividhehi saha ‘‘yo bhikkhu purisassa sandesaṃ paṭiggaṇhāti, vīmaṃsati paccāharati ce, tassa garu hotī’’ti ekaṃ vākyaṃ hoti. Evaṃ ‘‘itthiyāpi vā’’ti iminā yojanāyapi ekaṃ vākyaṃ hotīti imissā gāthāya vākyadvayaṃ yujjati.
อิธ สเนฺทสกฺกมญฺจ โยชนากฺกมญฺจ ชานนตฺถํ ปฐมํ ตาว อิตฺถีนญฺจ ภริยานญฺจ ปเภโท จ สรูปญฺจ วิภาวียติ – เตสุ อิตฺถิโย ทสวิธา โหนฺติฯ ยถาห ปทภาชเน ‘‘ทส อิตฺถิโย มาตุรกฺขิตา ปิตุรกฺขิตา มาตาปิตุรกฺขิตา ภาตุรกฺขิตา ภคินิรกฺขิตา ญาติรกฺขิตา โคตฺตรกฺขิตา ธมฺมรกฺขิตา สารกฺขา สปริทณฺฑา’’ติฯ ภริยา จ ทสวิธา โหนฺติฯ ยถาห ปทภาชเน ‘‘ทส ภริยาโย ธนกฺกีตา ฉนฺทวาสินี โภควาสินี โอทปตฺตกินี โอภฎจุมฺพฎา ทาสี จ ภริยา จ กมฺมการี จ ภริยา จ ธชาหฎา มุหุตฺติกา’’ติ (ปารา. ๓๐๓)ฯ อิมาสํ ปเภโท จ สรูปานิ จ สเงฺขปโต เอวํ เวทิตพฺพานิ –
Idha sandesakkamañca yojanākkamañca jānanatthaṃ paṭhamaṃ tāva itthīnañca bhariyānañca pabhedo ca sarūpañca vibhāvīyati – tesu itthiyo dasavidhā honti. Yathāha padabhājane ‘‘dasa itthiyo māturakkhitā piturakkhitā mātāpiturakkhitā bhāturakkhitā bhaginirakkhitā ñātirakkhitā gottarakkhitā dhammarakkhitā sārakkhā saparidaṇḍā’’ti. Bhariyā ca dasavidhā honti. Yathāha padabhājane ‘‘dasa bhariyāyo dhanakkītā chandavāsinī bhogavāsinī odapattakinī obhaṭacumbaṭā dāsī ca bhariyā ca kammakārī ca bhariyā ca dhajāhaṭā muhuttikā’’ti (pārā. 303). Imāsaṃ pabhedo ca sarūpāni ca saṅkhepato evaṃ veditabbāni –
ปุริเสหิ สห ยถา สํวาสํ น กโรติ, เอวํ มาตรา รกฺขิตา มาตุรกฺขิตาฯ ยถาห ‘‘มาตุรกฺขิตา นาม มาตา รกฺขติ โคเปติ อิสฺสริยํ กาเรติ วสํ วเตฺตตี’’ติฯ ปิตุรกฺขิตาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ตตฺถ ยสฺมิํ โกณฺฑญฺญาทิโคเตฺต ชาตา, ตสฺมิํเยว โคเตฺต ชาเตหิ รกฺขิตา โคตฺตรกฺขิตาฯ ยถาห ‘‘โคตฺตรกฺขิตา นาม สโคตฺตา รกฺขนฺตี’’ติอาทิฯ เอกํ สตฺถารํ อุทฺทิสฺส ปพฺพชิเตหิ วา เอกคณปริยาปเนฺนหิ วา รกฺขิตา ธมฺมรกฺขิตา นามฯ ยถาห ‘‘ธมฺมรกฺขิตา นาม สหธมฺมิกา รกฺขนฺตี’’ติอาทิ (ปารา. ๓๐๔)ฯ สารกฺขา นาม ‘‘คเพฺภปิ ปริคฺคหิตา โหติ ‘มยฺหํ เอสา’ติ อนฺตมโส มาลาคุฬปริกฺขิตฺตาปี’’ติ ปาฬิยํ วุตฺตสรูปาฯ สปริทณฺฑา นาม ‘‘เกหิจิ ทโณฺฑ ฐปิโต โหติ ‘โย อิตฺถนฺนามํ อิตฺถิํ คจฺฉติ, ตสฺส เอตฺตโก ทโณฺฑ’’ติ วุตฺตสรูปาติ อยํ ทสนฺนํ อิตฺถีนํ สรูปสเงฺขโปฯ อิมาสุ ทสสุ สารกฺขสปริทณฺฑานํ ทฺวินฺนํ ปรปุริสเสวายํ มิจฺฉาจาโร โหติ, อิตราสํ น โหติฯ อิมา ทสปิ ปญฺจสีลํ รกฺขเนฺตหิ อคมนียาฯ
Purisehi saha yathā saṃvāsaṃ na karoti, evaṃ mātarā rakkhitā māturakkhitā. Yathāha ‘‘māturakkhitā nāma mātā rakkhati gopeti issariyaṃ kāreti vasaṃ vattetī’’ti. Piturakkhitādīsupi eseva nayo. Tattha yasmiṃ koṇḍaññādigotte jātā, tasmiṃyeva gotte jātehi rakkhitā gottarakkhitā. Yathāha ‘‘gottarakkhitā nāma sagottā rakkhantī’’tiādi. Ekaṃ satthāraṃ uddissa pabbajitehi vā ekagaṇapariyāpannehi vā rakkhitā dhammarakkhitā nāma. Yathāha ‘‘dhammarakkhitā nāma sahadhammikā rakkhantī’’tiādi (pārā. 304). Sārakkhā nāma ‘‘gabbhepi pariggahitā hoti ‘mayhaṃ esā’ti antamaso mālāguḷaparikkhittāpī’’ti pāḷiyaṃ vuttasarūpā. Saparidaṇḍā nāma ‘‘kehici daṇḍo ṭhapito hoti ‘yo itthannāmaṃ itthiṃ gacchati, tassa ettako daṇḍo’’ti vuttasarūpāti ayaṃ dasannaṃ itthīnaṃ sarūpasaṅkhepo. Imāsu dasasu sārakkhasaparidaṇḍānaṃ dvinnaṃ parapurisasevāyaṃ micchācāro hoti, itarāsaṃ na hoti. Imā dasapi pañcasīlaṃ rakkhantehi agamanīyā.
ทสสุ ภริยาสุ ‘‘ธนกฺกีตา นาม ธเนน กิณิตฺวา วาเสตี’’ติ วุตฺตตฺตา ภริยภาวาย อปฺปกํ วา พหุํ วา ธนํ ทตฺวา คหิตา ธนกฺกีตา นามฯ ‘‘ฉนฺทวาสินี นาม ปิโย ปิยํ วาเสตี’’ติ วุตฺตตฺตา อตฺตรุจิยา สํวสิเตน ปุริเสน สมฺปฎิจฺฉิตา ฉนฺทวาสินี นามฯ ‘‘โภควาสินี นาม โภคํ ทตฺวา วาเสตี’’ติ วุตฺตตฺตา อุทุกฺขลมุสลาทิเคโหปกรณํ ลภิตฺวา ภริยภาวํ คจฺฉนฺตี ชนปทิตฺถี โภควาสินี นามฯ ‘‘ปฎวาสินี นาม ปฎํ ทตฺวา วาเสตี’’ติ วุตฺตตฺตา นิวาสนมตฺตํ วา ปารุปนมตฺตํ วา ลทฺธา ภริยภาวํ คจฺฉนฺตี ทลิทฺทิตฺถี ปฎวาสินี นามฯ โอทปตฺตกินี นาม ‘‘อุทกปตฺตํ อามสิตฺวา วาเสตี’’ติ (ปารา. ๓๐๔) วุตฺตตฺตา ‘‘อิทํ อุทกํ วิย สํสฎฺฐา อเภชฺชา โหถา’’ติ วตฺวา เอกสฺมิํ อุทกปเตฺต ปุริเสน สทฺธิํ หตฺถํ โอตาเรตฺวา ภริยภาวํ นีโต มาตุคาโม วุจฺจติฯ ‘‘โอภฎจุมฺพฎา นาม จุมฺพฎํ โอโรเปตฺวา วาเสตี’’ติ (ปารา. ๓๐๔) วุตฺตตฺตา สีสโต จุมฺพฎํ โอโรเปตฺวา ภริยภาวมุปนีตา กฎฺฐหาริกาทิอิตฺถี โอภฎจุมฺพฎา นามฯ ทาสี จ ภริยา จ นาม ‘‘ทาสี เจว โหติ ภริยา จา’’ติ (ปารา. ๓๐๔) วุตฺตตฺตา ภริยํ กตฺวา วาสิตา ‘‘ตเสฺสว ทาสี จ ภริยา จา’’ติ วุตฺตาฯ กมฺมการี จ ภริยา จ นาม ‘‘กมฺมการี เจว โหติ ภริยา จา’’ติ (ปารา. ๓๐๔) วุตฺตตฺตา ปธานิตฺถินิรเปเกฺขน กุฎุมฺพกิจฺจํ กาเรตฺวา ภริยภาวํ นีตา ภริยา กตกมฺมา ‘‘กมฺมการี จ ภริยา จา’’ติ วุตฺตาฯ ‘‘ธชาหฎา นาม กรมรานีตา วุจฺจตี’’ติ (ปารา. ๓๐๔) วุตฺตตฺตา ธชํ อุสฺสาเปตฺวา คจฺฉนฺติยา มหาเสนาย สทฺธิํ คนฺตฺวา ปรวิสยํ วิลุมฺปเนฺตน ปจฺฉินฺทิตฺวา อาเนตฺวา ภริยภาวมุปนีตา อิตฺถี ธชาหฎา นามฯ ‘‘มุหุตฺติกา นาม ตงฺขณิกา วุจฺจตี’’ติ (ปารา. ๓๐๔) วุตฺตตฺตา อจิรกาลํ สํวาสตฺถาย คหิตา อิตฺถี มุหุตฺติกา นามาติ อยํ ทสนฺนํ ภริยานํ สรูปสเงฺขโปฯ ยถาวุตฺตาสุ ทสสุ อิตฺถีสุ อญฺญตรํ ทสนฺนํ ภริยานํ อญฺญตรฎฺฐาเน ฐปนตฺถมธิเปฺปตภาวํ วตฺตุํ ปุริเสน ‘‘คจฺฉ ภเนฺต อิตฺถนฺนามํ มาตุรกฺขิตํ พฺรูหิ ‘โหหิ กิร อิตฺถนฺนามสฺส ภริยา ธนกฺกีตา’ติ’’อาทินา นเยน ทินฺนสเนฺทสํ ‘‘สาธุ อุปาสกา’’ติอาทินา นเยน วจีเภทํ กตฺวา วา สีสกมฺปนาทิวเสน วา ปฎิคฺคณฺหาตีติ อาห ‘‘ปฎิคฺคณฺหาติ สเนฺทสํ ปุริสสฺสา’’ติฯ
Dasasu bhariyāsu ‘‘dhanakkītā nāma dhanena kiṇitvā vāsetī’’ti vuttattā bhariyabhāvāya appakaṃ vā bahuṃ vā dhanaṃ datvā gahitā dhanakkītā nāma. ‘‘Chandavāsinī nāma piyo piyaṃ vāsetī’’ti vuttattā attaruciyā saṃvasitena purisena sampaṭicchitā chandavāsinī nāma. ‘‘Bhogavāsinī nāma bhogaṃ datvā vāsetī’’ti vuttattā udukkhalamusalādigehopakaraṇaṃ labhitvā bhariyabhāvaṃ gacchantī janapaditthī bhogavāsinī nāma. ‘‘Paṭavāsinī nāma paṭaṃ datvā vāsetī’’ti vuttattā nivāsanamattaṃ vā pārupanamattaṃ vā laddhā bhariyabhāvaṃ gacchantī dalidditthī paṭavāsinī nāma. Odapattakinī nāma ‘‘udakapattaṃ āmasitvā vāsetī’’ti (pārā. 304) vuttattā ‘‘idaṃ udakaṃ viya saṃsaṭṭhā abhejjā hothā’’ti vatvā ekasmiṃ udakapatte purisena saddhiṃ hatthaṃ otāretvā bhariyabhāvaṃ nīto mātugāmo vuccati. ‘‘Obhaṭacumbaṭā nāma cumbaṭaṃ oropetvā vāsetī’’ti (pārā. 304) vuttattā sīsato cumbaṭaṃ oropetvā bhariyabhāvamupanītā kaṭṭhahārikādiitthī obhaṭacumbaṭā nāma. Dāsīca bhariyā ca nāma ‘‘dāsī ceva hoti bhariyā cā’’ti (pārā. 304) vuttattā bhariyaṃ katvā vāsitā ‘‘tasseva dāsī ca bhariyā cā’’ti vuttā. Kammakārī ca bhariyā ca nāma ‘‘kammakārī ceva hoti bhariyā cā’’ti (pārā. 304) vuttattā padhānitthinirapekkhena kuṭumbakiccaṃ kāretvā bhariyabhāvaṃ nītā bhariyā katakammā ‘‘kammakārī ca bhariyā cā’’ti vuttā. ‘‘Dhajāhaṭā nāma karamarānītā vuccatī’’ti (pārā. 304) vuttattā dhajaṃ ussāpetvā gacchantiyā mahāsenāya saddhiṃ gantvā paravisayaṃ vilumpantena pacchinditvā ānetvā bhariyabhāvamupanītā itthī dhajāhaṭā nāma. ‘‘Muhuttikā nāma taṅkhaṇikā vuccatī’’ti (pārā. 304) vuttattā acirakālaṃ saṃvāsatthāya gahitā itthī muhuttikā nāmāti ayaṃ dasannaṃ bhariyānaṃ sarūpasaṅkhepo. Yathāvuttāsu dasasu itthīsu aññataraṃ dasannaṃ bhariyānaṃ aññataraṭṭhāne ṭhapanatthamadhippetabhāvaṃ vattuṃ purisena ‘‘gaccha bhante itthannāmaṃ māturakkhitaṃ brūhi ‘hohi kira itthannāmassa bhariyā dhanakkītā’ti’’ādinā nayena dinnasandesaṃ ‘‘sādhu upāsakā’’tiādinā nayena vacībhedaṃ katvā vā sīsakampanādivasena vā paṭiggaṇhātīti āha ‘‘paṭiggaṇhāti sandesaṃ purisassā’’ti.
เอตฺถ ปุริสสฺสาติ อุปลกฺขณตฺตา ‘‘ปุริสสฺส มาตา ภิกฺขุํ ปหิณตี’’ติอาทินา (ปารา. ๓๒๑) นเยน ปาฬิยํ วุตฺตปุริสสฺส มาตาปิตุอาทโย จ คเหตพฺพาฯ วีมํสตีติ เอวํ ปฎิคฺคหิตสาสนํ ตสฺสาเยว เอกํเสน อวิราเธตฺวา วทนฺตสฺส มาตาปิตุอาทีนมญฺญตรสฺส วา อาโรเจตีติ อโตฺถฯ เอตฺถาปิ วีมํสตีติ อุปลกฺขณตฺตา ‘‘ปฎิคฺคณฺหาติ อเนฺตวาสิํ วีมํสาเปตฺวา อตฺตนา ปจฺจาหรติ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺสา’’ติ (ปารา. ๓๓๘) วุตฺตตฺตา วีมํสาเปตีติปิ คเหตพฺพํฯ ปจฺจาหรตีติ ตถา อาหฎํ สาสนํ สุตฺวา ตสฺสา อิตฺถิยา สมฺปฎิจฺฉิเต จ อสมฺปฎิจฺฉิเต จ ลชฺชาย ตุณฺหีภูตาย จ ตํ ปวตฺติํ ปจฺจาหริตฺวา อาจิกฺขตีติ วุตฺตํ โหติฯ อิธาปิ ปจฺจาหรตีติ อุปลกฺขณตฺตา ‘‘ปฎิคฺคณฺหาติ วีมํสติ อเนฺตวาสิํ ปจฺจาหราเปติ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺสา’’ติ (ปารา. ๓๓๘) วุตฺตตฺตา ปจฺจาหราเปตีติ จ คเหตพฺพํฯ
Ettha purisassāti upalakkhaṇattā ‘‘purisassa mātā bhikkhuṃ pahiṇatī’’tiādinā (pārā. 321) nayena pāḷiyaṃ vuttapurisassa mātāpituādayo ca gahetabbā. Vīmaṃsatīti evaṃ paṭiggahitasāsanaṃ tassāyeva ekaṃsena avirādhetvā vadantassa mātāpituādīnamaññatarassa vā ārocetīti attho. Etthāpi vīmaṃsatīti upalakkhaṇattā ‘‘paṭiggaṇhāti antevāsiṃ vīmaṃsāpetvā attanā paccāharati, āpatti saṅghādisesassā’’ti (pārā. 338) vuttattā vīmaṃsāpetītipi gahetabbaṃ. Paccāharatīti tathā āhaṭaṃ sāsanaṃ sutvā tassā itthiyā sampaṭicchite ca asampaṭicchite ca lajjāya tuṇhībhūtāya ca taṃ pavattiṃ paccāharitvā ācikkhatīti vuttaṃ hoti. Idhāpi paccāharatīti upalakkhaṇattā ‘‘paṭiggaṇhāti vīmaṃsati antevāsiṃ paccāharāpeti, āpatti saṅghādisesassā’’ti (pārā. 338) vuttattā paccāharāpetīti ca gahetabbaṃ.
‘‘อิตฺถิยาปิ วา’’ติ อิมินา โยเชตฺวา คหิตทุติยวาเกฺย จ เอวเมว อโตฺถ วตฺตโพฺพฯ ตตฺถ สเนฺทสกฺกโม ปน ‘‘มาตุรกฺขิตา ภิกฺขุํ ปหิณติ ‘คจฺฉ ภเนฺต อิตฺถนฺนามํ พฺรูหิ ‘โหมิ อิตฺถนฺนามสฺส ภริยา ธนกฺกีตา’ติ’’อาทิปาฬินเยน (ปารา. ๓๓๐) ทฎฺฐโพฺพฯ เอตฺถาปิ ‘‘วีมํสาเปติ ปจฺจาหราเปตี’’ติ อิทญฺจ วุตฺตนเยเนว คเหตพฺพํฯ อิมินา นิยาเมน ทสนฺนํ อิตฺถีนํ นามํ วิสุํ วิสุํ วตฺวา ทสนฺนํ ภริยานํ อญฺญตรตฺถาย ทียมานสเนฺทสกฺกโม โยเชตโพฺพฯ อิธาปิ อิตฺถิยาปิ วาติ อุปลกฺขณตฺตา ‘‘มาตุรกฺขิตาย มาตา ภิกฺขุํ ปหิณติ ‘คจฺฉ ภเนฺต อิตฺถนฺนามํ พฺรูหิ ‘โหตุ อิตฺถนฺนามสฺส ภริยา ธนกฺกีตา’’ติอาทิปาฬิวเสน (ปารา. ๓๒๔) อิตฺถิยา มาตุปิตุอาทีนญฺจ สเนฺทสกฺกโม โยเชตโพฺพฯ
‘‘Itthiyāpi vā’’ti iminā yojetvā gahitadutiyavākye ca evameva attho vattabbo. Tattha sandesakkamo pana ‘‘māturakkhitā bhikkhuṃ pahiṇati ‘gaccha bhante itthannāmaṃ brūhi ‘homi itthannāmassa bhariyā dhanakkītā’ti’’ādipāḷinayena (pārā. 330) daṭṭhabbo. Etthāpi ‘‘vīmaṃsāpeti paccāharāpetī’’ti idañca vuttanayeneva gahetabbaṃ. Iminā niyāmena dasannaṃ itthīnaṃ nāmaṃ visuṃ visuṃ vatvā dasannaṃ bhariyānaṃ aññataratthāya dīyamānasandesakkamo yojetabbo. Idhāpi itthiyāpi vāti upalakkhaṇattā ‘‘māturakkhitāya mātā bhikkhuṃ pahiṇati ‘gaccha bhante itthannāmaṃ brūhi ‘hotu itthannāmassa bhariyā dhanakkītā’’tiādipāḷivasena (pārā. 324) itthiyā mātupituādīnañca sandesakkamo yojetabbo.
๓๗๐. ตํ ปวตฺติํฯ สญฺจริตฺตา สญฺจรณเหตุฯ น มุจฺจตีติ อิตฺถิปุริสานํ อนฺตเร สาสนํ ปฎิคฺคเหตฺวา สญฺจรณเหตุ อาปชฺชิตพฺพสงฺฆาทิเสสโต น มุจฺจตีติ อโตฺถฯ
370.Taṃ pavattiṃ. Sañcarittā sañcaraṇahetu. Na muccatīti itthipurisānaṃ antare sāsanaṃ paṭiggahetvā sañcaraṇahetu āpajjitabbasaṅghādisesato na muccatīti attho.
๓๗๑. อญฺญํ วาติ มาตาปิตุรกฺขิตาทีสุ อญฺญตรํ วาฯ ‘‘ภาสโต’’ติ ลิขนฺติฯ ‘‘เปสิโต’’ติ อิมินา วิรุทฺธตฺตา ตํ ปหาย ‘‘ภาสตี’’ติ ปาโฐ คเหตโพฺพฯ ปาฐเสโส วา กาตโพฺพฯ ‘‘โย อญฺญํ ภาสติ เจ, ตสฺส ภาสโตติ โยชนา’’ติ นิสฺสเนฺทเห วุตฺตํฯ ‘‘มาตรา รกฺขิตํ อิตฺถิํ ‘คจฺฉ พฺรูหี’ติ โย เปสิโต โหติ, ตสฺส ปิตุรกฺขิตํ วา อญฺญํ วา ภาสโต วิสเงฺกโตวา’’ติ, ‘‘มาตรา…เป.… พฺรูหี’ติ เปสิโต หุตฺวา ปิตุรกฺขิตํ วา อญฺญํ วา ภาสโต วิสเงฺกโตวา’’ติ โยชนา ยุตฺตตราติ อมฺหากํ ขนฺติฯ
371.Aññaṃ vāti mātāpiturakkhitādīsu aññataraṃ vā. ‘‘Bhāsato’’ti likhanti. ‘‘Pesito’’ti iminā viruddhattā taṃ pahāya ‘‘bhāsatī’’ti pāṭho gahetabbo. Pāṭhaseso vā kātabbo. ‘‘Yo aññaṃ bhāsati ce, tassa bhāsatoti yojanā’’ti nissandehe vuttaṃ. ‘‘Mātarā rakkhitaṃ itthiṃ ‘gaccha brūhī’ti yo pesito hoti, tassa piturakkhitaṃ vā aññaṃ vā bhāsato visaṅketovā’’ti, ‘‘mātarā…pe… brūhī’ti pesito hutvā piturakkhitaṃ vā aññaṃ vā bhāsato visaṅketovā’’ti yojanā yuttatarāti amhākaṃ khanti.
๓๗๒. ปฎิคฺคณฺหนตาทีหีติ ปฎิคฺคณฺหนเมว ปฎิคฺคณฺหนตาฯ อาทิ-สเทฺทน วีมํสนปจฺจาหรณานิ คหิตานิฯ สญฺจริเตฺตติ สญฺจรเณฯ สมาปเนฺนติ คเต สติฯ ครุกาปตฺติมาทิเสติ เอตฺถ ‘‘ตสฺสา’’ติ เสโสฯ อาทิเสติ กเถยฺยฯ
372.Paṭiggaṇhanatādīhīti paṭiggaṇhanameva paṭiggaṇhanatā. Ādi-saddena vīmaṃsanapaccāharaṇāni gahitāni. Sañcaritteti sañcaraṇe. Samāpanneti gate sati. Garukāpattimādiseti ettha ‘‘tassā’’ti seso. Ādiseti katheyya.
๓๗๓. ทฺวีหิ ถุลฺลจฺจยํ วุตฺตนฺติ เอตฺถ ทฺวีหิ ทฺวีหิ อเงฺคหิ สญฺจริเตฺต สมาปเนฺน ถุลฺลจฺจยํ วุตฺตนฺติ คเหตพฺพํฯ ‘‘ปฎิคฺคณฺหาติ วีมํสติ น ปจฺจาหรติ, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสฯ ปฎิคฺคณฺหาติ น วีมํสติ ปจฺจาหรติ, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสฯ น ปฎิคฺคณฺหาติ วีมํสติ ปจฺจาหรติ, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ (ปารา. ๓๓๘) ทฺวีหิ ทฺวีหิ อเงฺคหิ ถุลฺลจฺจยํ วุตฺตนฺติ อโตฺถฯ ปณฺฑกาทีสูติ ปณฺฑกยกฺขิเปตีสุฯ ตีหิปิ อเงฺคหิ สญฺจริเตฺต สมาปเนฺน ถุลฺลจฺจยํ วุตฺตนฺติ โยชนาฯ
373.Dvīhi thullaccayaṃ vuttanti ettha dvīhi dvīhi aṅgehi sañcaritte samāpanne thullaccayaṃ vuttanti gahetabbaṃ. ‘‘Paṭiggaṇhāti vīmaṃsati na paccāharati, āpatti thullaccayassa. Paṭiggaṇhāti na vīmaṃsati paccāharati, āpatti thullaccayassa. Na paṭiggaṇhāti vīmaṃsati paccāharati, āpatti thullaccayassā’’ti (pārā. 338) dvīhi dvīhi aṅgehi thullaccayaṃ vuttanti attho. Paṇḍakādīsūti paṇḍakayakkhipetīsu. Tīhipi aṅgehi sañcaritte samāpanne thullaccayaṃ vuttanti yojanā.
เอเกเนวาติ เอเกเนว อเงฺคนฯ สพฺพตฺถาติ มาตุรกฺขิตาทีสุ สพฺพมาตุคาเมสุ จ วินีตวตฺถุมฺหิ ‘‘เตน โข ปน สมเยน อญฺญตโร ปุริโส อญฺญตรํ ภิกฺขุํ อาณาเปสิ ‘คจฺฉ ภเนฺต อิตฺถนฺนามํ อิตฺถิํ วีมํสา’ติฯ โส คนฺตฺวา มนุเสฺส ปุจฺฉิ ‘กหํ อิตฺถนฺนามา’ติฯ สุตฺตา ภเนฺตติ…เป.… มตา ภเนฺตติฯ นิกฺขนฺตา ภเนฺตติฯ อนิตฺถี ภเนฺตติฯ อิตฺถิปณฺฑกา ภเนฺตติฯ ตสฺส กุกฺกุจฺจํ อโหสิฯ อนาปตฺติ ภิกฺขุ สงฺฆาทิเสสสฺส, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปารา. ๓๔๑) อาคตาสุ สุตฺตาทีสุ ปญฺจสุ จฯ
Ekenevāti ekeneva aṅgena. Sabbatthāti māturakkhitādīsu sabbamātugāmesu ca vinītavatthumhi ‘‘tena kho pana samayena aññataro puriso aññataraṃ bhikkhuṃ āṇāpesi ‘gaccha bhante itthannāmaṃ itthiṃ vīmaṃsā’ti. So gantvā manusse pucchi ‘kahaṃ itthannāmā’ti. Suttā bhanteti…pe… matā bhanteti. Nikkhantā bhanteti. Anitthī bhanteti. Itthipaṇḍakā bhanteti. Tassa kukkuccaṃ ahosi. Anāpatti bhikkhu saṅghādisesassa, āpatti dukkaṭassā’’ti (pārā. 341) āgatāsu suttādīsu pañcasu ca.
๓๗๔. อนาปตฺติ ปกาสิตาติ เจติยาทีสุ กตฺตพฺพํ นิสฺสาย อิตฺถิยา ปุริสสฺส, ปุริเสน จ อิตฺถิยา ทินฺนสาสนํ ปฎิคฺคเหตฺวา วีมํสิตฺวา ปจฺจาหริตฺวา อาโรเจนฺตสฺส อนาปตฺติภาโว ‘‘อนาปตฺติ สงฺฆสฺส วา เจติยสฺส วา คิลานสฺส วา กรณีเยน คจฺฉติ, อุมฺมตฺตกสฺส อาทิกมฺมิกสฺสา’’ติ (ปารา. ๓๔๐) ปาฬิยํ วุตฺตาติ อโตฺถฯ
374.Anāpatti pakāsitāti cetiyādīsu kattabbaṃ nissāya itthiyā purisassa, purisena ca itthiyā dinnasāsanaṃ paṭiggahetvā vīmaṃsitvā paccāharitvā ārocentassa anāpattibhāvo ‘‘anāpatti saṅghassa vā cetiyassa vā gilānassa vā karaṇīyena gacchati, ummattakassa ādikammikassā’’ti (pārā. 340) pāḷiyaṃ vuttāti attho.
๓๗๕. ตถา ตสฺสาติ มนุสฺสชาติกาย ตสฺสาฯ นนาลํวจนียตาติ ‘‘มมาย’’นฺติ วา นิคฺคหปคฺคเห วา นิราสงฺกํ วตฺตุํ นาหรตีติ อลํวจนียา, อสฺสามิกา, สา หิ เกนจิ ‘‘มยฺหํ เอสา’’ติ วตฺตุํ วา นิราสเงฺกน นิคฺคหปคฺคหวจนํ วา วตฺตุํ อสกฺกุเณยฺยา, อลํวจนียา น ภวตีติ นาลํวจนียา, สสฺสามิกา, สา หิ สามิเกน ตถา กาตุํ สกฺกุเณยฺยาติ นาลํวจนียา, นาลํวจนียา น ภวตีติ นนาลํวจนียา, อลํวจนียปเทน วุตฺตา อสฺสามิกา เอว, ปฎิเสธา เทฺว ปกติมตฺถํ คมยนฺตีติ, นนาลํวจนียาย ภาโว นนาลํวจนียตา, นิราสเงฺกน อวจนียตา อสฺสามิกภาโวติ วุตฺตํ โหติฯ สญฺจริตฺตวเสน ภิกฺขุนา วจนียา น โหตีติ วา ‘‘อลํวจนียา’’ติปิ คเหตพฺพเมวฯ ปฎิคฺคณฺหนตาทีนํ วสาติ เอตฺถ จกาโร ลุตฺตนิทฺทิโฎฺฐฯ ตโต ปฎิคฺคณฺหนวีมํสนปจฺจาหรณสงฺขาตานํ ติณฺณํ องฺคานํ วเสน จ ปุเพฺพ วุตฺตมนุสฺสิตฺถิตา นนาลํวจนียตาติ วุตฺตานํ ทฺวินฺนํ องฺคานํ วเสน จ อิทํ สิกฺขาปทํ อาปตฺติการเณหิ ปญฺจหิ อเงฺคหิ ยุตฺตนฺติ อโตฺถฯ
375.Tathā tassāti manussajātikāya tassā. Nanālaṃvacanīyatāti ‘‘mamāya’’nti vā niggahapaggahe vā nirāsaṅkaṃ vattuṃ nāharatīti alaṃvacanīyā, assāmikā, sā hi kenaci ‘‘mayhaṃ esā’’ti vattuṃ vā nirāsaṅkena niggahapaggahavacanaṃ vā vattuṃ asakkuṇeyyā, alaṃvacanīyā na bhavatīti nālaṃvacanīyā, sassāmikā, sā hi sāmikena tathā kātuṃ sakkuṇeyyāti nālaṃvacanīyā, nālaṃvacanīyā na bhavatīti nanālaṃvacanīyā, alaṃvacanīyapadena vuttā assāmikā eva, paṭisedhā dve pakatimatthaṃ gamayantīti, nanālaṃvacanīyāya bhāvo nanālaṃvacanīyatā, nirāsaṅkena avacanīyatā assāmikabhāvoti vuttaṃ hoti. Sañcarittavasena bhikkhunā vacanīyā na hotīti vā ‘‘alaṃvacanīyā’’tipi gahetabbameva. Paṭiggaṇhanatādīnaṃ vasāti ettha cakāro luttaniddiṭṭho. Tato paṭiggaṇhanavīmaṃsanapaccāharaṇasaṅkhātānaṃ tiṇṇaṃ aṅgānaṃ vasena ca pubbe vuttamanussitthitā nanālaṃvacanīyatāti vuttānaṃ dvinnaṃ aṅgānaṃ vasena ca idaṃ sikkhāpadaṃ āpattikāraṇehi pañcahi aṅgehi yuttanti attho.
๓๗๖. อิทํ สญฺจริตฺตสิกฺขาปทํฯ อถ วา ลิงฺควิปลฺลาเสน จ อยํ สงฺฆาทิเสโสติ คเหตโพฺพฯ กายโต, วาจโต, กายวาจโต, กายจิตฺตโต, วาจาจิตฺตโต, กายวาจาจิตฺตโต วา อุปฺปชฺชนโต ฉสมุฎฺฐานํฯ ตโต เอว อจิตฺตกมุทีริตํฯ มิสฺสกสมุฎฺฐานญฺหิ อจิตฺตกํฯ อวเสสจิเตฺตสุปิ ยสฺมิํ จิเตฺต อสติ อจิตฺตกํ นาม โหติ, ตํ ทเสฺสตุมาห ‘‘อลํวจนิยตฺตํ วา’’ติอาทิฯ คาถาพนฺธวเสน รโสฺส, ‘‘อลํวจนียตฺต’’นฺติ คเหตพฺพํฯ โย สเนฺทสํ เปเสติ, ตสฺมิํ ปฎิพทฺธภาวนฺติ อโตฺถฯ ปณฺณตฺติํ วาติ สญฺจริตฺตสิกฺขาปทสงฺขาตํ ปณฺณตฺติํ วา อชานโต อจิตฺตกมุทีริตนฺติ สมฺพโนฺธฯ
376.Idaṃ sañcarittasikkhāpadaṃ. Atha vā liṅgavipallāsena ca ayaṃ saṅghādisesoti gahetabbo. Kāyato, vācato, kāyavācato, kāyacittato, vācācittato, kāyavācācittato vā uppajjanato chasamuṭṭhānaṃ. Tato eva acittakamudīritaṃ. Missakasamuṭṭhānañhi acittakaṃ. Avasesacittesupi yasmiṃ citte asati acittakaṃ nāma hoti, taṃ dassetumāha ‘‘alaṃvacaniyattaṃvā’’tiādi. Gāthābandhavasena rasso, ‘‘alaṃvacanīyatta’’nti gahetabbaṃ. Yo sandesaṃ peseti, tasmiṃ paṭibaddhabhāvanti attho. Paṇṇattiṃ vāti sañcarittasikkhāpadasaṅkhātaṃ paṇṇattiṃ vā ajānato acittakamudīritanti sambandho.
๓๗๗. สาสนนฺติ มาตุคามสฺส, ปุริสสฺส วา สาสนํฯ กายวิกาเรนาติ สีสกมฺปนาทินา กายวิกาเรนฯ คเหตฺวาติ ปฎิคฺคเหตฺวาฯ ตํ อุปคมฺมาติ ปฎิคฺคหิตสาสนํ ยสฺส วตฺตพฺพํ โหติ, ตํ มาตุคามํ, ปุริสํ วา อุปคมฺมฯ วีมํสิตฺวาติ ตํ กิจฺจํ ตีเรตฺวาฯ หรนฺตสฺสาติ ปจฺจาหรนฺตสฺสฯ กายโต สิยาติ วจีเภทํ วินา ปฎิคฺคหณาทีนํ กาเยเนว กตตฺตา กายสมุฎฺฐานโตว สงฺฆาทิเสโส โหตีติ อโตฺถฯ
377.Sāsananti mātugāmassa, purisassa vā sāsanaṃ. Kāyavikārenāti sīsakampanādinā kāyavikārena. Gahetvāti paṭiggahetvā. Taṃ upagammāti paṭiggahitasāsanaṃ yassa vattabbaṃ hoti, taṃ mātugāmaṃ, purisaṃ vā upagamma. Vīmaṃsitvāti taṃ kiccaṃ tīretvā. Harantassāti paccāharantassa. Kāyato siyāti vacībhedaṃ vinā paṭiggahaṇādīnaṃ kāyeneva katattā kāyasamuṭṭhānatova saṅghādiseso hotīti attho.
๓๗๘. อิตฺถิยา วจนํ สุตฺวาติ โยชนาฯ ยถา นิสิโนฺนวาติ ปกติยา นิสินฺนฎฺฐาเนเยว นิสิโนฺนฯ ตํ วจนํฯ ตเตฺถวาคตเสฺสวาติ ยตฺถ นิสิโนฺน อิตฺถิยา สาสนํ ปฎิคฺคณฺหิ, ตเมว อาสนํ อวิชหิตฺวา อตฺตนา นิสินฺนฎฺฐานเมว อาคตสฺส สนฺนิสิตพฺพปุริสเสฺสว, เอตฺถ ‘‘อาโรเจตฺวา’’ติ ปาฐเสโสฯ ปุน ‘‘อาโรเจนฺตสฺสา’’ติ อิทํ ตเตฺถวาคตาย ตสฺสา เอว อิตฺถิยา เอวํ โยเชตพฺพํฯ สาสนํ ทตฺวา คนฺตฺวา ปุน ตเตฺถว อาคตสฺส มาตุคามเสฺสว ญาตมนนฺตรํ กายิกกิริยํ วินา วจเนเนว อาโรเจนฺตสฺสาติ อโตฺถฯ อิทํ อิตฺถิยา สาสนํ ปฎิคฺคหณาทิวเสน วุตฺตํฯ
378. Itthiyā vacanaṃ sutvāti yojanā. Yathā nisinnovāti pakatiyā nisinnaṭṭhāneyeva nisinno. Taṃ vacanaṃ. Tatthevāgatassevāti yattha nisinno itthiyā sāsanaṃ paṭiggaṇhi, tameva āsanaṃ avijahitvā attanā nisinnaṭṭhānameva āgatassa sannisitabbapurisasseva, ettha ‘‘ārocetvā’’ti pāṭhaseso. Puna ‘‘ārocentassā’’ti idaṃ tatthevāgatāya tassā eva itthiyā evaṃ yojetabbaṃ. Sāsanaṃ datvā gantvā puna tattheva āgatassa mātugāmasseva ñātamanantaraṃ kāyikakiriyaṃ vinā vacaneneva ārocentassāti attho. Idaṃ itthiyā sāsanaṃ paṭiggahaṇādivasena vuttaṃ.
อถ วา ปุริสสฺส วจนํ สุตฺวา ยถานิสิโนฺนว ตํ วจนํ อิตฺถิยา อาโรเจตฺวา ปุน ตเตฺถวาคตเสฺสว ปุริสสฺส อาโรเจนฺตสฺสาติ เอวํ ปุริสสเนฺทสํ ปฎิคฺคหณาทิวเสนาปิ โยชนา กาตพฺพาฯ เอตฺถ จ ตเตฺถวาคตสฺสาติ อุปลกฺขณํฯ สาสนวจนมเตฺตเนว ปฎิคฺคเหตฺวา, กิจฺจนฺตเรน คนฺตฺวา วา ยทิจฺฉาวเสน ทิฎฺฐฎฺฐาเน วา วตฺวา ปุนปิ ตเตฺถว ทิฎฺฐฎฺฐาเน ปุน อาโรเจนฺตสฺส จ วจเนเนว สมุฎฺฐานภาโว เวทิตโพฺพฯ
Atha vā purisassa vacanaṃ sutvā yathānisinnova taṃ vacanaṃ itthiyā ārocetvā puna tatthevāgatasseva purisassa ārocentassāti evaṃ purisasandesaṃ paṭiggahaṇādivasenāpi yojanā kātabbā. Ettha ca tatthevāgatassāti upalakkhaṇaṃ. Sāsanavacanamatteneva paṭiggahetvā, kiccantarena gantvā vā yadicchāvasena diṭṭhaṭṭhāne vā vatvā punapi tattheva diṭṭhaṭṭhāne puna ārocentassa ca vacaneneva samuṭṭhānabhāvo veditabbo.
๓๗๙. ‘‘อลํ…เป.… อชานโต’’ติ อจิตฺตกตฺตการณํ วุตฺตเมว, กสฺมา ปุน ‘‘อชานนฺตสฺส ปณฺณตฺติ’’นฺติ วุตฺตนฺติ เจ? ตทุภยสฺสาปิ วิสุํ การณาภาวํ วิญฺญาเปตุํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ นํ วิธินฺติ สาสนํ ปฎิคฺคเหตฺวา อาหริตฺวา อาโรเจตฺวา ปจฺจาหริตฺวา อาโรจนสงฺขาตํ วิธานํฯ อรหโตปีติ ขีณาสวสฺสปิ, เสขปุถุชฺชนานํ ปเควาติ อยมโตฺถ สมฺภาวนเตฺถน อปิ-สเทฺทน โชติโตฯ
379. ‘‘Alaṃ…pe… ajānato’’ti acittakattakāraṇaṃ vuttameva, kasmā puna ‘‘ajānantassa paṇṇatti’’nti vuttanti ce? Tadubhayassāpi visuṃ kāraṇābhāvaṃ viññāpetuṃ vuttanti veditabbaṃ. Naṃ vidhinti sāsanaṃ paṭiggahetvā āharitvā ārocetvā paccāharitvā ārocanasaṅkhātaṃ vidhānaṃ. Arahatopīti khīṇāsavassapi, sekhaputhujjanānaṃ pagevāti ayamattho sambhāvanatthena api-saddena jotito.
๓๘๐. ชานิตฺวาติ อลํวจนียภาวํ วา ปณฺณตฺติํ วา อุภยเมว วา ชานิตฺวาฯ ตถาติ กายวาจโต กโรนฺตสฺสาติ อิมินา โยเชตพฺพํฯ สจิตฺตเกหีติ ยถาวุตฺตจิเตฺตน สจิตฺตเกหิฯ เตเหวาติ กายาทีหิ เตหิ เอว, ‘‘ตีเหวา’’ติปิ ปาโฐฯ
380.Jānitvāti alaṃvacanīyabhāvaṃ vā paṇṇattiṃ vā ubhayameva vā jānitvā. Tathāti kāyavācato karontassāti iminā yojetabbaṃ. Sacittakehīti yathāvuttacittena sacittakehi. Tehevāti kāyādīhi tehi eva, ‘‘tīhevā’’tipi pāṭho.
สญฺจริตฺตกถาวณฺณนาฯ
Sañcarittakathāvaṇṇanā.
๓๘๑-๒. สยํยาจิตเกเหวาติ เอตฺถ ‘‘อุปกรเณหี’’ติ ปาฐเสโส, ‘‘ปุริสํ เทถา’’ติอาทินา นเยน อตฺตนาว ยาจิตฺวา คหิเตหิ อุปกรเณเหวาติ อโตฺถฯ ยถาห ‘‘สญฺญาจิกา นาม สยํ ยาจิตฺวา ปุริสมฺปิ ปุริสตฺตกรมฺปิ โคณมฺปิ สกฎมฺปิ วาสิมฺปิ ปรสุมฺปิ กุฐาริมฺปิ กุทาลมฺปิ นิขาทนมฺปี’’ติ ฯ เอตฺถ เอว-กาเรน อยาจิตํ นิวเตฺตติฯ เตน อสฺสามิกนฺติ ทีปิตํ โหติฯ ‘‘กุฎิก’’นฺติ อิมินา ‘‘กุฎิ นาม อุลฺลิตฺตา วา โหติ อวลิตฺตา วา อุลฺลิตฺตาวลิตฺตา วา’’ติ (ปารา. ๓๔๙) วุตฺตตฺตา ภูมิโต ปฎฺฐาย ภิตฺติจฺฉทนานิ ปฎิจฺฉาเทตฺวา มตฺติกาย วา สุธาย วา ทฺวารวาตปานาทิอเลโปกาสํ ฐเปตฺวา อโนฺต ลิตฺตภาเวน อุลฺลิตฺตานามกํ วา ตถา พหิ ลิตฺตภาเวน อวลิตฺตานามกํ วา อโนฺต จ พหิ จ ลิตฺตภาเวน อุลฺลิตฺตาวลิตฺตานามกํ วา กุฎินฺติ วุตฺตํ โหติฯ
381-2.Sayaṃyācitakehevāti ettha ‘‘upakaraṇehī’’ti pāṭhaseso, ‘‘purisaṃ dethā’’tiādinā nayena attanāva yācitvā gahitehi upakaraṇehevāti attho. Yathāha ‘‘saññācikā nāma sayaṃ yācitvā purisampi purisattakarampi goṇampi sakaṭampi vāsimpi parasumpi kuṭhārimpi kudālampi nikhādanampī’’ti . Ettha eva-kārena ayācitaṃ nivatteti. Tena assāmikanti dīpitaṃ hoti. ‘‘Kuṭika’’nti iminā ‘‘kuṭi nāma ullittā vā hoti avalittā vā ullittāvalittā vā’’ti (pārā. 349) vuttattā bhūmito paṭṭhāya bhitticchadanāni paṭicchādetvā mattikāya vā sudhāya vā dvāravātapānādialepokāsaṃ ṭhapetvā anto littabhāvena ullittānāmakaṃ vā tathā bahi littabhāvena avalittānāmakaṃ vā anto ca bahi ca littabhāvena ullittāvalittānāmakaṃ vā kuṭinti vuttaṃ hoti.
อปฺปมาณิกนฺติ ‘‘ตตฺริทํ ปมาณํ, ทีฆโส ทฺวาทสวิทตฺถิโย สุคตวิทตฺถิยา, ติริยํ สตฺตนฺตรา’’ติ (ปารา. ๓๔๘) ทีฆปุถุลานํ วุตฺตปฺปมาเณน อติเรกตฺตา อปฺปมาณิกนฺติ อโตฺถฯ
Appamāṇikanti ‘‘tatridaṃ pamāṇaṃ, dīghaso dvādasavidatthiyo sugatavidatthiyā, tiriyaṃ sattantarā’’ti (pārā. 348) dīghaputhulānaṃ vuttappamāṇena atirekattā appamāṇikanti attho.
เอตฺถ จ ติลกฺขณํ ปฎิวิชฺฌิตฺวา ตีณิ กิเลสมูลานิ อุปฺปาเฎตฺวา กาลตฺตยวตฺต สพฺพธเมฺม ปฎิวิชฺฌิตฺวา ติภุวเนกปฎิสรณภูตสฺส ภควโต ธมฺมราชสฺส องฺคุลํ ปมาณมชฺฌิมปุริสสฺส องฺคุลโต ติวงฺคุลํ โหติ, เอกา วิทตฺถิ ติโสฺส วิทตฺถิโย โหนฺติ, เอกํ รตนํ ตีณิ รตนานิ โหนฺตีติ เอวํ นิยมิตา สุคตวิทตฺถิ จ วฑฺฒกิรตเนน ทิยฑฺฒรตนปฺปมาณา โหติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘สุคตวิทตฺถิ นาม อิทานิ มชฺฌิมสฺส ปุริสสฺส ติโสฺส วิทตฺถิโย วฑฺฒกิหเตฺถน ทิยโฑฺฒ หโตฺถ โหตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๓๔๘-๓๔๙)ฯ ตสฺมา สุคตวิทตฺถิยา ทฺวาทส วฑฺฒกิหเตฺถน อฎฺฐารส หตฺถา โหนฺติฯ ‘‘ทีฆโส ทฺวาทส วิทตฺถิโย สุคตวิทตฺถิยาติ พาหิริเมน มาเนนา’’ติ (ปารา. ๓๔๙) ปทภาชเน วุตฺตตฺตา อนฺติมํ สุธาเลปํ อคฺคเหตฺวา ถุสมตฺติกปริยเนฺตน วา มหามตฺติกปริยเนฺตน วา พาหิรนฺตโต อฎฺฐารสหตฺถปฺปมาณํ, ‘‘ติริยํ สตฺตนฺตราติ อพฺภนฺตริเมน มาเนนา’’ติ (ปารา. ๓๔๙) ปทภาชเน วุตฺตตฺตา อพฺภนฺตริเมน ปุถุลโต ทฺวาทสงฺคุลาธิกทสหตฺถปฺปมาณญฺจ กุฎิยา ปมาณนฺติ คเหตพฺพํฯ เอวํ ฐิตปมาณโต ทีฆโต ปุถุลโต วา อุภโต วา เกสคฺคมตฺตาธิกาปิ กุฎิ อาปตฺติยา องฺคํ โหตีติ ทเสฺสตุํ ‘‘อปฺปมาณิก’’นฺติ อาหาติ สเงฺขปโต เวทิตพฺพํฯ
Ettha ca tilakkhaṇaṃ paṭivijjhitvā tīṇi kilesamūlāni uppāṭetvā kālattayavatta sabbadhamme paṭivijjhitvā tibhuvanekapaṭisaraṇabhūtassa bhagavato dhammarājassa aṅgulaṃ pamāṇamajjhimapurisassa aṅgulato tivaṅgulaṃ hoti, ekā vidatthi tisso vidatthiyo honti, ekaṃ ratanaṃ tīṇi ratanāni hontīti evaṃ niyamitā sugatavidatthi ca vaḍḍhakiratanena diyaḍḍharatanappamāṇā hoti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘sugatavidatthi nāma idāni majjhimassa purisassa tisso vidatthiyo vaḍḍhakihatthena diyaḍḍho hattho hotī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.348-349). Tasmā sugatavidatthiyā dvādasa vaḍḍhakihatthena aṭṭhārasa hatthā honti. ‘‘Dīghaso dvādasa vidatthiyo sugatavidatthiyāti bāhirimena mānenā’’ti (pārā. 349) padabhājane vuttattā antimaṃ sudhālepaṃ aggahetvā thusamattikapariyantena vā mahāmattikapariyantena vā bāhirantato aṭṭhārasahatthappamāṇaṃ, ‘‘tiriyaṃ sattantarāti abbhantarimena mānenā’’ti (pārā. 349) padabhājane vuttattā abbhantarimena puthulato dvādasaṅgulādhikadasahatthappamāṇañca kuṭiyā pamāṇanti gahetabbaṃ. Evaṃ ṭhitapamāṇato dīghato puthulato vā ubhato vā kesaggamattādhikāpi kuṭi āpattiyā aṅgaṃ hotīti dassetuṃ ‘‘appamāṇika’’nti āhāti saṅkhepato veditabbaṃ.
อตฺตุเทฺทสนฺติ อุทฺทิสิตโพฺพติ อุเทฺทโส, อตฺตา อุเทฺทโส เอติสฺสาติ อตฺตุเทฺทสา, กุฎิ, ตํ อตฺตุเทฺทสํฯ ‘‘อตฺตุเทฺทสนฺติ อตฺตโน อตฺถายา’’ติ ปทภาชเน วุตฺตตฺตา ‘‘มยฺหํ เอสา วาสตฺถาย ภวิสฺสตี’’ติ อตฺตานํ อุทฺทิสิตฺวาติ อโตฺถฯ ‘‘กโรนฺตสฺสา’’ติ อิทํ ‘‘การยมาเนนาติ กโรโนฺต วา การาเปโนฺต วา’’ติ ปทภาชเน วุตฺตนเยน ปโยชกกตฺตุโน จ คเหตพฺพตฺตา อุปลกฺขณนฺติ คเหตพฺพํฯ ตถาติ เตเนว ปกาเรน, เยหิ อสฺสามิกตาทีหิ ปกาเรหิ ยุตฺตํ ปมาณาติกฺกนฺตํ กุฎิํ กโรนฺตสฺส อาปตฺติ, เตเหว ปกาเรหิ ยุตฺตํ อเทสิตวตฺถุกมฺปิ กุฎิํ กโรนฺตสฺสาติฯ อิมินา อปฺปมาณิกํ วิย อเทสิตวตฺถุกมฺปิ วิสุํเยว อาปตฺติยา ปธานงฺคนฺติฯ วสติ เอตฺถาติ วตฺถุ, ภูมิ, สา อเทสิตา เอติสฺสาติ อเทสิตวตฺถุกา, กุฎิ, ตํ อเทสิตวตฺถุกํฯ
Attuddesanti uddisitabboti uddeso, attā uddeso etissāti attuddesā, kuṭi, taṃ attuddesaṃ. ‘‘Attuddesanti attano atthāyā’’ti padabhājane vuttattā ‘‘mayhaṃ esā vāsatthāya bhavissatī’’ti attānaṃ uddisitvāti attho. ‘‘Karontassā’’ti idaṃ ‘‘kārayamānenāti karonto vā kārāpento vā’’ti padabhājane vuttanayena payojakakattuno ca gahetabbattā upalakkhaṇanti gahetabbaṃ. Tathāti teneva pakārena, yehi assāmikatādīhi pakārehi yuttaṃ pamāṇātikkantaṃ kuṭiṃ karontassa āpatti, teheva pakārehi yuttaṃ adesitavatthukampi kuṭiṃ karontassāti. Iminā appamāṇikaṃ viya adesitavatthukampi visuṃyeva āpattiyā padhānaṅganti. Vasati etthāti vatthu, bhūmi, sā adesitā etissāti adesitavatthukā, kuṭi, taṃ adesitavatthukaṃ.
กิํ วุตฺตํ โหติ? เตน กุฎิกาเรน ภิกฺขุนา กุฎิวตฺถุํ โสเธตฺวา สมตลํ กาเรตฺวา สงฺฆํ อุปสงฺกมิตฺวา วุฑฺฒานํ ภิกฺขูนํ ปาเท วนฺทิตฺวา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา ‘‘อหํ ภเนฺต สญฺญาจิกาย กุฎิํ กตฺตุกาโม อสฺสามิกํ อตฺตุเทฺทสํ, โสหํ ภเนฺต สงฺฆํ กุฎิวตฺถุโอโลกนํ ยาจามี’’ติ ติกฺขตฺตุํ วตฺวา ยาจิเตน สเงฺฆน วา สเงฺฆน ญตฺติทุติยาย กมฺมวาจาย สมฺมเตหิ พฺยเตฺตหิ ปฎิพเลหิ ทฺวีหิ ภิกฺขูหิ วา เตน สทฺธิํ คนฺตฺวา กุฎิวตฺถุํ โอโลเกตฺวา สารมฺภภาวํ วา อปริกฺกมนภาวํ วา อุภยเมว วา ปสฺสเนฺตหิ ‘‘มายิธ กรี’’ติ นิวาเรตฺวา อนารมฺภํ เจ โหติ สปริกฺกมนํ, อาคนฺตฺวา สงฺฆสฺส อาโรจิเต กุฎิการเกเนว ภิกฺขุนา ปุเพฺพ วุตฺตนเยน สงฺฆํ อุปสงฺกมิตฺวา วุฑฺฒานํ ภิกฺขูนํ ปาเท วนฺทิตฺวา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา ‘‘อหํ ภเนฺต สญฺญาจิกาย กุฎิํ กตฺตุกาโม อสฺสามิกํ อตฺตุเทฺทสํ, โสหํ ภเนฺต สงฺฆํ กุฎิวตฺถุเทสนํ ยาจามี’’ติ ติกฺขตฺตุํ วตฺวา ยาจิเต วุฑฺฒานุมเตน พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน ญตฺติทุติยาย กมฺมวาจาย เทเสตฺวา นิยฺยาทิตกุฎิวตฺถุสฺส อภาวา อเทสิตวตฺถุกํ, เตเนว อสฺสามิกตาทิปกาเรน ยุตฺตํ ยถาวุตฺตปฺปการํ กุฎิกํ อตฺตนา ยาจิเตหิ อุปกรเณหิ กโรนฺตสฺส, การาเปนฺตสฺส จาติ วุตฺตํ โหติฯ
Kiṃ vuttaṃ hoti? Tena kuṭikārena bhikkhunā kuṭivatthuṃ sodhetvā samatalaṃ kāretvā saṅghaṃ upasaṅkamitvā vuḍḍhānaṃ bhikkhūnaṃ pāde vanditvā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā ‘‘ahaṃ bhante saññācikāya kuṭiṃ kattukāmo assāmikaṃ attuddesaṃ, sohaṃ bhante saṅghaṃ kuṭivatthuolokanaṃ yācāmī’’ti tikkhattuṃ vatvā yācitena saṅghena vā saṅghena ñattidutiyāya kammavācāya sammatehi byattehi paṭibalehi dvīhi bhikkhūhi vā tena saddhiṃ gantvā kuṭivatthuṃ oloketvā sārambhabhāvaṃ vā aparikkamanabhāvaṃ vā ubhayameva vā passantehi ‘‘māyidha karī’’ti nivāretvā anārambhaṃ ce hoti saparikkamanaṃ, āgantvā saṅghassa ārocite kuṭikārakeneva bhikkhunā pubbe vuttanayena saṅghaṃ upasaṅkamitvā vuḍḍhānaṃ bhikkhūnaṃ pāde vanditvā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā ‘‘ahaṃ bhante saññācikāya kuṭiṃ kattukāmo assāmikaṃ attuddesaṃ, sohaṃ bhante saṅghaṃ kuṭivatthudesanaṃ yācāmī’’ti tikkhattuṃ vatvā yācite vuḍḍhānumatena byattena bhikkhunā paṭibalena ñattidutiyāya kammavācāya desetvā niyyāditakuṭivatthussa abhāvā adesitavatthukaṃ, teneva assāmikatādipakārena yuttaṃ yathāvuttappakāraṃ kuṭikaṃ attanā yācitehi upakaraṇehi karontassa, kārāpentassa cāti vuttaṃ hoti.
เทฺว สงฺฆาทิเสสา โหนฺตีติ ‘‘ภิกฺขู วา อนภิเนยฺย วตฺถุเทสนาย, ปมาณํ วา อติกฺกาเมยฺย, สงฺฆาทิเสโส’’ติ (ปารา. ๓๔๘) ตุลฺยพลตาสูจเกน วา-สเทฺทน สมฺปิณฺฑิตฺวา วุตฺตองฺคทฺวยสหิตตฺตา เทฺว สงฺฆาทิเสสา โหนฺตีติ อโตฺถฯ ยถาห ‘‘ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ อเทสิตวตฺถุกํ ปมาณาติกฺกนฺตํ อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ สงฺฆาทิเสสาน’’นฺติ (ปารา. ๓๕๕) จ ‘‘ภิกฺขุกุฎิํ กโรติ อเทสิตวตฺถุกํ อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺสา’’ติ (ปารา. ๓๕๔) จ ‘‘ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ ปมาณาติกฺกนฺตํ อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺสา’’ติ (ปารา. ๓๕๕) จ วุตฺตตฺตา ทฺวีสุ อเงฺคสุ เอกํ เจ, เอโกว สงฺฆาทิเสโส โหตีติฯ ตํ ปน ‘‘สเจ เอกวิปนฺนา สา, ครุกํ เอกกํ สิยา’’ติ วกฺขติฯ
Dve saṅghādisesā hontīti ‘‘bhikkhū vā anabhineyya vatthudesanāya, pamāṇaṃ vā atikkāmeyya, saṅghādiseso’’ti (pārā. 348) tulyabalatāsūcakena vā-saddena sampiṇḍitvā vuttaaṅgadvayasahitattā dve saṅghādisesā hontīti attho. Yathāha ‘‘bhikkhu kuṭiṃ karoti adesitavatthukaṃ pamāṇātikkantaṃ anārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti dvinnaṃ saṅghādisesāna’’nti (pārā. 355) ca ‘‘bhikkhukuṭiṃ karoti adesitavatthukaṃ anārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesassā’’ti (pārā. 354) ca ‘‘bhikkhu kuṭiṃ karoti pamāṇātikkantaṃ anārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesassā’’ti (pārā. 355) ca vuttattā dvīsu aṅgesu ekaṃ ce, ekova saṅghādiseso hotīti. Taṃ pana ‘‘sace ekavipannā sā, garukaṃ ekakaṃ siyā’’ti vakkhati.
สารมฺภาทีสูติ เอตฺถ สารมฺภ-สโทฺท โสปทฺทวปริยาโยฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘สารมฺภํ อนารมฺภนฺติ สอุปทฺทวํ อนุปทฺทว’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๓๔๘-๓๔๙)ฯ เอตฺถ ‘‘เสตํ ฉาคมารเภถ ยชมาโน’’ติ ปโยเค วิย อา-ปุพฺพสฺส รภสฺส หิํสเตฺถปิ ทิสฺสมานตฺตา กตฺตุสาธโน อารมฺภ-สโทฺท หิํสกานํ กิปิลฺลิกาทิสตฺตานํ วาจโก ภวตีติ ตํสหิตฎฺฐานํ สารมฺภํ นาม โหติฯ เตเนว ปทภาชเนปิ วุตฺตํ ‘‘สารมฺภํ นาม กิปิลฺลิกานํ วา อาสโย โหติ, อุปจิกานํ วา, อุนฺทูรานํ วา, อหีนํ วา, วิจฺฉิกานํ วา, สตปทีนํ วา, หตฺถีนํ วา, อสฺสานํ วา, สีหานํ วา, พฺยคฺฆานํ วา…เป.… อาสโย โหตี’’ติ (ปารา. ๓๕๓)ฯ
Sārambhādīsūti ettha sārambha-saddo sopaddavapariyāyo. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘sārambhaṃ anārambhanti saupaddavaṃ anupaddava’’nti (pārā. aṭṭha. 2.348-349). Ettha ‘‘setaṃ chāgamārabhetha yajamāno’’ti payoge viya ā-pubbassa rabhassa hiṃsatthepi dissamānattā kattusādhano ārambha-saddo hiṃsakānaṃ kipillikādisattānaṃ vācako bhavatīti taṃsahitaṭṭhānaṃ sārambhaṃ nāma hoti. Teneva padabhājanepi vuttaṃ ‘‘sārambhaṃ nāma kipillikānaṃ vā āsayo hoti, upacikānaṃ vā, undūrānaṃ vā, ahīnaṃ vā, vicchikānaṃ vā, satapadīnaṃ vā, hatthīnaṃ vā, assānaṃ vā, sīhānaṃ vā, byagghānaṃ vā…pe… āsayo hotī’’ti (pārā. 353).
อาทิ-สเทฺทน อปริกฺกมนํ สงฺคณฺหาติฯ ‘‘สปริกฺกมนํ นาม สกฺกา โหติ ยถายุเตฺตน สกเฎน อนุปริคนฺตุํ, สมนฺตา นิเสฺสณิยา อนุปริคนฺตุํ, เอตํ สปริกฺกมนํ นามา’’ติ (ปารา. ๓๕๓) วุตฺตลกฺขณวิปริยายโต นิพฺพโกสสฺส อุทกปาตฎฺฐาเน เอกํ จกฺกํ ฐเปตฺวา อิตรํ จกฺกํ พหิ ฐเปตฺวา กุฎิํ ปริกฺขิปิตฺวา อาวชฺชิยมานสฺส โคยุตฺตสกฎสฺส วา นิเสฺสณิยํ ฐตฺวา กุฎิํ ฉาทยมานานํ นิเสฺสณิยา วา ปรโต คมิตุมสกฺกุเณยฺยตฺตา อปริกฺกมนนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Ādi-saddena aparikkamanaṃ saṅgaṇhāti. ‘‘Saparikkamanaṃ nāma sakkā hoti yathāyuttena sakaṭena anuparigantuṃ, samantā nisseṇiyā anuparigantuṃ, etaṃ saparikkamanaṃ nāmā’’ti (pārā. 353) vuttalakkhaṇavipariyāyato nibbakosassa udakapātaṭṭhāne ekaṃ cakkaṃ ṭhapetvā itaraṃ cakkaṃ bahi ṭhapetvā kuṭiṃ parikkhipitvā āvajjiyamānassa goyuttasakaṭassa vā nisseṇiyaṃ ṭhatvā kuṭiṃ chādayamānānaṃ nisseṇiyā vā parato gamitumasakkuṇeyyattā aparikkamananti veditabbaṃ.
เอวํ วุตฺตสารมฺภอปริกฺกมนสงฺขาตองฺคทฺวเยน ยุตฺตํ เจ, เทฺว ทุกฺกฎานิ โหนฺติฯ ยถาห ‘‘ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ เทสิตวตฺถุกํ ปมาณิกํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎาน’’นฺติ (ปารา. ๓๕๕)ฯ เอกํ เจ, เอกเมว โหติฯ ยถาห ‘‘ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ เทสิตวตฺถุกํ ปมาณิกํ สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ เทสิตวตฺถุกํ ปมาณิกํ อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปารา. ๓๕๕) เอตํ ตยมฺปิ ‘‘สารมฺภาทีสุ ทุกฺกฎ’’นฺติ สามเญฺญน สงฺคหิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Evaṃ vuttasārambhaaparikkamanasaṅkhātaaṅgadvayena yuttaṃ ce, dve dukkaṭāni honti. Yathāha ‘‘bhikkhu kuṭiṃ karoti desitavatthukaṃ pamāṇikaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dvinnaṃ dukkaṭāna’’nti (pārā. 355). Ekaṃ ce, ekameva hoti. Yathāha ‘‘bhikkhu kuṭiṃ karoti desitavatthukaṃ pamāṇikaṃ sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa. Bhikkhu kuṭiṃ karoti desitavatthukaṃ pamāṇikaṃ anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassā’’ti (pārā. 355) etaṃ tayampi ‘‘sārambhādīsu dukkaṭa’’nti sāmaññena saṅgahitanti daṭṭhabbaṃ.
เอกํ องฺคํ ปมาณิกตฺตํ วา เทสิตวตฺถุกตฺตํ วา วิปนฺนํ เอติสฺสาติ เอกวิปนฺนาฯ ปุเพฺพ วุตฺตตฺถานํ สงฺฆาทิเสสาทิปทานมโตฺถ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ สาติ ยถาวุตฺตลกฺขณกุฎิฯ
Ekaṃ aṅgaṃ pamāṇikattaṃ vā desitavatthukattaṃ vā vipannaṃ etissāti ekavipannā. Pubbe vuttatthānaṃ saṅghādisesādipadānamattho vuttanayeneva veditabbo. Sāti yathāvuttalakkhaṇakuṭi.
๓๘๓. อิทานิ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท อฎฺฐุปฺปตฺติยํ ‘‘เต ยาจนพหุลา วิญฺญตฺติพหุลา วิหรนฺติ ‘ปุริสํ เทถ ปุริสตฺตกรํ เทถา’’ติอาทิปาฬิยา (ปารา. ๓๔๒) อฎฺฐกถายํ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๓๔๒) อาคตํ กปฺปิยากปฺปิยวินิจฺฉยํ สเงฺขปโต ทเสฺสตุมาห ‘‘ปุริส’’นฺติอาทิฯ กมฺมสหายตฺถายาติ กิสฺมิญฺจิ กเมฺม สหายภาวาย, กมฺมกรณตฺถายาติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘อิตฺถนฺนามํ กมฺมํ กาตุํ ปุริสํ ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติ ยาจิตุํ วฎฺฎตีติ อโตฺถฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘กมฺมกรณตฺถาย ‘ปุริสํ เทถา’ติ ยาจิตุํ วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๓๔๒)ฯ มูลเจฺฉชฺชวเสนาติ สามิกานํ อายตฺตภาวสงฺขาตมูลสฺส ฉินฺทนวเสน, อตฺตโน อายตฺตภาวกรณวเสนาติ วุตฺตํ โหติฯ
383. Idāni imasmiṃ sikkhāpade aṭṭhuppattiyaṃ ‘‘te yācanabahulā viññattibahulā viharanti ‘purisaṃ detha purisattakaraṃ dethā’’tiādipāḷiyā (pārā. 342) aṭṭhakathāyaṃ (pārā. aṭṭha. 2.342) āgataṃ kappiyākappiyavinicchayaṃ saṅkhepato dassetumāha ‘‘purisa’’ntiādi. Kammasahāyatthāyāti kismiñci kamme sahāyabhāvāya, kammakaraṇatthāyāti vuttaṃ hoti. ‘‘Itthannāmaṃ kammaṃ kātuṃ purisaṃ laddhuṃ vaṭṭatī’’ti yācituṃ vaṭṭatīti attho. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘kammakaraṇatthāya ‘purisaṃ dethā’ti yācituṃ vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.342). Mūlacchejjavasenāti sāmikānaṃ āyattabhāvasaṅkhātamūlassa chindanavasena, attano āyattabhāvakaraṇavasenāti vuttaṃ hoti.
๓๘๔. อวชฺชนฺติ วชฺชรหิตํ, นิโทฺทสนฺติ อโตฺถฯ มิคลุทฺทกมจฺฉพนฺธกาทีนํ สกกมฺมํ วชฺชกมฺมํ นามฯ ตสฺมา มิคลุทฺทกาทโย หตฺถกมฺมํ ยาจเนฺตน ปน ‘‘ตุมฺหากํ หตฺถกมฺมํ เทถา’’ติ, ‘‘หตฺถกมฺมํ ทาตพฺพ’’นฺติ สามเญฺญน อวตฺวา ‘‘อิตฺถนฺนามํ กมฺมํ ทาตพฺพ’’นฺติ วิเสเสตฺวาเยว ยาจิตพฺพํฯ ลุทฺทเก วา อิตเร วา นิกฺกเมฺม อยาจิตฺวาปิ ยถารุจิ กมฺมํ การาเปตุํ วฎฺฎติฯ หตฺถกมฺมยาจนาย สพฺพถาปิ กปฺปิยภาวํ ทีเปตุํ ตํตํสิปฺปิเก ยาจิตฺวา มหนฺตมฺปิ ปาสาทํ การาเปเนฺตน หตฺถกเมฺม ยาจิเต อตฺตโน อโนกาสภาวํ ญตฺวา อเญฺญสํ กโรนฺตานํ ทาตพฺพํ มูลํ ทิยฺยมานํ อธิวาเสตุํ วฎฺฎตีติ วิตฺถารโต อฎฺฐกถายํ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๓๔๒ อตฺถโตสมานํ) วุตฺตตฺตา กุสลานํ อตฺถํ อปริหาเปเนฺตน กปฺปิเยน สารุเปฺปน ปโยเคน ยาจิตพฺพํฯ ยาจิตกมฺมํ กาตุํ อสมเตฺถหิ กโรนฺตานํ ทิยฺยมานํ หตฺถกมฺมมูลํ กมฺมํ การาเปตฺวา กมฺมการเก ทเสฺสตฺวา ทาเปตพฺพํฯ เอวํ ยาจนาย อนวชฺชภาเว อฎฺฐกถาคตํ การณํ ทเสฺสตุมาห ‘‘หตฺถกมฺมมฺปี’’ติอาทิฯ ปิ-สโทฺท อวธารเณ, ปทปูรเณ วาฯ หิ-สโทฺท เหตุมฺหิฯ ยสฺมา อิทํ หตฺถกมฺมํ กิญฺจิ วตฺถุ น โหติ, ตสฺมา อนวชฺชเมว หตฺถกมฺมํ ยาจิตุํ ปน วฎฺฎตีติฯ
384.Avajjanti vajjarahitaṃ, niddosanti attho. Migaluddakamacchabandhakādīnaṃ sakakammaṃ vajjakammaṃ nāma. Tasmā migaluddakādayo hatthakammaṃ yācantena pana ‘‘tumhākaṃ hatthakammaṃ dethā’’ti, ‘‘hatthakammaṃ dātabba’’nti sāmaññena avatvā ‘‘itthannāmaṃ kammaṃ dātabba’’nti visesetvāyeva yācitabbaṃ. Luddake vā itare vā nikkamme ayācitvāpi yathāruci kammaṃ kārāpetuṃ vaṭṭati. Hatthakammayācanāya sabbathāpi kappiyabhāvaṃ dīpetuṃ taṃtaṃsippike yācitvā mahantampi pāsādaṃ kārāpentena hatthakamme yācite attano anokāsabhāvaṃ ñatvā aññesaṃ karontānaṃ dātabbaṃ mūlaṃ diyyamānaṃ adhivāsetuṃ vaṭṭatīti vitthārato aṭṭhakathāyaṃ (pārā. aṭṭha. 2.342 atthatosamānaṃ) vuttattā kusalānaṃ atthaṃ aparihāpentena kappiyena sāruppena payogena yācitabbaṃ. Yācitakammaṃ kātuṃ asamatthehi karontānaṃ diyyamānaṃ hatthakammamūlaṃ kammaṃ kārāpetvā kammakārake dassetvā dāpetabbaṃ. Evaṃ yācanāya anavajjabhāve aṭṭhakathāgataṃ kāraṇaṃ dassetumāha ‘‘hatthakammampī’’tiādi. Pi-saddo avadhāraṇe, padapūraṇe vā. Hi-saddo hetumhi. Yasmā idaṃ hatthakammaṃ kiñci vatthu na hoti, tasmā anavajjameva hatthakammaṃ yācituṃ pana vaṭṭatīti.
๓๘๕. ญาตกาทิเกติ ญาตกปวาริเตฯ ฐเปตฺวาติ วเชฺชตฺวาฯ โคณมายาจมานสฺสาติ อญฺญาตกอปฺปวาริเต ตาวกาลิกํ วินา เกวลํ กมฺมกรณตฺถาย โคณํ ยาจนฺตสฺสฯ เตสุปีติ ญาตกาทีสุปิ มูลเจฺฉเชฺชน โคณมายาจนสฺส ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ ‘‘ตาวกาลิกนเยน สพฺพตฺถ วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๓๔๒) อฎฺฐกถาวจนโต ยาว กมฺมกรณกาลํ, ตาว นิยเมตฺวา ญาตกอญฺญาตกปวาริตอปฺปวาริเต สเพฺพปิ ยาจิตุํ วฎฺฎติฯ ตถา ยาจิตฺวา วา อยาจิตฺวา วา คหิโต เจ, รกฺขิตฺวา ปฎิชคฺคิตฺวา สามิกานํ นิยฺยาเทตโพฺพ, โคเณ วา นเฎฺฐ วิสาเณ วา ภิเนฺน สามิเกสุ อสมฺปฎิจฺฉเนฺตสุ ภณฺฑเทยฺยํฯ
385.Ñātakādiketi ñātakapavārite. Ṭhapetvāti vajjetvā. Goṇamāyācamānassāti aññātakaappavārite tāvakālikaṃ vinā kevalaṃ kammakaraṇatthāya goṇaṃ yācantassa. Tesupīti ñātakādīsupi mūlacchejjena goṇamāyācanassa dukkaṭanti yojanā. ‘‘Tāvakālikanayena sabbattha vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.342) aṭṭhakathāvacanato yāva kammakaraṇakālaṃ, tāva niyametvā ñātakaaññātakapavāritaappavārite sabbepi yācituṃ vaṭṭati. Tathā yācitvā vā ayācitvā vā gahito ce, rakkhitvā paṭijaggitvā sāmikānaṃ niyyādetabbo, goṇe vā naṭṭhe visāṇe vā bhinne sāmikesu asampaṭicchantesu bhaṇḍadeyyaṃ.
๓๘๖. เทมาติ เอตฺถ ‘‘ตุมฺหาก’’นฺติ ปาฐเสโสฯ ‘‘วิหารสฺส เทมา’ติ วุเตฺต ปน ‘อารามิกานํ อาจิกฺขถ ปฎิชคฺคนตฺถายา’ติ วตฺตพฺพ’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๓๔๒) อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ สกฎวินิจฺฉยสฺสาปิ โคณวินิจฺฉเยน สมานตฺตา ตํ อวตฺวา วิเสสมตฺตเมว ทเสฺสตุมาห ‘‘สกฎํ…เป.… วฎฺฎตี’’ติฯ ‘‘ตุมฺหากํ เทมาติ วุเตฺต’’ติ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ตุมฺหากเมว เทมาติ วุเตฺต ทารุภณฺฑํ นาม สมฺปฎิจฺฉิตุํ วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๓๔๒)ฯ
386.Demāti ettha ‘‘tumhāka’’nti pāṭhaseso. ‘‘Vihārassa demā’ti vutte pana ‘ārāmikānaṃ ācikkhatha paṭijagganatthāyā’ti vattabba’’nti (pārā. aṭṭha. 2.342) aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. Sakaṭavinicchayassāpi goṇavinicchayena samānattā taṃ avatvā visesamattameva dassetumāha ‘‘sakaṭaṃ…pe… vaṭṭatī’’ti. ‘‘Tumhākaṃ demāti vutte’’ti ānetvā sambandhitabbaṃ. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘tumhākameva demāti vutte dārubhaṇḍaṃ nāma sampaṭicchituṃ vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.342).
๓๘๗. กุฐาราทีสูติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน นิขาทนํ สงฺคณฺหาติฯ อยํ นโย เวทิตโพฺพติ ปาฐเสโสฯ ‘‘สกฎํ โคโณ วิย ตาวกาลิกํ อกตฺวา อญฺญาตกอปฺปวาริเต น ยาจิตพฺพํ, มูลเจฺฉชฺชวเสน อญฺญาตกอปฺปวาริเต น ยาจิตพฺพํ, ตาวกาลิกํ ยาจิตพฺพ’’นฺติ วินิจฺฉโย จ ‘‘สกฎํ…เป.… วฎฺฎตี’’ติ วิเสสวินิจฺฉโย จาติ อยํ นโย วาสิอาทีสุ จ เวทิตโพฺพติ อโตฺถฯ อนชฺฌาวุตฺถกนฺติ เกนจิ ‘‘มเมต’’นฺติ อปริคฺคหิตํ, ‘‘รกฺขิตโคปิตฎฺฐาเนเยว หิ วิญฺญตฺติ นาม วุจฺจตี’’ติ อฎฺฐกถาวจนโต อรกฺขิตาโคปิตกนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อฎฺฐกถาย วลฺลิอาทิวินิจฺฉยมฺปิ วตฺวา ‘‘อนชฺฌาวุตฺถกํ ปน ยํ กิญฺจิ อาหราเปตุํ วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๓๔๒) วุตฺตตฺตา สพฺพนฺติ อิธ วุตฺตโคณาทิกญฺจ วกฺขมานวลฺลิอาทิกญฺจ คเหตพฺพํฯ อิมินา ปุเพฺพ วุตฺตวินิจฺฉยสฺส รกฺขิตโคปิตวิสยตฺตํ ทีปิตํ โหติฯ หราเปตุมฺปิ วฎฺฎตีติ เอตฺถ อปิ-สเทฺทน ปเคว เกนจิ หริตฺวา ทินฺนนฺติ ทีเปติฯ
387.Kuṭhārādīsūti ettha ādi-saddena nikhādanaṃ saṅgaṇhāti. Ayaṃ nayo veditabboti pāṭhaseso. ‘‘Sakaṭaṃ goṇo viya tāvakālikaṃ akatvā aññātakaappavārite na yācitabbaṃ, mūlacchejjavasena aññātakaappavārite na yācitabbaṃ, tāvakālikaṃ yācitabba’’nti vinicchayo ca ‘‘sakaṭaṃ…pe… vaṭṭatī’’ti visesavinicchayo cāti ayaṃ nayo vāsiādīsu ca veditabboti attho. Anajjhāvutthakanti kenaci ‘‘mameta’’nti apariggahitaṃ, ‘‘rakkhitagopitaṭṭhāneyeva hi viññatti nāma vuccatī’’ti aṭṭhakathāvacanato arakkhitāgopitakanti vuttaṃ hoti. Aṭṭhakathāya valliādivinicchayampi vatvā ‘‘anajjhāvutthakaṃ pana yaṃ kiñci āharāpetuṃ vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.342) vuttattā sabbanti idha vuttagoṇādikañca vakkhamānavalliādikañca gahetabbaṃ. Iminā pubbe vuttavinicchayassa rakkhitagopitavisayattaṃ dīpitaṃ hoti. Harāpetumpi vaṭṭatīti ettha api-saddena pageva kenaci haritvā dinnanti dīpeti.
๓๘๘. วลฺลิอาทิมฺหีติ อาทิ-สเทฺทน เวตฺตมุญฺชติณมตฺติกา สงฺคณฺหาติฯ เอตฺถ มุญฺชปพฺพชติณํ วินา เคหจฺฉาทนติณํ ติณํ นามฯ ครุภณฺฑปฺปโหนเกติ ‘‘วลฺลิ อฑฺฒพาหุมตฺตาปี’’ติอาทินา นเยน วุตฺตลกฺขเณ ครุภณฺฑปฺปโหนเกฯ ปเรสํ สนฺตเกเยวาติ อวธารเณน น อนชฺฌาวุตฺถเก ทุกฺกฎนฺติ พฺยติเรกโต ทีเปติฯ
388.Valliādimhīti ādi-saddena vettamuñjatiṇamattikā saṅgaṇhāti. Ettha muñjapabbajatiṇaṃ vinā gehacchādanatiṇaṃ tiṇaṃ nāma. Garubhaṇḍappahonaketi ‘‘valli aḍḍhabāhumattāpī’’tiādinā nayena vuttalakkhaṇe garubhaṇḍappahonake. Paresaṃ santakeyevāti avadhāraṇena na anajjhāvutthake dukkaṭanti byatirekato dīpeti.
๓๘๙. ปจฺจเยสูติ จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนสงฺขาเตสุ ตีสุ ปจฺจเยสุฯ เอว-กาเรน คิลานปจฺจยสงฺขาเต จตุตฺถปจฺจเย วิญฺญตฺติ วฎฺฎตีติ ทีเปติฯ วิญฺญตฺติ นาม ‘‘อาหร, เทหี’’ติ อิจฺฉิตปจฺจเย นามํ วตฺวา ยาจนาฯ อฎฺฐกถายํ วุตฺตํ ‘‘สเพฺพน สพฺพํ น วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๓๔๒) สาวธารณตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘น จ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตตฺตา เนว วฎฺฎตีติ อโตฺถ คเหตโพฺพฯ
389.Paccayesūti cīvarapiṇḍapātasenāsanasaṅkhātesu tīsu paccayesu. Eva-kārena gilānapaccayasaṅkhāte catutthapaccaye viññatti vaṭṭatīti dīpeti. Viññatti nāma ‘‘āhara, dehī’’ti icchitapaccaye nāmaṃ vatvā yācanā. Aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ ‘‘sabbena sabbaṃ na vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.342) sāvadhāraṇatthaṃ dassetuṃ ‘‘na ca vaṭṭatī’’ti vuttattā neva vaṭṭatīti attho gahetabbo.
วิญฺญตฺติยา อลพฺภมานภาเวน สมตฺตา ปจฺจเยสุ ตีสุ อนนฺตรํ สหนิทฺทิฎฺฐปจฺจยตฺตยโต ตติยปจฺจเยเยว ลพฺภมานวิเสสํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตติเย ปริกโถภาสนิมิตฺตานิ จ ลพฺภเร’’ติ วุตฺตตฺตา อวสิฎฺฐทฺวเย ปน ปริกถาทโย น ลพฺภนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ อวุเตฺต จตุตฺถปจฺจเยปิ สมุจฺจยเตฺถน จ-กาเรน ปริกถาทิตฺตยํ ลพฺภตีติ สิทฺธตฺตา ‘‘ตีเสฺววา’’ติ เอว-กาเรน พฺยติเรกมุเขน วิญฺญตฺติยา จ อนุญฺญาตตฺตา จตุเตฺถ คิลานปจฺจเย ปริกโถภาสนิมิตฺตกมฺมวิญฺญตฺติโย วฎฺฎนฺตีติ สิทฺธํฯ เอตฺตาวตา จตุเตฺถ ปจฺจเย ปริกถาทโย จตฺตาโรปิ วฎฺฎนฺติ, ตติยปจฺจเย วิญฺญตฺติํ วินา เสสตฺตยํ วฎฺฎติ, ปุริมปจฺจยทฺวเย สพฺพมฺปิ น วฎฺฎตีติ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Viññattiyā alabbhamānabhāvena samattā paccayesu tīsu anantaraṃ sahaniddiṭṭhapaccayattayato tatiyapaccayeyeva labbhamānavisesaṃ dassetuṃ ‘‘tatiye parikathobhāsanimittāni ca labbhare’’ti vuttattā avasiṭṭhadvaye pana parikathādayo na labbhantīti vuttaṃ hoti. Avutte catutthapaccayepi samuccayatthena ca-kārena parikathādittayaṃ labbhatīti siddhattā ‘‘tīsvevā’’ti eva-kārena byatirekamukhena viññattiyā ca anuññātattā catutthe gilānapaccaye parikathobhāsanimittakammaviññattiyo vaṭṭantīti siddhaṃ. Ettāvatā catutthe paccaye parikathādayo cattāropi vaṭṭanti, tatiyapaccaye viññattiṃ vinā sesattayaṃ vaṭṭati, purimapaccayadvaye sabbampi na vaṭṭatīti vuttanti daṭṭhabbaṃ.
เสนาสนปจฺจเย ปริกถาทิกนฺติ อุโปสถาคาราทิกรณารหฎฺฐานํ โอโลเกตฺวา อุปาสกานํ สุณนฺตานํ ‘‘อิมสฺมิํ วต โอกาเส เอวรูปํ เสนาสนํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ วา ‘‘ยุตฺต’’นฺติ วา ‘‘อนุรูป’’นฺติ วา ปวตฺตา กถา ปริกถา นามฯ ‘‘อุปาสกา ตุเมฺห กตฺถ วสถา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘ปาสาเท ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘ภิกฺขูนํ ปน อุปาสกา ปาสาโท น วฎฺฎตี’’ติอาทินา นเยน ปวตฺตา กถา โอภาโส นามฯ อุปาสเกสุ ปสฺสมาเนสุ ภูมิยํ รชฺชุํ ปสาเรตฺวา ภูมิํ ภาเชตฺวา ขาณุเก อาโกเฎตฺวา ‘‘กิมิทํ ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘เอตฺถ อาวาสํ กโรม อุปาสกา’’ติอาทิกา กถา นิมิตฺตกถา นามฯ คิลานปจฺจเย จ อิมินา นเยน ยถารหํ เวทิตพฺพํฯ สพฺพเมตํ อฎฺฐกถาย (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๓๔๒) วุตฺตํฯ
Senāsanapaccaye parikathādikanti uposathāgārādikaraṇārahaṭṭhānaṃ oloketvā upāsakānaṃ suṇantānaṃ ‘‘imasmiṃ vata okāse evarūpaṃ senāsanaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti vā ‘‘yutta’’nti vā ‘‘anurūpa’’nti vā pavattā kathā parikathā nāma. ‘‘Upāsakā tumhe kattha vasathā’’ti pucchitvā ‘‘pāsāde bhante’’ti vutte ‘‘bhikkhūnaṃ pana upāsakā pāsādo na vaṭṭatī’’tiādinā nayena pavattā kathā obhāso nāma. Upāsakesu passamānesu bhūmiyaṃ rajjuṃ pasāretvā bhūmiṃ bhājetvā khāṇuke ākoṭetvā ‘‘kimidaṃ bhante’’ti vutte ‘‘ettha āvāsaṃ karoma upāsakā’’tiādikā kathā nimittakathā nāma. Gilānapaccaye ca iminā nayena yathārahaṃ veditabbaṃ. Sabbametaṃ aṭṭhakathāya (pārā. aṭṭha. 2.342) vuttaṃ.
๓๙๐-๓. อิทานิ กุฎิการสฺส ภิกฺขุโน อาปตฺติทสฺสนตฺถมาห ‘‘อเทสิเต’’ติอาทิฯ ตํ อุตฺตานตฺถเมวฯ นิเสนฺตสฺสาติ ปาสาเณ ฆํสิตฺวา ติขิณํ กโรนฺตสฺสฯ ปาจิตฺติยา สหาติ ‘‘ภูตคามปาตพฺยตาย ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๙๐) วุตฺตปาจิตฺติเยน สทฺธิํฯ
390-3. Idāni kuṭikārassa bhikkhuno āpattidassanatthamāha ‘‘adesite’’tiādi. Taṃ uttānatthameva. Nisentassāti pāsāṇe ghaṃsitvā tikhiṇaṃ karontassa. Pācittiyā sahāti ‘‘bhūtagāmapātabyatāya pācittiya’’nti (pāci. 90) vuttapācittiyena saddhiṃ.
อาปตฺตินฺติ ปาจิตฺติยฎฺฐาเน ปาจิตฺติยเญฺจว ทุกฺกฎญฺจ อิตรตฺร สุทฺธปโยคทุกฺกฎญฺจาติ อาปตฺติํฯ
Āpattinti pācittiyaṭṭhāne pācittiyañceva dukkaṭañca itaratra suddhapayogadukkaṭañcāti āpattiṃ.
ยา ปนาติ ยา กุฎิฯ ปฐเม ทุติเยติ เอตฺถ ‘‘ปิเณฺฑหี’’ติ กรณพหุวจนํ วิภตฺติวจนวิปริณามวเสน ‘‘ปิเณฺฑ’’ติ ภุเมฺมกวจนนฺตํ กตฺวา โยเชตพฺพํ, ‘‘นิกฺขิเตฺต’’ติ อชฺฌาหริตพฺพํ, ภาวลกฺขเณ ภุมฺมํ, นิกฺขิเตฺต สตีติ อโตฺถฯ
Yā panāti yā kuṭi. Paṭhame dutiyeti ettha ‘‘piṇḍehī’’ti karaṇabahuvacanaṃ vibhattivacanavipariṇāmavasena ‘‘piṇḍe’’ti bhummekavacanantaṃ katvā yojetabbaṃ, ‘‘nikkhitte’’ti ajjhāharitabbaṃ, bhāvalakkhaṇe bhummaṃ, nikkhitte satīti attho.
๓๙๔. ‘‘สเจ อญฺญสฺสา’’ติ ปทเจฺฉโทฯ วิปฺปกตนฺติ อารทฺธมนิฎฺฐิตํฯ ‘‘อนาปตฺตี’’ติ อิทํ นิฎฺฐิเต อาปชฺชิตพฺพสงฺฆาทิเสสาภาวํ สนฺธายาหฯ ปุพฺพปโยคมเตฺตน หิ ปาจิตฺติยทุกฺกฎานิปิ โหนฺติ, ตานิ ปน เทเสตพฺพานิฯ ‘‘ตถา’’ติ อิมินา ‘‘อนาปตฺตี’’ติ อากฑฺฒติ, เตน สงฺฆาทิเสสาปตฺติยา อภาวโต ปุพฺพภาเค อาปนฺนานํ ปาจิตฺติยทุกฺกฎานํ เทเสตพฺพตา จ ทีปิตา โหติฯ ตํ กุฎินฺติ ตํ วิปฺปกตกุฎิํฯ
394. ‘‘Sace aññassā’’ti padacchedo. Vippakatanti āraddhamaniṭṭhitaṃ. ‘‘Anāpattī’’ti idaṃ niṭṭhite āpajjitabbasaṅghādisesābhāvaṃ sandhāyāha. Pubbapayogamattena hi pācittiyadukkaṭānipi honti, tāni pana desetabbāni. ‘‘Tathā’’ti iminā ‘‘anāpattī’’ti ākaḍḍhati, tena saṅghādisesāpattiyā abhāvato pubbabhāge āpannānaṃ pācittiyadukkaṭānaṃ desetabbatā ca dīpitā hoti. Taṃ kuṭinti taṃ vippakatakuṭiṃ.
๓๙๕. อญฺญํ โภชนสาลาทิํฯ ตถาติ อนาปตฺติมาหฯ
395.Aññaṃ bhojanasālādiṃ. Tathāti anāpattimāha.
๓๙๖. ‘‘กโรโต’’ติ อิมินา ‘‘การาปยโต’’ติปิ ลพฺภติฯ อุภเยนาปิ ‘‘กฺริยโต’’ติ อิมสฺส การณํ ทเสฺสติฯ ‘‘อปฺปมาณิก’’นฺติ อิมินา สงฺฆาทิเสสสฺส องฺคํ ทเสฺสติฯ
396.‘‘Karoto’’ti iminā ‘‘kārāpayato’’tipi labbhati. Ubhayenāpi ‘‘kriyato’’ti imassa kāraṇaṃ dasseti. ‘‘Appamāṇika’’nti iminā saṅghādisesassa aṅgaṃ dasseti.
๓๙๗. ตนฺติ ‘‘อปฺปมาณิก’’นฺติ เอวํ ปจฺจามสติฯ ‘‘กฺริยากฺริยโต’’ติ อิทํ กุฎิยา กรณญฺจ วตฺถุเทสนาย อกรณญฺจ อุปาทาย วุตฺตํฯ
397.Tanti ‘‘appamāṇika’’nti evaṃ paccāmasati. ‘‘Kriyākriyato’’ti idaṃ kuṭiyā karaṇañca vatthudesanāya akaraṇañca upādāya vuttaṃ.
กุฎิการสิกฺขาปทวณฺณนาฯ
Kuṭikārasikkhāpadavaṇṇanā.
๓๙๘. วตฺถุํ อเทเสตฺวาติ สมฺพโนฺธ, ‘‘เตน วิหารการเกน ภิกฺขุนา วิหารวตฺถุํ โสเธตฺวา สงฺฆํ อุปสงฺกมิตฺวา’’ติอาทินา (ปารา. ๓๖๗) ปทภาชเน อาคตนเยน วิหารํ การาเปเนฺตน ภิกฺขุนา วิหารวตฺถุํ โสเธตฺวา สมตลํ กาเรตฺวา สงฺฆํ อุปสงฺกมฺม วุฑฺฒานํ ภิกฺขูนํ ปาเท วนฺทิตฺวา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา ‘‘อหํ ภเนฺต มหลฺลกํ วิหารํ กตฺตุกาโม สสฺสามิกํ อตฺตุเทฺทสํ, โสหํ ภเนฺต สงฺฆํ วิหารวตฺถุโอโลกนํ ยาจามี’’ติ ติกฺขตฺตุํ ยาจิตฺวา ลเทฺธ วุเฑฺฒ วา ภิกฺขู ญตฺติทุติยาย กมฺมวาจาย สเงฺฆน สมฺมเต วา ภิกฺขู เนตฺวา กตปริกมฺมํ วิหารวตฺถุํ ทเสฺสตฺวา กุฎิวตฺถุโอโลกเน วิย คตภิกฺขูหิ โอโลเกตฺวา สารมฺภาทิภาวํ อุปปริกฺขิตฺวา อนารมฺภสปริกฺกมนภาวํ ญตฺวา อาคนฺตฺวา สงฺฆสฺส อาโรจิเต ปุน เตน สงฺฆํ อุปสงฺกมิตฺวา วุฑฺฒานํ ภิกฺขูนํ ปาเท วนฺทิตฺวา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา ‘‘อหํ ภเนฺต มหลฺลกํ วิหารํ กตฺตุกาโม สสฺสามิกํ อตฺตุเทฺทสํ, โสหํ ภเนฺต สงฺฆํ วิหารวตฺถุเทสนํ ยาจามี’’ติ ติกฺขตฺตุํ ยาจิตฺวา สเงฺฆน ญตฺติทุติยาย กมฺมวาจาย วิหารวตฺถุ เทเสตพฺพํ , ตถา อกตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ อิห สารมฺภาทิ ปฐมสิกฺขาปเท วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ
398. Vatthuṃ adesetvāti sambandho, ‘‘tena vihārakārakena bhikkhunā vihāravatthuṃ sodhetvā saṅghaṃ upasaṅkamitvā’’tiādinā (pārā. 367) padabhājane āgatanayena vihāraṃ kārāpentena bhikkhunā vihāravatthuṃ sodhetvā samatalaṃ kāretvā saṅghaṃ upasaṅkamma vuḍḍhānaṃ bhikkhūnaṃ pāde vanditvā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā ‘‘ahaṃ bhante mahallakaṃ vihāraṃ kattukāmo sassāmikaṃ attuddesaṃ, sohaṃ bhante saṅghaṃ vihāravatthuolokanaṃ yācāmī’’ti tikkhattuṃ yācitvā laddhe vuḍḍhe vā bhikkhū ñattidutiyāya kammavācāya saṅghena sammate vā bhikkhū netvā kataparikammaṃ vihāravatthuṃ dassetvā kuṭivatthuolokane viya gatabhikkhūhi oloketvā sārambhādibhāvaṃ upaparikkhitvā anārambhasaparikkamanabhāvaṃ ñatvā āgantvā saṅghassa ārocite puna tena saṅghaṃ upasaṅkamitvā vuḍḍhānaṃ bhikkhūnaṃ pāde vanditvā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā ‘‘ahaṃ bhante mahallakaṃ vihāraṃ kattukāmo sassāmikaṃ attuddesaṃ, sohaṃ bhante saṅghaṃ vihāravatthudesanaṃ yācāmī’’ti tikkhattuṃ yācitvā saṅghena ñattidutiyāya kammavācāya vihāravatthu desetabbaṃ , tathā akatvāti vuttaṃ hoti. Iha sārambhādi paṭhamasikkhāpade vuttanayeneva veditabbaṃ.
มหลฺลกนฺติ ‘‘สสฺสามิกภาเวน สญฺญาจิกกุฎิโต มหนฺตภาโว เอตสฺส อตฺถีติ มหลฺลโกฯ ยสฺมา วา วตฺถุํ เทสาเปตฺวา ปมาณาติกฺกเมนาปิ กาตุํ วฎฺฎติ, ตสฺมา ปมาณมหนฺตตายปิ มหลฺลโก’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๓๖๖) อฎฺฐกถายํ วุตฺตนเยน มหนฺตภาเวน ยุตฺตนฺติ อโตฺถฯ วิหารนฺติ ‘‘วิหาโร นาม อุลฺลิโตฺต วา โหติ อวลิโตฺต วา อุลฺลิตฺตาวลิโตฺต วา’’ติ (ปารา. ๓๗๑) ปทภาชเน วุตฺตปฺปการํ เสนาสนนฺติ อโตฺถฯ วิหรนฺติ อสฺมินฺติ วิคฺคโหฯ อุลฺลิตฺตาทิสรูปํ ปุริมสิกฺขาปเท วุตฺตนยเมวฯ ตํ วิหารํ โย กเรยฺยาติ โยชนาฯ กเรยฺย วา การาเปยฺย วาติ ปุเพฺพ วุตฺตนยเมวฯ อตฺตวาสตฺถนฺติ อตฺตโน วาสํ ปฎิจฺจ, อิมินา ปรสฺส วาสตฺถาย กโรติ, อนาปตฺตีติ พฺยติเรกโต วิญฺญายติฯ ‘‘ครุก’’นฺติ เอตฺถ วตฺถุเทสนาย อการาปเนน ‘‘เอโกว สงฺฆาทิเสโส โหตี’’ติ ปุเพฺพ วุตฺตวิกปฺปตฺตยํ น คเหตพฺพํฯ อิทญฺจ วกฺขติ ‘‘ปมาณา…เป.… สงฺฆาทิเสสตา’’ติ (วิ. วิ. ๓๙๙ อาทโย)ฯ
Mahallakanti ‘‘sassāmikabhāvena saññācikakuṭito mahantabhāvo etassa atthīti mahallako. Yasmā vā vatthuṃ desāpetvā pamāṇātikkamenāpi kātuṃ vaṭṭati, tasmā pamāṇamahantatāyapi mahallako’’ti (pārā. aṭṭha. 2.366) aṭṭhakathāyaṃ vuttanayena mahantabhāvena yuttanti attho. Vihāranti ‘‘vihāro nāma ullitto vā hoti avalitto vā ullittāvalitto vā’’ti (pārā. 371) padabhājane vuttappakāraṃ senāsananti attho. Viharanti asminti viggaho. Ullittādisarūpaṃ purimasikkhāpade vuttanayameva. Taṃ vihāraṃ yo kareyyāti yojanā. Kareyya vā kārāpeyya vāti pubbe vuttanayameva. Attavāsatthanti attano vāsaṃ paṭicca, iminā parassa vāsatthāya karoti, anāpattīti byatirekato viññāyati. ‘‘Garuka’’nti ettha vatthudesanāya akārāpanena ‘‘ekova saṅghādiseso hotī’’ti pubbe vuttavikappattayaṃ na gahetabbaṃ. Idañca vakkhati ‘‘pamāṇā…pe… saṅghādisesatā’’ti (vi. vi. 399 ādayo).
๓๙๙. กฺริยาสมุฎฺฐานาภาวนฺติ ปมาณาติกฺกเมปิ อาปตฺติยา อสมฺภวโต กิริยาสมุฎฺฐานสฺส อิธ อภาโว ญาตโพฺพฯ กฺริย…เป.… ลกฺขเยติ เอตฺถ พฺยติเรกโต อเทสิตวตฺถุกตาย อกิริยาสมุฎฺฐานตา อนุญฺญาตาฯ
399.Kriyāsamuṭṭhānābhāvanti pamāṇātikkamepi āpattiyā asambhavato kiriyāsamuṭṭhānassa idha abhāvo ñātabbo. Kriya…pe… lakkhayeti ettha byatirekato adesitavatthukatāya akiriyāsamuṭṭhānatā anuññātā.
มหลฺลกวิหารกถาวณฺณนาฯ
Mahallakavihārakathāvaṇṇanā.
๔๐๑-๓. เตสูติ จตุวีสติยา ปาราชิเกสุฯ ภิกฺขุโน อนุรูปานิ เอกูนวีสตีติ ภิกฺขุนีนํ ปฎินิยตา อุพฺภชาณุมณฺฑลิกาทโย จตฺตาโร ตทนุโลมาย วิพฺภนฺตภิกฺขุนิยา สห ปญฺจ ปาราชิเก วินา ภิกฺขุโน อนุรูปา เสสา เอกูนวีสติ ปาราชิกาฯ
401-3.Tesūti catuvīsatiyā pārājikesu. Bhikkhuno anurūpāni ekūnavīsatīti bhikkhunīnaṃ paṭiniyatā ubbhajāṇumaṇḍalikādayo cattāro tadanulomāya vibbhantabhikkhuniyā saha pañca pārājike vinā bhikkhuno anurūpā sesā ekūnavīsati pārājikā.
อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท ปทภาชเน ‘‘ปาราชิเกน ธเมฺมนาติ จตุนฺนํ อญฺญตเรนา’’ติ (ปารา. ๓๘๖) วุตฺตนยสฺส อิธ ‘‘เอกูนวีสตี’’ติ วจนํ วิรุชฺฌตีติ เจ? น วิรุชฺฌติฯ กสฺมา? ยสฺมา ปทภาชนํ ปาติโมกฺขุเทฺทสาคตมตฺตํ คเหตฺวา ปวตฺตํ, อิทํ ปน พุทฺธานุมติํ คเหตฺวา วินยปริยตฺติปวตฺตกานํ อาจริยานํ มตํ คเหตฺวา ปวตฺตํ, ตสฺมา น วิรุชฺฌตีติ คเหตพฺพํฯ อาจริโย สพฺพปาราชิกานํ ‘‘พฺรหฺมจริยา จาเวยฺย’’นฺติ (ปารา. ๓๘๕) วุตฺตอนุทฺธํสนสฺส เอกนฺตสาธนตฺตา ภิกฺขุนีนํ ปฎินิยตสานุโลมปาราชิกปญฺจกํ วินา อวเสสํ สพฺพํ สงฺคณฺหิ, เตเนว วินยฎฺฐกถาย คณฺฐิปทวิวรเณ ‘‘จตุนฺนํ อญฺญตเรนาติ ปาติโมกฺขุเทฺทเส เอว อาคเต คเหตฺวา วุตฺตํ, อิตเรสํ อญฺญตเรนาปิ อนุทฺธํเสนฺตสฺส สงฺฆาทิเสโสวา’’ติ วุตฺตํฯ ตสฺมา ‘‘อนุทฺธํเสยฺยา’’ติ (ปารา. ๓๘๔) ปาเฐ อธิปฺปายํ คเหตฺวา ปวตฺตตฺตา อิเมสํ อาจริยานํ มตํ ปมาณนฺติ คเหตพฺพํฯ ‘‘เตสุ อญฺญตเรนา’’ติ วกฺขมานตฺตา ‘‘เอกูนวีสตี’’ติ เอตฺถ ‘‘ยานี’’ติ สามตฺถิยา ลพฺภติฯ
Imasmiṃ sikkhāpade padabhājane ‘‘pārājikena dhammenāti catunnaṃ aññatarenā’’ti (pārā. 386) vuttanayassa idha ‘‘ekūnavīsatī’’ti vacanaṃ virujjhatīti ce? Na virujjhati. Kasmā? Yasmā padabhājanaṃ pātimokkhuddesāgatamattaṃ gahetvā pavattaṃ, idaṃ pana buddhānumatiṃ gahetvā vinayapariyattipavattakānaṃ ācariyānaṃ mataṃ gahetvā pavattaṃ, tasmā na virujjhatīti gahetabbaṃ. Ācariyo sabbapārājikānaṃ ‘‘brahmacariyā cāveyya’’nti (pārā. 385) vuttaanuddhaṃsanassa ekantasādhanattā bhikkhunīnaṃ paṭiniyatasānulomapārājikapañcakaṃ vinā avasesaṃ sabbaṃ saṅgaṇhi, teneva vinayaṭṭhakathāya gaṇṭhipadavivaraṇe ‘‘catunnaṃ aññatarenāti pātimokkhuddese eva āgate gahetvā vuttaṃ, itaresaṃ aññatarenāpi anuddhaṃsentassa saṅghādisesovā’’ti vuttaṃ. Tasmā ‘‘anuddhaṃseyyā’’ti (pārā. 384) pāṭhe adhippāyaṃ gahetvā pavattattā imesaṃ ācariyānaṃ mataṃ pamāṇanti gahetabbaṃ. ‘‘Tesu aññatarenā’’ti vakkhamānattā ‘‘ekūnavīsatī’’ti ettha ‘‘yānī’’ti sāmatthiyā labbhati.
อญฺญตเรน อมูลเกนาติ โยชนาฯ อมูลเกนาติ โจทกสฺส ทสฺสนาทีหิ โจทนามูเลหิ วิรหิตตฺตา อมูลกํ, ปาราชิกํ, เตนฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ยํ ปาราชิกํ โจทเกน จุทิตกมฺหิ ปุคฺคเล เนว ทิฎฺฐํ น สุตํ น ปริสงฺกิตํ, อิทํ เอเตสํ ทสฺสนสวนปริสงฺกาสงฺขาตานํ มูลานํ อภาเวน อมูลกํ นามา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๓๘๕-๓๘๖)ฯ เอตฺถ จ มํสจกฺขุนา วา ทิพฺพจกฺขุนา วา ทิฎฺฐํ ทิฎฺฐํ นาม ฯ ปกติโสเตน วา ทิพฺพโสเตน วา สุตํ สุตํ นามฯ จิเตฺตน ปริสงฺกิตํ ปริสงฺกิตํ นามฯ ตํ ติวิธํ ทิฎฺฐสุตมุตปริสงฺกิตวเสนฯ
Aññatarena amūlakenāti yojanā. Amūlakenāti codakassa dassanādīhi codanāmūlehi virahitattā amūlakaṃ, pārājikaṃ, tena. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘yaṃ pārājikaṃ codakena cuditakamhi puggale neva diṭṭhaṃ na sutaṃ na parisaṅkitaṃ, idaṃ etesaṃ dassanasavanaparisaṅkāsaṅkhātānaṃ mūlānaṃ abhāvena amūlakaṃ nāmā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.385-386). Ettha ca maṃsacakkhunā vā dibbacakkhunā vā diṭṭhaṃ diṭṭhaṃ nāma . Pakatisotena vā dibbasotena vā sutaṃ sutaṃ nāma. Cittena parisaṅkitaṃ parisaṅkitaṃ nāma. Taṃ tividhaṃ diṭṭhasutamutaparisaṅkitavasena.
ตตฺถ ตาทิเส กมฺมนิเย โอกาเส มาตุคาเมน สทฺธิํ ภิกฺขุโน อญฺญถิยํ ปโยคํ ทิสฺวา อญฺญถา คเหตฺวา ‘‘วีติกฺกมนํ นุ โขยมกาสี’’ติ คหณํ ทิฎฺฐปริสงฺกิตํ นามฯ กุฎฺฎติโรหิเต ภิกฺขุมฺหิ มาตุคามสฺส สทฺทํ สุตฺวา ตตฺถ อญฺญสฺส วิญฺญุปุริสสฺส สพฺภาวํ อชานิตฺวา ‘‘วีติกฺกมนํ นุ โขยมกาสี’’ติ เอวํ คหณํ สุตปริสงฺกิตํ นามฯ วิหารปริยเนฺต ตรุณมาตุคามปุริสานํ ทิวสํ วีตินาเมตฺวา คตฎฺฐาเน วิปฺปกิณฺณปุปฺผานิ โอโลเกตฺวา, มํสสุรคนฺธญฺจ ฆายิตฺวา ‘‘อิทํ กสฺส กมฺม’’นฺติ อุปปริกฺขเนฺตน ภิกฺขุโน เจติยปูชิตมาลาคนฺธสฺส ปีตาริฎฺฐสฺส ภิกฺขุโน สรีรคนฺธํ ฆายิตฺวา ‘‘ตํ เอตสฺส กมฺมํ นุ โข’’ติ กิริยมานสํสโย มุตปริสงฺกิตํ นามฯ เอวรูปสฺส ทิฎฺฐสุตปริสงฺกิตมูลกสฺส อภาวโต อมูลเกน ปาราชิเกนาติ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน สมนฺตปาสาทิกาย (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๓๘๕-๓๘๖) วุตฺตนเยน ทฎฺฐโพฺพฯ
Tattha tādise kammaniye okāse mātugāmena saddhiṃ bhikkhuno aññathiyaṃ payogaṃ disvā aññathā gahetvā ‘‘vītikkamanaṃ nu khoyamakāsī’’ti gahaṇaṃ diṭṭhaparisaṅkitaṃ nāma. Kuṭṭatirohite bhikkhumhi mātugāmassa saddaṃ sutvā tattha aññassa viññupurisassa sabbhāvaṃ ajānitvā ‘‘vītikkamanaṃ nu khoyamakāsī’’ti evaṃ gahaṇaṃ sutaparisaṅkitaṃ nāma. Vihārapariyante taruṇamātugāmapurisānaṃ divasaṃ vītināmetvā gataṭṭhāne vippakiṇṇapupphāni oloketvā, maṃsasuragandhañca ghāyitvā ‘‘idaṃ kassa kamma’’nti upaparikkhantena bhikkhuno cetiyapūjitamālāgandhassa pītāriṭṭhassa bhikkhuno sarīragandhaṃ ghāyitvā ‘‘taṃ etassa kammaṃ nu kho’’ti kiriyamānasaṃsayo mutaparisaṅkitaṃ nāma. Evarūpassa diṭṭhasutaparisaṅkitamūlakassa abhāvato amūlakena pārājikenāti ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana samantapāsādikāya (pārā. aṭṭha. 2.385-386) vuttanayena daṭṭhabbo.
โจเทตีติ ‘‘ปาราชิกํ ธมฺมํ อาปโนฺนสี’’ติอาทิวจเนน สยํ โจเทติฯ โจทาปนํ ปน วกฺขติฯ จาวนเจตโน หุตฺวาติ ‘‘อเปฺปว นาม นํ อิมมฺหา พฺรหฺมจริยา จาเวยฺย’’นฺติ อุปฺปเนฺนน ปรํ สาสนา จาเวตุกาเมน จิเตฺตน สมนฺนาคโต หุตฺวาฯ ‘‘สุทฺธํ วา อสุทฺธํ วา’’ติ อิทํ ‘‘โจเทตี’’ติ อิมินา วุตฺตโจทนากิริยาย กมฺมนิเทฺทโส, ‘‘อญฺญํ ภิกฺขุ’’นฺติ เสโส, ปาราชิกมนาปนฺนํ วา อาปนฺนํ วา อญฺญํ ภิกฺขุนฺติ อโตฺถฯ โยติ มาติกาคตภิกฺขุ, ‘‘ทุโฎฺฐ โทโส อปฺปตีโต’’ติ อิทํ อชฺฌาหริตพฺพํ, อุปฺปเนฺนน โทสเลเสน สยํ ทูสิโต, ปรญฺจ ทูเสโนฺต ปีติสุขาทีหิ อปคโต โย ภิกฺขูติ อโตฺถฯ วกฺขมาเนน ‘‘ตสฺสา’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ
Codetīti ‘‘pārājikaṃ dhammaṃ āpannosī’’tiādivacanena sayaṃ codeti. Codāpanaṃ pana vakkhati. Cāvanacetano hutvāti ‘‘appeva nāma naṃ imamhā brahmacariyā cāveyya’’nti uppannena paraṃ sāsanā cāvetukāmena cittena samannāgato hutvā. ‘‘Suddhaṃ vā asuddhaṃ vā’’ti idaṃ ‘‘codetī’’ti iminā vuttacodanākiriyāya kammaniddeso, ‘‘aññaṃ bhikkhu’’nti seso, pārājikamanāpannaṃ vā āpannaṃ vā aññaṃ bhikkhunti attho. Yoti mātikāgatabhikkhu, ‘‘duṭṭho doso appatīto’’ti idaṃ ajjhāharitabbaṃ, uppannena dosalesena sayaṃ dūsito, parañca dūsento pītisukhādīhi apagato yo bhikkhūti attho. Vakkhamānena ‘‘tassā’’ti iminā sambandho.
‘‘กเต โอกาสมฺหี’’ติ ปทเจฺฉโท, โอกาสํ ‘‘การาเปตฺวา’’ติ (ปารา. ๓๘๙) ปาฐโต อโนฺตนีตเหตฺวตฺถตาย ‘‘กเต’’ติ ‘‘การิเต’’ติ เอตสฺส ปริยาโย โหติ, ‘‘โอกาสํ เม กโรหิ, อหํ ตํ วตฺตุกาโม’’ติ โอกาเส การาปิเตติ อโตฺถฯ ‘‘อกเต โอกาเส’’ติ ปทเจฺฉโท , ปุเพฺพ วุโตฺตเยวโตฺถฯ ทุกฺกฎาปตฺติยา สหาติ โอกาสสฺส อการาปิตตฺตา ทุกฺกฎาปตฺติยา สทฺธิํฯ
‘‘Kate okāsamhī’’ti padacchedo, okāsaṃ ‘‘kārāpetvā’’ti (pārā. 389) pāṭhato antonītahetvatthatāya ‘‘kate’’ti ‘‘kārite’’ti etassa pariyāyo hoti, ‘‘okāsaṃ me karohi, ahaṃ taṃ vattukāmo’’ti okāse kārāpiteti attho. ‘‘Akate okāse’’ti padacchedo , pubbe vuttoyevattho. Dukkaṭāpattiyā sahāti okāsassa akārāpitattā dukkaṭāpattiyā saddhiṃ.
๔๐๔-๕. โกโณฺฐสีติ ธุโตฺตสิฯ เชฎฺฐพฺพติโกสีติ กาลีเทวีวตนิยุโตฺตสิฯ กาลีเทวี กิร สิริเทวิยา เชฎฺฐา, ตสฺมา ตสฺสา วตธโร เชฎฺฐพฺพติโก วุจฺจติฯ ตํ ปน วตํ สมาทิยิตฺวา ปูเรโนฺต สกลสรีเร มสิํ มเกฺขตฺวา กากปตฺตานิ มุฎฺฐิยํ กตฺวา กาลีเทวิํ ผลเก ลิขาเปตฺวา ตํ กาชโกฎิยํ พนฺธิตฺวา อุจฺฉิโฎฺฐทกาทิอสุจิสนฺนิจิตโอลิคลฺลํ ปวิสิตฺวา ‘‘ทุสฺสีโลสิ นิสฺสีโลสิ สีลวิรหิโตสี’’ติ โถเมโนฺต วิจรตีติฯ
404-5.Koṇṭhosīti dhuttosi. Jeṭṭhabbatikosīti kālīdevīvataniyuttosi. Kālīdevī kira sirideviyā jeṭṭhā, tasmā tassā vatadharo jeṭṭhabbatiko vuccati. Taṃ pana vataṃ samādiyitvā pūrento sakalasarīre masiṃ makkhetvā kākapattāni muṭṭhiyaṃ katvā kālīdeviṃ phalake likhāpetvā taṃ kājakoṭiyaṃ bandhitvā ucchiṭṭhodakādiasucisannicitaoligallaṃ pavisitvā ‘‘dussīlosi nissīlosi sīlavirahitosī’’ti thomento vicaratīti.
ทุสฺสีลตฺตา เอว หีนชฺฌาสยตาย ปาปธโมฺม ลามกสภาโวสิฯ ปูตินา กเมฺมน สีลวิปตฺติยา อโนฺต ปวิฎฺฐตฺตา อโนฺตปูติฯ ฉหิ ทฺวาเรหิ ราคาทิกิเลสานุสฺสวเนน ตินฺตตฺตา อวสฺสุโตฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานตฺถเมวฯ ครุกํ นิทฺทิเสติ เอตฺถ ‘‘กโตกาสมฺหี’’ติ จ ‘‘ตเถว อกโตกาเส, ทุกฺกฎาปตฺติยา สหา’’ติ จ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ เอวมุตฺตรตฺราปิฯ
Dussīlattā eva hīnajjhāsayatāya pāpadhammo lāmakasabhāvosi. Pūtinā kammena sīlavipattiyā anto paviṭṭhattā antopūti. Chahi dvārehi rāgādikilesānussavanena tintattā avassuto. Sesamettha uttānatthameva. Garukaṃ niddiseti ettha ‘‘katokāsamhī’’ti ca ‘‘tatheva akatokāse, dukkaṭāpattiyā sahā’’ti ca ānetvā sambandhitabbaṃ. Evamuttaratrāpi.
๔๐๖. สมฺมุขาติ จุทิตกสฺส สมฺมุขา, อวิทูเรติ อโตฺถฯ หตฺถมุทฺทายาติ มุตฺตปาณาทิวเสนฯ ตํ หตฺถมุทฺทาย กถิตํฯ ปโรติ ยํ โจเทสิ, โส จุทิตโก ปโรฯ ภิกฺขุโนติ โจทกสฺส ภิกฺขุโนฯ
406.Sammukhāti cuditakassa sammukhā, avidūreti attho. Hatthamuddāyāti muttapāṇādivasena. Taṃ hatthamuddāya kathitaṃ. Paroti yaṃ codesi, so cuditako paro. Bhikkhunoti codakassa bhikkhuno.
๔๐๗. สมฺมุเข ฐตฺวาติ จุทิตกสฺส อาสเนฺน ฐตฺวาฯ ‘‘โจทาเปนฺตสฺสา’’ติ เอตสฺส กมฺมภาวโต ปโรติ อิทํ อุปโยคนฺตวเสน สมฺพนฺธิตพฺพํฯ เอวมุตฺตรตฺรฯ เกนจีติ อเญฺญน เกนจิ ปุคฺคเลนฯ ตสฺส โจทกสฺสฯ ‘‘โจทาเปนฺตสฺสา’’ติ ปุน วจนํ นิยมตฺถํฯ
407.Sammukhe ṭhatvāti cuditakassa āsanne ṭhatvā. ‘‘Codāpentassā’’ti etassa kammabhāvato paroti idaṃ upayogantavasena sambandhitabbaṃ. Evamuttaratra. Kenacīti aññena kenaci puggalena. Tassa codakassa. ‘‘Codāpentassā’’ti puna vacanaṃ niyamatthaṃ.
๔๐๘. โสปีติ อุคฺคหาปิตตฺตา โจทนํ กโรโนฺต อิตโร ปโยชฺชกปุคฺคโลปิฯ เตสํ ทฺวินฺนมฺปีติ ปโยชกปโยชฺชกานํ ทฺวินฺนมฺปิฯ
408.Sopīti uggahāpitattā codanaṃ karonto itaro payojjakapuggalopi. Tesaṃ dvinnampīti payojakapayojjakānaṃ dvinnampi.
๔๐๙. วุตฺตฎฺฐานํ ปณฺณํ วา สเนฺทสํ วา หรโนฺต ทูโต นาม, โส ‘‘ปณฺณํ วา สาสนํ วา เปเสตฺวา’’ติ อิมินา สงฺคยฺหตีติ ตสฺมิํ วิสุํ อวตฺตเพฺพปิ ‘‘ทุต’’นฺติ วจเนน นิสฺสฎฺฐทูตมาห ฯ ปณฺณํ วา อทตฺวา ‘‘เอวญฺจ เอวญฺจ วทา’’ติ สาสนญฺจ อทตฺวา ‘‘ตํ โจเทหี’’ติ อตฺถมตฺตเมว ทตฺวา นิสฺสโฎฺฐ ภิกฺขุ อิธ ‘‘นิสฺสฎฺฐทูโต’’ติ คเหตโพฺพฯ
409. Vuttaṭṭhānaṃ paṇṇaṃ vā sandesaṃ vā haranto dūto nāma, so ‘‘paṇṇaṃ vā sāsanaṃ vā pesetvā’’ti iminā saṅgayhatīti tasmiṃ visuṃ avattabbepi ‘‘duta’’nti vacanena nissaṭṭhadūtamāha . Paṇṇaṃ vā adatvā ‘‘evañca evañca vadā’’ti sāsanañca adatvā ‘‘taṃ codehī’’ti atthamattameva datvā nissaṭṭho bhikkhu idha ‘‘nissaṭṭhadūto’’ti gahetabbo.
อถ วา ‘‘ทูต’’นฺติ อิมินา โจเทตุํ อุคฺคหาเปตฺวา, ตมนุคฺคหาเปตฺวา วา นิสฺสโฎฺฐ ภิกฺขุ ทูโตเยว คเหตโพฺพฯ ‘‘ปณฺณ’’นฺติ อิมินา ปพฺพชิตสฺส วา อปพฺพชิตสฺส วา กสฺสจิ หเตฺถ โจทนํ ลิขิตฺวา ทินฺนปณฺณํ คเหตพฺพํฯ สาสนนฺติ ‘‘ปาราชิกํ อาปโนฺน’’ติอาทินา นเยน วตฺวา เปสิยมานํ สาสนํ คเหตพฺพํฯ อิทํ ตยมฺปิ ทูเร นิสีทิตฺวา อเญฺญหิ การาปนโต ‘‘โจทาเปนฺตสฺสา’’ติ อาหฯ ‘‘ปร’’นฺติ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ เอตฺถ โอกาสการาปนํ นตฺถิฯ
Atha vā ‘‘dūta’’nti iminā codetuṃ uggahāpetvā, tamanuggahāpetvā vā nissaṭṭho bhikkhu dūtoyeva gahetabbo. ‘‘Paṇṇa’’nti iminā pabbajitassa vā apabbajitassa vā kassaci hatthe codanaṃ likhitvā dinnapaṇṇaṃ gahetabbaṃ. Sāsananti ‘‘pārājikaṃ āpanno’’tiādinā nayena vatvā pesiyamānaṃ sāsanaṃ gahetabbaṃ. Idaṃ tayampi dūre nisīditvā aññehi kārāpanato ‘‘codāpentassā’’ti āha. ‘‘Para’’nti ānetvā sambandhitabbaṃ. Ettha okāsakārāpanaṃ natthi.
๔๑๐. ตถาติ ยถา อมูลเกน ปาราชิเกน สมฺมุขา โอกาเส การิเต, อการิเต จ, ตถา อมูลเกหิ สงฺฆาทิเสเสหีติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘วุเตฺต สมฺมุขา ปเร’’ติ ภุมฺมวเสน อธิกเตน โยเชตพฺพํ, โจเทติ โจทาเปตีติ วุตฺตํ โหตีติฯ ปาจิตฺติยาปตฺตีติ โอกาเส การิเต เกวลา, อการิเต ทุกฺกเฎน สหาติ คเหตพฺพํฯ สมฺมุขา เสสาปตฺตีหิ ปเร วุเตฺต จาวนสญฺญิโน ทุกฺกฎํ โหตีติ โยชนาฯ โอกาสาการาปเนนปิ ทุกฺกฎเมว โหติฯ
410.Tathāti yathā amūlakena pārājikena sammukhā okāse kārite, akārite ca, tathā amūlakehi saṅghādisesehīti vuttaṃ hoti. ‘‘Vutte sammukhā pare’’ti bhummavasena adhikatena yojetabbaṃ, codeti codāpetīti vuttaṃ hotīti. Pācittiyāpattīti okāse kārite kevalā, akārite dukkaṭena sahāti gahetabbaṃ. Sammukhā sesāpattīhi pare vutte cāvanasaññino dukkaṭaṃ hotīti yojanā. Okāsākārāpanenapi dukkaṭameva hoti.
๔๑๑. อโกฺกสนาธิปฺปายสฺสาติ ขุํสนาธิปฺปายสฺสฯ อกโตกาสนฺติ อการิโตกาสํ, ‘‘ปร’’นฺติ อิมินา โยเชตพฺพํฯ อตฺตนาติ โจทเกน, ‘‘สยํ อการิโตกาส’’นฺติ อิมินา โยเชตพฺพํฯ สห ปาจิตฺติเยนาติ ‘‘โอมสวาเท ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปารา. ๑๔) วุตฺตปาจิตฺติเยน สหฯ วทนฺตสฺสาติ โจเทนฺตสฺส วา โจทาเปนฺตสฺส วา, เอตฺถ ‘‘สมฺมุขา’’ติ อิทํ วกฺขมานสฺส ‘‘อสมฺมุขา’’ติ เอตสฺส วิปริยายโต ลพฺภติ, จ-กาเรน การิโตกาสปเกฺข ทุกฺกเฎน ปาจิตฺติยสมฺพนฺธีฯ
411.Akkosanādhippāyassāti khuṃsanādhippāyassa. Akatokāsanti akāritokāsaṃ, ‘‘para’’nti iminā yojetabbaṃ. Attanāti codakena, ‘‘sayaṃ akāritokāsa’’nti iminā yojetabbaṃ. Saha pācittiyenāti ‘‘omasavāde pācittiya’’nti (pārā. 14) vuttapācittiyena saha. Vadantassāti codentassa vā codāpentassa vā, ettha ‘‘sammukhā’’ti idaṃ vakkhamānassa ‘‘asammukhā’’ti etassa vipariyāyato labbhati, ca-kārena kāritokāsapakkhe dukkaṭena pācittiyasambandhī.
๔๑๒. อสมฺมุขา วทนฺตสฺสาติ เอตฺถ ‘‘อโกฺกสนาธิปฺปายสฺสา’’ติ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ ‘‘อกโตกาสมตฺตนา’’ติ นานุวตฺตติฯ สตฺตหิ อาปตฺตีหีติ ปาราชิกสงฺฆาทิเสสถุลฺลจฺจยปาจิตฺติยปาฎิเทสนียทุกฺกฎทุพฺภาสิตสงฺขาเตสุ สตฺตสุ อาปตฺติกฺขเนฺธสุ เยน เกนจีติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘ตถา’’ติ อิมินา ‘‘อสมฺมุขา’’ติ อิทํ สงฺคณฺหาติฯ กมฺมนฺติ ตชฺชนียาทิสตฺตวิธํ กมฺมํฯ
412.Asammukhā vadantassāti ettha ‘‘akkosanādhippāyassā’’ti ānetvā sambandhitabbaṃ. ‘‘Akatokāsamattanā’’ti nānuvattati. Sattahi āpattīhīti pārājikasaṅghādisesathullaccayapācittiyapāṭidesanīyadukkaṭadubbhāsitasaṅkhātesu sattasu āpattikkhandhesu yena kenacīti vuttaṃ hoti. ‘‘Tathā’’ti iminā ‘‘asammukhā’’ti idaṃ saṅgaṇhāti. Kammanti tajjanīyādisattavidhaṃ kammaṃ.
๔๑๓. อุมฺมตฺตกาทีนนฺติ อาทิ-สเทฺทน ‘‘อนาปตฺติ สุเทฺธ อสุทฺธทิฎฺฐิสฺส อสุเทฺธ อสุทฺธทิฎฺฐิสฺส อุมฺมตฺตกสฺส อาทิกมฺมิกสฺสา’’ติ (ปารา. ๓๙๐) วุเตฺต สงฺคณฺหาติฯ ปญฺจงฺคสํยุตนฺติ ยํ โจเทติ, ตสฺส ‘‘อุปสมฺปโนฺน’’ติ สงฺขฺยูปคมนํ, ตสฺมิํ สุทฺธสญฺญิตา, เยน ปาราชิเกน โจเทติ, ตสฺส ทิฎฺฐาทิวเสน อมูลกตา, จาวนาธิปฺปาเยน สมฺมุขา โจทนา, ตสฺส ตงฺขณวิชานนนฺติ อิเมหิ ปญฺจหิ อเงฺคหิ ยุตฺตํ โหติฯ
413.Ummattakādīnanti ādi-saddena ‘‘anāpatti suddhe asuddhadiṭṭhissa asuddhe asuddhadiṭṭhissa ummattakassa ādikammikassā’’ti (pārā. 390) vutte saṅgaṇhāti. Pañcaṅgasaṃyutanti yaṃ codeti, tassa ‘‘upasampanno’’ti saṅkhyūpagamanaṃ, tasmiṃ suddhasaññitā, yena pārājikena codeti, tassa diṭṭhādivasena amūlakatā, cāvanādhippāyena sammukhā codanā, tassa taṅkhaṇavijānananti imehi pañcahi aṅgehi yuttaṃ hoti.
๔๑๕. อิทนฺติ ‘‘สิกฺขาปท’’นฺติ เสโส, ‘‘สิกฺขาปท’’นฺติ จ อิมินา ตปฺปฎิปาทนียา อาปตฺติเยว คยฺหติฯ ติสมุฎฺฐานนฺติ กายจิตฺตโต, วาจาจิตฺตโต, กายวาจาจิตฺตโตติ สจิตฺตเกหิ ตีหิ สมุฎฺฐานโต ติสมุฎฺฐานํฯ เตเนวาห ‘‘สจิตฺต’’นฺติฯ ปฎิฆจิตฺตานํ ทฺวินฺนํ อญฺญตเรน สหิตตฺตา สจิตฺตกํฯ ตํสมฺปยุตฺตาย โทมนสฺสเวทนาย วเสน ทุกฺขเวทนํฯ
415.Idanti ‘‘sikkhāpada’’nti seso, ‘‘sikkhāpada’’nti ca iminā tappaṭipādanīyā āpattiyeva gayhati. Tisamuṭṭhānanti kāyacittato, vācācittato, kāyavācācittatoti sacittakehi tīhi samuṭṭhānato tisamuṭṭhānaṃ. Tenevāha ‘‘sacitta’’nti. Paṭighacittānaṃ dvinnaṃ aññatarena sahitattā sacittakaṃ. Taṃsampayuttāya domanassavedanāya vasena dukkhavedanaṃ.
ทุฎฺฐโทสกถาวณฺณนาฯ
Duṭṭhadosakathāvaṇṇanā.
๔๑๖. เลสมตฺตนฺติ ‘‘อญฺญมฺปิ วตฺถุํ ลิสฺสติ สิลิสฺสติ โวหารมเตฺตเนว อีสกํ อลฺลียตีติ เลโส, ชาติอาทีนํเยว อญฺญตรโกฎฺฐาสเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๓๙๑) อฎฺฐกถาย ทสฺสิตนิพฺพจเนสุ ‘‘เลโส นาม ทส เลสา ชาติเลโส นามเลโส’’ติอาทินา (ปารา. อฎฺฐ. ๓๙๔) นเยน ปทภาชเน วุเตฺตสุ ชาตินามโคตฺตาทีสุ ทสสุ เลเสสุ อญฺญตรเลสมตฺตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ
416.Lesamattanti ‘‘aññampi vatthuṃ lissati silissati vohāramatteneva īsakaṃ allīyatīti leso, jātiādīnaṃyeva aññatarakoṭṭhāsassetaṃ adhivacana’’nti (pārā. aṭṭha. 2.391) aṭṭhakathāya dassitanibbacanesu ‘‘leso nāma dasa lesā jātileso nāmaleso’’tiādinā (pārā. aṭṭha. 394) nayena padabhājane vuttesu jātināmagottādīsu dasasu lesesu aññataralesamattanti vuttaṃ hoti.
ตตฺถ ชาติ นาม ขตฺติยพฺราหฺมณาทิชาติฯ นามํ นาม อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท ‘‘ฉคลโก ทโพฺพ มลฺลปุโตฺต นาม, ฉคลิกา เมตฺติยา ภิกฺขุนี นามา’’ติ ฐปิตํ นามํ วิย โจทเกหิ ฐปิตนามญฺจ พุทฺธรกฺขิตาทิสกนามญฺจาติ ทุวิธํ นามํฯ โคตฺตํ นาม โคตมโมคฺคลฺลานาทิโคตฺตํฯ ลิงฺคํ นาม ทีฆตาทิสณฺฐานนานตฺตญฺจ กณฺหตาทิวณฺณนานตฺตญฺจาติ อิทํ ทุวิธลิงฺคํฯ อาปตฺติเลโส นาม ลหุกาทิรูเปน ฐิตปาจิตฺติยาทิอาปตฺติฯ ปโตฺต นาม โลหปตฺตาทิฯ จีวรํ นาม ปํสุกูลาทิฯ อุปชฺฌาโย นาม จุทิตกสฺส อุปชฺฌาโยฯ อาจริโย นาม จุทิตกสฺส ปพฺพชฺชาจริยาทิโกฯ เสนาสนํ นาม จุทิตกเสฺสว นิวาสปาสาทาทิกํฯ
Tattha jāti nāma khattiyabrāhmaṇādijāti. Nāmaṃ nāma imasmiṃ sikkhāpade ‘‘chagalako dabbo mallaputto nāma, chagalikā mettiyā bhikkhunī nāmā’’ti ṭhapitaṃ nāmaṃ viya codakehi ṭhapitanāmañca buddharakkhitādisakanāmañcāti duvidhaṃ nāmaṃ. Gottaṃ nāma gotamamoggallānādigottaṃ. Liṅgaṃ nāma dīghatādisaṇṭhānanānattañca kaṇhatādivaṇṇanānattañcāti idaṃ duvidhaliṅgaṃ. Āpattileso nāma lahukādirūpena ṭhitapācittiyādiāpatti. Patto nāma lohapattādi. Cīvaraṃ nāma paṃsukūlādi. Upajjhāyo nāma cuditakassa upajjhāyo. Ācariyo nāma cuditakassa pabbajjācariyādiko. Senāsanaṃ nāma cuditakasseva nivāsapāsādādikaṃ.
โจเทยฺยาติ อญฺญขตฺติยชาติกํ ปุคฺคลํ ปาราชิกํ อชฺฌาปชฺชนฺตํ ทิสฺวา อตฺตโน เวริขตฺติยชาติกํ ปุคฺคลํ ‘‘ขตฺติโย มยา ทิโฎฺฐ, ปาราชิกํ ธมฺมํ อชฺฌาปโนฺนสี’’ติอาทินา นเยน โจเทติฯ ครุกาปตฺติ นาม สงฺฆาทิเสโสฯ สเจ จาวนเจตโนติ ‘‘อเปฺปว นาม นํ อิมมฺหา พฺรหฺมจริยา จาเวยฺย’’นฺติ (ปารา. ๓๙๒) วุตฺตตฺตา สเจ อิมํ สาสนา จาเวยฺยามีติ อธิปฺปาโย หุตฺวา โจเทตีติ วุตฺตํ โหติ, อิมินา พฺยติเรกวเสน น อญฺญาธิปฺปาโยติ วุตฺตเมว โหตีติ ปุริมสิกฺขาปทฎฺฐกถายํ ทสฺสิเตสุ ‘‘จาวนาธิปฺปาโย อโกฺกสาธิปฺปาโย’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๓๘๙) เอวมาทินานปฺปการาธิปฺปาเยสุ อาปตฺติยา องฺคภูตํ จาวนาธิปฺปายํ ทเสฺสตฺวา เสสาธิปฺปาเย ปฎิกฺขิปติฯ
Codeyyāti aññakhattiyajātikaṃ puggalaṃ pārājikaṃ ajjhāpajjantaṃ disvā attano verikhattiyajātikaṃ puggalaṃ ‘‘khattiyo mayā diṭṭho, pārājikaṃ dhammaṃ ajjhāpannosī’’tiādinā nayena codeti. Garukāpatti nāma saṅghādiseso. Sace cāvanacetanoti ‘‘appeva nāma naṃ imamhā brahmacariyā cāveyya’’nti (pārā. 392) vuttattā sace imaṃ sāsanā cāveyyāmīti adhippāyo hutvā codetīti vuttaṃ hoti, iminā byatirekavasena na aññādhippāyoti vuttameva hotīti purimasikkhāpadaṭṭhakathāyaṃ dassitesu ‘‘cāvanādhippāyo akkosādhippāyo’’ti (pārā. aṭṭha. 2.389) evamādinānappakārādhippāyesu āpattiyā aṅgabhūtaṃ cāvanādhippāyaṃ dassetvā sesādhippāye paṭikkhipati.
๔๑๗. ตถาสญฺญีติ อยํ ปาราชิกมชฺฌาปโนฺนเยวาติ ตถาสญฺญีฯ ‘‘โจเทติ วา โจทาเปติ วา’’ติ วุตฺตตฺตา ‘‘ตถาสญฺญี’’ติ อิทํ ‘‘โจทาเปตี’’ติ อิมินาปิ โยเชตพฺพํฯ เสโสติ เอตฺถ ‘‘ปาราชิกานิ วุตฺตานี’’ติอาทิํ กตฺวา ‘‘สจิตฺตํ ทุกฺขเวทน’’นฺติ ปริยนฺตํ กตฺวา ทสฺสิตปฐมสิกฺขาปทวินิจฺฉยสงฺคาหกกถาปพเนฺธน วุตฺตสพฺพวินิจฺฉเยสุ ตํสิกฺขาปทนิยตํ ‘‘อมูลเกนา’’ติ อิทญฺจ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท ‘‘ภิกฺขุมนฺติมวตฺถุนา…เป.… อนาปตฺติ สิยา’’ติ วุตฺตมตฺถญฺจ ฐเปตฺวา อวสิฎฺฐสพฺพวินิจฺฉโยติ อโตฺถฯ อนนฺตรสโม มโต เหฎฺฐา อนนฺตรํ วุตฺตสิกฺขาปเทเนว สทิโสติ เวทิตโพฺพฯ
417.Tathāsaññīti ayaṃ pārājikamajjhāpannoyevāti tathāsaññī. ‘‘Codeti vā codāpeti vā’’ti vuttattā ‘‘tathāsaññī’’ti idaṃ ‘‘codāpetī’’ti imināpi yojetabbaṃ. Sesoti ettha ‘‘pārājikāni vuttānī’’tiādiṃ katvā ‘‘sacittaṃ dukkhavedana’’nti pariyantaṃ katvā dassitapaṭhamasikkhāpadavinicchayasaṅgāhakakathāpabandhena vuttasabbavinicchayesu taṃsikkhāpadaniyataṃ ‘‘amūlakenā’’ti idañca imasmiṃ sikkhāpade ‘‘bhikkhumantimavatthunā…pe… anāpatti siyā’’ti vuttamatthañca ṭhapetvā avasiṭṭhasabbavinicchayoti attho. Anantarasamo mato heṭṭhā anantaraṃ vuttasikkhāpadeneva sadisoti veditabbo.
ทุติยทุฎฺฐโทสกถาวณฺณนาฯ
Dutiyaduṭṭhadosakathāvaṇṇanā.
๔๑๘. สมคฺคสฺส สงฺฆสฺสาติ ‘‘สมโคฺค นาม สโงฺฆ สมานสํวาสโก สมานสีมายํ ฐิโต’’ติ ปทภาชเน วุตฺตตฺตา จิเตฺตน จ กาเยน จ เอกีภูตสฺส สงฺฆสฺสาติ วุตฺตํ โหติฯ จ-กาโร ปทปูรโณ, เอว-การโตฺถ วา, นสมคฺคสฺสาติ พฺยติเรกโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เภทตฺถํ วายเมยฺยาติ ‘‘อิเม กถํ กทา ภิชฺชิสฺสนฺตี’’ติ รตฺตินฺทิวํ จิเนฺตตฺวา อุปายํ คเวสิตฺวา ปกฺขปริเยสนาทิํ กเรยฺยาติ อโตฺถฯ วุตฺตญฺหิ ปาฬิยํ ‘‘เภทาย ปรกฺกเมยฺยาติ กถํ อิเม นานา อสฺสุ วินา อสฺสุ วคฺคา อสฺสูติ ปกฺขํ ปริเยสติ คณํ พนฺธตี’’ติ (ปารา. ๔๑๒)ฯ
418.Samaggassa saṅghassāti ‘‘samaggo nāma saṅgho samānasaṃvāsako samānasīmāyaṃ ṭhito’’ti padabhājane vuttattā cittena ca kāyena ca ekībhūtassa saṅghassāti vuttaṃ hoti. Ca-kāro padapūraṇo, eva-kārattho vā, nasamaggassāti byatirekattho veditabbo. Bhedatthaṃ vāyameyyāti ‘‘ime kathaṃ kadā bhijjissantī’’ti rattindivaṃ cintetvā upāyaṃ gavesitvā pakkhapariyesanādiṃ kareyyāti attho. Vuttañhi pāḷiyaṃ ‘‘bhedāya parakkameyyāti kathaṃ ime nānā assu vinā assu vaggā assūti pakkhaṃ pariyesati gaṇaṃ bandhatī’’ti (pārā. 412).
เภทเหตุนฺติ ‘‘อิธุปาลิ ภิกฺขุ อธมฺมํ ‘ธโมฺม’ติ ทีเปติ, ธมฺมํ ‘อธโมฺม’ติ ทีเปตี’’ติอาทินา (ปริ. ๔๕๙) นเยน ขนฺธเก วุตฺตํ อฎฺฐารสเภทกรวตฺถุสงฺขาตํ สงฺฆเภทการณมาห ฯ อิทเมว หิ ปทภาชเน วุตฺตํ ‘‘เภทนสํวตฺตนิกํ วา อธิกรณนฺติ อฎฺฐารสเภทกรวตฺถูนี’’ติฯ คเหตฺวาติ ปคฺคยฺหฯ ติเฎฺฐยฺยาติ นปฺปฎินิสฺสเชฺชยฺยฯ ปริทีปยนฺติ เอตฺถ ปริทีเปโนฺต, น ปฎินิสฺสชฺชโนฺตติ อโตฺถฯ ยถาห ‘‘ติเฎฺฐยฺยาติ น ปฎินิสฺสเชฺชยฺยา’’ติฯ
Bhedahetunti ‘‘idhupāli bhikkhu adhammaṃ ‘dhammo’ti dīpeti, dhammaṃ ‘adhammo’ti dīpetī’’tiādinā (pari. 459) nayena khandhake vuttaṃ aṭṭhārasabhedakaravatthusaṅkhātaṃ saṅghabhedakāraṇamāha . Idameva hi padabhājane vuttaṃ ‘‘bhedanasaṃvattanikaṃ vā adhikaraṇanti aṭṭhārasabhedakaravatthūnī’’ti. Gahetvāti paggayha. Tiṭṭheyyāti nappaṭinissajjeyya. Paridīpayanti ettha paridīpento, na paṭinissajjantoti attho. Yathāha ‘‘tiṭṭheyyāti na paṭinissajjeyyā’’ti.
๔๑๙. ภิกฺขูหีติ ตสฺส สงฺฆเภทกสฺส ปรกฺกมนํ ปสฺสเนฺตหิ วา ทูเร เจ, ฐิตํ ปวตฺติํ สุณเนฺตหิ วา ลชฺชีหิ สุเปสเลหิ เสสภิกฺขูหิฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘ภิกฺขูหีติ อเญฺญหิ ภิกฺขูหิฯ เย ปสฺสนฺติ เย สุณนฺติ, เตหิ วตฺตโพฺพ’’ติ (ปารา. ๔๑๒)ฯ ตสฺส วทเนฺตหิ เอวํ วตฺตพฺพนฺติ วจนาการทสฺสนตฺถมาห ‘‘มายสฺมา สมคฺคสฺส สงฺฆสฺส เภทาย ปรกฺกมิ, เภทนสํวตฺตนิกํ วา อธิกรณํ สมาทาย ปคฺคยฺห อฎฺฐาสิ, สเมตายสฺมา สเงฺฆน, สมโคฺค หิ สโงฺฆ สโมฺมทมาโน อวิวทมาโน เอกุเทฺทโส ผาสุ วิหรตี’’ติ (ปารา. ๔๑๑) ปาฐํ, ตํ เอกเทสสงฺคหวเสน อุปลเกฺขตุมาห ‘‘เภทตฺถํ…เป.… เภทการณ’’นฺติฯ อิติ วตฺตโพฺพติ โยชนาฯ
419.Bhikkhūhīti tassa saṅghabhedakassa parakkamanaṃ passantehi vā dūre ce, ṭhitaṃ pavattiṃ suṇantehi vā lajjīhi supesalehi sesabhikkhūhi. Vuttañhetaṃ ‘‘bhikkhūhīti aññehi bhikkhūhi. Ye passanti ye suṇanti, tehi vattabbo’’ti (pārā. 412). Tassa vadantehi evaṃ vattabbanti vacanākāradassanatthamāha ‘‘māyasmā samaggassa saṅghassa bhedāya parakkami, bhedanasaṃvattanikaṃ vā adhikaraṇaṃ samādāya paggayha aṭṭhāsi, sametāyasmā saṅghena, samaggo hi saṅgho sammodamāno avivadamāno ekuddeso phāsu viharatī’’ti (pārā. 411) pāṭhaṃ, taṃ ekadesasaṅgahavasena upalakkhetumāha ‘‘bhedatthaṃ…pe… bhedakāraṇa’’nti. Iti vattabboti yojanā.
๔๒๐. วุจฺจมาโน หีติ เอตฺถ หิ-สโทฺท อปิ-สทฺทโตฺถฯ ‘‘ปี’’ติ วา ปาโฐ, เตหิ ลชฺชิภิกฺขูหิ ‘‘มายสฺมา’’ติอาทินา นเยน วิสุํ ติกฺขตฺตุํ วุโตฺตปีติ อโตฺถฯ นิสฺสเชฺชยฺย น เจว นนฺติ ตํ เภทาย ปรกฺกมนํ อปฺปฎินิสฺสชฺชนปจฺจยา ทุกฺกฎาปตฺติํ อาปชฺชิตฺวาปิ น วิสฺสเชฺชยฺยาติ อโตฺถฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘โน เจ ปฎินิสฺสชฺชติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปารา. ๔๑๒)ฯ ตถา หิ อปฺปฎินิสฺสชฺชโนฺต หเตฺถสุ, ปาเทสุ จ คเหตฺวา สงฺฆมเชฺฌ อาเนตฺวา ตเถว ติกฺขตฺตุํ วุโตฺตปิ ตํ อวิสฺสเชฺชตฺวา ทุกฺกฎาปตฺติํ อาปโนฺนติ อิมินา จ สงฺคหิโตฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา ‘‘โส ภิกฺขุ สงฺฆมชฺฌมฺปิ อากฑฺฒิตฺวา วตฺตโพฺพ ‘มายสฺมา…เป.… ผาสุ วิหรตี’ติฯ ทุติยมฺปิ วตฺตโพฺพฯ ตติยมฺปิ วตฺตโพฺพฯ สเจ ปฎินิสฺสชฺชติ, อิเจฺจตํกุสลํฯ โน เจ ปฎินิสฺสชฺชติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติฯ อิทํ อุภยตฺถ ทุกฺกฎํ สามเญฺญน วกฺขติ ‘‘ติกฺขตฺตุํ ปน วุตฺตสฺส, อปริจฺจชโตปิ ต’’นฺติฯ
420.Vuccamāno hīti ettha hi-saddo api-saddattho. ‘‘Pī’’ti vā pāṭho, tehi lajjibhikkhūhi ‘‘māyasmā’’tiādinā nayena visuṃ tikkhattuṃ vuttopīti attho. Nissajjeyya na ceva nanti taṃ bhedāya parakkamanaṃ appaṭinissajjanapaccayā dukkaṭāpattiṃ āpajjitvāpi na vissajjeyyāti attho. Vuttañhetaṃ ‘‘no ce paṭinissajjati, āpatti dukkaṭassā’’ti (pārā. 412). Tathā hi appaṭinissajjanto hatthesu, pādesu ca gahetvā saṅghamajjhe ānetvā tatheva tikkhattuṃ vuttopi taṃ avissajjetvā dukkaṭāpattiṃ āpannoti iminā ca saṅgahito. Vuttañhetaṃ bhagavatā ‘‘so bhikkhu saṅghamajjhampi ākaḍḍhitvā vattabbo ‘māyasmā…pe… phāsu viharatī’ti. Dutiyampi vattabbo. Tatiyampi vattabbo. Sace paṭinissajjati, iccetaṃkusalaṃ. No ce paṭinissajjati, āpatti dukkaṭassā’’ti. Idaṃ ubhayattha dukkaṭaṃ sāmaññena vakkhati ‘‘tikkhattuṃ pana vuttassa, apariccajatopi ta’’nti.
สมนุภาสิตโพฺพติ เอตฺถ ‘‘โส ภิกฺขู’’ติ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํ, ‘‘ยาวตติย’’นฺติ เสโส, ยถาห ‘‘โส ภิกฺขุ ภิกฺขูหิ ยาวตติยํ สมนุภาสิตโพฺพ’’ติ (ปารา. ๔๑๑), ตถา สงฺฆมเชฺฌปิ ติกฺขตฺตุํ วุจฺจมาโนปิ โน วิสฺสเชฺชตฺวา ทุกฺกฎํ อาปโนฺน โส อาธานคฺคาหี ภิกฺขุ สเงฺฆน ติกฺขตฺตุํ วุตฺตํ กมฺมวาจํ วตฺวา สมนุภาสิตโพฺพติ อโตฺถฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ยาวตติยํ สมนุภาสิตโพฺพติ ยาว ตติยํ สมนุภาสนํ, ตาว สมนุภาสิตโพฺพ, ตีหิ สมนุภาสนกมฺมวาจาหิ กมฺมํ กาตพฺพ’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๑๑)ฯ ตนฺติ เภทาย ปรกฺกมนํ, เภทนสํวตฺตนิกํ อธิกรณํ ปคฺคเหตฺวา ฐานญฺจฯ อจฺจชนฺติ, ญตฺติจตุตฺถาย กมฺมวาจาย วุจฺจมานายปิ อจฺจชโนฺตฯ ครุกํ ผุเสติ ตติยาย กมฺมวาจาย ‘‘โส ภาเสยฺยา’’ติ ยฺยการปฺปตฺตาย สงฺฆาทิเสสํ อาปชฺชติฯ
Samanubhāsitabboti ettha ‘‘so bhikkhū’’ti ānetvā sambandhitabbaṃ, ‘‘yāvatatiya’’nti seso, yathāha ‘‘so bhikkhu bhikkhūhi yāvatatiyaṃ samanubhāsitabbo’’ti (pārā. 411), tathā saṅghamajjhepi tikkhattuṃ vuccamānopi no vissajjetvā dukkaṭaṃ āpanno so ādhānaggāhī bhikkhu saṅghena tikkhattuṃ vuttaṃ kammavācaṃ vatvā samanubhāsitabboti attho. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘yāvatatiyaṃ samanubhāsitabboti yāva tatiyaṃ samanubhāsanaṃ, tāva samanubhāsitabbo, tīhi samanubhāsanakammavācāhi kammaṃ kātabba’’nti (pārā. aṭṭha. 2.411). Tanti bhedāya parakkamanaṃ, bhedanasaṃvattanikaṃ adhikaraṇaṃ paggahetvā ṭhānañca. Accajanti, ñatticatutthāya kammavācāya vuccamānāyapi accajanto. Garukaṃ phuseti tatiyāya kammavācāya ‘‘so bhāseyyā’’ti yyakārappattāya saṅghādisesaṃ āpajjati.
๔๒๑. สงฺฆสฺส เภทาย ปรกฺกมนฺตํ ภิกฺขุํ ทิสฺวา, สุตฺวา, ญตฺวา จ อวทนฺตสฺส ภิกฺขุโน ทุกฺกฎนฺติ โยชนาฯ
421. Saṅghassa bhedāya parakkamantaṃ bhikkhuṃ disvā, sutvā, ñatvā ca avadantassa bhikkhuno dukkaṭanti yojanā.
๔๒๒. กีวทูเร วสเนฺตหิ สุตฺวา คนฺตฺวา วตฺตพฺพนฺติ อาห ‘‘คนฺตฺวา’’ติอาทิฯ อทฺธโยชนเมว อทฺธโยชนตา, ตโต อธิกํ วาฯ คิลานํ ปฎิจฺจ อทฺธโยชนํ วุตฺตํ, อิตรํ ปฎิจฺจ ‘‘อธิกํ ทูรมฺปิ ปน คนฺตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํฯ เตเนวาห ‘‘สเจ สโกฺกตี’’ติฯ ตาวเทติ ตทา เอว, อจิรายิตฺวาติ อโตฺถฯ
422. Kīvadūre vasantehi sutvā gantvā vattabbanti āha ‘‘gantvā’’tiādi. Addhayojanameva addhayojanatā, tato adhikaṃ vā. Gilānaṃ paṭicca addhayojanaṃ vuttaṃ, itaraṃ paṭicca ‘‘adhikaṃ dūrampi pana gantabba’’nti vuttaṃ. Tenevāha ‘‘sace sakkotī’’ti. Tāvadeti tadā eva, acirāyitvāti attho.
๔๒๓. ติกฺขตฺตุํ ปน วุตฺตสฺสาติ ‘‘มายสฺมา’’ติอาทินา นเยน วิสุญฺจ สงฺฆมเชฺฌ จ ติกฺขตฺตุํ วุตฺตสฺสาปิ อปริจฺจชนฺตสฺสฯ ตํ เภทาย ปรกฺกมาทิกํฯ เภทปฺปวตฺติยา สุตกฺขเณ สยํ อคนฺตฺวา ปณฺณํ วา สาสนํ วา เปเสนฺตสฺส อาปตฺติํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ทูตํ วา’’ติอาทิฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๑๑) ‘‘ทูตํ วา ปณฺณํ วา เปเสตฺวา วทโตปิ อาปตฺติโมโกฺข นตฺถี’’ติอาทิฯ
423.Tikkhattuṃ pana vuttassāti ‘‘māyasmā’’tiādinā nayena visuñca saṅghamajjhe ca tikkhattuṃ vuttassāpi apariccajantassa. Taṃ bhedāya parakkamādikaṃ. Bhedappavattiyā sutakkhaṇe sayaṃ agantvā paṇṇaṃ vā sāsanaṃ vā pesentassa āpattiṃ dassetumāha ‘‘dūtaṃ vā’’tiādi. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ (pārā. aṭṭha. 2.411) ‘‘dūtaṃ vā paṇṇaṃ vā pesetvā vadatopi āpattimokkho natthī’’tiādi.
๔๒๕. ยฺยกาเร ปน สมฺปเตฺตติ ‘‘ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยา’’ติ (ปารา. ๔๑๓) ตติยกมฺมวาจาย อเนฺต ยฺยกาเร อุจฺจาริเตฯ ปสฺสมฺภนฺตีติ ปฎิปฺปสฺสมฺภนฺติ, วูปสมนฺตีติ อโตฺถฯ ทุกฺกฎาทโยติ ญตฺติยา ทุกฺกฎํ, ทฺวีหิ กมฺมวาจาหิ เทฺว จ ถุลฺลจฺจยาฯ ยถาห ‘‘สงฺฆาทิเสสํ อชฺฌาปชฺชนฺตสฺส ญตฺติยา ทุกฺกฎํ, ทฺวีหิ กมฺมวาจาหิ ถุลฺลจฺจยา ปฎิปฺปสฺสมฺภนฺตี’’ติ (ปารา. ๔๑๔)ฯ ตสฺมา ญตฺติยา ปุเพฺพ พหิ จ สงฺฆมเชฺฌ จ ติกฺขตฺตุํ วุเตฺตปิ อปฺปฎินิสฺสชฺชเนน อาปนฺนานิ เทฺว ทุกฺกฎานิ เทเสตพฺพานีติ วิญฺญายติฯ
425.Yyakāre pana sampatteti ‘‘yassa nakkhamati, so bhāseyyā’’ti (pārā. 413) tatiyakammavācāya ante yyakāre uccārite. Passambhantīti paṭippassambhanti, vūpasamantīti attho. Dukkaṭādayoti ñattiyā dukkaṭaṃ, dvīhi kammavācāhi dve ca thullaccayā. Yathāha ‘‘saṅghādisesaṃ ajjhāpajjantassa ñattiyā dukkaṭaṃ, dvīhi kammavācāhi thullaccayā paṭippassambhantī’’ti (pārā. 414). Tasmā ñattiyā pubbe bahi ca saṅghamajjhe ca tikkhattuṃ vuttepi appaṭinissajjanena āpannāni dve dukkaṭāni desetabbānīti viññāyati.
อิมิสฺสา กมฺมวาจาย กิํ อาปนฺนาปตฺติโย ปฎิปฺปสฺสมฺภนฺติ, อุทาหุ อนาปนฺนาติ วิจารณาย ‘‘โย อวสาเน ปฎินิสฺสชฺชิสฺสติ, โส ตา อาปตฺติโย น อาปชฺชติ, ตสฺมา อนาปนฺนา ปฎิปฺปสฺสมฺภนฺตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๑๔) มหาสุมเตฺถรสฺส วาทํ ‘‘กิมนาปนฺนานํ ปฎิปฺปสฺสทฺธิยา’’ติ ปฎิพาหิตฺวา ‘‘ลิงฺคปริวตฺตเน อสาธารณาปตฺติโย วิย อาปนฺนา ปฎิปฺปสฺสมฺภนฺตี’’ติ มหาปทุมเตฺถรสฺส วาโท ฐิโตฯ
Imissā kammavācāya kiṃ āpannāpattiyo paṭippassambhanti, udāhu anāpannāti vicāraṇāya ‘‘yo avasāne paṭinissajjissati, so tā āpattiyo na āpajjati, tasmā anāpannā paṭippassambhantī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.414) mahāsumattherassa vādaṃ ‘‘kimanāpannānaṃ paṭippassaddhiyā’’ti paṭibāhitvā ‘‘liṅgaparivattane asādhāraṇāpattiyo viya āpannā paṭippassambhantī’’ti mahāpadumattherassa vādo ṭhito.
๔๒๖. อกเต ปน กมฺมสฺมินฺติ ยถาวุตฺตสมนุภาสนกเมฺม อกเตฯ อปริจฺจชโตปิ จาติ ตํ สงฺฆเภทาย ปรกฺกมนํ อปริจฺจชนฺตสฺสาปิฯ ‘‘สงฺฆาทิเสเสนา’’ติ อิมินา กมฺมํ อกตฺวา สงฺฆมเชฺฌ จ พหิ จ ติกฺขตฺตุํ วุจฺจมานสฺส อปฺปฎินิสฺสชฺชเนน ทุกฺกฎํ ปน โหตีติ พฺยติเรกโตว ทเสฺสติฯ
426.Akate pana kammasminti yathāvuttasamanubhāsanakamme akate. Apariccajatopi cāti taṃ saṅghabhedāya parakkamanaṃ apariccajantassāpi. ‘‘Saṅghādisesenā’’ti iminā kammaṃ akatvā saṅghamajjhe ca bahi ca tikkhattuṃ vuccamānassa appaṭinissajjanena dukkaṭaṃ pana hotīti byatirekatova dasseti.
๔๒๗. ปุเพฺพ วาติ ญตฺติยา ปุเพฺพ วิสุํ, สงฺฆมเชฺฌ วา ติกฺขตฺตุํ วุจฺจมาเนปิฯ ตงฺขเณปีติ ญตฺติกฺขเณ วาฯ ญตฺติยา อนิฎฺฐิตายปิ ปจฺฉาปิ, อิมสฺส อวธิํ ทเสฺสติ ‘‘อสมฺปเตฺต ยฺยการสฺมิ’’นฺติฯ ปฎินิสฺสชฺชโตปิ จ ตสฺส สงฺฆาทิเสเสน อนาปตฺติ ปกาสิตาติ ปฐมคาถาย ปจฺฉิมฑฺฒํ อิธาเนตฺวา โยเชตพฺพํฯ
427.Pubbe vāti ñattiyā pubbe visuṃ, saṅghamajjhe vā tikkhattuṃ vuccamānepi. Taṅkhaṇepīti ñattikkhaṇe vā. Ñattiyā aniṭṭhitāyapi pacchāpi, imassa avadhiṃ dasseti ‘‘asampatte yyakārasmi’’nti. Paṭinissajjatopi ca tassa saṅghādisesena anāpatti pakāsitāti paṭhamagāthāya pacchimaḍḍhaṃ idhānetvā yojetabbaṃ.
๔๒๘. เอตฺตาวตา ‘‘อนาปตฺติ อสมนุภาสนฺตสฺส ปฎินิสฺสชฺชนฺตสฺส อุมฺมตฺตกสฺส ขิตฺตจิตฺตสฺส เวทนาฎฺฎสฺส อาทิกมฺมิกสฺสา’’ติ (ปารา. ๔๑๖) ปาเฐ ‘‘ปฎินิสฺสชฺชนฺตสฺสา’’ติ ปเทน คหิเตสุ ‘‘ญตฺติโต’’ติอาทีสุ วินิจฺฉยํ ทเสฺสตฺวา ตํ นิคเมตุํ ‘‘ปฎินิสฺสชฺชโต วาปิ ต’’นฺติ อาหฯ นิคมนตฺถโชตโก เอวํ-สโทฺท สามตฺถิยา ลพฺภติ, เอวํ ‘‘ญตฺติโต’’ติอาทินา ยถาวุตฺตนเยน ปฎินิสฺสชฺชนฺตสฺส วาติ อโตฺถฯ ตนฺติ สงฺฆเภทปฺปโยคํฯ อสมนุภาสโต วาติ อสมนุภาสิยมานสฺสฯ ‘‘อสมนุภาสิยโต’’ติ วตฺตเพฺพ วิกรณปจฺจยโลเปน ‘‘อสมนุภาสโต’’ติ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อสมนุภาสนฺตสฺสาติ อสมนุภาสิยมานสฺสา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๑๖)ฯ ‘‘สงฺฆาทิเสเสน อนาปตฺติ ปกาสิตา’’ติ อนุวตฺตมานตฺตา อิจฺฉิตเตฺถ สิเทฺธปิ ปุน ‘‘อนาปตฺติ ปกาสิตา’’ติ วจเน ปุนรุตฺตตา อาปชฺชตีติ? นาปชฺชติ, ปทาวุตฺติ นาม อลํกาโร โหตีติฯ
428. Ettāvatā ‘‘anāpatti asamanubhāsantassa paṭinissajjantassa ummattakassa khittacittassa vedanāṭṭassa ādikammikassā’’ti (pārā. 416) pāṭhe ‘‘paṭinissajjantassā’’ti padena gahitesu ‘‘ñattito’’tiādīsu vinicchayaṃ dassetvā taṃ nigametuṃ ‘‘paṭinissajjato vāpi ta’’nti āha. Nigamanatthajotako evaṃ-saddo sāmatthiyā labbhati, evaṃ ‘‘ñattito’’tiādinā yathāvuttanayena paṭinissajjantassa vāti attho. Tanti saṅghabhedappayogaṃ. Asamanubhāsato vāti asamanubhāsiyamānassa. ‘‘Asamanubhāsiyato’’ti vattabbe vikaraṇapaccayalopena ‘‘asamanubhāsato’’ti vuttanti daṭṭhabbaṃ. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘asamanubhāsantassāti asamanubhāsiyamānassā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.416). ‘‘Saṅghādisesena anāpatti pakāsitā’’ti anuvattamānattā icchitatthe siddhepi puna ‘‘anāpatti pakāsitā’’ti vacane punaruttatā āpajjatīti? Nāpajjati, padāvutti nāma alaṃkāro hotīti.
๔๒๙. อิมสฺส สิกฺขาปทสฺส อตฺถุปฺปตฺติยํ สงฺฆเภทตฺถํ ปญฺจ วตฺถูนิ ยาจเนฺตน เทวทเตฺตน ‘‘สาธุ ภเนฺต ภิกฺขู ยาวชีวํ มจฺฉมํสํ น ขาเทยฺยุํ, โย มจฺฉมํสํ ขาเทยฺย, วชฺชํ นํ ผุเสยฺยา’’ติ (ปารา. ๔๐๙) วุเตฺต ‘‘อลํ เทวทตฺต มยา ติโกฎิปริสุทฺธํ มจฺฉมํสํ อนุญฺญาตํ อทิฎฺฐํ อสุตํ อปริสงฺกิต’’นฺติ (ปารา. ๔๐๙) อนุญฺญาเตสุ มจฺฉมํเสสุ กปฺปิยากปฺปิยวินิจฺฉยํ ปุเพฺพ อโนกาสาภาเวน อวตฺวา ปกตํ สิกฺขาปทวินิจฺฉยํ นิฎฺฐาเปตฺวา อิทานิ ปตฺตาวเสสํ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ยญฺหี’’ติอาทิ อารทฺธํ ฯ ‘‘ตํ ตสฺสา’’ติ วกฺขมานตฺตา ‘‘ย’’นฺติ อิทํ ‘‘ภิกฺขุ’’นฺติ อิมินา จ ‘‘มจฺฉมํส’’นฺติ เอเตน จ โยเชตพฺพํฯ มจฺฉนฺติ โอทกํฯ มํสนฺติ ถลชานํ มํสํฯ นิเพฺพมติโกติ ‘‘มํ อุทฺทิสฺส กต’’นฺติ วา ‘‘สงฺฆํ อุทฺทิสฺส กต’’นฺติ วา อุปฺปนฺนาย วิมติยา วิรหิโตฯ
429. Imassa sikkhāpadassa atthuppattiyaṃ saṅghabhedatthaṃ pañca vatthūni yācantena devadattena ‘‘sādhu bhante bhikkhū yāvajīvaṃ macchamaṃsaṃ na khādeyyuṃ, yo macchamaṃsaṃ khādeyya, vajjaṃ naṃ phuseyyā’’ti (pārā. 409) vutte ‘‘alaṃ devadatta mayā tikoṭiparisuddhaṃ macchamaṃsaṃ anuññātaṃ adiṭṭhaṃ asutaṃ aparisaṅkita’’nti (pārā. 409) anuññātesu macchamaṃsesu kappiyākappiyavinicchayaṃ pubbe anokāsābhāvena avatvā pakataṃ sikkhāpadavinicchayaṃ niṭṭhāpetvā idāni pattāvasesaṃ taṃ dassetuṃ ‘‘yañhī’’tiādi āraddhaṃ . ‘‘Taṃ tassā’’ti vakkhamānattā ‘‘ya’’nti idaṃ ‘‘bhikkhu’’nti iminā ca ‘‘macchamaṃsa’’nti etena ca yojetabbaṃ. Macchanti odakaṃ. Maṃsanti thalajānaṃ maṃsaṃ. Nibbematikoti ‘‘maṃ uddissa kata’’nti vā ‘‘saṅghaṃ uddissa kata’’nti vā uppannāya vimatiyā virahito.
๔๓๐. สมุทฺทิสฺส กตนฺติ สงฺฆํ วา อตฺตานํ วา อุทฺทิสฺส กตํฯ ‘‘ญตฺวา’’ติ อิมินา อชานิตฺวา ภุญฺชนฺตสฺส อนาปตฺติภาวมาหฯ
430.Samuddissa katanti saṅghaṃ vā attānaṃ vā uddissa kataṃ. ‘‘Ñatvā’’ti iminā ajānitvā bhuñjantassa anāpattibhāvamāha.
๔๓๑. หตฺถีนํ อสฺสานํ อจฺฉานํ มนุสฺสานํ อหีนํ กุกฺกุรานํ ทีปีนํ สีหานํ พฺยคฺฆานํ ตรจฺฉานํ มํสํ อกปฺปิยํ โหตีติ โยชนาฯ
431. Hatthīnaṃ assānaṃ acchānaṃ manussānaṃ ahīnaṃ kukkurānaṃ dīpīnaṃ sīhānaṃ byagghānaṃ taracchānaṃ maṃsaṃ akappiyaṃ hotīti yojanā.
๔๓๒. สจิตฺตกตา อาปตฺติยาเยว ยุชฺชติ, อิธ ปน ตํเหตุกํ มํสเมว เหตุมฺหิ ผลูปจาเรน สจิตฺตกนฺติ คหิตํฯ เอตฺถ จิตฺตํ นาม อตฺตานํ วา สงฺฆํ วา อุทฺทิสฺส กตภาวชานนจิตฺตํฯ เสสนฺติ อนุทฺทิสฺสกตํ อกปฺปิยมํสํฯ อจิตฺตกนฺติ วุตฺตนยเมวฯ
432. Sacittakatā āpattiyāyeva yujjati, idha pana taṃhetukaṃ maṃsameva hetumhi phalūpacārena sacittakanti gahitaṃ. Ettha cittaṃ nāma attānaṃ vā saṅghaṃ vā uddissa katabhāvajānanacittaṃ. Sesanti anuddissakataṃ akappiyamaṃsaṃ. Acittakanti vuttanayameva.
๔๓๓. ปุจฺฉิตฺวาเยวาติ อกปฺปิยมํสปริหารตฺถํ ทสสุ มํเสสุ นามญฺจ อุทฺทิสฺสกตสฺส ปริหารตฺถํ อุภยสฺสาปิ ปฎิลทฺธาการญฺจ ปุจฺฉิตฺวาเยวาติ อโตฺถฯ โอทเกสุ มเจฺฉสุ อกปฺปิยาภาวโต ลทฺธากาโรว ญาตโพฺพฯ มํเส ทิฎฺฐมเตฺตเยว ‘‘อิทํ อสุกมํส’’นฺติ ชานนฺติ เจ, อปุจฺฉิเตปิ โทโส นตฺถิฯ ทายเกสุ มํสสฺสาภาเว ลทฺธนิยาเม อปุจฺฉิเตปิ โทโส นตฺถิฯ ยถา วา ตถา วา วิมติยา อุปฺปนฺนาย อปฺปฎิคฺคาเหตฺวา นิสิเนฺน ‘‘กสฺมา น ปฎิคฺคณฺหถา’’ติ ปุจฺฉิเต วิมติยา อุปฺปนฺนาการํ วตฺวา ‘‘มยํ ตุเมฺห วา อิตเร ภิกฺขู วา อุทฺทิสฺส น กริมฺหา’’ติ วตฺวา ‘‘อมฺหากเมว สนฺธาย กตํ, ปณฺณาการตฺถาย กตํ, อติถีนํ วา อตฺถาย กต’’นฺติอาทินา อตฺตนา ลทฺธปฺปการํ วตฺวา ‘‘สํสยํ อกตฺวา ปฎิคฺคเหตพฺพ’’นฺติ วเทยฺยุํ เจ, ปฎิคฺคเหตุํ วฎฺฎตีติ สพฺพมิทํ อฎฺฐกถาย วุตฺตํฯ
433.Pucchitvāyevāti akappiyamaṃsaparihāratthaṃ dasasu maṃsesu nāmañca uddissakatassa parihāratthaṃ ubhayassāpi paṭiladdhākārañca pucchitvāyevāti attho. Odakesu macchesu akappiyābhāvato laddhākārova ñātabbo. Maṃse diṭṭhamatteyeva ‘‘idaṃ asukamaṃsa’’nti jānanti ce, apucchitepi doso natthi. Dāyakesu maṃsassābhāve laddhaniyāme apucchitepi doso natthi. Yathā vā tathā vā vimatiyā uppannāya appaṭiggāhetvā nisinne ‘‘kasmā na paṭiggaṇhathā’’ti pucchite vimatiyā uppannākāraṃ vatvā ‘‘mayaṃ tumhe vā itare bhikkhū vā uddissa na karimhā’’ti vatvā ‘‘amhākameva sandhāya kataṃ, paṇṇākāratthāya kataṃ, atithīnaṃ vā atthāya kata’’ntiādinā attanā laddhappakāraṃ vatvā ‘‘saṃsayaṃ akatvā paṭiggahetabba’’nti vadeyyuṃ ce, paṭiggahetuṃ vaṭṭatīti sabbamidaṃ aṭṭhakathāya vuttaṃ.
ภิกฺขูนํ เอตํ วตฺตนฺติ โยชนาฯ วตฺตฎฺฐาติ สมฺมาสมฺพุเทฺธน มหากรุณาย เทสิตํ ปาติโมกฺขสํวรสีลํ วิโสเธตฺวา ปฎิปชฺชเน ปติฎฺฐิตาฯ ‘‘วินยญฺญุโน’’ติ อิมินา วินยํ อชานิตฺวา อุปเทสปฺปมาเณเนว วตฺตํ ปูเรเนฺตหิ วตฺตสฺส วิโรโธปิ สิยาติ เต นิวเตฺตติฯ ‘‘วตฺตฎฺฐา’’ติ วิเสสเนน วินยํ ญตฺวาปิ อปูรเณ นิวเตฺตติฯ อุภเยนปิ อตฺตนา วุตฺตวินิจฺฉยสฺส ปริสุทฺธภาวํ ทีเปติฯ
Bhikkhūnaṃ etaṃ vattanti yojanā. Vattaṭṭhāti sammāsambuddhena mahākaruṇāya desitaṃ pātimokkhasaṃvarasīlaṃ visodhetvā paṭipajjane patiṭṭhitā. ‘‘Vinayaññuno’’ti iminā vinayaṃ ajānitvā upadesappamāṇeneva vattaṃ pūrentehi vattassa virodhopi siyāti te nivatteti. ‘‘Vattaṭṭhā’’ti visesanena vinayaṃ ñatvāpi apūraṇe nivatteti. Ubhayenapi attanā vuttavinicchayassa parisuddhabhāvaṃ dīpeti.
๔๓๔. อิทํ สมนุภาสนนฺติ ยถาวุตฺตสิกฺขาปทมาหฯ สมนุภาสเนน สาเธตพฺพา อาปตฺติ สมนุภาสนา การณูปจาเรนฯ อญฺญถา เอกสมุฎฺฐานาทิภาโว น ยุชฺชติฯ เอกสมุฎฺฐานํ กายวาจาจิตฺตสงฺขาตํ เอกํ สมุฎฺฐานํ เอตสฺสาติ กตฺวาฯ กายกมฺมนฺติ หตฺถมุทฺทาวเสน กาเยน กาตพฺพสฺส ปฎินิสฺสชฺชนสฺส อกตตฺตา กายกมฺมํฯ วจีกมฺมนฺติ วจสา กาตพฺพสฺส อกตตฺตา วจีกมฺมํฯ อกฺริยนฺติ ยถาวุตฺตนเยน ‘‘สงฺฆเภโทปกฺกมนิวารณาย ปรกฺกมนํ ปฎินิสฺสชฺชามี’’ติ กายวิกาเรน วา วจีเภเทน วา อวิญฺญาปนโต อกิริยํ นาม โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ
434.Idaṃ samanubhāsananti yathāvuttasikkhāpadamāha. Samanubhāsanena sādhetabbā āpatti samanubhāsanā kāraṇūpacārena. Aññathā ekasamuṭṭhānādibhāvo na yujjati. Ekasamuṭṭhānaṃ kāyavācācittasaṅkhātaṃ ekaṃ samuṭṭhānaṃ etassāti katvā. Kāyakammanti hatthamuddāvasena kāyena kātabbassa paṭinissajjanassa akatattā kāyakammaṃ. Vacīkammanti vacasā kātabbassa akatattā vacīkammaṃ. Akriyanti yathāvuttanayena ‘‘saṅghabhedopakkamanivāraṇāya parakkamanaṃ paṭinissajjāmī’’ti kāyavikārena vā vacībhedena vā aviññāpanato akiriyaṃ nāma hotīti vuttaṃ hoti.
สงฺฆเภทกถาวณฺณนาฯ
Saṅghabhedakathāvaṇṇanā.
๔๓๕. กิญฺจิปิ วตฺตพฺพนฺติ ‘‘เอโก วา เทฺว วา ตโย วา’ติ วุตฺตสงฺฆเภทานุวตฺตกภิกฺขุํ ปสฺสเนฺตหิ สุณเนฺตหิ ลชฺชิภิกฺขูหิ วิสุญฺจ สงฺฆมเชฺฌ จ เนตฺวา ติกฺขตฺตุํเยว สงฺฆเภทานุวตฺตนสฺส อกตฺตพฺพตํ วตฺวา ตโต อโนรมนฺตานํ ญตฺติจตุตฺถาย กมฺมวาจาย สมนุภาสนกมฺมํ กาตพฺพ’’นฺติ อิทญฺจ ‘‘ตติยานุสฺสาวนาย ยฺย-การปฺปตฺตาย อาปชฺชนกสงฺฆาทิเสสโต ปุเพฺพ อาปนฺนา ทุกฺกฎถุลฺลจฺจยา ปฎิปฺปสฺสมฺภนฺตี’’ติ อิทญฺจ อนาปตฺติปกาโร จาติ อิมํ สาธารณวินิจฺฉยํ สนฺธายาหฯ วจนปฺปการเภโท ปน อเตฺถว, โส สเงฺขปโต มาติกาย (ปารา. ๔๑๘-๔๑๙) วิตฺถารโต ปทภาชเน (ปารา. ๔๑๘-๔๑๙) อาคตนเยน วตฺตโพฺพฯ อสฺสาติ ทุติยสงฺฆเภทสิกฺขาปทสฺสฯ ‘‘สมุฎฺฐานา…เป.… มตา’’ติ อิมินา สาธารณวินิจฺฉโย อติทิโฎฺฐติ ทฎฺฐพฺพํฯ
435.Kiñcipi vattabbanti ‘‘eko vā dve vā tayo vā’ti vuttasaṅghabhedānuvattakabhikkhuṃ passantehi suṇantehi lajjibhikkhūhi visuñca saṅghamajjhe ca netvā tikkhattuṃyeva saṅghabhedānuvattanassa akattabbataṃ vatvā tato anoramantānaṃ ñatticatutthāya kammavācāya samanubhāsanakammaṃ kātabba’’nti idañca ‘‘tatiyānussāvanāya yya-kārappattāya āpajjanakasaṅghādisesato pubbe āpannā dukkaṭathullaccayā paṭippassambhantī’’ti idañca anāpattipakāro cāti imaṃ sādhāraṇavinicchayaṃ sandhāyāha. Vacanappakārabhedo pana attheva, so saṅkhepato mātikāya (pārā. 418-419) vitthārato padabhājane (pārā. 418-419) āgatanayena vattabbo. Assāti dutiyasaṅghabhedasikkhāpadassa. ‘‘Samuṭṭhānā…pe… matā’’ti iminā sādhāraṇavinicchayo atidiṭṭhoti daṭṭhabbaṃ.
ทุติยสงฺฆเภทกถาวณฺณนาฯ
Dutiyasaṅghabhedakathāvaṇṇanā.
๔๓๖. อุเทฺทสปริยาปเนฺนติ เอตฺถ ‘‘สิกฺขาปเท’’ติ เสโส, นิทานปาราชิกสงฺฆาทิเสสอนิยตวิตฺถารสงฺขาเต ปญฺจวิธอุเทฺทสลกฺขณปาติโมเกฺข อโนฺตคธสิกฺขาปทวิสเยติ อโตฺถฯ ‘‘อุเทฺทสปริยาปเนฺน สิกฺขาปเท’’ติ อิมินา ‘‘อวจนียมตฺตานํ กโรตี’’ติ อิมสฺส วิสยํ ทเสฺสติฯ ภิกฺขุ ทุพฺพจชาติโกติ เอตฺถ ‘‘โย’’ติ อชฺฌาหาโรฯ ‘‘ทุพฺพจชาติโกติ ทุพฺพจสภาโว, วตฺตุํ อสกฺกุเณโยฺยติ อโตฺถ’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๒๕-๔๒๖) อฎฺฐกถาย วุตฺตโทวจสฺสตาย เหตุภูตปาปิจฺฉตาทีหิ เอกูนวีสติยา ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต หุตฺวา อตฺตนิ วุตฺตํ อนุสิฎฺฐิํ สาทรมคฺคหเณน นาสนตา โทวจสฺสสภาโวติ อโตฺถฯ วุตฺตเญฺหตํ ปทภาชเน ‘‘ทุพฺพจชาติโก โหตีติ ทุพฺพโจ โหติ โทวจสฺสกรเณหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต อกฺขโม อปฺปทกฺขิณคฺคาหี อนุสาสนิ’’นฺติ (ปารา. ๔๒๖)ฯ
436.Uddesapariyāpanneti ettha ‘‘sikkhāpade’’ti seso, nidānapārājikasaṅghādisesaaniyatavitthārasaṅkhāte pañcavidhauddesalakkhaṇapātimokkhe antogadhasikkhāpadavisayeti attho. ‘‘Uddesapariyāpanne sikkhāpade’’ti iminā ‘‘avacanīyamattānaṃ karotī’’ti imassa visayaṃ dasseti. Bhikkhu dubbacajātikoti ettha ‘‘yo’’ti ajjhāhāro. ‘‘Dubbacajātikoti dubbacasabhāvo, vattuṃ asakkuṇeyyoti attho’’ti (pārā. aṭṭha. 2.425-426) aṭṭhakathāya vuttadovacassatāya hetubhūtapāpicchatādīhi ekūnavīsatiyā dhammehi samannāgato hutvā attani vuttaṃ anusiṭṭhiṃ sādaramaggahaṇena nāsanatā dovacassasabhāvoti attho. Vuttañhetaṃ padabhājane ‘‘dubbacajātiko hotīti dubbaco hoti dovacassakaraṇehi dhammehi samannāgato akkhamo appadakkhiṇaggāhī anusāsani’’nti (pārā. 426).
อวจนียมตฺตานํ กโรตีติ ‘‘มา มํ อายสฺมโนฺต กิญฺจิ อวจุตฺถ กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา, อหมฺปายสฺมเนฺต น กิญฺจิ วกฺขามิ กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา, วิรมถายสฺมโนฺต มม วจนายา’’ติ (ปารา. ๔๒๕) วุตฺตนเยน อตฺตานํ อวจนียํ กโรติฯ ครุกํ สิยาติ เอตฺถ ‘‘ตสฺสา’’ติ อิทํ อชฺฌาหารนยสมฺพเนฺธน ลพฺภติฯ ตตฺรายํ โยชนา – ทุพฺพจชาติโก โย ภิกฺขุ อุเทฺทสปริยาปเนฺน สิกฺขาปเท อตฺตานํ อวจนียํ กโรติ, ตสฺส ครุกํ สิยาติฯ
Avacanīyamattānaṃkarotīti ‘‘mā maṃ āyasmanto kiñci avacuttha kalyāṇaṃ vā pāpakaṃ vā, ahampāyasmante na kiñci vakkhāmi kalyāṇaṃ vā pāpakaṃ vā, viramathāyasmanto mama vacanāyā’’ti (pārā. 425) vuttanayena attānaṃ avacanīyaṃ karoti. Garukaṃ siyāti ettha ‘‘tassā’’ti idaṃ ajjhāhāranayasambandhena labbhati. Tatrāyaṃ yojanā – dubbacajātiko yo bhikkhu uddesapariyāpanne sikkhāpade attānaṃ avacanīyaṃ karoti, tassa garukaṃ siyāti.
กิํ วุตฺตํ โหติ? โย ภิกฺขุ อตฺตโน โทวจสฺสตํ ปสฺสเนฺตหิ, สุณเนฺตหิ จ ลชฺชิภิกฺขูหิ ‘‘มา อายสฺมา อตฺตานํ อวจนียํ อกาสิ…เป.… อญฺญมญฺญวุฎฺฐาปเนนา’’ติ (ปารา. ๔๒๕) วุตฺตนเยน ติกฺขตฺตุํ วุโตฺตปิ ทุกฺกฎํ อาปชฺชิตฺวาปิ น วิสฺสเชฺชติ, ‘‘โส ภิกฺขุ สงฺฆมชฺฌมฺปิ อากฑฺฒิตฺวา วตฺตโพฺพ’’ติ (ปารา. ๔๒๖) วุตฺตตฺตา หเตฺถ คเหตฺวา อากฑฺฒิตฺวาปิ สงฺฆมชฺฌํ เนตฺวา ตเถว ติกฺขตฺตุํ วุเตฺต ทุกฺกฎํ อาปชฺชิตฺวาปิ น วิสฺสเชฺชติ, ตสฺส ทุพฺพจชาติกสฺส ญตฺติจตุตฺถาย กมฺมวาจาย กริยมาเน สมนุภาสนกเมฺม ตติยาย กมฺมวาจาย ยฺยการปฺปตฺตาย ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว ญตฺติยา ทุกฺกฎํ, ทฺวีหิ กมฺมวาจาหิ ถุลฺลจฺจเย จ ปฎิปฺปสฺสมฺภยมาโน สงฺฆาทิเสโส โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ
Kiṃ vuttaṃ hoti? Yo bhikkhu attano dovacassataṃ passantehi, suṇantehi ca lajjibhikkhūhi ‘‘mā āyasmā attānaṃ avacanīyaṃ akāsi…pe… aññamaññavuṭṭhāpanenā’’ti (pārā. 425) vuttanayena tikkhattuṃ vuttopi dukkaṭaṃ āpajjitvāpi na vissajjeti, ‘‘so bhikkhu saṅghamajjhampi ākaḍḍhitvā vattabbo’’ti (pārā. 426) vuttattā hatthe gahetvā ākaḍḍhitvāpi saṅghamajjhaṃ netvā tatheva tikkhattuṃ vutte dukkaṭaṃ āpajjitvāpi na vissajjeti, tassa dubbacajātikassa ñatticatutthāya kammavācāya kariyamāne samanubhāsanakamme tatiyāya kammavācāya yyakārappattāya pubbe vuttanayeneva ñattiyā dukkaṭaṃ, dvīhi kammavācāhi thullaccaye ca paṭippassambhayamāno saṅghādiseso hotīti vuttaṃ hoti.
๔๓๗. ทุพฺพเจติ เอตฺถ ‘‘สิกฺขาปเท’’ติ เสโส, ตถา สงฺฆเภทกวณฺณเนติ เอตฺถาปิฯ สงฺฆเภโท เอว สงฺฆเภทโก, ตํ วเณฺณติ กเถตีติ สงฺฆเภทกวณฺณนํ, กิํ ตํ? สิกฺขาปทํ, ตญฺจ ปฐมเมว สงฺฆเภทกสิกฺขาปทํ คเหตพฺพํ, ตสฺมิํ วุตฺตนเยนาติ โยชนาฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘สมุฎฺฐานาทีนิ ปฐมสงฺฆเภทสทิสาเนวา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๒๕-๔๒๖)ฯ ‘‘สโพฺพ วินิจฺฉโย’’ติ เอเตน อิธ ทสฺสิเตน ‘‘ครุกํ สิยา’’ติ เอเตน สงฺคหิตํ สงฺฆาทิเสสาวสานวินิจฺฉยํ วเชฺชตฺวา ‘‘อกเต ปนา’’ติอาทิคาถาตฺตเยน วุตฺตอนาปตฺติปฺปกาเร จ ‘‘อิทเมกสมุฎฺฐาน’’นฺติอาทิคาถาย วุตฺตสมุฎฺฐานาทิเก จ อติทิสติฯ
437.Dubbaceti ettha ‘‘sikkhāpade’’ti seso, tathā saṅghabhedakavaṇṇaneti etthāpi. Saṅghabhedo eva saṅghabhedako, taṃ vaṇṇeti kathetīti saṅghabhedakavaṇṇanaṃ, kiṃ taṃ? Sikkhāpadaṃ, tañca paṭhamameva saṅghabhedakasikkhāpadaṃ gahetabbaṃ, tasmiṃ vuttanayenāti yojanā. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘samuṭṭhānādīni paṭhamasaṅghabhedasadisānevā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.425-426). ‘‘Sabbo vinicchayo’’ti etena idha dassitena ‘‘garukaṃ siyā’’ti etena saṅgahitaṃ saṅghādisesāvasānavinicchayaṃ vajjetvā ‘‘akate panā’’tiādigāthāttayena vuttaanāpattippakāre ca ‘‘idamekasamuṭṭhāna’’ntiādigāthāya vuttasamuṭṭhānādike ca atidisati.
ทุพฺพจกถาวณฺณนาฯ
Dubbacakathāvaṇṇanā.
๔๓๘. โย กุลทูสโก ภิกฺขุ, โส ฉนฺทคามิตาทีหิ ปาเปโนฺต ภิกฺขุหิ กเมฺม กริยมาเน ตํ ฉนฺทคามิตาทีหิ ปาปนํ อจฺจชโนฺต ครุกํ ผุเส สงฺฆาทิเสสํ อาปชฺชตีติ โยชนาฯ ‘‘กุลทูสโกติ กุลานิ ทูเสติ ปุเปฺผน วา ผเลน วา จุเณฺณน วา มตฺติกาย วา ทนฺตกเฎฺฐน วา เวฬุยา วา เวชฺชิกาย วา ชงฺฆเปสนิเกน วา’’ติ (ปารา. ๔๓๗) วจนโต สทฺธาสมฺปนฺนกุลานิ ลาภํ นิสฺสาย ปุปฺผทานาทีหิ สงฺคณฺหิตฺวา ตถา อกโรเนฺตสุ ลชฺชิภิกฺขูสุ กุลานํ สทฺธาทูสนโต กุลทูสโก, ภิกฺขุฯ
438.Yo kuladūsako bhikkhu, so chandagāmitādīhi pāpento bhikkhuhi kamme kariyamāne taṃ chandagāmitādīhi pāpanaṃ accajanto garukaṃ phuse saṅghādisesaṃ āpajjatīti yojanā. ‘‘Kuladūsakoti kulāni dūseti pupphena vā phalena vā cuṇṇena vā mattikāya vā dantakaṭṭhena vā veḷuyā vā vejjikāya vā jaṅghapesanikena vā’’ti (pārā. 437) vacanato saddhāsampannakulāni lābhaṃ nissāya pupphadānādīhi saṅgaṇhitvā tathā akarontesu lajjibhikkhūsu kulānaṃ saddhādūsanato kuladūsako, bhikkhu.
ฉนฺทคามิตาทีหิ ปาเปโนฺตติ กุลทูสนกมฺมํ กโรนฺตํ ทิสฺวา วา สุตฺวา วา อวจนโต อาปชฺชิตพฺพทุกฺกฎโต มุจฺจนตฺถาย ‘‘อายสฺมา โข…เป.… อลเนฺต อิธ วาเสนา’’ติ วทเนฺต ลชฺชี เปสเล ภิกฺขู ‘‘ฉนฺทคามิโน จ ภิกฺขู…เป.… เอกจฺจํ น ปพฺพาเชนฺตี’’ติ ฉนฺทคามิตาทีหิ จตูหิ อคติคมเนหิ โยเชโนฺตติ อโตฺถฯ กเมฺม กริยมาเนติ ยถาวุตฺตนเยน อตฺตานํ ครหนฺตานํ ภิกฺขูนํ กริยมานํ อโกฺกสนญฺจ ปริภาสนญฺจ เย ปสฺสนฺติ, เย จ สุณนฺติ, เตหิ ‘‘มายสฺมา เอวํ อวจ, น จ ภิกฺขู ฉนฺทคามิโน…เป.… อลเนฺต อิธ วาเสนา’’ติ ติกฺขตฺตุํ วุจฺจมาโนปิ ทุกฺกฎํ อาปชฺชิตฺวาปิ อปฺปฎินิสฺสชฺชนฺตํ หเตฺถ คเหตฺวา อากฑฺฒิตฺวา สงฺฆมชฺฌํ อาเนตฺวา ‘‘มายสฺมา เอวํ อวจา’’ติอาทินา นเยเนว ปุนปิ ติกฺขตฺตุํ วุเตฺต ทุกฺกฎํ อาปชฺชิตฺวาปิ อปฺปฎินิสฺสชฺชนฺตสฺส ญตฺติจตุตฺถาย กมฺมวาจาย สมนุภาสนกเมฺม กริยมาเนติ วุตฺตํ โหติฯ ครุกํ ผุเสติ ญตฺติยา ทุกฺกฎํ, ทฺวีหิ กมฺมวาจาหิ ถุลฺลจฺจเย จ ปฎิปฺปสฺสเมฺภโนฺต ตติยกมฺมวาจาย อเนฺต ยฺยกาเร สมฺปเตฺต สงฺฆาทิเสสํ อาปชฺชตีติ วุตฺตํ โหติฯ
Chandagāmitādīhi pāpentoti kuladūsanakammaṃ karontaṃ disvā vā sutvā vā avacanato āpajjitabbadukkaṭato muccanatthāya ‘‘āyasmā kho…pe… alante idha vāsenā’’ti vadante lajjī pesale bhikkhū ‘‘chandagāmino ca bhikkhū…pe… ekaccaṃ na pabbājentī’’ti chandagāmitādīhi catūhi agatigamanehi yojentoti attho. Kamme kariyamāneti yathāvuttanayena attānaṃ garahantānaṃ bhikkhūnaṃ kariyamānaṃ akkosanañca paribhāsanañca ye passanti, ye ca suṇanti, tehi ‘‘māyasmā evaṃ avaca, na ca bhikkhū chandagāmino…pe… alante idha vāsenā’’ti tikkhattuṃ vuccamānopi dukkaṭaṃ āpajjitvāpi appaṭinissajjantaṃ hatthe gahetvā ākaḍḍhitvā saṅghamajjhaṃ ānetvā ‘‘māyasmā evaṃ avacā’’tiādinā nayeneva punapi tikkhattuṃ vutte dukkaṭaṃ āpajjitvāpi appaṭinissajjantassa ñatticatutthāya kammavācāya samanubhāsanakamme kariyamāneti vuttaṃ hoti. Garukaṃ phuseti ñattiyā dukkaṭaṃ, dvīhi kammavācāhi thullaccaye ca paṭippassambhento tatiyakammavācāya ante yyakāre sampatte saṅghādisesaṃ āpajjatīti vuttaṃ hoti.
๔๓๙-๔๐. ‘‘กุลานิ ทูเสติ ปุเปฺผน วา’’ติอาทินา (ปารา. ๔๓๗) นเยน วุตฺตกุลทูสโนปกรณภูตจุณฺณปณฺณาทีสุ วินิจฺฉยํ ทเสฺสตุมาห ‘‘จุณฺณ’’นฺติอาทิฯ จุณฺณนฺติ สิรีสปณฺณาทิจุณฺณํฯ ปณฺณนฺติ ตมฺพูลปณฺณตาลปณฺณาทิขาทิตพฺพาขาทิตพฺพปณฺณํฯ ผลนฺติ ตาลปนสาทิผลํฯ ปุปฺผนฺติ จมฺปกาทิปุปฺผํฯ เวฬุนฺติ อโนฺทฬิกาปาฎํ กิรณฺฑาทิกํ เวฬุํฯ กฎฺฐนฺติ เคหทารุํ, อินฺธนญฺจฯ มตฺติกนฺติ ปากติกํ, ปญฺจวณฺณํ วา มตฺติกํฯ
439-40. ‘‘Kulāni dūseti pupphena vā’’tiādinā (pārā. 437) nayena vuttakuladūsanopakaraṇabhūtacuṇṇapaṇṇādīsu vinicchayaṃ dassetumāha ‘‘cuṇṇa’’ntiādi. Cuṇṇanti sirīsapaṇṇādicuṇṇaṃ. Paṇṇanti tambūlapaṇṇatālapaṇṇādikhāditabbākhāditabbapaṇṇaṃ. Phalanti tālapanasādiphalaṃ. Pupphanti campakādipupphaṃ. Veḷunti andoḷikāpāṭaṃ kiraṇḍādikaṃ veḷuṃ. Kaṭṭhanti gehadāruṃ, indhanañca. Mattikanti pākatikaṃ, pañcavaṇṇaṃ vā mattikaṃ.
อตฺตโน สนฺตกํ, ตาวกาลิกาทิวเสน คหิตํ วา จุณฺณํ…เป.… มตฺติกํ กุลสงฺคหณตฺถาย ททโต กุลทูสนทุกฺกฎํ โหตีติ สมฺพโนฺธฯ เถยฺยาติ โจริกาฯ ‘‘ททโต’’ติ อิทํ สามิวจนํ ‘‘กาตโพฺพ’’ติ ปจฺจตฺตวจนนฺตํ วิเสสิตพฺพมเปกฺขิตฺวา ‘‘ททโนฺต’’ติ วิภตฺติวิปริณาเมน ปจฺจตฺตวจนนฺตํ อนุวเตฺตตพฺพํฯ กาตโพฺพติ เอตฺถ กาเรตโพฺพติ อโตฺถฯ อิมินา สงฺฆสนฺตกํ, คณสนฺตกํ, อญฺญปุคฺคลสนฺตกญฺจ จุณฺณาทิํ กุลสงฺคหตฺถํ โจริกาย เทโนฺต ภณฺฑเคฺฆน กาเรตโพฺพติ อิมํ วินิจฺฉยํ ทเสฺสติฯ สงฺฆญฺญสนฺตเกติ สงฺฆญฺญสนฺตกจุณฺณาทิเกติ อโตฺถฯ เอตฺถ อญฺญ-สเทฺทน คณปุคฺคลานํ คหณํฯ
Attano santakaṃ, tāvakālikādivasena gahitaṃ vā cuṇṇaṃ…pe… mattikaṃ kulasaṅgahaṇatthāya dadato kuladūsanadukkaṭaṃ hotīti sambandho. Theyyāti corikā. ‘‘Dadato’’ti idaṃ sāmivacanaṃ ‘‘kātabbo’’ti paccattavacanantaṃ visesitabbamapekkhitvā ‘‘dadanto’’ti vibhattivipariṇāmena paccattavacanantaṃ anuvattetabbaṃ. Kātabboti ettha kāretabboti attho. Iminā saṅghasantakaṃ, gaṇasantakaṃ, aññapuggalasantakañca cuṇṇādiṃ kulasaṅgahatthaṃ corikāya dento bhaṇḍagghena kāretabboti imaṃ vinicchayaṃ dasseti. Saṅghaññasantaketi saṅghaññasantakacuṇṇādiketi attho. Ettha añña-saddena gaṇapuggalānaṃ gahaṇaṃ.
๔๔๑. สงฺฆิกํ ครุภณฺฑํ วาติ สงฺฆสนฺตกํ ครุภณฺฑปโหนกํ วา ปณฺณาทิกํฯ เสนาสนนิยามิตนฺติ ‘‘เอตฺตกา ผลรุกฺขาทโย เสนาสเน นวกมฺมตฺถายา’’ติ เอวํ นิยมิตํ วาฯ อิสฺสรวตาเย วาติ เอวกาเรน ‘‘เถยฺยา’’ติ อิทํ นิวตฺติตํฯ
441.Saṅghikaṃ garubhaṇḍaṃ vāti saṅghasantakaṃ garubhaṇḍapahonakaṃ vā paṇṇādikaṃ. Senāsananiyāmitanti ‘‘ettakā phalarukkhādayo senāsane navakammatthāyā’’ti evaṃ niyamitaṃ vā. Issaravatāye vāti evakārena ‘‘theyyā’’ti idaṃ nivattitaṃ.
๔๔๒. หริตฺวา วาติ อตฺตนาเยว หริตฺวา วาฯ ‘‘ปุปฺผํ เทนฺตสฺสา’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ เอส นโย อุปริปิฯ หราเปตฺวา วาติ อญฺญสฺส หเตฺถ เปเสตฺวา วาฯ ปโกฺกสิตฺวา วาติ อามเนฺตตฺวา วา ปโกฺกสาเปตฺวา วาติ อุปลกฺขณโต ลพฺภติฯ อาคตสฺส วาติ อตฺตนา เอว อาคตสฺส วาฯ ‘‘กุลสงฺคหณตฺถายา’’ติ วจเนน ‘‘เอวรูเป อธิปฺปาเย อสติ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตตฺตา ‘‘เจติยํ ปูชํ กโรนฺตาปิ ‘ปูเชสฺสามา’ติ ปุปฺผานิ คเหตฺวา คจฺฉนฺตาปิ ตตฺถ ตตฺถ สมฺปตฺตานํ เจติยปูชนตฺถาย เทนฺติ, เอตมฺปิ ปุปฺผทานํ นาม น โหตี’’ติอาทิกํ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๓๖-๔๓๗) อฎฺฐกถาคตํ สพฺพํ วินิจฺฉยํ ทสฺสิตํ โหติฯ
442.Haritvā vāti attanāyeva haritvā vā. ‘‘Pupphaṃ dentassā’’ti iminā sambandho. Esa nayo uparipi. Harāpetvā vāti aññassa hatthe pesetvā vā. Pakkositvā vāti āmantetvā vā pakkosāpetvā vāti upalakkhaṇato labbhati. Āgatassa vāti attanā eva āgatassa vā. ‘‘Kulasaṅgahaṇatthāyā’’ti vacanena ‘‘evarūpe adhippāye asati vaṭṭatī’’ti vuttattā ‘‘cetiyaṃ pūjaṃ karontāpi ‘pūjessāmā’ti pupphāni gahetvā gacchantāpi tattha tattha sampattānaṃ cetiyapūjanatthāya denti, etampi pupphadānaṃ nāma na hotī’’tiādikaṃ (pārā. aṭṭha. 2.436-437) aṭṭhakathāgataṃ sabbaṃ vinicchayaṃ dassitaṃ hoti.
๔๔๓. เอวํ อุสฺสคฺคํ ทเสฺสตฺวา อปวาทํ ทเสฺสตุมาห ‘‘หริตฺวา วา’’ติอาทิฯ ‘‘หราเปตฺวา’’ติ อิมินา โยเชตพฺพสฺส วา-สทฺทสฺส อวุตฺตสมฺปิณฺฑนตฺถตาย ‘‘ปโกฺกสิตฺวา วา ปโกฺกสาเปตฺวา วา, อาคตานํ วา’’ติ จ สงฺคยฺหติฯ อาคตเสฺสวาติ เอวกาเรน หริตฺวา ทานาทิํ นิวเตฺตติฯ
443. Evaṃ ussaggaṃ dassetvā apavādaṃ dassetumāha ‘‘haritvā vā’’tiādi. ‘‘Harāpetvā’’ti iminā yojetabbassa vā-saddassa avuttasampiṇḍanatthatāya ‘‘pakkositvā vā pakkosāpetvā vā, āgatānaṃ vā’’ti ca saṅgayhati. Āgatassevāti evakārena haritvā dānādiṃ nivatteti.
๔๔๔. ตญฺจาติ มาตาปิตุอาทีนํ ตํ ปุปฺผทานญฺจฯ วตฺถุปูชตฺถนฺติ รตนตฺตยปูชนตฺถํฯ น ปนญฺญถาติ อเญฺญน ปกาเรน ทาตุํ น วฎฺฎติฯ เยน ปกาเรน ทาตุํ น วฎฺฎติ, โกยํ ปกาโรติ อาห ‘‘สิวาที’’ติอาทิฯ สิวาทิปูชนตฺถนฺติ มหิสฺสราทิเทวตาปูชนตฺถญฺจฯ มณฺฑนตฺถนฺติ ปิฬนฺธนตฺถํฯ เอวํ อทาตพฺพปฺปการนิยมเนน ‘‘อิมํ วิกฺกิณิตฺวา ชีวิกํ กเปฺปสฺสนฺตี’’ติ มาตาปิตุอาทีนํ ทาตุํ วฎฺฎตีติ วทนฺติฯ
444.Tañcāti mātāpituādīnaṃ taṃ pupphadānañca. Vatthupūjatthanti ratanattayapūjanatthaṃ. Na panaññathāti aññena pakārena dātuṃ na vaṭṭati. Yena pakārena dātuṃ na vaṭṭati, koyaṃ pakāroti āha ‘‘sivādī’’tiādi. Sivādipūjanatthanti mahissarādidevatāpūjanatthañca. Maṇḍanatthanti piḷandhanatthaṃ. Evaṃ adātabbappakāraniyamanena ‘‘imaṃ vikkiṇitvā jīvikaṃ kappessantī’’ti mātāpituādīnaṃ dātuṃ vaṭṭatīti vadanti.
๔๔๕. ‘‘ผลาทีสุ …เป.… วินิจฺฉโย’’ติ อิมินา ‘‘หริตฺวา วา หราเปตฺวา วา’’ติอาทินา ปุเพฺพ วุตฺตวินิจฺฉโย ผลปณฺณาทีสุ สพฺพตฺถ สมาโนติ ทเสฺสติฯ
445.‘‘Phalādīsu…pe… vinicchayo’’ti iminā ‘‘haritvā vā harāpetvā vā’’tiādinā pubbe vuttavinicchayo phalapaṇṇādīsu sabbattha samānoti dasseti.
๔๔๖. ‘‘ปุปฺผาทิภาชเน’’ติ ปุปฺผผลาทีนํ ภาชนกาเลฯ สมฺมเตนาติ ปุปฺผาทิภาชนตฺถํ ขนฺธเก วุตฺตนเยน สเงฺฆน สมฺมเตน ภิกฺขุนาฯ อสฺสาติ ภาชนฎฺฐานํ อาคตสฺสฯ อิตเรนาติ สงฺฆสมฺมุติํ วินา ปุปฺผาทีนิ ภาชาเปเนฺตนฯ ญาเปตฺวา ทาตพฺพนฺติ สพฺพํ สงฺฆํ ชานาเปตฺวา ทาตพฺพํฯ
446.‘‘Pupphādibhājane’’ti pupphaphalādīnaṃ bhājanakāle. Sammatenāti pupphādibhājanatthaṃ khandhake vuttanayena saṅghena sammatena bhikkhunā. Assāti bhājanaṭṭhānaṃ āgatassa. Itarenāti saṅghasammutiṃ vinā pupphādīni bhājāpentena. Ñāpetvā dātabbanti sabbaṃ saṅghaṃ jānāpetvā dātabbaṃ.
๔๔๗. อุปฑฺฒภาวนฺติ เอเกน ภิกฺขุนา ลทฺธพฺพภาคโต อุปฑฺฒํฯ ‘‘โถกํ โถก’’นฺติ อิมินา อุปฑฺฒโตปิ อปฺปตรํ คหิตํฯ
447.Upaḍḍhabhāvanti ekena bhikkhunā laddhabbabhāgato upaḍḍhaṃ. ‘‘Thokaṃ thoka’’nti iminā upaḍḍhatopi appataraṃ gahitaṃ.
๔๔๘. ปริพฺพยวิหีนสฺสาติ ตณฺฑุลาทิชีวิตวุตฺติวยมูลรหิตสฺสฯ สมฺปตฺติสฺสริยสฺสาปีติ อตฺตโน สมีปมุปคตสฺส อิสฺสรสฺส จฯ ‘‘ทาตพฺพํ ตุ สกํ ผล’’นฺติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ ‘‘ปริพฺพยวิหีนานํ, ทาตุํ สปรสนฺตก’’นฺติ ขุทฺทสิกฺขาย อาคตํ, อิธ ‘‘สกํ ผล’’นฺติ วุตฺตํฯ ตตฺถ ปรวจเนน วิสฺสาสิกานํ คหณํ, อิธ ปน วิสฺสาสคฺคาเหน คเหตฺวา ทียมานมฺปิ สสนฺตกเมวาติ ‘‘สก’’นฺติ วุตฺตนฺติ คเหตพฺพํฯ
448.Paribbayavihīnassāti taṇḍulādijīvitavuttivayamūlarahitassa. Sampattissariyassāpīti attano samīpamupagatassa issarassa ca. ‘‘Dātabbaṃ tu sakaṃ phala’’nti iminā sambandho. ‘‘Paribbayavihīnānaṃ, dātuṃ saparasantaka’’nti khuddasikkhāya āgataṃ, idha ‘‘sakaṃ phala’’nti vuttaṃ. Tattha paravacanena vissāsikānaṃ gahaṇaṃ, idha pana vissāsaggāhena gahetvā dīyamānampi sasantakamevāti ‘‘saka’’nti vuttanti gahetabbaṃ.
๔๔๙-๕๐. ยตฺร สงฺฆาราเม สเงฺฆน ผลรุกฺขปริเจฺฉทํ กตฺวา กติกา กตาติ โยชนา, ‘‘อาคนฺตุกานํ เอตฺตกํ ผลํ ทาตพฺพ’’นฺติ ผลปริเจฺฉทํ กตฺวา วา ‘‘เอตฺตเกสุ รุเกฺขสุ ผลํ ทาตพฺพ’’นฺติ รุกฺขปริเจฺฉทํ กตฺวา วา สเงฺฆน กติกา เยน ปกาเรน กตาติ อโตฺถฯ ตตฺราคตสฺสปีติ เอวํ ฐปิตกติกวตฺตํ ตํ สงฺฆารามํ ผลตฺถาย อาคตสฺสาปิฯ
449-50. Yatra saṅghārāme saṅghena phalarukkhaparicchedaṃ katvā katikā katāti yojanā, ‘‘āgantukānaṃ ettakaṃ phalaṃ dātabba’’nti phalaparicchedaṃ katvā vā ‘‘ettakesu rukkhesu phalaṃ dātabba’’nti rukkhaparicchedaṃ katvā vā saṅghena katikā yena pakārena katāti attho. Tatrāgatassapīti evaṃ ṭhapitakatikavattaṃ taṃ saṅghārāmaṃ phalatthāya āgatassāpi.
ยถาปริเจฺฉทนฺติ สเงฺฆน ตถากตผลรุกฺขปริเจฺฉทมนติกฺกมฺมฯ ททโตติ โอจินิตฺวา ฐปิตผลํ, กปฺปิยการเกหิ โอจินาเปตฺวา วา เทนฺตสฺสฯ โอจิตผเล จ กปฺปิยการเก จ อสติ ผลตฺถาย อาคเตสุ วตฺติตพฺพวิธิํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ทเสฺสตพฺพาปิ วา’’ติอาทิฯ ‘‘วตฺวา’’ติ เสโสฯ จ-การํ อปิ-สเทฺทน เอกโต กตฺวา ‘‘อปิจา’’ติ โยชนาฯ เอวํ วตฺวา สเงฺฆน ปริจฺฉินฺนรุกฺขา ทเสฺสตพฺพาติ อิมินา ‘‘อิธ ผลานิ สุนฺทรานิ, อิโต คณฺหถา’ติ เอวํ ปน น วตฺตพฺพ’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๓๖-๔๓๗) อฎฺฐกถา พฺยติเรกโต ทสฺสิตา โหติฯ
Yathāparicchedanti saṅghena tathākataphalarukkhaparicchedamanatikkamma. Dadatoti ocinitvā ṭhapitaphalaṃ, kappiyakārakehi ocināpetvā vā dentassa. Ocitaphale ca kappiyakārake ca asati phalatthāya āgatesu vattitabbavidhiṃ dassetumāha ‘‘dassetabbāpi vā’’tiādi. ‘‘Vatvā’’ti seso. Ca-kāraṃ api-saddena ekato katvā ‘‘apicā’’ti yojanā. Evaṃ vatvā saṅghena paricchinnarukkhā dassetabbāti iminā ‘‘idha phalāni sundarāni, ito gaṇhathā’ti evaṃ pana na vattabba’’nti (pārā. aṭṭha. 2.436-437) aṭṭhakathā byatirekato dassitā hoti.
๔๕๑. ‘‘ขณิตฺวา’’ติ เอเตน ‘‘ขณาเปตฺวา’’ติ อิทมฺปิ สงฺคหิตํ, ‘‘กปฺปิยภูมิ’’นฺติ วกฺขมานตฺตา ปถวินฺติ เอตฺถ ‘‘อกปฺปิย’’นฺติ ลพฺภติฯ เตเนวาห ‘‘ปาจิตฺติเยนา’’ติฯ ‘‘มาลาคจฺฉ’’นฺติ อิมินา ปุปฺผูปเค ตรุณคเจฺฉ จ มลฺลิกาสุมนาทิคุมฺพคาคเจฺฉ จ สงฺคณฺหาติฯ ยถาห อฎฺฐกถาย ‘‘ตรุณกา หิ ปุปฺผรุกฺขาปิ ปุปฺผคจฺฉาปิ ‘มาลาวจฺฉา’เตฺวว วุจฺจนฺตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๓๑)ฯ อาทิ-สเทฺทน ผลูปครุเกฺข จ เภสชฺชรเส โอสธคเจฺฉ จ สงฺคณฺหาติฯ ‘‘โรปาปเน’’ติ วกฺขมานตฺตา ‘‘สย’’นฺติ อิทํ ‘‘โรปเน’’ติ อิมินา ยุชฺชติฯ
451.‘‘Khaṇitvā’’ti etena ‘‘khaṇāpetvā’’ti idampi saṅgahitaṃ, ‘‘kappiyabhūmi’’nti vakkhamānattā pathavinti ettha ‘‘akappiya’’nti labbhati. Tenevāha ‘‘pācittiyenā’’ti. ‘‘Mālāgaccha’’nti iminā pupphūpage taruṇagacche ca mallikāsumanādigumbagāgacche ca saṅgaṇhāti. Yathāha aṭṭhakathāya ‘‘taruṇakā hi puppharukkhāpi pupphagacchāpi ‘mālāvacchā’tveva vuccantī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.431). Ādi-saddena phalūpagarukkhe ca bhesajjarase osadhagacche ca saṅgaṇhāti. ‘‘Ropāpane’’ti vakkhamānattā ‘‘saya’’nti idaṃ ‘‘ropane’’ti iminā yujjati.
‘‘สยํ ขณิตฺวา’’ติ กสฺมา น ยุชฺชตีติ? ‘‘ขณาเปตฺวา’’ติ วกฺขมานสฺส อภาวา จ ‘‘โย ปน ภิกฺขุ ปถวิํ ขเณยฺย วา ขณาเปยฺย วา, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๘๕) วจนโต ขณาปเน ปาจิตฺติเยน ภวิตพฺพตฺตา จ ‘‘ขณิตฺวา’’ติ อิมินา จ ขณนขณาปนานํ ทฺวินฺนเมว คเหตพฺพตฺตา น ยุชฺชติฯ กุลทูสเนติ กุลทูสนนิมิตฺตํฯ อกปฺปิยปถวิํ ขณิตฺวา, ขณาเปตฺวา จ สยํ มาลาคจฺฉาทิโรปเน กเต อสฺส มาลาคจฺฉาทิโรปกสฺส ภิกฺขุโน อกปฺปิยปถวีขณนปจฺจเยน ปาจิตฺติเยน สทฺธิํ กุลทูสเน กุลทูสนนิมิตฺตํ ทุกฺกฎํ โหตีติ โยชนาฯ
‘‘Sayaṃ khaṇitvā’’ti kasmā na yujjatīti? ‘‘Khaṇāpetvā’’ti vakkhamānassa abhāvā ca ‘‘yo pana bhikkhu pathaviṃ khaṇeyya vā khaṇāpeyya vā, pācittiya’’nti (pāci. 85) vacanato khaṇāpane pācittiyena bhavitabbattā ca ‘‘khaṇitvā’’ti iminā ca khaṇanakhaṇāpanānaṃ dvinnameva gahetabbattā na yujjati. Kuladūsaneti kuladūsananimittaṃ. Akappiyapathaviṃ khaṇitvā, khaṇāpetvā ca sayaṃ mālāgacchādiropane kate assa mālāgacchādiropakassa bhikkhuno akappiyapathavīkhaṇanapaccayena pācittiyena saddhiṃ kuladūsane kuladūsananimittaṃ dukkaṭaṃ hotīti yojanā.
๔๕๒. ‘‘ตถา’’ติ อิมินา ‘‘สยํ โรปเน’’ติ อิทํ วินา อวเสสปฺปการํ สงฺคณฺหาติฯ ‘‘อกปฺปิเยน วาเกฺยนา’’ติ อิทํ ‘‘อกปฺปิยปถวิํ ขณาเปตฺวา’’ติ อิมินา จ ‘‘โรปาปเน’’ติ อิมินา จ ยุชฺชติฯ ‘‘อิมํ ภูมิํ ขณ, อิมํ คจฺฉํ โรเปหี’’ติอาทิกํ อกปฺปิยํ โวหารํ วตฺวา อกปฺปิยปถวิํ ขณาเปตฺวา มาลาคจฺฉาทิโรปนํ การาเปนฺตสฺสาปิ ตเถว ปาจิตฺติยญฺจ ทุกฺกฎญฺจ โหตีติ อโตฺถฯ
452.‘‘Tathā’’ti iminā ‘‘sayaṃ ropane’’ti idaṃ vinā avasesappakāraṃ saṅgaṇhāti. ‘‘Akappiyena vākyenā’’ti idaṃ ‘‘akappiyapathaviṃ khaṇāpetvā’’ti iminā ca ‘‘ropāpane’’ti iminā ca yujjati. ‘‘Imaṃ bhūmiṃ khaṇa, imaṃ gacchaṃ ropehī’’tiādikaṃ akappiyaṃ vohāraṃ vatvā akappiyapathaviṃ khaṇāpetvā mālāgacchādiropanaṃ kārāpentassāpi tatheva pācittiyañca dukkaṭañca hotīti attho.
ขณนโรปเนหิ ทฺวีหิ ปาจิตฺติยทุกฺกฎานิ อวสิเฎฺฐหิ ตทตฺถิเกหิ สพฺพโวหารปโยคเภเทหิ กิํ โหตีติ อาห ‘‘สพฺพตฺถา’’ติอาทิฯ กุลทูสเนติ นิมิเตฺต, วิสเย วา ภุมฺมํฯ อกปฺปิเยน วาเกฺยน ปน ปถวิํ ขณาเปตฺวา อกปฺปิเยน วาเกฺยน โรปาปเนปิ ตถา ปาจิตฺติเยน สห กุลทูสเน ภิกฺขุโน ทุกฺกฎํ วุตฺตํฯ สพฺพตฺถ อิโต ปเรสุปิ ตทตฺถิเกน สพฺพโวหารพฺยาปาเรสุ กุลทูสนนิมิตฺตํ ภิกฺขุโน ทุกฺกฎํ วุตฺตนฺติ โยชนาฯ
Khaṇanaropanehi dvīhi pācittiyadukkaṭāni avasiṭṭhehi tadatthikehi sabbavohārapayogabhedehi kiṃ hotīti āha ‘‘sabbatthā’’tiādi. Kuladūsaneti nimitte, visaye vā bhummaṃ. Akappiyena vākyena pana pathaviṃ khaṇāpetvā akappiyena vākyena ropāpanepi tathā pācittiyena saha kuladūsane bhikkhuno dukkaṭaṃ vuttaṃ. Sabbattha ito paresupi tadatthikena sabbavohārabyāpāresu kuladūsananimittaṃ bhikkhuno dukkaṭaṃ vuttanti yojanā.
๔๕๓. กปฺปิยภูมิยา อตฺตนา ขณเน, อกปฺปิยโวหาเรน ขณาปเน จ ปาจิตฺติยาภาวโต ทุกฺกฎํเยว วุตฺตนฺติ อาห ‘‘อุภยตฺถ จา’’ติอาทิฯ เอตฺถ ‘‘เอว’’นฺติ เสโส, โส ยถาวุตฺตมตฺถํ นิคเมติฯ เอวํ ยถาวุตฺตนเยน กปฺปิยภูมิยมฺปิ มาลาคจฺฉาทิโรปนโรปาปนสงฺขาเตสุ ทฺวีสุ ฐาเนสุ จ ภิกฺขุโน ทุกฺกฎํ วุตฺตนฺติ โยชนาฯ
453. Kappiyabhūmiyā attanā khaṇane, akappiyavohārena khaṇāpane ca pācittiyābhāvato dukkaṭaṃyeva vuttanti āha ‘‘ubhayattha cā’’tiādi. Ettha ‘‘eva’’nti seso, so yathāvuttamatthaṃ nigameti. Evaṃ yathāvuttanayena kappiyabhūmiyampi mālāgacchādiropanaropāpanasaṅkhātesu dvīsu ṭhānesu ca bhikkhuno dukkaṭaṃ vuttanti yojanā.
๔๕๔. สทุกฺกฎา ปาจิตฺตีติ ‘‘อาวาฎํ ขณ, คจฺฉํ โรเปหี’’ติ เอกวารํ อาณเตฺต พหู อาวาเฎ ขณิตฺวา พหูสุ คเจฺฉสุ โรปิเตสุปิ อาณตฺติยา เอกตฺตา ทุกฺกเฎน สห ปาจิตฺติยํ โหตีติ อยมโตฺถ อกปฺปิยภูมิํ สนฺธาย วุโตฺตฯ ‘‘สุทฺธํ วา ทุกฺกฎ’’นฺติ อิทํ อกปฺปิยภูมิยํ กปฺปิเยน โวหาเรน อาวาฎํ ขณาปกสฺส จ กปฺปิยภูมิยํ อกปฺปิยโวหาเรน อาวาฎํ ขณาปกสฺส จ ‘‘อิมํ คจฺฉํ โรเปหี’’ติ เอกวาราณตฺตปจฺจยา อาปชฺชิตพฺพํ กุลทูสนทุกฺกฎํ สนฺธาย วุตฺตํฯ
454.Sadukkaṭāpācittīti ‘‘āvāṭaṃ khaṇa, gacchaṃ ropehī’’ti ekavāraṃ āṇatte bahū āvāṭe khaṇitvā bahūsu gacchesu ropitesupi āṇattiyā ekattā dukkaṭena saha pācittiyaṃ hotīti ayamattho akappiyabhūmiṃ sandhāya vutto. ‘‘Suddhaṃ vā dukkaṭa’’nti idaṃ akappiyabhūmiyaṃ kappiyena vohārena āvāṭaṃ khaṇāpakassa ca kappiyabhūmiyaṃ akappiyavohārena āvāṭaṃ khaṇāpakassa ca ‘‘imaṃ gacchaṃ ropehī’’ti ekavārāṇattapaccayā āpajjitabbaṃ kuladūsanadukkaṭaṃ sandhāya vuttaṃ.
๔๕๕. กปฺปิเยเนว วาเกฺยนาติ เอตฺถ กปฺปิยวากฺยํ นาม ‘‘เอตฺถ อาวาฎํ ชาน, เอตฺถ อาวาฎํ ชานิตพฺพํ, เอตฺถ อาวาเฎน ภวิตพฺพ’’นฺติ เอวรูปํ วากฺยญฺจ ‘‘อิมํ คจฺฉํ เอตฺถ ชาน, อยํ คโจฺฉ เอตฺถ ชานิตโพฺพ’’ติอาทิวากฺยญฺจฯ เอวกาเรน อกปฺปิยโวหารญฺจ กปฺปิยากปฺปิยมิสฺสกโวหารญฺจ นิวเตฺตติฯ ปริยาโยภาสนิมิตฺตกมฺมํ ปน ‘‘อิตรตฺตยํ วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๓๑) อฎฺฐกถาวจนโต วฎฺฎติฯ อุภยตฺถ จ ภูมิยาติ กปฺปิยากปฺปิยภูมีสุ ทฺวีสุฯ โรปเนติ เอตฺถ สมฺพนฺธโต, ปกรณโต จ ‘‘มาลาคจฺฉาทีน’’นฺติ ลพฺภติฯ
455.Kappiyeneva vākyenāti ettha kappiyavākyaṃ nāma ‘‘ettha āvāṭaṃ jāna, ettha āvāṭaṃ jānitabbaṃ, ettha āvāṭena bhavitabba’’nti evarūpaṃ vākyañca ‘‘imaṃ gacchaṃ ettha jāna, ayaṃ gaccho ettha jānitabbo’’tiādivākyañca. Evakārena akappiyavohārañca kappiyākappiyamissakavohārañca nivatteti. Pariyāyobhāsanimittakammaṃ pana ‘‘itarattayaṃ vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.431) aṭṭhakathāvacanato vaṭṭati. Ubhayattha ca bhūmiyāti kappiyākappiyabhūmīsu dvīsu. Ropaneti ettha sambandhato, pakaraṇato ca ‘‘mālāgacchādīna’’nti labbhati.
‘‘วาเกฺยนา’’ติ วุตฺตตฺตา ‘‘โรปาปเน’’ติ วตฺตโพฺพ, ‘‘โรปเน’’ติ กิมตฺถมาหาติ เจ? สุทฺธกตฺตุนิเทฺทเสน ปโยชกสฺสาปิ สงฺคเหตพฺพโต คาถาพนฺธวเสน วุตฺตํฯ อิมินา อุปริคาถาย ‘‘สยํ โรเปตุ’’นฺติ เอตฺถ ‘‘สย’’นฺติ อิมินา วิเสเสตฺวา ‘‘โรปาเปตุ’’นฺติ อิทํ นิวเตฺตติฯ ‘‘ปริโภคตฺถาย หิ กปฺปิยภูมิยํ วา อกปฺปิยภูมิยํ วา กปฺปิยโวหาเรน โรปาปเน อนาปตฺตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๓๑) อฎฺฐกถาวินิจฺฉโย อิมาย คาถาย สงฺคหิโตติ เวทิตโพฺพฯ โกจิ โทโสติ ปาจิตฺติยญฺจ ทุกฺกฎญฺจาติ วุตฺตโทเสสุ เอโกปิ โทโส น วิชฺชตีติ อโตฺถฯ
‘‘Vākyenā’’ti vuttattā ‘‘ropāpane’’ti vattabbo, ‘‘ropane’’ti kimatthamāhāti ce? Suddhakattuniddesena payojakassāpi saṅgahetabbato gāthābandhavasena vuttaṃ. Iminā uparigāthāya ‘‘sayaṃ ropetu’’nti ettha ‘‘saya’’nti iminā visesetvā ‘‘ropāpetu’’nti idaṃ nivatteti. ‘‘Paribhogatthāya hi kappiyabhūmiyaṃ vā akappiyabhūmiyaṃ vā kappiyavohārena ropāpane anāpattī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.431) aṭṭhakathāvinicchayo imāya gāthāya saṅgahitoti veditabbo. Koci dosoti pācittiyañca dukkaṭañcāti vuttadosesu ekopi doso na vijjatīti attho.
๔๕๖-๗. ‘‘สยํ โรเปตุ’’นฺติ อิทํ ‘‘อารามาทีนมตฺถายา’’ติ อิมินา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ
456-7.‘‘Sayaṃropetu’’nti idaṃ ‘‘ārāmādīnamatthāyā’’ti iminā sambandhitabbaṃ.
อาทิ-สเทฺทน วนาทิํ สงฺคณฺหาติฯ สยํ โรปิตสฺส วาติ เอตฺถ วา-สเทฺทน ‘‘โรปาปิตสฺสา’’ติ อิทํ สงฺคณฺหาติ, เอตสฺส วิเสสนตฺถํ ‘‘กปฺปิเยน โวหาเรนา’’ติ ปาฐเสโสฯ อยํ ปน วินิจฺฉโย ‘‘อารามตฺถาย ปน วนตฺถาย จ ฉายตฺถาย จ อกปฺปิยโวหารมตฺตเมว น วฎฺฎติ, เสสํ วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๓๑) อฎฺฐกถาคตนเยน เวทิตโพฺพฯ อโนฺต อารามภูสนตฺถาย, พหิ อรญฺญตฺถาย วิย ฉายตฺถาย สุทฺธจิเตฺตน ‘‘อิมํ ชานา’’ติอาทิกปฺปิยโวหาเรน โรปาปิตรุเกฺข จ กปฺปิยภูมิยญฺจ อตฺตนา กเต วา อกปฺปิยโวหาเรน การาปิเต วา อกปฺปิยภูมิยญฺจ กปฺปิยโวหาเรน อตฺตนา การาปิเต วา อเญฺญหิ กเต วา อาวาเฎ อตฺตนา โรปิเต รุเกฺข จ ผลํ ปริภุญฺชิตุํ อิจฺฉติ เจ, ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎตีติ อโตฺถฯ
Ādi-saddena vanādiṃ saṅgaṇhāti. Sayaṃ ropitassa vāti ettha vā-saddena ‘‘ropāpitassā’’ti idaṃ saṅgaṇhāti, etassa visesanatthaṃ ‘‘kappiyena vohārenā’’ti pāṭhaseso. Ayaṃ pana vinicchayo ‘‘ārāmatthāya pana vanatthāya ca chāyatthāya ca akappiyavohāramattameva na vaṭṭati, sesaṃ vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.431) aṭṭhakathāgatanayena veditabbo. Anto ārāmabhūsanatthāya, bahi araññatthāya viya chāyatthāya suddhacittena ‘‘imaṃ jānā’’tiādikappiyavohārena ropāpitarukkhe ca kappiyabhūmiyañca attanā kate vā akappiyavohārena kārāpite vā akappiyabhūmiyañca kappiyavohārena attanā kārāpite vā aññehi kate vā āvāṭe attanā ropite rukkhe ca phalaṃ paribhuñjituṃ icchati ce, paribhuñjituṃ vaṭṭatīti attho.
อารามาทีนมตฺถาย กปฺปิยภูมิยํ สยํ โรปิตสฺส วา กปฺปิยภูมิยํ วา อกปฺปิยภูมิยํ วา กปฺปิยโวหาเรน โรปาปิตสฺส วา รุกฺขสฺส ยญฺจ ผลํ, ตํ ผลํ ปริภุญฺชิตุํ ภิกฺขูนํ วฎฺฎตีติ โยชนาฯ กตฺถจิ โปตฺถเกสุ ‘‘อารามาทีนมตฺถายา’’ติ คาถาย ลิขิตฎฺฐาเน ‘‘กุลสงฺคหณตฺถายา’’ติอาทิคาถา ทิสฺสติฯ สา ปาฬิกฺกมวิรุทฺธตฺตา อฎฺฐานปฺปยุตฺตา, ‘‘ปุปฺผาน’’นฺติอาทิคาถาย ปุรโต วุจฺจมานา ปน ฐานปฺปยุตฺตา โหติฯ
Ārāmādīnamatthāya kappiyabhūmiyaṃ sayaṃ ropitassa vā kappiyabhūmiyaṃ vā akappiyabhūmiyaṃ vā kappiyavohārena ropāpitassa vā rukkhassa yañca phalaṃ, taṃ phalaṃ paribhuñjituṃ bhikkhūnaṃ vaṭṭatīti yojanā. Katthaci potthakesu ‘‘ārāmādīnamatthāyā’’ti gāthāya likhitaṭṭhāne ‘‘kulasaṅgahaṇatthāyā’’tiādigāthā dissati. Sā pāḷikkamaviruddhattā aṭṭhānappayuttā, ‘‘pupphāna’’ntiādigāthāya purato vuccamānā pana ṭhānappayuttā hoti.
๔๕๘. สพฺพตฺถาติ อารามาทิอตฺถาย ปุเพฺพ วิย อตฺตนา โรปิเตสุ, โรปาปิเตสุ จ สเพฺพสุ มาลาคจฺฉาทีสุฯ อกปฺปิโยทเกเนว ปาจิตฺตีติ ‘‘โย ปน ภิกฺขุ ชานํ สปฺปาณกํ อุทกํ ติณํ วา มตฺติกํ วา สิเญฺจยฺย วา สิญฺจาเปยฺย วา, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๑๔๐) วุตฺตา ปาจิตฺติ เอว, น ทุกฺกฎนฺติ อโตฺถฯ
458.Sabbatthāti ārāmādiatthāya pubbe viya attanā ropitesu, ropāpitesu ca sabbesu mālāgacchādīsu. Akappiyodakeneva pācittīti ‘‘yo pana bhikkhu jānaṃ sappāṇakaṃ udakaṃ tiṇaṃ vā mattikaṃ vā siñceyya vā siñcāpeyya vā, pācittiya’’nti (pāci. 140) vuttā pācitti eva, na dukkaṭanti attho.
๔๕๙. อิทานิ ทุกฺกเฎน สทฺธิํ ปาจิตฺติยวิสยํ ทเสฺสติ ‘‘กุล…เป.… ทุกฺกฎ’’นฺติฯ สิญฺจโตติ กปฺปิโยทเกเนว สิญฺจโต, สิญฺจาปยโต จฯ
459. Idāni dukkaṭena saddhiṃ pācittiyavisayaṃ dasseti ‘‘kula…pe… dukkaṭa’’nti. Siñcatoti kappiyodakeneva siñcato, siñcāpayato ca.
๔๖๐. เตสํเยว ทฺวินฺนํ ปน อตฺถายาติ กุลทูสนปริโภคานํ ทฺวินฺนมตฺถายฯ สิญฺจเน สิญฺจาปเนติ เอตฺถ ‘‘มาลาคจฺฉาทีน’’นฺติ ปกรณโต ลพฺภติฯ ทุกฺกฎนฺติ เอตฺถ ‘‘เกวล’’นฺติ เสโสฯ
460.Tesaṃyeva dvinnaṃ pana atthāyāti kuladūsanaparibhogānaṃ dvinnamatthāya. Siñcane siñcāpaneti ettha ‘‘mālāgacchādīna’’nti pakaraṇato labbhati. Dukkaṭanti ettha ‘‘kevala’’nti seso.
๔๖๑. โอจินาปเนติ อเญฺญหิ ปุปฺผานํ โอจินาปเนฯ สยโมจินเน จาปีติ อตฺตนาว โอจินเน จฯ สปาจิตฺติยทุกฺกฎนฺติ ‘‘ภูตคามปาตพฺยตาย ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๙๐) วุตฺตตฺตา ปุโปฺผจินนเหตุ ปาจิตฺติยญฺจ กุลทูสนทุกฺกฎญฺจ โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ
461.Ocināpaneti aññehi pupphānaṃ ocināpane. Sayamocinane cāpīti attanāva ocinane ca. Sapācittiyadukkaṭanti ‘‘bhūtagāmapātabyatāya pācittiya’’nti (pāci. 90) vuttattā pupphocinanahetu pācittiyañca kuladūsanadukkaṭañca hotīti vuttaṃ hoti.
๔๖๒. ปูชาทิอตฺถาย, กุลสงฺคหตฺถาย จ ปุปฺผานํ โอจินนโอจินาปนานิ การาเปนฺตสฺส อาปตฺติยา อาปชฺชนปฺปการํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ปุปฺผาน’’นฺติฯ ‘‘ปุปฺผานํ คณนาย ปาจิตฺติยํ โหตี’’ติ วุตฺตตฺตา ปุปฺผโมจินโตติ เอตฺถ ‘‘วิสุํ วิสุ’’นฺติ เสโสฯ เอเกกปุปฺผํ โอจินนฺตสฺส ปุปฺผคณนาย ปาจิตฺติยํ โหตีติ อโตฺถฯ ‘‘เอเกน ปโยเคน พหูนิ ปุปฺผานิ โอจินนฺตสฺส ปน ปโยคคณนาย โหตี’’ติ อฎฺฐกถายํ วุตฺตํ อิธ พฺยติเรกโต ลพฺภติฯ ‘‘โอจินโต’’ติ อิมินา ‘‘โอจินาปยโต’’ติ อิทญฺจ กิริยาสามเญฺญ วิเสสสฺส อโนฺตคธภาวโต วา อุปลกฺขณโต วา ทสฺสิตนฺติฯ
462. Pūjādiatthāya, kulasaṅgahatthāya ca pupphānaṃ ocinanaocināpanāni kārāpentassa āpattiyā āpajjanappakāraṃ dassetumāha ‘‘pupphāna’’nti. ‘‘Pupphānaṃ gaṇanāya pācittiyaṃ hotī’’ti vuttattā pupphamocinatoti ettha ‘‘visuṃ visu’’nti seso. Ekekapupphaṃ ocinantassa pupphagaṇanāya pācittiyaṃ hotīti attho. ‘‘Ekena payogena bahūni pupphāni ocinantassa pana payogagaṇanāya hotī’’ti aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ idha byatirekato labbhati. ‘‘Ocinato’’ti iminā ‘‘ocināpayato’’ti idañca kiriyāsāmaññe visesassa antogadhabhāvato vā upalakkhaṇato vā dassitanti.
ตตฺถ จ ปุปฺผานิ วิสุํ วิสุํ วตฺวา โอจินาเปนฺตสฺส ปุปฺผานํ คณนาย โหตีติ อิทเมว อาปชฺชติฯ เอกวารมาณเตฺตน พหูนิ ปุปฺผานิ พหูสุ จ วาเรสุ โอจิเตสุ อาณตฺติคณนาย โหตีติ วินิจฺฉโย ทฎฺฐโพฺพฯ อิทํ สพฺพปฺปการํ อนนฺตรวุตฺตคาถาย ทสฺสิตวิธิมฺหิ จ ทฎฺฐพฺพนฺติ ญาเปตุมาห ‘‘กุลตฺถํ เจ สทุกฺกฎา’’ติฯ กุลตฺถนฺติ กุลสงฺคหตฺถํฯ ‘‘สทุกฺกฎา’’ติ วุตฺตตฺตา ปาจิตฺติยญฺจ ทุกฺกฎญฺจ ปุปฺผคณนาย โหตีติ สิทฺธํฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ปุปฺผคณนาย ทุกฺกฎปาจิตฺติยานี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๓๑)ฯ
Tattha ca pupphāni visuṃ visuṃ vatvā ocināpentassa pupphānaṃ gaṇanāya hotīti idameva āpajjati. Ekavāramāṇattena bahūni pupphāni bahūsu ca vāresu ocitesu āṇattigaṇanāya hotīti vinicchayo daṭṭhabbo. Idaṃ sabbappakāraṃ anantaravuttagāthāya dassitavidhimhi ca daṭṭhabbanti ñāpetumāha ‘‘kulatthaṃ ce sadukkaṭā’’ti. Kulatthanti kulasaṅgahatthaṃ. ‘‘Sadukkaṭā’’ti vuttattā pācittiyañca dukkaṭañca pupphagaṇanāya hotīti siddhaṃ. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘pupphagaṇanāya dukkaṭapācittiyānī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.431).
๔๖๓. คนฺถนํ คโนฺถ, เตน นิพฺพตฺตํ คนฺถิมํฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ คนฺถิมาทิสรูปํ สยเมว วกฺขติฯ สงฺคหณํ สงฺคโห, ปุปฺผานํ สงฺคโหติ วิคฺคโหฯ
463. Ganthanaṃ gantho, tena nibbattaṃ ganthimaṃ. Esa nayo sabbattha. Ganthimādisarūpaṃ sayameva vakkhati. Saṅgahaṇaṃ saṅgaho, pupphānaṃ saṅgahoti viggaho.
๔๖๔. อิมานิ คนฺถิมาทีนิ สรูปโต ทเสฺสตุมาห ‘‘ตตฺถ ทเณฺฑน ทณฺฑํ วา’’ติอาทิฯ ตตฺถ ตตฺถาติ เตสุ ฉสุ ปุปฺผสงฺคเหสุฯ ‘‘ทเณฺฑน ทณฺฑํ วา’’ติ อิทํ สทณฺฑอุปฺปลาทิกุสุมํ สนฺธายาหฯ ‘‘วเณฺฎนปิ จ วณฺฎก’’นฺติ อิทํ สวณฺฎกรตฺตกุสุมาทิํ สนฺธายาหฯ กรณํ สพฺพนฺติ กตํ สพฺพํฯ อิธ สพฺพตฺถ กปฺปิยวิธิวิภาคํ ‘‘สพฺพเมต’’มิจฺจาทิคาถายํ วกฺขติฯ
464. Imāni ganthimādīni sarūpato dassetumāha ‘‘tattha daṇḍena daṇḍaṃ vā’’tiādi. Tattha tatthāti tesu chasu pupphasaṅgahesu. ‘‘Daṇḍena daṇḍaṃ vā’’ti idaṃ sadaṇḍauppalādikusumaṃ sandhāyāha. ‘‘Vaṇṭenapi ca vaṇṭaka’’nti idaṃ savaṇṭakarattakusumādiṃ sandhāyāha. Karaṇaṃ sabbanti kataṃ sabbaṃ. Idha sabbattha kappiyavidhivibhāgaṃ ‘‘sabbameta’’miccādigāthāyaṃ vakkhati.
๔๖๕. สุตฺตาทีหิ โคเปฺผตฺวาติ เอตฺถ ‘‘วสฺสิกปุปฺผาทีนี’’ติ เสโสฯ สุเตฺตน วา กทลิวากาทีหิ วา วสฺสิกาทิปุเปฺผ คนฺถิตฺวา กตปุปฺผวิกาโร โคปฺผิมํ นามฯ เอกโต วณฺฎานิ ยสฺสาติ วิคฺคโหฯ อุภโตวณฺฎิกาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ อปฺปเตฺถ วา สกเตฺถ วา ก-กาโร ทฎฺฐโพฺพฯ อิตฺถิลิงฺควิสเย ก-การโต ปุพฺพาการสฺส อิ-การาเทโสฯ
465.Suttādīhi gopphetvāti ettha ‘‘vassikapupphādīnī’’ti seso. Suttena vā kadalivākādīhi vā vassikādipupphe ganthitvā katapupphavikāro gopphimaṃ nāma. Ekato vaṇṭāni yassāti viggaho. Ubhatovaṇṭikāti etthāpi eseva nayo. Appatthe vā sakatthe vā ka-kāro daṭṭhabbo. Itthiliṅgavisaye ka-kārato pubbākārassa i-kārādeso.
สพฺพปุปฺผานํ วณฺฎานิ เอกทิสาย กตฺวา คนฺถิตปุปฺผาวลิ เอกโตวณฺฎิกา นาม, วณฺฎานิ อุภยทิสาย กตฺวา คนฺถิตปุปฺผาวลิ อุภโตวณฺฎิกา นามาติ ตํ โคปฺผิมํ เอวํ ทุวิธํ โหตีติ อโตฺถฯ ‘‘วากํ วา วลฺลิํ วา รชฺชุํ วา ทิคุณํ กตฺวา ตตฺถ นีปกทมฺพาทิวณฺฎรหิตานิ ปุปฺผานิ เวเฐตฺวา คหณํ โคปฺผิมํ นามา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๓๑ อตฺถโต สมานํ) อฎฺฐกถาย วุตฺตํฯ
Sabbapupphānaṃ vaṇṭāni ekadisāya katvā ganthitapupphāvali ekatovaṇṭikā nāma, vaṇṭāni ubhayadisāya katvā ganthitapupphāvali ubhatovaṇṭikā nāmāti taṃ gopphimaṃ evaṃ duvidhaṃ hotīti attho. ‘‘Vākaṃ vā valliṃ vā rajjuṃ vā diguṇaṃ katvā tattha nīpakadambādivaṇṭarahitāni pupphāni veṭhetvā gahaṇaṃ gopphimaṃ nāmā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.431 atthato samānaṃ) aṭṭhakathāya vuttaṃ.
๔๖๖. พุเนฺทสูติ มูเลสุฯ มกุลาทิกนฺติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน วณฺฎรหิตมธุกาทิปุปฺผญฺจ วณฺฎสหิตมลฺลิกาทิปุปฺผญฺจ สงฺคหิตํฯ สูจิอาทีหีติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน ตาลหีราทิํ สงฺคณฺหาติ ฯ มาลาวิกตีติ ปุปฺผมาลาวิกติฯ สูจิอาทีหิ มกุลาทิกํ ปุปฺผํ พุเนฺทสุ วิชฺฌิตฺวา อาวุตา มาลาวิกติ เวธิมํ นามาติ วุจฺจตีติ โยชนาฯ
466.Bundesūti mūlesu. Makulādikanti ettha ādi-saddena vaṇṭarahitamadhukādipupphañca vaṇṭasahitamallikādipupphañca saṅgahitaṃ. Sūciādīhīti ettha ādi-saddena tālahīrādiṃ saṅgaṇhāti . Mālāvikatīti pupphamālāvikati. Sūciādīhi makulādikaṃ pupphaṃ bundesu vijjhitvā āvutā mālāvikati vedhimaṃ nāmāti vuccatīti yojanā.
๔๖๗. ‘‘เวฐิมํ นาม ปุปฺผทามปุปฺผหตฺถเกสุ ทฎฺฐพฺพ’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๓๑) อฎฺฐกถาย ทสฺสิตปฺปกาเรสุ ปฐมปฺปการํ ทเสฺสติ ‘‘เวเฐตฺวา กตํ มาลาคุเณหิ วา’’ติฯ ธมฺมเทสนาย วา ปฎิมาย วา ธาตุยา วา ปูชํ กตฺตุกามา มุทฺธนิ อุชุกํ กตฺวา มาลาทามกลาปํ โอลมฺพิตฺวา อเคฺค ฆฎิกาการทสฺสนตฺถํ มาลาวลิโย อเนกกฺขตฺตุํ ปริกฺขิปนฺตา เวเฐนฺติ, อิทํ เอวรูปํ มาลาคุณกรณมฺปิ เวฐิมํ นามาติ วุตฺตํ โหติฯ
467.‘‘Veṭhimaṃ nāma pupphadāmapupphahatthakesu daṭṭhabba’’nti (pārā. aṭṭha. 2.431) aṭṭhakathāya dassitappakāresu paṭhamappakāraṃ dasseti ‘‘veṭhetvā kataṃ mālāguṇehi vā’’ti. Dhammadesanāya vā paṭimāya vā dhātuyā vā pūjaṃ kattukāmā muddhani ujukaṃ katvā mālādāmakalāpaṃ olambitvā agge ghaṭikākāradassanatthaṃ mālāvaliyo anekakkhattuṃ parikkhipantā veṭhenti, idaṃ evarūpaṃ mālāguṇakaraṇampi veṭhimaṃ nāmāti vuttaṃ hoti.
อญฺญปฺปการํ ทเสฺสติ ‘‘วากาทีหิ จ พทฺธํ วา’’ติ, ‘‘พนฺธิตฺวา’’ติปิ ปาโฐ, ‘‘กต’’นฺติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ เอกเจฺจ อุปฺปลาทิทีฆทณฺฑกุสุมานิ อฎฺฐ วา นว วา ทส วา กลาปํ กตฺวา เตสเมว ทณฺฑานํ วาเกหิ วา อเญฺญน เยน เกนจิ ทณฺฑกเคฺค ฐเปตฺวา วา วิสุํ วา พนฺธิตฺวา อุปฺปลหตฺถาทิํ กโรนฺติ, ตญฺจ เวฐิมํ นามาติ วุตฺตํ โหติฯ เอตํ ทฺวยมฺปิ น วฎฺฎติฯ
Aññappakāraṃ dasseti ‘‘vākādīhi ca baddhaṃ vā’’ti, ‘‘bandhitvā’’tipi pāṭho, ‘‘kata’’nti iminā sambandho. Ekacce uppalādidīghadaṇḍakusumāni aṭṭha vā nava vā dasa vā kalāpaṃ katvā tesameva daṇḍānaṃ vākehi vā aññena yena kenaci daṇḍakagge ṭhapetvā vā visuṃ vā bandhitvā uppalahatthādiṃ karonti, tañca veṭhimaṃ nāmāti vuttaṃ hoti. Etaṃ dvayampi na vaṭṭati.
กปฺปิยการเกหิ โอจินิตฺวา ฐปิตปุปฺผานิ สาฎเก ปกฺขิปิตฺวา ภณฺฑิกํ กตฺวา พนฺธิตุํ น วฎฺฎติฯ เตสุเยว ปุเปฺผสุ อจฺฉิเนฺนน ทเณฺฑน วา ตสฺมิํเยว ทเณฺฑ อจฺฉินฺนวาเกน วา กลาปํ กตฺวา พนฺธิตุํ, อํสภณฺฑิกาย ปกฺขิปิตฺวา คเหตุญฺจ วฎฺฎติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘เตสํเยว ปน วาเกน วา ทเณฺฑน พนฺธิตุํ อํสภณฺฑิกํ วา กาตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ‘‘วาเกน วา ทเณฺฑน วา’ติ จ อิทํ อจฺฉินฺทิตฺวา ปริกฺขิปิตฺวา พนฺธนํ สนฺธาย วทนฺตี’’ติ สีหฬคณฺฐิปเท วุตฺตํฯ ปทุมาทิปุปฺผานิ ปทุมาทิปเณฺณสุ นาเฬหิ ปเวเสตฺวา นาเฬหิ พหิ กตฺวา ปเณฺณน ปุปฺผานิ ปฎิจฺฉาเทตฺวา ปณฺณเคฺค พนฺธิตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘ทเณฺฑ ปน พนฺธิตุํ น วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๓๑) จ อฎฺฐกถายเมว วุตฺตํฯ
Kappiyakārakehi ocinitvā ṭhapitapupphāni sāṭake pakkhipitvā bhaṇḍikaṃ katvā bandhituṃ na vaṭṭati. Tesuyeva pupphesu acchinnena daṇḍena vā tasmiṃyeva daṇḍe acchinnavākena vā kalāpaṃ katvā bandhituṃ, aṃsabhaṇḍikāya pakkhipitvā gahetuñca vaṭṭati. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘tesaṃyeva pana vākena vā daṇḍena bandhituṃ aṃsabhaṇḍikaṃ vā kātuṃ vaṭṭatī’’ti. ‘‘Vākena vā daṇḍena vā’ti ca idaṃ acchinditvā parikkhipitvā bandhanaṃ sandhāya vadantī’’ti sīhaḷagaṇṭhipade vuttaṃ. Padumādipupphāni padumādipaṇṇesu nāḷehi pavesetvā nāḷehi bahi katvā paṇṇena pupphāni paṭicchādetvā paṇṇagge bandhituṃ vaṭṭati. ‘‘Daṇḍe pana bandhituṃ na vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.431) ca aṭṭhakathāyameva vuttaṃ.
๔๖๘. ปุปฺผมาลาหิ ปูรเณติ ปุปฺผาวลีหิ ปูรเณฯ อิทํ กตฺถ ลพฺภตีติ อาห ‘‘โพธิ’’นฺติอาทิฯ ปุปฺผปฎํ นาม มาลาวลิโย ตนฺตํ วิย ปสาเรตฺวา วตฺถํ วายเนฺตหิ วิย ติริยญฺจ มาลาวลีหิ วายิตปฎํ วุจฺจติฯ อิทํ ปุปฺผปฎํ มาลาวลีหิ ทีฆโส ปูรณํ สนฺธาย ปุริเม คหิตํ, ติริยโต วายนํ สนฺธาย วกฺขมาเน วายิเมปิ คหิตนฺติ ปุนรุตฺตาภาโว เวทิตโพฺพฯ ปฎาทีนนฺติ อาทิ-สเทฺทน เจติยธาตุกรณฺฑกเวทิกาทีนํ คหณํฯ
468.Pupphamālāhi pūraṇeti pupphāvalīhi pūraṇe. Idaṃ kattha labbhatīti āha ‘‘bodhi’’ntiādi. Pupphapaṭaṃ nāma mālāvaliyo tantaṃ viya pasāretvā vatthaṃ vāyantehi viya tiriyañca mālāvalīhi vāyitapaṭaṃ vuccati. Idaṃ pupphapaṭaṃ mālāvalīhi dīghaso pūraṇaṃ sandhāya purime gahitaṃ, tiriyato vāyanaṃ sandhāya vakkhamāne vāyimepi gahitanti punaruttābhāvo veditabbo. Paṭādīnanti ādi-saddena cetiyadhātukaraṇḍakavedikādīnaṃ gahaṇaṃ.
ปริเกฺขเปสุ ลพฺภตีติ โพธิกฺขนฺธาทีนํ ปุนปฺปุนํ ปริกฺขิปเนสุ ลพฺภติฯ โพธิกฺขนฺธาทโย ปุปฺผาวลีหิ ปริกฺขิปเนฺตหิ ปฐมวทฺธฎฺฐาเน ปุปฺผาวลิยา อนติกฺกามิเต ปุริมํ นาม ฐานํ ยาว ปาปุณาติ, ตาว อเญฺญน คเหตฺวา ปริกฺขิปเนฺตน อาหริตฺวา ปุนปิ ตสฺมิํ ฐาเน ปเตฺต อญฺญสฺส ทานวเสน โพธิกฺขนฺธํ, เจติยํ, ธาตุกรณฺฑกํ วา ปุปฺผกญฺจุเกน ฉาเทตุํ วฎฺฎตีติ อฎฺฐกถาย วุตฺตํฯ สเจปิ เทฺวเยว ภิกฺขู อุโภสุ ปเสฺสสุ ฐตฺวา ปริยาเยน หรนฺติ, วฎฺฎติเยวาติ วทนฺติฯ ปุปฺผปฎวายนตฺถํ ปสาริยมานปุปฺผาวลีสุ จ เอเสว วินิจฺฉโยฯ
Parikkhepesu labbhatīti bodhikkhandhādīnaṃ punappunaṃ parikkhipanesu labbhati. Bodhikkhandhādayo pupphāvalīhi parikkhipantehi paṭhamavaddhaṭṭhāne pupphāvaliyā anatikkāmite purimaṃ nāma ṭhānaṃ yāva pāpuṇāti, tāva aññena gahetvā parikkhipantena āharitvā punapi tasmiṃ ṭhāne patte aññassa dānavasena bodhikkhandhaṃ, cetiyaṃ, dhātukaraṇḍakaṃ vā pupphakañcukena chādetuṃ vaṭṭatīti aṭṭhakathāya vuttaṃ. Sacepi dveyeva bhikkhū ubhosu passesu ṭhatvā pariyāyena haranti, vaṭṭatiyevāti vadanti. Pupphapaṭavāyanatthaṃ pasāriyamānapupphāvalīsu ca eseva vinicchayo.
ทีฆปุปฺผาวลิํ นาคทเนฺตสุ ปกฺขิปิตฺวา ปุน ปกฺขิปิตุํ น วฎฺฎติฯ ‘‘นาคทเนฺตสุ ปน ปุปฺผวลยํ ปเวเสตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตตฺตา อเญฺญหิ วลยํ กตฺวา ทินฺนปุปฺผาวลิวลยํ ธาตุกรณฺฑถุปิกาย ปเวเสตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘มาลาคุเณหิ ปน พหูหิปิ กตํ ปุปฺผทามํ ลภิตฺวา อาสนมตฺถกาทีสุ พนฺธิตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตตฺตา ปุปฺผทามปุปฺผาวลีนํ ปุปฺผรหิตาย สุตฺตโกฎิยา รชฺชุทณฺฑาทีสุ พนฺธิตุํ วฎฺฎติฯ
Dīghapupphāvaliṃ nāgadantesu pakkhipitvā puna pakkhipituṃ na vaṭṭati. ‘‘Nāgadantesu pana pupphavalayaṃ pavesetuṃ vaṭṭatī’’ti vuttattā aññehi valayaṃ katvā dinnapupphāvalivalayaṃ dhātukaraṇḍathupikāya pavesetuṃ vaṭṭati. ‘‘Mālāguṇehi pana bahūhipi kataṃ pupphadāmaṃ labhitvā āsanamatthakādīsu bandhituṃ vaṭṭatī’’ti vuttattā pupphadāmapupphāvalīnaṃ puppharahitāya suttakoṭiyā rajjudaṇḍādīsu bandhituṃ vaṭṭati.
๔๖๙. ปุปฺผรูปํ นาม ‘‘โคปฺผิมปุเปฺผเหว หตฺถิอสฺสาทิรูปกานิ กโรนฺติ, ตานิปิ วายิมฎฺฐาเน ติฎฺฐนฺตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๓๑) วุตฺตตฺตา ตํตํรูปสณฺฐานํ กตฺวา ปุปฺผาวลิโย นิเวเสตฺวา กริยมานํ หตฺถิอสฺสาทิรูปํฯ อิมสฺมิํ อฎฺฐกถาปาเฐ ‘‘ตานิปิ วายิมฎฺฐาเน ติฎฺฐนฺตี’’ติ วุตฺตตฺตา จ ‘‘อเญฺญหิ กตปริเจฺฉเท ปน ปุปฺผานิ ฐเปเนฺตน หตฺถิอสฺสาทิรูปกมฺปิ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๓๑) อฎฺฐกถาปาฐสฺส สารตฺถทีปนิยํ ‘‘ปุปฺผานิ ฐเปเนฺตนาติ อคนฺถิตานิ ปากติกปุปฺผานิ ฐเปเนฺตนฯ ปุปฺผทามํ ปน ปูชนตฺถาย ภูมิยํ ฐเปเนฺตน ผุสาเปตฺวา วา อผุสาเปตฺวา วา ทิคุณํ กตฺวา ฐเปตุํ น วฎฺฎตี’’ติ (สารตฺถ. ฎี. ๒.๔๓๑) วุตฺตตฺตา จ อิมํ หตฺถิอาทิรูปํ ปูเรเนฺตน มาลาวลิํ อเญฺญหิ กตปริเจฺฉเท สมฺพนฺธิตฺวา ปาสาณอาสนมญฺจปีฐหตฺถิรูปาทิมตฺถเก ฐเปตฺวา ปูชนปฺปกาโร วายิมนฺติ วิญฺญายติฯ
469.Puppharūpaṃ nāma ‘‘gopphimapuppheheva hatthiassādirūpakāni karonti, tānipi vāyimaṭṭhāne tiṭṭhantī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.431) vuttattā taṃtaṃrūpasaṇṭhānaṃ katvā pupphāvaliyo nivesetvā kariyamānaṃ hatthiassādirūpaṃ. Imasmiṃ aṭṭhakathāpāṭhe ‘‘tānipi vāyimaṭṭhāne tiṭṭhantī’’ti vuttattā ca ‘‘aññehi kataparicchede pana pupphāni ṭhapentena hatthiassādirūpakampi kātuṃ vaṭṭatī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.431) aṭṭhakathāpāṭhassa sāratthadīpaniyaṃ ‘‘pupphāni ṭhapentenāti aganthitāni pākatikapupphāni ṭhapentena. Pupphadāmaṃ pana pūjanatthāya bhūmiyaṃ ṭhapentena phusāpetvā vā aphusāpetvā vā diguṇaṃ katvā ṭhapetuṃ na vaṭṭatī’’ti (sārattha. ṭī. 2.431) vuttattā ca imaṃ hatthiādirūpaṃ pūrentena mālāvaliṃ aññehi kataparicchede sambandhitvā pāsāṇaāsanamañcapīṭhahatthirūpādimatthake ṭhapetvā pūjanappakāro vāyimanti viññāyati.
ปุปฺผปฎนฺติ ปุเพฺพ วุตฺตปฺปการํ ปุปฺผปฎํ ปูเรเนฺตน เอกาปิ ปุปฺผาวลิ ปริวเตฺตตฺวา น ฐเปตพฺพา, วายเนฺตน อเญฺญหิ ปูริเตปิ เอกาปิ ปุปฺผาวลิ น ปาเตตพฺพา, อิทํ ปูริมวายิมานํ นานากรณํฯ อาทิคฺคหเณน ปุปฺผชาลํ สงฺคณฺหาติ, ตํ กโรนฺตสฺส ชาลจฺฉิทฺทคณนาย ทุกฺกฎํ โหติฯ ‘‘ภิตฺติจฺฉตฺตโพธิตฺถมฺภาทีสุปิ เอเสว นโย’’ติ วุตฺตตฺตา ฉตฺตาทีสุ จ ปุปฺผชาลํ น ทาตพฺพํฯ
Pupphapaṭanti pubbe vuttappakāraṃ pupphapaṭaṃ pūrentena ekāpi pupphāvali parivattetvā na ṭhapetabbā, vāyantena aññehi pūritepi ekāpi pupphāvali na pātetabbā, idaṃ pūrimavāyimānaṃ nānākaraṇaṃ. Ādiggahaṇena pupphajālaṃ saṅgaṇhāti, taṃ karontassa jālacchiddagaṇanāya dukkaṭaṃ hoti. ‘‘Bhitticchattabodhitthambhādīsupi eseva nayo’’ti vuttattā chattādīsu ca pupphajālaṃ na dātabbaṃ.
๔๗๐. อิมสฺส สิกฺขาปทสฺส สาธารณตฺตา ‘‘ภิกฺขูนํ ภิกฺขุนีนญฺจา’’ติ อาหฯ พุทฺธสฺสปีติ เอตฺถ ปิ-สโทฺท สมฺภาวเน, ‘‘ปูชตฺถ’’นฺติ วตฺตพฺพํ, พุทฺธสฺส ปูชตฺถายปิ กาตุํ วา การาเปตุํ วา น วฎฺฎตีติ อโตฺถฯ ธมฺมสงฺฆรตนานิปิ อุปลกฺขณโต สงฺคยฺหนฺติฯ เสเส กิเมว วตฺตพฺพนฺติ พฺยติเรกโตฺถฯ
470. Imassa sikkhāpadassa sādhāraṇattā ‘‘bhikkhūnaṃ bhikkhunīnañcā’’ti āha. Buddhassapīti ettha pi-saddo sambhāvane, ‘‘pūjattha’’nti vattabbaṃ, buddhassa pūjatthāyapi kātuṃ vā kārāpetuṃ vā na vaṭṭatīti attho. Dhammasaṅgharatanānipi upalakkhaṇato saṅgayhanti. Sese kimeva vattabbanti byatirekattho.
๔๗๑. ‘‘ตถา’’ติ อิมินา ‘‘สยํ ปเรหิ วา การาเปตุํ ภิกฺขูนญฺจ ภิกฺขุนีนญฺจ พุทฺธสฺสปี’’ติ อนนฺตรคาถาย วุตฺตมติทิสติฯ กลมฺพกนฺติ ทฺวินฺนํ ธนุกานมนฺตเร โอลมฺพกทามํฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘กลมฺพโกติ อฑฺฒจนฺทนาคทนฺตนฺตเร ฆฎิกาทามโอลมฺพโก วุโตฺต’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๓๑)ฯ เอตฺถ จ ฆฎิกาทามโอลมฺพโก นาม อเนฺต ฆฎิกาการยุโตฺต ยมกทามโอลมฺพโกฯ กาตุนฺติ พนฺธิตุํ น วฎฺฎตีติ โยชนาฯ เอเกกปุปฺผทามํ ปน นิกฺขนฺตสุตฺตโกฎิยา ปพนฺธิตฺวา โอลมฺพิตุํ วฎฺฎติฯ ปุปฺผทามทฺวยํ สงฺฆฎิตุกาเมนปิ นิกฺขนฺตสุตฺตโกฎิยาว สุตฺตโกฎิ สงฺฆฎิตุํ วฎฺฎติฯ อฑฺฒจนฺทกเมว วาติ ‘‘อฑฺฒจนฺทากาเรน มาลาคุณปริเกฺขโป’’ติ อฎฺฐกถาย วุตฺตสรูปํ วาฯ
471.‘‘Tathā’’ti iminā ‘‘sayaṃ parehi vā kārāpetuṃ bhikkhūnañca bhikkhunīnañca buddhassapī’’ti anantaragāthāya vuttamatidisati. Kalambakanti dvinnaṃ dhanukānamantare olambakadāmaṃ. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘kalambakoti aḍḍhacandanāgadantantare ghaṭikādāmaolambako vutto’’ti (pārā. aṭṭha. 2.431). Ettha ca ghaṭikādāmaolambako nāma ante ghaṭikākārayutto yamakadāmaolambako. Kātunti bandhituṃ na vaṭṭatīti yojanā. Ekekapupphadāmaṃ pana nikkhantasuttakoṭiyā pabandhitvā olambituṃ vaṭṭati. Pupphadāmadvayaṃ saṅghaṭitukāmenapi nikkhantasuttakoṭiyāva suttakoṭi saṅghaṭituṃ vaṭṭati. Aḍḍhacandakameva vāti ‘‘aḍḍhacandākārena mālāguṇaparikkhepo’’ti aṭṭhakathāya vuttasarūpaṃ vā.
เอตฺถ จ อฑฺฒจนฺทากาเรน มาลาคุณปริเกฺขโป นาม อฑฺฒจนฺทากาเรน มาลาคุณสฺส ปุนปฺปุนํ หรณปจฺจาหรณวเสน ปูเรตฺวา ปริกฺขิปนํฯ เตเนว ตํ ปูริเม ปวิฎฺฐํฯ ตสฺมา เอตมฺปิ อฑฺฒจนฺทาการํ ปุนปฺปุนํ หรณปจฺจาหรณวเสน ปูริตํ น วฎฺฎติ, เอกวารํ ปน อฑฺฒจนฺทากาเรน มาลาคุณํ หริตุํ วฎฺฎตีติ วทนฺติฯ กาตุํ น วฎฺฎตีติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘ตทุภยมฺปิ ปูริเมเยว ปวิฎฺฐ’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๓๑) อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ อเญฺญหิ ปูริตนฺติ อเญฺญหิ อายตํ ปสาเรตฺวา ปูริตํ ปุปฺผปฎํฯ วายิตุมฺปิ จาติ ติริยํ เอกปุปฺผาวลิมฺปิ วายิตุํ ‘‘น วฎฺฎตี’’ติ อิมินาว สมฺพโนฺธฯ
Ettha ca aḍḍhacandākārena mālāguṇaparikkhepo nāma aḍḍhacandākārena mālāguṇassa punappunaṃ haraṇapaccāharaṇavasena pūretvā parikkhipanaṃ. Teneva taṃ pūrime paviṭṭhaṃ. Tasmā etampi aḍḍhacandākāraṃ punappunaṃ haraṇapaccāharaṇavasena pūritaṃ na vaṭṭati, ekavāraṃ pana aḍḍhacandākārena mālāguṇaṃ harituṃ vaṭṭatīti vadanti. Kātuṃ na vaṭṭatīti sambandho. ‘‘Tadubhayampi pūrimeyeva paviṭṭha’’nti (pārā. aṭṭha. 2.431) aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. Aññehi pūritanti aññehi āyataṃ pasāretvā pūritaṃ pupphapaṭaṃ. Vāyitumpi cāti tiriyaṃ ekapupphāvalimpi vāyituṃ ‘‘na vaṭṭatī’’ti imināva sambandho.
๔๗๒. ปิฎฺฐกาจมยนฺติ ตณฺฑุลปิฎฺฐาทีหิ กตเญฺจว กาจมตฺติกาย จ กตํ ปุปฺผทามํฯ เภณฺฑุปุปฺผมยมฺปิ จาติ เภณฺฑุทณฺฑเกหิ มลฺลิกาสุมนจมฺปกาทิสทิสํ กตฺวา ฉิเทฺทหิ กตทามญฺจฯ ‘‘เคณฺฑุปุปฺผมย’’นฺติปิ ลิขนฺติฯ ขรปตฺตมยนฺติ เอตฺถ ขรปตฺตํ นาม กุงฺกุฎฺฐขจิตํ ปุปฺผปฎนฺติ วทนฺติฯ กาตุนฺติ คนฺถนคนฺถาปนาทีนิ กาตุํฯ เภณฺฑุขรปตฺตทามานํ ปฎิกฺขิตฺตตฺตา เจลาทีหิ กตทามมฺปิ น วฎฺฎติ อกปฺปิยานุโลมตฺตาติ วทนฺติฯ
472.Piṭṭhakācamayanti taṇḍulapiṭṭhādīhi katañceva kācamattikāya ca kataṃ pupphadāmaṃ. Bheṇḍupupphamayampi cāti bheṇḍudaṇḍakehi mallikāsumanacampakādisadisaṃ katvā chiddehi katadāmañca. ‘‘Geṇḍupupphamaya’’ntipi likhanti. Kharapattamayanti ettha kharapattaṃ nāma kuṅkuṭṭhakhacitaṃ pupphapaṭanti vadanti. Kātunti ganthanaganthāpanādīni kātuṃ. Bheṇḍukharapattadāmānaṃ paṭikkhittattā celādīhi katadāmampi na vaṭṭati akappiyānulomattāti vadanti.
๔๗๓. หีราทีหีติ ตาลนาฬิเกรหีราทีหิฯ อาทิ-สเทฺทน ติณสลากาทิํ สงฺคณฺหาติฯ ปฎากตฺถนฺติ ปฎากากาเรน ปูชนตฺถํฯ ‘‘วิชฺฌนฺตสฺสา’’ติ อิมินา กณฺฎเกหิ วิชฺฌนํ, หีราทีหิ อาวุณนญฺจ สงฺคหิตํฯ
473.Hīrādīhīti tālanāḷikerahīrādīhi. Ādi-saddena tiṇasalākādiṃ saṅgaṇhāti. Paṭākatthanti paṭākākārena pūjanatthaṃ. ‘‘Vijjhantassā’’ti iminā kaṇṭakehi vijjhanaṃ, hīrādīhi āvuṇanañca saṅgahitaṃ.
๔๗๕. อโสกปิณฺฑิอาทีนนฺติ อโสกปุปฺผมญฺชริกาทีนํฯ อาทิ-สเทฺทน อฎฺฐกถายํ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๓๑) เอเตเหว สทฺธิํ ทสฺสิตํ ชาลวิตานํ, ฉิทฺทานิ ทเสฺสตฺวา กตเวทิกา, นาคทนฺตกํ, ปุปฺผจโงฺกฎกาปิธานํ, ตาลปณฺณวลยาทิญฺจ สงฺคณฺหาติฯ ธมฺมรชฺชุยาติ เอตฺถ สารตฺถทีปนิยํ ‘‘ธมฺมรชฺชุ นาม เจติยํ วา โพธิํ วา ปุปฺผปเวสนตฺถ อาวชฺชิตฺวา พทฺธรชฺชู’ติ มหาคณฺฐิปเท, มชฺฌิมคณฺฐิปเท จ วุตฺตํ, ตสฺมา ตถา พทฺธาย รชฺชุยา เจติยสฺส จ อนฺตเร ปุปฺผานิ ปเวเสตุํ วฎฺฎตีติ วิญฺญายติฯ คณฺฐิปเท ปน ‘ธมฺมรชฺชุนฺติ สิถิลวฎฺฎิตํ รชฺชุํ กตฺวา โพธิํ วา เจติยํ วา ปริกฺขิปิตฺวา ธมฺมาสเน วา ลมฺพิตฺวา ตตฺถ ปุปฺผานิ ปเวเสนฺตี’ติ วุตฺตํ, ตสฺมา สิถิลวฎฺฎิตาย รชฺชุยา อนฺตเรปิ ปุปฺผานิ ปเวเสตุํ วฎฺฎตีติ วิญฺญายติ, วีมํสิตฺวา ยุตฺตตรํ คเหตพฺพํฯ อุภยตฺถาปิ ปเนตฺถ เนวตฺถิ วิโรโธติ อมฺหากํ ขนฺตี’’ติ (สารตฺถ. ฎี. ๒.๔๓๑) ลิขิตํฯ
475.Asokapiṇḍiādīnanti asokapupphamañjarikādīnaṃ. Ādi-saddena aṭṭhakathāyaṃ (pārā. aṭṭha. 2.431) eteheva saddhiṃ dassitaṃ jālavitānaṃ, chiddāni dassetvā katavedikā, nāgadantakaṃ, pupphacaṅkoṭakāpidhānaṃ, tālapaṇṇavalayādiñca saṅgaṇhāti. Dhammarajjuyāti ettha sāratthadīpaniyaṃ ‘‘dhammarajju nāma cetiyaṃ vā bodhiṃ vā pupphapavesanattha āvajjitvā baddharajjū’ti mahāgaṇṭhipade, majjhimagaṇṭhipade ca vuttaṃ, tasmā tathā baddhāya rajjuyā cetiyassa ca antare pupphāni pavesetuṃ vaṭṭatīti viññāyati. Gaṇṭhipade pana ‘dhammarajjunti sithilavaṭṭitaṃ rajjuṃ katvā bodhiṃ vā cetiyaṃ vā parikkhipitvā dhammāsane vā lambitvā tattha pupphāni pavesentī’ti vuttaṃ, tasmā sithilavaṭṭitāya rajjuyā antarepi pupphāni pavesetuṃ vaṭṭatīti viññāyati, vīmaṃsitvā yuttataraṃ gahetabbaṃ. Ubhayatthāpi panettha nevatthi virodhoti amhākaṃ khantī’’ti (sārattha. ṭī. 2.431) likhitaṃ.
๔๗๖. วิชฺฌนฺตสฺสปีติ ปิ-สเทฺทน ธมฺมาสนวิตานาทีสุ ปุปฺผปูชนตฺถํ สยํ กณฺฎกหีราทิปฺปเวสนํ สงฺคณฺหาติฯ ‘‘วิตานาทีสุ ปุปฺผปูชนตฺถํ กณฺฎกหีราทิปฺปเวสนํ น วฎฺฎตี’ติ อิทํ อฎฺฐกถาจริยปฺปมาณโต คเหตพฺพ’’นฺติ สารตฺถทีปนิยํ วุตฺตํฯ
476.Vijjhantassapīti pi-saddena dhammāsanavitānādīsu pupphapūjanatthaṃ sayaṃ kaṇṭakahīrādippavesanaṃ saṅgaṇhāti. ‘‘Vitānādīsu pupphapūjanatthaṃ kaṇṭakahīrādippavesanaṃ na vaṭṭatī’ti idaṃ aṭṭhakathācariyappamāṇato gahetabba’’nti sāratthadīpaniyaṃ vuttaṃ.
๔๗๗. กปฺปิยวจนํ นาม ‘‘เอวํ ชาน, เอวํ กเต โสเภยฺย, ยถา เอตานิ ปุปฺผานิ น วิกิริยนฺติ, ตถา กโรหี’’ติอาทิ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๓๑) อฎฺฐกถาคตํ กปฺปิยวจนํฯ วตฺถุปูชเนติ รตนตฺตยปูชเนฯ นิมิตฺตาทีสุ นิมิตฺตํ นาม ปุปฺผานิ จ คนฺถนวาเก จ คเหตฺวา คนฺถิตุํ ชานนฺตานํ สมีเป ฐปนํฯ โอภาโส นาม ‘‘ตุเมฺหหิ ปิฬนฺธิตกุสุมานิ กสฺมา น วิกิรนฺตี’’ติ วุเตฺต ‘‘คนฺถิตตฺตา’’ติ เจ วทติ, นนุ ปูชนกปุปฺผานิ คนฺถิตุํ น วฎฺฎตีติอาทิวจนานิฯ ปริยาโย นาม ปณฺฑิเตหิ ปุปฺผานิ ยถา น วิกิริยนฺติ, ตถา คนฺถิตฺวา ปูเชตุํ มนาปนฺติอาทิวจนํฯ ปกาสิตา อฎฺฐกถายํฯ
477.Kappiyavacanaṃ nāma ‘‘evaṃ jāna, evaṃ kate sobheyya, yathā etāni pupphāni na vikiriyanti, tathā karohī’’tiādi (pārā. aṭṭha. 2.431) aṭṭhakathāgataṃ kappiyavacanaṃ. Vatthupūjaneti ratanattayapūjane. Nimittādīsu nimittaṃ nāma pupphāni ca ganthanavāke ca gahetvā ganthituṃ jānantānaṃ samīpe ṭhapanaṃ. Obhāso nāma ‘‘tumhehi piḷandhitakusumāni kasmā na vikirantī’’ti vutte ‘‘ganthitattā’’ti ce vadati, nanu pūjanakapupphāni ganthituṃ na vaṭṭatītiādivacanāni. Pariyāyo nāma paṇḍitehi pupphāni yathā na vikiriyanti, tathā ganthitvā pūjetuṃ manāpantiādivacanaṃ. Pakāsitā aṭṭhakathāyaṃ.
๔๗๘. ‘‘กุลานิ ทูเสติ ปุเปฺผน วา’’ติอาทิปาเฐ (ปารา. ๔๓๗) ‘‘เวชฺชิกาย วา ชงฺฆเปสนิเกน วา’’ติ (ปารา. ๔๓๗) วุตฺตํ เวชฺชกมฺมาทิํ กุลทูสนโต วิสุํ กตฺวา ‘‘น เกวลํ…เป.… กุทาจน’’นฺติ กสฺมา วุตฺตนฺติ? วิสุํ กาตุํ น วุตฺตํฯ โยชนา ปเนตฺถ เอวํ เวทิตพฺพา ‘‘น เกวลมิทเมว วุตฺตปฺปการํ ปุปฺผทานาทิกุลทูสนํ กุทาจนํ อกตฺตพฺพํ, อถ โข เวชฺชกมฺมาทิ กุลทูสนมฺปิ กุทาจนํ น กตฺตพฺพ’’นฺติฯ เวชฺชกมฺมาทีติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน วกฺขมานปริโตฺตทกสุตฺตทานอนามฎฺฐปิณฺฑทานทูเตยฺยชงฺฆเปสนิเก สงฺคณฺหาติฯ
478. ‘‘Kulāni dūseti pupphena vā’’tiādipāṭhe (pārā. 437) ‘‘vejjikāya vā jaṅghapesanikena vā’’ti (pārā. 437) vuttaṃ vejjakammādiṃ kuladūsanato visuṃ katvā ‘‘na kevalaṃ…pe… kudācana’’nti kasmā vuttanti? Visuṃ kātuṃ na vuttaṃ. Yojanā panettha evaṃ veditabbā ‘‘na kevalamidameva vuttappakāraṃ pupphadānādikuladūsanaṃ kudācanaṃ akattabbaṃ, atha kho vejjakammādi kuladūsanampi kudācanaṃ na kattabba’’nti. Vejjakammādīti ettha ādi-saddena vakkhamānaparittodakasuttadānaanāmaṭṭhapiṇḍadānadūteyyajaṅghapesanike saṅgaṇhāti.
๔๗๙. ‘‘กุทาจนํ น กตฺตพฺพ’’นฺติ สามเญฺญน นิเสเธตฺวา อิทานิ ‘‘กตฺตพฺพ’’มิจฺจาทินา อปวาทวิธิํ ทเสฺสติฯ ปญฺจนฺนํ สหธมฺมินนฺติ ภิกฺขุภิกฺขุนิสิกฺขมานสามเณรสามเณรีนํ ปญฺจนฺนํ สห สทฺธิํ จริตโพฺพ ปพฺพชฺชาสาสนธโมฺม เอเตสํ อตฺถีติ ‘‘สหธมฺมิกา’’ติ สงฺขํ คตานํฯ อกตวิญฺญตฺติํ กตฺวาปีติ อญฺญาตกอปฺปวาริเต เภสชฺชํ ยาจิตฺวาปิ ‘‘วเทยฺยาถ ภเนฺต เยนโตฺถ’’ติ เอวํ อกตฎฺฐาเน วิญฺญตฺติ อกตวิญฺญตฺติฯ อตฺตโน ธเนติ สสนฺตกวิสเยฯ
479. ‘‘Kudācanaṃ na kattabba’’nti sāmaññena nisedhetvā idāni ‘‘kattabba’’miccādinā apavādavidhiṃ dasseti. Pañcannaṃ sahadhamminanti bhikkhubhikkhunisikkhamānasāmaṇerasāmaṇerīnaṃ pañcannaṃ saha saddhiṃ caritabbo pabbajjāsāsanadhammo etesaṃ atthīti ‘‘sahadhammikā’’ti saṅkhaṃ gatānaṃ. Akataviññattiṃ katvāpīti aññātakaappavārite bhesajjaṃ yācitvāpi ‘‘vadeyyātha bhante yenattho’’ti evaṃ akataṭṭhāne viññatti akataviññatti. Attano dhaneti sasantakavisaye.
๔๘๐. ‘‘ตถา’’ติ สหธมฺมิกานํ วุตฺตมติทิสติฯ ตทุปฎฺฐากชนฺตุโนติ เตสํ ทฺวินฺนํ มาตาปิตูนํ เวยฺยาวจฺจกรสฺสฯ ภณฺฑุกสฺสาติ คิหิลิเงฺค ฐิตสฺสาปิ ปพฺพชฺชาเปกฺขสฺสฯ อตฺตโน เวยฺยาวจฺจกรสฺสปีติ อตฺตโน กมฺมกรสฺสปิฯ เอตฺตกานญฺจ ชนานํ ปญฺจสหธมฺมิกานํ วิย อกตวิญฺญตฺติยาปิ เภสชฺชํ กาตพฺพนฺติ วุตฺตํ โหติฯ
480.‘‘Tathā’’ti sahadhammikānaṃ vuttamatidisati. Tadupaṭṭhākajantunoti tesaṃ dvinnaṃ mātāpitūnaṃ veyyāvaccakarassa. Bhaṇḍukassāti gihiliṅge ṭhitassāpi pabbajjāpekkhassa. Attano veyyāvaccakarassapīti attano kammakarassapi. Ettakānañca janānaṃ pañcasahadhammikānaṃ viya akataviññattiyāpi bhesajjaṃ kātabbanti vuttaṃ hoti.
๔๘๑. เชฎฺฐภาตาติ อตฺตโน ปุพฺพโช ภาตาฯ กนิโฎฺฐติ อนุโช ภาตาฯ ตถา ภคินิโย ทุเวติ เชฎฺฐกนิฎฺฐา เทฺว ภคินิโยฯ จูฬมาตาติ มาตุ กนิฎฺฐาฯ จูฬปิตาติ ปิตุ กนิโฎฺฐฯ มหามาตาติ มาตุ เชฎฺฐาฯ มหาปิตา ปิตุ เชฎฺฐภาตาฯ
481.Jeṭṭhabhātāti attano pubbajo bhātā. Kaniṭṭhoti anujo bhātā. Tathā bhaginiyo duveti jeṭṭhakaniṭṭhā dve bhaginiyo. Cūḷamātāti mātu kaniṭṭhā. Cūḷapitāti pitu kaniṭṭho. Mahāmātāti mātu jeṭṭhā. Mahāpitā pitu jeṭṭhabhātā.
๔๘๒. ปิตุจฺฉาติ ปิตุภคินี เชฎฺฐกนิฎฺฐาฯ มาตุโลติ มาตุ ภาตาฯ เชฎฺฐกนิเฎฺฐ เทฺว ปิตุจฺฉา , เทฺว มาตุเล จ เอกโต กตฺวา ‘‘ทสา’’ติ วุตฺตํฯ เภสชฺชํ กาตุํ วฎฺฎตีติ สมฺพโนฺธฯ
482.Pitucchāti pitubhaginī jeṭṭhakaniṭṭhā. Mātuloti mātu bhātā. Jeṭṭhakaniṭṭhe dve pitucchā , dve mātule ca ekato katvā ‘‘dasā’’ti vuttaṃ. Bhesajjaṃ kātuṃ vaṭṭatīti sambandho.
๔๘๔. ‘‘ทสฺสนฺติ เม อิเม’’ติ อาโภคํ กตฺวา วา ทาตพฺพนฺติ โยชนาฯ
484. ‘‘Dassanti me ime’’ti ābhogaṃ katvā vā dātabbanti yojanā.
๔๘๕. เอเตสํ ทสนฺนํ ญาตีนํฯ ยาว สตฺตมา กุลาติ เอตฺถ กุลปริเจฺฉโท กถํ คเหตโพฺพติ? ‘‘สปุตฺตทารํ ภาตุ กุฎุมฺพํ เอกํ กุลํ, เอวํ ตสฺส ปุตฺตสฺส วา ธีตุ วา กุฎุมฺพํ เอกํ กุล’’นฺติ เอวมาทินา นเยน ยาว สตฺตมา กุลปริวฎฺฎา คเหตพฺพาฯ ‘‘สปุตฺตปติภคินิยา กุฎุมฺพํ เอกํ กุลํ, ตถา ตสฺส ปุตฺตสฺส วา ธีตุ วา กุฎุมฺพํ เอกํ กุล’’นฺติอาทินา นเยน ยาว สตฺตมา กุลปริวฎฺฎา คเหตพฺพาฯ จูฬมาตาทีนมฺปิ กุลปรมฺปรา อิมินา นิยาเมน คเหตพฺพาติ วทนฺติฯ กุลทูสนํ น รูหตีติ ‘‘ทาตุํ ปุปฺผํ ปนญฺญสฺส, อาคตเสฺสว ญาติโน’’ติอาทินา (วิ. วิ. ๔๔๓) นเยน กถิตวิธินา เอเตสุ ปวตฺตนฺตสฺส กุลทูสนํ น รุหตีติ วุตฺตํ โหติฯ
485.Etesaṃ dasannaṃ ñātīnaṃ. Yāva sattamā kulāti ettha kulaparicchedo kathaṃ gahetabboti? ‘‘Saputtadāraṃ bhātu kuṭumbaṃ ekaṃ kulaṃ, evaṃ tassa puttassa vā dhītu vā kuṭumbaṃ ekaṃ kula’’nti evamādinā nayena yāva sattamā kulaparivaṭṭā gahetabbā. ‘‘Saputtapatibhaginiyā kuṭumbaṃ ekaṃ kulaṃ, tathā tassa puttassa vā dhītu vā kuṭumbaṃ ekaṃ kula’’ntiādinā nayena yāva sattamā kulaparivaṭṭā gahetabbā. Cūḷamātādīnampi kulaparamparā iminā niyāmena gahetabbāti vadanti. Kuladūsanaṃ na rūhatīti ‘‘dātuṃ pupphaṃ panaññassa, āgatasseva ñātino’’tiādinā (vi. vi. 443) nayena kathitavidhinā etesu pavattantassa kuladūsanaṃ na ruhatīti vuttaṃ hoti.
๔๘๖. ภาตุชายาติ อตฺตโน เชฎฺฐสฺส วา กนิฎฺฐสฺส วา ภาตุ ภริยาฯ ภคินิสามิโกติ อตฺตโน เชฎฺฐาย วา กนิฎฺฐาย วา ภคินิยา สามิโกฯ
486.Bhātujāyāti attano jeṭṭhassa vā kaniṭṭhassa vā bhātu bhariyā. Bhaginisāmikoti attano jeṭṭhāya vā kaniṭṭhāya vā bhaginiyā sāmiko.
๔๘๗. ภาตุโนติ เชฎฺฐสฺส, กนิฎฺฐสฺส จ ภาตุโนฯ อนุ ปจฺฉา ชาตาติ อนุชา, กนิฎฺฐภคินีฯ ‘‘อนุชา’’ติ อุปลกฺขณนฺติ เชฎฺฐายปิ สงฺคโหฯ เชฎฺฐกนิฎฺฐภาตูนํ ภริยา จ เชฎฺฐกนิฎฺฐภคินีนํ สามิกา จ สเจ อญฺญาตกา โหนฺตีติ โยชนาฯ เทถาติ เอตฺถ ‘‘อิมํ เภสชฺช’’นฺติ ปาฐเสโสฯ
487.Bhātunoti jeṭṭhassa, kaniṭṭhassa ca bhātuno. Anu pacchā jātāti anujā, kaniṭṭhabhaginī. ‘‘Anujā’’ti upalakkhaṇanti jeṭṭhāyapi saṅgaho. Jeṭṭhakaniṭṭhabhātūnaṃ bhariyā ca jeṭṭhakaniṭṭhabhaginīnaṃ sāmikā ca sace aññātakā hontīti yojanā. Dethāti ettha ‘‘imaṃ bhesajja’’nti pāṭhaseso.
๔๘๘. เตสมฺปิ ภาตุภคินีนํฯ ‘‘ปุตฺตาน’’นฺติ อิมินา ธีตูนมฺปิ สงฺคโหฯ กตฺวาติ วตฺวาฯ ตุมฺหากํ มาตาปิตูนํ เทถาติ เอตฺถาปิ ‘‘อิมํ เภสชฺช’’นฺติ ปกรณโต ลพฺภติฯ มาตาปิตูนนฺติ อุภยสงฺคาหกวจนโต ‘‘ตุยฺหํ มาตุ วา, ตุยฺหํ ปิตุ วา’’ติ ยถาสมฺภวํ วิสุํ วิสุญฺจ วตฺตพฺพํฯ เตสนฺติ จ ตุมฺหากนฺติ จ สามิวจนํฯ ปุตฺตานนฺติ จ มาตาปิตูนนฺติ จ สมฺปทานวจนํฯ
488.Tesampi bhātubhaginīnaṃ. ‘‘Puttāna’’nti iminā dhītūnampi saṅgaho. Katvāti vatvā. Tumhākaṃ mātāpitūnaṃ dethāti etthāpi ‘‘imaṃ bhesajja’’nti pakaraṇato labbhati. Mātāpitūnanti ubhayasaṅgāhakavacanato ‘‘tuyhaṃ mātu vā, tuyhaṃ pitu vā’’ti yathāsambhavaṃ visuṃ visuñca vattabbaṃ. Tesanti ca tumhākanti ca sāmivacanaṃ. Puttānanti ca mātāpitūnanti ca sampadānavacanaṃ.
๔๘๙. เภสชฺชกรณารหานํ วตฺตพฺพตาย ‘‘อกลฺลโก’’ติ อิทํ อิสฺสราทิปเทหิ ปเจฺจกํ โยเชตพฺพํฯ อกลฺลโกติ อาตุโรฯ กลฺลํ วุจฺจติ สุขํ, ตํ เอตสฺส อตฺถีติ กลฺลโก, น กลฺลโก อกลฺลโกฯ ญาติชนุชฺฌิโต วาติ ญาติชเนน ปริจฺจโตฺต วาฯ
489. Bhesajjakaraṇārahānaṃ vattabbatāya ‘‘akallako’’ti idaṃ issarādipadehi paccekaṃ yojetabbaṃ. Akallakoti āturo. Kallaṃ vuccati sukhaṃ, taṃ etassa atthīti kallako, na kallako akallako. Ñātijanujjhito vāti ñātijanena pariccatto vā.
๔๙๐. เอเตสํ สเพฺพสนฺติ อิสฺสราทิอาตุรานํ สเพฺพสเมเตสํ ชนานํฯ ‘‘สาธุนา’’ติ วกฺขมานตฺตา อปจฺจาสีสตา สตาติ เอตฺถ สตาติ กิริยาปทํฯ ‘‘อิมสฺมิํ กเต อิเม มยฺหํ เอวรูปํ ทสฺสนฺตี’’ติ อตฺตโน อตฺถาย ปจฺจาสีสนํ อกโรเนฺตนาติ อโตฺถฯ ภิกฺขุสงฺฆสฺส อุปการตํ ปจฺจาสีสเนฺตน กาตุํ วฎฺฎติฯ ปฎิสนฺถาโรติ อามิสปฎิสนฺถาโร, ธมฺมปฎิสนฺถาโรติ ทุวิโธ ปฎิสนฺถาโรฯ เอตฺถ อามิสปฎิสนฺถาโร คยฺหติฯ เภสชฺชํ อามิเสนปิ โหตีติ ธมฺมกถาย สงฺคโหปิ ยุชฺชเตวฯ ปฎิสนฺถรณํ ปฎิสนฺถาโรฯ ปฎิลทฺธามิสสฺส จ ธมฺมสฺส จ เตสุ จ อตฺตนิ จ ปติรูเปนากาเรน สมํ อตฺถรณํ ปวตฺตนนฺติ อโตฺถฯ
490.Etesaṃ sabbesanti issarādiāturānaṃ sabbesametesaṃ janānaṃ. ‘‘Sādhunā’’ti vakkhamānattā apaccāsīsatā satāti ettha satāti kiriyāpadaṃ. ‘‘Imasmiṃ kate ime mayhaṃ evarūpaṃ dassantī’’ti attano atthāya paccāsīsanaṃ akarontenāti attho. Bhikkhusaṅghassa upakārataṃ paccāsīsantena kātuṃ vaṭṭati. Paṭisanthāroti āmisapaṭisanthāro, dhammapaṭisanthāroti duvidho paṭisanthāro. Ettha āmisapaṭisanthāro gayhati. Bhesajjaṃ āmisenapi hotīti dhammakathāya saṅgahopi yujjateva. Paṭisantharaṇaṃ paṭisanthāro. Paṭiladdhāmisassa ca dhammassa ca tesu ca attani ca patirūpenākārena samaṃ attharaṇaṃ pavattananti attho.
อปโร นโย – อามิสสฺส จ ธมฺมสฺส จ อลาเภน อตฺตโน, ปรสฺส จ อนฺตเร สมฺภวนฺตสฺส ฉิทฺทสฺส วิวรสฺส เภทสฺส ปฎิสนฺถรณํ ปิทหนํ สงฺคหณํ ปฎิสนฺถาโรฯ อยญฺหิ โลกสนฺนิวาโส อลพฺภมาเนน อามิเสน จ ธเมฺมน จาติ ทฺวีหิ ฉิโทฺท, ตสฺส ตํ ฉิทฺทํ ยถา น ปญฺญายติ, เอวํ ปีฐสฺส วิย ปจฺจตฺถรเณน อามิเสน, ธเมฺมน จ ปฎิสนฺถรณํ ‘‘อามิสปฎิสนฺถาโร, ธมฺมปฎิสนฺถาโร’’ติ วุจฺจตีติฯ สาธุนาติ สามีจิปฺปฎิปนฺนตาทิอริยธเมฺม ปติฎฺฐิตุกาเมน อริยาจาเรน ภิกฺขุนาติ อโตฺถฯ ‘‘อธุนา’’ติ อิทํ อิมิสฺสา ปฎิปตฺติยา สพฺพกาลํ ปฎิปชฺชิตพฺพตายปิ ปาปชนกณฺหกสํคาเม อิมสฺมิํ วิปนฺนกาเล วิเสเสน อปฺปมเตฺตน ปวเตฺตตพฺพนฺติ อธิปฺปาเยน วุตฺตํฯ
Aparo nayo – āmisassa ca dhammassa ca alābhena attano, parassa ca antare sambhavantassa chiddassa vivarassa bhedassa paṭisantharaṇaṃ pidahanaṃ saṅgahaṇaṃ paṭisanthāro. Ayañhi lokasannivāso alabbhamānena āmisena ca dhammena cāti dvīhi chiddo, tassa taṃ chiddaṃ yathā na paññāyati, evaṃ pīṭhassa viya paccattharaṇena āmisena, dhammena ca paṭisantharaṇaṃ ‘‘āmisapaṭisanthāro, dhammapaṭisanthāro’’ti vuccatīti. Sādhunāti sāmīcippaṭipannatādiariyadhamme patiṭṭhitukāmena ariyācārena bhikkhunāti attho. ‘‘Adhunā’’ti idaṃ imissā paṭipattiyā sabbakālaṃ paṭipajjitabbatāyapi pāpajanakaṇhakasaṃgāme imasmiṃ vipannakāle visesena appamattena pavattetabbanti adhippāyena vuttaṃ.
๔๙๑-๒. เกนจีติ อุปลกฺขณตฺตา อุปาสเกน วา อุปาสิกาย วาติ อโตฺถฯ หเตฺถนาติ หตฺถาวยวา องฺคุลิโย วุตฺตา สมุทาเย ปวตฺตสฺส โวหารสฺส อวยเว ปวตฺตนโตฯ กตฺวาติ เอตฺถ ‘‘ปริตฺต’’นฺติ ปาฐเสโส, กโรติสฺส กิริยาสามเญฺญ วตฺตนโต ภณิตฺวาติ อโตฺถฯ เตสเมว จ สนฺตกนฺติ ปริตฺตํ ภณาเปนฺตานเมว สนฺตกํ สุโตฺตทกํฯ เอวํ วุตฺตตฺตา ‘‘อตฺตโน สุโตฺตทกํ อาหริตฺวา ปุญฺญตฺถาย อิทํ หเตฺถน จาเลตฺวา, อามสิตฺวา วา ปริตฺตํ ภณถา’’ติ วุเตฺต เกนจิ ปริโตฺตทกํ สุตฺตํ กาตพฺพํฯ เกนจิ ‘‘ปริโตฺตทกสุตฺตานิ เทถา’’ติ วุเตฺต ภิกฺขุนา เตสเมว สนฺตกํ ชลํ หเตฺถน จาเลตฺวา สุตฺตกํ มทฺทิตฺวา ปริตฺตํ กตฺวา ทาตพฺพนฺติ โยชนาฯ
491-2.Kenacīti upalakkhaṇattā upāsakena vā upāsikāya vāti attho. Hatthenāti hatthāvayavā aṅguliyo vuttā samudāye pavattassa vohārassa avayave pavattanato. Katvāti ettha ‘‘paritta’’nti pāṭhaseso, karotissa kiriyāsāmaññe vattanato bhaṇitvāti attho. Tesameva ca santakanti parittaṃ bhaṇāpentānameva santakaṃ suttodakaṃ. Evaṃ vuttattā ‘‘attano suttodakaṃ āharitvā puññatthāya idaṃ hatthena cāletvā, āmasitvā vā parittaṃ bhaṇathā’’ti vutte kenaci parittodakaṃ suttaṃ kātabbaṃ. Kenaci ‘‘parittodakasuttāni dethā’’ti vutte bhikkhunā tesameva santakaṃ jalaṃ hatthena cāletvā suttakaṃ madditvā parittaṃ katvā dātabbanti yojanā.
๔๙๓. อนามโฎฺฐปีติ หเตฺถน อนามสิโตปิ, อปพฺพชิตสฺส หตฺถโต ลทฺธา อตฺตนา วา อเญฺญน วา ภิกฺขุนา อคหิตโคฺคติ วุตฺตํ โหติฯ
493.Anāmaṭṭhopīti hatthena anāmasitopi, apabbajitassa hatthato laddhā attanā vā aññena vā bhikkhunā agahitaggoti vuttaṃ hoti.
๔๙๔. โจรทามริกสฺส จาติ คามวิโลปกสฺส โจรสฺส จฯ
494.Coradāmarikassa cāti gāmavilopakassa corassa ca.
๔๙๕. ปณฺฑุปลาสสฺสาติ ปพฺพชฺชาเปกฺขสฺส ภณฺฑุกสฺส, ปณฺฑุวโณฺณ ปลาโส ปณฺฑุปลาโส, โส วิยาติ ปณฺฑุปลาโส, ตํสทิเส ตโพฺพหาโร ‘‘สีโหยํ มาณวโก’’ติอาทีสุ วิยฯ ยถา ปณฺฑุปลาโส รุกฺขา ปตนาภิมุโข ติฎฺฐติ นิยตปาโต, เอวมยมฺปิ คิหิลิงฺคโต อปคมาภิมุโข ปพฺพชฺชูปคมเน นิยโตว ติฎฺฐตีติ ‘‘ปณฺฑุปลาสสทิโส’’ติ เวทิตโพฺพฯ
495.Paṇḍupalāsassāti pabbajjāpekkhassa bhaṇḍukassa, paṇḍuvaṇṇo palāso paṇḍupalāso, so viyāti paṇḍupalāso, taṃsadise tabbohāro ‘‘sīhoyaṃ māṇavako’’tiādīsu viya. Yathā paṇḍupalāso rukkhā patanābhimukho tiṭṭhati niyatapāto, evamayampi gihiliṅgato apagamābhimukho pabbajjūpagamane niyatova tiṭṭhatīti ‘‘paṇḍupalāsasadiso’’ti veditabbo.
ถาลเกปิ จาติ อตฺตโน ปริโภคถาลเกปิฯ อิทญฺจ นิทสฺสนมตฺตํ, ปโตฺตปิ คหิโตเยวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ฐเปตฺวาติ เอตฺถ ‘‘ปิณฺฑปาต’’นฺติ อุปโยควเสน สมฺพนฺธนียํฯ ตํ ปนาติ อตฺตโน ปริโภคถาลเก ฐเปตฺวา ทิยฺยมานํ ปิณฺฑปาตํฯ ‘‘มาตาปิตูน’’นฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๓๖-๔๓๗) อฎฺฐกถาวจนโต เอตฺถ ‘‘ปิตุโน’’ติ อุปลกฺขณนฺติ มาตาปิตูนมฺปีติ อโตฺถฯ สเจ เอกเสโส อิจฺฉิโต, ‘‘ปิตูนมฺปี’’ติ ปาโฐ ยุชฺชติฯ
Thālakepi cāti attano paribhogathālakepi. Idañca nidassanamattaṃ, pattopi gahitoyevāti daṭṭhabbaṃ. Ṭhapetvāti ettha ‘‘piṇḍapāta’’nti upayogavasena sambandhanīyaṃ. Taṃ panāti attano paribhogathālake ṭhapetvā diyyamānaṃ piṇḍapātaṃ. ‘‘Mātāpitūna’’nti (pārā. aṭṭha. 2.436-437) aṭṭhakathāvacanato ettha ‘‘pituno’’ti upalakkhaṇanti mātāpitūnampīti attho. Sace ekaseso icchito, ‘‘pitūnampī’’ti pāṭho yujjati.
๔๙๖. ชงฺฆเปสนิยนฺติ คิหีนํ ทูเตยฺยสาสนหรณกมฺมํ ‘‘ชงฺฆเปสนิย’’นฺติ วุจฺจติฯ อปิ จาติ วุตฺตสมุจฺจโยฯ
496.Jaṅghapesaniyanti gihīnaṃ dūteyyasāsanaharaṇakammaṃ ‘‘jaṅghapesaniya’’nti vuccati. Api cāti vuttasamuccayo.
๔๙๗. เอตฺตาวตา สามญฺญวิธิํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อปวาทวิธิํ ทเสฺสตุํ ‘‘ภณฺฑู’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สาสนนฺติ สเนฺทสํฯ หริตุนฺติ วุตฺตฎฺฐานํ เนตุํฯ
497. Ettāvatā sāmaññavidhiṃ dassetvā idāni apavādavidhiṃ dassetuṃ ‘‘bhaṇḍū’’tiādi vuttaṃ. Sāsananti sandesaṃ. Haritunti vuttaṭṭhānaṃ netuṃ.
๔๙๘. อฎฺฐวิเธนปีติ ปุปฺผทานาทิชงฺฆเปสนิยาวสาเนน อฎฺฐปฺปกาเรนปิฯ กุลทูสนกเมฺมนาติ กุลานํ สทฺธาวินาสเกน อนาจารกเมฺมนฯ ลทฺธนฺติ เอตฺถ ‘‘โภชน’’นฺติ อิทํ ‘‘ภุญฺชิตุ’’นฺติ จ ‘‘อโชฺฌหาเรสู’’ติ จ วุตฺตตฺตา, ‘‘เสเสสุปิ อยํ นโย’’ติ วกฺขมานตฺตา จ ลพฺภติฯ ปญฺจสุ สหธมฺมิเกสุ เอเกนาปิ กุลทูสเนน กเมฺมน อุปฺปาทิตปจฺจโย สเพฺพสมฺปิ น วฎฺฎตีติ ‘‘ปญฺจนฺนํ สหธมฺมีนํ น จ วฎฺฎตี’’ติ สพฺพปฎิเสโธ กโตฯ
498.Aṭṭhavidhenapīti pupphadānādijaṅghapesaniyāvasānena aṭṭhappakārenapi. Kuladūsanakammenāti kulānaṃ saddhāvināsakena anācārakammena. Laddhanti ettha ‘‘bhojana’’nti idaṃ ‘‘bhuñjitu’’nti ca ‘‘ajjhohāresū’’ti ca vuttattā, ‘‘sesesupi ayaṃ nayo’’ti vakkhamānattā ca labbhati. Pañcasu sahadhammikesu ekenāpi kuladūsanena kammena uppāditapaccayo sabbesampi na vaṭṭatīti ‘‘pañcannaṃ sahadhammīnaṃ na ca vaṭṭatī’’ti sabbapaṭisedho kato.
๔๙๙. สพฺพตฺถาติ ‘‘อโชฺฌหาเรสู’’ติ เอตสฺส วิเสสนํ, สเพฺพสูติ อโตฺถฯ ‘‘อโชฺฌหาเร อโชฺฌหาเร’’ติ อฎฺฐกถาคตํ สงฺคณฺหาติฯ ‘‘อโชฺฌหาเรสู’’ติ อิทํ ปรคลํ กาตพฺพํ อามิสํ สนฺธายาหฯ เสสปจฺจเย ปฎิจฺจ ปริโภควเสเนว ‘‘เสเสสู’’ติ อาห, อนโชฺฌหรณีเยสุ เสสปจฺจเยสูติ อโตฺถฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? จีวรปจฺจเย สรีรโต โมเจตฺวา ปริโภคคณนาย, เสนาสนปจฺจเย นิพฺพโกเส อุทกปตนฎฺฐานโต อพฺภนฺตรํ ปวิฎฺฐวารคณนาย, มญฺจปีฐาทิเสนาสเน นิสีทนสยนาทิปริโภคคณนาย, อนโชฺฌหริตฺวา อพฺภญฺชนาเลปนาทิวเสน กาตพฺพเภสเชฺช สรีรโต โมเจตฺวา วารคณนายาติ วุตฺตํ โหติฯ อยํ นโยติ ‘‘ทุกฺกฎํ ปริทีปิต’’นฺติ วุโตฺต นโยฯ
499.Sabbatthāti ‘‘ajjhohāresū’’ti etassa visesanaṃ, sabbesūti attho. ‘‘Ajjhohāre ajjhohāre’’ti aṭṭhakathāgataṃ saṅgaṇhāti. ‘‘Ajjhohāresū’’ti idaṃ paragalaṃ kātabbaṃ āmisaṃ sandhāyāha. Sesapaccaye paṭicca paribhogavaseneva ‘‘sesesū’’ti āha, anajjhoharaṇīyesu sesapaccayesūti attho. Kiṃ vuttaṃ hoti? Cīvarapaccaye sarīrato mocetvā paribhogagaṇanāya, senāsanapaccaye nibbakose udakapatanaṭṭhānato abbhantaraṃ paviṭṭhavāragaṇanāya, mañcapīṭhādisenāsane nisīdanasayanādiparibhogagaṇanāya, anajjhoharitvā abbhañjanālepanādivasena kātabbabhesajje sarīrato mocetvā vāragaṇanāyāti vuttaṃ hoti. Ayaṃ nayoti ‘‘dukkaṭaṃ paridīpita’’nti vutto nayo.
๕๐๐. ‘‘อุปฺปนฺนปจฺจยา’’ติ อิทํ ‘‘อภูตาโรจเนนา’’ติ อิทมเปกฺขิตฺวา วุตฺตํฯ ‘‘กตฺวา รูปิยโวหาร’’นฺติ อิทมเปกฺขิตฺวา ‘‘อุปฺปาทิตปจฺจยา’’ติ โยชนา กาตพฺพาฯ รูปิยโวหารวินิจฺฉโย นิสฺสคฺคิเย อาวิ ภวิสฺสติฯ อภูตาโรจนวินิจฺฉโย จตุตฺถปาราชิเก วุโตฺตฯ สมานาติ ปกาสิตาติ กุลทูสนกเมฺมน อุปฺปาทิตปจฺจเยหิ สทิสาติ อฎฺฐกถายํ วุตฺตาติ อโตฺถฯ อิมินา ตตฺถาปิ วินิจฺฉโย เอตฺตโกเยวาติ อติทิสติฯ
500.‘‘Uppannapaccayā’’ti idaṃ ‘‘abhūtārocanenā’’ti idamapekkhitvā vuttaṃ. ‘‘Katvā rūpiyavohāra’’nti idamapekkhitvā ‘‘uppāditapaccayā’’ti yojanā kātabbā. Rūpiyavohāravinicchayo nissaggiye āvi bhavissati. Abhūtārocanavinicchayo catutthapārājike vutto. Samānāti pakāsitāti kuladūsanakammena uppāditapaccayehi sadisāti aṭṭhakathāyaṃ vuttāti attho. Iminā tatthāpi vinicchayo ettakoyevāti atidisati.
๕๐๑. ‘‘สํสารวาโส ทุกฺข’’นฺติ ญตฺวา นิพฺพานาธิคเม มานสํ พนฺธิตฺวา นิพฺพานคามินิํ ปฎิปทํ สนฺธาย สาสนาวติเณฺณน สิกฺขากาเมน กุลปุเตฺตน เสวิตกฺขเณเยว ชีวิตหรณสมตฺถวิสมิสฺสปูติมุตฺตํ วิย วชฺชนียํ อกปฺปิยปจฺจยํ อุปฺปาเทตุํ กริยมานํ อกปฺปิโยปายปฺปการํ เอกโต ทเสฺสตุมาห ‘‘วิญฺญตฺตี’’ติอาทิฯ ตตฺถ วิญฺญตฺติ ยาจนาฯ อนุปฺปทานนฺติ ปิณฺฑปฎิปิณฺฑทานํฯ เวชฺชกมฺมํ วุตฺตนยเมวฯ อเนสนํ นาม อปฺปิจฺฉตาย อนนุรูเปน ปโยเคน ปจฺจยปริเยสนํฯ
501. ‘‘Saṃsāravāso dukkha’’nti ñatvā nibbānādhigame mānasaṃ bandhitvā nibbānagāminiṃ paṭipadaṃ sandhāya sāsanāvatiṇṇena sikkhākāmena kulaputtena sevitakkhaṇeyeva jīvitaharaṇasamatthavisamissapūtimuttaṃ viya vajjanīyaṃ akappiyapaccayaṃ uppādetuṃ kariyamānaṃ akappiyopāyappakāraṃ ekato dassetumāha ‘‘viññattī’’tiādi. Tattha viññatti yācanā. Anuppadānanti piṇḍapaṭipiṇḍadānaṃ. Vejjakammaṃ vuttanayameva. Anesanaṃ nāma appicchatāya ananurūpena payogena paccayapariyesanaṃ.
ปาริภฎฺยตา นาม อิสฺสเร เสวิตุํ ปริวาเรตฺวา เตสํ จิตฺตรุจิตํ วิลปนฺตานํ ปริภฎานํ เสวกชนานํ วิย ลาภตฺถิกสฺส ภิกฺขุโน ปจฺจยทายเกสุ ปวตฺตีติ เวทิตโพฺพฯ ปริ สมนฺตโต ภฎติ เสวตีติ ปริภโฎ, อิสฺสรชนานํ สมีปาวจโร เสวกชโน, ปริภโฎ วิยาติ ปริภโฎ, ภิกฺขุ, ปริภฎสฺส กมฺมํ ปาริภฎฺยํ, ตสฺส ภาโว ปาริภฎฺยตาฯ อถ วา ปริภฎติ ธาติ วิย กุลทารเก อเงฺก กรณาทิวเสน ธาเรตีติ ปริภโฎ, ปริภฎสฺส กมฺมํ ปาริภฎฺยํ, ตสฺส ภาโว ปาริภฎฺยตาติ ลาภาสาย ภิกฺขุโน กุลทารเกสุ อนนุโลมิกา ปวตฺติ วุจฺจติฯ
Pāribhaṭyatā nāma issare sevituṃ parivāretvā tesaṃ cittarucitaṃ vilapantānaṃ paribhaṭānaṃ sevakajanānaṃ viya lābhatthikassa bhikkhuno paccayadāyakesu pavattīti veditabbo. Pari samantato bhaṭati sevatīti paribhaṭo, issarajanānaṃ samīpāvacaro sevakajano, paribhaṭo viyāti paribhaṭo, bhikkhu, paribhaṭassa kammaṃ pāribhaṭyaṃ, tassa bhāvo pāribhaṭyatā. Atha vā paribhaṭati dhāti viya kuladārake aṅke karaṇādivasena dhāretīti paribhaṭo, paribhaṭassa kammaṃ pāribhaṭyaṃ, tassa bhāvo pāribhaṭyatāti lābhāsāya bhikkhuno kuladārakesu ananulomikā pavatti vuccati.
มุคฺคสูปตา นาม ปกฺกมุคฺคา วิย ปกฺกาปกฺกพีชมิสฺสา ลาภาสาย ทายกานํ จิตฺตาราธนตฺถาย สจฺจาลีกมิสฺสกตาฯ ยถา มุเคฺคสุ ปจฺจมาเนสุ โกจิเทว น ปจฺจติ, พหโว ปจฺจนฺติ, เอวเมว ยสฺส ทายเกหิ สทฺธิํ กเถนฺตสฺส กิญฺจิเทว สจฺจํ โหติ, อสจฺจเมว พหุกํ โหติ, อยํ วุจฺจติ มุคฺคสูปสทิสตฺตา ‘‘มุคฺคสูโป’’ติ, ตสฺส กมฺมํ มุคฺคสูปํ, ตสฺส ภาโว มุคฺคสูปตาฯ วตฺถุวิชฺชกํ นาม กูปวตฺถุเคหวตฺถุอาทีนํ อาจิกฺขนํฯ วตฺถุวิชฺชายกานํ กตํ วตฺถุวิชฺชกํฯ
Muggasūpatā nāma pakkamuggā viya pakkāpakkabījamissā lābhāsāya dāyakānaṃ cittārādhanatthāya saccālīkamissakatā. Yathā muggesu paccamānesu kocideva na paccati, bahavo paccanti, evameva yassa dāyakehi saddhiṃ kathentassa kiñcideva saccaṃ hoti, asaccameva bahukaṃ hoti, ayaṃ vuccati muggasūpasadisattā ‘‘muggasūpo’’ti, tassa kammaṃ muggasūpaṃ, tassa bhāvo muggasūpatā. Vatthuvijjakaṃ nāma kūpavatthugehavatthuādīnaṃ ācikkhanaṃ. Vatthuvijjāyakānaṃ kataṃ vatthuvijjakaṃ.
๕๐๒. ชงฺฆเปสนิยํ, ทูตกมฺมญฺจ วุตฺตนยเมวฯ กุลทูสนนฺติ วุตฺตาวเสสํฯ อภูตาโรจนญฺจ วุตฺตนยเมวฯ พุทฺธปฎิกุฎฺฐนฺติ พุเทฺธหิ ปฎิโกฺกสิตํ ครหิตํ ยถาวุตฺตํ มิจฺฉาชีวญฺจ อวุตฺตญฺจ องฺควิชฺชานกฺขตฺตวิชฺชาอุกฺกาปาตทิสาฑาหภูมิจาลาทิเภทํ มิจฺฉาชีวนูปายํ สพฺพํฯ วิวชฺชเยติ วิสมิว, คูถมุตฺตํ วิย จ อารกา ปริวเชฺชยฺยาติ อโตฺถฯ ‘‘สิกฺขากาโม กุลปุโตฺต’’ติ สามตฺถิยา ลพฺภติฯ
502.Jaṅghapesaniyaṃ, dūtakammañca vuttanayameva. Kuladūsananti vuttāvasesaṃ. Abhūtārocanañca vuttanayameva. Buddhapaṭikuṭṭhanti buddhehi paṭikkositaṃ garahitaṃ yathāvuttaṃ micchājīvañca avuttañca aṅgavijjānakkhattavijjāukkāpātadisāḍāhabhūmicālādibhedaṃ micchājīvanūpāyaṃ sabbaṃ. Vivajjayeti visamiva, gūthamuttaṃ viya ca ārakā parivajjeyyāti attho. ‘‘Sikkhākāmo kulaputto’’ti sāmatthiyā labbhati.
๕๐๓. ปฎินิสฺสชฺชโตปิ ตนฺติ สมนุภาสนกมฺมโต ปุเพฺพ วา ญตฺติจตุตฺถาสุ กมฺมวาจาสุ อนฺตกมฺมวาจาย ยฺย-การํ อปฺปตฺตาย วา กุลทูสนกมฺมํ ปชหนฺตสฺสาติ วุตฺตํ โหติฯ สงฺฆเภทสมนฺติ ปฐมสงฺฆเภเทน สมนฺติฯ
503.Paṭinissajjatopi tanti samanubhāsanakammato pubbe vā ñatticatutthāsu kammavācāsu antakammavācāya yya-kāraṃ appattāya vā kuladūsanakammaṃ pajahantassāti vuttaṃ hoti. Saṅghabhedasamanti paṭhamasaṅghabhedena samanti.
กุลทูสนกถาวณฺณนาฯ
Kuladūsanakathāvaṇṇanā.
๕๐๔. ‘‘ชาน’’นฺติ อิมสฺส ‘‘ภิกฺขุนา’’ติ เอตสฺส วิเสสนตฺตา ชานตาติ คเหตพฺพํฯ ปาฬิยา ลิขิเต สีหฬคณฺฐิปเท ปน เอวรูปํ อาปตฺติํ อาปโนฺนสฺมีติ ญตฺวาติ อโตฺถ วุโตฺตฯ ยาวตีหนฺติ ยตฺตกานิ อหานิ, ‘‘ฉาทิตา’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธ, ฉาทนกิริยาอจฺจนฺตสํโยเค อุปโยควจนํฯ ฉาทิตาติ ‘‘อหํ อิตฺถนฺนามํ อาปตฺติํ อาปโนฺน’’ติ สพฺรหฺมจารีนํ อนาโรจนทิวเสน ปฎิจฺฉาทิตาฯ อาปตฺตีติ สงฺฆาทิเสสาปตฺติฯ อกามาติ อรุจิยาว สงฺฆาทิเสสํ อาปชฺชิตฺวา อกตปฎิกมฺมสฺส สคฺคโมกฺขานํ อนฺตรายกรตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ ปริวตฺถพฺพนฺติ ปริวาสํ สมาทาย วตฺถพฺพํฯ กิตฺตกํ กาลนฺติ อาห ‘‘ตาวตีห’’นฺติ, ตตฺตกานิ อหานีติ วุตฺตํ โหติฯ อาปชฺชิตฺวา ยตฺตกานิ อหานิ ปฎิจฺฉาเทติ, ตตฺตกาเนว อหานีติ อโตฺถฯ
504.‘‘Jāna’’nti imassa ‘‘bhikkhunā’’ti etassa visesanattā jānatāti gahetabbaṃ. Pāḷiyā likhite sīhaḷagaṇṭhipade pana evarūpaṃ āpattiṃ āpannosmīti ñatvāti attho vutto. Yāvatīhanti yattakāni ahāni, ‘‘chāditā’’ti iminā sambandho, chādanakiriyāaccantasaṃyoge upayogavacanaṃ. Chāditāti ‘‘ahaṃ itthannāmaṃ āpattiṃ āpanno’’ti sabrahmacārīnaṃ anārocanadivasena paṭicchāditā. Āpattīti saṅghādisesāpatti. Akāmāti aruciyāva saṅghādisesaṃ āpajjitvā akatapaṭikammassa saggamokkhānaṃ antarāyakarattāti adhippāyo. Parivatthabbanti parivāsaṃ samādāya vatthabbaṃ. Kittakaṃ kālanti āha ‘‘tāvatīha’’nti, tattakāni ahānīti vuttaṃ hoti. Āpajjitvā yattakāni ahāni paṭicchādeti, tattakāneva ahānīti attho.
๕๐๕-๖. อาปตฺติ กิตฺตเกน ปฎิจฺฉนฺนา โหตีติ อาห ‘‘อาปตฺติ จา’’ติอาทิฯ ตตฺถ อาปตฺติ จาติ สงฺฆาทิเสสาปตฺติ จฯ อนุกฺขิโตฺต จาติ อุเกฺขปนียกเมฺมน สยํ อนิสฺสาริโต จฯ ปหู จาติ สยํ สพฺรหฺมจารีนํ สนฺติกํ คนฺตฺวา อาโรเจตุํ ปโหติ จฯ อนนฺตรายิโก จาติ คมนวิพนฺธเกน ราชโจราทิอนฺตราเยน วิรหิโต จฯ จตุสฺว ปีติ เอตฺถ ‘‘เอเตสู’’ติ เสโส, เอเตสุ จตูสูติ อโตฺถฯ ตํสญฺญีติ อาปตฺติสญฺญี อนุกฺขิตฺตสญฺญี ปหุสญฺญี อนนฺตรายิกสญฺญีติ วุตฺตํ โหติฯ ตสฺส เอวํสญฺญิโน อิเมสุ จตูสุ ตถาสญฺญิโน ปุคฺคลสฺสฯ ฉาเทตุกามตาติ อาจริยาทีสุ คารเวน วา ครหาทิภยา วา ‘‘น อาโรเจสฺสามี’’ติ ปฎิจฺฉาเทตุกามตา จฯ ฉาทนนฺติ ตถา จิเนฺตตฺวา ‘‘อหํ อิตฺถนฺนามํ อาปโนฺน’’ติ อวตฺวา ปฎิจฺฉาทนญฺจาติ อิเมหิ ทสหิ อเงฺคหิฯ ‘‘ภิกฺขุนา’’ติ กตฺตุนิเทฺทสตฺตา ฉนฺนาติ เอตฺถ ฉาทิตาติ อโตฺถฯ กาลวิธิํ ทเสฺสติ ‘‘อรุณุคฺคมเนนา’’ติ, อาปตฺติอาปนฺนทิวสํ เขเปตฺวา อรุณุฎฺฐาเนน สทฺธิํ ฉนฺนา โหตีติ อโตฺถฯ
505-6. Āpatti kittakena paṭicchannā hotīti āha ‘‘āpatti cā’’tiādi. Tattha āpatti cāti saṅghādisesāpatti ca. Anukkhitto cāti ukkhepanīyakammena sayaṃ anissārito ca. Pahū cāti sayaṃ sabrahmacārīnaṃ santikaṃ gantvā ārocetuṃ pahoti ca. Anantarāyiko cāti gamanavibandhakena rājacorādiantarāyena virahito ca. Catusva pīti ettha ‘‘etesū’’ti seso, etesu catūsūti attho. Taṃsaññīti āpattisaññī anukkhittasaññī pahusaññī anantarāyikasaññīti vuttaṃ hoti. Tassa evaṃsaññino imesu catūsu tathāsaññino puggalassa. Chādetukāmatāti ācariyādīsu gāravena vā garahādibhayā vā ‘‘na ārocessāmī’’ti paṭicchādetukāmatā ca. Chādananti tathā cintetvā ‘‘ahaṃ itthannāmaṃ āpanno’’ti avatvā paṭicchādanañcāti imehi dasahi aṅgehi. ‘‘Bhikkhunā’’ti kattuniddesattā channāti ettha chāditāti attho. Kālavidhiṃ dasseti ‘‘aruṇuggamanenā’’ti, āpattiāpannadivasaṃ khepetvā aruṇuṭṭhānena saddhiṃ channā hotīti attho.
เทฺวภาณวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dvebhāṇavāravaṇṇanā niṭṭhitā.
๕๐๗. เอวํ ปฎิจฺฉนฺนสงฺฆาทิเสสปฎิกมฺมตฺถํ ‘‘อกามา ปริวตฺถพฺพ’’นฺติ วิหิตสฺส ปริวาสสฺส โก เภโท, โก ปวตฺติกฺกโมติ อาห ‘‘ติวิโธ’’ติอาทิฯ โส ปริวาโส ติวิโธ ทีปิโตติ สมฺพโนฺธฯ เกนาติ อาห ‘‘ติวิธาเปตเจตสา’’ติฯ ‘‘ติโสฺส วิธา, เสโยฺยหมสฺมีติ วิธา, สทิโสหมสฺมีติ วิธา, หีโนหมสฺมีติ วิธา’’ติ (ที. นิ. ๓.๓๐๕) วุตฺตวิธาย มานนามเธยฺยโต ติวิธมานโต อปคตจิเตฺตน สมฺมาสมฺพุเทฺธนาติ อโตฺถฯ
507. Evaṃ paṭicchannasaṅghādisesapaṭikammatthaṃ ‘‘akāmā parivatthabba’’nti vihitassa parivāsassa ko bhedo, ko pavattikkamoti āha ‘‘tividho’’tiādi. So parivāso tividho dīpitoti sambandho. Kenāti āha ‘‘tividhāpetacetasā’’ti. ‘‘Tisso vidhā, seyyohamasmīti vidhā, sadisohamasmīti vidhā, hīnohamasmīti vidhā’’ti (dī. ni. 3.305) vuttavidhāya mānanāmadheyyato tividhamānato apagatacittena sammāsambuddhenāti attho.
ปฎิจฺฉนฺนา อาปตฺติ เอตสฺสาติ ปฎิจฺฉโนฺนฯ อริสาทีนํ อาคติคณตฺตา ตตฺถ ปกฺขิปเนน อ-การปจฺจโย ทฎฺฐโพฺพฯ เตเนว วกฺขติ ‘‘ปฎิจฺฉนฺนาย ทาตโพฺพ’’ติอาทิฯ
Paṭicchannā āpatti etassāti paṭicchanno. Arisādīnaṃ āgatigaṇattā tattha pakkhipanena a-kārapaccayo daṭṭhabbo. Teneva vakkhati ‘‘paṭicchannāya dātabbo’’tiādi.
สุทฺธโนฺตติ ‘‘อุโภ โกฎิโย โสเธตฺวา ทาตพฺพปริวาโส สุทฺธโนฺต นามา’’ติ ปาฬิคณฺฐิปเท วุตฺตตฺตา อุปสมฺปทากาลสงฺขาโต สุโทฺธ ปุพฺพโนฺต, อาโรจิตกาลสงฺขาโต สุโทฺธ อปรโนฺต จ ปริวาสสมาทานกาเล วา ปริวสนกาเล วา อุปปริกฺขิตฺวา ทิฎฺฐา สุทฺธา อนฺตา อนาปตฺติกาลสงฺขาตา อุโภ โกฎิโย อสฺสาติ กตฺวา สุทฺธนฺตนามโก ปริวาโส จฯ เอตฺถ จ เภทาทิํ วกฺขติฯ
Suddhantoti ‘‘ubho koṭiyo sodhetvā dātabbaparivāso suddhanto nāmā’’ti pāḷigaṇṭhipade vuttattā upasampadākālasaṅkhāto suddho pubbanto, ārocitakālasaṅkhāto suddho aparanto ca parivāsasamādānakāle vā parivasanakāle vā upaparikkhitvā diṭṭhā suddhā antā anāpattikālasaṅkhātā ubho koṭiyo assāti katvā suddhantanāmako parivāso ca. Ettha ca bhedādiṃ vakkhati.
สมฺมา ทิวสาทีนํ โอธานํ ปเกฺขโป ยตฺถ โส สโมธาโน, ปริวาโสฯ ทิวเสสุ ทิวเส วา อาปตฺตีสุ อาปตฺติโย วา สพฺพา นานาวตฺถุกา อาปตฺติโย เอกโต กตฺวา โอธาย ทาตพฺพปริวาโสติ อโตฺถฯ เอตฺถาปิ เภทาทิํ วกฺขติฯ
Sammā divasādīnaṃ odhānaṃ pakkhepo yattha so samodhāno, parivāso. Divasesu divase vā āpattīsu āpattiyo vā sabbā nānāvatthukā āpattiyo ekato katvā odhāya dātabbaparivāsoti attho. Etthāpi bhedādiṃ vakkhati.
๕๐๘. ตตฺราติ เตสุ ตีสุ ปริวาเสสุฯ ‘‘โย’’ติ เสโสฯ อิตีติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ โย ปฎิจฺฉนฺนปริวาโส, อยนฺติ เอวํ ปกาสิโตติ โยชนาฯ
508.Tatrāti tesu tīsu parivāsesu. ‘‘Yo’’ti seso. Itīti evamattho daṭṭhabbo. Yo paṭicchannaparivāso, ayanti evaṃ pakāsitoti yojanā.
๕๐๙-๑๐. ปริวาสทานกาเล วุจฺจมานาย กมฺมวาจาย ปธานลกฺขณํ ทเสฺสตุมาห ‘‘วตฺถุโคตฺตวเสนา’’ติอาทิฯ ตตฺถ ‘‘วตฺถู’’ติ สุกฺกโมจนาทิโก วีติกฺกโม วุจฺจติฯ อยเมว สุกฺกวิสฺสฎฺฐิอาทิกํ คํ วาจํ สญฺญญฺจ ตายติ รกฺขตีติ กตฺวา ‘‘โคตฺต’’นฺติ วุจฺจติฯ ตญฺหิ สชาติยสาธารณวิชาติยวินิวตฺตนวเสน อญฺญตฺถ คนฺตุํ อทตฺวา วาจํ สทฺทํ, ตพฺพิสยํ สญฺญญฺจ รกฺขติฯ อิทํ วตฺถุโคตฺตทฺวยวาจกํ สุกฺกวิสฺสฎฺฐิกายสํสคฺควิเสสวจนญฺจ ‘‘นานาวตฺถุกา’’ติ สามญฺญวจนญฺจาติ อิมินา วจนทฺวเยนาติ วุตฺตํ โหติฯ วุตฺตเญฺหตํ อฎฺฐกถายํ ‘‘สุกฺกวิสฺสฎฺฐิํ กายสํสคฺค’นฺติอาทิวจเนนาปิ ‘นานาวตฺถุกาโย’ติอาทิวจเนนาปิ วตฺถุเจว โคตฺตญฺจ สงฺคหิต’’นฺติ (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒)ฯ นามาปตฺติวเสน วาติ เอตฺถ สงฺฆาทิเสโสติ สชาติสาธารณนามํ, อาปตฺตีติ สพฺพสาธารณนามนฺติ ทฺวีหิ นาเมหิ ตํตํวีติกฺกมวเสน อาปชฺชิตพฺพโต ตเทว อาปตฺตีติ เอวมุภินฺนํ นามาปตฺตีนํ วเสน วาติ อโตฺถฯ
509-10. Parivāsadānakāle vuccamānāya kammavācāya padhānalakkhaṇaṃ dassetumāha ‘‘vatthugottavasenā’’tiādi. Tattha ‘‘vatthū’’ti sukkamocanādiko vītikkamo vuccati. Ayameva sukkavissaṭṭhiādikaṃ gaṃ vācaṃ saññañca tāyati rakkhatīti katvā ‘‘gotta’’nti vuccati. Tañhi sajātiyasādhāraṇavijātiyavinivattanavasena aññattha gantuṃ adatvā vācaṃ saddaṃ, tabbisayaṃ saññañca rakkhati. Idaṃ vatthugottadvayavācakaṃ sukkavissaṭṭhikāyasaṃsaggavisesavacanañca ‘‘nānāvatthukā’’ti sāmaññavacanañcāti iminā vacanadvayenāti vuttaṃ hoti. Vuttañhetaṃ aṭṭhakathāyaṃ ‘‘sukkavissaṭṭhiṃ kāyasaṃsagga’ntiādivacanenāpi ‘nānāvatthukāyo’tiādivacanenāpi vatthuceva gottañca saṅgahita’’nti (cūḷava. aṭṭha. 102). Nāmāpattivasena vāti ettha saṅghādisesoti sajātisādhāraṇanāmaṃ, āpattīti sabbasādhāraṇanāmanti dvīhi nāmehi taṃtaṃvītikkamavasena āpajjitabbato tadeva āpattīti evamubhinnaṃ nāmāpattīnaṃ vasena vāti attho.
กมฺมวาจา หิ กาตพฺพาติ ‘‘วตฺถุโคตฺตวเสนาปี’’ติ เอตฺถ อปิ-สโทฺท ‘‘นามาปตฺติวเสน วา’’ติ เอตฺถ สงฺฆาทิเสโสติ สชาติสาธารณนามํ, อาปตฺตีติ สพฺพสาธารณนามนฺติ ทฺวีหิ นาเมหีติ อิทํ สมุจฺจิโนตีติ อุภยํ เอกโต โยเชตฺวา กมฺมวาจา กาตพฺพาติฯ ‘‘นามาปตฺติวเสน วา’’ติ เอตฺถ วิกปฺปเตฺถน วา-สเทฺทน, ‘‘อหํ ภเนฺต สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เอกาหปฎิจฺฉนฺนาโย’ติ เอวํ นามมตฺตวเสน วา โยชนา กาตพฺพา’’ติ อฎฺฐกถาย วุตฺตวิเสสนิวตฺตนตฺถมตฺตสทฺทวเสน จ วตฺถุโคตฺตวิรหิเตน เกวเลน นามาปตฺติมเตฺตน ปโยเชตฺวา กาตพฺพาเยวาติ วุตฺตํ โหติฯ กมฺมวาจาย กรณปฺปกาโร ปน สมุจฺจยกฺขนฺธเก อาคตนเยน อาปนฺนปุคฺคลนาเมน จ เอกาหปฎิจฺฉนฺนาทิวจเนน จ โยเชตฺวา ทฎฺฐโพฺพฯ ตสฺส ทาตโพฺพติ โยชนาฯ ‘‘ปริวาโส’’ติ ปกรณโต ลพฺภติ, ปฎิจฺฉนฺนาปตฺติกสฺส ปุคฺคลสฺส ปริวาโส ทาตโพฺพติ อโตฺถฯ
Kammavācā hi kātabbāti ‘‘vatthugottavasenāpī’’ti ettha api-saddo ‘‘nāmāpattivasena vā’’ti ettha saṅghādisesoti sajātisādhāraṇanāmaṃ, āpattīti sabbasādhāraṇanāmanti dvīhi nāmehīti idaṃ samuccinotīti ubhayaṃ ekato yojetvā kammavācā kātabbāti. ‘‘Nāmāpattivasena vā’’ti ettha vikappatthena vā-saddena, ‘‘ahaṃ bhante sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ ekāhapaṭicchannāyo’ti evaṃ nāmamattavasena vā yojanā kātabbā’’ti aṭṭhakathāya vuttavisesanivattanatthamattasaddavasena ca vatthugottavirahitena kevalena nāmāpattimattena payojetvā kātabbāyevāti vuttaṃ hoti. Kammavācāya karaṇappakāro pana samuccayakkhandhake āgatanayena āpannapuggalanāmena ca ekāhapaṭicchannādivacanena ca yojetvā daṭṭhabbo. Tassa dātabboti yojanā. ‘‘Parivāso’’ti pakaraṇato labbhati, paṭicchannāpattikassa puggalassa parivāso dātabboti attho.
เตน จาติ ลทฺธปริวาเสน อโนฺตสีมาย อุกฺกุฎิกํ นิสิเนฺนน ปคฺคหิตญฺชลินา ภิกฺขุนา จฯ สมาทิยิตฺวาติ เอตฺถาปิ ‘‘วตฺต’’นฺติ สามตฺถิยา ลพฺภติฯ ‘‘สมาทาเนปฺยยํ นโย’’ติ (วิ. วิ. ๕๑๔) วกฺขมานตฺตา ‘‘วตฺตํ สมาทิยามิ, ปริวาสํ สมาทิยามี’’ติ อิเมสํ ทฺวินฺนํ อญฺญตรํ วา ทฺวยเมว วา ติกฺขตฺตุํ วตฺวา ปาริวาสิกกฺขนฺธเก วุตฺตวตฺตปูรณตฺถํ สมาทิยิตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ อาทิโต สงฺฆสฺส อาโรเจตพฺพนฺติ โยชนาฯ ตถา วตฺตํ สมาทิยิตฺวา นิสิเนฺนน ปฐมํ สงฺฆสฺส ‘‘อหํ ภเนฺต เอกํ อาปตฺติํ อาปชฺชิํ สเญฺจตนิกํ สุกฺกวิสฺสฎฺฐิํ เอกาหปฎิจฺฉนฺนํ, โสหํ สงฺฆํ เอกิสฺสา อาปตฺติยา สเญฺจตนิกาย สุกฺกวิสฺสฎฺฐิยา เอกาหปฎิจฺฉนฺนาย เอกาหปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ เอกิสฺสา อาปตฺติยา สเญฺจตนิกาย สุกฺกวิสฺสฎฺฐิยา เอกาหปฎิจฺฉนฺนาย เอกาหปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวสามิ, เวทยามาหํ ภเนฺต, เวทยตีติ มํ สโงฺฆ ธาเรตู’’ติ เอวํ อาโรเจตพฺพํฯ
Tena cāti laddhaparivāsena antosīmāya ukkuṭikaṃ nisinnena paggahitañjalinā bhikkhunā ca. Samādiyitvāti etthāpi ‘‘vatta’’nti sāmatthiyā labbhati. ‘‘Samādānepyayaṃ nayo’’ti (vi. vi. 514) vakkhamānattā ‘‘vattaṃ samādiyāmi, parivāsaṃ samādiyāmī’’ti imesaṃ dvinnaṃ aññataraṃ vā dvayameva vā tikkhattuṃ vatvā pārivāsikakkhandhake vuttavattapūraṇatthaṃ samādiyitvāti vuttaṃ hoti. Ādito saṅghassa ārocetabbanti yojanā. Tathā vattaṃ samādiyitvā nisinnena paṭhamaṃ saṅghassa ‘‘ahaṃ bhante ekaṃ āpattiṃ āpajjiṃ sañcetanikaṃ sukkavissaṭṭhiṃ ekāhapaṭicchannaṃ, sohaṃ saṅghaṃ ekissā āpattiyā sañcetanikāya sukkavissaṭṭhiyā ekāhapaṭicchannāya ekāhaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho ekissā āpattiyā sañcetanikāya sukkavissaṭṭhiyā ekāhapaṭicchannāya ekāhaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivasāmi, vedayāmāhaṃ bhante, vedayatīti maṃ saṅgho dhāretū’’ti evaṃ ārocetabbaṃ.
‘‘อิมญฺจ ปนตฺถํ คเหตฺวา ยาย กายจิ วาจาย อาโรเจตุํ วฎฺฎติเยวา’’ติ (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒) อฎฺฐกถาวจนโต ยาย กายจิ ภาสายปิ อาโรเจตุํ วฎฺฎติฯ
‘‘Imañca panatthaṃ gahetvā yāya kāyaci vācāya ārocetuṃ vaṭṭatiyevā’’ti (cūḷava. aṭṭha. 102) aṭṭhakathāvacanato yāya kāyaci bhāsāyapi ārocetuṃ vaṭṭati.
๕๑๑. ปุนปฺปุนาคตานนฺติ เอตฺถ ‘‘ภิกฺขูน’’นฺติ เสโสฯ ปุเพฺพ อาโรจนฎฺฐานํ อสมฺปตฺตานํ อาคนฺตุกานํ ภิกฺขูนมฺปิฯ อาโรเจโนฺตวาติ เอกสฺส อาโรจเน โส เจ วุฑฺฒตโร โหติ, ‘‘ภเนฺต’’ติ วตฺวา ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว วตฺวา, นวโก เจ, ‘‘อาวุโส’’ติ วตฺวา อวสาเน ‘‘มํ อายสฺมา ธาเรตู’’ติ, เทฺว เจ โหนฺติ, ‘‘มํ อายสฺมนฺตา ธาเรนฺตู’’ติ, ตโย เจ, ‘‘มํ อายสฺมโนฺต ธาเรนฺตู’’ติ วตฺวา อาโรเจโนฺตวฯ รตฺติยา เฉทํ อกตฺวาติ ‘‘ปกตเตฺตน ภิกฺขุนา สทฺธิํ เอกจฺฉเนฺน’’ติอาทินา (จูฬว. ๘๑) นเยน วุตฺตเอกเสนาสเน ปกตเตฺตน ภิกฺขุนา สทฺธิํ อรุณุฎฺฐาปนวเสน กริยมาเนน สหวาเสน วา ‘‘ปกตตฺตภิกฺขูหิ วินา เอกเกน วาโส’’ติ วุตฺตวิปฺปวาเสน วา ‘‘อาคนฺตุกานํ อาโรจนาย อกรณ’’นฺติ วุตฺตอนาโรจเนน วา สมฺภวนฺตํ รตฺติเจฺฉทมกตฺวาฯ วตฺตเภทํ อกตฺวา วา ปาริวาสิกกฺขนฺธเก ปาริวาสิกสฺส ปญฺญตฺตวตฺตโต เอกมฺปิ อหาเปตฺวา จฯ สทา วเสติ ปริวาสํ วสิตุํ ปริกปฺปิตา สพฺพทิวสา ยาว ขิณนฺติ, ตาว วเสยฺยาติ อโตฺถฯ
511.Punappunāgatānanti ettha ‘‘bhikkhūna’’nti seso. Pubbe ārocanaṭṭhānaṃ asampattānaṃ āgantukānaṃ bhikkhūnampi. Ārocentovāti ekassa ārocane so ce vuḍḍhataro hoti, ‘‘bhante’’ti vatvā pubbe vuttanayeneva vatvā, navako ce, ‘‘āvuso’’ti vatvā avasāne ‘‘maṃ āyasmā dhāretū’’ti, dve ce honti, ‘‘maṃ āyasmantā dhārentū’’ti, tayo ce, ‘‘maṃ āyasmanto dhārentū’’ti vatvā ārocentova. Rattiyā chedaṃ akatvāti ‘‘pakatattena bhikkhunā saddhiṃ ekacchanne’’tiādinā (cūḷava. 81) nayena vuttaekasenāsane pakatattena bhikkhunā saddhiṃ aruṇuṭṭhāpanavasena kariyamānena sahavāsena vā ‘‘pakatattabhikkhūhi vinā ekakena vāso’’ti vuttavippavāsena vā ‘‘āgantukānaṃ ārocanāya akaraṇa’’nti vuttaanārocanena vā sambhavantaṃ ratticchedamakatvā. Vattabhedaṃ akatvā vā pārivāsikakkhandhake pārivāsikassa paññattavattato ekampi ahāpetvā ca. Sadā vaseti parivāsaṃ vasituṃ parikappitā sabbadivasā yāva khiṇanti, tāva vaseyyāti attho.
๕๑๒. ตตฺถ ปริวาโส วิโสเธตุํ น สกฺกา เจติ ตสฺส วิหารสฺส มหนฺตตฺตา อาคเต อาคนฺตุกภิกฺขู ปริเยสิตฺวา อาโรเจเนฺตน รตฺติเจฺฉทํ อกตฺวา ปริวาสํ โสเธตุํ น สกฺกา เจ โหติฯ ตํ วตฺตํ นิกฺขิปิตฺวานาติ ตถา สมาทินฺนํ วตฺตํ อุปริ วกฺขมานนเยน นิกฺขิปิตฺวาฯ
512.Tattha parivāso visodhetuṃ na sakkā ceti tassa vihārassa mahantattā āgate āgantukabhikkhū pariyesitvā ārocentena ratticchedaṃ akatvā parivāsaṃ sodhetuṃ na sakkā ce hoti. Taṃ vattaṃ nikkhipitvānāti tathā samādinnaṃ vattaṃ upari vakkhamānanayena nikkhipitvā.
๕๑๓. กตฺถ นิกฺขิเปยฺยาติ อาห ‘‘ตตฺถา’’ติอาทิฯ ตเตฺถว สงฺฆมเชฺฌ วาติ อตฺตโน ยสฺมิํ วตฺตํ สมาทินฺนํ, ตสฺมิํเยว สงฺฆมเชฺฌ วาฯ ปุคฺคเล วาติ ภิกฺขูสุ อุฎฺฐาย ตตฺถ ตตฺถ คเตสุ อโนฺตสีมายเยว โอหีเน เอกภิกฺขุมฺหิ วา อสติยา พหิสีมํ คเตน สริตกฺขเณ อตฺตนา สทฺธิํ คจฺฉเนฺต ตสฺสาเยว ปริสาย ปริวาสทาเน สมฺมุขีภูเต ปุคฺคเล วา อาคนฺตุกภิกฺขุ เจ, ตสฺส วา สนฺติเก อาโรเจตฺวา วตฺตํ นิกฺขิปิตพฺพนฺติ วุตฺตํ โหติฯ กถํ นิกฺขิเป’ติ อาห ‘‘นิกฺขิปามี’’ติอาทิฯ ‘‘ตถา’’ติ อิมินา ‘‘นิกฺขิปามี’’ติ เอตํ ปจฺจามสติฯ ตํ วตฺตนฺติ อตฺตนา สมาทินฺนํ ตํ วตฺตํฯ
513. Kattha nikkhipeyyāti āha ‘‘tatthā’’tiādi. Tattheva saṅghamajjhe vāti attano yasmiṃ vattaṃ samādinnaṃ, tasmiṃyeva saṅghamajjhe vā. Puggale vāti bhikkhūsu uṭṭhāya tattha tattha gatesu antosīmāyayeva ohīne ekabhikkhumhi vā asatiyā bahisīmaṃ gatena saritakkhaṇe attanā saddhiṃ gacchante tassāyeva parisāya parivāsadāne sammukhībhūte puggale vā āgantukabhikkhu ce, tassa vā santike ārocetvā vattaṃ nikkhipitabbanti vuttaṃ hoti. Kathaṃ nikkhipe’ti āha ‘‘nikkhipāmī’’tiādi. ‘‘Tathā’’ti iminā ‘‘nikkhipāmī’’ti etaṃ paccāmasati. Taṃ vattanti attanā samādinnaṃ taṃ vattaṃ.
๕๑๔. อยํ นโยติ ‘‘เอกปเทนาปิ ทฺวีหิ ปเทหิ วา ปนา’’ติ เอวํ อนนฺตโรทิตนโยฯ
514.Ayaṃ nayoti ‘‘ekapadenāpi dvīhi padehi vā panā’’ti evaṃ anantaroditanayo.
๕๑๕-๒๐. ปกตโตฺตติ วุจฺจตีติ สคฺคโมกฺขาวรณาภาเวน ปกโต ปุพฺพสรูเปเนว ฐิโต อตฺตา เอตสฺสาติ ‘‘ปกตโตฺต’’ติ กถียติฯ ปจฺจูสกาลสฺมินฺติ อรุณโต ปุริมกาเลฯ
515-20.Pakatattoti vuccatīti saggamokkhāvaraṇābhāvena pakato pubbasarūpeneva ṭhito attā etassāti ‘‘pakatatto’’ti kathīyati. Paccūsakālasminti aruṇato purimakāle.
ปริกฺขิตฺตวิหารสฺสาติ เอตฺถ ปาการาทีหิ ปริกฺขิตฺตํ เอกมฺปิ เสนาสนํ วิหรนฺติ อสฺมินฺติ กตฺวา ตถา วุจฺจติฯ เทฺว เลฑฺฑุปาเต อติกฺกมฺมาติ โยชนาฯ เลฑฺฑุปาตทฺวยสฺส อวธิํ ทเสฺสติ ‘‘ปริเกฺขปโต พหี’’ติ, ‘‘อปริกฺขิตฺตโต ปริเกฺขปารหฎฺฐานา พหี’’ติ จฯ
Parikkhittavihārassāti ettha pākārādīhi parikkhittaṃ ekampi senāsanaṃ viharanti asminti katvā tathā vuccati. Dve leḍḍupāte atikkammāti yojanā. Leḍḍupātadvayassa avadhiṃ dasseti ‘‘parikkhepato bahī’’ti, ‘‘aparikkhittato parikkhepārahaṭṭhānā bahī’’ti ca.
ปริเกฺขปารหฎฺฐานํ นาม กตมนฺติ? วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๓๑) ธุตงฺคนิเทฺทเส ‘‘มชฺฌิมฎฺฐกถายํ ปน วิหารสฺสาปิ คามเสฺสว อุปจารํ นีหริตฺวา อุภินฺนํ เลฑฺฑุปาตานํ อพฺภนฺตรา มินิตพฺพ’นฺติ วุตฺตํฯ อิทเมตฺถปมาณ’’นฺติ วุตฺตตฺตา อปริกฺขิตฺตสฺส ปฐมเลฑฺฑุปาตํ โหติ, คาเม วุเตฺตน วิธินา วิหารปริยเนฺต ฐิตภตฺตสาลคิลานสาลาทิเสนาสเน เจ ปริเกฺขโป อตฺถิ, ตตฺถ วา, นตฺถิ เจ, นิพฺพโกสสฺส อุทกปาตฎฺฐาเน ฐิเตน มาตุคาเมน ฉฑฺฑิตภาชนโธวโนทกปตนฎฺฐาเน วา เสนาสนโต ทูเร เจติยงฺคเณ, โพธิยงฺคเณ วา ฐตฺวา พลมชฺฌิมสฺส ปุริสสฺส หตฺถํ ปสาเรตฺวา อตฺตโน พลปฺปมาเณน ขิตฺตสฺส มุฎฺฐิยา คหิตปาสาณสฺส ปตนฎฺฐานํ วิหารูปจาโร นาม, ตเทว ปาการาทีหิ ปริเกฺขปารหฎฺฐานํ นามฯ ตตฺถ ฐตฺวา ตเถว ขิตฺตสฺส ปาสาณสฺส ปตนฎฺฐานํ เอโก เลฑฺฑุปาโต, ตตฺถาปิ ฐตฺวา ตเถว ขิตฺตสฺส ปาสาณสฺส ปตนฎฺฐานํ เอโก เลฑฺฑุปาโตติ เอวํ เทฺว เลฑฺฑุปาตา คเหตพฺพาฯ
Parikkhepārahaṭṭhānaṃ nāma katamanti? Visuddhimagge (visuddhi. 1.31) dhutaṅganiddese ‘‘majjhimaṭṭhakathāyaṃ pana vihārassāpi gāmasseva upacāraṃ nīharitvā ubhinnaṃ leḍḍupātānaṃ abbhantarā minitabba’nti vuttaṃ. Idametthapamāṇa’’nti vuttattā aparikkhittassa paṭhamaleḍḍupātaṃ hoti, gāme vuttena vidhinā vihārapariyante ṭhitabhattasālagilānasālādisenāsane ce parikkhepo atthi, tattha vā, natthi ce, nibbakosassa udakapātaṭṭhāne ṭhitena mātugāmena chaḍḍitabhājanadhovanodakapatanaṭṭhāne vā senāsanato dūre cetiyaṅgaṇe, bodhiyaṅgaṇe vā ṭhatvā balamajjhimassa purisassa hatthaṃ pasāretvā attano balappamāṇena khittassa muṭṭhiyā gahitapāsāṇassa patanaṭṭhānaṃ vihārūpacāro nāma, tadeva pākārādīhi parikkhepārahaṭṭhānaṃ nāma. Tattha ṭhatvā tatheva khittassa pāsāṇassa patanaṭṭhānaṃ eko leḍḍupāto, tatthāpi ṭhatvā tatheva khittassa pāsāṇassa patanaṭṭhānaṃ eko leḍḍupātoti evaṃ dve leḍḍupātā gahetabbā.
มคฺคโต โอกฺกมิตฺวาติ มคฺคโต อปสกฺกิตฺวาฯ คุเมฺพนาติ รุกฺขคหเนน วา ลตาคหเนน วาฯ วติยาติ กณฺฎกสาขาทีหิ กตาย วติยาฯ
Maggato okkamitvāti maggato apasakkitvā. Gumbenāti rukkhagahanena vā latāgahanena vā. Vatiyāti kaṇṭakasākhādīhi katāya vatiyā.
วตฺตมาทายาติ ปุเพฺพ วุตฺตนเยน วตฺตํ สมาทิยิตฺวาฯ อาโรเจตฺวาติ ยถาวุตฺตนเยน อาโรเจตฺวาฯ
Vattamādāyāti pubbe vuttanayena vattaṃ samādiyitvā. Ārocetvāti yathāvuttanayena ārocetvā.
นิกฺขิปิตฺวาติ ปุเพฺพ วุตฺตนเยน วตฺตํ นิกฺขิปิตฺวาฯ ภิกฺขูติ อตฺตนา สทฺธิํ หตฺถปาสทานตฺถาย อาคโต ภิกฺขุฯ ยสฺส กสฺสจีติ เอตฺถ ‘‘สนฺติเก’’ติ เสโสฯ
Nikkhipitvāti pubbe vuttanayena vattaṃ nikkhipitvā. Bhikkhūti attanā saddhiṃ hatthapāsadānatthāya āgato bhikkhu. Yassa kassacīti ettha ‘‘santike’’ti seso.
อาโรเจตฺวา วาติ อตฺตโน นวกตโร เจ, ‘‘อาวุโส’’ติ, วุโฑฺฒ เจ, ‘‘ภเนฺต’’ติ วตฺวา ยถาวุตฺตนเยเนว อาโรเจตฺวาฯ เสสนฺติ อวเสสวินิจฺฉยํฯ สมุจฺจยสฺสาติ จูฬวคฺคาคตสฺส ตติยสมุจฺจยกฺขนฺธกสฺสฯ อฎฺฐกถายจาติ ‘‘สเจ อโญฺญ โกจิ ภิกฺขุ เกนจิเทว กรณีเยนา’’ติอาทินา (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒) อฎฺฐกถาคตวินิจฺฉเยนาปิฯ
Ārocetvāvāti attano navakataro ce, ‘‘āvuso’’ti, vuḍḍho ce, ‘‘bhante’’ti vatvā yathāvuttanayeneva ārocetvā. Sesanti avasesavinicchayaṃ. Samuccayassāti cūḷavaggāgatassa tatiyasamuccayakkhandhakassa. Aṭṭhakathāyacāti ‘‘sace añño koci bhikkhu kenacideva karaṇīyenā’’tiādinā (cūḷava. aṭṭha. 102) aṭṭhakathāgatavinicchayenāpi.
วิภาวเยติ ‘‘สเจ ยํ ภิกฺขุํ ตตฺถ อาคตํ ปสฺสติ, ภาสมานสฺส สทฺทํ สุณาติ, ตสฺส อาโรเจตพฺพํฯ ตถา อกโรนฺตสฺส รตฺติเจฺฉโท จ วตฺตเภโท จ โหติ ทุกฺกฎํ อาปชฺชติฯ สเจ โส ทฺวาทสรตนพฺภนฺตรํ ปตฺวา ตสฺส อชานนฺตเสฺสว ปกฺกโนฺต โหติ, รตฺติเจฺฉโทว โหติ, น วตฺตเภโท ฯ สเจ อตฺตนา สทฺธิํ อาคโต เกนจิเทว กรณีเยน คโต โหติ, วิหารํ คนฺตฺวา ยํ ปฐมํ ปสฺสติ, ตสฺส สนฺติเก อาโรเจตฺวา วตฺตํ นิกฺขิปิตพฺพํฯ เอวํ ปริกปฺปิตทิวเส ปุเณฺณ กุกฺกุจฺจวิโนทนตฺถํ อติเรเก จ ทิวเส วตฺตํ ปูเรตฺวา ปริโยสาเน วเตฺต อสมาทิเนฺน มานตฺตารโห น โหตีติ สงฺฆํ อุปสงฺกมฺม วตฺตํ สมาทิยิตฺวา ขนฺธเก อาคตนเยเนว มานตฺตํ ยาจิตพฺพํฯ อนิกฺขิตฺตวเตฺตน จริตุกามสฺส ปุน วตฺตสมาทานํ กาตพฺพํ น โหตี’’ติ เอตฺตโก วิเสโส, อิมํ อฎฺฐกถาคตํ วินิจฺฉยํ ปกาเสยฺยาติ วุตฺตํ โหตีติฯ
Vibhāvayeti ‘‘sace yaṃ bhikkhuṃ tattha āgataṃ passati, bhāsamānassa saddaṃ suṇāti, tassa ārocetabbaṃ. Tathā akarontassa ratticchedo ca vattabhedo ca hoti dukkaṭaṃ āpajjati. Sace so dvādasaratanabbhantaraṃ patvā tassa ajānantasseva pakkanto hoti, ratticchedova hoti, na vattabhedo . Sace attanā saddhiṃ āgato kenacideva karaṇīyena gato hoti, vihāraṃ gantvā yaṃ paṭhamaṃ passati, tassa santike ārocetvā vattaṃ nikkhipitabbaṃ. Evaṃ parikappitadivase puṇṇe kukkuccavinodanatthaṃ atireke ca divase vattaṃ pūretvā pariyosāne vatte asamādinne mānattāraho na hotīti saṅghaṃ upasaṅkamma vattaṃ samādiyitvā khandhake āgatanayeneva mānattaṃ yācitabbaṃ. Anikkhittavattena caritukāmassa puna vattasamādānaṃ kātabbaṃ na hotī’’ti ettako viseso, imaṃ aṭṭhakathāgataṃ vinicchayaṃ pakāseyyāti vuttaṃ hotīti.
ปฎิจฺฉนฺนปริวาสกถาวณฺณนาฯ
Paṭicchannaparivāsakathāvaṇṇanā.
๕๒๑. น ชานตีติ เอตฺถ ฉนฺทวเสน รโสฺส กโตฯ อาปตฺตีนญฺจ รตฺตีนํ, ปริเจฺฉทํ น ชานตีติ พหู สงฺฆาทิเสเส อาปชฺชิตฺวาปิ ‘‘เอตฺตกาหํ อาปตฺติโย อาปโนฺน’’ติ อตฺตโน อาปนฺนสงฺฆาทิเสสาปตฺตีนํ ปริเจฺฉทํ น ชานาติ, ‘‘มยา อาปนฺนาปตฺติ เอตฺตเก ทิวเส ปฎิจฺฉนฺนา’’ติ ทิวสปริเจฺฉทํ น ชานาติฯ
521.Na jānatīti ettha chandavasena rasso kato. Āpattīnañca rattīnaṃ, paricchedaṃ na jānatīti bahū saṅghādisese āpajjitvāpi ‘‘ettakāhaṃ āpattiyo āpanno’’ti attano āpannasaṅghādisesāpattīnaṃ paricchedaṃ na jānāti, ‘‘mayā āpannāpatti ettake divase paṭicchannā’’ti divasaparicchedaṃ na jānāti.
๕๒๒. อิทานิ ตสฺส ปเภทํ ทเสฺสตุมาห ‘‘เอเสวา’’ติอาทิฯ ปริสุเทฺธหีติ สกลสํกิเลสปฺปหาเนน ปริสุทฺธสนฺตาเนหิ อุปาลิเตฺถราทิปุพฺพาจริเยหิฯ เอโสว สุทฺธโนฺตติ เอโส ยถาวุตฺตสรูโป สุทฺธนฺตปริวาโสฯ จูฬสุทฺธนฺตนาโม จาติ ‘‘โย อุปสมฺปทโต ปฎฺฐาย อนุโลมกฺกเมน วา’’ติอาทินา (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒) อฎฺฐกถายํ วุตฺตนเยน อุปสมฺปทมาฬกโต ปฎฺฐาย อนุโลมวเสน วา อาโรจิตทิวสโต ปฎฺฐาย ปฎิโลมวเสน วา สรเนฺต ‘‘กิตฺตกานิ ทิวสานิ ปริสุโทฺธติ สรสี’’ติ วินยธเรหิ ปุจฺฉิเต ‘‘เอตฺตกํ กาลํ ปริสุโทฺธสฺมี’’ติ วุตฺตวโต เตน วุตฺตสุทฺธทินานิ ปริยนฺตํ กตฺวา ทิโนฺน ยาว อุปสมฺปนฺนทิวโส, ตาว พหุทิวเสสุ เนตพฺพํ มหาสุทฺธนฺตํ สนฺธาย อิตรทินานํ ปูเรตพฺพตฺตา จูฬสุทฺธโนฺต นามาติ วุตฺตํ โหติฯ
522. Idāni tassa pabhedaṃ dassetumāha ‘‘esevā’’tiādi. Parisuddhehīti sakalasaṃkilesappahānena parisuddhasantānehi upālittherādipubbācariyehi. Esova suddhantoti eso yathāvuttasarūpo suddhantaparivāso. Cūḷasuddhantanāmo cāti ‘‘yo upasampadato paṭṭhāya anulomakkamena vā’’tiādinā (cūḷava. aṭṭha. 102) aṭṭhakathāyaṃ vuttanayena upasampadamāḷakato paṭṭhāya anulomavasena vā ārocitadivasato paṭṭhāya paṭilomavasena vā sarante ‘‘kittakāni divasāni parisuddhoti sarasī’’ti vinayadharehi pucchite ‘‘ettakaṃ kālaṃ parisuddhosmī’’ti vuttavato tena vuttasuddhadināni pariyantaṃ katvā dinno yāva upasampannadivaso, tāva bahudivasesu netabbaṃ mahāsuddhantaṃ sandhāya itaradinānaṃ pūretabbattā cūḷasuddhanto nāmāti vuttaṃ hoti.
‘‘อยญฺหิ สุทฺธนฺตปริวาโส นาม อุทฺธมฺปิ อาโรหติ, เหฎฺฐาปิ โอโรหติ, อิทมสฺส ลกฺขณ’’นฺติ (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒) วุตฺตตฺตา อิมํ ปริวาสํ ปริวสนโต ปจฺฉา ทิวสํ สรโนฺต ปริกเปฺปตฺวา โยเชตฺวา คหิตทิวสโต วเฑฺฒติ วา หาเปติ วา, อุภยตฺถาปิ ‘‘ปุน ปริวาสทานกิจฺจํ นตฺถี’’ติ (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒) วจนโต ปุเพฺพ ทินฺนปริวาโสเยว ปมาณํ ฯ ‘‘เอตสฺส อปฺปฎิจฺฉนฺนํ ‘ปฎิจฺฉนฺนา’ติ วา อจิรปฎิจฺฉนฺนํ ‘จิรปฎิจฺฉนฺนา’ติ วา อสมฺพหุลมฺปิ ‘สมฺพหุลา’ติ วา วิปรีตโต คเหตฺวา วินยกมฺมํ กโรนฺตสฺส อาปตฺติโต วุฎฺฐานํ โหติ, ปฎิจฺฉนฺนํ ‘อปฺปฎิจฺฉนฺนา’ติอาทิวิปริยาเยน น โหตี’’ติ (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒ อตฺถโต สมานํ) อฎฺฐกถาคตนโย เวทิตโพฺพฯ
‘‘Ayañhi suddhantaparivāso nāma uddhampi ārohati, heṭṭhāpi orohati, idamassa lakkhaṇa’’nti (cūḷava. aṭṭha. 102) vuttattā imaṃ parivāsaṃ parivasanato pacchā divasaṃ saranto parikappetvā yojetvā gahitadivasato vaḍḍheti vā hāpeti vā, ubhayatthāpi ‘‘puna parivāsadānakiccaṃ natthī’’ti (cūḷava. aṭṭha. 102) vacanato pubbe dinnaparivāsoyeva pamāṇaṃ . ‘‘Etassa appaṭicchannaṃ ‘paṭicchannā’ti vā acirapaṭicchannaṃ ‘cirapaṭicchannā’ti vā asambahulampi ‘sambahulā’ti vā viparītato gahetvā vinayakammaṃ karontassa āpattito vuṭṭhānaṃ hoti, paṭicchannaṃ ‘appaṭicchannā’tiādivipariyāyena na hotī’’ti (cūḷava. aṭṭha. 102 atthato samānaṃ) aṭṭhakathāgatanayo veditabbo.
มหาสุทฺธนฺตนามโกติ ‘‘โย ปน ยถาวุเตฺตน อนุโลมปฎิโลมนเยน ปุจฺฉิยมาโนปิ รตฺติปริยนฺตํ น ชานาติ, เนว สรติ, เวมติโก วา โหติ, ตสฺส ทิโนฺน สุทฺธนฺตปริวาโส มหาสุทฺธโนฺตติ วุจฺจตี’’ติ (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒) อฎฺฐกถายํ นิทฺทิฎฺฐสรูโป มหาสุทฺธโนฺต นามฯ ‘‘อยํ อุทฺธํ นาโรหติ, เหฎฺฐา ปน โอโรหตี’’ติ วุตฺตตฺตา อยํ ปริวาโส ยาว อุปสมฺปนฺนทิวโส, ตาว ปูเรตพฺพโต ตโต อุทฺธํ นาโรหติฯ อนฺตราเฬ อตฺตโน สุทฺธกาลํ ปริกเปฺปตฺวา สรติ เจ, ตโต ปฎฺฐาย นิวตฺตนโต ทิวสหานํ ปน โหเตวฯ
Mahāsuddhantanāmakoti ‘‘yo pana yathāvuttena anulomapaṭilomanayena pucchiyamānopi rattipariyantaṃ na jānāti, neva sarati, vematiko vā hoti, tassa dinno suddhantaparivāso mahāsuddhantoti vuccatī’’ti (cūḷava. aṭṭha. 102) aṭṭhakathāyaṃ niddiṭṭhasarūpo mahāsuddhanto nāma. ‘‘Ayaṃ uddhaṃ nārohati, heṭṭhā pana orohatī’’ti vuttattā ayaṃ parivāso yāva upasampannadivaso, tāva pūretabbato tato uddhaṃ nārohati. Antarāḷe attano suddhakālaṃ parikappetvā sarati ce, tato paṭṭhāya nivattanato divasahānaṃ pana hoteva.
๕๒๓. ‘‘อญฺญตโร ภิกฺขุ สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปโนฺน โหติ, โส อาปตฺติปริยนฺตํ น ชานาติ, รตฺติปริยนฺตํ น ชานาตี’’ติ (จูฬว. ๑๕๖) อาคตวตฺถุมฺหิ อิมสฺส ปริวาสสฺส อนุญฺญาตตฺตา ตํ วตฺถุํ สงฺคเหตุํ ‘‘อาปตฺตีนํ จา’’ติอาทิํ วตฺวาปิ ‘‘อาปตฺติปริยนฺตํ ปน ‘เอตฺตกา อหํ อาปตฺติโย อาปโนฺน’ติ ชานาตุ วา มา วา, อการณเมต’’นฺติ (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒) ปฎิเสเธตฺวา อฎฺฐกถายํ ปธานภาเวน วุตฺตรตฺติปริยนฺตสฺส อปริชานนมตฺตเมว ปมาณนฺติ ทเสฺสตุมาห ‘‘ทุวิโธปี’’ติอาทิฯ ทุวิโธปิ อยํ สุทฺธนฺตปริวาโส เอกจฺจํ รตฺติปริเจฺฉทํ, สกลํ วา รตฺติปริเจฺฉทํ อชานโต วา วิมติสฺส วา ทาตโพฺพติ โยชนาฯ
523. ‘‘Aññataro bhikkhu sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpanno hoti, so āpattipariyantaṃ na jānāti, rattipariyantaṃ na jānātī’’ti (cūḷava. 156) āgatavatthumhi imassa parivāsassa anuññātattā taṃ vatthuṃ saṅgahetuṃ ‘‘āpattīnaṃ cā’’tiādiṃ vatvāpi ‘‘āpattipariyantaṃ pana ‘ettakā ahaṃ āpattiyo āpanno’ti jānātu vā mā vā, akāraṇameta’’nti (cūḷava. aṭṭha. 102) paṭisedhetvā aṭṭhakathāyaṃ padhānabhāvena vuttarattipariyantassa aparijānanamattameva pamāṇanti dassetumāha ‘‘duvidhopī’’tiādi. Duvidhopi ayaṃ suddhantaparivāso ekaccaṃ rattiparicchedaṃ, sakalaṃ vā rattiparicchedaṃ ajānato vā vimatissa vā dātabboti yojanā.
สุทฺธนฺตปริวาสกถาวณฺณนาฯ
Suddhantaparivāsakathāvaṇṇanā.
๕๒๔. อิตโรปิ โส สโมธานปริวาโส ติธา มโตติ โยชนาฯ ธาตุสทฺทานํ อเนกตฺถตฺตา ‘‘โอธาน’’นฺติ มกฺขนํ วุจฺจติฯ เตนาห อฎฺฐกถายํ ‘‘โอธุนิตฺวา มเกฺขตฺวา’’ติ (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒)ฯ ‘‘สโมธาน’’นฺติ ปเกฺขโป วุจฺจติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘สโมทหิตฺวา’’ติฯ โอธานญฺจ สโมธานญฺจ โอธานสโมธานํ, ตํ ยตฺถ โส ปริวาโส ‘‘โอธานสโมธาโน’’ติ เวทิตโพฺพฯ อริสาทิคเณ อโนฺตคธตฺตา เหตฺถ, อุปริ จ เอวรูเป ฐาเน อ-การปจฺจโย ทฎฺฐโพฺพ ฯ ปริวุตฺถทิวสานํ มกฺขนญฺจ มูลาปตฺติยํ อนฺตราปตฺตีนํ ปกฺขิปนญฺจ ยสฺมิํ โส ปริวาโสติ วุตฺตํ โหติฯ เตเนเวตฺถ ‘‘ทิวเส ปริวุเตฺถ ตุ, โอธุนิตฺวา ปทียเต’’ติ วกฺขติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ปริวุตฺถทิวเส โอธุนิตฺวา มเกฺขตฺวา ปุริมาย อาปตฺติยา มูลทิวสปริเจฺฉเท ปจฺฉา อาปนฺนํ อาปตฺติํ สโมทหิตฺวา’’ติ (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒)ฯ
524. Itaropi so samodhānaparivāso tidhā matoti yojanā. Dhātusaddānaṃ anekatthattā ‘‘odhāna’’nti makkhanaṃ vuccati. Tenāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘odhunitvā makkhetvā’’ti (cūḷava. aṭṭha. 102). ‘‘Samodhāna’’nti pakkhepo vuccati. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘samodahitvā’’ti. Odhānañca samodhānañca odhānasamodhānaṃ, taṃ yattha so parivāso ‘‘odhānasamodhāno’’ti veditabbo. Arisādigaṇe antogadhattā hettha, upari ca evarūpe ṭhāne a-kārapaccayo daṭṭhabbo . Parivutthadivasānaṃ makkhanañca mūlāpattiyaṃ antarāpattīnaṃ pakkhipanañca yasmiṃ so parivāsoti vuttaṃ hoti. Tenevettha ‘‘divase parivutthe tu, odhunitvā padīyate’’ti vakkhati. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘parivutthadivase odhunitvā makkhetvā purimāya āpattiyā mūladivasaparicchede pacchā āpannaṃ āpattiṃ samodahitvā’’ti (cūḷava. aṭṭha. 102).
อคฺฆปุพฺพโก มิสฺสกปุพฺพโก สโมธานปริวาโสติ โยชนา, อคฺฆสโมธานปริวาโส มิสฺสกสโมธานปริวาโสติ วุตฺตํ โหติฯ อโคฺฆ จ มิสฺสโก จ อคฺฆมิสฺสกา, เต ปุพฺพกา เอตสฺสาติ อคฺฆมิสฺสกปุพฺพโก, สโมธาโนฯ อเคฺฆน สโมธานํ อคฺฆสโมธานํ, ตํ ยตฺถ โส อคฺฆสโมธาโน, อาปนฺนาสุ พหูสุ สพฺพจิรปฎิจฺฉนฺนาปตฺตีนํ ทิวสคณนเคฺฆเนว ปจฺฉา อาปนฺนอาปตฺตีนํ ปเกฺขปยุตฺตปริวาโสติ อโตฺถฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘อคฺฆสโมธาโน นาม สมฺพหุลาสุ อาปตฺตีสุ ยา เอกา วา เทฺว วา ติโสฺส วา สมฺพหุลา วา อาปตฺติโย สพฺพจิรปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธาย ตาสํ รตฺติปริเจฺฉทวเสน อวเสสานํ อูนตรปฎิจฺฉนฺนานํ อาปตฺตีนํ ปริวาโส ทิยฺยติ, อยํ วุจฺจติ อคฺฆสโมธาโน’’ติ (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒)ฯ มิสฺสกานํ นานาวตฺถุกานํ อาปตฺตีนํ สโมธานํ มิสฺสกสโมธานํ, ตํ ยตฺถ โส ปริวาโส มิสฺสกสโมธาโนฯ มิสฺสกานํ นานาวตฺถุกานํ อาปตฺตีนํ เอกโต ปเกฺขปยุโตฺต ปริวาโสติ อโตฺถฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘มิสฺสกสโมธาโน นาม โย นานาวตฺถุกา อาปตฺติโย เอกโต กตฺวา ทิยฺยตี’’ติ (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒)ฯ
Agghapubbako missakapubbako samodhānaparivāsoti yojanā, agghasamodhānaparivāso missakasamodhānaparivāsoti vuttaṃ hoti. Aggho ca missako ca agghamissakā, te pubbakā etassāti agghamissakapubbako, samodhāno. Agghena samodhānaṃ agghasamodhānaṃ, taṃ yattha so agghasamodhāno, āpannāsu bahūsu sabbacirapaṭicchannāpattīnaṃ divasagaṇanaggheneva pacchā āpannaāpattīnaṃ pakkhepayuttaparivāsoti attho. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘agghasamodhāno nāma sambahulāsu āpattīsu yā ekā vā dve vā tisso vā sambahulā vā āpattiyo sabbacirapaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhāya tāsaṃ rattiparicchedavasena avasesānaṃ ūnatarapaṭicchannānaṃ āpattīnaṃ parivāso diyyati, ayaṃ vuccati agghasamodhāno’’ti (cūḷava. aṭṭha. 102). Missakānaṃ nānāvatthukānaṃ āpattīnaṃ samodhānaṃ missakasamodhānaṃ, taṃ yattha so parivāso missakasamodhāno. Missakānaṃ nānāvatthukānaṃ āpattīnaṃ ekato pakkhepayutto parivāsoti attho. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘missakasamodhāno nāma yo nānāvatthukā āpattiyo ekato katvā diyyatī’’ti (cūḷava. aṭṭha. 102).
๕๒๕-๗. เอวํ ติวิเธ สโมธานปริวาเส ปฐมปริวาสสฺส วิเสสนภูตตาย อวยวานํ ทฺวินฺนํ โอธานสโมธานสทฺทานํ อตฺถานุวาเทน ตทุภยโอธานสโมธานสรูปํ วิธาตุมาห ‘‘อาปชฺชิตฺวา…เป.… ปกาสิโต’’ติฯ ตตฺถ ปฐมสฺส โอธาน-สทฺทสงฺขาตสฺส อวยวสฺส อตฺถสรูปานุวาทมาห ‘‘อาปชฺชิตฺวา…เป.… ปทียเต’’ติฯ ทุติยาวยวสงฺขาตสโมธาน-สทฺทสฺส อตฺถสรูปานุวาทมาห ‘‘ปุริมาปตฺติยา…เป.… ภิกฺขุโน’’ติฯ เตเนว อุภยตฺถานุวาเท ‘‘ภิกฺขุโน’’ติ ปททฺวยสฺส, ‘‘ปทียเต ทาตโพฺพ’’ติ กิริยาปททฺวยสฺส จ วิสุํ วิสุํ คหิตตฺตา ปุนรุตฺติโทสาภาโว เวทิตโพฺพฯ เอวํ อวยวตฺถานุวาเทน วิธาตพฺพสมุทายํ ทเสฺสตุมาห ‘‘เอโสธานสโมธานปริวาโส ปกาสิโต’’ติฯ เอตฺถ ฉาเทนฺตสฺส หีติ หิ-สโทฺท เหตุมฺหิฯ เอโสธานสโมธาโนติ เอตฺถ เอต-สทฺทสมฺพเนฺธน ‘‘โย’’ติ ลพฺภติฯ
525-7. Evaṃ tividhe samodhānaparivāse paṭhamaparivāsassa visesanabhūtatāya avayavānaṃ dvinnaṃ odhānasamodhānasaddānaṃ atthānuvādena tadubhayaodhānasamodhānasarūpaṃ vidhātumāha ‘‘āpajjitvā…pe… pakāsito’’ti. Tattha paṭhamassa odhāna-saddasaṅkhātassa avayavassa atthasarūpānuvādamāha ‘‘āpajjitvā…pe… padīyate’’ti. Dutiyāvayavasaṅkhātasamodhāna-saddassa atthasarūpānuvādamāha ‘‘purimāpattiyā…pe… bhikkhuno’’ti. Teneva ubhayatthānuvāde ‘‘bhikkhuno’’ti padadvayassa, ‘‘padīyate dātabbo’’ti kiriyāpadadvayassa ca visuṃ visuṃ gahitattā punaruttidosābhāvo veditabbo. Evaṃ avayavatthānuvādena vidhātabbasamudāyaṃ dassetumāha ‘‘esodhānasamodhānaparivāso pakāsito’’ti. Ettha chādentassa hīti hi-saddo hetumhi. Esodhānasamodhānoti ettha eta-saddasambandhena ‘‘yo’’ti labbhati.
ตตฺรายํ โยชนา – อาปชฺชิตฺวา…เป.… โอธุนิตฺวา โย ยสฺมา ปทียเต, ปุริมาปตฺติยา…เป.… โย ยสฺมา ทาตโพฺพ, ตสฺมา เอโสธานสโมธานปริวาโส ปกาสิโตติฯ
Tatrāyaṃ yojanā – āpajjitvā…pe… odhunitvā yo yasmā padīyate, purimāpattiyā…pe… yo yasmā dātabbo, tasmā esodhānasamodhānaparivāso pakāsitoti.
ตตฺถ อนฺตราปตฺติํ อาปชฺชิตฺวาติ ปฎิจฺฉนฺนาปตฺติยา ปริวสโนฺต วา มานตฺตารโห วา มานตฺตํ จรโนฺต วา อพฺภานารโห วา หุตฺวา กทาจิ อญฺญํ สงฺฆาทิเสสาปตฺติํ อาปชฺชิตฺวาฯ ฉาเทนฺตสฺสาติ ปฐมํ อาปนฺนาปตฺติยาปฎิจฺฉาทิตกาเลน สมํ วา อูนํ วา กาลํ ปฎิจฺฉาเทนฺตสฺสฯ ‘‘มูลายปฎิกสฺสเนน เต ปริวุตฺถทิวเส จ มานตฺตจิณฺณทิวเส จ สเพฺพ โอธุนิตฺวา’’ติ (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒) อฎฺฐกถาวจนโต เอตฺถ ‘‘ปริวุเตฺถ’’ติ อุปลกฺขณตฺตา ‘‘มานตฺตจิเณฺณ จา’’ติ คเหตพฺพํฯ โอธุนิตฺวาติ จ มูลายปฎิกสฺสนวเสน มเกฺขตฺวา, อทิวเส กตฺวาติ อธิปฺปาโยฯ
Tattha antarāpattiṃ āpajjitvāti paṭicchannāpattiyā parivasanto vā mānattāraho vā mānattaṃ caranto vā abbhānāraho vā hutvā kadāci aññaṃ saṅghādisesāpattiṃ āpajjitvā. Chādentassāti paṭhamaṃ āpannāpattiyāpaṭicchāditakālena samaṃ vā ūnaṃ vā kālaṃ paṭicchādentassa. ‘‘Mūlāyapaṭikassanena te parivutthadivase ca mānattaciṇṇadivase ca sabbe odhunitvā’’ti (cūḷava. aṭṭha. 102) aṭṭhakathāvacanato ettha ‘‘parivutthe’’ti upalakkhaṇattā ‘‘mānattaciṇṇe cā’’ti gahetabbaṃ. Odhunitvāti ca mūlāyapaṭikassanavasena makkhetvā, adivase katvāti adhippāyo.
โย ยสฺมา ปทียเต, โส ปริวาโส สฎฺฐิวสฺสานิ ปริวสิตฺวา มานตฺตารโห หุตฺวาปิ อนฺตราปตฺติํ อาปชฺชิตฺวา เอกาหมฺปิ ปฎิจฺฉาทิเต มูลายปฎิกสฺสเนน เต ทิวเส สเพฺพ มเกฺขตฺวา ตาเนว สฎฺฐิวสฺสานิ ปุนปิ ยสฺมา ปทียเตติ อโตฺถฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘สฎฺฐิวสฺสานิ ปริวสิตฺวา มานตฺตารโห หุตฺวาปิ หิ เอกทิวสํ อนฺตราปตฺติํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา ปุนปิ สฎฺฐิวสฺสานิ ปริวาสารโห โหตี’’ติ (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒)ฯ
Yo yasmā padīyate, so parivāso saṭṭhivassāni parivasitvā mānattāraho hutvāpi antarāpattiṃ āpajjitvā ekāhampi paṭicchādite mūlāyapaṭikassanena te divase sabbe makkhetvā tāneva saṭṭhivassāni punapi yasmā padīyateti attho. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘saṭṭhivassāni parivasitvā mānattāraho hutvāpi hi ekadivasaṃ antarāpattiṃ paṭicchādetvā punapi saṭṭhivassāni parivāsāraho hotī’’ti (cūḷava. aṭṭha. 102).
ปุริมาปตฺติยาติ เตน อาปนฺนาสุ สมฺพหุลาสุ อาปตฺตีสุ สพฺพาปตฺตีนํ ปุเรตรเมว ปฎิจฺฉนฺนาย อาปตฺติยาฯ มูลทิวเสติ ปฐมํ วีติกฺกมทิวเสฯ วินิจฺฉิเตติ ‘‘อสุกสํวจฺฉเร อสุกมาเส อสุกทิวเส’’ติ นิยมิเตฯ สโมธาย ปกฺขิปิตฺวา ทาตโพฺพติ สมฺพโนฺธฯ วิธานโต ยาจมานสฺสาติ วิธานโต สเงฺฆน ทาตโพฺพติ โยเชตพฺพํ, สมุจฺจยกฺขนฺธเก วุเตฺตน วิธินา ยาจมานสฺส ตเตฺถว วุตฺตวิธินา สเงฺฆน ทาตโพฺพติ อโตฺถฯ ‘‘เอโส โอธานสโมธานปริวาโส’’ติ ปทเจฺฉโทฯ
Purimāpattiyāti tena āpannāsu sambahulāsu āpattīsu sabbāpattīnaṃ puretarameva paṭicchannāya āpattiyā. Mūladivaseti paṭhamaṃ vītikkamadivase. Vinicchiteti ‘‘asukasaṃvacchare asukamāse asukadivase’’ti niyamite. Samodhāya pakkhipitvā dātabboti sambandho. Vidhānato yācamānassāti vidhānato saṅghena dātabboti yojetabbaṃ, samuccayakkhandhake vuttena vidhinā yācamānassa tattheva vuttavidhinā saṅghena dātabboti attho. ‘‘Eso odhānasamodhānaparivāso’’ti padacchedo.
๕๒๘-๙. ตถา วุจฺจตีติ สมฺพโนฺธฯ ตาสํ อคฺฆวเสน หีติ หิ-สโทฺท เหตุมฺหิฯ ‘‘โสติ ตํสทฺทสมฺพเนฺธน ‘‘โย’’ติ ลพฺภติฯ ตตฺรายํ โยชนา – สมฺพหุลา…เป.… ตาสํ อคฺฆวเสน ตโต อูนปฎิจฺฉนฺนานํ อาปตฺตีนํ สโมธาย โย ยสฺมา ปทาตโพฺพ ปริวาโส, ตสฺมา โส ยถา อวยวตฺถวเสน ‘‘โอธานสโมธาโน’’ติ ปริวาโส วุโตฺต, ตถา ‘‘อคฺฆสโมธาโน’’ติ วุจฺจตีติฯ
528-9. Tathā vuccatīti sambandho. Tāsaṃ agghavasena hīti hi-saddo hetumhi. ‘‘Soti taṃsaddasambandhena ‘‘yo’’ti labbhati. Tatrāyaṃ yojanā – sambahulā…pe… tāsaṃ agghavasena tato ūnapaṭicchannānaṃ āpattīnaṃ samodhāya yo yasmā padātabbo parivāso, tasmā so yathā avayavatthavasena ‘‘odhānasamodhāno’’ti parivāso vutto, tathā ‘‘agghasamodhāno’’ti vuccatīti.
ตตฺถ สมฺพหุลาสูติ ยาสํ อาปตฺตีนํ ปริวสิตุกาโม, ตาสุ สมฺพหุลาสุ อาปตฺตีสุ, นิทฺธารเณ ภุมฺมํฯ ‘‘เอกา วา’’ติอาทิ นิทฺธาริยนิเทฺทโสฯ ตาสํ อาปตฺตีนํฯ อคฺฆวเสนาติ คณนวเสน, รตฺติปริเจฺฉทวเสนาติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห อฎฺฐกถายํ ‘‘ตาสํ รตฺติปริเจฺฉทวเสนา’’ติ (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒)ฯ ‘‘ปทาตโพฺพ’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ ตโตติ จิรปฎิจฺฉนฺนาปตฺติโตฯ อูนปฎิจฺฉนฺนานํ อาปตฺตีนนฺติ เอตฺถ อุปโยคเตฺถ สามิวจนํ, อูนปฎิจฺฉนฺนาโย อาปตฺติโย สโมธายาติ วุตฺตํ โหติฯ
Tattha sambahulāsūti yāsaṃ āpattīnaṃ parivasitukāmo, tāsu sambahulāsu āpattīsu, niddhāraṇe bhummaṃ. ‘‘Ekā vā’’tiādi niddhāriyaniddeso. Tāsaṃ āpattīnaṃ. Agghavasenāti gaṇanavasena, rattiparicchedavasenāti vuttaṃ hoti. Yathāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘tāsaṃ rattiparicchedavasenā’’ti (cūḷava. aṭṭha. 102). ‘‘Padātabbo’’ti iminā sambandho. Tatoti cirapaṭicchannāpattito. Ūnapaṭicchannānaṃ āpattīnanti ettha upayogatthe sāmivacanaṃ, ūnapaṭicchannāyo āpattiyo samodhāyāti vuttaṃ hoti.
๕๓๐. นานา สุกฺกวิสฺสฎฺฐิอาทีนิ วตฺถูนิ ยาสํ ตา นานาวตฺถุกา, นานาวตฺถุกา สญฺญา ยาสํ อาปตฺตีนํ ตา นานาวตฺถุกสญฺญาโยฯ สพฺพาติ เอตฺถ ‘‘ยา’’ติ เสโส, สุกฺกวิสฺสฎฺฐิอาทิกุลทูสนาวสานา ยา สพฺพา เตรส สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโยติ อโตฺถฯ ตา สพฺพาติ เอตฺถ ปิ-สโทฺท วตฺตโพฺพฯ ทาตโพฺพติ เอตฺถ ‘‘ปริวาโส’’ติ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ ตา สพฺพาปิ เอกโต กตฺวา ทาตโพฺพ ปริวาโสติ โยชนาฯ ตสฺส เตรส สงฺฆาทิเสสาปตฺติโยปิ เอกโต กตฺวาติ อโตฺถฯ ‘‘อหํ ภเนฺต สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เอกํ สุกฺกวิสฺสฎฺฐิํ…เป.… เอกํ กุลทูสกํ, โสหํ ภเนฺต สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ สโมธานปริวาสํ ยาจามี’’ติ ติกฺขตฺตุํ ยาจนาย จ ตทนุรูปาย ญตฺติยา จ กมฺมวาจาสุ จ นามํ วตฺวา ทาตพฺพปริวาโส มิสฺสโก มโต ‘‘มิสฺสกสโมธานปริวาโส’’ติ ญาโตฯ เทฺว, ติโสฺส, จตโสฺส, อติเรกา จ อาปนฺนสฺสาปิ ปริวาสํ เทเนฺตน อิมินา นิยาเมน วตฺถุํ, นามํ วิเสเสตฺวา คเหตพฺพํฯ
530. Nānā sukkavissaṭṭhiādīni vatthūni yāsaṃ tā nānāvatthukā, nānāvatthukā saññā yāsaṃ āpattīnaṃ tā nānāvatthukasaññāyo. Sabbāti ettha ‘‘yā’’ti seso, sukkavissaṭṭhiādikuladūsanāvasānā yā sabbā terasa saṅghādisesā āpattiyoti attho. Tā sabbāti ettha pi-saddo vattabbo. Dātabboti ettha ‘‘parivāso’’ti ānetvā sambandhitabbaṃ. Tā sabbāpi ekato katvā dātabbo parivāsoti yojanā. Tassa terasa saṅghādisesāpattiyopi ekato katvāti attho. ‘‘Ahaṃ bhante sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ ekaṃ sukkavissaṭṭhiṃ…pe… ekaṃ kuladūsakaṃ, sohaṃ bhante saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ samodhānaparivāsaṃ yācāmī’’ti tikkhattuṃ yācanāya ca tadanurūpāya ñattiyā ca kammavācāsu ca nāmaṃ vatvā dātabbaparivāso missako mato ‘‘missakasamodhānaparivāso’’ti ñāto. Dve, tisso, catasso, atirekā ca āpannassāpi parivāsaṃ dentena iminā niyāmena vatthuṃ, nāmaṃ visesetvā gahetabbaṃ.
สโมธานปริวาสกถาวณฺณนาฯ
Samodhānaparivāsakathāvaṇṇanā.
๕๓๑. ปริวุตฺถปริวาสสฺสาติ ติวิเธ ปริวาเส อญฺญตรสฺส วเสน ปริวุตฺถปริวาสสฺสฯ อุตฺตริ ฉ รตฺติโยติ ปริวาสโต อุตฺตริ ฉ รตฺติโย, ฉ ทิวเสติ วุตฺตํ โหติ, ‘‘จริตุ’’นฺติ เสโส, จรณกิริยาย อจฺจนฺตสํโยเค อุปโยควจนํฯ มานตฺตํ เทยฺยนฺติ โยชนา, ‘‘สเงฺฆนา’’ติ สามตฺถิยา ลพฺภติฯ สมุจฺจยกฺขนฺธเก วุตฺตนเยน โยเชตฺวา ฉารตฺตญฺจ ทาตโพฺพ, ภิกฺขุมานนวิธิ ภิกฺขุสฺส ทาตโพฺพติ อโตฺถฯ
531.Parivutthaparivāsassāti tividhe parivāse aññatarassa vasena parivutthaparivāsassa. Uttari cha rattiyoti parivāsato uttari cha rattiyo, cha divaseti vuttaṃ hoti, ‘‘caritu’’nti seso, caraṇakiriyāya accantasaṃyoge upayogavacanaṃ. Mānattaṃ deyyanti yojanā, ‘‘saṅghenā’’ti sāmatthiyā labbhati. Samuccayakkhandhake vuttanayena yojetvā chārattañca dātabbo, bhikkhumānanavidhi bhikkhussa dātabboti attho.
‘‘ปริวุตฺถปริวาสสฺสา’’ติ อิมินา ปฎิจฺฉนฺนมานตฺตํ ปกตํ, ตตฺถ ปเภเท อสติ กสฺมา ‘‘ปฎิจฺฉนฺนาปฎิจฺฉนฺนวสา ทุเว’’ติ วุตฺตนฺติ? ปกตเภทมนเปกฺขิตฺวา ฉารตฺตมานเตฺต ลพฺภมานวิสยเภทํ ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ เอวญฺหิ สติ สโมธานมานเตฺต จ ‘‘ฉารตฺตํ มานตฺตํ เทตู’’ติ (จูฬว. ๑๒๘) ปาฬิยํ วุตฺตตฺตา ตมฺปิ คเหตฺวา ‘‘ติธา’’ติ กสฺมา น วุตฺตนฺติ? ตมฺปิ ปฎิจฺฉนฺนาปตฺติยา ปริวุตฺถปริวาสเสฺสว ทาตพฺพมานตฺตนฺติ ปฎิจฺฉนฺนมานตฺตวจเนเนว สงฺคหิตตฺตา วิสุํ น วุตฺตํฯ เตเนว จตุพฺพิเธ มานเตฺต อิเมหิ ทฺวีหิ วินา ทเสฺสตเพฺพสุ ทฺวีสุ มานเตฺตสุ ปกฺขมานตฺตมตฺตํ ‘‘ฉาเทนฺติยา’’ติอาทิคาถาย ทเสฺสตฺวา สโมธานมานตฺตํ วิสุํ น ทสฺสิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ
‘‘Parivutthaparivāsassā’’ti iminā paṭicchannamānattaṃ pakataṃ, tattha pabhede asati kasmā ‘‘paṭicchannāpaṭicchannavasā duve’’ti vuttanti? Pakatabhedamanapekkhitvā chārattamānatte labbhamānavisayabhedaṃ dassetuṃ vuttaṃ. Evañhi sati samodhānamānatte ca ‘‘chārattaṃ mānattaṃ detū’’ti (cūḷava. 128) pāḷiyaṃ vuttattā tampi gahetvā ‘‘tidhā’’ti kasmā na vuttanti? Tampi paṭicchannāpattiyā parivutthaparivāsasseva dātabbamānattanti paṭicchannamānattavacaneneva saṅgahitattā visuṃ na vuttaṃ. Teneva catubbidhe mānatte imehi dvīhi vinā dassetabbesu dvīsu mānattesu pakkhamānattamattaṃ ‘‘chādentiyā’’tiādigāthāya dassetvā samodhānamānattaṃ visuṃ na dassitanti daṭṭhabbaṃ.
๕๓๔-๖. วินิทฺทิฎฺฐปฺปการนฺติ ‘‘ปริกฺขิตฺตวิหารสฺสา’’ติอาทินา ยถาวุตฺตคาถาทฺวเยน นิทฺทิฎฺฐปฺปการํฯ อาทิยิตฺวาน ตํ เตสนฺติ เอตฺถ ‘‘สนฺติเก’’ติ วกฺขมานโต ลพฺภติฯ เตสํ จตุนฺนํ สมฺมุขา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา ตํ วตฺตํ สมาทิยิตฺวาติ อโตฺถฯ ‘‘ตํ เตสํ สนฺติเก’’ติ อิทํ ‘‘อาโรเจตฺวา’’ติ อิมินาปิ ยุชฺชติฯ เตสเมว สมฺมุขา นิสิเนฺนน ‘‘อหํ ภเนฺต เอกํ อาปตฺติํ อาปชฺชิํ สเญฺจตนิกํ สุกฺกวิสฺสฎฺฐิ’’นฺติอาทินา นเยน สมุจฺจยกฺขนฺธกาคตํ อาโรจนํ กตฺวาฯ อิมินา อโนฺตอรุเณ ทิฎฺฐานํ อเญฺญสมฺปิ อาโรจนํ อุปลกฺขิตํฯ
534-6.Viniddiṭṭhappakāranti ‘‘parikkhittavihārassā’’tiādinā yathāvuttagāthādvayena niddiṭṭhappakāraṃ. Ādiyitvāna taṃtesanti ettha ‘‘santike’’ti vakkhamānato labbhati. Tesaṃ catunnaṃ sammukhā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā taṃ vattaṃ samādiyitvāti attho. ‘‘Taṃ tesaṃ santike’’ti idaṃ ‘‘ārocetvā’’ti imināpi yujjati. Tesameva sammukhā nisinnena ‘‘ahaṃ bhante ekaṃ āpattiṃ āpajjiṃ sañcetanikaṃ sukkavissaṭṭhi’’ntiādinā nayena samuccayakkhandhakāgataṃ ārocanaṃ katvā. Iminā antoaruṇe diṭṭhānaṃ aññesampi ārocanaṃ upalakkhitaṃ.
นิกฺขิเป สนฺติเก เตสํ วตฺตนฺติ เอตฺถ ‘‘อรุเณ อุฎฺฐิเต’’ติ อชฺฌาหริตพฺพํฯ อรุเณ อุคฺคเต เตสํ ภิกฺขูนํ สมฺมุขา ยถาวุตฺตนเยเนว นิสีทิตฺวา ‘‘วตฺตํ นิกฺขิปามิ, มานตฺตํ นิกฺขิปามี’’ติ อิเมสุ ทฺวีสุ เอกํ วา ทฺวยเมว วา วตฺวา วตฺตํ นิกฺขิเปฯ
Nikkhipe santike tesaṃ vattanti ettha ‘‘aruṇe uṭṭhite’’ti ajjhāharitabbaṃ. Aruṇe uggate tesaṃ bhikkhūnaṃ sammukhā yathāvuttanayeneva nisīditvā ‘‘vattaṃ nikkhipāmi, mānattaṃ nikkhipāmī’’ti imesu dvīsu ekaṃ vā dvayameva vā vatvā vattaṃ nikkhipe.
๕๓๗. ตสฺส มานตฺตสฺสฯ รตฺติเจฺฉทาทิโกติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน วตฺตเภโท คหิโตฯ อฎฺฐกถาวเสน ปาฬิวเสนาติ โยชนาฯ
537.Tassa mānattassa. Ratticchedādikoti ettha ādi-saddena vattabhedo gahito. Aṭṭhakathāvasena pāḷivasenāti yojanā.
๕๓๘. วีสติยา ภิกฺขูนํ วโคฺค สมูโห วีสติวโคฺค, โส เอว วีสติวคฺคิโกฯ อเพฺภยฺยาติ โอสาเรยฺย, อพฺภนฺตรํ กเรยฺยาติ อโตฺถฯ วิธินาติ สมุจฺจยกฺขนฺธกาคตกฺกเมนฯ อพฺภิโตติ สํวาเสน อโนฺต กโต, ปกตโตฺตติ ปกติสภาโว, อาปตฺติํ อนาปนฺนกาลสทิโส โหตีติ อโตฺถฯ
538. Vīsatiyā bhikkhūnaṃ vaggo samūho vīsativaggo, so eva vīsativaggiko. Abbheyyāti osāreyya, abbhantaraṃ kareyyāti attho. Vidhināti samuccayakkhandhakāgatakkamena. Abbhitoti saṃvāsena anto kato, pakatattoti pakatisabhāvo, āpattiṃ anāpannakālasadiso hotīti attho.
๕๓๙. อาปตฺติํ ฉาเทนฺติยา ภิกฺขุนิยาติ โยชนา, ‘‘อาปชฺชิตฺวา’’ติ เสโส, อาปตฺติํ อาปชฺชิตฺวา ‘‘อาปตฺติ จา’’ติอาทินา (วิ. วิ. ๕๐๕) นเยน ปุเพฺพ ทสฺสิเตหิ ทสหิ อเงฺคหิ ปฎิจฺฉาเทนฺติยา ภิกฺขุนิยา อตฺตโน อาปตฺติํ ฉาเทนฺติยา ภิกฺขุนิยาฯ น จ อาปตฺตีติ เอตฺถ ‘‘อตฺตโน’’ติ อิมินา อญฺญิสฺสา อาปตฺติํ ปฎิจฺฉาเทนฺติยา วชฺชปฎิจฺฉาทิกาสงฺขาตปาราชิกาปตฺตีติ ทีปิตํ โหติฯ ‘‘ภิกฺขุนิยา’’ติ อิมินา ภิกฺขุสฺส ทุกฺกฎาปตฺติภาวํ ทีเปติฯ
539. Āpattiṃ chādentiyā bhikkhuniyāti yojanā, ‘‘āpajjitvā’’ti seso, āpattiṃ āpajjitvā ‘‘āpatti cā’’tiādinā (vi. vi. 505) nayena pubbe dassitehi dasahi aṅgehi paṭicchādentiyā bhikkhuniyā attano āpattiṃ chādentiyā bhikkhuniyā. Na ca āpattīti ettha ‘‘attano’’ti iminā aññissā āpattiṃ paṭicchādentiyā vajjapaṭicchādikāsaṅkhātapārājikāpattīti dīpitaṃ hoti. ‘‘Bhikkhuniyā’’ti iminā bhikkhussa dukkaṭāpattibhāvaṃ dīpeti.
๕๔๑. วิรุทฺธมตฺถํ นยติ ปชหตีติ วินโย, วินิจฺฉโย, ตํ วินยปิฎกตฺถวินิจฺฉยวิเสสวิสยํ สโมฺมหสงฺขาตํ วิรุทฺธํ ปจฺจตฺถิกํ ตทงฺควเสน ปชหนโต วินยนยสงฺขาตํ ตโต เอว อติพุทฺธิทีปนํ, อติสเยน พุทฺธิํ ทีเปตีติ อติพุทฺธิทีปนํ, ตํ วินยตฺถวินิจฺฉยกํ ญาณปทีปํ วิเสเสน ชาเลนฺตํฯ วิวิเธหิ นเยหิ ยุตฺตตาย วิวิธนยยุตํฯ วินยนเยติ วินยปิฎกสฺส ปรสนฺตานปาปเน, วินยวณฺณนายนฺติ วุตฺตํ โหติฯ
541. Viruddhamatthaṃ nayati pajahatīti vinayo, vinicchayo, taṃ vinayapiṭakatthavinicchayavisesavisayaṃ sammohasaṅkhātaṃ viruddhaṃ paccatthikaṃ tadaṅgavasena pajahanato vinayanayasaṅkhātaṃ tato eva atibuddhidīpanaṃ, atisayena buddhiṃ dīpetīti atibuddhidīpanaṃ, taṃ vinayatthavinicchayakaṃ ñāṇapadīpaṃ visesena jālentaṃ. Vividhehi nayehi yuttatāya vividhanayayutaṃ. Vinayanayeti vinayapiṭakassa parasantānapāpane, vinayavaṇṇanāyanti vuttaṃ hoti.
อิติ วินยตฺถสารสนฺทีปนิยา
Iti vinayatthasārasandīpaniyā
วินยวินิจฺฉยวณฺณนาย
Vinayavinicchayavaṇṇanāya
สงฺฆาทิเสสกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Saṅghādisesakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.