Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
๓. ติกนิปาโต
3. Tikanipāto
๑. สงฺกปฺปวโคฺค
1. Saṅkappavaggo
[๒๕๑] ๑. สงฺกปฺปราคชาตกวณฺณนา
[251] 1. Saṅkapparāgajātakavaṇṇanā
สงฺกปฺปราคโธเตนาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ สาวตฺถินครวาสี กิเรโก กุลปุโตฺต สาสเน อุรํ ทตฺวา ปพฺพชิตฺวา เอกทิวสํ สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย จรโนฺต เอกํ อลงฺกตปฎิยตฺตํ อิตฺถิํ ทิสฺวา อุปฺปนฺนกามราโค อนภิรโต วิจริฯ ตเมนํ อาจริยุปชฺฌายาทโย ทิสฺวา อนภิรติการณํ ปุจฺฉิตฺวา วิพฺภมิตุกามภาวมสฺส ญตฺวา ‘‘อาวุโส, สตฺถา นาม กามราคาทิกิเลสปีฬิตานํ กิเลเส หาเรตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา โสตาปตฺติผลาทีนิ เทติ, เอหิ ตํ สตฺถุ สนฺติกํ เนสฺสามา’’ติ อาทาย อคมํสุฯ สตฺถารา จ ‘‘กิํ นุ โข, ภิกฺขเว, อนิจฺฉมานกเญฺญว ภิกฺขุํ คเหตฺวา อาคตตฺถา’’ติ วุเตฺต ตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ สตฺถา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ, ภิกฺขุ, อุกฺกณฺฐิโต’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘กิํการณา’’ติ ปุจฺฉิฯ โส ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘อิตฺถิโย นาเมตา, ภิกฺขุ, ปุเพฺพ ฌานพเลน วิกฺขมฺภิตกิเลสานํ วิสุทฺธสตฺตานมฺปิ สํกิเลสํ อุปฺปาเทสุํ, ตาทิสํ ตุจฺฉปุคฺคลํ กิํการณา น สํกิเลสิสฺสนฺติ, วิสุทฺธาปิ สตฺตา สํกิลิสฺสนฺติ, อุตฺตมยสสมงฺคิโนปิ อายสกฺยํ ปาปุณนฺติ, ปเคว อปริสุทฺธาฯ สิเนรุกมฺปนกวาโต ปุราณปณฺณกสฎํ กิํ น กเมฺปสฺสติ, โพธิตเล นิสีทิตฺวา อภิสมฺพุชฺฌนกสตฺตํ อยํ กิเลโส อาโลเฬสิ, ตาทิสํ กิํ น อาโลเฬสฺสตี’’ติ วตฺวา เตหิ ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Saṅkapparāgadhotenāti idaṃ satthā jetavane viharanto ukkaṇṭhitabhikkhuṃ ārabbha kathesi. Sāvatthinagaravāsī kireko kulaputto sāsane uraṃ datvā pabbajitvā ekadivasaṃ sāvatthiyaṃ piṇḍāya caranto ekaṃ alaṅkatapaṭiyattaṃ itthiṃ disvā uppannakāmarāgo anabhirato vicari. Tamenaṃ ācariyupajjhāyādayo disvā anabhiratikāraṇaṃ pucchitvā vibbhamitukāmabhāvamassa ñatvā ‘‘āvuso, satthā nāma kāmarāgādikilesapīḷitānaṃ kilese hāretvā saccāni pakāsetvā sotāpattiphalādīni deti, ehi taṃ satthu santikaṃ nessāmā’’ti ādāya agamaṃsu. Satthārā ca ‘‘kiṃ nu kho, bhikkhave, anicchamānakaññeva bhikkhuṃ gahetvā āgatatthā’’ti vutte tamatthaṃ ārocesuṃ. Satthā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ, bhikkhu, ukkaṇṭhito’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ, bhante’’ti vutte ‘‘kiṃkāraṇā’’ti pucchi. So tamatthaṃ ārocesi. Atha naṃ satthā ‘‘itthiyo nāmetā, bhikkhu, pubbe jhānabalena vikkhambhitakilesānaṃ visuddhasattānampi saṃkilesaṃ uppādesuṃ, tādisaṃ tucchapuggalaṃ kiṃkāraṇā na saṃkilesissanti, visuddhāpi sattā saṃkilissanti, uttamayasasamaṅginopi āyasakyaṃ pāpuṇanti, pageva aparisuddhā. Sinerukampanakavāto purāṇapaṇṇakasaṭaṃ kiṃ na kampessati, bodhitale nisīditvā abhisambujjhanakasattaṃ ayaṃ kileso āloḷesi, tādisaṃ kiṃ na āloḷessatī’’ti vatvā tehi yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต อสีติโกฎิวิภเว พฺราหฺมณมหาสาลกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคณฺหิตฺวา พาราณสิํ ปจฺจาคนฺตฺวา กตทารปริคฺคโห มาตาปิตูนํ อจฺจเยน เตสํ มตกิจฺจานิ กตฺวา หิรโญฺญโลกนกมฺมํ กโรโนฺต ‘‘อิทํ ธนํ ปญฺญายติ, เยหิ ปเนตํ สมฺภตํ, เต น ปญฺญายนฺตี’’ติ อาวเชฺชโนฺต สํเวคปฺปโตฺต อโหสิ, สรีรา เสทา มุจฺจิํสุฯ โส ฆราวาเส จิรํ วสโนฺต มหาทานํ ทตฺวา กาเม ปหาย อสฺสุมุขํ ญาติสงฺฆํ ปริจฺจชิตฺวา หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา รมณีเย ปเทเส ปณฺณสาลํ มาเปตฺวา อุญฺฉาจริยาย วนมูลผลาทีหิ ยาเปโนฺต นจิรเสฺสว อภิญฺญา จ สมาปตฺติโย จ อุปฺปาเทตฺวา ฌานกีฬํ กีฬโนฺต จิรํ วสิตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘มนุสฺสปถํ คนฺตฺวา โลณมฺพิลํ อุปเสวิสฺสามิ, เอวํ เม สรีรเญฺจว ถิรํ ภวิสฺสติ, ชงฺฆวิหาโร จ กโต ภวิสฺสติ, เย จ มาทิสสฺส สีลสมฺปนฺนสฺส ภิกฺขํ วา ทสฺสนฺติ, อภิวาทนาทีนิ วา กริสฺสนฺติ, เต สคฺคปุรํ ปูเรสฺสนฺตี’’ติฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto asītikoṭivibhave brāhmaṇamahāsālakule nibbattitvā vayappatto takkasilāyaṃ sabbasippāni uggaṇhitvā bārāṇasiṃ paccāgantvā katadārapariggaho mātāpitūnaṃ accayena tesaṃ matakiccāni katvā hiraññolokanakammaṃ karonto ‘‘idaṃ dhanaṃ paññāyati, yehi panetaṃ sambhataṃ, te na paññāyantī’’ti āvajjento saṃvegappatto ahosi, sarīrā sedā mucciṃsu. So gharāvāse ciraṃ vasanto mahādānaṃ datvā kāme pahāya assumukhaṃ ñātisaṅghaṃ pariccajitvā himavantaṃ pavisitvā isipabbajjaṃ pabbajitvā ramaṇīye padese paṇṇasālaṃ māpetvā uñchācariyāya vanamūlaphalādīhi yāpento nacirasseva abhiññā ca samāpattiyo ca uppādetvā jhānakīḷaṃ kīḷanto ciraṃ vasitvā cintesi – ‘‘manussapathaṃ gantvā loṇambilaṃ upasevissāmi, evaṃ me sarīrañceva thiraṃ bhavissati, jaṅghavihāro ca kato bhavissati, ye ca mādisassa sīlasampannassa bhikkhaṃ vā dassanti, abhivādanādīni vā karissanti, te saggapuraṃ pūressantī’’ti.
โส หิมวนฺตา โอตริตฺวา อนุปุเพฺพน จาริกํ จรมาโน พาราณสิํ ปตฺวา สูริยตฺถงฺคมนเวลาย วสนฎฺฐานํ โอโลเกโนฺต ราชุยฺยานํ ทิสฺวา ‘‘อิทํ ปฎิสลฺลานสารุปฺปํ, เอตฺถ วสิสฺสาเม’’ติ อุยฺยานํ ปวิสิตฺวา อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล นิสิโนฺน ฌานสุเขน รตฺติํ เขเปตฺวา ปุนทิวเส กตสรีรปฎิชคฺคโน ปุพฺพณฺหสมเย ชฎาชินวกฺกลานิ สณฺฐเปตฺวา ภิกฺขาภาชนํ อาทาย สนฺตินฺทฺริโย สนฺตมานโส อิริยาปถสมฺปโนฺน ยุคมตฺตทสฺสโน หุตฺวา สพฺพาการสมฺปนฺนาย อตฺตโน รูปสิริยา โลกสฺส โลจนานิ อากเฑฺฒโนฺต นครํ ปวิสิตฺวา ภิกฺขาย จรโนฺต รโญฺญ นิเวสนทฺวารํ ปาปุณิฯ ราชา มหาตเล จงฺกมโนฺต วาตปานนฺตเรน โพธิสตฺตํ ทิสฺวา อิริยาปถสฺมิเญฺญว ปสีทิตฺวา ‘‘สเจ สนฺตธโมฺม นาม อตฺถิ, อิมสฺส เตน อพฺภนฺตเร ภวิตพฺพ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ‘‘คจฺฉ, ตํ ตาปสํ อาเนหี’’ติ เอกํ อมจฺจํ อาณาเปสิฯ โส คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ภิกฺขาภาชนํ คเหตฺวา ‘‘ราชา, ภเนฺต, ตํ ปโกฺกสตี’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺต ‘‘มหาปุญฺญ, อเมฺห ราชา น ชานาตี’’ติ อาหฯ ‘‘เตน หิ, ภเนฺต, ยาวาหํ อาคจฺฉามิ, ตาว อิเธว โหถา’’ติ คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา ‘‘อมฺหากํ กุลูปกตาปโส นตฺถิ, คจฺฉ, นํ อาเนหี’’ติ สยมฺปิ วาตปาเนน หตฺถํ ปสาเรตฺวา วนฺทโนฺต ‘‘อิโต เอถ, ภเนฺต’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺต อมจฺจสฺส หเตฺถ ภิกฺขาภาชนํ ทตฺวา มหาตลํ อภิรุหิฯ
So himavantā otaritvā anupubbena cārikaṃ caramāno bārāṇasiṃ patvā sūriyatthaṅgamanavelāya vasanaṭṭhānaṃ olokento rājuyyānaṃ disvā ‘‘idaṃ paṭisallānasāruppaṃ, ettha vasissāme’’ti uyyānaṃ pavisitvā aññatarasmiṃ rukkhamūle nisinno jhānasukhena rattiṃ khepetvā punadivase katasarīrapaṭijaggano pubbaṇhasamaye jaṭājinavakkalāni saṇṭhapetvā bhikkhābhājanaṃ ādāya santindriyo santamānaso iriyāpathasampanno yugamattadassano hutvā sabbākārasampannāya attano rūpasiriyā lokassa locanāni ākaḍḍhento nagaraṃ pavisitvā bhikkhāya caranto rañño nivesanadvāraṃ pāpuṇi. Rājā mahātale caṅkamanto vātapānantarena bodhisattaṃ disvā iriyāpathasmiññeva pasīditvā ‘‘sace santadhammo nāma atthi, imassa tena abbhantare bhavitabba’’nti cintetvā ‘‘gaccha, taṃ tāpasaṃ ānehī’’ti ekaṃ amaccaṃ āṇāpesi. So gantvā vanditvā bhikkhābhājanaṃ gahetvā ‘‘rājā, bhante, taṃ pakkosatī’’ti āha. Bodhisatto ‘‘mahāpuñña, amhe rājā na jānātī’’ti āha. ‘‘Tena hi, bhante, yāvāhaṃ āgacchāmi, tāva idheva hothā’’ti gantvā rañño ārocesi. Rājā ‘‘amhākaṃ kulūpakatāpaso natthi, gaccha, naṃ ānehī’’ti sayampi vātapānena hatthaṃ pasāretvā vandanto ‘‘ito etha, bhante’’ti āha. Bodhisatto amaccassa hatthe bhikkhābhājanaṃ datvā mahātalaṃ abhiruhi.
อถ นํ ราชา วนฺทิตฺวา ราชปลฺลเงฺก นิสีทาเปตฺวา อตฺตโน สมฺปาทิเตหิ ยาคุขชฺชกภเตฺตหิ ปริวิสิตฺวา กตภตฺตกิจฺจํ ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ ปญฺหพฺยากรเณน ภิโยฺยโสมตฺตาย ปสีทิตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺห กตฺถวาสิกา , กุโต อาคตตฺถา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘หิมวนฺตวาสิกา มยํ, มหาราช, หิมวนฺตโต อาคตา’’ติ วุเตฺต ปุน ‘‘กิํการณา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘วสฺสารตฺตกาเล, มหาราช, นิพทฺธวาโส นาม ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติ วุเตฺต ‘‘เตน หิ, ภเนฺต, ราชุยฺยาเน วสถ, ตุเมฺห จ จตูหิ ปจฺจเยหิ น กิลมิสฺสถ, อหญฺจ สคฺคสํวตฺตนิกํ ปุญฺญํ ปาปุณิสฺสามี’’ติ ปฎิญฺญํ คเหตฺวา ภุตฺตปาตราโส โพธิสเตฺตน สทฺธิํ อุยฺยานํ คนฺตฺวา ปณฺณสาลํ กาเรตฺวา จงฺกมํ มาเปตฺวา เสสานิปิ รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานาทีนิ สมฺปาเทตฺวา ปพฺพชิตปริกฺขาเร ปฎิยาเทตฺวา ‘‘สุเขน วสถ, ภเนฺต’’ติ อุยฺยานปาลํ สมฺปฎิจฺฉาเปสิฯ โพธิสโตฺต ตโต ปฎฺฐาย ทฺวาทส สํวจฺฉรานิ ตเตฺถว วสิฯ
Atha naṃ rājā vanditvā rājapallaṅke nisīdāpetvā attano sampāditehi yāgukhajjakabhattehi parivisitvā katabhattakiccaṃ pañhaṃ pucchi. Pañhabyākaraṇena bhiyyosomattāya pasīditvā vanditvā ‘‘bhante, tumhe katthavāsikā , kuto āgatatthā’’ti pucchitvā ‘‘himavantavāsikā mayaṃ, mahārāja, himavantato āgatā’’ti vutte puna ‘‘kiṃkāraṇā’’ti pucchitvā ‘‘vassārattakāle, mahārāja, nibaddhavāso nāma laddhuṃ vaṭṭatī’’ti vutte ‘‘tena hi, bhante, rājuyyāne vasatha, tumhe ca catūhi paccayehi na kilamissatha, ahañca saggasaṃvattanikaṃ puññaṃ pāpuṇissāmī’’ti paṭiññaṃ gahetvā bhuttapātarāso bodhisattena saddhiṃ uyyānaṃ gantvā paṇṇasālaṃ kāretvā caṅkamaṃ māpetvā sesānipi rattiṭṭhānadivāṭṭhānādīni sampādetvā pabbajitaparikkhāre paṭiyādetvā ‘‘sukhena vasatha, bhante’’ti uyyānapālaṃ sampaṭicchāpesi. Bodhisatto tato paṭṭhāya dvādasa saṃvaccharāni tattheva vasi.
อเถกทิวสํ รโญฺญ ปจฺจโนฺต กุปิโตฯ โส ตสฺส วูปสมนตฺถาย คนฺตุกาโม เทวิํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ภเทฺท, ตยา นคเร โอหียิตุํ วฎฺฎตี’’ติ อาหฯ ‘‘กิํ นิสฺสาย กเถถ, เทวา’’ติฯ ‘‘สีลวนฺตํ ตาปสํ, ภเทฺท’’ติฯ ‘‘เทว, นาหํ ตสฺมิํ ปมชฺชิสฺสามิ, อมฺหากํ อยฺยสฺส ปฎิชคฺคนํ มม ภาโร, ตุเมฺห นิราสงฺกา คจฺฉถา’’ติฯ ราชา นิกฺขมิตฺวา คโต, เทวีปิ โพธิสตฺตํ ตเถว สกฺกจฺจํ อุปฎฺฐาติฯ โพธิสโตฺต ปน รโญฺญ คตกาเล นิพทฺธเวลายํ อาคนฺตฺวา อตฺตโน รุจิตาย เวลาย ราชนิเวสนํ คนฺตฺวา ภตฺตกิจฺจํ กโรติฯ
Athekadivasaṃ rañño paccanto kupito. So tassa vūpasamanatthāya gantukāmo deviṃ āmantetvā ‘‘bhadde, tayā nagare ohīyituṃ vaṭṭatī’’ti āha. ‘‘Kiṃ nissāya kathetha, devā’’ti. ‘‘Sīlavantaṃ tāpasaṃ, bhadde’’ti. ‘‘Deva, nāhaṃ tasmiṃ pamajjissāmi, amhākaṃ ayyassa paṭijagganaṃ mama bhāro, tumhe nirāsaṅkā gacchathā’’ti. Rājā nikkhamitvā gato, devīpi bodhisattaṃ tatheva sakkaccaṃ upaṭṭhāti. Bodhisatto pana rañño gatakāle nibaddhavelāyaṃ āgantvā attano rucitāya velāya rājanivesanaṃ gantvā bhattakiccaṃ karoti.
อเถกทิวสํ โพธิสเตฺต อติจิรายเนฺต เทวี สพฺพํ ขาทนียโภชนียํ ปฎิยาเทตฺวา นฺหตฺวา อลงฺกริตฺวา นีจมญฺจกํ ปญฺญาเปตฺวา โพธิสตฺตสฺส อาคมนํ โอโลกยมานา มฎฺฐสาฎกํ สิถิลํ กตฺวา นิวาเสตฺวา นิปชฺชิฯ โพธิสโตฺตปิ เวลํ สลฺลเกฺขตฺวา ภิกฺขาภาชนํ อาทาย อากาเสนาคนฺตฺวา มหาวาตปานทฺวารํ ปาปุณิฯ ตสฺส วกฺกลสทฺทํ สุตฺวา สหสา อุฎฺฐหมานาย เทวิยา สรีรา มฎฺฐสาฎโก ภสฺสิตฺถ, โพธิสโตฺต วิสภาคารมฺมณํ ทิสฺวา อินฺทฺริยานิ ภินฺทิตฺวา สุภวเสน โอโลเกสิฯ อถสฺส ฌานพเลน สนฺนิสิโนฺนปิ กิเลโส กรณฺฑเก ปกฺขิตฺตอาสีวิโส วิย ผณํ กตฺวา อุฎฺฐหิ, ขีรรุกฺขสฺส วาสิยา อาโกฎิตกาโล วิย อโหสิฯ กิเลสุปฺปาทเนน สเหว ฌานงฺคานิ ปริหายิํสุ, อินฺทฺริยานิ อปริปุณฺณานิ อเหสุํ, สยํ ปกฺขจฺฉินฺนกาโก วิย อโหสิฯ โส ปุเพฺพ วิย นิสีทิตฺวา ภตฺตกิจฺจํ กาตุํ นาสกฺขิ , นิสีทาปิยมาโนปิ น นิสีทิฯ อถสฺส เทวี สพฺพํ ขาทนียโภชนียํ ภิกฺขาภาชเนเยว ปกฺขิปิฯ ยถา จ ปุเพฺพ ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา สีหปญฺชเรน นิกฺขมิตฺวา อากาเสเนว คจฺฉติ, เอวํ ตํ ทิวสํ คนฺตุํ นาสกฺขิฯ ภตฺตํ ปน คเหตฺวา มหานิเสฺสณิยา โอตริตฺวา อุยฺยานํ อคมาสิฯ เทวีปิ อสฺส อตฺตนิ ปฎิพทฺธจิตฺตตํ อญฺญาสิฯ โส อุยฺยานํ คนฺตฺวา ภตฺตํ อภุญฺชิตฺวาว เหฎฺฐามญฺจเก นิกฺขิปิตฺวา ‘‘เทวิยา เอวรูปา หตฺถโสภา ปาทโสภา, เอวรูปํ กฎิปริโยสานํ, เอวรูปํ อูรุลกฺขณ’’นฺติอาทีนิ วิปฺปลปโนฺต สตฺตาหํ นิปชฺชิ, ภตฺตํ ปูติกํ อโหสิ นีลมกฺขิกาปริปุณฺณํฯ
Athekadivasaṃ bodhisatte aticirāyante devī sabbaṃ khādanīyabhojanīyaṃ paṭiyādetvā nhatvā alaṅkaritvā nīcamañcakaṃ paññāpetvā bodhisattassa āgamanaṃ olokayamānā maṭṭhasāṭakaṃ sithilaṃ katvā nivāsetvā nipajji. Bodhisattopi velaṃ sallakkhetvā bhikkhābhājanaṃ ādāya ākāsenāgantvā mahāvātapānadvāraṃ pāpuṇi. Tassa vakkalasaddaṃ sutvā sahasā uṭṭhahamānāya deviyā sarīrā maṭṭhasāṭako bhassittha, bodhisatto visabhāgārammaṇaṃ disvā indriyāni bhinditvā subhavasena olokesi. Athassa jhānabalena sannisinnopi kileso karaṇḍake pakkhittaāsīviso viya phaṇaṃ katvā uṭṭhahi, khīrarukkhassa vāsiyā ākoṭitakālo viya ahosi. Kilesuppādanena saheva jhānaṅgāni parihāyiṃsu, indriyāni aparipuṇṇāni ahesuṃ, sayaṃ pakkhacchinnakāko viya ahosi. So pubbe viya nisīditvā bhattakiccaṃ kātuṃ nāsakkhi , nisīdāpiyamānopi na nisīdi. Athassa devī sabbaṃ khādanīyabhojanīyaṃ bhikkhābhājaneyeva pakkhipi. Yathā ca pubbe bhattakiccaṃ katvā sīhapañjarena nikkhamitvā ākāseneva gacchati, evaṃ taṃ divasaṃ gantuṃ nāsakkhi. Bhattaṃ pana gahetvā mahānisseṇiyā otaritvā uyyānaṃ agamāsi. Devīpi assa attani paṭibaddhacittataṃ aññāsi. So uyyānaṃ gantvā bhattaṃ abhuñjitvāva heṭṭhāmañcake nikkhipitvā ‘‘deviyā evarūpā hatthasobhā pādasobhā, evarūpaṃ kaṭipariyosānaṃ, evarūpaṃ ūrulakkhaṇa’’ntiādīni vippalapanto sattāhaṃ nipajji, bhattaṃ pūtikaṃ ahosi nīlamakkhikāparipuṇṇaṃ.
อถ ราชา ปจฺจนฺตํ วูปสเมตฺวา ปจฺจาคโต อลงฺกตปฎิยตฺตํ นครํ ปทกฺขิณํ กตฺวา ราชนิเวสนํ อคนฺตฺวาว ‘‘โพธิสตฺตํ ปสฺสิสฺสามี’’ติ อุยฺยานํ คนฺตฺวา อุกฺลาปํ อสฺสมปทํ ทิสฺวา ‘‘ปกฺกโนฺต ภวิสฺสตี’’ติ ปณฺณสาลาย ทฺวารํ วิวริตฺวา อโนฺตปวิโฎฺฐ ตํ นิปนฺนกํ ทิสฺวา ‘‘เกนจิ อผาสุเกน ภวิตพฺพ’’นฺติ ปูติภตฺตํ ฉฑฺฑาเปตฺวา ปณฺณสาลํ ปฎิชคฺคาเปตฺวา ‘‘ภเนฺต, กิํ เต อผาสุก’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘วิโทฺธสฺมิ, มหาราชา’’ติฯ ราชา ‘‘มม ปจฺจามิเตฺตหิ มยิ โอกาสํ อลภเนฺตหิ ‘มมายนฎฺฐานมสฺส ทุพฺพลํ กริสฺสามา’ติ อาคนฺตฺวา เอส วิโทฺธ ภวิสฺสติ มเญฺญ’’ติ สรีรํ ปริวเตฺตตฺวา วิทฺธฎฺฐานํ โอโลเกโนฺต วิทฺธฎฺฐานํ อทิสฺวา ‘‘กตฺถ วิโทฺธสิ, ภเนฺต’’ติ ปุจฺฉิฯ โพธิสโตฺต ‘‘นาหํ, มหาราช, อเญฺญน วิโทฺธ, อหํ ปน อตฺตนาว อตฺตานํ หทเย วิชฺฌิ’’นฺติ วตฺวา อุฎฺฐาย นิสีทิตฺวา อิมา คาถา อโวจ –
Atha rājā paccantaṃ vūpasametvā paccāgato alaṅkatapaṭiyattaṃ nagaraṃ padakkhiṇaṃ katvā rājanivesanaṃ agantvāva ‘‘bodhisattaṃ passissāmī’’ti uyyānaṃ gantvā uklāpaṃ assamapadaṃ disvā ‘‘pakkanto bhavissatī’’ti paṇṇasālāya dvāraṃ vivaritvā antopaviṭṭho taṃ nipannakaṃ disvā ‘‘kenaci aphāsukena bhavitabba’’nti pūtibhattaṃ chaḍḍāpetvā paṇṇasālaṃ paṭijaggāpetvā ‘‘bhante, kiṃ te aphāsuka’’nti pucchi. ‘‘Viddhosmi, mahārājā’’ti. Rājā ‘‘mama paccāmittehi mayi okāsaṃ alabhantehi ‘mamāyanaṭṭhānamassa dubbalaṃ karissāmā’ti āgantvā esa viddho bhavissati maññe’’ti sarīraṃ parivattetvā viddhaṭṭhānaṃ olokento viddhaṭṭhānaṃ adisvā ‘‘kattha viddhosi, bhante’’ti pucchi. Bodhisatto ‘‘nāhaṃ, mahārāja, aññena viddho, ahaṃ pana attanāva attānaṃ hadaye vijjhi’’nti vatvā uṭṭhāya nisīditvā imā gāthā avoca –
๑.
1.
‘‘สงฺกปฺปราคโธเตน, วิตกฺกนิสิเตน จ;
‘‘Saṅkapparāgadhotena, vitakkanisitena ca;
นาลงฺกเตน ภเทฺรน, อุสุการากเตน จฯ
Nālaṅkatena bhadrena, usukārākatena ca.
๒.
2.
‘‘น กณฺณายตมุเตฺตน, นาปิ โมรูปเสวินา;
‘‘Na kaṇṇāyatamuttena, nāpi morūpasevinā;
เตนมฺหิ หทเย วิโทฺธ, สพฺพงฺคปริทาหินาฯ
Tenamhi hadaye viddho, sabbaṅgaparidāhinā.
๓.
3.
‘‘อาเวธญฺจ น ปสฺสามิ, ยโต รุหิรมสฺสเว;
‘‘Āvedhañca na passāmi, yato ruhiramassave;
ยาว อโยนิโส จิตฺตํ, สยํ เม ทุกฺขมาภต’’นฺติฯ
Yāva ayoniso cittaṃ, sayaṃ me dukkhamābhata’’nti.
ตตฺถ สงฺกปฺปราคโธเตนาติ กามวิตกฺกสมฺปยุตฺตราคโธเตนฯ วิตกฺกนิสิเตน จาติ เตเนว ราโคทเกน วิตกฺกปาสาเณ นิสิเตนฯ นาลงฺกเตน ภเทฺรนาติ เนว อลงฺกเตน ภเทฺรน, อนลงฺกเตน พีภเจฺฉนาติ อโตฺถฯ อุสุการากเตน จาติ อุสุกาเรหิปิ อกเตนฯ น กณฺณายตมุเตฺตนาติ ยาว ทกฺขิณกณฺณจูฬกํ อากฑฺฒิตฺวา อมุตฺตเกนฯ นาปิ โมรูปเสวินาติ โมรปตฺตคิชฺฌปตฺตาทีหิ อกตูปเสวเนนฯ เตนมฺหิ หทเย วิโทฺธติ เตน กิเลสกเณฺฑนาหํ หทเย วิโทฺธ อมฺหิฯ สพฺพงฺคปริทาหินาติ สพฺพานิ องฺคานิ ปริทหนสมเตฺถนฯ มหาราช, เตน หิ กิเลสกเณฺฑน หทเย วิทฺธกาลโต ปฎฺฐาย มม อคฺคิ ปทิตฺตานิว สพฺพานิ องฺคานิ ฑยฺหนฺตีติ ทเสฺสติฯ
Tattha saṅkapparāgadhotenāti kāmavitakkasampayuttarāgadhotena. Vitakkanisitena cāti teneva rāgodakena vitakkapāsāṇe nisitena. Nālaṅkatena bhadrenāti neva alaṅkatena bhadrena, analaṅkatena bībhacchenāti attho. Usukārākatena cāti usukārehipi akatena. Na kaṇṇāyatamuttenāti yāva dakkhiṇakaṇṇacūḷakaṃ ākaḍḍhitvā amuttakena. Nāpi morūpasevināti morapattagijjhapattādīhi akatūpasevanena. Tenamhi hadaye viddhoti tena kilesakaṇḍenāhaṃ hadaye viddho amhi. Sabbaṅgaparidāhināti sabbāni aṅgāni paridahanasamatthena. Mahārāja, tena hi kilesakaṇḍena hadaye viddhakālato paṭṭhāya mama aggi padittāniva sabbāni aṅgāni ḍayhantīti dasseti.
อาเวธญฺจ น ปสฺสามีติ วิทฺธฎฺฐาเน วณญฺจ น ปสฺสามิฯ ยโต รุหิรมสฺสเวติ ยโต เม อาเวธโต โลหิตํ ปคฺฆเรยฺย, ตํ น ปสฺสามีติ อโตฺถฯ ยาว อโยนิโส จิตฺตนฺติ เอตฺถ ยาวาติ ทฬฺหเตฺถ นิปาโต, อติวิย ทฬฺหํ กตฺวา อโยนิโส จิตฺตํ วฑฺฒิตนฺติ อโตฺถฯ สยํ เม ทุกฺขมาภตนฺติ อตฺตนาว มยา อตฺตโน ทุกฺขํ อานีตนฺติฯ
Āvedhañca na passāmīti viddhaṭṭhāne vaṇañca na passāmi. Yato ruhiramassaveti yato me āvedhato lohitaṃ pagghareyya, taṃ na passāmīti attho. Yāva ayoniso cittanti ettha yāvāti daḷhatthe nipāto, ativiya daḷhaṃ katvā ayoniso cittaṃ vaḍḍhitanti attho. Sayaṃ me dukkhamābhatanti attanāva mayā attano dukkhaṃ ānītanti.
เอวํ โพธิสโตฺต อิมาหิ ตีหิ คาถาหิ รโญฺญ ธมฺมํ เทเสตฺวา ราชานํ ปณฺณสาลโต พหิ กตฺวา กสิณปริกมฺมํ กตฺวา นฎฺฐํ ฌานํ อุปฺปาเทตฺวา ปณฺณสาลาย นิกฺขมิตฺวา อากาเส นิสิโนฺน ราชานํ โอวทิตฺวา ‘‘มหาราช, อหํ หิมวนฺตเมว คมิสฺสามี’’ติ วตฺวา ‘‘น สกฺกา, ภเนฺต, คนฺตุ’’นฺติ วุจฺจมาโนปิ ‘‘มหาราช, มยา อิธ วสเนฺตน เอวรูโป วิปฺปกาโร ปโตฺต, อิทานิ น สกฺกา อิธ วสิตุ’’นฺติ รโญฺญ ยาจนฺตเสฺสว อากาเส อุปฺปติตฺวา หิมวนฺตํ คนฺตฺวา ตตฺถ ยาวตายุกํ ฐตฺวา พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ
Evaṃ bodhisatto imāhi tīhi gāthāhi rañño dhammaṃ desetvā rājānaṃ paṇṇasālato bahi katvā kasiṇaparikammaṃ katvā naṭṭhaṃ jhānaṃ uppādetvā paṇṇasālāya nikkhamitvā ākāse nisinno rājānaṃ ovaditvā ‘‘mahārāja, ahaṃ himavantameva gamissāmī’’ti vatvā ‘‘na sakkā, bhante, gantu’’nti vuccamānopi ‘‘mahārāja, mayā idha vasantena evarūpo vippakāro patto, idāni na sakkā idha vasitu’’nti rañño yācantasseva ākāse uppatitvā himavantaṃ gantvā tattha yāvatāyukaṃ ṭhatvā brahmalokūpago ahosi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ อรหเตฺต ปติฎฺฐหิฯ เกจิ โสตาปนฺนา, เกจิ สกทาคามิโน, เกจิ อนาคามิโน, เกจิ อรหโนฺต อเหสุํฯ ‘‘ตทา ราชา อานโนฺท อโหสิ, ตาปโส ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne ukkaṇṭhitabhikkhu arahatte patiṭṭhahi. Keci sotāpannā, keci sakadāgāmino, keci anāgāmino, keci arahanto ahesuṃ. ‘‘Tadā rājā ānando ahosi, tāpaso pana ahameva ahosi’’nti.
สงฺกปฺปราคชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ
Saṅkapparāgajātakavaṇṇanā paṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๕๑. สงฺกปฺปราคชาตกํ • 251. Saṅkapparāgajātakaṃ