Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จริยาปิฎก-อฎฺฐกถา • Cariyāpiṭaka-aṭṭhakathā

    ๒. สงฺขพฺราหฺมณจริยาวณฺณนา

    2. Saṅkhabrāhmaṇacariyāvaṇṇanā

    ๑๑-๑๒. ทุติยสฺมิํ ปุนาปรนฺติ ปุน อปรํ, น เกวลมิทํ อกิตฺติจริยเมว, อถ โข ปุน อปรํ อญฺญํ สงฺขจริยมฺปิ ปวกฺขิสฺสํ, สุโณหีติ อธิปฺปาโยฯ อิโต ปเรสุปิ เอเสว นโยฯ สงฺขสวฺหโยติ สงฺขนาโมฯ มหาสมุทฺทํ ตริตุกาโมติ สุวณฺณภูมิํ คนฺตุํ นาวาย มหาสมุทฺทํ ตริตุกาโมฯ อุปคจฺฉามิ ปฎฺฎนนฺติ ตามลิตฺติปฎฺฎนํ อุทฺทิสฺส คจฺฉามิฯ สยมฺภุญาเณน ปเจฺจกโพธิยา อธิคตตฺตา สยเมว ภูตนฺติ สยมฺภุํฯ กิเลสมาราทีสุ เกนจิปิ น ปราชิตนฺติ อปราชิตํ, ติณฺณํ มารานํ มตฺถกํ มทฺทิตฺวา ฐิตนฺติ อโตฺถฯ ตตฺตาย กฐินภูมิยาติ ฆมฺมสนฺตาเปน สนฺตตฺตาย สกฺขรวาลุกานิจิตตฺตา ขราย กกฺขฬาย ภูมิยา ฯ

    11-12. Dutiyasmiṃ punāparanti puna aparaṃ, na kevalamidaṃ akitticariyameva, atha kho puna aparaṃ aññaṃ saṅkhacariyampi pavakkhissaṃ, suṇohīti adhippāyo. Ito paresupi eseva nayo. Saṅkhasavhayoti saṅkhanāmo. Mahāsamuddaṃ taritukāmoti suvaṇṇabhūmiṃ gantuṃ nāvāya mahāsamuddaṃ taritukāmo. Upagacchāmi paṭṭananti tāmalittipaṭṭanaṃ uddissa gacchāmi. Sayambhuñāṇena paccekabodhiyā adhigatattā sayameva bhūtanti sayambhuṃ. Kilesamārādīsu kenacipi na parājitanti aparājitaṃ, tiṇṇaṃ mārānaṃ matthakaṃ madditvā ṭhitanti attho. Tattāya kaṭhinabhūmiyāti ghammasantāpena santattāya sakkharavālukānicitattā kharāya kakkhaḷāya bhūmiyā .

    ๑๓. นฺติ ตํ ปเจฺจกพุทฺธํฯ อิมมตฺถนฺติ อิมํ อิทานิ วกฺขมานํ ‘‘อิทํ เขตฺต’’นฺติอาทิกํ อตฺถํฯ วิจินฺตยินฺติ ตทา สงฺขพฺราหฺมณภูโต จิเนฺตสินฺติ สตฺถา วทติฯ ตตฺรายํ อนุปุพฺพิกถา –

    13.Tanti taṃ paccekabuddhaṃ. Imamatthanti imaṃ idāni vakkhamānaṃ ‘‘idaṃ khetta’’ntiādikaṃ atthaṃ. Vicintayinti tadā saṅkhabrāhmaṇabhūto cintesinti satthā vadati. Tatrāyaṃ anupubbikathā –

    อตีเต อยํ พาราณสี โมฬินี นาม อโหสิฯ โมฬินีนคเร พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต สโงฺข นาม พฺราหฺมโณ หุตฺวา อโฑฺฒ มหทฺธโน จตูสุ นครทฺวาเรสุ นครมเชฺฌ อตฺตโน นิเวสนทฺวาเรติ ฉสุ ฐาเนสุ ฉ ทานสาลาโย กาเรตฺวา เทวสิกํ ฉสตสหสฺสานิ วิสฺสเชฺชโนฺต กปณทฺธิกาทีนํ มหาทานํ ปวเตฺตสิฯ โส เอกทิวสํ จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ เคเห ธเน ขีเณ ทานํ ทาตุํ น สกฺขิสฺสามิ, อปริกฺขีเณเยว ธเน นาวาย สุวณฺณภูมิํ คนฺตฺวา ธนํ อาหริสฺสามี’’ติฯ โส นาวํ ภณฺฑสฺส ปูราเปตฺวา ปุตฺตทารํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ยาวาหํ อาคจฺฉิสฺสามิ, ตาว เม ทานํ อนุปจฺฉินฺทนฺตา ปวเตฺตยฺยาถา’’ติ วตฺวา ทาสกมฺมกรปริวุโต อุปาหนํ อารุยฺห ฉเตฺตน ธาริยมาเนน ปฎฺฎนคามาภิมุโข ปายาสิฯ

    Atīte ayaṃ bārāṇasī moḷinī nāma ahosi. Moḷinīnagare brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto saṅkho nāma brāhmaṇo hutvā aḍḍho mahaddhano catūsu nagaradvāresu nagaramajjhe attano nivesanadvāreti chasu ṭhānesu cha dānasālāyo kāretvā devasikaṃ chasatasahassāni vissajjento kapaṇaddhikādīnaṃ mahādānaṃ pavattesi. So ekadivasaṃ cintesi – ‘‘ahaṃ gehe dhane khīṇe dānaṃ dātuṃ na sakkhissāmi, aparikkhīṇeyeva dhane nāvāya suvaṇṇabhūmiṃ gantvā dhanaṃ āharissāmī’’ti. So nāvaṃ bhaṇḍassa pūrāpetvā puttadāraṃ āmantetvā ‘‘yāvāhaṃ āgacchissāmi, tāva me dānaṃ anupacchindantā pavatteyyāthā’’ti vatvā dāsakammakaraparivuto upāhanaṃ āruyha chattena dhāriyamānena paṭṭanagāmābhimukho pāyāsi.

    ตสฺมิํ ขเณ คนฺธมาทเน เอโก ปเจฺจกพุโทฺธ สตฺตาหํ นิโรธสมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา นิโรธสมาปตฺติโต วุฎฺฐาย โลกํ โวโลเกโนฺต ตํ ธนาหรณตฺถํ คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘มหาปุริโส ธนํ อาหริตุํ คจฺฉติ, ภวิสฺสติ นุ โข อสฺส มหาสมุเทฺท อนฺตราโย, โน’’ติ อาวเชฺชตฺวา ‘‘ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ‘‘เอส มํ ทิสฺวา ฉตฺตญฺจ อุปาหนญฺจ มยฺหํ ทตฺวา อุปาหนทานนิสฺสเนฺทน สมุเทฺท ภินฺนาย นาวาย ปติฎฺฐํ ลภิสฺสติ, กริสฺสามิสฺส อนุคฺคห’’นฺติ อากาเสน คนฺตฺวา ตสฺส อวิทูเร โอตริตฺวา มชฺฌนฺหิกสมเย จณฺฑวาตาตเปน องฺคารสนฺถตสทิสํ อุณฺหวาลุกํ มทฺทโนฺต ตสฺส อภิมุขํ อาคญฺฉิฯ โส ตํ ทิสฺวาว หฎฺฐตุโฎฺฐ ‘‘ปุญฺญเกฺขตฺตํ เม อาคตํ, อชฺช มยา เอตฺถ พีชํ โรเปตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ตมหํ ปฎิปเถ ทิสฺวา, อิมมตฺถํ วิจินฺตยิ’’นฺติอาทิฯ

    Tasmiṃ khaṇe gandhamādane eko paccekabuddho sattāhaṃ nirodhasamāpattiṃ samāpajjitvā nirodhasamāpattito vuṭṭhāya lokaṃ volokento taṃ dhanāharaṇatthaṃ gacchantaṃ disvā ‘‘mahāpuriso dhanaṃ āharituṃ gacchati, bhavissati nu kho assa mahāsamudde antarāyo, no’’ti āvajjetvā ‘‘bhavissatī’’ti ñatvā ‘‘esa maṃ disvā chattañca upāhanañca mayhaṃ datvā upāhanadānanissandena samudde bhinnāya nāvāya patiṭṭhaṃ labhissati, karissāmissa anuggaha’’nti ākāsena gantvā tassa avidūre otaritvā majjhanhikasamaye caṇḍavātātapena aṅgārasanthatasadisaṃ uṇhavālukaṃ maddanto tassa abhimukhaṃ āgañchi. So taṃ disvāva haṭṭhatuṭṭho ‘‘puññakkhettaṃ me āgataṃ, ajja mayā ettha bījaṃ ropetuṃ vaṭṭatī’’ti cintesi. Tena vuttaṃ ‘‘tamahaṃ paṭipathe disvā, imamatthaṃ vicintayi’’ntiādi.

    ตตฺถ อิทํ เขตฺตนฺติอาทิ จินฺติตาการทสฺสนํฯ เขตฺตนฺติ ขิตฺตํ พีชํ มหปฺผลภาวกรเณน ตายตีติ เขตฺตํ, ปุพฺพณฺณาปรณฺณวิรุหนภูมิฯ อิธ ปน เขตฺตํ วิยาติ เขตฺตํ, อคฺคทกฺขิเณโยฺย ปเจฺจกพุโทฺธฯ เตเนวาห ‘‘ปุญฺญกามสฺส ชนฺตุโน’’ติฯ

    Tattha idaṃ khettantiādi cintitākāradassanaṃ. Khettanti khittaṃ bījaṃ mahapphalabhāvakaraṇena tāyatīti khettaṃ, pubbaṇṇāparaṇṇaviruhanabhūmi. Idha pana khettaṃ viyāti khettaṃ, aggadakkhiṇeyyo paccekabuddho. Tenevāha ‘‘puññakāmassa jantuno’’ti.

    ๑๔. มหาคมนฺติ วิปุลผลาคมํ, สสฺสสมฺปตฺติทายกนฺติ อโตฺถฯ พีชํ น โรเปตีติ พีชํ น วปติฯ

    14.Mahāgamanti vipulaphalāgamaṃ, sassasampattidāyakanti attho. Bījaṃ na ropetīti bījaṃ na vapati.

    ๑๕.

    15.

    เขตฺตวรุตฺตมนฺติ เขตฺตวเรสุปิ อุตฺตมํฯ สีลาทิคุณสมฺปนฺนา หิ วิเสสโต อริยสาวกา เขตฺตวรา, ตโตปิ อคฺคภูโต ปเจฺจกพุโทฺธ เขตฺตวรุตฺตโมฯ การนฺติ สกฺการํฯ ยทิ น กโรมีติ สมฺพโนฺธฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อิทมีทิสํ อนุตฺตรํ ปุญฺญเกฺขตฺตํ ลภิตฺวา ตตฺถ ปูชาสกฺการํ ยทิ น กโรมิ, ปุเญฺญน อตฺถิโก นามาหํ น ภเวยฺยนฺติฯ

    Khettavaruttamanti khettavaresupi uttamaṃ. Sīlādiguṇasampannā hi visesato ariyasāvakā khettavarā, tatopi aggabhūto paccekabuddho khettavaruttamo. Kāranti sakkāraṃ. Yadi na karomīti sambandho. Idaṃ vuttaṃ hoti – idamīdisaṃ anuttaraṃ puññakkhettaṃ labhitvā tattha pūjāsakkāraṃ yadi na karomi, puññena atthiko nāmāhaṃ na bhaveyyanti.

    ๑๖-๑๗. ยถา อมโจฺจติอาทีนํ ทฺวินฺนํ คาถานํ อยํ สเงฺขปโตฺถ – ยถา นาม โย โกจิ รญฺญา มุทฺทาธิกาเร ฐปิโต ลญฺฉนธโร อมจฺจปุริโส เสนาปติ วา โส อเนฺตปุเร ชเน พหิทฺธา จ พลกายาทีสุ รโญฺญ ยถานุสิฎฺฐํ น ปฎิปชฺชติ น เตสํ ธนธญฺญํ เทติ, ตํ ตํ กตฺตพฺพํ วตฺตํ ปริหาเปติฯ โส มุทฺทิโต ปริหายติ มุทฺทาธิการลทฺธวิภวโต ปริธํสติ, เอวเมว อหมฺปิ ปุญฺญกมฺมสฺส รโต ลทฺธพฺพปุญฺญผลสงฺขาตํ ปุญฺญกาโม ทกฺขิณาย วิปุลผลภาวกรเณน วิปุลํ ทิสฺวาน ตํ ทกฺขิณํ อุฬารํ ทกฺขิเณยฺยํ ลภิตฺวา ตสฺส ทานํ ยทิ น ททามิ ปุญฺญโต อายติํ ปุญฺญผลโต จ ปริธํสามิฯ ตสฺมา อิธ มยา ปุญฺญํ กาตพฺพเมวาติฯ

    16-17.Yathā amaccotiādīnaṃ dvinnaṃ gāthānaṃ ayaṃ saṅkhepattho – yathā nāma yo koci raññā muddādhikāre ṭhapito lañchanadharo amaccapuriso senāpati vā so antepure jane bahiddhā ca balakāyādīsu rañño yathānusiṭṭhaṃ na paṭipajjati na tesaṃ dhanadhaññaṃ deti, taṃ taṃ kattabbaṃ vattaṃ parihāpeti. So muddito parihāyati muddādhikāraladdhavibhavato paridhaṃsati, evameva ahampi puññakammassa rato laddhabbapuññaphalasaṅkhātaṃ puññakāmo dakkhiṇāya vipulaphalabhāvakaraṇena vipulaṃ disvāna taṃ dakkhiṇaṃ uḷāraṃ dakkhiṇeyyaṃ labhitvā tassa dānaṃ yadi na dadāmi puññato āyatiṃ puññaphalato ca paridhaṃsāmi. Tasmā idha mayā puññaṃ kātabbamevāti.

    เอวํ ปน จิเนฺตตฺวา มหาปุริโส ทูรโตว อุปาหนา โอโรหิตฺวา เวเคน อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, มยฺหํ อนุคฺคหตฺถาย อิมํ รุกฺขมูลํ อุปคจฺฉถา’’ติ วตฺวา ตสฺมิํ รุกฺขมูลํ อุปสงฺกมเนฺต ตตฺถ วาลุกํ อุสฺสาเปตฺวา อุตฺตราสงฺคํ ปญฺญาเปตฺวา ปเจฺจกพุเทฺธ ตตฺถ นิสิเนฺน วนฺทิตฺวา วาสิตปริสฺสาวิเตน อุทเกน ตสฺส ปาเท โธวิตฺวา, คนฺธเตเลน มเกฺขตฺวา, อตฺตโน อุปาหนํ ปุญฺฉิตฺวา, คนฺธเตเลน มเกฺขตฺวา, ตสฺส ปาเท ปฎิมุญฺจิตฺวา ‘‘ภเนฺต, อิมํ อุปาหนํ อารุยฺห, อิมํ ฉตฺตํ มตฺถเก กตฺวา คจฺฉถา’’ติ ฉตฺตุปาหนํ อทาสิฯ โสปิสฺส อนุคฺคหตฺถาย ตํ คเหตฺวา ปสาทสํวฑฺฒนตฺถํ ปสฺสนฺตเสฺสว เวหาสํ อุปฺปติตฺวา คนฺธมาทนํ อคมาสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Evaṃ pana cintetvā mahāpuriso dūratova upāhanā orohitvā vegena upasaṅkamitvā vanditvā ‘‘bhante, mayhaṃ anuggahatthāya imaṃ rukkhamūlaṃ upagacchathā’’ti vatvā tasmiṃ rukkhamūlaṃ upasaṅkamante tattha vālukaṃ ussāpetvā uttarāsaṅgaṃ paññāpetvā paccekabuddhe tattha nisinne vanditvā vāsitaparissāvitena udakena tassa pāde dhovitvā, gandhatelena makkhetvā, attano upāhanaṃ puñchitvā, gandhatelena makkhetvā, tassa pāde paṭimuñcitvā ‘‘bhante, imaṃ upāhanaṃ āruyha, imaṃ chattaṃ matthake katvā gacchathā’’ti chattupāhanaṃ adāsi. Sopissa anuggahatthāya taṃ gahetvā pasādasaṃvaḍḍhanatthaṃ passantasseva vehāsaṃ uppatitvā gandhamādanaṃ agamāsi. Tena vuttaṃ –

    ๑๘.

    18.

    ‘‘เอวาหํ จินฺตยิตฺวาน, โอโรหิตฺวา อุปาหนา;

    ‘‘Evāhaṃ cintayitvāna, orohitvā upāhanā;

    ตสฺส ปาทานิ วนฺทิตฺวา, อทาสิํ ฉตฺตุปาหน’’นฺติฯ

    Tassa pādāni vanditvā, adāsiṃ chattupāhana’’nti.

    โพธิสโตฺต ตํ ทิสฺวา อติวิย ปสนฺนจิโตฺต ปฎฺฎนํ คนฺตฺวา นาวํ อภิรุหิฯ อถสฺส มหาสมุทฺทํ ตรนฺตสฺส สตฺตเม ทิวเส นาวา วิวรมทาสิฯ อุทกํ อุสฺสิญฺจิตุํ นาสกฺขิํสุฯ มหาชโน มรณภยภีโต อตฺตโน อตฺตโน เทวตา นมสฺสิตฺวา มหาวิรวํ วิรวิฯ โพธิสโตฺต เอกํ อุปฎฺฐากํ คเหตฺวา สกลสรีรํ เตเลน มเกฺขตฺวา สปฺปินา สทฺธิํ สกฺขรจุณฺณานิ ยาวทตฺถํ ขาทิตฺวา ตมฺปิ ขาทาเปตฺวา เตน สทฺธิํ กูปกยฎฺฐิมตฺถกํ อารุยฺห ‘‘อิมาย ทิสาย อมฺหากํ นคร’’นฺติ ทิสํ ววตฺถเปตฺวา มจฺฉกจฺฉปปริปนฺถโต อตฺตานํ สจฺจาธิฎฺฐาเนน ปโมเจโนฺต เตน สทฺธิํ อุสภมตฺตฎฺฐานํ อติกฺกมิตฺวา ปติตฺวา สมุทฺทํ ตริตุํ อารภิฯ มหาชโน ปน ตเตฺถว วินาสํ ปาปุณิฯ ตสฺส ตรนฺตเสฺสว สตฺต ทิวสา คตาฯ โส ตสฺมิมฺปิ กาเล โลโณทเกน มุขํ วิกฺขาเลตฺวา อุโปสถิโก อโหสิเยวฯ

    Bodhisatto taṃ disvā ativiya pasannacitto paṭṭanaṃ gantvā nāvaṃ abhiruhi. Athassa mahāsamuddaṃ tarantassa sattame divase nāvā vivaramadāsi. Udakaṃ ussiñcituṃ nāsakkhiṃsu. Mahājano maraṇabhayabhīto attano attano devatā namassitvā mahāviravaṃ viravi. Bodhisatto ekaṃ upaṭṭhākaṃ gahetvā sakalasarīraṃ telena makkhetvā sappinā saddhiṃ sakkharacuṇṇāni yāvadatthaṃ khāditvā tampi khādāpetvā tena saddhiṃ kūpakayaṭṭhimatthakaṃ āruyha ‘‘imāya disāya amhākaṃ nagara’’nti disaṃ vavatthapetvā macchakacchapaparipanthato attānaṃ saccādhiṭṭhānena pamocento tena saddhiṃ usabhamattaṭṭhānaṃ atikkamitvā patitvā samuddaṃ tarituṃ ārabhi. Mahājano pana tattheva vināsaṃ pāpuṇi. Tassa tarantasseva satta divasā gatā. So tasmimpi kāle loṇodakena mukhaṃ vikkhāletvā uposathiko ahosiyeva.

    ตทา ปน อีทิสานํ ปุริสวิเสสานํ รกฺขณตฺถาย จตูหิ โลกปาเลหิ ฐปิตา มณิเมขลา นาม เทวธีตา อตฺตโน อิสฺสริเยน สตฺตาหํ ปมชฺชิตฺวา สตฺตเม ทิวเส ตํ ทิสฺวา ‘‘สจายํ อิธ มริสฺส, อติวิย คารยฺหา อภวิสฺส’’นฺติ สํวิคฺคหทยา สุวณฺณปาติยา ทิพฺพโภชนสฺส ปูเรตฺวา เวเคนาคนฺตฺวา ‘‘พฺราหฺมณ, อิทํ ทิพฺพโภชนํ ภุญฺชา’’ติ อาหฯ โส ตํ อุโลฺลเกตฺวา ‘‘นาหํ ภุญฺชามิ, อุโปสถิโกมฺหี’’ติ ปฎิกฺขิปิตฺวา ตํ ปุจฺฉโนฺต –

    Tadā pana īdisānaṃ purisavisesānaṃ rakkhaṇatthāya catūhi lokapālehi ṭhapitā maṇimekhalā nāma devadhītā attano issariyena sattāhaṃ pamajjitvā sattame divase taṃ disvā ‘‘sacāyaṃ idha marissa, ativiya gārayhā abhavissa’’nti saṃviggahadayā suvaṇṇapātiyā dibbabhojanassa pūretvā vegenāgantvā ‘‘brāhmaṇa, idaṃ dibbabhojanaṃ bhuñjā’’ti āha. So taṃ ulloketvā ‘‘nāhaṃ bhuñjāmi, uposathikomhī’’ti paṭikkhipitvā taṃ pucchanto –

    ‘‘ยํ ตฺวํ สุเขนาภิสเมกฺขเส มํ, ภุญฺชสฺสุ ภตฺตํ อิติ มํ วเทสิ;

    ‘‘Yaṃ tvaṃ sukhenābhisamekkhase maṃ, bhuñjassu bhattaṃ iti maṃ vadesi;

    ปุจฺฉามิ ตํ นาริ มหานุภาเว, เทวี นุสิ ตฺวํ อุท มานุสี นู’’ติฯ (ชา. ๑.๑๐.๔๒) –

    Pucchāmi taṃ nāri mahānubhāve, devī nusi tvaṃ uda mānusī nū’’ti. (jā. 1.10.42) –

    อาหฯ สา ตสฺส ปฎิวจนํ เทนฺตี –

    Āha. Sā tassa paṭivacanaṃ dentī –

    ‘‘เทวี อหํ สงฺข มหานุภาวา, อิธาคตา สาครวาริมเชฺฌ;

    ‘‘Devī ahaṃ saṅkha mahānubhāvā, idhāgatā sāgaravārimajjhe;

    อนุกมฺปิกา โน จ ปทุฎฺฐจิตฺตา, ตเวว อตฺถาย อิธาคตาสฺมิฯ

    Anukampikā no ca paduṭṭhacittā, taveva atthāya idhāgatāsmi.

    ‘‘อิธนฺนปานํ สยนาสนญฺจ, ยานานิ นานาวิวิธานิ สงฺข;

    ‘‘Idhannapānaṃ sayanāsanañca, yānāni nānāvividhāni saṅkha;

    สพฺพสฺส ตฺยาหํ ปฎิปาทยามิ, ยํ กิญฺจิ ตุยฺหํ มนสาภิปตฺถิต’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๐.๔๓-๔๔) –

    Sabbassa tyāhaṃ paṭipādayāmi, yaṃ kiñci tuyhaṃ manasābhipatthita’’nti. (jā. 1.10.43-44) –

    อิมา คาถา อภาสิฯ ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต ‘‘อยํ เทวธีตา สมุทฺทปิเฎฺฐ มยฺหํ ‘อิทญฺจิทญฺจ ทมฺมี’ติ วทติ, ยเญฺจสา มยฺหํ เทติ, ตมฺปิ มม ปุเญฺญเนว, ตํ ปน ปุญฺญํ อยํ เทวธีตา ชานาติ นุ โข, อุทาหุ น ชานาติ, ปุจฺฉิสฺสามิ ตาว น’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ปุจฺฉโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Imā gāthā abhāsi. Taṃ sutvā mahāsatto ‘‘ayaṃ devadhītā samuddapiṭṭhe mayhaṃ ‘idañcidañca dammī’ti vadati, yañcesā mayhaṃ deti, tampi mama puññeneva, taṃ pana puññaṃ ayaṃ devadhītā jānāti nu kho, udāhu na jānāti, pucchissāmi tāva na’’nti cintetvā pucchanto imaṃ gāthamāha –

    ‘‘ยํ กิญฺจิ ยิฎฺฐญฺจ หุตญฺจ มยฺหํ, สพฺพสฺส โน อิสฺสรา ตฺวํ สุคเตฺต;

    ‘‘Yaṃ kiñci yiṭṭhañca hutañca mayhaṃ, sabbassa no issarā tvaṃ sugatte;

    สุโสฺสณิ สุพฺภูรุ วิลคฺคมเชฺฌ, กิสฺส เม กมฺมสฺส อยํ วิปาโก’’ติฯ (ชา. ๑.๑๐.๔๕);

    Sussoṇi subbhūru vilaggamajjhe, kissa me kammassa ayaṃ vipāko’’ti. (jā. 1.10.45);

    ตตฺถ ยิฎฺฐนฺติ ทานวเสน ยชิตํฯ หุตนฺติ อาหุนปาหุนวเสน ทินฺนํฯ สพฺพสฺส โน อิสฺสรา ตฺวนฺติ อมฺหากํ ปุญฺญกมฺมสฺส สพฺพสฺส ตฺวํ อิสฺสรา, ‘‘อยํ อิมสฺส วิปาโก, อยํ อิมสฺสา’’ติ พฺยากริตุํ สมตฺถาฯ สุโสฺสณีติ สุนฺทรชฆเนฯ สุพฺภูรูติ สุนฺทเรหิ ภมุเกหิ อูรูหิ จ สมนฺนาคเตฯ วิลคฺคมเชฺฌติ วิลคฺคตนุมเชฺฌฯ กิสฺส เมติ มยา กตกเมฺมสุ กตรกมฺมสฺส อยํ วิปาโก, เยนาหํ อปฺปติเฎฺฐ มหาสมุเทฺท อชฺช ปติฎฺฐํ ลภามีติฯ

    Tattha yiṭṭhanti dānavasena yajitaṃ. Hutanti āhunapāhunavasena dinnaṃ. Sabbassa no issarā tvanti amhākaṃ puññakammassa sabbassa tvaṃ issarā, ‘‘ayaṃ imassa vipāko, ayaṃ imassā’’ti byākarituṃ samatthā. Sussoṇīti sundarajaghane. Subbhūrūti sundarehi bhamukehi ūrūhi ca samannāgate. Vilaggamajjheti vilaggatanumajjhe. Kissa meti mayā katakammesu katarakammassa ayaṃ vipāko, yenāhaṃ appatiṭṭhe mahāsamudde ajja patiṭṭhaṃ labhāmīti.

    ตํ สุตฺวา เทวธีตา ‘‘อยํ พฺราหฺมโณ ‘ยํ อตฺตนา กุสลกมฺมํ กตํ, ตํ กมฺมํ น ชานาตี’ติ สญฺญาย ปุจฺฉติ มเญฺญ, กเถสฺสามิ น’’นฺติ นาวาภิรุหนทิวเส ปเจฺจกพุทฺธสฺส ฉตฺตุปาหนทานปุญฺญเมว ตสฺส การณนฺติ กเถนฺตี –

    Taṃ sutvā devadhītā ‘‘ayaṃ brāhmaṇo ‘yaṃ attanā kusalakammaṃ kataṃ, taṃ kammaṃ na jānātī’ti saññāya pucchati maññe, kathessāmi na’’nti nāvābhiruhanadivase paccekabuddhassa chattupāhanadānapuññameva tassa kāraṇanti kathentī –

    ‘‘ฆเมฺม ปเถ พฺราหฺมณ เอกภิกฺขุํ, อุคฺฆฎฺฎปาทํ ตสิตํ กิลนฺตํ;

    ‘‘Ghamme pathe brāhmaṇa ekabhikkhuṃ, ugghaṭṭapādaṃ tasitaṃ kilantaṃ;

    ปฎิปาทยี สงฺข อุปาหนานิ, สา ทกฺขิณา กามทุหา ตวชฺชา’’ติฯ (ชา. ๑.๑๐.๔๖) –

    Paṭipādayī saṅkha upāhanāni, sā dakkhiṇā kāmaduhā tavajjā’’ti. (jā. 1.10.46) –

    คาถมาหฯ

    Gāthamāha.

    ตตฺถ เอกภิกฺขุนฺติ เอกํ ปเจฺจกพุทฺธํ สนฺธายาหฯ อุคฺฆฎฺฎปาทนฺติ อุณฺหวาลุกาย ฆฎฺฎปาทํ, วิพาธิตปาทนฺติ อโตฺถฯ ตสิตนฺติ ปิปาสิตํฯ ปฎิปาทยีติ ปฎิปาเทสิ โยเชสิฯ กามทุหาติ สพฺพกามทายิกาฯ

    Tattha ekabhikkhunti ekaṃ paccekabuddhaṃ sandhāyāha. Ugghaṭṭapādanti uṇhavālukāya ghaṭṭapādaṃ, vibādhitapādanti attho. Tasitanti pipāsitaṃ. Paṭipādayīti paṭipādesi yojesi. Kāmaduhāti sabbakāmadāyikā.

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต ‘‘เอวรูเปปิ นาม อปฺปติเฎฺฐ มหาสมุเทฺท มยา ทินฺนํ ฉตฺตุปาหนทานํ มม สพฺพกามททํ ชาตํ อโห สุทินฺน’’นฺติ ตุฎฺฐจิโตฺต –

    Taṃ sutvā mahāsatto ‘‘evarūpepi nāma appatiṭṭhe mahāsamudde mayā dinnaṃ chattupāhanadānaṃ mama sabbakāmadadaṃ jātaṃ aho sudinna’’nti tuṭṭhacitto –

    ‘‘สา โหตุ นาวา ผลกูปปนฺนา, อนวสฺสุตา เอรกวาตยุตฺตา;

    ‘‘Sā hotu nāvā phalakūpapannā, anavassutā erakavātayuttā;

    อญฺญสฺส ยานสฺส น เหตฺถ ภูมิ, อเชฺชว มํ โมฬินิํ ปาปยสฺสู’’ติฯ (ชา. ๑.๑๐.๔๗) –

    Aññassa yānassa na hettha bhūmi, ajjeva maṃ moḷiniṃ pāpayassū’’ti. (jā. 1.10.47) –

    คาถมาหฯ

    Gāthamāha.

    ตตฺถ ผลกูปปนฺนาติ มหานาวตาย พหูหิ ผลเกหิ อุเปตาฯ อุทกปฺปเวสนาภาเวน อนวสฺสุตาฯ สมฺมา คเหตฺวา คมนกวาเตน เอรกวาตยุตฺตา

    Tattha phalakūpapannāti mahānāvatāya bahūhi phalakehi upetā. Udakappavesanābhāvena anavassutā. Sammā gahetvā gamanakavātena erakavātayuttā.

    เทวธีตา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ตุฎฺฐหฎฺฐา ทีฆโต อฎฺฐอุสภํ วิตฺถารโต จตุอุสภํ คมฺภีรโต วีสติยฎฺฐิกํ สตฺตรตนมยํ นาวํ มาเปตฺวา กูปผิยาริตฺตยุตฺตานิ อินฺทนีลรชตสุวณฺณมยาทีนิ นิมฺมินิตฺวา สตฺตนฺนํ รตนานํ ปูเรตฺวา พฺราหฺมณํ อาลิเงฺคตฺวา นาวํ อาโรเปสิ, อุปฎฺฐากํ ปนสฺส น โอโลเกสิฯ พฺราหฺมโณ อตฺตนา กตกลฺยาณโต ตสฺส ปตฺติํ อทาสิ, โส อนุโมทิฯ อถ เทวธีตา ตมฺปิ อาลิเงฺคตฺวา นาวาย ปติฎฺฐาเปตฺวา ตํ นาวํ โมฬินีนครํ เนตฺวา พฺราหฺมณสฺส ฆเร ธนํ ปติฎฺฐาเปตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว อคมาสิฯ เตนาห ภควา –

    Devadhītā tassa vacanaṃ sutvā tuṭṭhahaṭṭhā dīghato aṭṭhausabhaṃ vitthārato catuusabhaṃ gambhīrato vīsatiyaṭṭhikaṃ sattaratanamayaṃ nāvaṃ māpetvā kūpaphiyārittayuttāni indanīlarajatasuvaṇṇamayādīni nimminitvā sattannaṃ ratanānaṃ pūretvā brāhmaṇaṃ āliṅgetvā nāvaṃ āropesi, upaṭṭhākaṃ panassa na olokesi. Brāhmaṇo attanā katakalyāṇato tassa pattiṃ adāsi, so anumodi. Atha devadhītā tampi āliṅgetvā nāvāya patiṭṭhāpetvā taṃ nāvaṃ moḷinīnagaraṃ netvā brāhmaṇassa ghare dhanaṃ patiṭṭhāpetvā attano vasanaṭṭhānameva agamāsi. Tenāha bhagavā –

    ‘‘สา ตตฺถ วิตฺตา สุมนา ปตีตา, นาวํ สุจิตฺตํ อภินิมฺมินิตฺวา;

    ‘‘Sā tattha vittā sumanā patītā, nāvaṃ sucittaṃ abhinimminitvā;

    อาทาย สงฺขํ ปุริเสน สทฺธิํ, อุปานยี นครํ สาธุรมฺม’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๐.๔๘);

    Ādāya saṅkhaṃ purisena saddhiṃ, upānayī nagaraṃ sādhuramma’’nti. (jā. 1.10.48);

    มหาปุริสสฺส หิ จิตฺตสมฺปตฺติยา ปเจฺจกพุทฺธสฺส จ นิโรธโต วุฎฺฐิตภาเวน สตฺตสุ เจตนาสุ อาทิเจตนา ทิฎฺฐธมฺมเวทนียา อติอุฬารผลา จ ชาตาฯ อิทมฺปิ ตสฺส ทานสฺส อปฺปมตฺตผลนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ อปริมาณผลญฺหิ ตํ ทานํ โพธิสมฺภารภูตํฯ เตน วุตฺตํ –

    Mahāpurisassa hi cittasampattiyā paccekabuddhassa ca nirodhato vuṭṭhitabhāvena sattasu cetanāsu ādicetanā diṭṭhadhammavedanīyā atiuḷāraphalā ca jātā. Idampi tassa dānassa appamattaphalanti daṭṭhabbaṃ. Aparimāṇaphalañhi taṃ dānaṃ bodhisambhārabhūtaṃ. Tena vuttaṃ –

    ๑๙.

    19.

    ‘‘เตเนวาหํ สตคุณโต, สุขุมาโล สุเขธิโต;

    ‘‘Tenevāhaṃ sataguṇato, sukhumālo sukhedhito;

    อปิ จ ทานํ ปริปูเรโนฺต, เอวํ ตสฺส อทาสห’’นฺติฯ

    Api ca dānaṃ paripūrento, evaṃ tassa adāsaha’’nti.

    ตตฺถ เตนาติ ตโต ปเจฺจกพุทฺธโต, สตคุณโตติ สตคุเณน อหํ ตทา สงฺขภูโต สุขุมาโล, ตสฺมา สุเขธิโต สุขสํวโฑฺฒ, อปิ จ เอวํ สเนฺตปิ ทานํ ปริปูเรโนฺต, เอวํ มยฺหํ ทานปารมี ปริปูเรตูติ ตสฺส ปเจฺจกพุทฺธสฺส อตฺตโน สรีรทุกฺขํ อนเปกฺขิตฺวา ฉตฺตุปาหนํ อทาสินฺติ อตฺตโน ทานชฺฌาสยสฺส อุฬารภาวํ สตฺถา ปเวเทสิฯ

    Tattha tenāti tato paccekabuddhato, sataguṇatoti sataguṇena ahaṃ tadā saṅkhabhūto sukhumālo, tasmā sukhedhito sukhasaṃvaḍḍho, api ca evaṃ santepi dānaṃ paripūrento, evaṃ mayhaṃ dānapāramī paripūretūti tassa paccekabuddhassa attano sarīradukkhaṃ anapekkhitvā chattupāhanaṃ adāsinti attano dānajjhāsayassa uḷārabhāvaṃ satthā pavedesi.

    โพธิสโตฺตปิ ยาวชีวํ อมิตธนเคหํ อชฺฌาวสโนฺต ภิโยฺยโสมตฺตาย ทานานิ ทตฺวา สีลานิ รกฺขิตฺวา อายุปริโยสาเน สปริโส เทวนครํ ปูเรสิฯ

    Bodhisattopi yāvajīvaṃ amitadhanagehaṃ ajjhāvasanto bhiyyosomattāya dānāni datvā sīlāni rakkhitvā āyupariyosāne sapariso devanagaraṃ pūresi.

    ตทา เทวธีตา อุปฺปลวณฺณา อโหสิ, ปุริโส อานนฺทเตฺถโร, โลกนาโถ สงฺขพฺราหฺมโณฯ

    Tadā devadhītā uppalavaṇṇā ahosi, puriso ānandatthero, lokanātho saṅkhabrāhmaṇo.

    ตสฺส สุวิสุทฺธนิจฺจสีลอุโปสถสีลาทิวเสน สีลปารมี ทานสีลาทีนํ ปฎิปกฺขโต นิกฺขนฺตตฺตา กุสลธมฺมวเสน เนกฺขมฺมปารมี, ทานาทินิปฺผาทนตฺถํ อพฺภุสฺสหนวเสน ตถา มหาสมุทฺทตรณวายามวเสน จ วีริยปารมี, ตทตฺถํ อธิวาสนขนฺติวเสน ขนฺติปารมี, ปฎิญฺญานุรูปปฺปฎิปตฺติยา สจฺจปารมี, สพฺพตฺถ อจลสมาทานาธิฎฺฐานวเสน อธิฎฺฐานปารมี, สพฺพสเตฺตสุ หิตชฺฌาสยวเสน เมตฺตาปารมี, สตฺตสงฺขารกตวิปฺปกาเรสุ มชฺฌตฺตภาวปฺปตฺติยา อุเปกฺขาปารมี, สพฺพปารมีนํ อุปการานุปกาเร ธเมฺม ชานิตฺวา อนุปกาเร ธเมฺม ปหาย อุปการธเมฺมสุ ปวตฺตาปนปุเรจรา สหชาตา จ อุปายโกสลฺลภูตา ปญฺญา ปญฺญาปารมีติ อิมาปิ ปารมิโย ลพฺภนฺติฯ

    Tassa suvisuddhaniccasīlauposathasīlādivasena sīlapāramī dānasīlādīnaṃ paṭipakkhato nikkhantattā kusaladhammavasena nekkhammapāramī, dānādinipphādanatthaṃ abbhussahanavasena tathā mahāsamuddataraṇavāyāmavasena ca vīriyapāramī, tadatthaṃ adhivāsanakhantivasena khantipāramī, paṭiññānurūpappaṭipattiyā saccapāramī, sabbattha acalasamādānādhiṭṭhānavasena adhiṭṭhānapāramī, sabbasattesu hitajjhāsayavasena mettāpāramī, sattasaṅkhārakatavippakāresu majjhattabhāvappattiyā upekkhāpāramī, sabbapāramīnaṃ upakārānupakāre dhamme jānitvā anupakāre dhamme pahāya upakāradhammesu pavattāpanapurecarā sahajātā ca upāyakosallabhūtā paññā paññāpāramīti imāpi pāramiyo labbhanti.

    ทานชฺฌาสยสฺส ปน อติอุฬารภาเวน ทานปารมีวเสน เทสนา ปวตฺตาฯ ยสฺมา เจตฺถ ทส ปารมิโย ลพฺภนฺติ, ตสฺมา เหฎฺฐา วุตฺตา มหากรุณาทโย โพธิสตฺตคุณา อิธาปิ ยถารหํ นิทฺธาเรตพฺพาฯ ตถา อตฺตโน โภคสุขํ อนเปกฺขิตฺวา มหากรุณาย ‘‘ทานปารมิํ ปูเรสฺสามี’’ติ ทานสมฺภารสํหรณตฺถํ สมุทฺทตรณํ, ตตฺถ จ สมุทฺทปติตสฺสปิ อุโปสถาธิฎฺฐานํ, สีลขณฺฑภเยน เทวธีตายปิ อุปคตาย อาหารานาหรณนฺติ เอวมาทโย มหาสตฺตสฺส คุณา เวทิตพฺพาฯ อิทานิ วกฺขมาเนสุ เสสจริเตสุ อิมินาว นเยน คุณนิทฺธารณํ เวทิตพฺพํ ฯ ตตฺถ ตตฺถ วิเสสมตฺตเมว วกฺขามฯ เตเนตํ วุจฺจติ –

    Dānajjhāsayassa pana atiuḷārabhāvena dānapāramīvasena desanā pavattā. Yasmā cettha dasa pāramiyo labbhanti, tasmā heṭṭhā vuttā mahākaruṇādayo bodhisattaguṇā idhāpi yathārahaṃ niddhāretabbā. Tathā attano bhogasukhaṃ anapekkhitvā mahākaruṇāya ‘‘dānapāramiṃ pūressāmī’’ti dānasambhārasaṃharaṇatthaṃ samuddataraṇaṃ, tattha ca samuddapatitassapi uposathādhiṭṭhānaṃ, sīlakhaṇḍabhayena devadhītāyapi upagatāya āhārānāharaṇanti evamādayo mahāsattassa guṇā veditabbā. Idāni vakkhamānesu sesacaritesu imināva nayena guṇaniddhāraṇaṃ veditabbaṃ . Tattha tattha visesamattameva vakkhāma. Tenetaṃ vuccati –

    ‘‘เอวํ อจฺฉริยา เหเต, อพฺภุตา จ มเหสิโน…เป.…;

    ‘‘Evaṃ acchariyā hete, abbhutā ca mahesino…pe…;

    ปเควานุกิริยา เตสํ, ธมฺมสฺส อนุธมฺมโต’’ติฯ

    Pagevānukiriyā tesaṃ, dhammassa anudhammato’’ti.

    สงฺขพฺราหฺมณจริยาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Saṅkhabrāhmaṇacariyāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / จริยาปิฎกปาฬิ • Cariyāpiṭakapāḷi / ๒. สงฺขจริยา • 2. Saṅkhacariyā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact