Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya |
๘. สงฺขธมสุตฺตํ
8. Saṅkhadhamasuttaṃ
๓๖๐. เอกํ สมยํ ภควา นาฬนฺทายํ วิหรติ ปาวาริกมฺพวเนฯ อถ โข อสิพนฺธกปุโตฺต คามณิ นิคณฺฐสาวโก เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข อสิพนฺธกปุตฺตํ คามณิํ ภควา เอตทโวจ – ‘‘กถํ นุ โข, คามณิ, นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต สาวกานํ ธมฺมํ เทเสตี’’ติ? ‘‘เอวํ โข, ภเนฺต, นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต สาวกานํ ธมฺมํ เทเสติ – ‘โย โกจิ ปาณํ อติปาเตติ, สโพฺพ โส อาปายิโก เนรยิโก, โย โกจิ อทินฺนํ อาทิยติ, สโพฺพ โส อาปายิโก เนรยิโก , โย โกจิ กาเมสุ มิจฺฉา จรติ, สโพฺพ โส อาปายิโก เนรยิโก, โย โกจิ มุสา ภณติ สโพฺพ, โส อาปายิโก เนรยิโกฯ ยํพหุลํ ยํพหุลํ วิหรติ, เตน เตน นียตี’ติฯ เอวํ โข, ภเนฺต, นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต สาวกานํ ธมฺมํ เทเสตี’’ติฯ ‘‘‘ยํพหุลํ ยํพหุลญฺจ, คามณิ, วิหรติ, เตน เตน นียติ’, เอวํ สเนฺต น โกจิ อาปายิโก เนรยิโก ภวิสฺสติ, ยถา นิคณฺฐสฺส นาฎปุตฺตสฺส วจนํ’’ฯ
360. Ekaṃ samayaṃ bhagavā nāḷandāyaṃ viharati pāvārikambavane. Atha kho asibandhakaputto gāmaṇi nigaṇṭhasāvako yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho asibandhakaputtaṃ gāmaṇiṃ bhagavā etadavoca – ‘‘kathaṃ nu kho, gāmaṇi, nigaṇṭho nāṭaputto sāvakānaṃ dhammaṃ desetī’’ti? ‘‘Evaṃ kho, bhante, nigaṇṭho nāṭaputto sāvakānaṃ dhammaṃ deseti – ‘yo koci pāṇaṃ atipāteti, sabbo so āpāyiko nerayiko, yo koci adinnaṃ ādiyati, sabbo so āpāyiko nerayiko , yo koci kāmesu micchā carati, sabbo so āpāyiko nerayiko, yo koci musā bhaṇati sabbo, so āpāyiko nerayiko. Yaṃbahulaṃ yaṃbahulaṃ viharati, tena tena nīyatī’ti. Evaṃ kho, bhante, nigaṇṭho nāṭaputto sāvakānaṃ dhammaṃ desetī’’ti. ‘‘‘Yaṃbahulaṃ yaṃbahulañca, gāmaṇi, viharati, tena tena nīyati’, evaṃ sante na koci āpāyiko nerayiko bhavissati, yathā nigaṇṭhassa nāṭaputtassa vacanaṃ’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, คามณิ, โย โส ปุริโส ปาณาติปาตี รตฺติยา วา ทิวสสฺส วา สมยาสมยํ อุปาทาย, กตโม พหุตโร สมโย, ยํ วา โส ปาณมติปาเตติ, ยํ วา โส ปาณํ นาติปาเตตี’’ติ? ‘‘โย โส, ภเนฺต, ปุริโส ปาณาติปาตี รตฺติยา วา ทิวสสฺส วา สมยาสมยํ อุปาทาย, อปฺปตโร โส สมโย ยํ โส ปาณมติปาเตติ, อถ โข เสฺวว พหุตโร สมโย ยํ โส ปาณํ นาติปาเตตี’’ติฯ ‘‘‘ยํพหุลํ ยํพหุลญฺจ, คามณิ, วิหรติ เตน เตน นียตี’ติ, เอวํ สเนฺต น โกจิ อาปายิโก เนรยิโก ภวิสฺสติ, ยถา นิคณฺฐสฺส นาฎปุตฺตสฺส วจนํ’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, gāmaṇi, yo so puriso pāṇātipātī rattiyā vā divasassa vā samayāsamayaṃ upādāya, katamo bahutaro samayo, yaṃ vā so pāṇamatipāteti, yaṃ vā so pāṇaṃ nātipātetī’’ti? ‘‘Yo so, bhante, puriso pāṇātipātī rattiyā vā divasassa vā samayāsamayaṃ upādāya, appataro so samayo yaṃ so pāṇamatipāteti, atha kho sveva bahutaro samayo yaṃ so pāṇaṃ nātipātetī’’ti. ‘‘‘Yaṃbahulaṃ yaṃbahulañca, gāmaṇi, viharati tena tena nīyatī’ti, evaṃ sante na koci āpāyiko nerayiko bhavissati, yathā nigaṇṭhassa nāṭaputtassa vacanaṃ’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, คามณิ, โย โส ปุริโส อทินฺนาทายี รตฺติยา วา ทิวสสฺส วา สมยาสมยํ อุปาทาย, กตโม พหุตโร สมโย, ยํ วา โส อทินฺนํ อาทิยติ, ยํ วา โส อทินฺนํ นาทิยตี’’ติฯ ‘‘โย โส, ภเนฺต, ปุริโส อทินฺนาทายี รตฺติยา วา ทิวสสฺส วา สมยาสมยํ อุปาทาย อปฺปตโร โส สมโย, ยํ โส อทินฺนํ อาทิยติ, อถ โข เสฺวว พหุตโร สมโย, ยํ โส อทินฺนํ นาทิยตี’’ติฯ ‘‘‘ยํพหุลํ ยํพหุลญฺจ, คามณิ, วิหรติ เตน เตน นียตี’ติ, เอวํ สเนฺต น โกจิ อาปายิโก เนรยิโก ภวิสฺสติ, ยถา นิคณฺฐสฺส นาฎปุตฺตสฺส วจนํ’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, gāmaṇi, yo so puriso adinnādāyī rattiyā vā divasassa vā samayāsamayaṃ upādāya, katamo bahutaro samayo, yaṃ vā so adinnaṃ ādiyati, yaṃ vā so adinnaṃ nādiyatī’’ti. ‘‘Yo so, bhante, puriso adinnādāyī rattiyā vā divasassa vā samayāsamayaṃ upādāya appataro so samayo, yaṃ so adinnaṃ ādiyati, atha kho sveva bahutaro samayo, yaṃ so adinnaṃ nādiyatī’’ti. ‘‘‘Yaṃbahulaṃ yaṃbahulañca, gāmaṇi, viharati tena tena nīyatī’ti, evaṃ sante na koci āpāyiko nerayiko bhavissati, yathā nigaṇṭhassa nāṭaputtassa vacanaṃ’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, คามณิ, โย โส ปุริโส กาเมสุมิจฺฉาจารี รตฺติยา วา ทิวสสฺส วา สมยาสมยํ อุปาทาย, กตโม พหุตโร สมโย, ยํ วา โส กาเมสุ มิจฺฉา จรติ, ยํ วา โส กาเมสุ มิจฺฉา น จรตี’’ติ? ‘‘โย โส, ภเนฺต, ปุริโส กาเมสุมิจฺฉาจารี รตฺติยา วา ทิวสสฺส วา สมยาสมยํ อุปาทาย, อปฺปตโร โส สมโย ยํ โส กาเมสุ มิจฺฉา จรติ, อถ โข เสฺวว พหุตโร สมโย, ยํ โส กาเมสุ มิจฺฉา น จรตี’’ติฯ ‘‘‘ยํพหุลํ ยํพหุลญฺจ, คามณิ, วิหรติ เตน เตน นียตี’ติ , เอวํ สเนฺต น โกจิ อาปายิโก เนรยิโก ภวิสฺสติ, ยถา นิคณฺฐสฺส นาฎปุตฺตสฺส วจนํ’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, gāmaṇi, yo so puriso kāmesumicchācārī rattiyā vā divasassa vā samayāsamayaṃ upādāya, katamo bahutaro samayo, yaṃ vā so kāmesu micchā carati, yaṃ vā so kāmesu micchā na caratī’’ti? ‘‘Yo so, bhante, puriso kāmesumicchācārī rattiyā vā divasassa vā samayāsamayaṃ upādāya, appataro so samayo yaṃ so kāmesu micchā carati, atha kho sveva bahutaro samayo, yaṃ so kāmesu micchā na caratī’’ti. ‘‘‘Yaṃbahulaṃ yaṃbahulañca, gāmaṇi, viharati tena tena nīyatī’ti , evaṃ sante na koci āpāyiko nerayiko bhavissati, yathā nigaṇṭhassa nāṭaputtassa vacanaṃ’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, คามณิ, โย โส ปุริโส มุสาวาที รตฺติยา วา ทิวสสฺส วา สมยาสมยํ อุปาทาย, กตโม พหุตโร สมโย, ยํ วา โส มุสา ภณติ, ยํ วา โส มุสา น ภณตี’’ติ? ‘‘โย โส, ภเนฺต , ปุริโส มุสาวาที รตฺติยา วา ทิวสสฺส วา สมยาสมยํ อุปาทาย , อปฺปตโร โส สมโย, ยํ โส มุสา ภณติ, อถ โข เสฺวว พหุตโร สมโย, ยํ โส มุสา น ภณตี’’ติฯ ‘‘‘ยํพหุลํ ยํพหุลญฺจ, คามณิ, วิหรติ เตน เตน นียตี’ติ, เอวํ สเนฺต น โกจิ อาปายิโก เนรยิโก ภวิสฺสติ, ยถา นิคณฺฐสฺส นาฎปุตฺตสฺส วจนํ’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, gāmaṇi, yo so puriso musāvādī rattiyā vā divasassa vā samayāsamayaṃ upādāya, katamo bahutaro samayo, yaṃ vā so musā bhaṇati, yaṃ vā so musā na bhaṇatī’’ti? ‘‘Yo so, bhante , puriso musāvādī rattiyā vā divasassa vā samayāsamayaṃ upādāya , appataro so samayo, yaṃ so musā bhaṇati, atha kho sveva bahutaro samayo, yaṃ so musā na bhaṇatī’’ti. ‘‘‘Yaṃbahulaṃ yaṃbahulañca, gāmaṇi, viharati tena tena nīyatī’ti, evaṃ sante na koci āpāyiko nerayiko bhavissati, yathā nigaṇṭhassa nāṭaputtassa vacanaṃ’’.
‘‘อิธ, คามณิ, เอกโจฺจ สตฺถา เอวํวาที โหติ เอวํทิฎฺฐิ 1 – ‘โย โกจิ ปาณมติปาเตติ, สโพฺพ โส อาปายิโก เนรยิโก, โย โกจิ อทินฺนํ อาทิยติ, สโพฺพ โส อาปายิโก เนรยิโก, โย โกจิ กาเมสุ มิจฺฉา จรติ, สโพฺพ โส อาปายิโก เนรยิโก, โย โกจิ มุสา ภณติ, สโพฺพ โส อาปายิโก เนรยิโก’ติฯ ตสฺมิํ โข ปน, คามณิ, สตฺถริ สาวโก อภิปฺปสโนฺน โหติฯ ตสฺส เอวํ โหติ – ‘มยฺหํ โข สตฺถา เอวํวาที เอวํทิฎฺฐิ – โย โกจิ ปาณมติปาเตติ, สโพฺพ โส อาปายิโก เนรยิโกติฯ อตฺถิ โข ปน มยา ปาโณ อติปาติโต, อหมฺปมฺหิ อาปายิโก เนรยิโกติ ทิฎฺฐิํ ปฎิลภติฯ ตํ, คามณิ, วาจํ อปฺปหาย ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฎฺฐิํ อปฺปฎินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิโตฺต เอวํ นิรเยฯ มยฺหํ โข สตฺถา เอวํวาที เอวํทิฎฺฐิ – โย โกจิ อทินฺนํ อาทิยติ, สโพฺพ โส อาปายิโก เนรยิโกติฯ อตฺถิ โข ปน มยา อทินฺนํ อาทินฺนํ อหมฺปมฺหิ อาปายิโก เนรยิโกติ ทิฎฺฐิํ ปฎิลภติฯ ตํ, คามณิ, วาจํ อปฺปหาย ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฎฺฐิํ อปฺปฎินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิโตฺต เอวํ นิรเยฯ มยฺหํ โข สตฺถา เอวํวาที เอวํทิฎฺฐิ – โย โกจิ กาเมสุ มิจฺฉา จรติ, สโพฺพ โส อาปายิโก เนรยิโก’ติฯ อตฺถิ โข ปน มยา กาเมสุ มิจฺฉา จิณฺณํฯ ‘อหมฺปมฺหิ อาปายิโก เนรยิโก’ติ ทิฎฺฐิํ ปฎิลภติฯ ตํ, คามณิ, วาจํ อปฺปหาย ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฎฺฐิํ อปฺปฎินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิโตฺต เอวํ นิรเยฯ มยฺหํ โข สตฺถา เอวํวาที เอวํทิฎฺฐิ – โย โกจิ มุสา ภณติ, สโพฺพ โส อาปายิโก เนรยิโกติฯ อตฺถิ โข ปน มยา มุสา ภณิตํฯ ‘อหมฺปมฺหิ อาปายิโก เนรยิโก’ติ ทิฎฺฐิํ ปฎิลภติฯ ตํ, คามณิ, วาจํ อปฺปหาย ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฎฺฐิํ อปฺปฎินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิโตฺต เอวํ นิรเยฯ
‘‘Idha, gāmaṇi, ekacco satthā evaṃvādī hoti evaṃdiṭṭhi 2 – ‘yo koci pāṇamatipāteti, sabbo so āpāyiko nerayiko, yo koci adinnaṃ ādiyati, sabbo so āpāyiko nerayiko, yo koci kāmesu micchā carati, sabbo so āpāyiko nerayiko, yo koci musā bhaṇati, sabbo so āpāyiko nerayiko’ti. Tasmiṃ kho pana, gāmaṇi, satthari sāvako abhippasanno hoti. Tassa evaṃ hoti – ‘mayhaṃ kho satthā evaṃvādī evaṃdiṭṭhi – yo koci pāṇamatipāteti, sabbo so āpāyiko nerayikoti. Atthi kho pana mayā pāṇo atipātito, ahampamhi āpāyiko nerayikoti diṭṭhiṃ paṭilabhati. Taṃ, gāmaṇi, vācaṃ appahāya taṃ cittaṃ appahāya taṃ diṭṭhiṃ appaṭinissajjitvā yathābhataṃ nikkhitto evaṃ niraye. Mayhaṃ kho satthā evaṃvādī evaṃdiṭṭhi – yo koci adinnaṃ ādiyati, sabbo so āpāyiko nerayikoti. Atthi kho pana mayā adinnaṃ ādinnaṃ ahampamhi āpāyiko nerayikoti diṭṭhiṃ paṭilabhati. Taṃ, gāmaṇi, vācaṃ appahāya taṃ cittaṃ appahāya taṃ diṭṭhiṃ appaṭinissajjitvā yathābhataṃ nikkhitto evaṃ niraye. Mayhaṃ kho satthā evaṃvādī evaṃdiṭṭhi – yo koci kāmesu micchā carati, sabbo so āpāyiko nerayiko’ti. Atthi kho pana mayā kāmesu micchā ciṇṇaṃ. ‘Ahampamhi āpāyiko nerayiko’ti diṭṭhiṃ paṭilabhati. Taṃ, gāmaṇi, vācaṃ appahāya taṃ cittaṃ appahāya taṃ diṭṭhiṃ appaṭinissajjitvā yathābhataṃ nikkhitto evaṃ niraye. Mayhaṃ kho satthā evaṃvādī evaṃdiṭṭhi – yo koci musā bhaṇati, sabbo so āpāyiko nerayikoti. Atthi kho pana mayā musā bhaṇitaṃ. ‘Ahampamhi āpāyiko nerayiko’ti diṭṭhiṃ paṭilabhati. Taṃ, gāmaṇi, vācaṃ appahāya taṃ cittaṃ appahāya taṃ diṭṭhiṃ appaṭinissajjitvā yathābhataṃ nikkhitto evaṃ niraye.
‘‘อิธ ปน, คามณิ, ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชติ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ วิชฺชาจรณสมฺปโนฺน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุโทฺธ ภควาฯ โส อเนกปริยาเยน ปาณาติปาตํ ครหติ วิครหติ, ‘ปาณาติปาตา วิรมถา’ติ จาหฯ อทินฺนาทานํ ครหติ วิครหติ, ‘อทินฺนาทานา วิรมถา’ติ จาหฯ กาเมสุมิจฺฉาจารํ ครหติ, วิครหติ ‘กาเมสุมิจฺฉาจารา วิรมถา’ติ จาหฯ มุสาวาทํ ครหติ วิครหติ ‘มุสาวาทา วิรมถา’ติ จาหฯ ตสฺมิํ โข ปน, คามณิ, สตฺถริ สาวโก อภิปฺปสโนฺน โหติฯ โส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘ภควา โข อเนกปริยาเยน ปาณาติปาตํ ครหติ วิครหติ, ปาณาติปาตา วิรมถาติ จาหฯ อตฺถิ โข ปน มยา ปาโณ อติปาติโต ยาวตโก วา ตาวตโก วาฯ โย โข ปน มยา ปาโณ อติปาติโต ยาวตโก วา ตาวตโก วา, ตํ น สุฎฺฐุ, ตํ น สาธุฯ อหเญฺจว 3 โข ปน ตปฺปจฺจยา วิปฺปฎิสารี อสฺสํฯ น เมตํ ปาปํ กมฺมํ 4 อกตํ ภวิสฺสตี’ติฯ โส อิติ ปฎิสงฺขาย ตเญฺจว ปาณาติปาตํ ปชหติฯ อายติญฺจ ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต โหติฯ เอวเมตสฺส ปาปสฺส กมฺมสฺส ปหานํ โหติฯ เอวเมตสฺส ปาปสฺส กมฺมสฺส สมติกฺกโม โหติฯ
‘‘Idha pana, gāmaṇi, tathāgato loke uppajjati arahaṃ sammāsambuddho vijjācaraṇasampanno sugato lokavidū anuttaro purisadammasārathi satthā devamanussānaṃ buddho bhagavā. So anekapariyāyena pāṇātipātaṃ garahati vigarahati, ‘pāṇātipātā viramathā’ti cāha. Adinnādānaṃ garahati vigarahati, ‘adinnādānā viramathā’ti cāha. Kāmesumicchācāraṃ garahati, vigarahati ‘kāmesumicchācārā viramathā’ti cāha. Musāvādaṃ garahati vigarahati ‘musāvādā viramathā’ti cāha. Tasmiṃ kho pana, gāmaṇi, satthari sāvako abhippasanno hoti. So iti paṭisañcikkhati – ‘bhagavā kho anekapariyāyena pāṇātipātaṃ garahati vigarahati, pāṇātipātā viramathāti cāha. Atthi kho pana mayā pāṇo atipātito yāvatako vā tāvatako vā. Yo kho pana mayā pāṇo atipātito yāvatako vā tāvatako vā, taṃ na suṭṭhu, taṃ na sādhu. Ahañceva 5 kho pana tappaccayā vippaṭisārī assaṃ. Na metaṃ pāpaṃ kammaṃ 6 akataṃ bhavissatī’ti. So iti paṭisaṅkhāya tañceva pāṇātipātaṃ pajahati. Āyatiñca pāṇātipātā paṭivirato hoti. Evametassa pāpassa kammassa pahānaṃ hoti. Evametassa pāpassa kammassa samatikkamo hoti.
‘‘‘ภควา โข อเนกปริยาเยน อทินฺนาทานํ ครหติ วิครหติ, อทินฺนาทานา วิรมถาติ จาหฯ อตฺถิ โข ปน มยา อทินฺนํ อาทินฺนํ ยาวตกํ วา ตาวตกํ วาฯ ยํ โข ปน มยา อทินฺนํ อาทินฺนํ ยาวตกํ วา ตาวตกํ วา ตํ น สุฎฺฐุ, ตํ น สาธุฯ อหเญฺจว โข ปน ตปฺปจฺจยา วิปฺปฎิสารี อสฺสํ, น เมตํ ปาปํ กมฺมํ อกตํ ภวิสฺสตี’ติฯ โส อิติ ปฎิสงฺขาย ตเญฺจว อทินฺนาทานํ ปชหติฯ อายติญฺจ อทินฺนาทานา ปฎิวิรโต โหติฯ เอวเมตสฺส ปาปสฺส กมฺมสฺส ปหานํ โหติฯ เอวเมตสฺส ปาปสฺส กมฺมสฺส สมติกฺกโม โหติฯ
‘‘‘Bhagavā kho anekapariyāyena adinnādānaṃ garahati vigarahati, adinnādānā viramathāti cāha. Atthi kho pana mayā adinnaṃ ādinnaṃ yāvatakaṃ vā tāvatakaṃ vā. Yaṃ kho pana mayā adinnaṃ ādinnaṃ yāvatakaṃ vā tāvatakaṃ vā taṃ na suṭṭhu, taṃ na sādhu. Ahañceva kho pana tappaccayā vippaṭisārī assaṃ, na metaṃ pāpaṃ kammaṃ akataṃ bhavissatī’ti. So iti paṭisaṅkhāya tañceva adinnādānaṃ pajahati. Āyatiñca adinnādānā paṭivirato hoti. Evametassa pāpassa kammassa pahānaṃ hoti. Evametassa pāpassa kammassa samatikkamo hoti.
‘‘‘ภควา โข ปน อเนกปริยาเยน กาเมสุมิจฺฉาจารํ ครหติ วิครหติ, กาเมสุมิจฺฉาจารา วิรมถาติ จาหฯ อตฺถิ โข ปน มยา กาเมสุ มิจฺฉา จิณฺณํ ยาวตกํ วา ตาวตกํ วาฯ ยํ โข ปน มยา กาเมสุ มิจฺฉา จิณฺณํ ยาวตกํ วา ตาวตกํ วา ตํ น สุฎฺฐุ, ตํ น สาธุฯ อหเญฺจว โข ปน ตปฺปจฺจยา วิปฺปฎิสารี อสฺสํ, น เมตํ ปาปํ กมฺมํ อกตํ ภวิสฺสตี’ติฯ โส อิติ ปฎิสงฺขาย ตเญฺจว กาเมสุมิจฺฉาจารํ ปชหติ, อายติญฺจ กาเมสุมิจฺฉาจารา ปฎิวิรโต โหติฯ เอวเมตสฺส ปาปสฺส กมฺมสฺส ปหานํ โหติฯ เอวเมตสฺส ปาปสฺส กมฺมสฺส สมติกฺกโม โหติฯ
‘‘‘Bhagavā kho pana anekapariyāyena kāmesumicchācāraṃ garahati vigarahati, kāmesumicchācārā viramathāti cāha. Atthi kho pana mayā kāmesu micchā ciṇṇaṃ yāvatakaṃ vā tāvatakaṃ vā. Yaṃ kho pana mayā kāmesu micchā ciṇṇaṃ yāvatakaṃ vā tāvatakaṃ vā taṃ na suṭṭhu, taṃ na sādhu. Ahañceva kho pana tappaccayā vippaṭisārī assaṃ, na metaṃ pāpaṃ kammaṃ akataṃ bhavissatī’ti. So iti paṭisaṅkhāya tañceva kāmesumicchācāraṃ pajahati, āyatiñca kāmesumicchācārā paṭivirato hoti. Evametassa pāpassa kammassa pahānaṃ hoti. Evametassa pāpassa kammassa samatikkamo hoti.
‘‘‘ภควา โข ปน อเนกปริยาเยน มุสาวาทํ ครหติ วิครหติ, มุสาวาทา วิรมถาติ จาหฯ อตฺถิ โข ปน มยา มุสา ภณิตํ ยาวตกํ วา ตาวตกํ วาฯ ยํ โข ปน มยา มุสา ภณิตํ ยาวตกํ วา ตาวตกํ วา ตํ น สุฎฺฐุ, ตํ น สาธุฯ อหเญฺจว โข ปน ตปฺปจฺจยา วิปฺปฎิสารี อสฺสํ, น เมตํ ปาปํ กมฺมํ อกตํ ภวิสฺสตี’ติฯ โส อิติ ปฎิสงฺขาย ตเญฺจว มุสาวาทํ ปชหติ, อายติญฺจ มุสาวาทา ปฎิวิรโต โหติฯ เอวเมตสฺส ปาปสฺส กมฺมสฺส ปหานํ โหติฯ เอวเมตสฺส ปาปสฺส กมฺมสฺส สมติกฺกโม โหติฯ
‘‘‘Bhagavā kho pana anekapariyāyena musāvādaṃ garahati vigarahati, musāvādā viramathāti cāha. Atthi kho pana mayā musā bhaṇitaṃ yāvatakaṃ vā tāvatakaṃ vā. Yaṃ kho pana mayā musā bhaṇitaṃ yāvatakaṃ vā tāvatakaṃ vā taṃ na suṭṭhu, taṃ na sādhu. Ahañceva kho pana tappaccayā vippaṭisārī assaṃ, na metaṃ pāpaṃ kammaṃ akataṃ bhavissatī’ti. So iti paṭisaṅkhāya tañceva musāvādaṃ pajahati, āyatiñca musāvādā paṭivirato hoti. Evametassa pāpassa kammassa pahānaṃ hoti. Evametassa pāpassa kammassa samatikkamo hoti.
‘‘โส ปาณาติปาตํ ปหาย ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต โหติฯ อทินฺนาทานํ ปหาย อทินฺนาทานา ปฎิวิรโต โหติฯ กาเมสุมิจฺฉาจารํ ปหาย กาเมสุมิจฺฉาจารา ปฎิวิรโต โหติฯ มุสาวาทํ ปหาย มุสาวาทา ปฎิวิรโต โหติฯ ปิสุณํ วาจํ ปหาย ปิสุณาย วาจาย ปฎิวิรโต โหติฯ ผรุสํ วาจํ ปหาย ผรุสาย วาจาย ปฎิวิรโต โหติฯ สมฺผปฺปลาปํ ปหาย สมฺผปฺปลาปา ปฎิวิรโต โหติฯ อภิชฺฌํ ปหาย อนภิชฺฌาลุ โหติฯ พฺยาปาทปฺปโทสํ ปหาย อพฺยาปนฺนจิโตฺต โหติฯ มิจฺฉาทิฎฺฐิํ ปหาย สมฺมาทิฎฺฐิโก โหติฯ
‘‘So pāṇātipātaṃ pahāya pāṇātipātā paṭivirato hoti. Adinnādānaṃ pahāya adinnādānā paṭivirato hoti. Kāmesumicchācāraṃ pahāya kāmesumicchācārā paṭivirato hoti. Musāvādaṃ pahāya musāvādā paṭivirato hoti. Pisuṇaṃ vācaṃ pahāya pisuṇāya vācāya paṭivirato hoti. Pharusaṃ vācaṃ pahāya pharusāya vācāya paṭivirato hoti. Samphappalāpaṃ pahāya samphappalāpā paṭivirato hoti. Abhijjhaṃ pahāya anabhijjhālu hoti. Byāpādappadosaṃ pahāya abyāpannacitto hoti. Micchādiṭṭhiṃ pahāya sammādiṭṭhiko hoti.
‘‘ส โข โส, คามณิ, อริยสาวโก เอวํ วิคตาภิโชฺฌ วิคตพฺยาปาโท อสมฺมูโฬฺห สมฺปชาโน ปฎิสฺสโต เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํฯ อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ เมตฺตาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาปเชฺชน ผริตฺวา วิหรติฯ เสยฺยถาปิ, คามณิ, พลวา สงฺขธโม อปฺปกสิเรเนว จตุทฺทิสา วิญฺญาเปยฺย; เอวเมว โข, คามณิ, เอวํ ภาวิตาย เมตฺตาย เจโตวิมุตฺติยา เอวํ พหุลีกตาย ยํ ปมาณกตํ กมฺมํ, น ตํ ตตฺราวสิสฺสติ, น ตํ ตตฺราวติฎฺฐติฯ
‘‘Sa kho so, gāmaṇi, ariyasāvako evaṃ vigatābhijjho vigatabyāpādo asammūḷho sampajāno paṭissato mettāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ. Iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ mettāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyāpajjena pharitvā viharati. Seyyathāpi, gāmaṇi, balavā saṅkhadhamo appakasireneva catuddisā viññāpeyya; evameva kho, gāmaṇi, evaṃ bhāvitāya mettāya cetovimuttiyā evaṃ bahulīkatāya yaṃ pamāṇakataṃ kammaṃ, na taṃ tatrāvasissati, na taṃ tatrāvatiṭṭhati.
‘‘ส โข โส, คามณิ, อริยสาวโก เอวํ วิคตาภิโชฺฌ วิคตพฺยาปาโท อสมฺมูโฬฺห สมฺปชาโน ปฎิสฺสโต กรุณาสหคเตน เจตสา…เป.… มุทิตาสหคเตน เจตสา…เป.…ฯ อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํฯ อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาปเชฺชน ผริตฺวา วิหรติฯ เสยฺยถาปิ, คามณิ, พลวา สงฺขธโม อปฺปกสิเรเนว จตุทฺทิสา วิญฺญาเปยฺย; เอวเมว โข, คามณิ, เอวํ ภาวิตาย อุเปกฺขาย เจโตวิมุตฺติยา เอวํ พหุลีกตาย ยํ ปมาณกตํ กมฺมํ น ตํ ตตฺราวสิสฺสติ, น ตํ ตตฺราวติฎฺฐตี’’ติฯ เอวํ วุเตฺต, อสิพนฺธกปุโตฺต คามณิ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อภิกฺกนฺตํ, ภเนฺต, อภิกฺกนฺตํ, ภเนฺต…เป.… อุปาสกํ มํ ภควา ธาเรตุ อชฺชตเคฺค ปาณุเปตํ สรณํ คต’’นฺติฯ อฎฺฐมํฯ
‘‘Sa kho so, gāmaṇi, ariyasāvako evaṃ vigatābhijjho vigatabyāpādo asammūḷho sampajāno paṭissato karuṇāsahagatena cetasā…pe… muditāsahagatena cetasā…pe…. Upekkhāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ. Iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ upekkhāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyāpajjena pharitvā viharati. Seyyathāpi, gāmaṇi, balavā saṅkhadhamo appakasireneva catuddisā viññāpeyya; evameva kho, gāmaṇi, evaṃ bhāvitāya upekkhāya cetovimuttiyā evaṃ bahulīkatāya yaṃ pamāṇakataṃ kammaṃ na taṃ tatrāvasissati, na taṃ tatrāvatiṭṭhatī’’ti. Evaṃ vutte, asibandhakaputto gāmaṇi bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘abhikkantaṃ, bhante, abhikkantaṃ, bhante…pe… upāsakaṃ maṃ bhagavā dhāretu ajjatagge pāṇupetaṃ saraṇaṃ gata’’nti. Aṭṭhamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) / ๘. สงฺขธมสุตฺตวณฺณนา • 8. Saṅkhadhamasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๘. สงฺขธมสุตฺตวณฺณนา • 8. Saṅkhadhamasuttavaṇṇanā