Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๔๔๒] ๔. สงฺขชาตกวณฺณนา

    [442] 4. Saṅkhajātakavaṇṇanā

    พหุสฺสุโตติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต สพฺพปริกฺขารทานํ อารพฺภ กเถสิฯ สาวตฺถิยํ กิเรโก อุปาสโก ตถาคตสฺส ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปสนฺนจิโตฺต สฺวาตนาย นิมเนฺตตฺวา อตฺตโน ฆรทฺวาเร มณฺฑปํ กาเรตฺวา อลงฺกริตฺวา ปุนทิวเส ตถาคตสฺส กาลํ อาโรจาเปสิฯ สตฺถา ปญฺจสตภิกฺขุปริวาโร ตตฺถ คนฺตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิฯ อุปาสโก สปุตฺตทาโร สปริชโน พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ ทตฺวา ปุน สฺวาตนายาติ เอวํ สตฺตาหํ นิมเนฺตตฺวา มหาทานํ ปวเตฺตตฺวา สตฺตเม ทิวเส สพฺพปริกฺขารํ อทาสิฯ ตํ ปน ททมาโน อุปาหนทานํ อุสฺสนฺนํ กตฺวา อทาสิฯ ทสพลสฺส ทิโนฺน อุปาหนสงฺฆาโฎ สหสฺสคฺฆนโก อโหสิ, ทฺวินฺนํ อคฺคสาวกานํ ปญฺจสตคฺฆนโก, เสสานํ ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ สตคฺฆนโกฯ อิติ โส สพฺพปริกฺขารทานํ ทตฺวา อตฺตโน ปริสาย สทฺธิํ ภควโต สนฺติเก นิสีทิฯ อถสฺส สตฺถา มธุเรน สเรน อนุโมทนํ กโรโนฺต ‘‘อุปาสก, อุฬารํ เต สพฺพปริกฺขารทานํ, อตฺตมโน โหหิ, ปุเพฺพ อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ ปเจฺจกพุทฺธสฺส เอกํ อุปาหนสงฺฆาฎํ ทตฺวา นาวาย ภินฺนาย อปฺปติเฎฺฐ มหาสมุเทฺทปิ อุปาหนทานนิสฺสเนฺทน ปติฎฺฐํ ลภิํสุ, ตฺวํ ปน พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส สพฺพปริกฺขารทานํ อทาสิ, ตสฺส เต อุปาหนทานสฺส ผลํ กสฺมา น ปติฎฺฐา ภวิสฺสตี’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Bahussutoti idaṃ satthā jetavane viharanto sabbaparikkhāradānaṃ ārabbha kathesi. Sāvatthiyaṃ kireko upāsako tathāgatassa dhammadesanaṃ sutvā pasannacitto svātanāya nimantetvā attano gharadvāre maṇḍapaṃ kāretvā alaṅkaritvā punadivase tathāgatassa kālaṃ ārocāpesi. Satthā pañcasatabhikkhuparivāro tattha gantvā paññatte āsane nisīdi. Upāsako saputtadāro saparijano buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ datvā puna svātanāyāti evaṃ sattāhaṃ nimantetvā mahādānaṃ pavattetvā sattame divase sabbaparikkhāraṃ adāsi. Taṃ pana dadamāno upāhanadānaṃ ussannaṃ katvā adāsi. Dasabalassa dinno upāhanasaṅghāṭo sahassagghanako ahosi, dvinnaṃ aggasāvakānaṃ pañcasatagghanako, sesānaṃ pañcannaṃ bhikkhusatānaṃ satagghanako. Iti so sabbaparikkhāradānaṃ datvā attano parisāya saddhiṃ bhagavato santike nisīdi. Athassa satthā madhurena sarena anumodanaṃ karonto ‘‘upāsaka, uḷāraṃ te sabbaparikkhāradānaṃ, attamano hohi, pubbe anuppanne buddhe paccekabuddhassa ekaṃ upāhanasaṅghāṭaṃ datvā nāvāya bhinnāya appatiṭṭhe mahāsamuddepi upāhanadānanissandena patiṭṭhaṃ labhiṃsu, tvaṃ pana buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa sabbaparikkhāradānaṃ adāsi, tassa te upāhanadānassa phalaṃ kasmā na patiṭṭhā bhavissatī’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต อยํ พาราณสี โมฬินี นาม อโหสิฯ โมฬินินคเร พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต สโงฺข นาม พฺราหฺมโณ อโฑฺฒ มหทฺธโน มหาโภโค ปหูตวิตฺตุปกรโณ ปหูตธนธญฺญสุวณฺณรชโต จตูสุ นครทฺวาเรสุ นครมเชฺฌ นิเวสนทฺวาเร จาติ ฉสุ ฐาเนสุ ฉ ทานสาลาโย กาเรตฺวา เทวสิกํ ฉสตสหสฺสานิ วิสฺสเชฺชโนฺต กปณทฺธิกานํ มหาทานํ ปวเตฺตสิฯ โส เอกทิวสํ จิเนฺตสิ ‘‘อหํ เคเห ธเน ขีเณ ทาตุํ น สกฺขิสฺสามิ, อปริกฺขีเณเยว ธเน นาวาย สุวณฺณภูมิํ คนฺตฺวา ธนํ อาหริสฺสามี’’ติฯ โส นาวํ พนฺธาเปตฺวา ภณฺฑสฺส ปูราเปตฺวา ปุตฺตทารํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ยาวาหํ อาคจฺฉามิ , ตาว เม ทานํ อนุปจฺฉินฺทิตฺวา ปวเตฺตยฺยาถา’’ติ วตฺวา ทาสกมฺมกรปริวุโต ฉตฺตํ อาทาย อุปาหนํ อารุยฺห มชฺฌนฺหิกสมเย ปฎฺฎนคามาภิมุโข ปายาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ คนฺธมาทเน เอโก ปเจฺจกพุโทฺธ อาวเชฺชตฺวา ตํ ธนาหรณตฺถาย คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘มหาปุริโส ธนํ อาหริตุํ คจฺฉติ, ภวิสฺสติ นุ โข อสฺส สมุเทฺท อนฺตราโย, โน’’ติ อาวเชฺชตฺวา ‘‘ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ‘‘เอส มํ ทิสฺวา ฉตฺตญฺจ อุปาหนญฺจ มยฺหํ ทตฺวา อุปาหนทานนิสฺสเนฺทน สมุเทฺท ภินฺนาย นาวาย ปติฎฺฐํ ลภิสฺสติ, กริสฺสามิสฺส อนุคฺคห’’นฺติ อากาเสนาคนฺตฺวา ตสฺสาวิทูเร โอตริตฺวา จณฺฑวาตาตเป องฺคารสนฺถรสทิสํ อุณฺหวาลุกํ มทฺทโนฺต ตสฺส อภิมุโข อาคจฺฉิฯ

    Atīte ayaṃ bārāṇasī moḷinī nāma ahosi. Moḷininagare brahmadatte rajjaṃ kārente saṅkho nāma brāhmaṇo aḍḍho mahaddhano mahābhogo pahūtavittupakaraṇo pahūtadhanadhaññasuvaṇṇarajato catūsu nagaradvāresu nagaramajjhe nivesanadvāre cāti chasu ṭhānesu cha dānasālāyo kāretvā devasikaṃ chasatasahassāni vissajjento kapaṇaddhikānaṃ mahādānaṃ pavattesi. So ekadivasaṃ cintesi ‘‘ahaṃ gehe dhane khīṇe dātuṃ na sakkhissāmi, aparikkhīṇeyeva dhane nāvāya suvaṇṇabhūmiṃ gantvā dhanaṃ āharissāmī’’ti. So nāvaṃ bandhāpetvā bhaṇḍassa pūrāpetvā puttadāraṃ āmantetvā ‘‘yāvāhaṃ āgacchāmi , tāva me dānaṃ anupacchinditvā pavatteyyāthā’’ti vatvā dāsakammakaraparivuto chattaṃ ādāya upāhanaṃ āruyha majjhanhikasamaye paṭṭanagāmābhimukho pāyāsi. Tasmiṃ khaṇe gandhamādane eko paccekabuddho āvajjetvā taṃ dhanāharaṇatthāya gacchantaṃ disvā ‘‘mahāpuriso dhanaṃ āharituṃ gacchati, bhavissati nu kho assa samudde antarāyo, no’’ti āvajjetvā ‘‘bhavissatī’’ti ñatvā ‘‘esa maṃ disvā chattañca upāhanañca mayhaṃ datvā upāhanadānanissandena samudde bhinnāya nāvāya patiṭṭhaṃ labhissati, karissāmissa anuggaha’’nti ākāsenāgantvā tassāvidūre otaritvā caṇḍavātātape aṅgārasantharasadisaṃ uṇhavālukaṃ maddanto tassa abhimukho āgacchi.

    โส ตํ ทิสฺวาว ‘‘ปุญฺญเกฺขตฺตํ เม อาคตํ, อชฺช มยา เอตฺถ ทานพีชํ โรเปตุํ วฎฺฎตี’’ติ ตุฎฺฐจิโตฺต เวเคน ตํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, มยฺหํ อนุคฺคหตฺถาย โถกํ มคฺคา โอกฺกมฺม อิมํ รุกฺขมูลํ อุปสงฺกมถา’’ติ วตฺวา ตสฺมิํ รุกฺขมูลํ อุปสงฺกมเนฺต รุกฺขมูเล วาลุกํ อุสฺสาเปตฺวา อุตฺตราสงฺคํ ปญฺญเปตฺวา ปเจฺจกพุทฺธํ นิสีทาเปตฺวา วนฺทิตฺวา วาสิตปริสฺสาวิเตน อุทเกน ปาเท โธวิตฺวา คนฺธเตเลน มเกฺขตฺวา อตฺตโน อุปาหนา โอมุญฺจิตฺวา ปโปฺผเฎตฺวา คนฺธเตเลน มเกฺขตฺวา ตสฺส ปาเทสุ ปฎิมุญฺจิตฺวา ‘‘ภเนฺต, อิมา อุปาหนา อารุยฺห ฉตฺตํ มตฺถเก กตฺวา คจฺฉถา’’ติ ฉตฺตุปาหนํ อทาสิฯ โส อสฺส อนุคฺคหตฺถาย ตํ คเหตฺวา ปสาทสํวฑฺฒนตฺถํ ปสฺสนฺตเสฺสวสฺส อุปฺปติตฺวา คนฺธมาทนเมว อคมาสิฯ โพธิสโตฺตปิ ตํ ทิสฺวา อติวิย ปสนฺนจิโตฺต ปฎฺฎนํ คนฺตฺวา นาวํ อภิรุหิฯ อถสฺส มหาสมุทฺทํ ปฎิปนฺนสฺส สตฺตเม ทิวเส นาวา วิวรํ อทาสิ, อุทกํ อุสฺสิญฺจิตุํ นาสกฺขิํสุฯ มหาชโน มรณภยภีโต อตฺตโน อตฺตโน เทวตา นมสฺสิตฺวา มหาวิรวํ วิรวิฯ มหาสโตฺต เอกํ อุปฎฺฐากํ คเหตฺวา สกลสรีรํ เตเลน มเกฺขตฺวา สปฺปินา สทฺธิํ สกฺขรจุณฺณํ ยาวทตฺถํ ขาทิตฺวา ตมฺปิ ขาทาเปตฺวา เตน สทฺธิํ กูปกยฎฺฐิมตฺถกํ อารุยฺห ‘‘อิมาย ทิสาย อมฺหากํ นคร’’นฺติ ทิสํ ววตฺถเปตฺวา มจฺฉกจฺฉปปริปนฺถโต อตฺตานํ โมเจโนฺต เตน สทฺธิํ อุสภมตฺตํ อติกฺกมิตฺวา ปติฯ มหาชโน วินาสํ ปาปุณิฯ มหาสโตฺต ปน อุปฎฺฐาเกน สทฺธิํ สมุทฺทํ ตริตุํ อารภิฯ ตสฺส ตรนฺตเสฺสว สตฺตโม ทิวโส ชาโตฯ โส ตสฺมิมฺปิ กาเล โลโณทเกน มุขํ วิกฺขาเลตฺวา อุโปสถิโก อโหสิเยวฯ

    So taṃ disvāva ‘‘puññakkhettaṃ me āgataṃ, ajja mayā ettha dānabījaṃ ropetuṃ vaṭṭatī’’ti tuṭṭhacitto vegena taṃ upasaṅkamitvā vanditvā ‘‘bhante, mayhaṃ anuggahatthāya thokaṃ maggā okkamma imaṃ rukkhamūlaṃ upasaṅkamathā’’ti vatvā tasmiṃ rukkhamūlaṃ upasaṅkamante rukkhamūle vālukaṃ ussāpetvā uttarāsaṅgaṃ paññapetvā paccekabuddhaṃ nisīdāpetvā vanditvā vāsitaparissāvitena udakena pāde dhovitvā gandhatelena makkhetvā attano upāhanā omuñcitvā papphoṭetvā gandhatelena makkhetvā tassa pādesu paṭimuñcitvā ‘‘bhante, imā upāhanā āruyha chattaṃ matthake katvā gacchathā’’ti chattupāhanaṃ adāsi. So assa anuggahatthāya taṃ gahetvā pasādasaṃvaḍḍhanatthaṃ passantassevassa uppatitvā gandhamādanameva agamāsi. Bodhisattopi taṃ disvā ativiya pasannacitto paṭṭanaṃ gantvā nāvaṃ abhiruhi. Athassa mahāsamuddaṃ paṭipannassa sattame divase nāvā vivaraṃ adāsi, udakaṃ ussiñcituṃ nāsakkhiṃsu. Mahājano maraṇabhayabhīto attano attano devatā namassitvā mahāviravaṃ viravi. Mahāsatto ekaṃ upaṭṭhākaṃ gahetvā sakalasarīraṃ telena makkhetvā sappinā saddhiṃ sakkharacuṇṇaṃ yāvadatthaṃ khāditvā tampi khādāpetvā tena saddhiṃ kūpakayaṭṭhimatthakaṃ āruyha ‘‘imāya disāya amhākaṃ nagara’’nti disaṃ vavatthapetvā macchakacchapaparipanthato attānaṃ mocento tena saddhiṃ usabhamattaṃ atikkamitvā pati. Mahājano vināsaṃ pāpuṇi. Mahāsatto pana upaṭṭhākena saddhiṃ samuddaṃ tarituṃ ārabhi. Tassa tarantasseva sattamo divaso jāto. So tasmimpi kāle loṇodakena mukhaṃ vikkhāletvā uposathiko ahosiyeva.

    ตทา ปน จตูหิ โลกปาเลหิ มณิเมขลา นาม เทวธีตา ‘‘สเจ สมุเทฺท นาวาย ภินฺนาย ติสรณคตา วา สีลสมฺปนฺนา วา มาตาปิตุปฎฺฐากา วา มนุสฺสา ทุกฺขปฺปตฺตา โหนฺติ, เต รเกฺขยฺยาสี’’ติ สมุเทฺท อารกฺขณตฺถาย ฐปิตา โหติฯ สา อตฺตโน อิสฺสริเยน สตฺตาหมนุภวิตฺวา ปมชฺชิตฺวา สตฺตเม ทิวเส สมุทฺทํ โอโลเกนฺตี สีลาจารสํยุตฺตํ สงฺขพฺราหฺมณํ ทิสฺวา ‘‘อิมสฺส สตฺตโม ทิวโส สมุเทฺท ปติตสฺส, สเจ โส มริสฺสติ อติวิย คารยฺหา เม ภวิสฺสตี’’ติ สํวิคฺคมานหทยา หุตฺวา เอกํ สุวณฺณปาติํ นานคฺครสโภชนสฺส ปูเรตฺวา วาตเวเคน ตตฺถ คนฺตฺวา ตสฺส ปุรโต อากาเส ฐตฺวา ‘‘พฺราหฺมณ, ตฺวํ สตฺตาหํ นิราหาโร, อิทํ ทิพฺพโภชนํ ภุญฺชา’’ติ อาหฯ โส ตํ โอโลเกตฺวา ‘‘อปเนหิ ตว ภตฺตํ, อหํ อุโปสถิโก’’ติ อาหฯ อถสฺส อุปฎฺฐาโก ปจฺฉโต อาคโต เทวตํ อทิสฺวา สทฺทเมว สุตฺวา ‘‘อยํ พฺราหฺมโณ ปกติสุขุมาโล สตฺตาหํ นิราหารตาย ทุกฺขิโต มรณภเยน วิลปติ มเญฺญ, อสฺสาเสสฺสามิ น’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ปฐมํ คาถมาห –

    Tadā pana catūhi lokapālehi maṇimekhalā nāma devadhītā ‘‘sace samudde nāvāya bhinnāya tisaraṇagatā vā sīlasampannā vā mātāpitupaṭṭhākā vā manussā dukkhappattā honti, te rakkheyyāsī’’ti samudde ārakkhaṇatthāya ṭhapitā hoti. Sā attano issariyena sattāhamanubhavitvā pamajjitvā sattame divase samuddaṃ olokentī sīlācārasaṃyuttaṃ saṅkhabrāhmaṇaṃ disvā ‘‘imassa sattamo divaso samudde patitassa, sace so marissati ativiya gārayhā me bhavissatī’’ti saṃviggamānahadayā hutvā ekaṃ suvaṇṇapātiṃ nānaggarasabhojanassa pūretvā vātavegena tattha gantvā tassa purato ākāse ṭhatvā ‘‘brāhmaṇa, tvaṃ sattāhaṃ nirāhāro, idaṃ dibbabhojanaṃ bhuñjā’’ti āha. So taṃ oloketvā ‘‘apanehi tava bhattaṃ, ahaṃ uposathiko’’ti āha. Athassa upaṭṭhāko pacchato āgato devataṃ adisvā saddameva sutvā ‘‘ayaṃ brāhmaṇo pakatisukhumālo sattāhaṃ nirāhāratāya dukkhito maraṇabhayena vilapati maññe, assāsessāmi na’’nti cintetvā paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๓๙.

    39.

    ‘‘พหุสฺสุโต สุตธโมฺมสิ สงฺข, ทิฎฺฐา ตยา สมณพฺราหฺมณา จ;

    ‘‘Bahussuto sutadhammosi saṅkha, diṭṭhā tayā samaṇabrāhmaṇā ca;

    อถกฺขเณ ทสฺสยเส วิลาปํ, อโญฺญ นุ โก เต ปฎิมนฺตโก มยา’’ติฯ

    Athakkhaṇe dassayase vilāpaṃ, añño nu ko te paṭimantako mayā’’ti.

    ตตฺถ สุตธโมฺมสีติ ธโมฺมปิ ตยา ธมฺมิกสมณพฺราหฺมณานํ สนฺติเก สุโต อสิฯ ทิฎฺฐา ตยาติ เตสํ ปจฺจเย เทเนฺตน เวยฺยาวจฺจํ กโรเนฺตน ธมฺมิกสมณพฺราหฺมณา จ ตยา ทิฎฺฐาฯ เอวํ อกโรโนฺต หิ ปสฺสโนฺตปิ เต น ปสฺสติเยวฯ อถกฺขเณติ อถ อกฺขเณ สลฺลปนฺตสฺส กสฺสจิ อภาเวน วจนสฺส อโนกาเสฯ ทสฺสยเสติ ‘‘อหํ อุโปสถิโก’’ติ วทโนฺต วิลาปํ ทเสฺสสิฯ ปฎิมนฺตโกติ มยา อโญฺญ โก ตว ปฎิมนฺตโก ปฎิวจนทายโก, กิํการณา เอวํ วิปฺปลปสีติ?

    Tattha sutadhammosīti dhammopi tayā dhammikasamaṇabrāhmaṇānaṃ santike suto asi. Diṭṭhā tayāti tesaṃ paccaye dentena veyyāvaccaṃ karontena dhammikasamaṇabrāhmaṇā ca tayā diṭṭhā. Evaṃ akaronto hi passantopi te na passatiyeva. Athakkhaṇeti atha akkhaṇe sallapantassa kassaci abhāvena vacanassa anokāse. Dassayaseti ‘‘ahaṃ uposathiko’’ti vadanto vilāpaṃ dassesi. Paṭimantakoti mayā añño ko tava paṭimantako paṭivacanadāyako, kiṃkāraṇā evaṃ vippalapasīti?

    โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘อิมสฺส เทวตา น ปญฺญายติ มเญฺญ’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘สมฺม, นาหํ มรณสฺส ภายามิ, อตฺถิ ปน เม อโญฺญ ปฎิมนฺตโก’’ติ วตฺวา ทุติยํ คาถมาห –

    So tassa vacanaṃ sutvā ‘‘imassa devatā na paññāyati maññe’’ti cintetvā ‘‘samma, nāhaṃ maraṇassa bhāyāmi, atthi pana me añño paṭimantako’’ti vatvā dutiyaṃ gāthamāha –

    ๔๐.

    40.

    ‘‘สุพฺภู สุภา สุปฺปฎิมุกฺกกมฺพุ, ปคฺคยฺห โสวณฺณมยาย ปาติยา;

    ‘‘Subbhū subhā suppaṭimukkakambu, paggayha sovaṇṇamayāya pātiyā;

    ‘ภุญฺชสฺสุ ภตฺตํ’ อิติ มํ วเทติ, สทฺธาวิตฺตา, ตมหํ โนติ พฺรูมี’’ติฯ

    ‘Bhuñjassu bhattaṃ’ iti maṃ vadeti, saddhāvittā, tamahaṃ noti brūmī’’ti.

    ตตฺถ สุพฺภูติ สุภมุขาฯ สุภาติ ปาสาทิกา อุตฺตมรูปธราฯ สุปฺปฎิมุกฺกกมฺพูติ ปฎิมุกฺกสุวณฺณาลงฺการาฯ ปคฺคยฺหาติ สุวณฺณปาติยา ภตฺตํ คเหตฺวา อุกฺขิปิตฺวาฯ สทฺธาวิตฺตาติ สทฺธา เจว ตุฎฺฐจิตฺตา จฯ ‘‘สทฺธํ จิตฺต’’นฺติปิ ปาโฐ, ตสฺสโตฺถ สทฺธนฺติ สทฺทหนฺตํ, จิตฺตนฺติ ตุฎฺฐจิตฺตํฯ ตมหํ โนตีติ ตมหํ เทวตํ อุโปสถิกตฺตา ปฎิกฺขิปโนฺต โนติ พฺรูมิ, น วิปฺปลปามิ สมฺมาติฯ

    Tattha subbhūti subhamukhā. Subhāti pāsādikā uttamarūpadharā. Suppaṭimukkakambūti paṭimukkasuvaṇṇālaṅkārā. Paggayhāti suvaṇṇapātiyā bhattaṃ gahetvā ukkhipitvā. Saddhāvittāti saddhā ceva tuṭṭhacittā ca. ‘‘Saddhaṃ citta’’ntipi pāṭho, tassattho saddhanti saddahantaṃ, cittanti tuṭṭhacittaṃ. Tamahaṃnotīti tamahaṃ devataṃ uposathikattā paṭikkhipanto noti brūmi, na vippalapāmi sammāti.

    อถสฺส โส ตติยํ คาถมาห –

    Athassa so tatiyaṃ gāthamāha –

    ๔๑.

    41.

    ‘‘เอตาทิสํ พฺราหฺมณ ทิสฺวาน ยกฺขํ, ปุเจฺฉยฺย โปโส สุขมาสิสาโน;

    ‘‘Etādisaṃ brāhmaṇa disvāna yakkhaṃ, puccheyya poso sukhamāsisāno;

    อุเฎฺฐหิ นํ ปญฺชลิกาภิปุจฺฉ, เทวี นุสิ ตฺวํ อุท มานุสี นู’’ติฯ

    Uṭṭhehi naṃ pañjalikābhipuccha, devī nusi tvaṃ uda mānusī nū’’ti.

    ตตฺถ สุขมาสิสาโนติ เอตาทิสํ ยกฺขํ ทิสฺวา อตฺตโน สุขํ อาสีสโนฺต ปณฺฑิโต ปุริโส ‘‘อมฺหากํ สุขํ ภวิสฺสติ, น ภวิสฺสตี’’ติ ปุเจฺฉยฺยฯ อุเฎฺฐหีติ อุทกโต อุฎฺฐานาการํ ทเสฺสโนฺต อุฎฺฐหฯ ปญฺชลิกาภิปุจฺฉาติ อญฺชลิโก หุตฺวา อภิปุจฺฉฯ อุท มานุสีติ อุทาหุ มหิทฺธิกา มานุสี ตฺวนฺติฯ

    Tattha sukhamāsisānoti etādisaṃ yakkhaṃ disvā attano sukhaṃ āsīsanto paṇḍito puriso ‘‘amhākaṃ sukhaṃ bhavissati, na bhavissatī’’ti puccheyya. Uṭṭhehīti udakato uṭṭhānākāraṃ dassento uṭṭhaha. Pañjalikābhipucchāti añjaliko hutvā abhipuccha. Uda mānusīti udāhu mahiddhikā mānusī tvanti.

    โพธิสโตฺต ‘‘ยุตฺตํ กเถสี’’ติ ตํ ปุจฺฉโนฺต จตุตฺถํ คาถมาห –

    Bodhisatto ‘‘yuttaṃ kathesī’’ti taṃ pucchanto catutthaṃ gāthamāha –

    ๔๒.

    42.

    ‘‘ยํ ตฺวํ สุเขนาภิสเมกฺขเส มํ, ภุญฺชสฺสุ ภตฺตํ อิติ มํ วเทสิ;

    ‘‘Yaṃ tvaṃ sukhenābhisamekkhase maṃ, bhuñjassu bhattaṃ iti maṃ vadesi;

    ปุจฺฉามิ ตํ นาริ มหานุภาเว, เทวี นุสิ ตฺวํ อุท มานุสี นู’’ติฯ

    Pucchāmi taṃ nāri mahānubhāve, devī nusi tvaṃ uda mānusī nū’’ti.

    ตตฺถ ยํ ตฺวนฺติ ยสฺมา ตฺวํ สุเขน มํ อภิสเมกฺขเส, ปิยจกฺขูหิ โอโลเกสิฯ ปุจฺฉามิ ตนฺติ เตน การเณน ตํ ปุจฺฉามิฯ

    Tattha yaṃ tvanti yasmā tvaṃ sukhena maṃ abhisamekkhase, piyacakkhūhi olokesi. Pucchāmi tanti tena kāraṇena taṃ pucchāmi.

    ตโต เทวธีตา เทฺว คาถา อภาสิ –

    Tato devadhītā dve gāthā abhāsi –

    ๔๓.

    43.

    ‘‘เทวี อหํ สงฺข มหานุภาวา, อิธาคตา สาครวาริมเชฺฌ;

    ‘‘Devī ahaṃ saṅkha mahānubhāvā, idhāgatā sāgaravārimajjhe;

    อนุกมฺปิกา โน จ ปทุฎฺฐจิตฺตา, ตเวว อตฺถาย อิธาคตาสฺมิฯ

    Anukampikā no ca paduṭṭhacittā, taveva atthāya idhāgatāsmi.

    ๔๔.

    44.

    ‘‘อิธนฺนปานํ สยนาสนญฺจ, ยานานิ นานาวิวิธานิ สงฺข;

    ‘‘Idhannapānaṃ sayanāsanañca, yānāni nānāvividhāni saṅkha;

    สพฺพสฺส ตฺยาหํ ปฎิปาทยามิ, ยํ กิญฺจิ ตุยฺหํ มนสาภิปตฺถิต’’นฺติฯ

    Sabbassa tyāhaṃ paṭipādayāmi, yaṃ kiñci tuyhaṃ manasābhipatthita’’nti.

    ตตฺถ อิธาติ อิมสฺมิํ มหาสมุเทฺทฯ นานาวิวิธานีติ พหูนิ จ อเนกปฺปการานิ จ หตฺถิยานอสฺสยานาทีนิ อตฺถิฯ สพฺพสฺส ตฺยาหนฺติ ตสฺส อนฺนปานาทิโน สพฺพสฺส สามิกํ กตฺวา ตํ เต อนฺนปานาทิํ ปฎิปาทยามิ ททามิฯ ยํ กิญฺจีติ อญฺญมฺปิ ยํ กิญฺจิ มนสา อิจฺฉิตํ, ตํ สพฺพํ เต ทมฺมีติฯ

    Tattha idhāti imasmiṃ mahāsamudde. Nānāvividhānīti bahūni ca anekappakārāni ca hatthiyānaassayānādīni atthi. Sabbassa tyāhanti tassa annapānādino sabbassa sāmikaṃ katvā taṃ te annapānādiṃ paṭipādayāmi dadāmi. Yaṃ kiñcīti aññampi yaṃ kiñci manasā icchitaṃ, taṃ sabbaṃ te dammīti.

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต ‘‘อยํ เทวธีตา สมุทฺทปิเฎฺฐ มยฺหํ ‘อิทญฺจิทญฺจ ทมฺมี’ติ วทติ, กิํ นุ โข เอสา มยา กเตน ปุญฺญกเมฺมน ทาตุกามา, อุทาหุ อตฺตโน พเลน, ปุจฺฉิสฺสามิ ตาว น’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ปุจฺฉโนฺต สตฺตมํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā mahāsatto ‘‘ayaṃ devadhītā samuddapiṭṭhe mayhaṃ ‘idañcidañca dammī’ti vadati, kiṃ nu kho esā mayā katena puññakammena dātukāmā, udāhu attano balena, pucchissāmi tāva na’’nti cintetvā pucchanto sattamaṃ gāthamāha –

    ๔๕.

    45.

    ‘‘ยํ กิญฺจิ ยิฎฺฐญฺจ หุตญฺจ มยฺหํ, สพฺพสฺส โน อิสฺสรา ตฺวํ สุคเตฺต;

    ‘‘Yaṃ kiñci yiṭṭhañca hutañca mayhaṃ, sabbassa no issarā tvaṃ sugatte;

    สุโสฺสณิ สุพฺภมุ สุวิลคฺคมเชฺฌ, กิสฺส เม กมฺมสฺส อยํ วิปาโก’’ติฯ

    Sussoṇi subbhamu suvilaggamajjhe, kissa me kammassa ayaṃ vipāko’’ti.

    ตตฺถ ยิฎฺฐนฺติ ทานวเสน ยชิตํฯ หุตนฺติ อาหุนปาหุนวเสน ทินฺนํฯ สพฺพสฺส โน อิสฺสรา ตฺวนฺติ ตสฺส อมฺหากํ ปุญฺญกมฺมสฺส ตฺวํ อิสฺสรา, ‘‘อิมสฺส อยํ วิปาโก, อิมสฺส อย’’นฺติ พฺยากริตุํ สมตฺถาติ อโตฺถฯ สุโสฺสณีติ สุนฺทรอูรุลกฺขเณฯ สุพฺภมูติ สุนฺทรภมุเก ฯ สุวิลคฺคมเชฺฌติ สุฎฺฐุวิลคฺคิตตนุมเชฺฌฯ กิสฺส เมติ มยา กตกเมฺมสุ กตรกมฺมสฺส อยํ วิปาโก, เยนาหํ อปฺปติเฎฺฐ สมุเทฺท ปติฎฺฐํ ลภามีติฯ

    Tattha yiṭṭhanti dānavasena yajitaṃ. Hutanti āhunapāhunavasena dinnaṃ. Sabbassa no issarā tvanti tassa amhākaṃ puññakammassa tvaṃ issarā, ‘‘imassa ayaṃ vipāko, imassa aya’’nti byākarituṃ samatthāti attho. Sussoṇīti sundaraūrulakkhaṇe. Subbhamūti sundarabhamuke . Suvilaggamajjheti suṭṭhuvilaggitatanumajjhe. Kissa meti mayā katakammesu katarakammassa ayaṃ vipāko, yenāhaṃ appatiṭṭhe samudde patiṭṭhaṃ labhāmīti.

    ตํ สุตฺวา เทวธีตา ‘‘อยํ พฺราหฺมโณ ‘ยํ เตน กุสลํ กตํ, ตํ กมฺมํ น ชานาตี’ติ อญฺญาย ปุจฺฉติ มเญฺญ, กถยิสฺสามิ ทานิสฺสา’’ติ ตํ กเถนฺตี อฎฺฐมํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā devadhītā ‘‘ayaṃ brāhmaṇo ‘yaṃ tena kusalaṃ kataṃ, taṃ kammaṃ na jānātī’ti aññāya pucchati maññe, kathayissāmi dānissā’’ti taṃ kathentī aṭṭhamaṃ gāthamāha –

    ๔๖.

    46.

    ‘‘ฆเมฺม ปเถ พฺราหฺมณ เอกภิกฺขุํ, อุคฺฆฎฺฎปาทํ ตสิตํ กิลนฺตํ;

    ‘‘Ghamme pathe brāhmaṇa ekabhikkhuṃ, ugghaṭṭapādaṃ tasitaṃ kilantaṃ;

    ปฎิปาทยี สงฺข อุปาหนานิ, สา ทกฺขิณา กามทุหา ตวชฺชา’’ติฯ

    Paṭipādayī saṅkha upāhanāni, sā dakkhiṇā kāmaduhā tavajjā’’ti.

    ตตฺถ เอกภิกฺขุนฺติ เอกํ ปเจฺจกพุทฺธํ สนฺธายาหฯ อุคฺฆฎฺฎปาทนฺติ อุณฺหวาลุกาย ฆฎฺฎิตปาทํฯ ตสิตนฺติ ปิปาสิตํฯ ปฎิปาทยีติ ปฎิปาเทสิ, โยเชสีติ อโตฺถฯ กามทุหาติ สพฺพกามทายิกาฯ

    Tattha ekabhikkhunti ekaṃ paccekabuddhaṃ sandhāyāha. Ugghaṭṭapādanti uṇhavālukāya ghaṭṭitapādaṃ. Tasitanti pipāsitaṃ. Paṭipādayīti paṭipādesi, yojesīti attho. Kāmaduhāti sabbakāmadāyikā.

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต ‘‘เอวรูเปปิ นาม อปฺปติเฎฺฐ มหาสมุเทฺท มยา ทินฺนอุปาหนทานํ มม สพฺพกามททํ ชาตํ, อโห สุทินฺนํ เม ปเจฺจกพุทฺธสฺส ทาน’’นฺติ ตุฎฺฐจิโตฺต นวมํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā mahāsatto ‘‘evarūpepi nāma appatiṭṭhe mahāsamudde mayā dinnaupāhanadānaṃ mama sabbakāmadadaṃ jātaṃ, aho sudinnaṃ me paccekabuddhassa dāna’’nti tuṭṭhacitto navamaṃ gāthamāha –

    ๔๗.

    47.

    ‘‘สา โหตุ นาวา ผลกูปปนฺนา, อนวสฺสุตา เอรกวาตยุตฺตา;

    ‘‘Sā hotu nāvā phalakūpapannā, anavassutā erakavātayuttā;

    อญฺญสฺส ยานสฺส น เหตฺถ ภูมิ, อเชฺชว มํ โมฬินิํ ปาปยสฺสู’’ติฯ

    Aññassa yānassa na hettha bhūmi, ajjeva maṃ moḷiniṃ pāpayassū’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – เทวเต, เอวํ สเนฺต มยฺหํ เอกํ นาวํ มาเปหิ, ขุทฺทกํ ปน เอกโทณิกนาวํ มาเปหิ, ยํ นาวํ มาเปสฺสสิ, สา โหตุ นาวา พหูหิ สุสิพฺพิเตหิ ผลเกหิ อุปปนฺนา, อุทกปเวสนสฺสาภาเวน อนวสฺสุตา, เอรเกน สมฺมา คเหตฺวา คจฺฉเนฺตน วาเตน ยุตฺตา, ฐเปตฺวา ทิพฺพนาวํ อญฺญสฺส ยานสฺส เอตฺถ ภูมิ นตฺถิ, ตาย ปน ทิพฺพนาวาย อเชฺชว มํ โมฬินินครํ ปาปยสฺสูติฯ

    Tassattho – devate, evaṃ sante mayhaṃ ekaṃ nāvaṃ māpehi, khuddakaṃ pana ekadoṇikanāvaṃ māpehi, yaṃ nāvaṃ māpessasi, sā hotu nāvā bahūhi susibbitehi phalakehi upapannā, udakapavesanassābhāvena anavassutā, erakena sammā gahetvā gacchantena vātena yuttā, ṭhapetvā dibbanāvaṃ aññassa yānassa ettha bhūmi natthi, tāya pana dibbanāvāya ajjeva maṃ moḷininagaraṃ pāpayassūti.

    เทวธีตา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ตุฎฺฐจิตฺตา สตฺตรตนมยํ นาวํ มาเปสิฯ สา ทีฆโต อฎฺฐอุสภา อโหสิ วิตฺถารโต จตุอุสภา, คมฺภีรโต วีสติยฎฺฐิกาฯ ตสฺสา อินฺทนีลมยา ตโย กูปกา, โสวณฺณมยานิ โยตฺตานิ รชตมยานิ ปตฺตานิ โสวณฺณมยานิ จ ผิยาริตฺตานิ อเหสุํฯ เทวตา ตํ นาวํ สตฺตนฺนํ รตนานํ ปูเรตฺวา พฺราหฺมณํ อาลิงฺคิตฺวา อลงฺกตนาวาย อาโรเปสิ, อุปฎฺฐากํ ปนสฺส น โอโลเกสิฯ พฺราหฺมโณ อตฺตนา กตกลฺยาณโต ตสฺส ปตฺติํ อทาสิ, โส อนุโมทิฯ ตทา เทวตา ตมฺปิ อาลิงฺคิตฺวา นาวาย ปติฎฺฐาเปสิฯ อถ นํ นาวํ โมฬินินครํ เนตฺวา พฺราหฺมณสฺส ฆเร ธนํ ปติฎฺฐาเปตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว อคมาสิฯ สตฺถา อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา –

    Devadhītā tassa vacanaṃ sutvā tuṭṭhacittā sattaratanamayaṃ nāvaṃ māpesi. Sā dīghato aṭṭhausabhā ahosi vitthārato catuusabhā, gambhīrato vīsatiyaṭṭhikā. Tassā indanīlamayā tayo kūpakā, sovaṇṇamayāni yottāni rajatamayāni pattāni sovaṇṇamayāni ca phiyārittāni ahesuṃ. Devatā taṃ nāvaṃ sattannaṃ ratanānaṃ pūretvā brāhmaṇaṃ āliṅgitvā alaṅkatanāvāya āropesi, upaṭṭhākaṃ panassa na olokesi. Brāhmaṇo attanā katakalyāṇato tassa pattiṃ adāsi, so anumodi. Tadā devatā tampi āliṅgitvā nāvāya patiṭṭhāpesi. Atha naṃ nāvaṃ moḷininagaraṃ netvā brāhmaṇassa ghare dhanaṃ patiṭṭhāpetvā attano vasanaṭṭhānameva agamāsi. Satthā abhisambuddho hutvā –

    ๔๘.

    48.

    ‘‘สา ตตฺถ วิตฺตา สุมนา ปตีตา, นาวํ สุจิตฺตํ อภินิมฺมินิตฺวา;

    ‘‘Sā tattha vittā sumanā patītā, nāvaṃ sucittaṃ abhinimminitvā;

    อาทาย สงฺขํ ปุริเสน สทฺธิํ, อุปานยี นครํ สาธุรมฺม’’นฺติฯ –

    Ādāya saṅkhaṃ purisena saddhiṃ, upānayī nagaraṃ sādhuramma’’nti. –

    อิมํ โอสานคาถํ อภาสิฯ

    Imaṃ osānagāthaṃ abhāsi.

    ตตฺถ สาติ ภิกฺขเว, สา เทวตา ตตฺถ สมุทฺทมเชฺฌ ตสฺส วจนํ สุตฺวา วิตฺติสงฺขาตาย ปีติยา สมนฺนาคตตฺตา วิตฺตาฯ สุมนาติ สุนฺทรมนา ปาโมเชฺชน ปตีตจิตฺตา หุตฺวา วิจิตฺรนาวํ นิมฺมินิตฺวา พฺราหฺมณํ ปริจารเกน สทฺธิํ อาทาย สาธุรมฺมํ อติรมณียํ นครํ อุปานยีติฯ

    Tattha ti bhikkhave, sā devatā tattha samuddamajjhe tassa vacanaṃ sutvā vittisaṅkhātāya pītiyā samannāgatattā vittā. Sumanāti sundaramanā pāmojjena patītacittā hutvā vicitranāvaṃ nimminitvā brāhmaṇaṃ paricārakena saddhiṃ ādāya sādhurammaṃ atiramaṇīyaṃ nagaraṃ upānayīti.

    พฺราหฺมโณปิ ยาวชีวํ อปริมิตธนํ เคหํ อชฺฌาวสโนฺต ทานํ ทตฺวา สีลํ รกฺขิตฺวา ชีวิตปริโยสาเน สปริโส เทวนครํ ปริปูเรสิฯ

    Brāhmaṇopi yāvajīvaṃ aparimitadhanaṃ gehaṃ ajjhāvasanto dānaṃ datvā sīlaṃ rakkhitvā jīvitapariyosāne sapariso devanagaraṃ paripūresi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน อุปาสโก โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne upāsako sotāpattiphale patiṭṭhahi.

    ตทา เทวธีตา อุปฺปลวณฺณา อโหสิ, อุปฎฺฐากปุริโส อานโนฺท, สงฺขพฺราหฺมโณ ปน อหเมว อโหสินฺติฯ

    Tadā devadhītā uppalavaṇṇā ahosi, upaṭṭhākapuriso ānando, saṅkhabrāhmaṇo pana ahameva ahosinti.

    สงฺขชาตกวณฺณนา จตุตฺถาฯ

    Saṅkhajātakavaṇṇanā catutthā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๔๒. สงฺขชาตกํ • 442. Saṅkhajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact