Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จริยาปิฎก-อฎฺฐกถา • Cariyāpiṭaka-aṭṭhakathā

    ๑๐. สงฺขปาลจริยาวณฺณนา

    10. Saṅkhapālacariyāvaṇṇanā

    ๘๕. ทสเม สงฺขปาโลติอาทีสุ อยํ สเงฺขปโตฺถ – เทวโภคสมฺปตฺติสทิสาย มหติยา นาคิทฺธิยา สมนฺนาคตตฺตา มหิทฺธิโกฯ เหฎฺฐา เทฺว, อุปริ เทฺวติ จตโสฺส ทาฐา อาวุธา เอตสฺสาติ ทาฐาวุโธฯ อุคฺคเตชวิสตาย โฆรวิโสฯ นาคโยนิสิทฺธาหิ ทฺวีหิ ชิวฺหาหิ สมนฺนาคโตติ ทฺวิชิโวฺหฯ มหานุภาวานมฺปิ อุเรน คมนโต ‘‘อุรคา’’ติ ลทฺธนามานํ นาคานํ อธิปติภาวโต อุรคาธิภู

    85. Dasame saṅkhapālotiādīsu ayaṃ saṅkhepattho – devabhogasampattisadisāya mahatiyā nāgiddhiyā samannāgatattā mahiddhiko. Heṭṭhā dve, upari dveti catasso dāṭhā āvudhā etassāti dāṭhāvudho. Uggatejavisatāya ghoraviso. Nāgayonisiddhāhi dvīhi jivhāhi samannāgatoti dvijivho. Mahānubhāvānampi urena gamanato ‘‘uragā’’ti laddhanāmānaṃ nāgānaṃ adhipatibhāvato uragādhibhū.

    ๘๖. ทฺวินฺนํ มคฺคานํ วินิวิชฺฌิตฺวา สนฺธิภาเวน คตฎฺฐานสงฺขาเต จตุปฺปเถฯ อปราปรํ มหาชนสญฺจรณฎฺฐานภูเต มหามเคฺคฯ ตโต เอว มหาชนสมากิณฺณภาเวน นานาชนสมากุเลฯ อิทานิ วกฺขมานานํ จตุนฺนํ องฺคานํ วเสน จตุโร อเงฺคฯ อธิฎฺฐาย อธิฎฺฐหิตฺวา, จิเตฺต ฐเปตฺวาฯ ยทาหํ สงฺขปาโล นาม ยถาวุตฺตรูโป นาคราชา โหมิ, ตทา เหฎฺฐา วุตฺตปฺปกาเร ฐาเน วาสํ อุโปสถวาสวเสน นิวาสํ อกปฺปยิํ กเปฺปสิํฯ

    86. Dvinnaṃ maggānaṃ vinivijjhitvā sandhibhāvena gataṭṭhānasaṅkhāte catuppathe. Aparāparaṃ mahājanasañcaraṇaṭṭhānabhūte mahāmagge. Tato eva mahājanasamākiṇṇabhāvena nānājanasamākule. Idāni vakkhamānānaṃ catunnaṃ aṅgānaṃ vasena caturo aṅge. Adhiṭṭhāya adhiṭṭhahitvā, citte ṭhapetvā. Yadāhaṃ saṅkhapālo nāma yathāvuttarūpo nāgarājā homi, tadā heṭṭhā vuttappakāre ṭhāne vāsaṃ uposathavāsavasena nivāsaṃ akappayiṃ kappesiṃ.

    มหาสโตฺต หิ ทานสีลาทิปุญฺญปสุโต หุตฺวา โพธิปริเยสนวเสน อปราปรํ เทวมนุสฺสคตีสุ สํสรโนฺต กทาจิ เทวโภคสทิสสมฺปตฺติเก นาคภวเน นิพฺพตฺติตฺวา สงฺขปาโล นาม นาคราชา อโหสิ มหิทฺธิโก มหานุภาโวฯ โส คจฺฉเนฺต กาเล ตาย สมฺปตฺติยา วิปฺปฎิสารี หุตฺวา มนุสฺสโยนิํ ปเตฺถโนฺต อุโปสถวาสํ วสิฯ อถสฺส นาคภวเน วสนฺตสฺส อุโปสถวาโส น สมฺปชฺชติ, สีลํ สํกิลิสฺสติ, เตน โส นาคภวนา นิกฺขมิตฺวา กณฺหวณฺณาย นทิยา อวิทูเร มหามคฺคสฺส จ เอกปทิกมคฺคสฺส จ อนฺตเร เอกํ วมฺมิกํ ปริกฺขิปิตฺวา อุโปสถํ อธิฎฺฐาย จาตุทฺทสปนฺนรเสสุ สมาทินฺนสีโล ‘‘มม จมฺมาทีนิ อตฺถิกา คณฺหนฺตู’’ติ อตฺตานํ ทานมุเข วิสฺสเชฺชตฺวา นิปชฺชติ, ปาฎิปเท นาคภวนํ คจฺฉติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ปุนาปรํ ยทา โหมิ, สงฺขปาโล’’ติอาทิฯ ตสฺสโตฺถ วุโตฺต เอวฯ

    Mahāsatto hi dānasīlādipuññapasuto hutvā bodhipariyesanavasena aparāparaṃ devamanussagatīsu saṃsaranto kadāci devabhogasadisasampattike nāgabhavane nibbattitvā saṅkhapālo nāma nāgarājā ahosi mahiddhiko mahānubhāvo. So gacchante kāle tāya sampattiyā vippaṭisārī hutvā manussayoniṃ patthento uposathavāsaṃ vasi. Athassa nāgabhavane vasantassa uposathavāso na sampajjati, sīlaṃ saṃkilissati, tena so nāgabhavanā nikkhamitvā kaṇhavaṇṇāya nadiyā avidūre mahāmaggassa ca ekapadikamaggassa ca antare ekaṃ vammikaṃ parikkhipitvā uposathaṃ adhiṭṭhāya cātuddasapannarasesu samādinnasīlo ‘‘mama cammādīni atthikā gaṇhantū’’ti attānaṃ dānamukhe vissajjetvā nipajjati, pāṭipade nāgabhavanaṃ gacchati. Tena vuttaṃ ‘‘punāparaṃ yadā homi, saṅkhapālo’’tiādi. Tassattho vutto eva.

    ๘๗. ยํ ปเนตฺถ ฉวิยา จเมฺมนาติอาทิกํ ‘‘จตุโร อเงฺค อธิฎฺฐายา’’ติ วุตฺตํ จตุรงฺคาธิฎฺฐานทสฺสนํฯ ฉวิจมฺมานิ หิ อิธ เอกมงฺคํฯ เอวํ อุโปสถวาสํ วสนฺตสฺส มหาสตฺตสฺส ทีโฆ อทฺธา วีติวโตฺตฯ

    87. Yaṃ panettha chaviyā cammenātiādikaṃ ‘‘caturo aṅge adhiṭṭhāyā’’ti vuttaṃ caturaṅgādhiṭṭhānadassanaṃ. Chavicammāni hi idha ekamaṅgaṃ. Evaṃ uposathavāsaṃ vasantassa mahāsattassa dīgho addhā vītivatto.

    อเถกทิวสํ ตสฺมิํ ตถา สีลํ สมาทิยิตฺวา นิปเนฺน โสฬส โภชปุตฺตา ‘‘มํสํ อาหริสฺสามา’’ติ อาวุธหตฺถา อรเญฺญ จรนฺตา กิญฺจิ อลภิตฺวา นิกฺขมนฺตา ตํ วมฺมิกมตฺถเก นิปนฺนํ ทิสฺวา ‘‘มยํ อชฺช โคธาโปตกมฺปิ น ลภิมฺหา, อิมํ นาคราชานํ วธิตฺวา ขาทิสฺสามา’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘มหา โข ปเนส คยฺหมาโน ปลาเยยฺยาติ ยถานิปนฺนกํเยว นํ โภเคสุ สูเลหิ วิชฺฌิตฺวา ทุพฺพลํ กตฺวา คณฺหิสฺสามา’’ติ สูลานิ อาทาย อุปสงฺกมิํสุฯ โพธิสตฺตสฺสาปิ สรีรํ มหนฺตํ เอกโทณิกนาวปฺปมาณํ วเฎฺฎตฺวา ฐปิตสุมนปุปฺผทามํ วิย ชิญฺชุกผลสทิเสหิ อกฺขีหิ ชยสุมนปุปฺผสทิเสน จ สีเสน สมนฺนาคตํ อติวิย โสภติฯ โส เตสํ โสฬสนฺนํ ชนานํ ปทสเทฺทน โภคนฺตรโต สีสํ นีหริตฺวา รตฺตกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา เต สูลหเตฺถ อาคจฺฉเนฺต ทิสฺวา ‘‘อชฺช มยฺหํ มโนรโถ มตฺถกํ ปาปุณิสฺสตี’’ติ อตฺตานํ ทานมุเข นิยฺยาเตตฺวา ‘‘อิเม มม สรีรํ สตฺตีหิ โกเฎฺฎตฺวา ฉิทฺทาวฉิทฺทํ กโรเนฺต น โอโลเกสฺสามี’’ติ อตฺตโน สีลขณฺฑภเยน ทฬฺหํ อธิฎฺฐานํ อธิฎฺฐหิตฺวา สีสํ โภคนฺตเร เอว ปเวเสตฺวา นิปชฺชิฯ

    Athekadivasaṃ tasmiṃ tathā sīlaṃ samādiyitvā nipanne soḷasa bhojaputtā ‘‘maṃsaṃ āharissāmā’’ti āvudhahatthā araññe carantā kiñci alabhitvā nikkhamantā taṃ vammikamatthake nipannaṃ disvā ‘‘mayaṃ ajja godhāpotakampi na labhimhā, imaṃ nāgarājānaṃ vadhitvā khādissāmā’’ti cintetvā ‘‘mahā kho panesa gayhamāno palāyeyyāti yathānipannakaṃyeva naṃ bhogesu sūlehi vijjhitvā dubbalaṃ katvā gaṇhissāmā’’ti sūlāni ādāya upasaṅkamiṃsu. Bodhisattassāpi sarīraṃ mahantaṃ ekadoṇikanāvappamāṇaṃ vaṭṭetvā ṭhapitasumanapupphadāmaṃ viya jiñjukaphalasadisehi akkhīhi jayasumanapupphasadisena ca sīsena samannāgataṃ ativiya sobhati. So tesaṃ soḷasannaṃ janānaṃ padasaddena bhogantarato sīsaṃ nīharitvā rattakkhīni ummīletvā te sūlahatthe āgacchante disvā ‘‘ajja mayhaṃ manoratho matthakaṃ pāpuṇissatī’’ti attānaṃ dānamukhe niyyātetvā ‘‘ime mama sarīraṃ sattīhi koṭṭetvā chiddāvachiddaṃ karonte na olokessāmī’’ti attano sīlakhaṇḍabhayena daḷhaṃ adhiṭṭhānaṃ adhiṭṭhahitvā sīsaṃ bhogantare eva pavesetvā nipajji.

    อถ นํ เต อุปคนฺตฺวา นงฺคุเฎฺฐ คเหตฺวา อากฑฺฒนฺตา ภูมิยํ ปาเตตฺวา ติขิณสูเลหิ อฎฺฐสุ ฐาเนสุ วิชฺฌิตฺวา สกณฺฎกา กาฬเวตฺตยฎฺฐิโย ปหารมุเขหิ ปเวเสตฺวา อฎฺฐสุ ฐาเนสุ กาเชหิ อาทาย มหามคฺคํ ปฎิปชฺชิํสุฯ มหาสโตฺต สูเลหิ วิชฺฌนโต ปฎฺฐาย เอกฎฺฐาเนปิ อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา เต น โอโลเกสิฯ ตสฺส อฎฺฐหิ กาเชหิ อาทาย นียมานสฺส สีสํ โอลมฺพิตฺวา ภูมิํ ปหรติ ฯ อถ นํ ‘‘สีสมสฺส โอลมฺพตี’’ติ มหามเคฺค นิปชฺชาเปตฺวา สุขุเมน สูเลน นาสาปุเฎ วิชฺฌิตฺวา รชฺชุกํ ปเวเสตฺวา สีสํ อุกฺขิปิตฺวา กาชโกฎิยํ ลเคฺคตฺวา ปุนปิ อุกฺขิปิตฺวา มคฺคํ ปฎิปชฺชิํสุฯ เตน วุตฺตํ –

    Atha naṃ te upagantvā naṅguṭṭhe gahetvā ākaḍḍhantā bhūmiyaṃ pātetvā tikhiṇasūlehi aṭṭhasu ṭhānesu vijjhitvā sakaṇṭakā kāḷavettayaṭṭhiyo pahāramukhehi pavesetvā aṭṭhasu ṭhānesu kājehi ādāya mahāmaggaṃ paṭipajjiṃsu. Mahāsatto sūlehi vijjhanato paṭṭhāya ekaṭṭhānepi akkhīni ummīletvā te na olokesi. Tassa aṭṭhahi kājehi ādāya nīyamānassa sīsaṃ olambitvā bhūmiṃ paharati . Atha naṃ ‘‘sīsamassa olambatī’’ti mahāmagge nipajjāpetvā sukhumena sūlena nāsāpuṭe vijjhitvā rajjukaṃ pavesetvā sīsaṃ ukkhipitvā kājakoṭiyaṃ laggetvā punapi ukkhipitvā maggaṃ paṭipajjiṃsu. Tena vuttaṃ –

    ๘๘.

    88.

    ‘‘อทฺทสํสุ โภชปุตฺตา, ขรา ลุทฺทา อการุณา;

    ‘‘Addasaṃsu bhojaputtā, kharā luddā akāruṇā;

    อุปคญฺฉุํ มมํ ตตฺถ, ทณฺฑมุคฺครปาณิโนฯ

    Upagañchuṃ mamaṃ tattha, daṇḍamuggarapāṇino.

    ๘๙.

    89.

    ‘‘นาสาย วินิวิชฺฌิตฺวา, นงฺคุเฎฺฐ ปิฎฺฐิกณฺฎเก;

    ‘‘Nāsāya vinivijjhitvā, naṅguṭṭhe piṭṭhikaṇṭake;

    กาเช อาโรปยิตฺวาน, โภชปุตฺตา หริํสุ ม’’นฺติฯ

    Kāje āropayitvāna, bhojaputtā hariṃsu ma’’nti.

    ตตฺถ โภชปุตฺตาติ ลุทฺทปุตฺตาฯ ขราติ กกฺขฬา, ผรุสกายวจีกมฺมนฺตาฯ ลุทฺทาติ ทารุณา, โฆรมานสาฯ อการุณาติ นิกฺกรุณาฯ ทณฺฑมุคฺครปาณิโนติ จตุรสฺสทณฺฑหตฺถาฯ นาสาย วินิวิชฺฌิตฺวาติ รชฺชุกํ ปเวเสตุํ สุขุเมน สูเลน นาสาปุเฎ วิชฺฌิตฺวาฯ นงฺคุเฎฺฐ ปิฎฺฐิกณฺฎเกติ นงฺคุฎฺฐปฺปเทเส ตตฺถ ตตฺถ ปิฎฺฐิกณฺฎกสมีเป จ วินิวิชฺฌิตฺวาติ สมฺพโนฺธฯ กาเช อาโรปยิตฺวานาติ อฎฺฐสุ ฐาเนสุ วินิวิชฺฌิตฺวา พเทฺธสุ อฎฺฐสุ เวตฺตลตามณฺฑเลสุ เอเกกสฺมิํ โอวิชฺฌิตํ เอเกกํ กาชํ เทฺว เทฺว โภชปุตฺตา อตฺตโน อตฺตโน ขนฺธํ อาโรเปตฺวาฯ

    Tattha bhojaputtāti luddaputtā. Kharāti kakkhaḷā, pharusakāyavacīkammantā. Luddāti dāruṇā, ghoramānasā. Akāruṇāti nikkaruṇā. Daṇḍamuggarapāṇinoti caturassadaṇḍahatthā. Nāsāya vinivijjhitvāti rajjukaṃ pavesetuṃ sukhumena sūlena nāsāpuṭe vijjhitvā. Naṅguṭṭhe piṭṭhikaṇṭaketi naṅguṭṭhappadese tattha tattha piṭṭhikaṇṭakasamīpe ca vinivijjhitvāti sambandho. Kāje āropayitvānāti aṭṭhasu ṭhānesu vinivijjhitvā baddhesu aṭṭhasu vettalatāmaṇḍalesu ekekasmiṃ ovijjhitaṃ ekekaṃ kājaṃ dve dve bhojaputtā attano attano khandhaṃ āropetvā.

    ๙๐. สสาครนฺตํ ปถวินฺติ สมุทฺทปริยนฺตํ มหาปถวิํฯ สกานนํ สปพฺพตนฺติ สทฺธิํ กานเนหิ ปพฺพเตหิ จาติ สกานนํ สปพฺพตญฺจฯ นาสาวาเตน ฌาปเยติ สจาหํ อิจฺฉมาโน อิจฺฉโนฺต กุชฺฌิตฺวา นาสาวาตํ วิสฺสเชฺชยฺยํ, สมุทฺทปริยนฺตํ สกานนํ สปพฺพตํ อิมํ มหาปถวิํ ฌาเปยฺยํ, สห นาสาวาตวิสฺสชฺชเนน ฉาริกํ กเรยฺยํ, เอตาทิโส ตทา มยฺหํ อานุภาโวฯ

    90.Sasāgarantaṃ pathavinti samuddapariyantaṃ mahāpathaviṃ. Sakānanaṃ sapabbatanti saddhiṃ kānanehi pabbatehi cāti sakānanaṃ sapabbatañca. Nāsāvātena jhāpayeti sacāhaṃ icchamāno icchanto kujjhitvā nāsāvātaṃ vissajjeyyaṃ, samuddapariyantaṃ sakānanaṃ sapabbataṃ imaṃ mahāpathaviṃ jhāpeyyaṃ, saha nāsāvātavissajjanena chārikaṃ kareyyaṃ, etādiso tadā mayhaṃ ānubhāvo.

    ๙๑. เอวํ สเนฺตปิ สูเลหิ วินิวิชฺฌเนฺต, โกฎฺฎยเนฺตปิ สตฺติภิฯ โภชปุเตฺต น กุปฺปามีติ ทุพฺพลภาวกรณตฺถํ เวตฺตลตาปเวสนตฺถญฺจ สารทารูหิ ตเจฺฉตฺวา กเตหิ ติขิณสูเลหิ อฎฺฐสุ ฐาเนสุ วิชฺฌเนฺตปิ ทุพฺพลภาวกรณตฺถํ ติขิณาหิ สตฺตีหิ ตหิํ ตหิํ โกฎฺฎยเนฺตปิ โภชปุตฺตานํ ลุทฺทานํ น กุปฺปามิฯ เอสา เม สีลปารมีติ เอวํ มหานุภาวสฺส ตถา อธิฎฺฐหนฺตสฺส ยา เม มยฺหํ สีลขณฺฑภเยน เตสํ อกุชฺฌนา, เอสา เอกเนฺตเนว ชีวิตนิรเปกฺขภาเวน ปวตฺตา มยฺหํ สีลปารมี, สีลวเสน ปรมตฺถปารมีติ อโตฺถฯ

    91. Evaṃ santepi sūlehi vinivijjhante, koṭṭayantepi sattibhi. Bhojaputte na kuppāmīti dubbalabhāvakaraṇatthaṃ vettalatāpavesanatthañca sāradārūhi tacchetvā katehi tikhiṇasūlehi aṭṭhasu ṭhānesu vijjhantepi dubbalabhāvakaraṇatthaṃ tikhiṇāhi sattīhi tahiṃ tahiṃ koṭṭayantepi bhojaputtānaṃ luddānaṃ na kuppāmi. Esā me sīlapāramīti evaṃ mahānubhāvassa tathā adhiṭṭhahantassa yā me mayhaṃ sīlakhaṇḍabhayena tesaṃ akujjhanā, esā ekanteneva jīvitanirapekkhabhāvena pavattā mayhaṃ sīlapāramī, sīlavasena paramatthapāramīti attho.

    ตถา ปน โพธิสเตฺต เตหิ นียมาเน มิถิลนครวาสี อาฬาโร นาม กุฎุมฺพิโก ปญฺจสกฎสตานิ อาทาย สุขยานเก นิสีทิตฺวา คจฺฉโนฺต เต โภชปุเตฺต มหาสตฺตํ หรเนฺต ทิสฺวา การุญฺญํ อุปฺปาเทตฺวา เต ลุเทฺท ปุจฺฉิ – ‘‘กิสฺสายํ นาโค นียติ, เนตฺวา จิมํ กิํ กริสฺสถา’’ติ? เต ‘‘อิมสฺส นาคสฺส มํสํ สาทุญฺจ มุทุญฺจ ถูลญฺจ ปจิตฺวา ขาทิสฺสามา’’ติ อาหํสุฯ อถ โส เตสํ โสฬสวาหโคเณ ปสตํ ปสตํ สุวณฺณมาสเก สเพฺพสํ นิวาสนปารุปนานิ ภริยานมฺปิ เตสํ วตฺถาภรณานิ ทตฺวา ‘‘สมฺมา, อยํ มหานุภาโว นาคราชา, อตฺตโน สีลคุเณน ตุมฺหากํ น ทุพฺภิ, อิมํ กิลมเนฺตหิ พหุํ ตุเมฺหหิ อปุญฺญํ ปสุตํ, วิสฺสเชฺชถา’’ติ อาหฯ เต ‘‘อยํ อมฺหากํ มนาโป ภโกฺข, พหู จ โน อุรคา ภุตฺตปุพฺพา, ตถาปิ ตว วจนํ อเมฺหหิ ปูเชตพฺพํ, ตสฺมา อิมํ นาคํ วิสฺสเชฺชสฺสามา’’ติ วิสฺสเชฺชตฺวา มหาสตฺตํ ภูมิยํ นิปชฺชาเปตฺวา อตฺตโน กกฺขฬตาย ตา กณฺฎกาจิตา อาวุตา กาฬเวตฺตลตา โกฎิยํ คเหตฺวา อากฑฺฒิตุํ อารภิํสุฯ

    Tathā pana bodhisatte tehi nīyamāne mithilanagaravāsī āḷāro nāma kuṭumbiko pañcasakaṭasatāni ādāya sukhayānake nisīditvā gacchanto te bhojaputte mahāsattaṃ harante disvā kāruññaṃ uppādetvā te ludde pucchi – ‘‘kissāyaṃ nāgo nīyati, netvā cimaṃ kiṃ karissathā’’ti? Te ‘‘imassa nāgassa maṃsaṃ sāduñca muduñca thūlañca pacitvā khādissāmā’’ti āhaṃsu. Atha so tesaṃ soḷasavāhagoṇe pasataṃ pasataṃ suvaṇṇamāsake sabbesaṃ nivāsanapārupanāni bhariyānampi tesaṃ vatthābharaṇāni datvā ‘‘sammā, ayaṃ mahānubhāvo nāgarājā, attano sīlaguṇena tumhākaṃ na dubbhi, imaṃ kilamantehi bahuṃ tumhehi apuññaṃ pasutaṃ, vissajjethā’’ti āha. Te ‘‘ayaṃ amhākaṃ manāpo bhakkho, bahū ca no uragā bhuttapubbā, tathāpi tava vacanaṃ amhehi pūjetabbaṃ, tasmā imaṃ nāgaṃ vissajjessāmā’’ti vissajjetvā mahāsattaṃ bhūmiyaṃ nipajjāpetvā attano kakkhaḷatāya tā kaṇṭakācitā āvutā kāḷavettalatā koṭiyaṃ gahetvā ākaḍḍhituṃ ārabhiṃsu.

    อถ โส นาคราชานํ กิลมนฺตํ ทิสฺวา อกิลเมโนฺตว อสินา ลตา ฉินฺทิตฺวา ทารกานํ กณฺณเวธโต ปฎิหรณนิยาเมน อทุกฺขาเปโนฺต สณิกํ นีหริฯ ตสฺมิํ กาเล เต โภชปุตฺตา ยํ พนฺธนํ ตสฺส นตฺถุโต ปเวเสตฺวา ปฎิมุกฺกํ, ตํ พนฺธนํ สณิกํ โมจยิํสุฯ มหาสโตฺต มุหุตฺตํ ปาจีนาภิมุโข คนฺตฺวา อสฺสุปุเณฺณหิ เนเตฺตหิ อาฬารํ โอโลเกสิฯ ลุทฺทา โถกํ คนฺตฺวา ‘‘อุรโค ทุพฺพโล, มตกาเล คเหตฺวาว นํ คมิสฺสามา’’ติ นิลียิํสุฯ อาฬาโร มหาสตฺตสฺส อญฺชลิํ ปคฺคยฺห ‘‘คเจฺฉว โข ตฺวํ, มหานาค, มา ตํ ลุทฺทา ปุน คเหสุ’’นฺติ วทโนฺต โถกํ ตํ นาคํ อนุคนฺตฺวา นิวตฺติฯ

    Atha so nāgarājānaṃ kilamantaṃ disvā akilamentova asinā latā chinditvā dārakānaṃ kaṇṇavedhato paṭiharaṇaniyāmena adukkhāpento saṇikaṃ nīhari. Tasmiṃ kāle te bhojaputtā yaṃ bandhanaṃ tassa natthuto pavesetvā paṭimukkaṃ, taṃ bandhanaṃ saṇikaṃ mocayiṃsu. Mahāsatto muhuttaṃ pācīnābhimukho gantvā assupuṇṇehi nettehi āḷāraṃ olokesi. Luddā thokaṃ gantvā ‘‘urago dubbalo, matakāle gahetvāva naṃ gamissāmā’’ti nilīyiṃsu. Āḷāro mahāsattassa añjaliṃ paggayha ‘‘gaccheva kho tvaṃ, mahānāga, mā taṃ luddā puna gahesu’’nti vadanto thokaṃ taṃ nāgaṃ anugantvā nivatti.

    โพธิสโตฺต นาคภวนํ คนฺตฺวา ตตฺถ ปปญฺจํ อกตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน นิกฺขมิตฺวา อาฬารํ อุปสงฺกมิตฺวา นาคภวนสฺส วณฺณํ กเถตฺวา ตํ ตตฺถ เนตฺวา ตีหิ กญฺญาสเตหิ สทฺธิํ มหนฺตมสฺส ยสํ ทตฺวา ทิเพฺพหิ กาเมหิ สนฺตเปฺปสิฯ อาฬาโร นาคภวเน เอกวสฺสํ วสิตฺวา ทิเพฺพ กาเม ปริภุญฺชิตฺวา ‘‘อิจฺฉามหํ, สมฺม, ปพฺพชิตุ’’นฺติ นาคราชสฺส กเถตฺวา ปพฺพชิตปริกฺขาเร คเหตฺวา ตโต นิกฺขมิตฺวา หิมวนฺตปฺปเทสํ คนฺตฺวา ปพฺพชิตฺวา ตตฺถ จิรํ วสิตฺวา อปรภาเค จาริกํ จรโนฺต พาราณสิํ ปตฺวา พาราณสิรญฺญา สมาคโต เตน อาจารสมฺปตฺติํ นิสฺสาย ปสเนฺนน ‘‘ตฺวํ อุฬารโภคา มเญฺญ กุลา ปพฺพชิโต, เกน นุ โข การเณน ปพฺพชิโตสี’’ติ ปุโฎฺฐ อตฺตโน ปพฺพชฺชาการณํ กเถโนฺต ลุทฺทานํ หตฺถโต โพธิสตฺตสฺส วิสฺสชฺชาปนํ อาทิํ กตฺวา สพฺพํ ปวตฺติํ รโญฺญ อาจิกฺขิตฺวา –

    Bodhisatto nāgabhavanaṃ gantvā tattha papañcaṃ akatvā mahantena parivārena nikkhamitvā āḷāraṃ upasaṅkamitvā nāgabhavanassa vaṇṇaṃ kathetvā taṃ tattha netvā tīhi kaññāsatehi saddhiṃ mahantamassa yasaṃ datvā dibbehi kāmehi santappesi. Āḷāro nāgabhavane ekavassaṃ vasitvā dibbe kāme paribhuñjitvā ‘‘icchāmahaṃ, samma, pabbajitu’’nti nāgarājassa kathetvā pabbajitaparikkhāre gahetvā tato nikkhamitvā himavantappadesaṃ gantvā pabbajitvā tattha ciraṃ vasitvā aparabhāge cārikaṃ caranto bārāṇasiṃ patvā bārāṇasiraññā samāgato tena ācārasampattiṃ nissāya pasannena ‘‘tvaṃ uḷārabhogā maññe kulā pabbajito, kena nu kho kāraṇena pabbajitosī’’ti puṭṭho attano pabbajjākāraṇaṃ kathento luddānaṃ hatthato bodhisattassa vissajjāpanaṃ ādiṃ katvā sabbaṃ pavattiṃ rañño ācikkhitvā –

    ‘‘ทิฎฺฐา มยา มานุสกาปิ กามา, อสสฺสตา วิปริณามธมฺมา;

    ‘‘Diṭṭhā mayā mānusakāpi kāmā, asassatā vipariṇāmadhammā;

    อาทีนวํ กามคุเณสุ ทิสฺวา, สทฺธายหํ ปพฺพชิโตมฺหิ, ราชฯ

    Ādīnavaṃ kāmaguṇesu disvā, saddhāyahaṃ pabbajitomhi, rāja.

    ‘‘ทุมปฺผลานีว ปตนฺติ มาณวา, ทหรา จ วุทฺธา จ สรีรเภทา;

    ‘‘Dumapphalānīva patanti māṇavā, daharā ca vuddhā ca sarīrabhedā;

    เอตมฺปิ ทิสฺวา ปพฺพชิโตมฺหิ ราช, อปณฺณกํ สามญฺญเมว เสโยฺย’’ติฯ (ชา. ๒.๑๗.๑๙๑-๑๙๒) –

    Etampi disvā pabbajitomhi rāja, apaṇṇakaṃ sāmaññameva seyyo’’ti. (jā. 2.17.191-192) –

    อิมาหิ คาถาหิ ธมฺมํ เทเสสิฯ

    Imāhi gāthāhi dhammaṃ desesi.

    ตํ สุตฺวา ราชา –

    Taṃ sutvā rājā –

    ‘‘อทฺธา หเว เสวิตพฺพา สปญฺญา, พหุสฺสุตา เย พหุฐานจินฺติโน;

    ‘‘Addhā have sevitabbā sapaññā, bahussutā ye bahuṭhānacintino;

    นาคญฺจ สุตฺวาน ตวญฺจฬาร, กาหามิ ปุญฺญานิ อนปฺปกานี’’ติฯ (ชา. ๒.๑๗.๑๙๓) –

    Nāgañca sutvāna tavañcaḷāra, kāhāmi puññāni anappakānī’’ti. (jā. 2.17.193) –

    อาหฯ

    Āha.

    อถสฺส ตาปโส –

    Athassa tāpaso –

    ‘‘อทฺธา หเว เสวิตพฺพา สปญฺญา, พหุสฺสุตา เย พหุฐานจินฺติโน;

    ‘‘Addhā have sevitabbā sapaññā, bahussutā ye bahuṭhānacintino;

    นาคญฺจ สุตฺวาน มมญฺจ ราช, กโรหิ ปุญฺญานิ อนปฺปกานี’’ติฯ (ชา. ๒.๑๗.๑๙๔) –

    Nāgañca sutvāna mamañca rāja, karohi puññāni anappakānī’’ti. (jā. 2.17.194) –

    เอวํ ธมฺมํ เทเสตฺวา ตเตฺถว จตฺตาโร วสฺสานมาเส วสิตฺวา ปุน หิมวนฺตํ คนฺตฺวา ยาวชีวํ จตฺตาโร พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ โพธิสโตฺตปิ ยาวชีวํ อุโปสถวาสํ วสิตฺวา สคฺคปุรํ ปูเรสิฯ โสปิ ราชา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา ยถากมฺมํ คโตฯ

    Evaṃ dhammaṃ desetvā tattheva cattāro vassānamāse vasitvā puna himavantaṃ gantvā yāvajīvaṃ cattāro brahmavihāre bhāvetvā brahmalokūpago ahosi. Bodhisattopi yāvajīvaṃ uposathavāsaṃ vasitvā saggapuraṃ pūresi. Sopi rājā dānādīni puññāni katvā yathākammaṃ gato.

    ตทา อาฬาโร สาริปุตฺตเตฺถโร อโหสิ, พาราณสิราชา อานนฺทเตฺถโร, สงฺขปาลนาคราชา โลกนาโถฯ

    Tadā āḷāro sāriputtatthero ahosi, bārāṇasirājā ānandatthero, saṅkhapālanāgarājā lokanātho.

    ตสฺส สรีรปริจฺจาโค ทานปารมี, ตถารูเปนปิ วิสเตเชน สมนฺนาคตสฺส ตถารูปายปิ ปีฬาย สติ สีลสฺส อภินฺนตา สีลปารมี, เทวโภคสมฺปตฺติสทิสํ โภคํ ปหาย นาคภวนโต นิกฺขมิตฺวา สมณธมฺมกรณํ เนกฺขมฺมปารมี, ‘‘ทานาทิอตฺถํ อิทญฺจิทญฺจ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ สํวิทหนํ ปญฺญาปารมี, กามวิตกฺกวิโนทนํ อธิวาสนวีริยญฺจ วีริยปารมี, อธิวาสนขนฺติ ขนฺติปารมี, สจฺจสมาทานํ สจฺจปารมี, อจลสมาทานาธิฎฺฐานํ อธิฎฺฐานปารมี, โภชปุเตฺต อุปาทาย สพฺพสเตฺตสุ เมตฺตานุทฺทยภาโว เมตฺตาปารมี, เวทนาย สตฺตสงฺขารกตวิปฺปกาเรสุ จ มชฺฌตฺตภาโว อุเปกฺขาปารมีติ เอวํ ทส ปารมิโย ลพฺภนฺติฯ สีลปารมี ปน อติสยวตีติ กตฺวา สา เอว เทสนํ อารุฬฺหาฯ ตถา อิธ โพธิสตฺตสฺส คุณานุภาวา ‘‘โยชนสติเก นาคภวนฎฺฐาเน’’ติอาทินา ภูริทตฺตจริยายํ (จริยา. ๒.๑๑ อาทโย) วุตฺตนเยเนว ยถารหํ วิภาเวตพฺพาติฯ

    Tassa sarīrapariccāgo dānapāramī, tathārūpenapi visatejena samannāgatassa tathārūpāyapi pīḷāya sati sīlassa abhinnatā sīlapāramī, devabhogasampattisadisaṃ bhogaṃ pahāya nāgabhavanato nikkhamitvā samaṇadhammakaraṇaṃ nekkhammapāramī, ‘‘dānādiatthaṃ idañcidañca kātuṃ vaṭṭatī’’ti saṃvidahanaṃ paññāpāramī, kāmavitakkavinodanaṃ adhivāsanavīriyañca vīriyapāramī, adhivāsanakhanti khantipāramī, saccasamādānaṃ saccapāramī, acalasamādānādhiṭṭhānaṃ adhiṭṭhānapāramī, bhojaputte upādāya sabbasattesu mettānuddayabhāvo mettāpāramī, vedanāya sattasaṅkhārakatavippakāresu ca majjhattabhāvo upekkhāpāramīti evaṃ dasa pāramiyo labbhanti. Sīlapāramī pana atisayavatīti katvā sā eva desanaṃ āruḷhā. Tathā idha bodhisattassa guṇānubhāvā ‘‘yojanasatike nāgabhavanaṭṭhāne’’tiādinā bhūridattacariyāyaṃ (cariyā. 2.11 ādayo) vuttanayeneva yathārahaṃ vibhāvetabbāti.

    สงฺขปาลจริยาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Saṅkhapālacariyāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    เอเตติ เย หตฺถินาคจริยาทโย อิมสฺมิํ วเคฺค นิทฺทิฎฺฐา อนนฺตรคาถาย จ ‘‘หตฺถินาโค ภูริทโตฺต’’ติอาทินา อุทฺทานวเสน สงฺคเหตฺวา ทสฺสิตา นว จริยา, เต สเพฺพ วิเสสโต สีลปารมิปูรณวเสน ปวตฺติยา สีลํ พลํ เอเตสนฺติ สีลพลาฯ สีลสฺส ปรมตฺถปารมิภูตสฺส ปริกฺขรณโต สนฺตานสฺส จ ปริภาวนาวเสน อภิสงฺขรณโต ปริกฺขาราฯ อุกฺกํสคตาย สีลปรมตฺถปารมิยา อสมฺปุณฺณตฺตา ปเทโส เอเตสํ อตฺถิ, น นิปฺปเทโสติ ปเทสิกา สปฺปเทสาฯ กสฺมาติ เจ? อาห ‘‘ชีวิตํ ปริรกฺขิตฺวา, สีลานิ อนุรกฺขิส’’นฺติ, ยสฺมา เอเตสุ หตฺถินาคจริยาทีสุ (จริยา. ๒.๑ อาทโย) อหํ อตฺตโน ชีวิตํ เอกเทเสน ปริรกฺขิตฺวาว สีลานิ อนุรกฺขิํ, ชีวิตํ น สพฺพถา ปริจฺจชิํ, เอกเนฺตเนว ปน สงฺขปาลสฺส เม สโต สพฺพกาลมฺปิ ชีวิตํ ยสฺส กสฺสจิ นิยฺยตฺตํ, สงฺขปาลนาคราชสฺส ปน เม มหานุภาวสฺส อุคฺควิสเตชสฺส สโต สมานสฺส สพฺพกาลมฺปิ เตหิ ลุเทฺทหิ สมาคเม ตโต ปุเพฺพปิ ปจฺฉาปิ สโต เอวํ ปุคฺคลวิภาคํ อกตฺวา ยสฺส กสฺสจิ สีลานุรกฺขณตฺถเมว ชีวิตํ เอกํเสเนว นิยฺยตฺตํ นียาติตํ ทานมุเข นิสฺสฎฺฐํ, ตสฺมา สา สีลปารมีติ ยสฺมา เจตเทวํ, ตสฺมา เตน การเณน สา ปรมตฺถปารมิภาวํ ปตฺตา มยฺหํ สีลปารมีติ ทเสฺสตีติฯ

    Eteti ye hatthināgacariyādayo imasmiṃ vagge niddiṭṭhā anantaragāthāya ca ‘‘hatthināgo bhūridatto’’tiādinā uddānavasena saṅgahetvā dassitā nava cariyā, te sabbe visesato sīlapāramipūraṇavasena pavattiyā sīlaṃ balaṃ etesanti sīlabalā. Sīlassa paramatthapāramibhūtassa parikkharaṇato santānassa ca paribhāvanāvasena abhisaṅkharaṇato parikkhārā. Ukkaṃsagatāya sīlaparamatthapāramiyā asampuṇṇattā padeso etesaṃ atthi, na nippadesoti padesikā sappadesā. Kasmāti ce? Āha ‘‘jīvitaṃ parirakkhitvā, sīlāni anurakkhisa’’nti, yasmā etesu hatthināgacariyādīsu (cariyā. 2.1 ādayo) ahaṃ attano jīvitaṃ ekadesena parirakkhitvāva sīlāni anurakkhiṃ, jīvitaṃ na sabbathā pariccajiṃ, ekanteneva pana saṅkhapālassa me sato sabbakālampi jīvitaṃ yassa kassaci niyyattaṃ, saṅkhapālanāgarājassa pana me mahānubhāvassa uggavisatejassa sato samānassa sabbakālampi tehi luddehi samāgame tato pubbepi pacchāpi sato evaṃ puggalavibhāgaṃ akatvā yassa kassaci sīlānurakkhaṇatthameva jīvitaṃ ekaṃseneva niyyattaṃ nīyātitaṃ dānamukhe nissaṭṭhaṃ, tasmā sā sīlapāramīti yasmā cetadevaṃ, tasmā tena kāraṇena sā paramatthapāramibhāvaṃ pattā mayhaṃ sīlapāramīti dassetīti.

    ปรมตฺถทีปนิยา จริยาปิฎกสํวณฺณนาย

    Paramatthadīpaniyā cariyāpiṭakasaṃvaṇṇanāya

    ทสวิธจริยาสงฺคหสฺส วิเสสโต

    Dasavidhacariyāsaṅgahassa visesato

    สีลปารมิวิภาวนสฺส

    Sīlapāramivibhāvanassa

    ทุติยวคฺคสฺส อตฺถวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dutiyavaggassa atthavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / จริยาปิฎกปาฬิ • Cariyāpiṭakapāḷi / ๑๐. สงฺขปาลจริยา • 10. Saṅkhapālacariyā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact