Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๕๒๔] ๔. สงฺขปาลชาตกวณฺณนา

    [524] 4. Saṅkhapālajātakavaṇṇanā

    อริยาวกาโสสีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อุโปสถกมฺมํ อารพฺภ กเถสิฯ ตทา หิ สตฺถา อุโปสถิเก อุปาสเก สมฺปหํเสตฺวา ‘‘โปราณกปณฺฑิตา มหติํ นาคสมฺปตฺติํ ปหาย อุโปสถวาสํ อุปวสิํสุเยวา’’ติ วตฺวา เตหิ ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Ariyāvakāsosīti idaṃ satthā jetavane viharanto uposathakammaṃ ārabbha kathesi. Tadā hi satthā uposathike upāsake sampahaṃsetvā ‘‘porāṇakapaṇḍitā mahatiṃ nāgasampattiṃ pahāya uposathavāsaṃ upavasiṃsuyevā’’ti vatvā tehi yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต ราชคเห มคธราชา นาม รชฺชํ กาเรสิฯ ตทา โพธิสโตฺต ตสฺส รโญฺญ อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺติ, ‘‘ทุโยฺยธโน’’ติสฺส นามํ กริํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคณฺหิตฺวา อาคนฺตฺวา ปิตุ สิปฺปํ ทเสฺสสิฯ อถ นํ ปิตา รเชฺช อภิสิญฺจิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา อุยฺยาเน วสิฯ โพธิสโตฺต ทิวสสฺส ติกฺขตฺตุํ ปิตุ สนฺติกํ อคมาสิฯ ตสฺส มหาลาภสกฺกาโร อุทปาทิฯ โส เตเนว ปลิโพเธน กสิณปริกมฺมมตฺตมฺปิ กาตุํ อสโกฺกโนฺต จิเนฺตสิ – ‘‘มหา เม ลาภสกฺกาโร, น สกฺกา มยา อิธ วสเนฺตน อิมํ ชฎํ ฉินฺทิตุํ, ปุตฺตสฺส เม อนาโรเจตฺวาว อญฺญตฺถ คมิสฺสามี’’ติฯ โส กญฺจิ อชานาเปตฺวา อุยฺยานา นิกฺขมิตฺวา มคธรฎฺฐํ อติกฺกมิตฺวา มหิสกรเฎฺฐ สงฺขปาลทหโต นาม นิกฺขนฺตาย กณฺณเวณฺณาย นทิยา นิวตฺตเน จนฺทกปพฺพตํ อุปนิสฺสาย ปณฺณสาลํ กตฺวา ตตฺถ วสโนฺต กสิณปริกมฺมํ กตฺวา ฌานาภิญฺญา นิพฺพเตฺตตฺวา อุญฺฉาจริยาย ยาเปสิฯ ตเมนํ สงฺขปาโล นาม นาคราชา มหเนฺตน ปริวาเรน กณฺณเวณฺณนทิโต นิกฺขมิตฺวา อนฺตรนฺตรา อุปสงฺกมติฯ โส ตสฺส ธมฺมํ เทเสสิฯ อถสฺส ปุโตฺต ปิตรํ ทฎฺฐุกาโม คตฎฺฐานํ อชานโนฺต อนุวิจาราเปตฺวา ‘‘อสุกฎฺฐาเน นาม วสตี’’ติ ญตฺวา ตสฺส ทสฺสนตฺถาย มหเนฺตน ปริวาเรน ตตฺถ คนฺตฺวา เอกมเนฺต ขนฺธวารํ นิวาเสตฺวา กติปเยหิ อมเจฺจหิ สทฺธิํ อสฺสมปทาภิมุโข ปายาสิฯ

    Atīte rājagahe magadharājā nāma rajjaṃ kāresi. Tadā bodhisatto tassa rañño aggamahesiyā kucchimhi nibbatti, ‘‘duyyodhano’’tissa nāmaṃ kariṃsu. So vayappatto takkasilāyaṃ sabbasippāni uggaṇhitvā āgantvā pitu sippaṃ dassesi. Atha naṃ pitā rajje abhisiñcitvā isipabbajjaṃ pabbajitvā uyyāne vasi. Bodhisatto divasassa tikkhattuṃ pitu santikaṃ agamāsi. Tassa mahālābhasakkāro udapādi. So teneva palibodhena kasiṇaparikammamattampi kātuṃ asakkonto cintesi – ‘‘mahā me lābhasakkāro, na sakkā mayā idha vasantena imaṃ jaṭaṃ chindituṃ, puttassa me anārocetvāva aññattha gamissāmī’’ti. So kañci ajānāpetvā uyyānā nikkhamitvā magadharaṭṭhaṃ atikkamitvā mahisakaraṭṭhe saṅkhapāladahato nāma nikkhantāya kaṇṇaveṇṇāya nadiyā nivattane candakapabbataṃ upanissāya paṇṇasālaṃ katvā tattha vasanto kasiṇaparikammaṃ katvā jhānābhiññā nibbattetvā uñchācariyāya yāpesi. Tamenaṃ saṅkhapālo nāma nāgarājā mahantena parivārena kaṇṇaveṇṇanadito nikkhamitvā antarantarā upasaṅkamati. So tassa dhammaṃ desesi. Athassa putto pitaraṃ daṭṭhukāmo gataṭṭhānaṃ ajānanto anuvicārāpetvā ‘‘asukaṭṭhāne nāma vasatī’’ti ñatvā tassa dassanatthāya mahantena parivārena tattha gantvā ekamante khandhavāraṃ nivāsetvā katipayehi amaccehi saddhiṃ assamapadābhimukho pāyāsi.

    ตสฺมิํ ขเณ สงฺขปาโล มหเนฺตน ปริวาเรน ธมฺมํ สุณโนฺต นิสีทิฯ โส ตํ ราชานํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา อิสิํ วนฺทิตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ ราชา ปิตรํ วนฺทิตฺวา ปฎิสนฺถารํ กตฺวา นิสีทิตฺวา ปุจฺฉิ – ‘‘ภเนฺต, กตรราชา นาเมส ตุมฺหากํ สนฺติกํ อาคโต’’ติฯ ตาต, สงฺขปาลนาคราชา นาเมโสติฯ โส ตสฺส สมฺปตฺติํ นิสฺสาย นาคภวเน โลภํ กตฺวา กติปาหํ วสิตฺวา ปิตุ ภิกฺขาหารํ นิพทฺธํ ทาเปตฺวา อตฺตโน นครเมว คนฺตฺวา จตูสุ ทฺวาเรสุ ทานสาลาโย กาเรตฺวา สกลชมฺพุทีปํ สโงฺขเภโนฺต ทานํ ทตฺวา สีลํ รกฺขิตฺวา อุโปสถกมฺมํ กตฺวา นาคภวนํ ปเตฺถตฺวา อายุปริโยสาเน นาคภวเน นิพฺพตฺติตฺวา สงฺขปาลนาคราชา อโหสิ ฯ โส คจฺฉเนฺต กาเล ตาย สมฺปตฺติยา วิปฺปฎิสารี หุตฺวา ตโต ปฎฺฐาย มนุสฺสโยนิํ ปเตฺถโนฺต อุโปสถวาสํ วสิฯ อถสฺส นาคภวเน วสนฺตสฺส อุโปสถวาโส น สมฺปชฺชติ, สีลวินาสํ ปาปุณาติฯ โส ตโต ปฎฺฐาย นาคภวนา นิกฺขมิตฺวา กณฺณเวณฺณาย นทิยา อวิทูเร มหามคฺคสฺส จ เอกปทิกมคฺคสฺส จ อนฺตเร เอกํ วมฺมิกํ ปริกฺขิปิตฺวา อุโปสถํ อธิฎฺฐาย สมาทินฺนสีโล ‘‘มม จมฺมมํสาทีหิ อตฺถิกา จมฺมมํสาทีนิ หรนฺตู’’ติ อตฺตานํ ทานมุเข วิสฺสเชฺชตฺวา วมฺมิกมตฺถเก นิปโนฺน สมณธมฺมํ กโรโนฺต จาตุทฺทเส ปนฺนรเส วสิตฺวา ปาฎิปเท นาคภวนํ คจฺฉติฯ

    Tasmiṃ khaṇe saṅkhapālo mahantena parivārena dhammaṃ suṇanto nisīdi. So taṃ rājānaṃ āgacchantaṃ disvā isiṃ vanditvā uṭṭhāyāsanā pakkāmi. Rājā pitaraṃ vanditvā paṭisanthāraṃ katvā nisīditvā pucchi – ‘‘bhante, katararājā nāmesa tumhākaṃ santikaṃ āgato’’ti. Tāta, saṅkhapālanāgarājā nāmesoti. So tassa sampattiṃ nissāya nāgabhavane lobhaṃ katvā katipāhaṃ vasitvā pitu bhikkhāhāraṃ nibaddhaṃ dāpetvā attano nagarameva gantvā catūsu dvāresu dānasālāyo kāretvā sakalajambudīpaṃ saṅkhobhento dānaṃ datvā sīlaṃ rakkhitvā uposathakammaṃ katvā nāgabhavanaṃ patthetvā āyupariyosāne nāgabhavane nibbattitvā saṅkhapālanāgarājā ahosi . So gacchante kāle tāya sampattiyā vippaṭisārī hutvā tato paṭṭhāya manussayoniṃ patthento uposathavāsaṃ vasi. Athassa nāgabhavane vasantassa uposathavāso na sampajjati, sīlavināsaṃ pāpuṇāti. So tato paṭṭhāya nāgabhavanā nikkhamitvā kaṇṇaveṇṇāya nadiyā avidūre mahāmaggassa ca ekapadikamaggassa ca antare ekaṃ vammikaṃ parikkhipitvā uposathaṃ adhiṭṭhāya samādinnasīlo ‘‘mama cammamaṃsādīhi atthikā cammamaṃsādīni harantū’’ti attānaṃ dānamukhe vissajjetvā vammikamatthake nipanno samaṇadhammaṃ karonto cātuddase pannarase vasitvā pāṭipade nāgabhavanaṃ gacchati.

    ตสฺมิํ เอกทิวสํ เอวํ สีลํ สมาทิยิตฺวา นิปเนฺน ปจฺจนฺตคามวาสิโน โสฬส ชนา ‘‘มํสํ อาหริสฺสามา’’ติ อาวุธหตฺถา อรเญฺญ วิจรนฺตา กิญฺจิ อลภิตฺวา นิกฺขนฺตา ตํ วมฺมิกมตฺถเก นิปนฺนํ ทิสฺวา ‘‘มยํ อชฺช โคธาโปตกมฺปิ น ลภิมฺหา, อิมํ นาคราชานํ วธิตฺวา ขาทิสฺสามา’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘มหา โข ปเนส คยฺหมาโน ปลาเยยฺย, ยถานิปนฺนเมว ตํ โภเคสุ สูเลหิ วิชฺฌิตฺวา ทุพฺพลํ กตฺวา คณฺหิสฺสามา’’ติ สูลานิ อาทาย อุปสงฺกมิํสุฯ โพธิสตฺตสฺส สรีรํ มหนฺตํ เอกโทณิกนาวปฺปมาณํ วเฎฺฎตฺวา ฐปิตสุมนปุปฺผทามํ วิย ชิญฺชุกผลสนฺนิเภหิ อกฺขีหิ ชยสุมนปุปฺผสทิเสน จ สีเสน สมนฺนาคตํ อติวิย โสภติฯ โส เตสํ โสฬสนฺนํ ชนานํ ปทสเทฺทน โภคนฺตรโต สีสํ นีหริตฺวา รตฺตกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา เต สูลหเตฺถ อาคจฺฉเนฺต ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อชฺช มยฺหํ มโนรโถ มตฺถกํ ปาปุณิสฺสติ, อหํ อตฺตานํ ทานมุเข นิยฺยาเทตฺวา วีริยํ อธิฎฺฐหิตฺวา นิปโนฺน, อิเม มม สรีรํ สตฺตีหิ โกเฎฺฎตฺวา ฉิทฺทาวฉิทฺทํ กโรเนฺต โกธวเสน อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา น โอโลเกสฺสามี’’ติ อตฺตโน สีลเภทภเยน ทฬฺหํ อธิฎฺฐาย สีสํ โภคนฺตเรเยว ปเวเสตฺวา นิปชฺชิฯ อถ นํ เต อุปคนฺตฺวา นงฺคุเฎฺฐ คเหตฺวา กฑฺฒนฺตา ภูมิยํ โปเถตฺวา ติขิณสูเลหิ อฎฺฐสุ ฐาเนสุ วิชฺฌิตฺวา สกณฺฎกกาฬเวตฺตยฎฺฐิโย ปหารมุเขหิ ปเวเสตฺวา อฎฺฐสุ ฐาเนสุ กาเชนาทาย มหามคฺคํ ปฎิปชฺชิํสุ, มหาสโตฺต สูเลหิ วิชฺฌนโต ปฎฺฐาย เอกฎฺฐาเนปิ โกธวเสน อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา เต น โอโลเกสิฯ ตสฺส อฎฺฐหิ กาเชหิ อาทาย นียมานสฺส สีสํ โอลเมฺพตฺวา ภูมิยํ ปหริฯ อถ นํ ‘‘สีสมสฺส โอลมฺพตี’’ติ มหามเคฺค นิปชฺชาเปตฺวา ตรุณสูเลน นาสาปุฎํ วิชฺฌิตฺวา รชฺชุกํ ปเวเสตฺวา สีสํ อุกฺขิปิตฺวา กาชโกฎิยํ ลคฺคิตฺวา ปุนปิ อุกฺขิปิตฺวา มคฺคํ ปฎิปชฺชิํสุฯ

    Tasmiṃ ekadivasaṃ evaṃ sīlaṃ samādiyitvā nipanne paccantagāmavāsino soḷasa janā ‘‘maṃsaṃ āharissāmā’’ti āvudhahatthā araññe vicarantā kiñci alabhitvā nikkhantā taṃ vammikamatthake nipannaṃ disvā ‘‘mayaṃ ajja godhāpotakampi na labhimhā, imaṃ nāgarājānaṃ vadhitvā khādissāmā’’ti cintetvā ‘‘mahā kho panesa gayhamāno palāyeyya, yathānipannameva taṃ bhogesu sūlehi vijjhitvā dubbalaṃ katvā gaṇhissāmā’’ti sūlāni ādāya upasaṅkamiṃsu. Bodhisattassa sarīraṃ mahantaṃ ekadoṇikanāvappamāṇaṃ vaṭṭetvā ṭhapitasumanapupphadāmaṃ viya jiñjukaphalasannibhehi akkhīhi jayasumanapupphasadisena ca sīsena samannāgataṃ ativiya sobhati. So tesaṃ soḷasannaṃ janānaṃ padasaddena bhogantarato sīsaṃ nīharitvā rattakkhīni ummīletvā te sūlahatthe āgacchante disvā cintesi – ‘‘ajja mayhaṃ manoratho matthakaṃ pāpuṇissati, ahaṃ attānaṃ dānamukhe niyyādetvā vīriyaṃ adhiṭṭhahitvā nipanno, ime mama sarīraṃ sattīhi koṭṭetvā chiddāvachiddaṃ karonte kodhavasena akkhīni ummīletvā na olokessāmī’’ti attano sīlabhedabhayena daḷhaṃ adhiṭṭhāya sīsaṃ bhogantareyeva pavesetvā nipajji. Atha naṃ te upagantvā naṅguṭṭhe gahetvā kaḍḍhantā bhūmiyaṃ pothetvā tikhiṇasūlehi aṭṭhasu ṭhānesu vijjhitvā sakaṇṭakakāḷavettayaṭṭhiyo pahāramukhehi pavesetvā aṭṭhasu ṭhānesu kājenādāya mahāmaggaṃ paṭipajjiṃsu, mahāsatto sūlehi vijjhanato paṭṭhāya ekaṭṭhānepi kodhavasena akkhīni ummīletvā te na olokesi. Tassa aṭṭhahi kājehi ādāya nīyamānassa sīsaṃ olambetvā bhūmiyaṃ pahari. Atha naṃ ‘‘sīsamassa olambatī’’ti mahāmagge nipajjāpetvā taruṇasūlena nāsāpuṭaṃ vijjhitvā rajjukaṃ pavesetvā sīsaṃ ukkhipitvā kājakoṭiyaṃ laggitvā punapi ukkhipitvā maggaṃ paṭipajjiṃsu.

    ตสฺมิํ ขเณ วิเทหรเฎฺฐ มิถิลนครวาสี อาฬาโร นาม กุฎุมฺพิโก ปญฺจ สกฎสตานิ อาทาย สุขยานเก นิสีทิตฺวา คจฺฉโนฺต เต โภชปุเตฺต โพธิสตฺตํ ตถา คณฺหิตฺวา คจฺฉเนฺต ทิสฺวา เตสํ โสฬสนฺนมฺปิ โสฬสหิ วาหโคเณหิ สทฺธิํ ปสตํ ปสตํ สุวณฺณมาสเก สเพฺพสํ นิวาสนปารุปนานิ ภริยานมฺปิ เนสํ วตฺถาภรณานิ ทตฺวา วิสฺสชฺชาเปสิฯ อถ โส นาคภวนํ คนฺตฺวา ตตฺถ ปปญฺจํ อกตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน นิกฺขมิตฺวา อาฬารํ อุปสงฺกมิตฺวา นาคภวนสฺส วณฺณํ กเถตฺวา ตํ อาทาย นาคภวนํ คนฺตฺวา ตีหิ นาคกญฺญาสเตหิ สทฺธิํ มหนฺตมสฺส ยสํ ทตฺวา ทิเพฺพหิ กาเมหิ สนฺตเปฺปสิฯ อาฬาโร นาคภวเน เอกวสฺสํ วสิตฺวา ทิพฺพกาเม ปริภุญฺชิตฺวา ‘‘อิจฺฉามหํ, สมฺม, ปพฺพชิตุ’’นฺติ นาคราชสฺส กเถตฺวา ปพฺพชิตปริกฺขาเร คเหตฺวา นาคภวนโต หิมวนฺตปฺปเทสํ คนฺตฺวา ปพฺพชิตฺวา ตตฺถ จิรํ วสิตฺวา อปรภาเค จาริกํ จรโนฺต พาราณสิํ ปตฺวา ราชุยฺยาเน วสิตฺวา ปุนทิวเส ภิกฺขาย นครํ ปวิสิตฺวา ราชทฺวารํ อคมาสิฯ อถ นํ พาราณสิราชา ทิสฺวา อิริยาปเถ ปสีทิตฺวา ปโกฺกสาเปตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสีทาเปตฺวา นานคฺครสโภชนํ โภเชตฺวา อญฺญตรสฺมิํ นีเจ อาสเน นิสิโนฺน วนฺทิตฺวา เตน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ปฐมํ คาถมาห –

    Tasmiṃ khaṇe videharaṭṭhe mithilanagaravāsī āḷāro nāma kuṭumbiko pañca sakaṭasatāni ādāya sukhayānake nisīditvā gacchanto te bhojaputte bodhisattaṃ tathā gaṇhitvā gacchante disvā tesaṃ soḷasannampi soḷasahi vāhagoṇehi saddhiṃ pasataṃ pasataṃ suvaṇṇamāsake sabbesaṃ nivāsanapārupanāni bhariyānampi nesaṃ vatthābharaṇāni datvā vissajjāpesi. Atha so nāgabhavanaṃ gantvā tattha papañcaṃ akatvā mahantena parivārena nikkhamitvā āḷāraṃ upasaṅkamitvā nāgabhavanassa vaṇṇaṃ kathetvā taṃ ādāya nāgabhavanaṃ gantvā tīhi nāgakaññāsatehi saddhiṃ mahantamassa yasaṃ datvā dibbehi kāmehi santappesi. Āḷāro nāgabhavane ekavassaṃ vasitvā dibbakāme paribhuñjitvā ‘‘icchāmahaṃ, samma, pabbajitu’’nti nāgarājassa kathetvā pabbajitaparikkhāre gahetvā nāgabhavanato himavantappadesaṃ gantvā pabbajitvā tattha ciraṃ vasitvā aparabhāge cārikaṃ caranto bārāṇasiṃ patvā rājuyyāne vasitvā punadivase bhikkhāya nagaraṃ pavisitvā rājadvāraṃ agamāsi. Atha naṃ bārāṇasirājā disvā iriyāpathe pasīditvā pakkosāpetvā paññattāsane nisīdāpetvā nānaggarasabhojanaṃ bhojetvā aññatarasmiṃ nīce āsane nisinno vanditvā tena saddhiṃ sallapanto paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๑๔๓.

    143.

    ‘‘อริยาวกาโสสิ ปสนฺนเนโตฺต, มเญฺญ ภวํ ปพฺพชิโต กุลมฺหา;

    ‘‘Ariyāvakāsosi pasannanetto, maññe bhavaṃ pabbajito kulamhā;

    กถํ นุ วิตฺตานิ ปหาย โภเค, ปพฺพชิ นิกฺขมฺม ฆรา สปญฺญา’’ติฯ

    Kathaṃ nu vittāni pahāya bhoge, pabbaji nikkhamma gharā sapaññā’’ti.

    ตตฺถ อริยาวกาโสสีติ นิโทฺทสสุนฺทรสรีราวกาโสสิ, อภิรูโปสีติ อโตฺถฯ ปสนฺนเนโตฺตติ ปญฺจหิ ปสาเทหิ ยุตฺตเนโตฺตฯ กุลมฺหาติ ขตฺติยกุลา วา พฺราหฺมณกุลา วา เสฎฺฐิกุลา วา ปพฺพชิโตสีติ มญฺญามิฯ กถํ นูติ เกน การเณน กิํ อารมฺมณํ กตฺวา ธนญฺจ อุปโภเค จ ปหาย ฆรา นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิโตสิ สปญฺญ ปณฺฑิตปุริสาติ ปุจฺฉติฯ

    Tattha ariyāvakāsosīti niddosasundarasarīrāvakāsosi, abhirūposīti attho. Pasannanettoti pañcahi pasādehi yuttanetto. Kulamhāti khattiyakulā vā brāhmaṇakulā vā seṭṭhikulā vā pabbajitosīti maññāmi. Kathaṃ nūti kena kāraṇena kiṃ ārammaṇaṃ katvā dhanañca upabhoge ca pahāya gharā nikkhamitvā pabbajitosi sapañña paṇḍitapurisāti pucchati.

    ตโต ปรํ ตาปสสฺส จ รโญฺญ จ วจนปฺปฎิวจนวเสน คาถานํ สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพ –

    Tato paraṃ tāpasassa ca rañño ca vacanappaṭivacanavasena gāthānaṃ sambandho veditabbo –

    ๑๔๔.

    144.

    ‘‘สยํ วิมานํ นรเทว ทิสฺวา, มหานุภาวสฺส มโหรคสฺส;

    ‘‘Sayaṃ vimānaṃ naradeva disvā, mahānubhāvassa mahoragassa;

    ทิสฺวาน ปุญฺญาน มหาวิปากํ, สทฺธายหํ ปพฺพชิโตมฺหิ ราชฯ

    Disvāna puññāna mahāvipākaṃ, saddhāyahaṃ pabbajitomhi rāja.

    ๑๔๕.

    145.

    ‘‘น กามกามา น ภยา น โทสา, วาจํ มุสา ปพฺพชิตา ภณนฺติ;

    ‘‘Na kāmakāmā na bhayā na dosā, vācaṃ musā pabbajitā bhaṇanti;

    อกฺขาหิ เม ปุจฺฉิโต เอตมตฺถํ, สุตฺวาน เม ชายิหิติปฺปสาโทฯ

    Akkhāhi me pucchito etamatthaṃ, sutvāna me jāyihitippasādo.

    ๑๔๖.

    146.

    ‘‘วาณิชฺช รฎฺฐาธิป คจฺฉมาโน, ปเถ อทฺทสาสิมฺหิ โภชปุเตฺต;

    ‘‘Vāṇijja raṭṭhādhipa gacchamāno, pathe addasāsimhi bhojaputte;

    ปวฑฺฒกายํ อุรคํ มหนฺตํ, อาทาย คจฺฉเนฺต ปโมทมาเนฯ

    Pavaḍḍhakāyaṃ uragaṃ mahantaṃ, ādāya gacchante pamodamāne.

    ๑๔๗.

    147.

    ‘‘โสหํ สมาคมฺม ชนินฺท เตหิ, ปหฎฺฐโลโม อวจมฺหิ ภีโต;

    ‘‘Sohaṃ samāgamma janinda tehi, pahaṭṭhalomo avacamhi bhīto;

    กุหิํ อยํ นียติ ภีมกาโย, นาเคน กิํ กาหถ โภชปุตฺตาฯ

    Kuhiṃ ayaṃ nīyati bhīmakāyo, nāgena kiṃ kāhatha bhojaputtā.

    ๑๔๘.

    148.

    ‘‘นาโค อยํ นียติ โภชนตฺถา, ปวฑฺฒกาโย อุรโค มหโนฺต;

    ‘‘Nāgo ayaṃ nīyati bhojanatthā, pavaḍḍhakāyo urago mahanto;

    สาทุญฺจ ถูลญฺจ มุทุญฺจ มํสํ, น ตฺวํ รสญฺญาสิ วิเทหปุตฺตฯ

    Sāduñca thūlañca muduñca maṃsaṃ, na tvaṃ rasaññāsi videhaputta.

    ๑๔๙.

    149.

    ‘‘อิโต มยํ คนฺตฺวา สกํ นิเกตํ, อาทาย สตฺถานิ วิโกปยิตฺวา;

    ‘‘Ito mayaṃ gantvā sakaṃ niketaṃ, ādāya satthāni vikopayitvā;

    มํสานิ โภกฺขาม ปโมทมานา, มยญฺหิ เว สตฺตโว ปนฺนคานํฯ

    Maṃsāni bhokkhāma pamodamānā, mayañhi ve sattavo pannagānaṃ.

    ๑๕๐.

    150.

    ‘‘สเจ อยํ นียติ โภชนตฺถา, ปวฑฺฒกาโย อุรโค มหโนฺต;

    ‘‘Sace ayaṃ nīyati bhojanatthā, pavaḍḍhakāyo urago mahanto;

    ททามิ โว พลิพทฺทานิ โสฬส, นาคํ อิมํ มุญฺจถ พนฺธนสฺมาฯ

    Dadāmi vo balibaddāni soḷasa, nāgaṃ imaṃ muñcatha bandhanasmā.

    ๑๕๑.

    151.

    ‘‘อทฺธา หิ โน ภโกฺข อยํ มนาโป, พหู จ โน อุรคา ภุตฺตปุพฺพา;

    ‘‘Addhā hi no bhakkho ayaṃ manāpo, bahū ca no uragā bhuttapubbā;

    กโรม เต ตํ วจนํ อฬาร, มิตฺตญฺจ โน โหหิ วิเทหปุตฺตฯ

    Karoma te taṃ vacanaṃ aḷāra, mittañca no hohi videhaputta.

    ๑๕๒.

    152.

    ‘‘ตทาสฺสุ เต พนฺธนา โมจยิํสุ, ยํ นตฺถุโต ปฎิโมกฺกสฺส ปาเส;

    ‘‘Tadāssu te bandhanā mocayiṃsu, yaṃ natthuto paṭimokkassa pāse;

    มุโตฺต จ โส พนฺธนา นาคราชา, ปกฺกามิ ปาจีนมุโข มุหุตฺตํฯ

    Mutto ca so bandhanā nāgarājā, pakkāmi pācīnamukho muhuttaṃ.

    ๑๕๓.

    153.

    ‘‘คนฺตฺวาน ปาจีนมุโข มุหุตฺตํ, ปุเณฺณหิ เนเตฺตหิ ปโลกยี มํ;

    ‘‘Gantvāna pācīnamukho muhuttaṃ, puṇṇehi nettehi palokayī maṃ;

    ตทาสฺสหํ ปิฎฺฐิโต อนฺวคจฺฉิํ, ทสงฺคุลิํ อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวาฯ

    Tadāssahaṃ piṭṭhito anvagacchiṃ, dasaṅguliṃ añjaliṃ paggahetvā.

    ๑๕๔.

    154.

    ‘‘คเจฺฉว โข ตฺวํ ตรมานรูโป, มา ตํ อมิตฺตา ปุนรคฺคเหสุํ;

    ‘‘Gaccheva kho tvaṃ taramānarūpo, mā taṃ amittā punaraggahesuṃ;

    ทุโกฺข หิ ลุเทฺทหิ ปุนา สมาคโม, อทสฺสนํ โภชปุตฺตาน คจฺฉฯ

    Dukkho hi luddehi punā samāgamo, adassanaṃ bhojaputtāna gaccha.

    ๑๕๕.

    155.

    ‘‘อคมาสิ โส รหทํ วิปฺปสนฺนํ, นีโลภาสํ รมณียํ สุติตฺถํ;

    ‘‘Agamāsi so rahadaṃ vippasannaṃ, nīlobhāsaṃ ramaṇīyaṃ sutitthaṃ;

    สโมตตํ ชมฺพุหิ เวตสาหิ, ปาเวกฺขิ นิตฺติณฺณภโย ปตีโตฯ

    Samotataṃ jambuhi vetasāhi, pāvekkhi nittiṇṇabhayo patīto.

    ๑๕๖.

    156.

    ‘‘โส ตํ ปวิสฺส นจิรสฺส นาโค, ทิเพฺพน เม ปาตุรหู ชนินฺท;

    ‘‘So taṃ pavissa nacirassa nāgo, dibbena me pāturahū janinda;

    อุปฎฺฐหี มํ ปิตรํว ปุโตฺต, หทยงฺคมํ กณฺณสุขํ ภณโนฺตฯ

    Upaṭṭhahī maṃ pitaraṃva putto, hadayaṅgamaṃ kaṇṇasukhaṃ bhaṇanto.

    ๑๕๗.

    157.

    ‘‘ตฺวํ เมสิ มาตา จ ปิตา อฬาร, อพฺภนฺตโร ปาณทโท สหาโย;

    ‘‘Tvaṃ mesi mātā ca pitā aḷāra, abbhantaro pāṇadado sahāyo;

    สกญฺจ อิทฺธิํ ปฎิลาภโกสฺมิ, อฬาร ปสฺส เม นิเวสนานิ;

    Sakañca iddhiṃ paṭilābhakosmi, aḷāra passa me nivesanāni;

    ปหูตภกฺขํ พหุอนฺนปานํ, มสกฺกสารํ วิย วาสวสฺสา’’ติฯ

    Pahūtabhakkhaṃ bahuannapānaṃ, masakkasāraṃ viya vāsavassā’’ti.

    ตตฺถ วิมานนฺติ สงฺขปาลนาครโญฺญ อเนกสตนาฎกสมฺปตฺติสมฺปนฺนํ กญฺจนมณิวิมานํฯ ปุญฺญานนฺติ เตน กตปุญฺญานํ มหนฺตํ วิปากํ ทิสฺวา กมฺมญฺจ ผลญฺจ ปรโลกญฺจ สทฺทหิตฺวา ปวตฺตาย สทฺธาย อหํ ปพฺพชิโตฯ น กามกามาติ น วตฺถุกาเมนปิ ภเยนปิ โทเสนปิ มุสา ภณนฺติฯ ชายิหิตีติ, ภเนฺต, ตุมฺหากํ วจนํ สุตฺวา มยฺหมฺปิ ปสาโท โสมนสฺสํ ชายิสฺสติฯ วาณิชฺชนฺติ วาณิชฺชกมฺมํ กริสฺสามีติ คจฺฉโนฺตฯ ปเถ อทฺทสาสิมฺหีติ ปญฺจนฺนํ สกฎสตานํ ปุรโต สุขยานเก นิสีทิตฺวา คจฺฉโนฺต มหามเคฺค ชนปทมนุเสฺส อทฺทสํฯ ปวฑฺฒกายนฺติ วฑฺฒิตกายํฯ อาทายาติ อฎฺฐหิ กาเชหิ คเหตฺวาฯ อวจมฺหีติ อภาสิํฯ ภีมกาโยติ ภยชนกกาโยฯ โภชปุตฺตาติ ลุทฺทปุตฺตเก ปิยสมุทาจาเรนาลปติฯ วิเทหปุตฺตาติ วิเทหรฎฺฐวาสิตาย อาฬารํ อาลปิํสุฯ วิโกปยิตฺวาติ ฉินฺทิตฺวาฯ มยญฺหิ โว สตฺตโวติ มยํ ปน นาคานํ เวริโน นามฯ โภชนตฺถาติ โภชนตฺถายฯ มิตฺตญฺจ โน โหหีติ ตฺวํ อมฺหากํ มิโตฺต โหหิ, กตคุณํ ชานฯ

    Tattha vimānanti saṅkhapālanāgarañño anekasatanāṭakasampattisampannaṃ kañcanamaṇivimānaṃ. Puññānanti tena katapuññānaṃ mahantaṃ vipākaṃ disvā kammañca phalañca paralokañca saddahitvā pavattāya saddhāya ahaṃ pabbajito. Na kāmakāmāti na vatthukāmenapi bhayenapi dosenapi musā bhaṇanti. Jāyihitīti, bhante, tumhākaṃ vacanaṃ sutvā mayhampi pasādo somanassaṃ jāyissati. Vāṇijjanti vāṇijjakammaṃ karissāmīti gacchanto. Pathe addasāsimhīti pañcannaṃ sakaṭasatānaṃ purato sukhayānake nisīditvā gacchanto mahāmagge janapadamanusse addasaṃ. Pavaḍḍhakāyanti vaḍḍhitakāyaṃ. Ādāyāti aṭṭhahi kājehi gahetvā. Avacamhīti abhāsiṃ. Bhīmakāyoti bhayajanakakāyo. Bhojaputtāti luddaputtake piyasamudācārenālapati. Videhaputtāti videharaṭṭhavāsitāya āḷāraṃ ālapiṃsu. Vikopayitvāti chinditvā. Mayañhi vo sattavoti mayaṃ pana nāgānaṃ verino nāma. Bhojanatthāti bhojanatthāya. Mittañca no hohīti tvaṃ amhākaṃ mitto hohi, kataguṇaṃ jāna.

    ตทาสฺสุ เตติ, มหาราช, เตหิ โภชปุเตฺตหิ เอวํ วุเตฺต อหํ เตสํ โสฬส วาหโคเณ นิวาสนปารุปนานิ ปสตํ ปสตํ สุวณฺณมาสเก ภริยานญฺจ เนสํ วตฺถาลงฺการํ อทาสิํ, อถ เต สงฺขปาลนาคราชานํ ภูมิยํ นิปชฺชาเปตฺวา อตฺตโน กกฺขฬตาย สกณฺฎกกาฬเวตฺตลตาย โกฎิยํ คเหตฺวา อากฑฺฒิตุํ อารภิํสุฯ อถาหํ นาคราชานํ กิลมนฺตํ ทิสฺวา อกิลเมโนฺตว อสินา ตา ลตา ฉินฺทิตฺวา ทารกานํ กณฺณเวธโต วฎฺฎินีหรณนิยาเมน อทุกฺขาเปโนฺต สณิกํ นีหริํ, ตสฺมิํ กาเล เต โภชปุตฺตา ยํ พนฺธนํ อสฺส นตฺถุโต ปเวเสตฺวา ปาเส ปฎิโมกฺกํ, ตสฺมา พนฺธนา ตํ อุรคํ โมจยิํสุฯ ตสฺส นาสโต สห ปาเสน ตํ รชฺชุกํ นีหริํสูติ ทีเปติฯ อิติ เต อุรคํ วิสฺสเชฺชตฺวา โถกํ คนฺตฺวา ‘‘อยํ อุรโค ทุพฺพโล, มตกาเล นํ คเหตฺวา คมิสฺสามา’’ติ นิลียิํสุฯ

    Tadāssu teti, mahārāja, tehi bhojaputtehi evaṃ vutte ahaṃ tesaṃ soḷasa vāhagoṇe nivāsanapārupanāni pasataṃ pasataṃ suvaṇṇamāsake bhariyānañca nesaṃ vatthālaṅkāraṃ adāsiṃ, atha te saṅkhapālanāgarājānaṃ bhūmiyaṃ nipajjāpetvā attano kakkhaḷatāya sakaṇṭakakāḷavettalatāya koṭiyaṃ gahetvā ākaḍḍhituṃ ārabhiṃsu. Athāhaṃ nāgarājānaṃ kilamantaṃ disvā akilamentova asinā tā latā chinditvā dārakānaṃ kaṇṇavedhato vaṭṭinīharaṇaniyāmena adukkhāpento saṇikaṃ nīhariṃ, tasmiṃ kāle te bhojaputtā yaṃ bandhanaṃ assa natthuto pavesetvā pāse paṭimokkaṃ, tasmā bandhanā taṃ uragaṃ mocayiṃsu. Tassa nāsato saha pāsena taṃ rajjukaṃ nīhariṃsūti dīpeti. Iti te uragaṃ vissajjetvā thokaṃ gantvā ‘‘ayaṃ urago dubbalo, matakāle naṃ gahetvā gamissāmā’’ti nilīyiṃsu.

    ปุเณฺณหีติ โสปิ มุหุตฺตํ ปาจีนาภิมุโข คนฺตฺวา อสฺสุปุเณฺณหิ เนเตฺตหิ มํ ปโลกยิฯ ตทาสฺสหนฺติ ตทา อสฺส อหํฯ คเจฺฉวาติ เอวํ ตํ อวจนฺติ วทติฯ รหทนฺติ กณฺณเวณฺณทหํฯ สโมตตนฺติ อุภยตีเรสุ ชมฺพุรุกฺขเวตสรุเกฺขหิ โอตตํ วิตตํฯ นิตฺติณฺณภโย ปตีโตติ โส กิร ตํ ทหํ ปวิสโนฺต อาฬารสฺส นิปจฺจการํ ทเสฺสตฺวา ยาว นงฺคุฎฺฐา โอตริ, อุทเก ปวิฎฺฐฎฺฐานเมวสฺส นิพฺภยํ อโหสิ, ตสฺมา นิตฺติณฺณภโย ปตีโต หฎฺฐตุโฎฺฐ ปาเวกฺขีติฯ ปวิสฺสาติ ปวิสิตฺวาฯ ทิเพฺพน เมติ นาคภวเน ปมาทํ อนาปชฺชิตฺวา มยิ กณฺณเวณฺณตีรํ อนติกฺกเนฺตเยว ทิเพฺพน ปริวาเรน มม ปุรโต ปาตุรโหสิฯ อุปฎฺฐหีติ อุปาคมิฯ อพฺภนฺตโรติ หทยมํสสทิโสฯ ตฺวํ มม พหุปกาโร, สกฺการํ เต กริสฺสามิฯ ปสฺส เม นิเวสนานีติ มม นาคภวนํ ปสฺสฯ มสกฺกสารํ วิยาติ มสกฺกสาโร วุจฺจติ โอสกฺกนปริสกฺกนาภาเวน ฆนสารตาย จ สิเนรุปพฺพตราชาฯ อยํ ตตฺถ มาปิตํ ตาวติํสภวนํ สนฺธาเยวมาหฯ

    Puṇṇehīti sopi muhuttaṃ pācīnābhimukho gantvā assupuṇṇehi nettehi maṃ palokayi. Tadāssahanti tadā assa ahaṃ. Gacchevāti evaṃ taṃ avacanti vadati. Rahadanti kaṇṇaveṇṇadahaṃ. Samotatanti ubhayatīresu jamburukkhavetasarukkhehi otataṃ vitataṃ. Nittiṇṇabhayo patītoti so kira taṃ dahaṃ pavisanto āḷārassa nipaccakāraṃ dassetvā yāva naṅguṭṭhā otari, udake paviṭṭhaṭṭhānamevassa nibbhayaṃ ahosi, tasmā nittiṇṇabhayo patīto haṭṭhatuṭṭho pāvekkhīti. Pavissāti pavisitvā. Dibbena meti nāgabhavane pamādaṃ anāpajjitvā mayi kaṇṇaveṇṇatīraṃ anatikkanteyeva dibbena parivārena mama purato pāturahosi. Upaṭṭhahīti upāgami. Abbhantaroti hadayamaṃsasadiso. Tvaṃ mama bahupakāro, sakkāraṃ te karissāmi. Passa me nivesanānīti mama nāgabhavanaṃ passa. Masakkasāraṃ viyāti masakkasāro vuccati osakkanaparisakkanābhāvena ghanasāratāya ca sinerupabbatarājā. Ayaṃ tattha māpitaṃ tāvatiṃsabhavanaṃ sandhāyevamāha.

    มหาราช! เอวํ วตฺวา โส นาคราชา อุตฺตริ อตฺตโน นาคภวนํ วเณฺณโนฺต คาถาทฺวยมาห –

    Mahārāja! Evaṃ vatvā so nāgarājā uttari attano nāgabhavanaṃ vaṇṇento gāthādvayamāha –

    ๑๕๘.

    158.

    ‘‘ตํ ภูมิภาเคหิ อุเปตรูปํ, อสกฺขรา เจว มุทู สุภา จ;

    ‘‘Taṃ bhūmibhāgehi upetarūpaṃ, asakkharā ceva mudū subhā ca;

    นีจตฺติณา อปฺปรชา จ ภูมิ, ปาสาทิกา ยตฺถ ชหนฺติ โสกํฯ

    Nīcattiṇā apparajā ca bhūmi, pāsādikā yattha jahanti sokaṃ.

    ๑๕๙.

    159.

    ‘‘อนาวกุลา เวฬุริยูปนีลา, จตุทฺทิสํ อมฺพวนํ สุรมฺมํ;

    ‘‘Anāvakulā veḷuriyūpanīlā, catuddisaṃ ambavanaṃ surammaṃ;

    ปกฺกา จ เปสี จ ผลา สุผุลฺลา, นิโจฺจตุกา ธารยนฺตี ผลานี’’ติฯ

    Pakkā ca pesī ca phalā suphullā, niccotukā dhārayantī phalānī’’ti.

    ตตฺถ อสกฺขราติ ยา ตตฺถ ภูมิ ปาสาณสกฺขรรหิตา มุทุ สุภา กญฺจนรชตมณิมยา สตฺตรตนวาลุกากิณฺณาฯ นีจตฺติณาติ อินฺทโคปกปิฎฺฐิสทิสวเณฺณหิ นีจติเณหิ สมนฺนาคตาฯ อปฺปรชาติ ปํสุรหิตาฯ ยตฺถ ชหนฺติ โสกนฺติ ยตฺถ ปวิฎฺฐมตฺตาว นิโสฺสกา โหนฺติฯ อนาวกุลาติ น อวกุลา อขาณุมา อุปริ อุกฺกุลวิกุลภาวรหิตา วา สมสณฺฐิตาฯ เวฬุริยูปนีลาติ เวฬุริเยน อุปนีลา, ตสฺมิํ นาคภวเน เวฬุริยมยา ปสนฺนสลิลา นีโลภาสา อเนกวณฺณกมลุปฺปลสญฺฉนฺนา โปกฺขรณีติ อโตฺถฯ จตุทฺทิสนฺติ ตสฺสา โปกฺขรณิยา จตูสุ ทิสาสุฯ ปกฺกา จาติ ตสฺมิํ อมฺพวเน อมฺพรุกฺขา ปกฺกผลา จ อฑฺฒปกฺกผลา จ ตรุณผลา จ ผุลฺลิตาเยวาติ อโตฺถฯ นิโจฺจตุกาติ ฉนฺนมฺปิ อุตูนํ อนุรูเปหิ ปุปฺผผเลหิ สมนฺนาคตาติฯ

    Tattha asakkharāti yā tattha bhūmi pāsāṇasakkhararahitā mudu subhā kañcanarajatamaṇimayā sattaratanavālukākiṇṇā. Nīcattiṇāti indagopakapiṭṭhisadisavaṇṇehi nīcatiṇehi samannāgatā. Apparajāti paṃsurahitā. Yattha jahanti sokanti yattha paviṭṭhamattāva nissokā honti. Anāvakulāti na avakulā akhāṇumā upari ukkulavikulabhāvarahitā vā samasaṇṭhitā. Veḷuriyūpanīlāti veḷuriyena upanīlā, tasmiṃ nāgabhavane veḷuriyamayā pasannasalilā nīlobhāsā anekavaṇṇakamaluppalasañchannā pokkharaṇīti attho. Catuddisanti tassā pokkharaṇiyā catūsu disāsu. Pakkā cāti tasmiṃ ambavane ambarukkhā pakkaphalā ca aḍḍhapakkaphalā ca taruṇaphalā ca phullitāyevāti attho. Niccotukāti channampi utūnaṃ anurūpehi pupphaphalehi samannāgatāti.

    ๑๖๐.

    160.

    เตสํ วนานํ นรเทว มเชฺฌ, นิเวสนํ ภสฺสรสนฺนิกาสํ;

    Tesaṃ vanānaṃ naradeva majjhe, nivesanaṃ bhassarasannikāsaṃ;

    รชตคฺคฬํ โสวณฺณมยํ อุฬารํ, โอภาสตี วิชฺชุริวนฺตลิเกฺขฯ

    Rajataggaḷaṃ sovaṇṇamayaṃ uḷāraṃ, obhāsatī vijjurivantalikkhe.

    ๑๖๑.

    161.

    ‘‘มณีมยา โสณฺณมยา อุฬารา, อเนกจิตฺตา สตตํ สุนิมฺมิตา;

    ‘‘Maṇīmayā soṇṇamayā uḷārā, anekacittā satataṃ sunimmitā;

    ปริปูรา กญฺญาหิ อลงฺกตาหิ, สุวณฺณกายูรธราหิ ราชฯ

    Paripūrā kaññāhi alaṅkatāhi, suvaṇṇakāyūradharāhi rāja.

    ๑๖๒.

    162.

    ‘‘โส สงฺขปาโล ตรมานรูโป, ปาสาทมารุยฺห อโนมวโณฺณ;

    ‘‘So saṅkhapālo taramānarūpo, pāsādamāruyha anomavaṇṇo;

    สหสฺสถมฺภํ อตุลานุภาวํ, ยตฺถสฺส ภริยา มเหสี อโหสิฯ

    Sahassathambhaṃ atulānubhāvaṃ, yatthassa bhariyā mahesī ahosi.

    ๑๖๓.

    163.

    ‘‘เอกา จ นารี ตรมานรูปา, อาทาย เวฬุริยมยํ มหคฺฆํ;

    ‘‘Ekā ca nārī taramānarūpā, ādāya veḷuriyamayaṃ mahagghaṃ;

    สุภํ มณิํ ชาติมนฺตูปปนฺนํ, อโจทิตา อาสนมพฺภิหาสิฯ

    Subhaṃ maṇiṃ jātimantūpapannaṃ, acoditā āsanamabbhihāsi.

    ๑๖๔.

    164.

    ‘‘ตโต มํ อุรโค หเตฺถ คเหตฺวา, นิสีทยี ปามุขอาสนสฺมิํ;

    ‘‘Tato maṃ urago hatthe gahetvā, nisīdayī pāmukhaāsanasmiṃ;

    อิทมาสนํ อตฺร ภวํ นิสีทตุ, ภวญฺหิ เม อญฺญตโร ครูนํฯ

    Idamāsanaṃ atra bhavaṃ nisīdatu, bhavañhi me aññataro garūnaṃ.

    ๑๖๕.

    165.

    ‘‘อญฺญา จ นารี ตรมานรูปา, อาทาย วาริํ อุปสงฺกมิตฺวา;

    ‘‘Aññā ca nārī taramānarūpā, ādāya vāriṃ upasaṅkamitvā;

    ปาทานิ ปกฺขาลยี เม ชนินฺท, ภริยาว ภตฺตู ปติโน ปิยสฺสฯ

    Pādāni pakkhālayī me janinda, bhariyāva bhattū patino piyassa.

    ๑๖๖.

    166.

    ‘‘อปรา จ นารี ตรมานรูปา, ปคฺคยฺห โสวณฺณมยาย ปาติยา;

    ‘‘Aparā ca nārī taramānarūpā, paggayha sovaṇṇamayāya pātiyā;

    อเนกสูปํ วิวิธํ วิยญฺชนํ, อุปนามยี ภตฺต มนุญฺญรูปํฯ

    Anekasūpaṃ vividhaṃ viyañjanaṃ, upanāmayī bhatta manuññarūpaṃ.

    ๑๖๗.

    167.

    ‘‘ตุริเยหิ มํ ภารต ภุตฺตวนฺตํ, อุปฎฺฐหุํ ภตฺตุ มโน วิทิตฺวา;

    ‘‘Turiyehi maṃ bhārata bhuttavantaṃ, upaṭṭhahuṃ bhattu mano viditvā;

    ตตุตฺตริํ มํ นิปตี มหนฺตํ, ทิเพฺพหิ กาเมหิ อนปฺปเกหี’’ติฯ

    Tatuttariṃ maṃ nipatī mahantaṃ, dibbehi kāmehi anappakehī’’ti.

    ตตฺถ นิเวสนนฺติ ปาสาโทฯ ภสฺสรสนฺนิกาสนฺติ ปภสฺสรทสฺสนํฯ รชตคฺคฬนฺติ รชตทฺวารกวาฎํฯ มณีมยาติ เอวรูปา ตตฺถ กูฎาคารา จ คพฺภา จฯ ปริปูราติ สมฺปุณฺณาฯ โส สงฺขปาโลติ, มหาราช, อหํ เอวํ ตสฺมิํ นาคภวนํ วเณฺณเนฺต ตํ ทฎฺฐุกาโม อโหสิํ, อถ มํ ตตฺถ เนตฺวา โส สงฺขปาโล หเตฺถ คเหตฺวา ตรมาโน เวฬุริยถเมฺภหิ สหสฺสถมฺภํ ปาสาทํ อารุยฺห ยสฺมิํ ฐาเน อสฺส มเหสี อโหสิ, ตํ ฐานํ เนตีติ ทีเปติฯ เอกา จาติ มยิ ปาสาทํ อภิรุเฬฺห เอกา อิตฺถี อเญฺญหิ มณีหิ ชาติมหเนฺตหิ อุเปตํ สุภํ เวฬุริยาสนํ เตน นาคราเชน อวุตฺตาวฯ อพฺภิหาสีติ อภิหริ, อตฺถรีติ วุตฺตํ โหติฯ

    Tattha nivesananti pāsādo. Bhassarasannikāsanti pabhassaradassanaṃ. Rajataggaḷanti rajatadvārakavāṭaṃ. Maṇīmayāti evarūpā tattha kūṭāgārā ca gabbhā ca. Paripūrāti sampuṇṇā. So saṅkhapāloti, mahārāja, ahaṃ evaṃ tasmiṃ nāgabhavanaṃ vaṇṇente taṃ daṭṭhukāmo ahosiṃ, atha maṃ tattha netvā so saṅkhapālo hatthe gahetvā taramāno veḷuriyathambhehi sahassathambhaṃ pāsādaṃ āruyha yasmiṃ ṭhāne assa mahesī ahosi, taṃ ṭhānaṃ netīti dīpeti. Ekā cāti mayi pāsādaṃ abhiruḷhe ekā itthī aññehi maṇīhi jātimahantehi upetaṃ subhaṃ veḷuriyāsanaṃ tena nāgarājena avuttāva. Abbhihāsīti abhihari, attharīti vuttaṃ hoti.

    ปามุขอาสนสฺมินฺติ ปมุขาสนสฺมิํ, อุตฺตมาสเน นิสีทาเปสีติ อโตฺถฯ ครูนนฺติ มาตาปิตูนํ เม ตฺวํ อญฺญตโรติ เอวํ วตฺวา นิสีทาเปสิฯ วิวิธํ วิยญฺชนนฺติ วิวิธํ พฺยญฺชนํฯ ภตฺต มนุญฺญรูปนฺติ ภตฺตํ มนุญฺญรูปํฯ ภารตาติ ราชานํ อาลปติฯ ภุตฺตวนฺตนฺติ ภุตฺตาวิํ กตภตฺตกิจฺจํฯ อุปฎฺฐหุนฺติ อเนกสเตหิ ตุริเยหิ คนฺธพฺพํ กุรุมานา อุปฎฺฐหิํสุฯ ภตฺตุ มโน วิทิตฺวาติ อตฺตโน ปติโน จิตฺตํ ชานิตฺวาฯ ตตุตฺตรินฺติ ตโต คนฺธพฺพกรณโต อุตฺตริํฯ มํ นิปตีติ โส นาคราชา มํ อุปสงฺกมิฯ มหนฺตํ ทิเพฺพหีติ มหเนฺตหิ อุฬาเรหิ ทิเพฺพหิ กาเมหิ เตหิ จ อนปฺปเกหิฯ

    Pāmukhaāsanasminti pamukhāsanasmiṃ, uttamāsane nisīdāpesīti attho. Garūnanti mātāpitūnaṃ me tvaṃ aññataroti evaṃ vatvā nisīdāpesi. Vividhaṃ viyañjananti vividhaṃ byañjanaṃ. Bhatta manuññarūpanti bhattaṃ manuññarūpaṃ. Bhāratāti rājānaṃ ālapati. Bhuttavantanti bhuttāviṃ katabhattakiccaṃ. Upaṭṭhahunti anekasatehi turiyehi gandhabbaṃ kurumānā upaṭṭhahiṃsu. Bhattu mano viditvāti attano patino cittaṃ jānitvā. Tatuttarinti tato gandhabbakaraṇato uttariṃ. Maṃ nipatīti so nāgarājā maṃ upasaṅkami. Mahantaṃ dibbehīti mahantehi uḷārehi dibbehi kāmehi tehi ca anappakehi.

    เอวํ อุปสงฺกมิตฺวา จ ปน คาถมาห –

    Evaṃ upasaṅkamitvā ca pana gāthamāha –

    ๑๖๘.

    168.

    ‘‘ภริยา มเมตา ติสตา อฬาร, สพฺพตฺตมชฺฌา ปทุมุตฺตราภา;

    ‘‘Bhariyā mametā tisatā aḷāra, sabbattamajjhā padumuttarābhā;

    อฬาร เอตาสฺสุ เต กามการา, ททามิ เต ตา ปริจารยสฺสู’’ติฯ

    Aḷāra etāssu te kāmakārā, dadāmi te tā paricārayassū’’ti.

    ตตฺถ สพฺพตฺตมชฺฌาติ สพฺพา อตฺตมชฺฌา, ปาณินา คหิตปฺปมาณมชฺฌาติ อโตฺถฯ อฎฺฐกถายํ ปน ‘‘สุมชฺฌา’’ติ ปาโฐฯ ปทุมุตฺตราภาติ ปทุมวณฺณอุตฺตราภา, ปทุมวณฺณอุตฺตรจฺฉวิโยติ อโตฺถฯ ปริจารยสฺสูติ ตา อตฺตโน ปาทปริจาริกา กโรหีติ วตฺวา ตีหิ อิตฺถิสเตหิ สทฺธิํ มหาสมฺปตฺติํ มยฺหํ อทาสิฯ

    Tattha sabbattamajjhāti sabbā attamajjhā, pāṇinā gahitappamāṇamajjhāti attho. Aṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘sumajjhā’’ti pāṭho. Padumuttarābhāti padumavaṇṇauttarābhā, padumavaṇṇauttaracchaviyoti attho. Paricārayassūti tā attano pādaparicārikā karohīti vatvā tīhi itthisatehi saddhiṃ mahāsampattiṃ mayhaṃ adāsi.

    โส อาห –

    So āha –

    ๑๖๙.

    169.

    ‘‘สํวจฺฉรํ ทิพฺพรสานุภุตฺวา, ตทาสฺสุหํ อุตฺตริมชฺฌภาสิํ;

    ‘‘Saṃvaccharaṃ dibbarasānubhutvā, tadāssuhaṃ uttarimajjhabhāsiṃ;

    นาคสฺสิทํ กินฺติ กถญฺจ ลทฺธํ, กถชฺฌคมาสิ วิมานเสฎฺฐํฯ

    Nāgassidaṃ kinti kathañca laddhaṃ, kathajjhagamāsi vimānaseṭṭhaṃ.

    ๑๗๐.

    170.

    ‘‘อธิจฺจลทฺธํ ปริณามชํ เต, สยํกตํ อุทาหุ เทเวหิ ทินฺนํ;

    ‘‘Adhiccaladdhaṃ pariṇāmajaṃ te, sayaṃkataṃ udāhu devehi dinnaṃ;

    ปุจฺฉามิ ตํ นาคราเชตมตฺถํ, กถชฺฌคมาสิ วิมานเสฎฺฐ’’นฺติฯ

    Pucchāmi taṃ nāgarājetamatthaṃ, kathajjhagamāsi vimānaseṭṭha’’nti.

    ตตฺถ ทิพฺพรสานุภุตฺวาติ ทิเพฺพ กามคุณรเส อนุภวิตฺวาฯ ตทาสฺสุหนฺติ ตทา อสฺสุ อหํฯ นาคสฺสิทนฺติ ภทฺรมุขสฺส สงฺขปาลนาคราชสฺส อิทํ สมฺปตฺติชาตํ กินฺติ กิํ นาม กมฺมํ กตฺวา กถญฺจ กตฺวา ลทฺธํ, กถเมตํ วิมานเสฎฺฐํ ตฺวํ อชฺฌคมาสิ, อิติ นํ อหํ ปุจฺฉิํฯ อธิจฺจลทฺธนฺติ อเหตุนา ลทฺธํฯ ปริณามชํ เตติ เกนจิ ตว อตฺถาย ปริณามิตตฺตา ปริณามโต ชาตํฯ สยํกตนฺติ การเก ปโกฺกสาเปตฺวา รตนานิ ทตฺวา การิตนฺติฯ

    Tattha dibbarasānubhutvāti dibbe kāmaguṇarase anubhavitvā. Tadāssuhanti tadā assu ahaṃ. Nāgassidanti bhadramukhassa saṅkhapālanāgarājassa idaṃ sampattijātaṃ kinti kiṃ nāma kammaṃ katvā kathañca katvā laddhaṃ, kathametaṃ vimānaseṭṭhaṃ tvaṃ ajjhagamāsi, iti naṃ ahaṃ pucchiṃ. Adhiccaladdhanti ahetunā laddhaṃ. Pariṇāmajaṃ teti kenaci tava atthāya pariṇāmitattā pariṇāmato jātaṃ. Sayaṃkatanti kārake pakkosāpetvā ratanāni datvā kāritanti.

    ตโต ปรา ทฺวินฺนมฺปิ วจนปฺปฎิวจนคาถาว –

    Tato parā dvinnampi vacanappaṭivacanagāthāva –

    ๑๗๑.

    171.

    ‘‘นาธิจฺจลทฺธํ น ปริณามชํ เม, น สยํกตํ นาปิ เทเวหิ ทินฺนํ;

    ‘‘Nādhiccaladdhaṃ na pariṇāmajaṃ me, na sayaṃkataṃ nāpi devehi dinnaṃ;

    สเกหิ กเมฺมหิ อปาปเกหิ, ปุเญฺญหิ เม ลทฺธมิทํ วิมานํฯ

    Sakehi kammehi apāpakehi, puññehi me laddhamidaṃ vimānaṃ.

    ๑๗๒.

    172.

    ‘‘กิํ เต วตํ กิํ ปน พฺรหฺมจริยํ, กิสฺส สุจิณฺณสฺส อยํ วิปาโก;

    ‘‘Kiṃ te vataṃ kiṃ pana brahmacariyaṃ, kissa suciṇṇassa ayaṃ vipāko;

    อกฺขาหิ เม นาคราเชตมตฺถํ, กถํ นุ เต ลทฺธมิทํ วิมานํฯ

    Akkhāhi me nāgarājetamatthaṃ, kathaṃ nu te laddhamidaṃ vimānaṃ.

    ๑๗๓.

    173.

    ‘‘ราชา อโหสิํ มคธานมิสฺสโร, ทุโยฺยธโน นาม มหานุภาโว;

    ‘‘Rājā ahosiṃ magadhānamissaro, duyyodhano nāma mahānubhāvo;

    โส อิตฺตรํ ชีวิตํ สํวิทิตฺวา, อสสฺสตํ วิปริณามธมฺมํฯ

    So ittaraṃ jīvitaṃ saṃviditvā, asassataṃ vipariṇāmadhammaṃ.

    ๑๗๔.

    174.

    ‘‘อนฺนญฺจ ปานญฺจ ปสนฺนจิโตฺต, สกฺกจฺจ ทานํ วิปุลํ อทาสิํ;

    ‘‘Annañca pānañca pasannacitto, sakkacca dānaṃ vipulaṃ adāsiṃ;

    โอปานภูตํ เม ฆรํ ตทาสิ, สนฺตปฺปิตา สมณพฺราหฺมณา จฯ

    Opānabhūtaṃ me gharaṃ tadāsi, santappitā samaṇabrāhmaṇā ca.

    ๑๗๕.

    175.

    ‘‘มาลญฺจ คนฺธญฺจ วิเลปนญฺจ, ปทีปิยํ ยานมุปสฺสยญฺจ;

    ‘‘Mālañca gandhañca vilepanañca, padīpiyaṃ yānamupassayañca;

    อจฺฉาทนํ สยนมถนฺนปานํ, สกฺกจฺจ ทานานิ อทมฺห ตตฺถฯ

    Acchādanaṃ sayanamathannapānaṃ, sakkacca dānāni adamha tattha.

    ๑๗๖.

    176.

    ‘‘ตํ เม วตํ ตํ ปน พฺรหฺมจริยํ, ตสฺส สุจิณฺณสฺส อยํ วิปาโก;

    ‘‘Taṃ me vataṃ taṃ pana brahmacariyaṃ, tassa suciṇṇassa ayaṃ vipāko;

    เตเนว เม ลทฺธมิทํ วิมานํ, ปหูตภกฺขํ พหุอนฺนปานํ;

    Teneva me laddhamidaṃ vimānaṃ, pahūtabhakkhaṃ bahuannapānaṃ;

    นเจฺจหิ คีเตหิ จุเปตรูปํ, จิรฎฺฐิติกํ น จ สสฺสตายํฯ

    Naccehi gītehi cupetarūpaṃ, ciraṭṭhitikaṃ na ca sassatāyaṃ.

    ๑๗๗.

    177.

    ‘‘อปฺปานุภาวา ตํ มหานุภาวํ, เตชสฺสินํ หนฺติ อเตชวโนฺต;

    ‘‘Appānubhāvā taṃ mahānubhāvaṃ, tejassinaṃ hanti atejavanto;

    กิเมว ทาฐาวุธ กิํ ปฎิจฺจ, หตฺถตฺตมาคจฺฉิ วนิพฺพกานํฯ

    Kimeva dāṭhāvudha kiṃ paṭicca, hatthattamāgacchi vanibbakānaṃ.

    ๑๗๘.

    178.

    ‘‘ภยํ นุ เต อนฺวคตํ มหนฺตํ, เตโช นุ เต นานฺวคํ ทนฺตมูลํ;

    ‘‘Bhayaṃ nu te anvagataṃ mahantaṃ, tejo nu te nānvagaṃ dantamūlaṃ;

    กิเมว ทาฐาวุธ กิํ ปฎิจฺจ, กิเลสมาปชฺชิ วนิพฺพกานํฯ

    Kimeva dāṭhāvudha kiṃ paṭicca, kilesamāpajji vanibbakānaṃ.

    ๑๗๙.

    179.

    ‘‘น เม ภยํ อนฺวคตํ มหนฺตํ, เตโช น สกฺกา มม เตหิ หนฺตุํ;

    ‘‘Na me bhayaṃ anvagataṃ mahantaṃ, tejo na sakkā mama tehi hantuṃ;

    สตญฺจ ธมฺมานิ สุกิตฺติตานิ, สมุทฺทเวลาว ทุรจฺจยานิฯ

    Satañca dhammāni sukittitāni, samuddavelāva duraccayāni.

    ๑๘๐.

    180.

    ‘‘จาตุทฺทสิํ ปญฺจทสิํ อฬาร, อุโปสถํ นิจฺจมุปาวสามิ;

    ‘‘Cātuddasiṃ pañcadasiṃ aḷāra, uposathaṃ niccamupāvasāmi;

    อถาคมุํ โสฬส โภชปุตฺตา, รชฺชุํ คเหตฺวาน ทฬฺหญฺจ ปาสํฯ

    Athāgamuṃ soḷasa bhojaputtā, rajjuṃ gahetvāna daḷhañca pāsaṃ.

    ๑๘๑.

    181.

    ‘‘เภตฺวาน นาสํ อติกสฺส รชฺชุํ, นยิํสุ มํ สมฺปริคยฺห ลุทฺทา;

    ‘‘Bhetvāna nāsaṃ atikassa rajjuṃ, nayiṃsu maṃ samparigayha luddā;

    เอตาทิสํ ทุกฺขมหํ ติติกฺขํ, อุโปสถํ อปฺปฎิโกปยโนฺตฯ

    Etādisaṃ dukkhamahaṃ titikkhaṃ, uposathaṃ appaṭikopayanto.

    ๑๘๒.

    182.

    ‘‘เอกายเน ตํ ปเถ อทฺทสํสุ, พเลน วเณฺณน จุเปตรูปํ;

    ‘‘Ekāyane taṃ pathe addasaṃsu, balena vaṇṇena cupetarūpaṃ;

    สิริยา ปญฺญาย จ ภาวิโตสิ, กิํ ปตฺถยํ นาค ตโป กโรสิฯ

    Siriyā paññāya ca bhāvitosi, kiṃ patthayaṃ nāga tapo karosi.

    ๑๘๓.

    183.

    ‘‘น ปุตฺตเหตู น ธนสฺส เหตู, น อายุโน จาปิ อฬาร เหตุ;

    ‘‘Na puttahetū na dhanassa hetū, na āyuno cāpi aḷāra hetu;

    มนุสฺสโยนิํ อภิปตฺถยาโน, ตสฺมา ปรกฺกม ตโป กโรมิฯ

    Manussayoniṃ abhipatthayāno, tasmā parakkama tapo karomi.

    ๑๘๔.

    184.

    ‘‘ตฺวํ โลหิตโกฺข วิหตนฺตรํโส, อลงฺกโต กปฺปิตเกสมสฺสุ;

    ‘‘Tvaṃ lohitakkho vihatantaraṃso, alaṅkato kappitakesamassu;

    สุโรสิโต โลหิตจนฺทเนน, คนฺธพฺพราชาว ทิสา ปภาสสิฯ

    Surosito lohitacandanena, gandhabbarājāva disā pabhāsasi.

    ๑๘๕.

    185.

    ‘‘เทวิทฺธิปโตฺตสิ มหานุภาโว, สเพฺพหิ กาเมหิ สมงฺคิภูโต;

    ‘‘Deviddhipattosi mahānubhāvo, sabbehi kāmehi samaṅgibhūto;

    ปุจฺฉามิ ตํ นาคราเชตมตฺถํ, เสโยฺย อิโต เกน มนุสฺสโลโกฯ

    Pucchāmi taṃ nāgarājetamatthaṃ, seyyo ito kena manussaloko.

    ๑๘๖.

    186.

    ‘‘อฬาร นาญฺญตฺร มนุสฺสโลกา, สุทฺธีว สํวิชฺชติ สํยโม วา;

    ‘‘Aḷāra nāññatra manussalokā, suddhīva saṃvijjati saṃyamo vā;

    อหญฺจ ลทฺธาน มนุสฺสโยนิํ, กาหามิ ชาติมรณสฺส อนฺตํฯ

    Ahañca laddhāna manussayoniṃ, kāhāmi jātimaraṇassa antaṃ.

    ๑๘๗.

    187.

    ‘‘สํวจฺฉโร เม วสโต ตวนฺติเก, อเนฺนน ปาเนน อุปฎฺฐิโตสฺมิ;

    ‘‘Saṃvaccharo me vasato tavantike, annena pānena upaṭṭhitosmi;

    อามนฺตยิตฺวาน ปเลมิ นาค, จิรปฺปวุโฎฺฐสฺมิ อหํ ชนินฺทฯ

    Āmantayitvāna palemi nāga, cirappavuṭṭhosmi ahaṃ janinda.

    ๑๘๘.

    188.

    ‘‘ปุตฺตา จ ทารา อนุชีวิโน จ, นิจฺจานุสิฎฺฐา อุปติฎฺฐเถตํ;

    ‘‘Puttā ca dārā anujīvino ca, niccānusiṭṭhā upatiṭṭhathetaṃ;

    กจฺจินฺนุ ตํ นาภิสปิตฺถ โกจิ, ปิยญฺหิ เม ทสฺสนํ ตุยฺหํ อฬารฯ

    Kaccinnu taṃ nābhisapittha koci, piyañhi me dassanaṃ tuyhaṃ aḷāra.

    ๑๘๙.

    189.

    ‘‘ยถาปิ มาตู จ ปิตู อคาเร, ปุโตฺต ปิโย ปฎิวิหิโต วเสยฺย;

    ‘‘Yathāpi mātū ca pitū agāre, putto piyo paṭivihito vaseyya;

    ตโตปิ มยฺหํ อิธเมว เสโยฺย, จิตฺตญฺหิ เต นาค มยี ปสนฺนํฯ

    Tatopi mayhaṃ idhameva seyyo, cittañhi te nāga mayī pasannaṃ.

    ๑๙๐.

    190.

    ‘‘มณี มมํ วิชฺชติ โลหิตโงฺก, ธนาหโร มณิรตนํ อุฬารํ;

    ‘‘Maṇī mamaṃ vijjati lohitaṅko, dhanāharo maṇiratanaṃ uḷāraṃ;

    อาทาย ตฺวํ คจฺฉ สกํ นิเกตํ, ลทฺธา ธนํ ตํ มณิโมสฺสชสฺสู’’ติฯ

    Ādāya tvaṃ gaccha sakaṃ niketaṃ, laddhā dhanaṃ taṃ maṇimossajassū’’ti.

    ตตฺถ กิํ เต วตนฺติ กิํ ตว วตสมาทานํฯ พฺรหฺมจริยนฺติ เสฎฺฐจริยํฯ โอปานภูตนฺติ จตุมหาปเถ ขตโปกฺขรณี วิย ธมฺมิกสมณพฺราหฺมณานํ ยถาสุขํ ปริภุญฺชิตพฺพวิภวํฯ น จ สสฺสตายนฺติ จิรฎฺฐิติกํ สมานมฺปิ เจ ตํ มยฺหํ สสฺสตํ น โหตีติ เม กเถติฯ

    Tattha kiṃ te vatanti kiṃ tava vatasamādānaṃ. Brahmacariyanti seṭṭhacariyaṃ. Opānabhūtanti catumahāpathe khatapokkharaṇī viya dhammikasamaṇabrāhmaṇānaṃ yathāsukhaṃ paribhuñjitabbavibhavaṃ. Na ca sassatāyanti ciraṭṭhitikaṃ samānampi ce taṃ mayhaṃ sassataṃ na hotīti me katheti.

    อปฺปานุภาวาติ โภชปุเตฺต สนฺธายาหฯ หนฺตีติ อฎฺฐสุ ฐาเนสุ สูเลหิ วิชฺฌนฺตา กิํการณา หนิํสุฯ กิํ ปฎิจฺจาติ กิํ สนฺธาย ตฺวํ ตทา เตสํ หตฺถตฺตํ อาคจฺฉิ วสํ อุปคโตฯ วนิพฺพกานนฺติ โภชปุตฺตา อิธ ‘‘วนิพฺพกา’’ติ วุตฺตาฯ เตโช นุ เต นานฺวคํ ทนฺตมูลนฺติ กิํ นุ ตว เตโช โภชปุเตฺต ทิสฺวา ตทา ภยํ มหนฺตํ อนฺวคตํ, อุทาหุ วิสํ ทนฺตมูลํ น อนฺวคตํฯ กิเลสนฺติ ทุกฺขํฯ วนิพฺพกานนฺติ โภชปุตฺตานํ สนฺติเก, โภชปุเตฺต นิสฺสายาติ อโตฺถฯ

    Appānubhāvāti bhojaputte sandhāyāha. Hantīti aṭṭhasu ṭhānesu sūlehi vijjhantā kiṃkāraṇā haniṃsu. Kiṃ paṭiccāti kiṃ sandhāya tvaṃ tadā tesaṃ hatthattaṃ āgacchi vasaṃ upagato. Vanibbakānanti bhojaputtā idha ‘‘vanibbakā’’ti vuttā. Tejo nu te nānvagaṃ dantamūlanti kiṃ nu tava tejo bhojaputte disvā tadā bhayaṃ mahantaṃ anvagataṃ, udāhu visaṃ dantamūlaṃ na anvagataṃ. Kilesanti dukkhaṃ. Vanibbakānanti bhojaputtānaṃ santike, bhojaputte nissāyāti attho.

    เตโช น สกฺกา มม เตหิ หนฺตุนฺติ มม วิสเตโช อญฺญสฺส เตเชน อภิหนฺตุมฺปิ น สกฺกาฯ สตนฺติ พุทฺธาทีนํฯ ธมฺมานีติ สีลสมาธิปญฺญาขนฺติอนุทฺทยเมตฺตาภาวนาสงฺขาตานิ ธมฺมานิฯ สุกิตฺติตานีติ สุวณฺณิตานิ สุกถิตานิฯ กินฺติ กตฺวา? สมุทฺทเวลาว ทุรจฺจยานีติ เตหิ สมุทฺทเวลา วิย สปฺปุริเสหิ ชีวิตตฺถมฺปิ ทุรจฺจยานีติ วณฺณิตานิ, ตสฺมา อหํ สีลเภทภเยน ขนฺติเมตฺตาทิสมนฺนาคโต หุตฺวา มม โกปสฺส สีลเวลนฺตํ อติกฺกมิตุํ น อทาสินฺติ อาหฯ

    Tejo na sakkā mama tehi hantunti mama visatejo aññassa tejena abhihantumpi na sakkā. Satanti buddhādīnaṃ. Dhammānīti sīlasamādhipaññākhantianuddayamettābhāvanāsaṅkhātāni dhammāni. Sukittitānīti suvaṇṇitāni sukathitāni. Kinti katvā? Samuddavelāva duraccayānīti tehi samuddavelā viya sappurisehi jīvitatthampi duraccayānīti vaṇṇitāni, tasmā ahaṃ sīlabhedabhayena khantimettādisamannāgato hutvā mama kopassa sīlavelantaṃ atikkamituṃ na adāsinti āha.

    ‘‘อิมิสฺสา ปน สงฺขปาลธมฺมเทสนาย ทสปิ ปารมิโย ลพฺภนฺติฯ ตทา หิ มหาสเตฺตน สรีรสฺส ปริจฺจตฺตภาโว ทานปารมี นาม โหติ, ตถารูเปนาปิ วิสเตเชน สีลสฺส อภินฺนตา สีลปารมี, นาคภวนโต นิกฺขมิตฺวา สมณธมฺมกรณํ เนกฺขมฺมปารมี, ‘อิทญฺจิทญฺจ กาตุํ วฎฺฎตี’ติ สํวิทหนํ ปญฺญาปารมี, อธิวาสนวีริยํ วีริยปารมี, อธิวาสนขนฺติ ขนฺติปารมี, สจฺจสมาทานํ สจฺจปารมี, ‘มม สีลํ น ภินฺทิสฺสามี’ติ อธิฎฺฐานํ อธิฎฺฐานปารมี, อนุทฺทยภาโว เมตฺตาปารมี, เวทนาย มชฺฌตฺตภาโว อุเปกฺขาปารมี’’ติฯ

    ‘‘Imissā pana saṅkhapāladhammadesanāya dasapi pāramiyo labbhanti. Tadā hi mahāsattena sarīrassa pariccattabhāvo dānapāramī nāma hoti, tathārūpenāpi visatejena sīlassa abhinnatā sīlapāramī, nāgabhavanato nikkhamitvā samaṇadhammakaraṇaṃ nekkhammapāramī, ‘idañcidañca kātuṃ vaṭṭatī’ti saṃvidahanaṃ paññāpāramī, adhivāsanavīriyaṃ vīriyapāramī, adhivāsanakhanti khantipāramī, saccasamādānaṃ saccapāramī, ‘mama sīlaṃ na bhindissāmī’ti adhiṭṭhānaṃ adhiṭṭhānapāramī, anuddayabhāvo mettāpāramī, vedanāya majjhattabhāvo upekkhāpāramī’’ti.

    อถาคมุนฺติ อเถกทิวสํ วมฺมิกมตฺถเก นิปนฺนํ ทิสฺวา โสฬส โภชปุตฺตา ขรรชฺชุญฺจ ทฬฺหปาสญฺจ สูลานิ จ คเหตฺวา มม สนฺติกํ อาคตาฯ เภตฺวานาติ มม สรีรํ อฎฺฐสุ ฐาเนสุ ภินฺทิตฺวา สกณฺฎกกาฬเวตฺตลตา ปเวเสตฺวาฯ นาสํ อติกสฺส รชฺชุนฺติ โถกํ คนฺตฺวา สีสํ เม โอลมฺพนฺตํ ทิสฺวา มหามเคฺค นิปชฺชาเปตฺวา ปุน นาสมฺปิ เม ภินฺทิตฺวา วฎฺฎรชฺชุํ อติกสฺส อาวุนิตฺวา กาชโกฎิยํ ลเคฺคตฺวา สมนฺตโต ปริคฺคเหตฺวา มํ นยิํสุฯ

    Athāgamunti athekadivasaṃ vammikamatthake nipannaṃ disvā soḷasa bhojaputtā khararajjuñca daḷhapāsañca sūlāni ca gahetvā mama santikaṃ āgatā. Bhetvānāti mama sarīraṃ aṭṭhasu ṭhānesu bhinditvā sakaṇṭakakāḷavettalatā pavesetvā. Nāsaṃ atikassa rajjunti thokaṃ gantvā sīsaṃ me olambantaṃ disvā mahāmagge nipajjāpetvā puna nāsampi me bhinditvā vaṭṭarajjuṃ atikassa āvunitvā kājakoṭiyaṃ laggetvā samantato pariggahetvā maṃ nayiṃsu.

    อทฺทสํสูติ, สมฺม สงฺขปาล, เต โภชปุตฺตา เอกายเน เอกคมเน ชงฺฆปทิกมเคฺค ตํ พเลน จ วเณฺณน จ อุเปตรูปํ ปสฺสิํสุ, ตฺวํ ปน อิสฺสริยโสภคฺคสิริยา จ ปญฺญาย จ ภาวิโต วฑฺฒิโต, โส ตฺวํ เอวรูโป สมาโนปิ กิมตฺถํ ตปํ กโรสิ, กิมิจฺฉโนฺต อุโปสถวาสํ วสสิ, สีลํ รกฺขสิฯ ‘‘อทฺทสาสิ’’นฺติปิ ปาโฐ, อหํ เอกายเน มหามเคฺค ตํ อทฺทสินฺติ อโตฺถฯ อภิปตฺถยาโนติ ปเตฺถโนฺตฯ ตสฺมาติ ยสฺมา มนุสฺสโยนิํ ปเตฺถมิ, ตสฺมา วีริเยน ปรกฺกมิตฺวา ตโปกมฺมํ กโรมิฯ

    Addasaṃsūti, samma saṅkhapāla, te bhojaputtā ekāyane ekagamane jaṅghapadikamagge taṃ balena ca vaṇṇena ca upetarūpaṃ passiṃsu, tvaṃ pana issariyasobhaggasiriyā ca paññāya ca bhāvito vaḍḍhito, so tvaṃ evarūpo samānopi kimatthaṃ tapaṃ karosi, kimicchanto uposathavāsaṃ vasasi, sīlaṃ rakkhasi. ‘‘Addasāsi’’ntipi pāṭho, ahaṃ ekāyane mahāmagge taṃ addasinti attho. Abhipatthayānoti patthento. Tasmāti yasmā manussayoniṃ patthemi, tasmā vīriyena parakkamitvā tapokammaṃ karomi.

    สุโรสิโตติ สุฎฺฐุ มนุลิโตฺตฯ อิโตติ อิมมฺหา นาคภวนา มนุสฺสโลโก เกน อุตฺตริตโรฯ สุทฺธีติ มคฺคผลนิพฺพานสงฺขาตา วิสุทฺธิฯ สํยโมติ สีลํฯ อิทํ โส มนุสฺสโลเกเยว พุทฺธปเจฺจกพุทฺธานํ อุปฺปตฺติํ สนฺธายาหฯ กาหามีติ อตฺตโน อปฺปฎิสนฺธิกภาวํ กโรโนฺต ชาติชรามรณสฺสนฺตํ กริสฺสามีติฯ เอวํ, มหาราช, โส สงฺขปาโล มนุสฺสโลกํ วเณฺณสิฯ สํวจฺฉโร เมติ เอวํ, มหาราช, ตสฺมิํ มนุสฺสโลกํ วเณฺณเนฺต อหํ ปพฺพชฺชาย สิเนหํ กตฺวา เอตทโวจํฯ ตตฺถ อุปฎฺฐิโตสฺมีติ อนฺนปาเนน เจว ทิเพฺพหิ จ กามคุเณหิ ปริจิโณฺณ มานิโต อสฺมิฯ ปเลมีติ ปเรมิ คจฺฉามิฯ จิรปฺปวุโฎฺฐสฺมีติ อหํ มนุสฺสโลกโต จิรปฺปวุโฎฺฐ อสฺมิฯ

    Surositoti suṭṭhu manulitto. Itoti imamhā nāgabhavanā manussaloko kena uttaritaro. Suddhīti maggaphalanibbānasaṅkhātā visuddhi. Saṃyamoti sīlaṃ. Idaṃ so manussalokeyeva buddhapaccekabuddhānaṃ uppattiṃ sandhāyāha. Kāhāmīti attano appaṭisandhikabhāvaṃ karonto jātijarāmaraṇassantaṃ karissāmīti. Evaṃ, mahārāja, so saṅkhapālo manussalokaṃ vaṇṇesi. Saṃvaccharo meti evaṃ, mahārāja, tasmiṃ manussalokaṃ vaṇṇente ahaṃ pabbajjāya sinehaṃ katvā etadavocaṃ. Tattha upaṭṭhitosmīti annapānena ceva dibbehi ca kāmaguṇehi pariciṇṇo mānito asmi. Palemīti paremi gacchāmi. Cirappavuṭṭhosmīti ahaṃ manussalokato cirappavuṭṭho asmi.

    นาภิสปิตฺถาติ กจฺจิ นุ โข มม ปุตฺตาทีสุ โกจิ ตํ น อโกฺกสิ น ปริภาสีติ ปุจฺฉติฯ ‘‘นาภิสเชฺชถา’’ติปิ ปาโฐ, น โกเปสีติ อโตฺถฯ ปฎิวิหิโตติ ปฎิชคฺคิโตฯ มณี มมนฺติ สเจ, สมฺม อาฬาร, คจฺฉสิเยว, เอวํ สเนฺต มม โลหิตโงฺก ธนหารโก สพฺพกามทโท มณิ สํวิชฺชติ, ตํ อุฬารํ มณิรตนํ อาทาย ตว เคหํ คจฺฉ, ตตฺถ อิมสฺสานุภาเวน ยาวทิจฺฉกํ ธนํ ลทฺธา ปุน อิมํ มณิํ โอสฺสชสฺสุ, โอสฺสชโนฺต จ อญฺญตฺถ อโนสฺสชิตฺวา อตฺตโน อุทกจาฎิยํ โอสฺสเชยฺยาสีติ วตฺวา มยฺหํ มณิรตนํ อุปเนสีติ วทติฯ

    Nābhisapitthāti kacci nu kho mama puttādīsu koci taṃ na akkosi na paribhāsīti pucchati. ‘‘Nābhisajjethā’’tipi pāṭho, na kopesīti attho. Paṭivihitoti paṭijaggito. Maṇī mamanti sace, samma āḷāra, gacchasiyeva, evaṃ sante mama lohitaṅko dhanahārako sabbakāmadado maṇi saṃvijjati, taṃ uḷāraṃ maṇiratanaṃ ādāya tava gehaṃ gaccha, tattha imassānubhāvena yāvadicchakaṃ dhanaṃ laddhā puna imaṃ maṇiṃ ossajassu, ossajanto ca aññattha anossajitvā attano udakacāṭiyaṃ ossajeyyāsīti vatvā mayhaṃ maṇiratanaṃ upanesīti vadati.

    เอวํ วตฺวา อาฬาโร ‘‘อถาหํ, มหาราช, นาคราชานํ เอตทโวจํ – ‘สมฺม, นาหํ ธเนนตฺถิโก, ปพฺพชิตุํ ปน อิจฺฉามี’ติ ปพฺพชิตปริกฺขารํ ยาจิตฺวา เตเนว สทฺธิํ นาคภวนา นิกฺขมิตฺวา ตํ นิวเตฺตตฺวา หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา ปพฺพชิโตมฺหี’’ติ วตฺวา รโญฺญ ธมฺมกถํ กเถโนฺต คาถาทฺวยมาห –

    Evaṃ vatvā āḷāro ‘‘athāhaṃ, mahārāja, nāgarājānaṃ etadavocaṃ – ‘samma, nāhaṃ dhanenatthiko, pabbajituṃ pana icchāmī’ti pabbajitaparikkhāraṃ yācitvā teneva saddhiṃ nāgabhavanā nikkhamitvā taṃ nivattetvā himavantaṃ pavisitvā pabbajitomhī’’ti vatvā rañño dhammakathaṃ kathento gāthādvayamāha –

    ๑๙๑.

    191.

    ‘‘ทิฎฺฐา มยา มานุสกาปิ กามา, อสสฺสตา วิปริณามธมฺมา;

    ‘‘Diṭṭhā mayā mānusakāpi kāmā, asassatā vipariṇāmadhammā;

    อาทีนวํ กามคุเณสุ ทิสฺวา, สทฺธายหํ ปพฺพชิโตมฺหิ ราชฯ

    Ādīnavaṃ kāmaguṇesu disvā, saddhāyahaṃ pabbajitomhi rāja.

    ๑๙๒.

    192.

    ‘‘ทุมปฺผลานีว ปตนฺติ มาณวา, ทหรา จ วุทฺธา จ สรีรเภทา;

    ‘‘Dumapphalānīva patanti māṇavā, daharā ca vuddhā ca sarīrabhedā;

    เอตมฺปิ ทิสฺวา ปพฺพชิโตมฺหิ ราช, อปณฺณกํ สามญฺญเมว เสโยฺย’’ติฯ

    Etampi disvā pabbajitomhi rāja, apaṇṇakaṃ sāmaññameva seyyo’’ti.

    ตตฺถ สทฺธายาติ กมฺมญฺจ ผลญฺจ นิพฺพานญฺจ สทฺทหิตฺวาฯ ทุมปฺผลานีว ปตนฺตีติ ยถา รุกฺขผลานิ ปกฺกานิปิ อปกฺกานิปิ ปตนฺติ, ตถา มาณวา ทหรา จ วุทฺธา จ ปตนฺติฯ อปณฺณกนฺติ อวิรทฺธํ นิยฺยานิกํฯ สามญฺญเมว เสโยฺยติ ปพฺพชฺชาว อุตฺตมาติ ปพฺพชฺชาย คุณํ ทิสฺวา ปพฺพชิโตมฺหิ, มหาราชาติฯ

    Tattha saddhāyāti kammañca phalañca nibbānañca saddahitvā. Dumapphalānīva patantīti yathā rukkhaphalāni pakkānipi apakkānipi patanti, tathā māṇavā daharā ca vuddhā ca patanti. Apaṇṇakanti aviraddhaṃ niyyānikaṃ. Sāmaññameva seyyoti pabbajjāva uttamāti pabbajjāya guṇaṃ disvā pabbajitomhi, mahārājāti.

    ตํ สุตฺวา ราชา อนนฺตรํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā rājā anantaraṃ gāthamāha –

    ๑๙๓.

    193.

    ‘‘อทฺธา หเว เสวิตพฺพา สปญฺญา, พหุสฺสุตา เย พหุฐานจินฺติโน;

    ‘‘Addhā have sevitabbā sapaññā, bahussutā ye bahuṭhānacintino;

    นาคญฺจ สุตฺวาน ตวญฺจฬาร, กาหามิ ปุญฺญานิ อนปฺปกานี’’ติฯ

    Nāgañca sutvāna tavañcaḷāra, kāhāmi puññāni anappakānī’’ti.

    ตตฺถ เย พหุฐานจินฺติโนติ เย พหูนิ การณานิ ชานนฺติฯ นาคญฺจาติ ตถา อปฺปมาทวิหารินํ นาคราชานญฺจ ตว จ วจนํ สุตฺวาฯ

    Tattha ye bahuṭhānacintinoti ye bahūni kāraṇāni jānanti. Nāgañcāti tathā appamādavihārinaṃ nāgarājānañca tava ca vacanaṃ sutvā.

    อถสฺส อุสฺสาหํ ชเนโนฺต ตาปโส โอสานคาถมาห –

    Athassa ussāhaṃ janento tāpaso osānagāthamāha –

    ๑๙๔.

    194.

    ‘‘อทฺธา หเว เสวิตพฺพา สปญฺญา, พหุสฺสุตา เย พหุฐานจินฺติโน;

    ‘‘Addhā have sevitabbā sapaññā, bahussutā ye bahuṭhānacintino;

    นาคญฺจ สุตฺวาน มมญฺจ ราช, กโรหิ ปุญฺญานิ อนปฺปกานี’’ติฯ

    Nāgañca sutvāna mamañca rāja, karohi puññāni anappakānī’’ti.

    เอวํ โส รโญฺญ ธมฺมํ เทเสตฺวา ตเตฺถว จตฺตาโร วสฺสานมาเส วสิตฺวา ปุน หิมวนฺตํ คนฺตฺวา ยาวชีวํ จตฺตาโร พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ สงฺขปาโลปิ ยาวชีวํ อุโปสถวาสํ วสิตฺวา ราชา จ ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กริตฺวา ยถากมฺมํ คตาฯ

    Evaṃ so rañño dhammaṃ desetvā tattheva cattāro vassānamāse vasitvā puna himavantaṃ gantvā yāvajīvaṃ cattāro brahmavihāre bhāvetvā brahmalokūpago ahosi. Saṅkhapālopi yāvajīvaṃ uposathavāsaṃ vasitvā rājā ca dānādīni puññāni karitvā yathākammaṃ gatā.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ปิตา ตาปโส กสฺสโป อโหสิ, พาราณสิราชา อานโนฺท, อาฬาโร สาริปุโตฺต, สงฺขปาลนาคราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā pitā tāpaso kassapo ahosi, bārāṇasirājā ānando, āḷāro sāriputto, saṅkhapālanāgarājā pana ahameva ahosi’’nti.

    สงฺขปาลชาตกวณฺณนา จตุตฺถาฯ

    Saṅkhapālajātakavaṇṇanā catutthā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๒๔. สงฺขปาลชาตกํ • 524. Saṅkhapālajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact