Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) |
๑๐. สงฺขารุปปตฺติสุตฺตวณฺณนา
10. Saṅkhārupapattisuttavaṇṇanā
๑๖๐. สงฺขารุปปตฺตินฺติ วิปากกฺขนฺธสญฺญิตานํ สงฺขารานํ อุปฺปตฺติํ, นิพฺพตฺตินฺติ อโตฺถฯ ยสฺมา อวธารณํ เอตสฺมิํ ปเท อิจฺฉิตพฺพนฺติ, ‘‘สงฺขารานํเยว อุปปตฺติ’’นฺติ วตฺวา เตน นิวตฺติตํ ทเสฺสโนฺต, ‘‘น สตฺตสฺสา’’ติ อาหฯ เตน สโตฺต ชีโว อุปฺปชฺชตีติ มิจฺฉาวาทํ ปฎิกฺขิปติฯ เอวํ อุปฺปชฺชนกธมฺมวเสน อุปฺปตฺติํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อุปฺปตฺติชนกธมฺมวเสนปิ ตํ ทเสฺสตุํ, ‘‘ปุญฺญาภิสงฺขาเรน วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ กาเมสุ ปุญฺญาภิสงฺขาเรนปิ อุปปตฺติ โหติ, สา ปน อิมสฺมิํ สุเตฺต คหิตาติฯ ปุญฺญาภิสงฺขาเรน วาติ วา-สโทฺท อวุตฺตตฺถาเปกฺขณวิกปฺปโตฺถ, อวุตฺตตฺถาเปกฺขาย ปน น อาคโต ‘‘อาเนญฺชาภิสงฺขาเรนา’’ติฯ อถ วา อุปปตฺติ อาคตา, เอวํ กิจฺจํ อาคตํ, อาเนญฺชาภิสงฺขาโร ปเนตฺถ สรูเปน อนาคโตปิ ปุญฺญาภิสงฺขารคฺคหเณเนว คหิโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ เกจิ ปน ‘‘ปุญฺญาเนญฺชาภิสงฺขาเรนา’’ติ ปฐนฺติฯ ภวูปคกฺขนฺธานนฺติ สุคติภวูปคานํ อุปาทานกฺขนฺธานํฯ
160.Saṅkhārupapattinti vipākakkhandhasaññitānaṃ saṅkhārānaṃ uppattiṃ, nibbattinti attho. Yasmā avadhāraṇaṃ etasmiṃ pade icchitabbanti, ‘‘saṅkhārānaṃyeva upapatti’’nti vatvā tena nivattitaṃ dassento, ‘‘na sattassā’’ti āha. Tena satto jīvo uppajjatīti micchāvādaṃ paṭikkhipati. Evaṃ uppajjanakadhammavasena uppattiṃ dassetvā idāni uppattijanakadhammavasenapi taṃ dassetuṃ, ‘‘puññābhisaṅkhārena vā’’tiādi vuttaṃ. Tattha kāmesu puññābhisaṅkhārenapi upapatti hoti, sā pana imasmiṃ sutte gahitāti. Puññābhisaṅkhārena vāti vā-saddo avuttatthāpekkhaṇavikappattho, avuttatthāpekkhāya pana na āgato ‘‘āneñjābhisaṅkhārenā’’ti. Atha vā upapatti āgatā, evaṃ kiccaṃ āgataṃ, āneñjābhisaṅkhāro panettha sarūpena anāgatopi puññābhisaṅkhāraggahaṇeneva gahitoti daṭṭhabbaṃ. Keci pana ‘‘puññāneñjābhisaṅkhārenā’’ti paṭhanti. Bhavūpagakkhandhānanti sugatibhavūpagānaṃ upādānakkhandhānaṃ.
๑๖๑. โลกิกา วฎฺฎนฺติ กมฺมวฎฺฎสฺส คหณโตฯ ภวูปปตฺติเหตุภูตา โอกปฺปนียสทฺธา จตุปาริสุทฺธิสีลํ ตาทิสํ พุทฺธวจนพาหุสจฺจํ อามิสปริจฺจาโค กมฺมสฺสกตาญาณํ กมฺมผลทิฎฺฐิ จ อิเม สทฺธาทโย เวทิตพฺพาฯ ฐเปตีติ ปณิทหนวเสน ฐเปติฯ ปณิทหตีติ หิ อยเมตฺถ อโตฺถฯ ปติฎฺฐาเปตีติ ตตฺถ สุปฺปติฎฺฐิตํ กตฺวา ฐเปติฯ สหปตฺถนายาติ, ‘‘อโห วตาหํ…เป.… อุปปเชฺชยฺย’’นฺติ เอวํ ปวตฺตปตฺถนาย สหฯ สทฺธาทโยวาติ ยถาวุตฺตา สทฺธาทโย เอว ปญฺจ ธมฺมา อุปปตฺติยา สงฺขรณเฎฺฐน สงฺขารา, ตสฺมา เอว อเญฺญหิ วิสิฎฺฐภวูปหรณเฎฺฐน วิหารา นามาติฯ ตสฺมิํ ฐาเนติ ตสฺมิํ อุปปตฺติฎฺฐาเนฯ
161.Lokikā vaṭṭanti kammavaṭṭassa gahaṇato. Bhavūpapattihetubhūtā okappanīyasaddhā catupārisuddhisīlaṃ tādisaṃ buddhavacanabāhusaccaṃ āmisapariccāgo kammassakatāñāṇaṃ kammaphaladiṭṭhi ca ime saddhādayo veditabbā. Ṭhapetīti paṇidahanavasena ṭhapeti. Paṇidahatīti hi ayamettha attho. Patiṭṭhāpetīti tattha suppatiṭṭhitaṃ katvā ṭhapeti. Sahapatthanāyāti, ‘‘aho vatāhaṃ…pe… upapajjeyya’’nti evaṃ pavattapatthanāya saha. Saddhādayovāti yathāvuttā saddhādayo eva pañca dhammā upapattiyā saṅkharaṇaṭṭhena saṅkhārā, tasmā eva aññehi visiṭṭhabhavūpaharaṇaṭṭhena vihārā nāmāti. Tasmiṃ ṭhāneti tasmiṃ upapattiṭṭhāne.
ปญฺจธมฺมาว ตํสมงฺคีปุคฺคโล อุปปตฺติํ มคฺคติ คเวสติ เอเตนาติ มโคฺคฯ ปฎิปชฺชติ เอตายาติ ปฎิปทาฯ เจตนา ปเนตฺถ สุทฺธสงฺขารตาย สทฺธาทิคฺคหเณเนว คหิตา, ตสฺมา อวธารณํ กตํฯ อุปปตฺติปกปฺปนวเสเนว ปวตฺติยา ปตฺถนาคหเณเนว ตสฺสา คหณนฺติ เกจิฯ จิตฺตกรยุตฺตคตินิพฺพตฺตนธมฺมวเสน อวธารณสฺส กตตฺตาฯ เจตนา หิ นาม กมฺมํ, ตสฺสา อุปปตฺตินิพฺพตฺตเน วตฺตพฺพเมว นตฺถิ, ตสฺสา ปน กิจฺจกรณา สทฺธาทโย ปตฺถนา จาติ อิเม ธมฺมา สหการิโน ภวูปปตฺติยา นิยามกา โหนฺตีติ ตตฺรูปปตฺติยา ปวตฺตนฺตีติ เตสํ มคฺคาทิภาโว วุโตฺตฯ เตนาห ‘‘ยสฺส หี’’ติอาทิฯ เตน สทฺธา ปตฺถนา จาติ อุภเย ธมฺมา สหิตา หุตฺวา กมฺมํ วิเสเสนฺตา คติํ นิยเมนฺตีติ ทเสฺสติ, ปฎิสนฺธิคฺคหณํ อนิยตํ เกวลสฺส กมฺมสฺส วเสนาติ อธิปฺปาโยฯ กามเญฺจตฺถ ‘‘กมฺมํ กตฺวา’’ติ วุตฺตํ, กมฺมายูหนโต ปน ปเคว ปตฺถนํ ฐเปตุมฺปิ วฎฺฎติเยวฯ กมฺมํ กตฺวาติ เจตฺถ ‘‘ตาเปตฺวา ภุญฺชติ, ภุตฺวา สยตี’’ติอาทีสุ วิย น กาลนิยโม, กมฺมํ กตฺวา ยทา กทาจิ ปตฺถนํ กาตุํ วฎฺฎตีติ จ อิทํ จาริตฺตทสฺสนํ วิย วุตฺตํฯ ยถา หิ ภวปตฺถนา ยาว มเคฺคน น สมุจฺฉิชฺชติ, ตาว อนุปฺปนฺนาภินวกตูปจิตสฺส กมฺมสฺส ปจฺจโย โหติเยวฯ ปุน ตถา วิเสสปจฺจโย, ยถา นิยเมตฺวา อุปฺปาทิตาฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ยสฺส ปญฺจ ธมฺมา อตฺถิ, น ปตฺถนา ตสฺส คติ อนิพทฺธา’’ติฯ
Pañcadhammāva taṃsamaṅgīpuggalo upapattiṃ maggati gavesati etenāti maggo. Paṭipajjati etāyāti paṭipadā. Cetanā panettha suddhasaṅkhāratāya saddhādiggahaṇeneva gahitā, tasmā avadhāraṇaṃ kataṃ. Upapattipakappanavaseneva pavattiyā patthanāgahaṇeneva tassā gahaṇanti keci. Cittakarayuttagatinibbattanadhammavasena avadhāraṇassa katattā. Cetanā hi nāma kammaṃ, tassā upapattinibbattane vattabbameva natthi, tassā pana kiccakaraṇā saddhādayo patthanā cāti ime dhammā sahakārino bhavūpapattiyā niyāmakā hontīti tatrūpapattiyā pavattantīti tesaṃ maggādibhāvo vutto. Tenāha ‘‘yassa hī’’tiādi. Tena saddhā patthanā cāti ubhaye dhammā sahitā hutvā kammaṃ visesentā gatiṃ niyamentīti dasseti, paṭisandhiggahaṇaṃ aniyataṃ kevalassa kammassa vasenāti adhippāyo. Kāmañcettha ‘‘kammaṃ katvā’’ti vuttaṃ, kammāyūhanato pana pageva patthanaṃ ṭhapetumpi vaṭṭatiyeva. Kammaṃ katvāti cettha ‘‘tāpetvā bhuñjati, bhutvā sayatī’’tiādīsu viya na kālaniyamo, kammaṃ katvā yadā kadāci patthanaṃ kātuṃ vaṭṭatīti ca idaṃ cārittadassanaṃ viya vuttaṃ. Yathā hi bhavapatthanā yāva maggena na samucchijjati, tāva anuppannābhinavakatūpacitassa kammassa paccayo hotiyeva. Puna tathā visesapaccayo, yathā niyametvā uppāditā. Tena vuttaṃ – ‘‘yassa pañca dhammā atthi, na patthanā tassa gati anibaddhā’’ti.
๑๖๕. สพฺพโสวาติ ‘‘อิทํ กาฬกํ สามํ เสตํ หริตํ มณฺฑลํ อปริมณฺฑลํ จตุรํสํ ปริปุณฺณํ ขุทฺทกํ มหนฺต’’นฺติอาทินา สพฺพโสว ปากฎํ โหติฯ
165.Sabbasovāti ‘‘idaṃ kāḷakaṃ sāmaṃ setaṃ haritaṃ maṇḍalaṃ aparimaṇḍalaṃ caturaṃsaṃ paripuṇṇaṃ khuddakaṃ mahanta’’ntiādinā sabbasova pākaṭaṃ hoti.
๑๖๗. สุนฺทโรติ กาฬกาทิโทสรหิตตาย โสภโนฯ อากรสมฺปโนฺน สมฺปนฺนอากรุปฺปตฺติยาฯ โธวนาทีหีติ โธวนตาปนมชฺชนาทีหิฯ
167.Sundaroti kāḷakādidosarahitatāya sobhano. Ākarasampanno sampannaākaruppattiyā. Dhovanādīhīti dhovanatāpanamajjanādīhi.
๑๖๘. โลกธาตูนํ สตสหสฺสํ อตฺตโน วเส วตฺตนโต สตสหโสฺสฯ ตสฺส ปน ตตฺถ โอภาสกรณํ ปากฎนฺติ อาห ‘‘อาโลกผรณพฺรหฺมา’’ติฯ อยเมว นโย เหฎฺฐา ‘‘สหโสฺส พฺรหฺมา’’ติอาทีสุปิฯ นิเกฺขน กตนฺติ นิกฺขปริมาเณน ชโมฺพนเทน กตํฯ นิกฺขํ ปน วีสติสุวณฺณนฺติ เกจิฯ ปญฺจวีสติสุวณฺณนฺติ อปเรฯ สุวณฺณํ นาม จตุธรณนฺติ วทนฺติฯ ฆฎฺฎนมชฺชนกฺขมํ น โหติ ปริตฺตภาวโตฯ อติเรเกนาติ ปญฺจสุวณฺณอติเรเกน นิกฺขปฺปมาณํ อสมฺปเตฺตนฯ วณฺณวนฺตํ ปน น โหติ อวิปุลตาย อุฬารํ หุตฺวา อนุปฎฺฐานโตฯ อวณฺณวนฺตตาย เอว ผรุสธาตุกํ ขายติฯ ตาสูติ ตาสุ ภูมีสุ, ยตฺถ สาขา วฑฺฒิตฺวา ฐิตาฯ เตติ สุวณฺณงฺกุราฯ ปจิตฺวาติ ตาเปตฺวาฯ สมฺปหฎฺฐนฺติ สมุชฺชลีกตนฺติ อาห – ‘‘โธตฆฎฺฎิตปมชฺชิต’’นฺติ, ตมฺพมตฺติกเลปํ กตฺวา โธตเญฺจว ปาสาณาทินา ฆฎฺฎิตญฺจ เอฬกโลมาทินา ปมชฺชิตญฺจาติ อโตฺถฯ
168. Lokadhātūnaṃ satasahassaṃ attano vase vattanato satasahasso. Tassa pana tattha obhāsakaraṇaṃ pākaṭanti āha ‘‘ālokapharaṇabrahmā’’ti. Ayameva nayo heṭṭhā ‘‘sahasso brahmā’’tiādīsupi. Nikkhena katanti nikkhaparimāṇena jambonadena kataṃ. Nikkhaṃ pana vīsatisuvaṇṇanti keci. Pañcavīsatisuvaṇṇanti apare. Suvaṇṇaṃ nāma catudharaṇanti vadanti. Ghaṭṭanamajjanakkhamaṃ na hoti parittabhāvato. Atirekenāti pañcasuvaṇṇaatirekena nikkhappamāṇaṃ asampattena. Vaṇṇavantaṃ pana na hoti avipulatāya uḷāraṃ hutvā anupaṭṭhānato. Avaṇṇavantatāya eva pharusadhātukaṃ khāyati. Tāsūti tāsu bhūmīsu, yattha sākhā vaḍḍhitvā ṭhitā. Teti suvaṇṇaṅkurā. Pacitvāti tāpetvā. Sampahaṭṭhanti samujjalīkatanti āha – ‘‘dhotaghaṭṭitapamajjita’’nti, tambamattikalepaṃ katvā dhotañceva pāsāṇādinā ghaṭṭitañca eḷakalomādinā pamajjitañcāti attho.
เอตเทวาติ อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา เอตฺถ อาโลกผรณเมวฯ อถ วา ยํ ทิพฺพจกฺขุผรณํ, อาโลกผรณมฺปิ เอตเทวฯ ยตฺตกญฺหิ ฐานํ โยคี กสิณาโลเกน ผรติ; ตตฺตกํ ฐานํ ทิพฺพจกฺขุญาณํ ผุสตีติ ทิพฺพจกฺขุผรเณ ทสฺสิเต อาโลกผรณํ ทสฺสิตเมวาติ อโตฺถฯ สพฺพตฺถาติ สพฺพสฺมิํ ‘‘ผริตฺวา’’ติ อาคตฎฺฐาเนฯ อวินาเสเนฺตนาติ อสมฺภิเนฺนนฯ
Etadevāti ālokaṃ vaḍḍhetvā ettha ālokapharaṇameva. Atha vā yaṃ dibbacakkhupharaṇaṃ, ālokapharaṇampi etadeva. Yattakañhi ṭhānaṃ yogī kasiṇālokena pharati; tattakaṃ ṭhānaṃ dibbacakkhuñāṇaṃ phusatīti dibbacakkhupharaṇe dassite ālokapharaṇaṃ dassitamevāti attho. Sabbatthāti sabbasmiṃ ‘‘pharitvā’’ti āgataṭṭhāne. Avināsentenāti asambhinnena.
กสิณผรณํ วิยาติ กสิโณภาเสน ผรณํ วิย ทิสฺสติ อุปฎฺฐาติ, มณิปภาผรณสฺส วิย พฺรหฺมโลเก ธาตุผรณสฺส ทสฺสิตตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ สรีรปภา ปน นิกฺขปภาสทิสาติ, ‘‘นิโกฺขปเมฺม สรีรผรณํ วิย ทิสฺสตี’’ติ วุตฺตํฯ อฎฺฐกถา นาม นตฺถีติ ปาฬิปทสฺส อตฺถวณฺณนาย นาม นิจฺฉิตาย ภวิตพฺพํ, อวินิจฺฉิตาย ปน นตฺถิ วิยาติ อกถนํ นาม อฎฺฐกถาย อนาจิณฺณนฺติ ตสฺส วาทํ ปฎิกฺขิปิตฺวาฯ ยถา หิ วตฺตพฺพํ, ตถา อวตฺวา ‘‘วิยา’’ติ วจนํ กิมตฺถิยนฺติ อธิปฺปาโยฯ พุทฺธานํ พฺยามปฺปภา พฺยามปฺปเทเส สพฺพกาลํ อธิฎฺฐาติ วิย ตสฺส พฺรหฺมุโน สรีรผรณํ สรีราภาย ปตฺถรณํ สพฺพกาลิกํฯ จตฺตาริมานิ อิตรานิ ผรณานิ อวินาเสตฺวา อญฺญมญฺญมภินฺทิตฺวา กเถตพฺพํฯ ผรณปทเสฺสว เววจนํ ‘‘อธิมุจฺจเนเนว ผรณ’’นฺติฯ ปตฺถรตีติ ยถาวุตฺตํ ผรณวเสน ปตฺถรติฯ ชานาตีติ อธิมุจฺจนวเสน ชานาติฯ
Kasiṇapharaṇaṃviyāti kasiṇobhāsena pharaṇaṃ viya dissati upaṭṭhāti, maṇipabhāpharaṇassa viya brahmaloke dhātupharaṇassa dassitattāti adhippāyo. Sarīrapabhā pana nikkhapabhāsadisāti, ‘‘nikkhopamme sarīrapharaṇaṃ viya dissatī’’ti vuttaṃ. Aṭṭhakathā nāma natthīti pāḷipadassa atthavaṇṇanāya nāma nicchitāya bhavitabbaṃ, avinicchitāya pana natthi viyāti akathanaṃ nāma aṭṭhakathāya anāciṇṇanti tassa vādaṃ paṭikkhipitvā. Yathā hi vattabbaṃ, tathā avatvā ‘‘viyā’’ti vacanaṃ kimatthiyanti adhippāyo. Buddhānaṃ byāmappabhā byāmappadese sabbakālaṃ adhiṭṭhāti viya tassa brahmuno sarīrapharaṇaṃ sarīrābhāya pattharaṇaṃ sabbakālikaṃ. Cattārimāni itarāni pharaṇāni avināsetvā aññamaññamabhinditvā kathetabbaṃ. Pharaṇapadasseva vevacanaṃ ‘‘adhimuccaneneva pharaṇa’’nti. Pattharatīti yathāvuttaṃ pharaṇavasena pattharati. Jānātīti adhimuccanavasena jānāti.
๑๖๙. อาทโยติ อาทิ-สเทฺทน สุเภ สงฺคณฺหาติฯ อาภาติ ทุติยชฺฌานภูมิเก เทเว เอกชฺฌํ คเหตฺวา สาธารณโต วุตฺตํฯ ตโต สุภาติ ตติยชฺฌานภูมิเกฯ เตนาห – ‘‘ปาฎิเยกฺกา เทวา นตฺถี’’ติอาทิฯ สาธารณโต กตายปิ ปตฺถนาย ฌานงฺคํ ปริตฺตํ ภาวิตเญฺจ, ปริตฺตาเภสุ อุปปตฺติ โหติ, มชฺฌิมเญฺจ, อปฺปมาณาเภสุ, ปณีตเญฺจ, อาภสฺสเรสุ อุปปตฺติ โหตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ สุภาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว สุวิเญฺญโยฺยติ อาห – ‘‘เวหปฺผลาทิวารา ปากฎาเยวา’’ติฯ
169.Ādayoti ādi-saddena subhe saṅgaṇhāti. Ābhāti dutiyajjhānabhūmike deve ekajjhaṃ gahetvā sādhāraṇato vuttaṃ. Tato subhāti tatiyajjhānabhūmike. Tenāha – ‘‘pāṭiyekkā devā natthī’’tiādi. Sādhāraṇato katāyapi patthanāya jhānaṅgaṃ parittaṃ bhāvitañce, parittābhesu upapatti hoti, majjhimañce, appamāṇābhesu, paṇītañce, ābhassaresu upapatti hotīti daṭṭhabbaṃ. Subhāti etthāpi eseva nayo. Heṭṭhā vuttanayeneva suviññeyyoti āha – ‘‘vehapphalādivārā pākaṭāyevā’’ti.
กามาวจเรสุ นิพฺพตฺตตูติอาทินา สทฺธาทีนํ อชฺฌานวิปสฺสนานํ กถํ ตทธิฎฺฐานํ โหตีติ อาสงฺกติฯ อิตโร สทฺธาทีนํ อชฺฌานสภาวเตฺตปิ ฌานวิปสฺสนานํ อธิฎฺฐานํ นิสฺสยปจฺจยาทิวเสน สปฺปจฺจยตฺตา พฺรหฺมโลกูปปตฺติํ นิพฺพานญฺจ อาวหนฺตีติ ทเสฺสโนฺต, ‘‘อิเม ปญฺจ ธมฺมา’’ติอาทิมาห ฯ ตตฺถ สีลนฺติ สมฺภารสีลํฯ อนาคามี สมุจฺฉินฺนโอรมฺภาคิยสํโยชโน สมาโน สเจ สพฺพโส อุปปตฺติโย อติกฺกมิตุํ น สโกฺกติ, อริยภูมีสุ เอว นิพฺพตฺตติ ยถูปจิตฌานกมฺมุนาติ อาห – ‘‘อนาคามิ…เป.… นิพฺพตฺตตี’’ติฯ อุปริมคฺคนฺติ อคฺคมคฺคํ ภาเวตฺวาฯ อาสวกฺขยนฺติ สพฺพโส อาสวานํ ขยํ ปหานํ ปาปุณาติฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ
Kāmāvacaresu nibbattatūtiādinā saddhādīnaṃ ajjhānavipassanānaṃ kathaṃ tadadhiṭṭhānaṃ hotīti āsaṅkati. Itaro saddhādīnaṃ ajjhānasabhāvattepi jhānavipassanānaṃ adhiṭṭhānaṃ nissayapaccayādivasena sappaccayattā brahmalokūpapattiṃ nibbānañca āvahantīti dassento, ‘‘ime pañca dhammā’’tiādimāha . Tattha sīlanti sambhārasīlaṃ. Anāgāmī samucchinnaorambhāgiyasaṃyojano samāno sace sabbaso upapattiyo atikkamituṃ na sakkoti, ariyabhūmīsu eva nibbattati yathūpacitajhānakammunāti āha – ‘‘anāgāmi…pe… nibbattatī’’ti. Uparimagganti aggamaggaṃ bhāvetvā. Āsavakkhayanti sabbaso āsavānaṃ khayaṃ pahānaṃ pāpuṇāti. Sesaṃ suviññeyyameva.
สงฺขารุปปตฺติสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ
Saṅkhārupapattisuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.
นิฎฺฐิตา จ อนุปทวคฺควณฺณนาฯ
Niṭṭhitā ca anupadavaggavaṇṇanā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๑๐. สงฺขารุปปตฺติสุตฺตํ • 10. Saṅkhārupapattisuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๑๐. สงฺขารุปปตฺติสุตฺตวณฺณนา • 10. Saṅkhārupapattisuttavaṇṇanā