Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปฎิสมฺภิทามคฺค-อฎฺฐกถา • Paṭisambhidāmagga-aṭṭhakathā |
๙. สงฺขารุเปกฺขาญาณนิเทฺทสวณฺณนา
9. Saṅkhārupekkhāñāṇaniddesavaṇṇanā
๕๔. สงฺขารุเปกฺขาญาณนิเทฺทเส อุปฺปาทาทีนิ วุตฺตตฺถาเนวฯ ทุกฺขนฺติ ภยนฺติ สามิสนฺติ สงฺขาราติ อุปฺปาทาทิมุญฺจนญาณสฺส การณวจนานิฯ เอวญฺจ ลกฺขณโต สงฺขารุเปกฺขํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อตฺถโต ทเสฺสตุํ อุปฺปาโท สงฺขารา, เต สงฺขาเร อชฺฌุเปกฺขตีติ สงฺขารุเปกฺขาติอาทิมาหฯ ตตฺถ สงฺขาเร อชฺฌุเปกฺขตีติ ตสฺส อารทฺธวิปสฺสกสฺส วิปสฺสนาญาเณน ลกฺขณตฺตยสฺส ทิฎฺฐตฺตา ลกฺขณวิจินเน ปหีนพฺยาปารสฺส อาทิเตฺต วิย ตโย ภเว ปสฺสโต สงฺขารคฺคหเณ มชฺฌตฺตสฺส ตํ วิปสฺสนาญาณํ เต สงฺขาเร วิเสเสน จ อิกฺขติ, คหเณน วชฺชิตญฺจ หุตฺวา อิกฺขติ โอโลเกตีติ สงฺขารุเปกฺขา นามาติ อโตฺถฯ ยถา โลเก วิเสเสน ชยโนฺต อธิชยตีติ, อเนฺนน วชฺชิโต วสโนฺต อุปวสตีติ วุจฺจติฯ ปุน สงฺขาเร อนิจฺจาทิโต วิปสฺสิตฺวา คหเณ มชฺฌตฺตภาวสณฺฐิตํ สงฺขารุเปกฺขมฺปิ อนิจฺจาทิโต วิปสฺสิตฺวา ตสฺสาปิ สงฺขารุเปกฺขาย คหเณ มชฺฌตฺตาการสณฺฐิตาย สงฺขารุเปกฺขาย สพฺภาวโต เย จ สงฺขารา ยา จ อุเปกฺขาติอาทิ วุตฺตํฯ
54. Saṅkhārupekkhāñāṇaniddese uppādādīni vuttatthāneva. Dukkhanti bhayanti sāmisanti saṅkhārāti uppādādimuñcanañāṇassa kāraṇavacanāni. Evañca lakkhaṇato saṅkhārupekkhaṃ dassetvā idāni atthato dassetuṃ uppādo saṅkhārā, te saṅkhāre ajjhupekkhatīti saṅkhārupekkhātiādimāha. Tattha saṅkhāre ajjhupekkhatīti tassa āraddhavipassakassa vipassanāñāṇena lakkhaṇattayassa diṭṭhattā lakkhaṇavicinane pahīnabyāpārassa āditte viya tayo bhave passato saṅkhāraggahaṇe majjhattassa taṃ vipassanāñāṇaṃ te saṅkhāre visesena ca ikkhati, gahaṇena vajjitañca hutvā ikkhati oloketīti saṅkhārupekkhā nāmāti attho. Yathā loke visesena jayanto adhijayatīti, annena vajjito vasanto upavasatīti vuccati. Puna saṅkhāre aniccādito vipassitvā gahaṇe majjhattabhāvasaṇṭhitaṃ saṅkhārupekkhampi aniccādito vipassitvā tassāpi saṅkhārupekkhāya gahaṇe majjhattākārasaṇṭhitāya saṅkhārupekkhāya sabbhāvato ye ca saṅkhārā yā ca upekkhātiādi vuttaṃ.
๕๕. อิทานิ สงฺขารุเปกฺขาย จิตฺตาภินีหารเภทํ ทเสฺสตุํ กติหากาเรหีติอาทิมาหฯ ตตฺถ สงฺขารุเปกฺขายาติ ภุมฺมวจนํฯ จิตฺตสฺส อภินีหาโรติ สงฺขารุเปกฺขาลาภิโน ตโต อญฺญสฺส จิตฺตสฺส สงฺขารุเปกฺขาภิมุขํ กตฺวา ภุสํ หรณํฯ อภิมุขโตฺถ หิ เอตฺถ อภิสโทฺท, ภุสโตฺถ นีสโทฺทฯ กติหากาเรหีติ ปุจฺฉิตํ ปุจฺฉํ อฎฺฐหากาเรหีติ วิสฺสเชฺชตฺวา ทุติยปุจฺฉาวิสฺสชฺชเนเนว เต อฎฺฐากาเร ทเสฺสตุกาโม เต อทเสฺสตฺวาว ปุถุชฺชนสฺส กติหากาเรหีติอาทิ ปุจฺฉํ อกาสิฯ ปุถุชฺชนสฺสาติ เอตฺถ ปน –
55. Idāni saṅkhārupekkhāya cittābhinīhārabhedaṃ dassetuṃ katihākārehītiādimāha. Tattha saṅkhārupekkhāyāti bhummavacanaṃ. Cittassa abhinīhāroti saṅkhārupekkhālābhino tato aññassa cittassa saṅkhārupekkhābhimukhaṃ katvā bhusaṃ haraṇaṃ. Abhimukhattho hi ettha abhisaddo, bhusattho nīsaddo. Katihākārehīti pucchitaṃ pucchaṃ aṭṭhahākārehīti vissajjetvā dutiyapucchāvissajjaneneva te aṭṭhākāre dassetukāmo te adassetvāva puthujjanassa katihākārehītiādi pucchaṃ akāsi. Puthujjanassāti ettha pana –
ทุเว ปุถุชฺชนา วุตฺตา, พุเทฺธนาทิจฺจพนฺธุนา;
Duve puthujjanā vuttā, buddhenādiccabandhunā;
อโนฺธ ปุถุชฺชโน เอโก, กลฺยาเณโก ปุถุชฺชโนติฯ
Andho puthujjano eko, kalyāṇeko puthujjanoti.
ตตฺถ ยสฺส ขนฺธธาตุอายตนาทีสุ อุคฺคหปริปุจฺฉาสวนธารณปจฺจเวกฺขณาทีนิ นตฺถิ, อยํ อนฺธปุถุชฺชโนฯ ยสฺส ตานิ อตฺถิ, โส กลฺยาณปุถุชฺชโนฯ ทุวิโธปิ ปเนส –
Tattha yassa khandhadhātuāyatanādīsu uggahaparipucchāsavanadhāraṇapaccavekkhaṇādīni natthi, ayaṃ andhaputhujjano. Yassa tāni atthi, so kalyāṇaputhujjano. Duvidhopi panesa –
ปุถูนํ ชนนาทีหิ, การเณหิ ปุถุชฺชโน;
Puthūnaṃ jananādīhi, kāraṇehi puthujjano;
ปุถุชฺชนโนฺตคธตฺตา, ปุถุวายํ ชโน อิติฯ
Puthujjanantogadhattā, puthuvāyaṃ jano iti.
โส หิ ปุถูนํ นานปฺปการานํ กิเลสาทีนํ ชนนาทีหิ การเณหิ ปุถุชฺชโนฯ ยถาห – ‘‘ปุถุ กิเลเส ชเนนฺตีติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ อวิหตสกฺกายทิฎฺฐิกาติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ สตฺถารานํ มุขุโลฺลกิกาติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ สพฺพคตีหิ อวุฎฺฐิตาติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ นานาภิสงฺขาเร อภิสงฺขโรนฺตีติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ นานาโอเฆหิ วุยฺหนฺตีติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ นานาสนฺตาเปหิ สนฺตเปฺปนฺตีติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ นานาปริฬาเหหิ ปริฑยฺหนฺตีติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ ปญฺจสุ กามคุเณสุ รตฺตา คิทฺธา คธิตา มุจฺฉิตา อโชฺฌสนฺนา ลคฺคา ลคฺคิตา ปลิพุทฺธาติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ ปญฺจหิ นีวรเณหิ อาวุตา นิวุตา โอวุตา ปิหิตา ปฎิจฺฉนฺนา ปฎิกุชฺชิตาติ ปุถุชฺชนา’’ติ (มหานิ. ๙๔)ฯ ปุถูนํ วา คณนปถาตีตานํ อริยธมฺมปรมฺมุขานํ นีจธมฺมสมาจารานํ ชนานํ อโนฺตคธตฺตาปิ ปุถุชฺชนา, ปุถุ วา อยํ วิสุํเยว สงฺขํ คโต, วิสํสโฎฺฐ สีลสุตาทิคุณยุเตฺตหิ อริเยหิ ชโนติปิ ปุถุชฺชโนฯ เตสุ กลฺยาณปุถุชฺชโน อิธาธิเปฺปโต อิตรสฺส ภาวนาย เอว อภาวาฯ
So hi puthūnaṃ nānappakārānaṃ kilesādīnaṃ jananādīhi kāraṇehi puthujjano. Yathāha – ‘‘puthu kilese janentīti puthujjanā, puthu avihatasakkāyadiṭṭhikāti puthujjanā, puthu satthārānaṃ mukhullokikāti puthujjanā, puthu sabbagatīhi avuṭṭhitāti puthujjanā, puthu nānābhisaṅkhāre abhisaṅkharontīti puthujjanā, puthu nānāoghehi vuyhantīti puthujjanā, puthu nānāsantāpehi santappentīti puthujjanā, puthu nānāpariḷāhehi pariḍayhantīti puthujjanā, puthu pañcasu kāmaguṇesu rattā giddhā gadhitā mucchitā ajjhosannā laggā laggitā palibuddhāti puthujjanā, puthu pañcahi nīvaraṇehi āvutā nivutā ovutā pihitā paṭicchannā paṭikujjitāti puthujjanā’’ti (mahāni. 94). Puthūnaṃ vā gaṇanapathātītānaṃ ariyadhammaparammukhānaṃ nīcadhammasamācārānaṃ janānaṃ antogadhattāpi puthujjanā, puthu vā ayaṃ visuṃyeva saṅkhaṃ gato, visaṃsaṭṭho sīlasutādiguṇayuttehi ariyehi janotipi puthujjano. Tesu kalyāṇaputhujjano idhādhippeto itarassa bhāvanāya eva abhāvā.
เสกฺขสฺสาติ เอตฺถ สตฺต เสกฺขา โสตาปตฺติมคฺคผลสกทาคามิมคฺคผลอนาคามิมคฺคผลอรหตฺตมคฺคฎฺฐาฯ เต หิ ติโสฺส สิกฺขา สิกฺขนฺตีติ เสกฺขาฯ เตสุ โสตาปตฺติสกทาคามิอนาคามิผลฎฺฐา ตโย อิธาธิเปฺปตา มคฺคฎฺฐานํ สงฺขารุเปกฺขาย จิตฺตาภินีหาราภาวาฯ
Sekkhassāti ettha satta sekkhā sotāpattimaggaphalasakadāgāmimaggaphalaanāgāmimaggaphalaarahattamaggaṭṭhā. Te hi tisso sikkhā sikkhantīti sekkhā. Tesu sotāpattisakadāgāmianāgāmiphalaṭṭhā tayo idhādhippetā maggaṭṭhānaṃ saṅkhārupekkhāya cittābhinīhārābhāvā.
วีตราคสฺสาติ เอตฺถ สมุเจฺฉทวิคเมน วิคโต ราโค อสฺสาติ วีตราโคฯ อรหโต เอตํ อธิวจนํฯ ตีสุปิ ปเทสุ ชาติคฺคหเณน เอกวจนํ กตํฯ
Vītarāgassāti ettha samucchedavigamena vigato rāgo assāti vītarāgo. Arahato etaṃ adhivacanaṃ. Tīsupi padesu jātiggahaṇena ekavacanaṃ kataṃ.
สงฺขารุเปกฺขํ อภินนฺทตีติ ตสฺมิํ อุเปกฺขาวิหาเร ผาสุวิหารสญฺญํ ปฎิลภิตฺวา ผาสุวิหารนิกนฺติยา สงฺขารุเปกฺขาภิมุโข หุตฺวา นนฺทติ, สปฺปีติกํ ตณฺหํ อุปฺปาเทตีติ อโตฺถฯ วิปสฺสตีติ โสตาปตฺติมคฺคปฎิลาภตฺถํ อนิจฺจาทิวเสน วิวิธา ปสฺสติ, เสโกฺข อุปริมคฺคตฺถํ, วีตราโค ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารตฺถํ วิปสฺสติฯ ปฎิสงฺขายาติ อนิจฺจาทิวเสเนว อุปปริกฺขิตฺวาฯ ยสฺมา ปน โสตาปนฺนาทโย อริยา สกํ สกํ ผลสมาปตฺติํ สมาปชฺชมานา อุทยพฺพยญาณาทีหิ นวหิ วิปสฺสนาญาเณหิ อวิปสฺสิตฺวา สมาปชฺชิตุํ น สโกฺกนฺติ, ตสฺมา ปฎิสงฺขาย วา ผลสมาปตฺติํ สมาปชฺชตีติ วุตฺตํฯ
Saṅkhārupekkhaṃ abhinandatīti tasmiṃ upekkhāvihāre phāsuvihārasaññaṃ paṭilabhitvā phāsuvihāranikantiyā saṅkhārupekkhābhimukho hutvā nandati, sappītikaṃ taṇhaṃ uppādetīti attho. Vipassatīti sotāpattimaggapaṭilābhatthaṃ aniccādivasena vividhā passati, sekkho uparimaggatthaṃ, vītarāgo diṭṭhadhammasukhavihāratthaṃ vipassati. Paṭisaṅkhāyāti aniccādivaseneva upaparikkhitvā. Yasmā pana sotāpannādayo ariyā sakaṃ sakaṃ phalasamāpattiṃ samāpajjamānā udayabbayañāṇādīhi navahi vipassanāñāṇehi avipassitvā samāpajjituṃ na sakkonti, tasmā paṭisaṅkhāya vā phalasamāpattiṃ samāpajjatīti vuttaṃ.
ผลสมาปตฺติยา ปวตฺติทสฺสนตฺถํ ปน เตสํ อิทํ ปญฺหกมฺมํ – กา ผลสมาปตฺติ? เก ตํ สมาปชฺชนฺติ? เก น สมาปชฺชนฺติ? กสฺมา สมาปชฺชนฺติ? กถญฺจสฺสา สมาปชฺชนํ โหติ? กถํ ฐานํ? กถํ วุฎฺฐานํ? กิํ ผลสฺส อนนฺตรํ? กสฺส จ ผลํ อนนฺตรนฺติ?
Phalasamāpattiyā pavattidassanatthaṃ pana tesaṃ idaṃ pañhakammaṃ – kā phalasamāpatti? Ke taṃ samāpajjanti? Ke na samāpajjanti? Kasmā samāpajjanti? Kathañcassā samāpajjanaṃ hoti? Kathaṃ ṭhānaṃ? Kathaṃ vuṭṭhānaṃ? Kiṃ phalassa anantaraṃ? Kassa ca phalaṃ anantaranti?
ตตฺถ กา ผลสมาปตฺตีติ? ยา อริยผลสฺส นิโรเธ อปฺปนาฯ
Tattha kā phalasamāpattīti? Yā ariyaphalassa nirodhe appanā.
เก ตํ สมาปชฺชนฺติ? เก น สมาปชฺชนฺตีติ? สเพฺพปิ ปุถุชฺชนา น สมาปชฺชนฺติฯ กสฺมา? อนธิคตตฺตาฯ อริยา ปน สเพฺพปิ สมาปชฺชนฺติฯ กสฺมา ? อธิคตตฺตาฯ อุปริมา ปน เหฎฺฐิมํ น สมาปชฺชนฺติ ปุคฺคลนฺตรภาวูปคมเนน ปฎิปฺปสฺสทฺธตฺตา, เหฎฺฐิมา จ อุปริมํ อนธิคตตฺตาฯ อตฺตโน อตฺตโนเยว ปน ผลํ สเพฺพปิ สมาปชฺชนฺตีติ อิทเมตฺถ สนฺนิฎฺฐานํฯ
Ke taṃ samāpajjanti? Ke na samāpajjantīti? Sabbepi puthujjanā na samāpajjanti. Kasmā? Anadhigatattā. Ariyā pana sabbepi samāpajjanti. Kasmā ? Adhigatattā. Uparimā pana heṭṭhimaṃ na samāpajjanti puggalantarabhāvūpagamanena paṭippassaddhattā, heṭṭhimā ca uparimaṃ anadhigatattā. Attano attanoyeva pana phalaṃ sabbepi samāpajjantīti idamettha sanniṭṭhānaṃ.
เกจิ ปน ‘‘โสตาปนฺนสกทาคามิโนปิ น สมาปชฺชนฺติ, อุปริมา เทฺวเยว สมาปชฺชนฺตี’’ติ วทนฺติฯ อิทญฺจ เนสํ การณํ – เอเต หิ สมาธิสฺมิํ ปริปูรการิโนติฯ ตํ ปุถุชฺชนสฺสาปิ อตฺตนา ปฎิลทฺธํ โลกิยสมาธิํ สมาปชฺชนโต อการณเมวฯ กิเญฺจตฺถ การณาการณจินฺตายฯ นนุ อิเธว ปาฬิยํ ‘‘กตเม ทส สงฺขารุเปกฺขา วิปสฺสนาวเสน อุปฺปชฺชนฺติ, กตเม ทส โคตฺรภุธมฺมา วิปสฺสนาวเสน อุปฺปชฺชนฺตี’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๖๐) อิเมสํ ปญฺหานํ วิสฺสชฺชเน ‘‘โสตาปตฺติผลสมาปตฺตตฺถาย สกทาคามิผลสมาปตฺตตฺถายา’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๖๐) วิสุํ วิสุํ วุตฺตาฯ ตสฺมา สเพฺพปิ อริยา อตฺตโน อตฺตโน ผลํ สมาปชฺชนฺตีติ นิฎฺฐเมตฺถ คนฺตพฺพํฯ
Keci pana ‘‘sotāpannasakadāgāminopi na samāpajjanti, uparimā dveyeva samāpajjantī’’ti vadanti. Idañca nesaṃ kāraṇaṃ – ete hi samādhismiṃ paripūrakārinoti. Taṃ puthujjanassāpi attanā paṭiladdhaṃ lokiyasamādhiṃ samāpajjanato akāraṇameva. Kiñcettha kāraṇākāraṇacintāya. Nanu idheva pāḷiyaṃ ‘‘katame dasa saṅkhārupekkhā vipassanāvasena uppajjanti, katame dasa gotrabhudhammā vipassanāvasena uppajjantī’’ti (paṭi. ma. 1.60) imesaṃ pañhānaṃ vissajjane ‘‘sotāpattiphalasamāpattatthāya sakadāgāmiphalasamāpattatthāyā’’ti (paṭi. ma. 1.60) visuṃ visuṃ vuttā. Tasmā sabbepi ariyā attano attano phalaṃ samāpajjantīti niṭṭhamettha gantabbaṃ.
กสฺมา สมาปชฺชนฺตีติ? ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารตฺถํฯ ยถา หิ ราชาโน รชฺชสุขํ, เทวตา ทิพฺพสุขมนุภวนฺติ, เอวํ อริยา ‘‘โลกุตฺตรสุขํ อนุภวิสฺสามา’’ติ อทฺธานปริเจฺฉทํ กตฺวา อิจฺฉิติจฺฉิตกฺขเณ ผลสมาปตฺติํ สมาปชฺชนฺติฯ
Kasmā samāpajjantīti? Diṭṭhadhammasukhavihāratthaṃ. Yathā hi rājāno rajjasukhaṃ, devatā dibbasukhamanubhavanti, evaṃ ariyā ‘‘lokuttarasukhaṃ anubhavissāmā’’ti addhānaparicchedaṃ katvā icchiticchitakkhaṇe phalasamāpattiṃ samāpajjanti.
กถญฺจสฺสา สมาปชฺชนํ โหติ, กถํ ฐานํ, กถํ วุฎฺฐานนฺติ? ทฺวีหิ ตาว อากาเรหิ อสฺสา สมาปชฺชนํ โหติ นิพฺพานโต อญฺญสฺส อารมฺมณสฺส อมนสิการา, นิพฺพานสฺส จ มนสิการาฯ ยถาห – ‘‘เทฺว โข, อาวุโส, ปจฺจยา อนิมิตฺตาย เจโตวิมุตฺติยา สมาปตฺติยา สพฺพนิมิตฺตานญฺจ อมนสิกาโร, อนิมิตฺตาย จ ธาตุยา มนสิกาโร’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๕๘)ฯ อยํ ปเนตฺถ สมาปชฺชนกฺกโม – ผลสมาปตฺตตฺถิเกน หิ อริยสาวเกน รโหคเตน ปฎิสลฺลีเนน อุทยพฺพยาทิวเสน สงฺขารา วิปสฺสิตพฺพาฯ ตสฺส ปวตฺตานุปุพฺพวิปสฺสนสฺส สงฺขารารมฺมณโคตฺรภุญาณานนฺตรํ ผลสมาปตฺติวเสน นิโรเธ จิตฺตํ อเปฺปติฯ ผลสมาปตฺตินินฺนตาย เจตฺถ เสกฺขสฺสาปิ ผลเมว อุปฺปชฺชติ, น มโคฺคฯ เย ปน วทนฺติ ‘‘โสตาปโนฺน ‘ผลสมาปตฺติํ สมาปชฺชิสฺสามี’ติ วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา สกทาคามี โหติ, สกทาคามี จ อนาคามี’’ติฯ เต วตฺตพฺพา ‘‘เอวํ สติ อนาคามี อรหา ภวิสฺสติ, อรหา ปเจฺจกพุโทฺธ, ปเจฺจกพุโทฺธ จ พุโทฺธ’’ติฯ
Kathañcassā samāpajjanaṃ hoti, kathaṃ ṭhānaṃ, kathaṃ vuṭṭhānanti? Dvīhi tāva ākārehi assā samāpajjanaṃ hoti nibbānato aññassa ārammaṇassa amanasikārā, nibbānassa ca manasikārā. Yathāha – ‘‘dve kho, āvuso, paccayā animittāya cetovimuttiyā samāpattiyā sabbanimittānañca amanasikāro, animittāya ca dhātuyā manasikāro’’ti (ma. ni. 1.458). Ayaṃ panettha samāpajjanakkamo – phalasamāpattatthikena hi ariyasāvakena rahogatena paṭisallīnena udayabbayādivasena saṅkhārā vipassitabbā. Tassa pavattānupubbavipassanassa saṅkhārārammaṇagotrabhuñāṇānantaraṃ phalasamāpattivasena nirodhe cittaṃ appeti. Phalasamāpattininnatāya cettha sekkhassāpi phalameva uppajjati, na maggo. Ye pana vadanti ‘‘sotāpanno ‘phalasamāpattiṃ samāpajjissāmī’ti vipassanaṃ paṭṭhapetvā sakadāgāmī hoti, sakadāgāmī ca anāgāmī’’ti. Te vattabbā ‘‘evaṃ sati anāgāmī arahā bhavissati, arahā paccekabuddho, paccekabuddho ca buddho’’ti.
ตสฺมา น กิญฺจิ เอตํ, ปาฬิวเสเนว จ ปฎิกฺขิตฺตนฺติปิ น คเหตพฺพํฯ อิทเมว ปน คเหตพฺพํฯ เสกฺขสฺสาปิ ผลเมว อุปฺปชฺชติ, น มโคฺคฯ ผลญฺจสฺส สเจ อเนน ปฐมชฺฌานิโก มโคฺค อธิคโต โหติ, ปฐมชฺฌานิกเมว อุปฺปชฺชติ, สเจ ทุติยาทีสุ อญฺญตรชฺฌานิโก, ทุติยาทีสุ อญฺญตรชฺฌานิกเมวาติ เอวํ ตาวสฺสา สมาปชฺชนํ โหติฯ
Tasmā na kiñci etaṃ, pāḷivaseneva ca paṭikkhittantipi na gahetabbaṃ. Idameva pana gahetabbaṃ. Sekkhassāpi phalameva uppajjati, na maggo. Phalañcassa sace anena paṭhamajjhāniko maggo adhigato hoti, paṭhamajjhānikameva uppajjati, sace dutiyādīsu aññatarajjhāniko, dutiyādīsu aññatarajjhānikamevāti evaṃ tāvassā samāpajjanaṃ hoti.
‘‘ตโย โข, อาวุโส, ปจฺจยา อนิมิตฺตาย เจโตวิมุตฺติยา ฐิติยา สพฺพนิมิตฺตานญฺจ อมนสิกาโร, อนิมิตฺตาย จ ธาตุยา มนสิกาโร, ปุเพฺพ จ อภิสงฺขาโร’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๕๘) วจนโต ปนสฺสา ตีหากาเรหิ ฐานํ โหติฯ ตตฺถ ปุเพฺพ จ อภิสงฺขาโรติ สมาปตฺติโต ปุเพฺพ กาลปริเจฺฉโทฯ ‘‘อสุกสฺมิํ นาม กาเล วุฎฺฐหิสฺสามี’’ติ ปริจฺฉินฺนตฺตา หิสฺสา ยาว โส กาโล นาคจฺฉติ, ตาว ฐานํ โหติฯ เอวมสฺส ฐานํ โหติฯ
‘‘Tayo kho, āvuso, paccayā animittāya cetovimuttiyā ṭhitiyā sabbanimittānañca amanasikāro, animittāya ca dhātuyā manasikāro, pubbe ca abhisaṅkhāro’’ti (ma. ni. 1.458) vacanato panassā tīhākārehi ṭhānaṃ hoti. Tattha pubbe ca abhisaṅkhāroti samāpattito pubbe kālaparicchedo. ‘‘Asukasmiṃ nāma kāle vuṭṭhahissāmī’’ti paricchinnattā hissā yāva so kālo nāgacchati, tāva ṭhānaṃ hoti. Evamassa ṭhānaṃ hoti.
‘‘เทฺว โข, อาวุโส, ปจฺจยา อนิมิตฺตาย เจโตวิมุตฺติยา วุฎฺฐานาย สพฺพนิมิตฺตานญฺจ มนสิกาโร, อนิมิตฺตาย จ ธาตุยา อมนสิกาโร’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๕๘) วจนโต ปนสฺสา ทฺวีหากาเรหิ วุฎฺฐานํ โหติฯ ตตฺถ สพฺพนิมิตฺตานนฺติ รูปนิมิตฺตเวทนาสญฺญาสงฺขารวิญฺญาณนิมิตฺตานํฯ กามญฺจ น สพฺพาเนเวตานิ เอกโต มนสิ กโรติ, สพฺพสงฺคาหิกวเสน ปเนตํ วุตฺตํฯ ตสฺมา ยํ ภวงฺคสฺส อารมฺมณํ โหติ, ตํ มนสิกโรโต ผลสมาปตฺติโต วุฎฺฐานํ โหตีติ เอวมสฺสา วุฎฺฐานํ เวทิตพฺพํฯ
‘‘Dve kho, āvuso, paccayā animittāya cetovimuttiyā vuṭṭhānāya sabbanimittānañca manasikāro, animittāya ca dhātuyā amanasikāro’’ti (ma. ni. 1.458) vacanato panassā dvīhākārehi vuṭṭhānaṃ hoti. Tattha sabbanimittānanti rūpanimittavedanāsaññāsaṅkhāraviññāṇanimittānaṃ. Kāmañca na sabbānevetāni ekato manasi karoti, sabbasaṅgāhikavasena panetaṃ vuttaṃ. Tasmā yaṃ bhavaṅgassa ārammaṇaṃ hoti, taṃ manasikaroto phalasamāpattito vuṭṭhānaṃ hotīti evamassā vuṭṭhānaṃ veditabbaṃ.
กิํ ผลสฺส อนนฺตรํ, กสฺส จ ผลํ อนนฺตรนฺติ? ผลสฺส ตาว ผลเมว วา อนนฺตรํ โหติ ภวงฺคํ วาฯ ผลํ ปน อตฺถิ มคฺคานนฺตรํ, อตฺถิ ผลานนฺตรํ, อตฺถิ โคตฺรภุอนนฺตรํ, อตฺถิ เนวสญฺญานาสญฺญายตนานนฺตรนฺติฯ ตตฺถ มคฺควีถิยํ มคฺคานนฺตรํ, ปุริมสฺส ปุริมสฺส ปจฺฉิมํ ปจฺฉิมํ ผลานนฺตรํ, ผลสมาปตฺตีสุ ปุริมํ ปุริมํ โคตฺรภุอนนฺตรํฯ โคตฺรภูติ เจตฺถ อนุโลมํ เวทิตพฺพํฯ วุตฺตเญฺหตํ ปฎฺฐาเน ‘‘อรหโต อนุโลมํ ผลสมาปตฺติยา อนนฺตรปจฺจเยน ปจฺจโยฯ เสกฺขานํ อนุโลมํ ผลสมาปตฺติยา อนนฺตรปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๑.๑.๔๑๗)ฯ เยน ผเลน นิโรธา วุฎฺฐานํ โหติ, ตํ เนวสญฺญานาสญฺญายตนานนฺตรนฺติฯ ตตฺถ ฐเปตฺวา มคฺควีถิยํ อุปฺปนฺนผลํ อวเสสํ สพฺพํ ผลสมาปตฺติวเสน ปวตฺตํ นามฯ เอวเมตํ มคฺควีถิยํ วา ผลสมาปตฺติยํ วา อุปฺปชฺชนวเสน –
Kiṃ phalassa anantaraṃ, kassa ca phalaṃ anantaranti? Phalassa tāva phalameva vā anantaraṃ hoti bhavaṅgaṃ vā. Phalaṃ pana atthi maggānantaraṃ, atthi phalānantaraṃ, atthi gotrabhuanantaraṃ, atthi nevasaññānāsaññāyatanānantaranti. Tattha maggavīthiyaṃ maggānantaraṃ, purimassa purimassa pacchimaṃ pacchimaṃ phalānantaraṃ, phalasamāpattīsu purimaṃ purimaṃ gotrabhuanantaraṃ. Gotrabhūti cettha anulomaṃ veditabbaṃ. Vuttañhetaṃ paṭṭhāne ‘‘arahato anulomaṃ phalasamāpattiyā anantarapaccayena paccayo. Sekkhānaṃ anulomaṃ phalasamāpattiyā anantarapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 1.1.417). Yena phalena nirodhā vuṭṭhānaṃ hoti, taṃ nevasaññānāsaññāyatanānantaranti. Tattha ṭhapetvā maggavīthiyaṃ uppannaphalaṃ avasesaṃ sabbaṃ phalasamāpattivasena pavattaṃ nāma. Evametaṃ maggavīthiyaṃ vā phalasamāpattiyaṃ vā uppajjanavasena –
‘‘ปฎิปฺปสฺสทฺธทรถํ, อมตารมฺมณํ สุภํ;
‘‘Paṭippassaddhadarathaṃ, amatārammaṇaṃ subhaṃ;
วนฺตโลกามิสํ สนฺตํ, สามญฺญผลมุตฺตม’’นฺติฯ
Vantalokāmisaṃ santaṃ, sāmaññaphalamuttama’’nti.
อยเมตฺถ ผลสมาปตฺติกถาฯ
Ayamettha phalasamāpattikathā.
ตทชฺฌุเปกฺขิตฺวาติ ตํ สงฺขารุเปกฺขํ อเญฺญน ตาทิเสเนว วิปสฺสนาญาเณน อชฺฌุเปกฺขิตฺวาฯ สุญฺญตวิหาเรน วาติอาทีสุ ผลสมาปตฺติํ วินา วิปสฺสนาวิหาเรเนว วิหริตุกามสฺส อรหโต อตฺตาภินิเวสํ ภยโต ทิสฺวา สุญฺญตาธิมุตฺตสฺส สงฺขารุเปกฺขาย วยํ ปสฺสนฺตสฺส วิปสฺสนตฺตยวิหาโร สุญฺญตวิหาโร นาม, สงฺขารนิมิตฺตํ ภยโต ทิสฺวา อนิมิตฺตาธิมุตฺตสฺส สงฺขารุเปกฺขาย วยํ ปสฺสนฺตสฺส วิปสฺสนตฺตยวิหาโร อนิมิตฺตวิหาโร นาม, ตณฺหาปณิธิํ ภยโต ทิสฺวา อปฺปณิหิตาธิมุตฺตสฺส สงฺขารุเปกฺขาย วยํ ปสฺสนฺตสฺส วิปสฺสนตฺตยวิหาโร อปฺปณิหิตวิหาโร นามฯ ตถา หิ ปรโต วุตฺตํ –
Tadajjhupekkhitvāti taṃ saṅkhārupekkhaṃ aññena tādiseneva vipassanāñāṇena ajjhupekkhitvā. Suññatavihārena vātiādīsu phalasamāpattiṃ vinā vipassanāvihāreneva viharitukāmassa arahato attābhinivesaṃ bhayato disvā suññatādhimuttassa saṅkhārupekkhāya vayaṃ passantassa vipassanattayavihāro suññatavihāro nāma, saṅkhāranimittaṃ bhayato disvā animittādhimuttassa saṅkhārupekkhāya vayaṃ passantassa vipassanattayavihāro animittavihāro nāma, taṇhāpaṇidhiṃ bhayato disvā appaṇihitādhimuttassa saṅkhārupekkhāya vayaṃ passantassa vipassanattayavihāro appaṇihitavihāro nāma. Tathā hi parato vuttaṃ –
‘‘อภินิเวสํ ภยโต สมฺปสฺสมาโน สุญฺญเต อธิมุตฺตตฺตา ผุสฺส ผุสฺส วยํ ปสฺสติ, สุญฺญโต วิหาโรฯ นิมิตฺตํ ภยโต สมฺปสฺสมาโน อนิมิเตฺต อธิมุตฺตตฺตา ผุสฺส ผุสฺส วยํ ปสฺสติ, อนิมิโตฺต วิหาโรฯ ปณิธิํ ภยโต สมฺปสฺสมาโน อปฺปณิหิเต อธิมุตฺตตฺตา ผุสฺส ผุสฺส วยํ ปสฺสติ, อปฺปณิหิโต วิหาโร’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๗๘)ฯ
‘‘Abhinivesaṃ bhayato sampassamāno suññate adhimuttattā phussa phussa vayaṃ passati, suññato vihāro. Nimittaṃ bhayato sampassamāno animitte adhimuttattā phussa phussa vayaṃ passati, animitto vihāro. Paṇidhiṃ bhayato sampassamāno appaṇihite adhimuttattā phussa phussa vayaṃ passati, appaṇihito vihāro’’ti (paṭi. ma. 1.78).
ฉฬงฺคุเปกฺขาสพฺภาเวน จ ปฎิกูเล อปฺปฎิกูลสญฺญาทิวิหารสพฺภาเวน จ อรหโตเยว สพฺพากาเรน จิตฺตํ วเส วตฺตติ, ตโต อยํ วิปสฺสนาวิหาโร อรหโตเยว อิชฺฌตีติ วุตฺตํ โหติฯ วีตราโค สงฺขารุเปกฺขํ วิปสฺสติ วาติ เอตฺถ ปน ติธา จ ภยํ, ติธา จ อธิมุตฺติํ อนาปชฺชิตฺวา เกวลํ วิปสฺสนาติ เวทิตพฺพาฯ เอวญฺหิ สติ ปุพฺพาปรวิเสโส โหติฯ
Chaḷaṅgupekkhāsabbhāvena ca paṭikūle appaṭikūlasaññādivihārasabbhāvena ca arahatoyeva sabbākārena cittaṃ vase vattati, tato ayaṃ vipassanāvihāro arahatoyeva ijjhatīti vuttaṃ hoti. Vītarāgo saṅkhārupekkhaṃ vipassati vāti ettha pana tidhā ca bhayaṃ, tidhā ca adhimuttiṃ anāpajjitvā kevalaṃ vipassanāti veditabbā. Evañhi sati pubbāparaviseso hoti.
๕๖. อิทานิ ทฺวินฺนํ ติณฺณํ ปุคฺคลานํ วเสน สงฺขารุเปกฺขาย เอกตฺตนานตฺตเภทํ ทเสฺสตุกาโม กถํ ปุถุชฺชนสฺส จ เสกฺขสฺส จาติอาทิมาหฯ ตตฺถ จิตฺตสฺส อภินีหาโร เอกตฺตํ โหตีติ เอโก โหติ, สกเตฺถ ภาววจนนฺติ เวทิตพฺพํฯ ยถา อิทปฺปจฺจยา เอว อิทปฺปจฺจยตาติ วุตฺตํ, ตถา เอโกว เอกตฺตํฯ อภินีหาโรติ สามิอเตฺถ ปจฺจตฺตวจนํ วา, อภินีหารสฺสาติ อโตฺถฯ ‘‘โส เทโส สมฺมชฺชิตฺวา’’ติอาทีสุ (มหาว. ๑๖๘) วิย วิภตฺติวิปลฺลาโส กโตติ เวทิตโพฺพฯ จิตฺตํ กิลิสฺสตีติ วิปสฺสนานิกนฺติสงฺขาเตน โลภกิเลเสน จิตฺตํ กิลิสฺสติ, ตาปียติ พาธียตีติ อโตฺถฯ ภาวนาย ปริปโนฺถ โหตีติ ปฎิลทฺธาย วิปสฺสนาภาวนาย อุปฆาโต โหติฯ ปฎิเวธสฺส อนฺตราโย โหตีติ วิปสฺสนาภาวนาย ปฎิลภิตพฺพสฺส สจฺจปฺปฎิเวธสฺส ปฎิลาภนฺตราโย โหติฯ อายติํ ปฎิสนฺธิยา ปจฺจโย โหตีติ สงฺขารุเปกฺขาสมฺปยุตฺตกมฺมสฺส พลวตฺตา เตเนว สุคติปฎิสนฺธิยา ทียมานาย อตินนฺทนสงฺขาโต โลภกิเลโส อนาคเต กามาวจรสุคติปฎิสนฺธิยา ปจฺจโย โหติ ฯ ยสฺมา กิเลสสหายํ กมฺมํ วิปากํ ชเนติ, ตสฺมา กมฺมํ ชนกปจฺจโย โหติ, กิเลโส อุปตฺถมฺภกปจฺจโยฯ เสกฺขสฺส ปน อุตฺตริปฎิเวธสฺสาติ สกทาคามิมคฺคาทิวเสน สจฺจปฺปฎิเวธสฺสฯ อายติํ ปฎิสนฺธิยา ปจฺจโย โหตีติ เสเกฺขสุ โสตาปนฺนสกทาคามีนํ อนธิคตชฺฌานานํ สงฺขารุเปกฺขากเมฺมน ทียมานาย กามาวจรสุคติปฎิสนฺธิยา อภินนฺทนกิเลโส ปจฺจโย โหติ, ฌานลาภีนํ ปน อนาคามิสฺส จ พฺรหฺมโลเกเยว ปฎิสนฺธานโต ปจฺจโย น โหติ, อนุโลมโคตฺรภูหิ จ ทียมานาย ปฎิสนฺธิยา อยเมว กิเลโส ปจฺจโย โหตีติ เวทิตโพฺพฯ
56. Idāni dvinnaṃ tiṇṇaṃ puggalānaṃ vasena saṅkhārupekkhāya ekattanānattabhedaṃ dassetukāmo kathaṃ puthujjanassa ca sekkhassa cātiādimāha. Tattha cittassa abhinīhāro ekattaṃ hotīti eko hoti, sakatthe bhāvavacananti veditabbaṃ. Yathā idappaccayā eva idappaccayatāti vuttaṃ, tathā ekova ekattaṃ. Abhinīhāroti sāmiatthe paccattavacanaṃ vā, abhinīhārassāti attho. ‘‘So deso sammajjitvā’’tiādīsu (mahāva. 168) viya vibhattivipallāso katoti veditabbo. Cittaṃ kilissatīti vipassanānikantisaṅkhātena lobhakilesena cittaṃ kilissati, tāpīyati bādhīyatīti attho. Bhāvanāya paripantho hotīti paṭiladdhāya vipassanābhāvanāya upaghāto hoti. Paṭivedhassa antarāyo hotīti vipassanābhāvanāya paṭilabhitabbassa saccappaṭivedhassa paṭilābhantarāyo hoti. Āyatiṃ paṭisandhiyā paccayo hotīti saṅkhārupekkhāsampayuttakammassa balavattā teneva sugatipaṭisandhiyā dīyamānāya atinandanasaṅkhāto lobhakileso anāgate kāmāvacarasugatipaṭisandhiyā paccayo hoti . Yasmā kilesasahāyaṃ kammaṃ vipākaṃ janeti, tasmā kammaṃ janakapaccayo hoti, kileso upatthambhakapaccayo. Sekkhassa pana uttaripaṭivedhassāti sakadāgāmimaggādivasena saccappaṭivedhassa. Āyatiṃ paṭisandhiyā paccayo hotīti sekkhesu sotāpannasakadāgāmīnaṃ anadhigatajjhānānaṃ saṅkhārupekkhākammena dīyamānāya kāmāvacarasugatipaṭisandhiyā abhinandanakileso paccayo hoti, jhānalābhīnaṃ pana anāgāmissa ca brahmalokeyeva paṭisandhānato paccayo na hoti, anulomagotrabhūhi ca dīyamānāya paṭisandhiyā ayameva kileso paccayo hotīti veditabbo.
อนิจฺจโตติ หุตฺวา อภาวเฎฺฐน อนิจฺจนฺติกตาย อาทิอนฺตวนฺตตาย จ อนิจฺจโตฯ ทุกฺขโตติ อภิณฺหํ ปฎิปีฬนเฎฺฐน อุปฺปาทวยปฎิปีฬนตาย ทุกฺขวตฺถุตาย จ ทุกฺขโตฯ อนตฺตโตติ อวสวตฺตนเฎฺฐน ปจฺจยายตฺตวุตฺติตาย สามินิวาสีการกเวทกาภาเวน จ อนตฺตโตฯ อนุปสฺสนเฎฺฐนาติ อนุ อนุ อนิจฺจาทิโต ปสฺสนเฎฺฐนฯ อภินีหาโร นานตฺตํ โหตีติ อภินีหาโร นานา โหตีติ วา อภินีหารสฺส นานาภาโว โหตีติ วา เวทิตพฺพํฯ
Aniccatoti hutvā abhāvaṭṭhena aniccantikatāya ādiantavantatāya ca aniccato. Dukkhatoti abhiṇhaṃ paṭipīḷanaṭṭhena uppādavayapaṭipīḷanatāya dukkhavatthutāya ca dukkhato. Anattatoti avasavattanaṭṭhena paccayāyattavuttitāya sāminivāsīkārakavedakābhāvena ca anattato. Anupassanaṭṭhenāti anu anu aniccādito passanaṭṭhena. Abhinīhāro nānattaṃ hotīti abhinīhāro nānā hotīti vā abhinīhārassa nānābhāvo hotīti vā veditabbaṃ.
กุสลาติ อาโรคฺยเฎฺฐน อนวชฺชเฎฺฐน โกสลฺลสมฺภูตเฎฺฐน จฯ อพฺยากตาติ กุสลากุสลภาเวน น พฺยากตาฯ กิญฺจิกาเล สุวิทิตาติ วิปสฺสนากาเล สุฎฺฐุ วิทิตาฯ กิญฺจิกาเล น สุวิทิตาติ อภินนฺทนกาเล น สุฎฺฐุ วิทิตาฯ อจฺจนฺตํ สุวิทิตาติ อภินนฺทนาย ปหีนตฺตา เอกเนฺตน สุวิทิตาฯ วิทิตเฎฺฐน จ อวิทิตเฎฺฐน จาติ เอตฺถ ปุถุชฺชนเสกฺขานํ สุวิทิตโฎฺฐปิ วีตราคสฺส อจฺจนฺตสุวิทิตโฎฺฐปิ วิทิตโฎฺฐว โหติ, ทฺวินฺนมฺปิ น สุวิทิตโฎฺฐ อวิทิตโฎฺฐวฯ
Kusalāti ārogyaṭṭhena anavajjaṭṭhena kosallasambhūtaṭṭhena ca. Abyākatāti kusalākusalabhāvena na byākatā. Kiñcikāle suviditāti vipassanākāle suṭṭhu viditā. Kiñcikāle na suviditāti abhinandanakāle na suṭṭhu viditā. Accantaṃ suviditāti abhinandanāya pahīnattā ekantena suviditā. Viditaṭṭhena ca aviditaṭṭhena cāti ettha puthujjanasekkhānaṃ suviditaṭṭhopi vītarāgassa accantasuviditaṭṭhopi viditaṭṭhova hoti, dvinnampi na suviditaṭṭho aviditaṭṭhova.
อติตฺตตฺตาติ วิปสฺสนาย กรณียสฺส อปริโยสิตตฺตา อปฺปณีตภาเวนฯ ตพฺพิปรีเตน ติตฺตตฺตาฯ ติณฺณํ สโญฺญชนานํ ปหานายาติ สกฺกายทิฎฺฐิวิจิกิจฺฉาสีลพฺพตปรามาสานํ ปหานตฺถํฯ ปจฺฉิมภวิกาปิ โพธิสตฺตา เอเตฺถว สงฺคหํ คจฺฉนฺติฯ อปจฺฉิมภวิกา ปน วิปสฺสนํ สงฺขารุเปกฺขํ ปาเปตฺวา ฐเปนฺติฯ โสตาปตฺติมคฺคํ ปฎิลาภตฺถายาติ อสมาเสตฺวา ปฐนฺติ, สมาเสตฺวา ปาโฐ สุนฺทรตโรฯ เสโกฺข ติณฺณํ สโญฺญชนานํ ปหีนตฺตาติ โสตาปนฺนสกทาคามิอนาคามีนํ สามเญฺญน วุตฺตํฯ สกทาคามิอนาคามีนมฺปิ หิ ตานิ ปหีนาเนวฯ อุตฺตริปฎิลาภตฺถายาติ อุปรูปริมคฺคปฎิลาภตฺถํฯ ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารตฺถายาติ ทิเฎฺฐว ธเมฺม ปจฺจเกฺข อตฺตภาเว โย สุโข วิหาโร, ตทตฺถายฯ วิหารสมาปตฺตเฎฺฐนาติ เสกฺขสฺส ผลสมาปตฺตเฎฺฐน, วีตราคสฺส วิปสฺสนาวิหารผลสมาปตฺตเฎฺฐนฯ
Atittattāti vipassanāya karaṇīyassa apariyositattā appaṇītabhāvena. Tabbiparītena tittattā. Tiṇṇaṃ saññojanānaṃ pahānāyāti sakkāyadiṭṭhivicikicchāsīlabbataparāmāsānaṃ pahānatthaṃ. Pacchimabhavikāpi bodhisattā ettheva saṅgahaṃ gacchanti. Apacchimabhavikā pana vipassanaṃ saṅkhārupekkhaṃ pāpetvā ṭhapenti. Sotāpattimaggaṃ paṭilābhatthāyāti asamāsetvā paṭhanti, samāsetvā pāṭho sundarataro. Sekkho tiṇṇaṃ saññojanānaṃ pahīnattāti sotāpannasakadāgāmianāgāmīnaṃ sāmaññena vuttaṃ. Sakadāgāmianāgāmīnampi hi tāni pahīnāneva. Uttaripaṭilābhatthāyāti uparūparimaggapaṭilābhatthaṃ. Diṭṭhadhammasukhavihāratthāyāti diṭṭheva dhamme paccakkhe attabhāve yo sukho vihāro, tadatthāya. Vihārasamāpattaṭṭhenāti sekkhassa phalasamāpattaṭṭhena, vītarāgassa vipassanāvihāraphalasamāpattaṭṭhena.
๕๗. อิทานิ สงฺขารุเปกฺขานํ คณนปริเจฺฉทํ ทเสฺสตุํ กติ สงฺขารุเปกฺขาติอาทิมาหฯ ตตฺถ สมถวเสนาติ สมาธิวเสนฯ อยเมว วา ปาโฐฯ นีวรเณ ปฎิสงฺขาติ ปญฺจ นีวรณานิ ปหาตพฺพภาเวน ปริคฺคเหตฺวาฯ สนฺติฎฺฐนาติ นีวรณานํ ปหานาภิมุขีภูตตฺตา เตสํ ปหาเนปิ อพฺยาปารภาวูปคมเนน มชฺฌตฺตตาย สนฺติฎฺฐนาฯ สงฺขารุเปกฺขาสูติ นีวรณปฺปหาเน พฺยาปารากรเณน นีวรณสงฺขาตานํ สงฺขารานํ อุเปกฺขนาสุฯ เอส นโย วิตกฺกวิจาราทีสุ จฯ สมเถ สงฺขารุเปกฺขา นาม อปฺปนาวีถิยา อาสนฺนปุพฺพภาเค พลปฺปตฺตภาวนามยญาณํฯ โสตาปตฺติมคฺคํ ปฎิลาภตฺถายาติอาทีสุ จตูสุ มคฺควาเรสุ สุญฺญตานิมิตฺตอปฺปณิหิตมคฺคานํ อญฺญตรญฺญตโร มโคฺค ลพฺภติฯ โสตาปตฺติผลสมาปตฺตตฺถายาติอาทีสุ จตูสุ ผลวาเรสุ ปน อปฺปณิหิตา ผลสมาปตฺติ เวทิตพฺพาฯ กสฺมา? ‘‘สุญฺญตวิหารสมาปตฺตตฺถาย อนิมิตฺตวิหารสมาปตฺตตฺถายา’’ติ อิตราสํ ทฺวินฺนํ ผลสมาปตฺตีนํ วิสุํ วุตฺตตฺตาฯ อนิจฺจานุปสฺสนาวุฎฺฐานวเสน หิ อนิมิตฺตมโคฺค, ตเถว ผลสมาปตฺติกาเล อนิมิตฺตผลสมาปตฺติ, ทุกฺขานุปสฺสนาวุฎฺฐานวเสน อปฺปณิหิตมคฺคผลสมาปตฺติโย, อนตฺตานุปสฺสนาวุฎฺฐานวเสน สุญฺญตมคฺคผลสมาปตฺติโย สุตฺตนฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ
57. Idāni saṅkhārupekkhānaṃ gaṇanaparicchedaṃ dassetuṃ kati saṅkhārupekkhātiādimāha. Tattha samathavasenāti samādhivasena. Ayameva vā pāṭho. Nīvaraṇe paṭisaṅkhāti pañca nīvaraṇāni pahātabbabhāvena pariggahetvā. Santiṭṭhanāti nīvaraṇānaṃ pahānābhimukhībhūtattā tesaṃ pahānepi abyāpārabhāvūpagamanena majjhattatāya santiṭṭhanā. Saṅkhārupekkhāsūti nīvaraṇappahāne byāpārākaraṇena nīvaraṇasaṅkhātānaṃ saṅkhārānaṃ upekkhanāsu. Esa nayo vitakkavicārādīsu ca. Samathe saṅkhārupekkhā nāma appanāvīthiyā āsannapubbabhāge balappattabhāvanāmayañāṇaṃ. Sotāpattimaggaṃ paṭilābhatthāyātiādīsu catūsu maggavāresu suññatānimittaappaṇihitamaggānaṃ aññataraññataro maggo labbhati. Sotāpattiphalasamāpattatthāyātiādīsu catūsu phalavāresu pana appaṇihitā phalasamāpatti veditabbā. Kasmā? ‘‘Suññatavihārasamāpattatthāya animittavihārasamāpattatthāyā’’ti itarāsaṃ dvinnaṃ phalasamāpattīnaṃ visuṃ vuttattā. Aniccānupassanāvuṭṭhānavasena hi animittamaggo, tatheva phalasamāpattikāle animittaphalasamāpatti, dukkhānupassanāvuṭṭhānavasena appaṇihitamaggaphalasamāpattiyo, anattānupassanāvuṭṭhānavasena suññatamaggaphalasamāpattiyo suttantanayeneva veditabbā.
เอตฺถ จ จตูสุ มคฺควาเรสุ อุปฺปาทนฺติอาทีนิ ปญฺจ มูลปทานิ, คตินฺติอาทีนิ ทส เววจนปทานีติ ปนฺนรส ปทานิ วุตฺตานิฯ ฉสุ ปน ผลสมาปตฺติวาเรสุ ปญฺจ มูลปทาเนว วุตฺตานิฯ ตํ กสฺมา อิติ เจ? สงฺขารุเปกฺขาย ติกฺขภาเว สติ กิเลสปฺปหาเน สมตฺถสฺส มคฺคสฺส สมฺภวโต ตสฺสา ติกฺขภาวทสฺสนตฺถํ เววจนปเทหิ สห ทฬฺหํ กตฺวา มูลปทานิ วุตฺตานิฯ ผลสฺส นิรุสฺสาหภาเวน สนฺตสภาวตฺตา มคฺคายตฺตตฺตา จ มนฺทภูตาปิ สงฺขารุเปกฺขา ผลสฺส ปจฺจโย โหตีติ ทสฺสนตฺถํ มูลปทาเนว วุตฺตานีติ เวทิตพฺพานิฯ
Ettha ca catūsu maggavāresu uppādantiādīni pañca mūlapadāni, gatintiādīni dasa vevacanapadānīti pannarasa padāni vuttāni. Chasu pana phalasamāpattivāresu pañca mūlapadāneva vuttāni. Taṃ kasmā iti ce? Saṅkhārupekkhāya tikkhabhāve sati kilesappahāne samatthassa maggassa sambhavato tassā tikkhabhāvadassanatthaṃ vevacanapadehi saha daḷhaṃ katvā mūlapadāni vuttāni. Phalassa nirussāhabhāvena santasabhāvattā maggāyattattā ca mandabhūtāpi saṅkhārupekkhā phalassa paccayo hotīti dassanatthaṃ mūlapadāneva vuttānīti veditabbāni.
๕๘. อิทานิ ชาติวเสน ปุจฺฉิตฺวา ลพฺภมานวเสน วิสฺสเชฺชตุํ กติ สงฺขารุเปกฺขา กุสลาติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปนฺนรส สงฺขารุเปกฺขาติ สมถวเสน อฎฺฐ, จตุนฺนํ มคฺคานํ ติณฺณํ ผลานํ วเสน สตฺตาติ ปนฺนรสฯ สมถวเสน อฎฺฐ สงฺขารุเปกฺขา อรหโต นีวรณปฎิสงฺขาอภาวโต, วิตกฺกวิจาราทีนํ ปหานพฺยาปารํ วินา สุเขน ปหานโต จ สงฺขารุเปกฺขานามสฺส อนนุรูปาติ กตฺวา ตาสํ อพฺยากตตา น วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ อรหตา ปน ผลสมาปตฺติํ สมาปชฺชเนฺตน สงฺขารุเปกฺขํ วินา สมาปชฺชิตุํ น สกฺกาติ ติโสฺส สงฺขารุเปกฺขา อพฺยากตาติ วุตฺตาฯ อปฺปณิหิตสุญฺญตานิมิตฺตวเสน หิ อรหโต ติโสฺส สงฺขารุเปกฺขาฯ
58. Idāni jātivasena pucchitvā labbhamānavasena vissajjetuṃ kati saṅkhārupekkhā kusalātiādimāha. Tattha pannarasa saṅkhārupekkhāti samathavasena aṭṭha, catunnaṃ maggānaṃ tiṇṇaṃ phalānaṃ vasena sattāti pannarasa. Samathavasena aṭṭha saṅkhārupekkhā arahato nīvaraṇapaṭisaṅkhāabhāvato, vitakkavicārādīnaṃ pahānabyāpāraṃ vinā sukhena pahānato ca saṅkhārupekkhānāmassa ananurūpāti katvā tāsaṃ abyākatatā na vuttāti veditabbā. Arahatā pana phalasamāpattiṃ samāpajjantena saṅkhārupekkhaṃ vinā samāpajjituṃ na sakkāti tisso saṅkhārupekkhā abyākatāti vuttā. Appaṇihitasuññatānimittavasena hi arahato tisso saṅkhārupekkhā.
อิทานิ สงฺขารุเปกฺขานํ สํวณฺณนาวเสน วุตฺตาสุ ตีสุ คาถาสุ ปฎิสงฺขาสนฺติฎฺฐนา ปญฺญาติ สงฺขารุเปกฺขา ฯ อฎฺฐ จิตฺตสฺส โคจราติ สมถวเสน วุตฺตา อฎฺฐ สงฺขารุเปกฺขา สมาธิสฺส วิสยา, ภูมิโยติ อโตฺถฯ ‘‘จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวย’’นฺติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๒๓, ๑๙๒) วิย จิตฺตสีเสน สมาธิ นิทฺทิโฎฺฐ, ‘‘โคจเร, ภิกฺขเว, จรถ สเก เปตฺติเก วิสเย’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๕.๓๗๒) วิย โคจรสเทฺทน วิสโยฯ ยญฺหิ ยทายตฺตํ, ตเสฺสโส วิสโยติ วุจฺจติฯ ปุถุชฺชนสฺส เทฺวติ สมถวเสน วิปสฺสนาวเสน จฯ ตโย เสกฺขสฺสาติ สมถวิปสฺสนาสมาปตฺติวเสนฯ ตโย จ วีตราคสฺสาติ อปฺปณิหิตสุญฺญตานิมิตฺตผลสมาปตฺติวเสนฯ ‘‘ติโสฺส’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘ตโย’’ติ จ ลิงฺควิปลฺลาโส กโตฯ ตโย สงฺขารุเปกฺขา ธมฺมาติ วา โยเชตพฺพํฯ เยหิ จิตฺตํ วิวฎฺฎตีติ เยหิ สงฺขารุเปกฺขาธเมฺมหิ วิตกฺกวิจาราทิโต, อุปฺปาทาทิโต วา จิตฺตํ อปคจฺฉติฯ วีตราคสฺสาปิ หิ สงฺขารุเปกฺขาสพฺภาวโต จ สงฺขารโต จิตฺตํ วิวฎฺฎิตฺวา นิพฺพานํ ปกฺขนฺทตีติ วุตฺตํ โหติฯ อฎฺฐ สมาธิสฺส ปจฺจยาติ สมถวเสน วุตฺตา อฎฺฐ อปฺปนาสมฺปาปกตฺตา อปฺปนาสมาธิสฺส ปจฺจยาฯ ทส ญาณสฺส โคจราติ วิปสฺสนาวเสน วุตฺตา ทส มคฺคญาณสฺส ผลญาณสฺส จ ภูมิโยฯ ติณฺณํ วิโมกฺขาน ปจฺจยาติ สุญฺญตานิมิตฺตอปฺปณิหิตวิโมกฺขานํ อุปนิสฺสยปจฺจยาฯ นานาทิฎฺฐีสุ น กมฺปตีติ ภงฺคํ อวิสฺสชฺชิตฺวาว สงฺขาเร อนิจฺจาทิวเสน วิปสฺสโนฺต สสฺสตทิฎฺฐิอาทีสุ นานปฺปการาสุ ทิฎฺฐีสุ น เวธตีติฯ
Idāni saṅkhārupekkhānaṃ saṃvaṇṇanāvasena vuttāsu tīsu gāthāsu paṭisaṅkhāsantiṭṭhanā paññāti saṅkhārupekkhā . Aṭṭha cittassa gocarāti samathavasena vuttā aṭṭha saṅkhārupekkhā samādhissa visayā, bhūmiyoti attho. ‘‘Cittaṃ paññañca bhāvaya’’ntiādīsu (saṃ. ni. 1.23, 192) viya cittasīsena samādhi niddiṭṭho, ‘‘gocare, bhikkhave, caratha sake pettike visaye’’tiādīsu (saṃ. ni. 5.372) viya gocarasaddena visayo. Yañhi yadāyattaṃ, tasseso visayoti vuccati. Puthujjanassa dveti samathavasena vipassanāvasena ca. Tayosekkhassāti samathavipassanāsamāpattivasena. Tayo ca vītarāgassāti appaṇihitasuññatānimittaphalasamāpattivasena. ‘‘Tisso’’ti vattabbe ‘‘tayo’’ti ca liṅgavipallāso kato. Tayo saṅkhārupekkhā dhammāti vā yojetabbaṃ. Yehi cittaṃ vivaṭṭatīti yehi saṅkhārupekkhādhammehi vitakkavicārādito, uppādādito vā cittaṃ apagacchati. Vītarāgassāpi hi saṅkhārupekkhāsabbhāvato ca saṅkhārato cittaṃ vivaṭṭitvā nibbānaṃ pakkhandatīti vuttaṃ hoti. Aṭṭha samādhissa paccayāti samathavasena vuttā aṭṭha appanāsampāpakattā appanāsamādhissa paccayā. Dasa ñāṇassa gocarāti vipassanāvasena vuttā dasa maggañāṇassa phalañāṇassa ca bhūmiyo. Tiṇṇaṃ vimokkhāna paccayāti suññatānimittaappaṇihitavimokkhānaṃ upanissayapaccayā. Nānādiṭṭhīsu na kampatīti bhaṅgaṃ avissajjitvāva saṅkhāre aniccādivasena vipassanto sassatadiṭṭhiādīsu nānappakārāsu diṭṭhīsu na vedhatīti.
สงฺขารุเปกฺขาญาณนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Saṅkhārupekkhāñāṇaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ปฎิสมฺภิทามคฺคปาฬิ • Paṭisambhidāmaggapāḷi / ๙. สงฺขารุเปกฺขาญาณนิเทฺทโส • 9. Saṅkhārupekkhāñāṇaniddeso