Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā |
๒. อุโปสถกฺขนฺธกวณฺณนา
2. Uposathakkhandhakavaṇṇanā
สนฺนิปาตานุชานนาทิกถาวณฺณนา
Sannipātānujānanādikathāvaṇṇanā
๑๓๒-๓. เตน สมเยนาติ อตฺตโน โอวาทปาติโมกฺขุเทฺทเส ธุรํ นิกฺขิปิตฺวา ภิกฺขูนํเยว วิสุํ อุโปสถกรณํ อนุชานิตฺวา ฐิตสมเยนฯ โก ปน โสติ? มชฺฌิมโพธิยํ ปาติโมกฺขุเทฺทสปฺปโหนกสิกฺขาปทานํ ปรินิฎฺฐานกาโลฯ เตเนวาห ‘‘ตานิ เนสํ ปาติโมกฺขุเทฺทสํ อนุชาเนยฺย’’นฺติฯ ‘‘เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเว, อุทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ นิทานุเทฺทสํ ปญฺญาเปตุกามตาย จ สิกฺขาปทานํ อุเทฺทสปริเจฺฉทนิทสฺสนตฺถญฺจ วุตฺตํฯ อญฺญถา ‘‘เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเว, อิมํ สิกฺขาปทํ อุทฺทิเสยฺยถา’’ติ สพฺพสิกฺขาปทานํ อุทฺทิสิตพฺพกฺกมสฺส ทสฺสิตตฺตา อิทานิ ‘‘เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเว, อุทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ อิทํ นิรตฺถกํ อาปชฺชติ, อิทญฺจ สพฺพสงฺฆุโปสถํ สนฺธาย วุตฺตํฯ
132-3.Tenasamayenāti attano ovādapātimokkhuddese dhuraṃ nikkhipitvā bhikkhūnaṃyeva visuṃ uposathakaraṇaṃ anujānitvā ṭhitasamayena. Ko pana soti? Majjhimabodhiyaṃ pātimokkhuddesappahonakasikkhāpadānaṃ pariniṭṭhānakālo. Tenevāha ‘‘tāni nesaṃ pātimokkhuddesaṃ anujāneyya’’nti. ‘‘Evañca pana, bhikkhave, uddisitabba’’nti nidānuddesaṃ paññāpetukāmatāya ca sikkhāpadānaṃ uddesaparicchedanidassanatthañca vuttaṃ. Aññathā ‘‘evañca pana, bhikkhave, imaṃ sikkhāpadaṃ uddiseyyathā’’ti sabbasikkhāpadānaṃ uddisitabbakkamassa dassitattā idāni ‘‘evañca pana, bhikkhave, uddisitabba’’nti idaṃ niratthakaṃ āpajjati, idañca sabbasaṅghuposathaṃ sandhāya vuttaṃ.
๑๓๔. ‘‘ยํนูน อยฺยาปิ…เป.… สนฺนิปเตยฺยุ’’นฺติ พหูนํ อธิการปฺปวตฺติฯ ตตฺราปิ วินยํ อาคมฺม วุโตฺต ภิกฺขุ สามิ, น เกวลํ สงฺฆเตฺถโรติ ทสฺสนตฺถํ, สงฺฆสฺส คารวยุตฺตวจนารหตาทสฺสนตฺถญฺจ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต’’ติ อาหฯ ตตฺถ สยํ เจ เถโร, ภิกฺขุํ สนฺธาย ‘‘อาวุโส’’ติ วตฺตุํ ยุชฺชติฯ กถํ ปญฺญายติ? พุทฺธกาเล สงฺฆเตฺถโร อพฺยโตฺต นาม ทุลฺลโภฯ สพฺพกมฺมวาจาย ปโยคนิทสฺสเน จ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ’’ อิเจฺจว ภควา ทเสฺสตีติ เจ? เอวเมตํ ตถา ทสฺสนโตฯ สงฺฆํ อุปาทาย สงฺฆเตฺถเรนาปิ ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ’’ติ วตฺตพฺพํ, ภิกฺขุํ อุปาทาย ‘‘อาวุโส’’ติ มหากสฺสปสฺส กมฺมวาจาย ปโยคทสฺสนโต, ปาริสุทฺธิอุโปสเถ จ เถเรน ภิกฺขุนา ‘‘ปริสุโทฺธ อหํ, อาวุโส’’ติ ปโยคทสฺสนโต จฯ ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺล’’นฺติ ปรโต ปญฺญาเปตเพฺพ อุโปสถกรณนฺตราเย สนฺธายาหฯ อุโปสถสฺส พหุวิธตฺตา สรูปโต วตฺตุํ ‘‘ปาติโมกฺขํ อุทฺทิเสยฺยา’’ติ อาหฯ เอตฺตาวตา ญตฺติํ นิฎฺฐเปสิฯ ญตฺติทุติยกมฺมโต เอว หิ อุโปสถกมฺมํฯ น, ตติยานุสฺสาวนสมฺภวโตติ เจ? น, อเญฺญหิ ญตฺติจตุตฺถกเมฺมหิ อสทิสตฺตาฯ น หิ เอตฺถ จตุกฺขตฺตุํ ‘‘สุณาตุ เม’’ติ อารภียตีติฯ อเญฺญหิ ญตฺติทุติเยหิ อสทิสตฺตา ญตฺติทุติยมฺปิ มาโหตูติ เจ? น, ญตฺติทุติยกมฺมสฺส อญฺญถาปิ กตฺตพฺพโตฯ ตถา หิ ญตฺติทุติยกมฺมํ เอกจฺจํ อปโลกนวเสนปิ กาตุํ วฎฺฎติ, น อญฺญํ อญฺญถา กาตุํ วฎฺฎติฯ กถํ ปญฺญายตีติ? อิทเมว อุโปสถกมฺมํ ญาปกํฯ
134. ‘‘Yaṃnūna ayyāpi…pe… sannipateyyu’’nti bahūnaṃ adhikārappavatti. Tatrāpi vinayaṃ āgamma vutto bhikkhu sāmi, na kevalaṃ saṅghattheroti dassanatthaṃ, saṅghassa gāravayuttavacanārahatādassanatthañca ‘‘suṇātu me, bhante’’ti āha. Tattha sayaṃ ce thero, bhikkhuṃ sandhāya ‘‘āvuso’’ti vattuṃ yujjati. Kathaṃ paññāyati? Buddhakāle saṅghatthero abyatto nāma dullabho. Sabbakammavācāya payoganidassane ca ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho’’ icceva bhagavā dassetīti ce? Evametaṃ tathā dassanato. Saṅghaṃ upādāya saṅghattherenāpi ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho’’ti vattabbaṃ, bhikkhuṃ upādāya ‘‘āvuso’’ti mahākassapassa kammavācāya payogadassanato, pārisuddhiuposathe ca therena bhikkhunā ‘‘parisuddho ahaṃ, āvuso’’ti payogadassanato ca. ‘‘Yadi saṅghassa pattakalla’’nti parato paññāpetabbe uposathakaraṇantarāye sandhāyāha. Uposathassa bahuvidhattā sarūpato vattuṃ ‘‘pātimokkhaṃ uddiseyyā’’ti āha. Ettāvatā ñattiṃ niṭṭhapesi. Ñattidutiyakammato eva hi uposathakammaṃ. Na, tatiyānussāvanasambhavatoti ce? Na, aññehi ñatticatutthakammehi asadisattā. Na hi ettha catukkhattuṃ ‘‘suṇātu me’’ti ārabhīyatīti. Aññehi ñattidutiyehi asadisattā ñattidutiyampi māhotūti ce? Na, ñattidutiyakammassa aññathāpi kattabbato. Tathā hi ñattidutiyakammaṃ ekaccaṃ apalokanavasenapi kātuṃ vaṭṭati, na aññaṃ aññathā kātuṃ vaṭṭati. Kathaṃ paññāyatīti? Idameva uposathakammaṃ ñāpakaṃ.
‘‘กิํ สงฺฆสฺส ปุพฺพกิจฺจ’’นฺติ อิทํ น ญตฺติ นิฎฺฐเปตฺวา วตฺตพฺพํ, ตญฺหิ ญตฺติโต ปุเรตรเมว กรียตีติฯ ตสฺมา ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, กิํ สงฺฆสฺส ปุพฺพกิจฺจํ, ยทิ สงฺฆสฺสา’’ติ วตฺตพฺพํ สิยาติ? ตถาปิ น วตฺตพฺพํ, น หิ ตํ ญตฺติยา อโนฺตกรียตีติฯ ยทิ เอวํ สพฺพตฺถ น วตฺตพฺพํ ปโยชนาภาวาติ เจ? น, ยถาคตฎฺฐาเนเยว วตฺตพฺพโต, ปรปทาเปกฺขตายาติ วุตฺตํ โหติฯ อิทํ ปุพฺพกิจฺจํ อกตฺวา อุโปสถํ กโรโนฺต สโงฺฆ, ปุคฺคโล วา ฐปนเกฺขตฺตาติกฺกเม อาปชฺชติฯ น หิ ตสฺมิํ เขเตฺต อติกฺกเนฺต สมฺมชฺชนาสโนทกปทีปกรเณ อาปตฺติโมโกฺข โหติฯ อุโปสถกมฺมโต ปุเพฺพ กตฺตพฺพกิจฺจากรณปจฺจยตฺตา ตสฺสา อาปตฺติยา, น สา กมฺมปริโยสานาเปกฺขา เอตฺถาคตสมฺปชานมุสาวาทาปตฺติ วิย, ตสฺมา ปาติโมกฺขุเทฺทสโก ภิกฺขุ ‘‘ปาริสุทฺธิํ อายสฺมโนฺต อาโรเจถา’’ติ วตฺตุกาโม ปฐมํเยว ปริสุทฺธาปริสุทฺธปจฺจยํ ปุพฺพกิจฺจํ สราเปติฯ ตญฺหิ กตํ ปริสุทฺธปจฺจโย โหติ, อกตํ อปริสุทฺธปจฺจโย, เตเนว อุภยาเปกฺขาธิปฺปาเยน ‘‘กตํ น กต’’นฺติ อวตฺวา ‘‘กิํ สงฺฆสฺส ปุพฺพกิจฺจ’’ มิเจฺจวาหฯ ตตฺถ อกตปเกฺข ตาว ปาริสุทฺธิอาโรจนกฺกมนิทสฺสนตฺถํ ปรโต ‘‘ยสฺส สิยา อาปตฺติ, โส อาวิ กเรยฺยา’’ติ จ, กตปเกฺข ‘‘อสนฺติยา อาปตฺติยา ตุณฺหี ภวิตพฺพ’’นฺติ จ วกฺขติฯ
‘‘Kiṃ saṅghassa pubbakicca’’nti idaṃ na ñatti niṭṭhapetvā vattabbaṃ, tañhi ñattito puretarameva karīyatīti. Tasmā ‘‘suṇātu me, bhante, saṅgho, kiṃ saṅghassa pubbakiccaṃ, yadi saṅghassā’’ti vattabbaṃ siyāti? Tathāpi na vattabbaṃ, na hi taṃ ñattiyā antokarīyatīti. Yadi evaṃ sabbattha na vattabbaṃ payojanābhāvāti ce? Na, yathāgataṭṭhāneyeva vattabbato, parapadāpekkhatāyāti vuttaṃ hoti. Idaṃ pubbakiccaṃ akatvā uposathaṃ karonto saṅgho, puggalo vā ṭhapanakkhettātikkame āpajjati. Na hi tasmiṃ khette atikkante sammajjanāsanodakapadīpakaraṇe āpattimokkho hoti. Uposathakammato pubbe kattabbakiccākaraṇapaccayattā tassā āpattiyā, na sā kammapariyosānāpekkhā etthāgatasampajānamusāvādāpatti viya, tasmā pātimokkhuddesako bhikkhu ‘‘pārisuddhiṃ āyasmanto ārocethā’’ti vattukāmo paṭhamaṃyeva parisuddhāparisuddhapaccayaṃ pubbakiccaṃ sarāpeti. Tañhi kataṃ parisuddhapaccayo hoti, akataṃ aparisuddhapaccayo, teneva ubhayāpekkhādhippāyena ‘‘kataṃ na kata’’nti avatvā ‘‘kiṃ saṅghassa pubbakicca’’ miccevāha. Tattha akatapakkhe tāva pārisuddhiārocanakkamanidassanatthaṃ parato ‘‘yassa siyā āpatti, so āvi kareyyā’’ti ca, katapakkhe ‘‘asantiyā āpattiyā tuṇhī bhavitabba’’nti ca vakkhati.
ปาริสุทฺธิํ อายสฺมโนฺต อาโรเจถฯ กิํการณา? ยสฺมา ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิสฺสามิฯ เอตฺถ จ ‘‘อุทฺทิสามี’’ติ วตฺตมานกาลํ อปรามสิตฺวา ‘‘อุทฺทิสิสฺสามี’’ติ อนาคตกาลปรามสเนน ยฺวายํ ‘‘ทานิ เนสํ ปาติโมกฺขุเทฺทสํ อนุชาเนยฺย’’นฺติ (มหาว. ๑๕๐) เอตฺถ วุตฺตปาติโมกฺขุเทฺทโส, ตํ สนฺธาย ‘‘ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิสฺสามี’’ติ วุตฺตนฺติ เอเกฯ ยสฺมา ‘‘ปญฺจิเม, ภิกฺขเว, ปาติโมกฺขุเทฺทสา’’ติ วุตฺตํ, ตสฺมา วตฺตมานสฺส นิทานุเทฺทสสงฺขาตสฺส ปาติโมกฺขสฺส ยเทตํ อเนฺต ‘‘กจฺจิตฺถ ปริสุทฺธา’’ติอาทิกํ ยาวตติยานุสฺสาวนํ, ตเสฺสว อาปตฺติเขตฺตตฺตา, อวยเวปิ อวยวีโวหารสมฺภวโต จ อิธ อาปตฺติเขตฺตเมว สนฺธาย ‘‘ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิสฺสามี’’ติ วุตฺตํฯ เอวญฺหิ วุเตฺต ยสฺมา ปรโต อาปตฺติเขตฺตํ อาคมิสฺสติ, ตสฺมา อาปตฺติภีรุกา ตุเมฺห สเพฺพว ปฐมเมว ปาริสุทฺธิํ อาโรเจถาติ อยมโตฺถ สมฺภวติฯ วตฺตมานกาลวเสน วุเตฺต ‘‘ปาริสุทฺธิํ อายสฺมโนฺต อาโรเจถา’’ติ วจนเมว น สมฺภวติ ตทาโรจนสฺส ปฐมํ อิจฺฉิตพฺพตฺตา, ปเคว ตสฺส กรณาภาเวน ‘‘ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิสฺสามี’’ติ วจนํฯ อยํ นโย สนฺติยา อาปตฺติยา อาโรจเน ยุชฺชติ, น ตุณฺหีภาเว, อกมฺมปริโยสานา ตุณฺหีภาวปฺปตฺติโต, เอวํ สเนฺตปิ ตสฺมิํ ยุชฺชเตวฯ ปาติโมกฺขุเทฺทสโก หิ อญฺญมญฺญํ อาปตฺติอาวิกรณํ อกตฺวา ตุณฺหีภูเต ภิกฺขู ปสฺสิตฺวา เตเนว ตุณฺหีภาเวน อาโรจิตปาริสุทฺธิโก หุตฺวา ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต’’ติ ปาติโมกฺขุเทฺทสํ อารภิฯ
Pārisuddhiṃ āyasmanto ārocetha. Kiṃkāraṇā? Yasmā pātimokkhaṃ uddisissāmi. Ettha ca ‘‘uddisāmī’’ti vattamānakālaṃ aparāmasitvā ‘‘uddisissāmī’’ti anāgatakālaparāmasanena yvāyaṃ ‘‘dāni nesaṃ pātimokkhuddesaṃ anujāneyya’’nti (mahāva. 150) ettha vuttapātimokkhuddeso, taṃ sandhāya ‘‘pātimokkhaṃ uddisissāmī’’ti vuttanti eke. Yasmā ‘‘pañcime, bhikkhave, pātimokkhuddesā’’ti vuttaṃ, tasmā vattamānassa nidānuddesasaṅkhātassa pātimokkhassa yadetaṃ ante ‘‘kaccittha parisuddhā’’tiādikaṃ yāvatatiyānussāvanaṃ, tasseva āpattikhettattā, avayavepi avayavīvohārasambhavato ca idha āpattikhettameva sandhāya ‘‘pātimokkhaṃ uddisissāmī’’ti vuttaṃ. Evañhi vutte yasmā parato āpattikhettaṃ āgamissati, tasmā āpattibhīrukā tumhe sabbeva paṭhamameva pārisuddhiṃ ārocethāti ayamattho sambhavati. Vattamānakālavasena vutte ‘‘pārisuddhiṃ āyasmanto ārocethā’’ti vacanameva na sambhavati tadārocanassa paṭhamaṃ icchitabbattā, pageva tassa karaṇābhāvena ‘‘pātimokkhaṃ uddisissāmī’’ti vacanaṃ. Ayaṃ nayo santiyā āpattiyā ārocane yujjati, na tuṇhībhāve, akammapariyosānā tuṇhībhāvappattito, evaṃ santepi tasmiṃ yujjateva. Pātimokkhuddesako hi aññamaññaṃ āpattiāvikaraṇaṃ akatvā tuṇhībhūte bhikkhū passitvā teneva tuṇhībhāvena ārocitapārisuddhiko hutvā ‘‘suṇātu me, bhante’’ti pātimokkhuddesaṃ ārabhi.
เอตฺถาห – ปฐมํ ‘‘สโงฺฆ อุโปสถํ กเรยฺย, ปาติโมกฺขํ อุทฺทิเสยฺยา’’ติ วุตฺตตฺตา อิธาปิ ‘‘สโงฺฆ อุโปสถํ กริสฺสติ, ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิสฺสตี’’ติ วตฺตพฺพํ, อถ ‘‘ปุคฺคลสฺส อุเทฺทสา’’ติ ลกฺขณตฺตา ยถารุตเมว วตฺตพฺพํ, ตถาปิ ‘‘อุโปสถํ กริสฺสามิ, ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิสฺสามี’’ติ วตฺตพฺพนฺติ? น วตฺตพฺพํ ลกฺขณวิโรธโต, อนิฎฺฐปฺปสงฺคโต จฯ ปุคฺคลสฺส อุเทฺทสา เอว หิ สงฺฆสฺส อุโปสโถ กโต โหติ, น ปุคฺคลสฺส อุโปสถกรเณนฯ ตญฺจ โสว กริสฺสติ, น สโงฺฆติ อนิฎฺฐปฺปสโงฺคว อาปชฺชติฯ ‘‘สุณาถา’’ติ วุเตฺต อจิตฺตสามคฺคิปฺปสงฺคภยา ‘‘สุโณมา’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘สุณิสฺสามา’’ติ วตฺตพฺพํ ‘‘อุทฺทิสิสฺสามี’’ติ วุตฺตตฺตาติ เจ? น วตฺตพฺพํ, อาปตฺติเขตฺตทสฺสนาธิปฺปายนิรเปกฺขตาย ‘‘สุโณม’’ อิเจฺจว วตฺตพฺพํฯ เอกปเทเนว หิสฺส ตทธิปฺปาโย อติกฺกโนฺตติฯ ยทิ เอวํ กิมตฺถํ ตํ สเพฺพเหว อารทฺธนฺติ เจ? ‘‘อุทฺทิสิสฺสามี’’ติ อิมินา อสาธารณวจเนน อาปนฺนสฺส อจิตฺตสามคฺคิปฺปสงฺคนิวารณตฺถํฯ สรมาเนนาติ อิมินา จสฺส สมฺปชานมุสาวาทสฺส สจิตฺตกตํ ทเสฺสติฯ อนฺตรายิโก ธโมฺม วุโตฺต ภควตาติ เอวํ อกิริยสมุฎฺฐานสฺสาปิ เอวํ ปริตฺตกสฺส อิมสฺส มุสาวาทสฺส มหาทีนวตํ ทเสฺสติฯ วิสุทฺธาเปเกฺขนาติ สาวเสสํ อาปตฺติํ อุปาทาย อนาปตฺติภาวสงฺขาตํ อนวเสสญฺจ อุปาทาย คิหิภาวสงฺขาตํ วิสุทฺธิํ อิจฺฉเนฺตน กสฺมา อาวิ กาตพฺพา? อนฺตรายภาวานุปคมเนน ผาสุวิหารปจฺจยตฺตาฯ อิธ ‘‘อชฺชุโปสโถ ปนฺนรโส’’ติ น วุตฺตํ ปรโต ทิวสนิยมสฺส กตฺตุกามตาธิปฺปาเยน อวุตฺตตฺตาฯ เอวํ ปน เต ภิกฺขู สพฺพทิวเสสุ อุทฺทิสิํสุฯ
Etthāha – paṭhamaṃ ‘‘saṅgho uposathaṃ kareyya, pātimokkhaṃ uddiseyyā’’ti vuttattā idhāpi ‘‘saṅgho uposathaṃ karissati, pātimokkhaṃ uddisissatī’’ti vattabbaṃ, atha ‘‘puggalassa uddesā’’ti lakkhaṇattā yathārutameva vattabbaṃ, tathāpi ‘‘uposathaṃ karissāmi, pātimokkhaṃ uddisissāmī’’ti vattabbanti? Na vattabbaṃ lakkhaṇavirodhato, aniṭṭhappasaṅgato ca. Puggalassa uddesā eva hi saṅghassa uposatho kato hoti, na puggalassa uposathakaraṇena. Tañca sova karissati, na saṅghoti aniṭṭhappasaṅgova āpajjati. ‘‘Suṇāthā’’ti vutte acittasāmaggippasaṅgabhayā ‘‘suṇomā’’ti vuttaṃ. ‘‘Suṇissāmā’’ti vattabbaṃ ‘‘uddisissāmī’’ti vuttattāti ce? Na vattabbaṃ, āpattikhettadassanādhippāyanirapekkhatāya ‘‘suṇoma’’ icceva vattabbaṃ. Ekapadeneva hissa tadadhippāyo atikkantoti. Yadi evaṃ kimatthaṃ taṃ sabbeheva āraddhanti ce? ‘‘Uddisissāmī’’ti iminā asādhāraṇavacanena āpannassa acittasāmaggippasaṅganivāraṇatthaṃ. Saramānenāti iminā cassa sampajānamusāvādassa sacittakataṃ dasseti. Antarāyiko dhammo vutto bhagavatāti evaṃ akiriyasamuṭṭhānassāpi evaṃ parittakassa imassa musāvādassa mahādīnavataṃ dasseti. Visuddhāpekkhenāti sāvasesaṃ āpattiṃ upādāya anāpattibhāvasaṅkhātaṃ anavasesañca upādāya gihibhāvasaṅkhātaṃ visuddhiṃ icchantena kasmā āvi kātabbā? Antarāyabhāvānupagamanena phāsuvihārapaccayattā. Idha ‘‘ajjuposatho pannaraso’’ti na vuttaṃ parato divasaniyamassa kattukāmatādhippāyena avuttattā. Evaṃ pana te bhikkhū sabbadivasesu uddisiṃsu.
๑๓๕. ‘‘อาทิเมต’’นฺติ สีลปาติโมกฺขเมว วุตฺตํ, กิญฺจาปิ คนฺถปาติโมโกฺข อธิเปฺปโตฯ ‘‘ปญฺจนฺนํ วา’’ติ มาติกายํ วุตฺตานํ วเสน วุตฺตํฯ อนชฺฌาปโนฺน วาติ ปุคฺคลาธิฎฺฐานเทสนาฯ โปราณคณฺฐิปเท ปน ‘‘‘อุโปสถํ กเรยฺยา’ติ เอตฺตาวตา ญตฺติ โหติฯ ยาวตติยานุสฺสาวนา นาม ‘ยสฺส สิยา อาปตฺตี’ติอาทิวจนตฺตยํ, อเนฺต ‘ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ ปุจฺฉามี’ติ อิทญฺจาติ ทุวิธํฯ ตตฺถ ปฐมํ อาปตฺติํ สริตฺวา นิสินฺนสฺส, ทุติยํ อสรนฺตสฺส สารณตฺถ’’นฺติ วุตฺตํฯ ‘‘วจีทฺวาเร’’ติ ปากฎวเสน อุชุกเมว วุตฺตํฯ กิญฺจาปิ กายวิญฺญตฺติยาปิ กรียติ, กายกมฺมาภาวา ปน วจีวิญฺญตฺติยาเยว อาวิ กาตพฺพาฯ ‘‘สงฺฆมเชฺฌ วา’’ติอาทิ ลกฺขณวจนํ กิรฯ สงฺฆุโปสถกรณตฺถํ สงฺฆมเชฺฌ เจ นิสิโนฺน, ตสฺมิํ สงฺฆมเชฺฌฯ คณุโปสถกรณตฺถเญฺจ คณมเชฺฌ นิสิโนฺน, ตสฺมิํ คณมเชฺฌฯ เอกเสฺสว สนฺติเก เจ ปาริสุทฺธิอุโปสถํ กตฺตุกาโม, ตสฺมิํ เอกปุคฺคเล อาวิ กาตพฺพาติ, ‘‘เอเตน น เกวลํ สงฺฆมเชฺฌ เอวายํ มุสาวาโท สมฺภวติ, อถ โข เอตฺถ วุตฺตลกฺขเณน อสติปิ ‘ปาริสุทฺธิํ อายสฺมโนฺต อาโรเจถา’ติอาทิวิธาเน คณุโปสเถปิ สาปตฺติโก หุตฺวา อุโปสถํ กตฺตุกาโม อนาโรเจตฺวา ตุณฺหีภูโตว กโรติ เจ, สมฺปชานมุสาวาทาปตฺติํ อาปชฺชตีติ อิมสฺสตฺถสฺส อาวิกรณโต ลกฺขณวจนํ กิเรต’’นฺติ วทนฺติ ตกฺกิกาฯ อญฺญถา ‘‘คณมเชฺฌวา’’ติ น วุตฺตนฺติ เตสํ อธิปฺปาโยฯ อาโรจนาธิปฺปายวเสน วุตฺตนฺติ โน ตโกฺกติ อาจริโยฯ อาโรเจโนฺต หิ สงฺฆสฺส อาโรเจมีติ อธิปฺปาเยน อาวิ กโรโนฺต สงฺฆมเชฺฌ อาวิ กโรติ นามฯ อตฺตโน อุภโตปเสฺส นิสินฺนานํ อาโรเจโนฺต คณมเชฺฌฯ เอกเสฺสวาโรเจสฺสามิ สภาคสฺสาติ อธิปฺปาเยน อาโรเจโนฺต เอกปุคฺคเล อาโรเจติ นามฯ ปุเพฺพ วิภตฺตปทสฺส ปุน วิภชนํ อตฺถวิเสสาภาวทีปนตฺถนฺติ เวทิตพฺพํฯ
135.‘‘Ādimeta’’nti sīlapātimokkhameva vuttaṃ, kiñcāpi ganthapātimokkho adhippeto. ‘‘Pañcannaṃ vā’’ti mātikāyaṃ vuttānaṃ vasena vuttaṃ. Anajjhāpanno vāti puggalādhiṭṭhānadesanā. Porāṇagaṇṭhipade pana ‘‘‘uposathaṃ kareyyā’ti ettāvatā ñatti hoti. Yāvatatiyānussāvanā nāma ‘yassa siyā āpattī’tiādivacanattayaṃ, ante ‘dutiyampi tatiyampi pucchāmī’ti idañcāti duvidhaṃ. Tattha paṭhamaṃ āpattiṃ saritvā nisinnassa, dutiyaṃ asarantassa sāraṇattha’’nti vuttaṃ. ‘‘Vacīdvāre’’ti pākaṭavasena ujukameva vuttaṃ. Kiñcāpi kāyaviññattiyāpi karīyati, kāyakammābhāvā pana vacīviññattiyāyeva āvi kātabbā. ‘‘Saṅghamajjhe vā’’tiādi lakkhaṇavacanaṃ kira. Saṅghuposathakaraṇatthaṃ saṅghamajjhe ce nisinno, tasmiṃ saṅghamajjhe. Gaṇuposathakaraṇatthañce gaṇamajjhe nisinno, tasmiṃ gaṇamajjhe. Ekasseva santike ce pārisuddhiuposathaṃ kattukāmo, tasmiṃ ekapuggale āvi kātabbāti, ‘‘etena na kevalaṃ saṅghamajjhe evāyaṃ musāvādo sambhavati, atha kho ettha vuttalakkhaṇena asatipi ‘pārisuddhiṃ āyasmanto ārocethā’tiādividhāne gaṇuposathepi sāpattiko hutvā uposathaṃ kattukāmo anārocetvā tuṇhībhūtova karoti ce, sampajānamusāvādāpattiṃ āpajjatīti imassatthassa āvikaraṇato lakkhaṇavacanaṃ kireta’’nti vadanti takkikā. Aññathā ‘‘gaṇamajjhevā’’ti na vuttanti tesaṃ adhippāyo. Ārocanādhippāyavasena vuttanti no takkoti ācariyo. Ārocento hi saṅghassa ārocemīti adhippāyena āvi karonto saṅghamajjhe āvi karoti nāma. Attano ubhatopasse nisinnānaṃ ārocento gaṇamajjhe. Ekassevārocessāmi sabhāgassāti adhippāyena ārocento ekapuggale āroceti nāma. Pubbe vibhattapadassa puna vibhajanaṃ atthavisesābhāvadīpanatthanti veditabbaṃ.
๑๓๖-๗. ‘‘น, ภิกฺขเว, เทวสิกํ…เป.… ทุกฺกฎสฺสา’’ติ วตฺวา ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อุโปสเถ ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิตุ’’นฺติ อิทํ อนุโปสเถ เอว ตํ ทุกฺกฎํ , อุโปสเถ ปน เทวสิกมฺปิ วฎฺฎตีติ ทีเปติ, ตสฺมา เต ภิกฺขู จาตุทฺทสิยํ อุทฺทิสิตฺวาปิ ปนฺนรสิยํ อุทฺทิสิํสุ, เตนาห ‘‘สกิํ ปกฺขสฺสา’’ติฯ ตตฺถ ปุริเมน สามคฺคีทิวโส อุโปสถทิวโส เอวาติ ทีเปติฯ อุภเยน อฎฺฐมิํ ปฎิกฺขิปิตฺวา เทวสิกํ ปฎิเกฺขปสฺส อติปฺปสงฺคํ นิวาเรติฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ภิโนฺน เจ สโงฺฆ ปาฎิปททิวเส สมโคฺค โหติ, ตสฺมิํ ทิวเส สามคฺคีอุโปสถํ กโรโนฺต อุภยมฺปิ ทุกฺกฎํ อาปชฺชโนฺต อุภเยน เอกีภูเตน นิวาริโต โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ อญฺญถา สามคฺคีอุโปสโถ น เทวสิโกฯ เจ, อโหรตฺตํ กาตโพฺพฯ ตสฺมิญฺจ ปเกฺข ปกติอุโปสโถ น เทวสิโกฯ เจ, อโหรตฺตํ กาตโพฺพฯ ตสฺมิญฺจ ปเกฺข ปกติอุโปสโถ อนุทฺทิโฎฺฐฯ เจ โหติ, สามคฺคีอุโปสโถ กาตโพฺพติ อาปชฺชติฯ น อปวาทนเยน คเหตพฺพตฺตาติ เจ? น, อนิฎฺฐปฺปสงฺคโตฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? สามคฺคีทิวเส สามคฺคีอุโปสถํ กตฺวา ปุน ตสฺมิํ ปเกฺข ปกติอุโปสถทิวเส สมฺปเตฺต ปกติอุโปสโถ น กาตโพฺพติฯ อปวาโทติฯ อปวาทิตพฺพฎฺฐานโต อญฺญตฺถ อุสฺสคฺควิธานํ นิวาเรติฯ
136-7.‘‘Na, bhikkhave, devasikaṃ…pe… dukkaṭassā’’ti vatvā ‘‘anujānāmi, bhikkhave, uposathe pātimokkhaṃ uddisitu’’nti idaṃ anuposathe eva taṃ dukkaṭaṃ , uposathe pana devasikampi vaṭṭatīti dīpeti, tasmā te bhikkhū cātuddasiyaṃ uddisitvāpi pannarasiyaṃ uddisiṃsu, tenāha ‘‘sakiṃ pakkhassā’’ti. Tattha purimena sāmaggīdivaso uposathadivaso evāti dīpeti. Ubhayena aṭṭhamiṃ paṭikkhipitvā devasikaṃ paṭikkhepassa atippasaṅgaṃ nivāreti. Kiṃ vuttaṃ hoti? Bhinno ce saṅgho pāṭipadadivase samaggo hoti, tasmiṃ divase sāmaggīuposathaṃ karonto ubhayampi dukkaṭaṃ āpajjanto ubhayena ekībhūtena nivārito hotīti vuttaṃ hoti. Aññathā sāmaggīuposatho na devasiko. Ce, ahorattaṃ kātabbo. Tasmiñca pakkhe pakatiuposatho na devasiko. Ce, ahorattaṃ kātabbo. Tasmiñca pakkhe pakatiuposatho anuddiṭṭho. Ce hoti, sāmaggīuposatho kātabboti āpajjati. Na apavādanayena gahetabbattāti ce? Na, aniṭṭhappasaṅgato. Kiṃ vuttaṃ hoti? Sāmaggīdivase sāmaggīuposathaṃ katvā puna tasmiṃ pakkhe pakatiuposathadivase sampatte pakatiuposatho na kātabboti. Apavādoti. Apavāditabbaṭṭhānato aññattha ussaggavidhānaṃ nivāreti.
กิตฺตาวตา นุ โข สามคฺคีติ เอตฺถายมธิปฺปาโย – สามคฺคี นาเมสา สภาคานํ สนฺนิปาโตฯ สภาคา จ นาม ยตฺตกา สหธมฺมิกา, เต สเพฺพปิ โหนฺติ, อุทาหุ อาวาสสภาคตาย สภาคา นาม โหนฺตีติฯ ตตฺถ ยทิ สหธมฺมิกานํ สามคฺคี สามคฺคี นาม, สเพฺพสํ ปุถุวิภตฺตานํ สามคฺคี อิจฺฉิตพฺพาฯ อถาวสถวเสน, เอกาวาสสภาคานนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อญฺญถา เอกาวาเส สามคฺคีติ อาปชฺชติฯ มา โน อคมาสีติ อคโต มา โหติฯ
Kittāvatānu kho sāmaggīti etthāyamadhippāyo – sāmaggī nāmesā sabhāgānaṃ sannipāto. Sabhāgā ca nāma yattakā sahadhammikā, te sabbepi honti, udāhu āvāsasabhāgatāya sabhāgā nāma hontīti. Tattha yadi sahadhammikānaṃ sāmaggī sāmaggī nāma, sabbesaṃ puthuvibhattānaṃ sāmaggī icchitabbā. Athāvasathavasena, ekāvāsasabhāgānanti vuttaṃ hoti. Aññathā ekāvāse sāmaggīti āpajjati. Mā no agamāsīti agato mā hoti.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi
๖๘. สนฺนิปาตานุชานนา • 68. Sannipātānujānanā
๖๙. ปาติโมกฺขุเทฺทสานุชานนา • 69. Pātimokkhuddesānujānanā
๗๐. มหากปฺปินวตฺถุ • 70. Mahākappinavatthu
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวคฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvagga-aṭṭhakathā / สนฺนิปาตานุชานนาทิกถา • Sannipātānujānanādikathā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / สนฺนิปาตานุชานนาทิกถาวณฺณนา • Sannipātānujānanādikathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / สนฺนิปาตานุชานนาทิกถาวณฺณนา • Sannipātānujānanādikathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๖๘. สนฺนิปาตานุชานนาทิกถา • 68. Sannipātānujānanādikathā