Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๑๖๒] ๒. สนฺถวชาตกวณฺณนา
[162] 2. Santhavajātakavaṇṇanā
น สนฺถวสฺมา ปรมตฺถิ ปาปิโยติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อคฺคิชุหนํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ เหฎฺฐา นงฺคุฎฺฐชาตเก (ชา. ๑.๑.๑๔๔ อาทโย) กถิตสทิสเมวฯ ภิกฺขู เต อคฺคิํ ชุหเนฺต ทิสฺวา ‘‘ภเนฺต, ชฎิลา นานปฺปการํ มิจฺฉาตปํ กโรนฺติ, อตฺถิ นุ โข เอตฺถ วุฑฺฒี’’ติ ภควนฺตํ ปุจฺฉิํสุฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, เอตฺถกาจิ วุฑฺฒิ นาม อตฺถิ, โปราณกปณฺฑิตาปิ อคฺคิชุหเน วุฑฺฒิ อตฺถีติ สญฺญาย จิรํ อคฺคิํ ชุหิตฺวา ตสฺมิํ กเมฺม อวุฑฺฒิเมว ทิสฺวา อคฺคิํ อุทเกน นิพฺพาเปตฺวา สาขาทีหิ โปเถตฺวา ปุน นิวตฺติตฺวาปิ น โอโลเกสุ’’นฺติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Nasanthavasmā paramatthi pāpiyoti idaṃ satthā jetavane viharanto aggijuhanaṃ ārabbha kathesi. Vatthu heṭṭhā naṅguṭṭhajātake (jā. 1.1.144 ādayo) kathitasadisameva. Bhikkhū te aggiṃ juhante disvā ‘‘bhante, jaṭilā nānappakāraṃ micchātapaṃ karonti, atthi nu kho ettha vuḍḍhī’’ti bhagavantaṃ pucchiṃsu. ‘‘Na, bhikkhave, etthakāci vuḍḍhi nāma atthi, porāṇakapaṇḍitāpi aggijuhane vuḍḍhi atthīti saññāya ciraṃ aggiṃ juhitvā tasmiṃ kamme avuḍḍhimeva disvā aggiṃ udakena nibbāpetvā sākhādīhi pothetvā puna nivattitvāpi na olokesu’’nti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติฯ มาตาปิตโร ตสฺส ชาตคฺคิํ คเหตฺวา ตํ โสฬสวสฺสุเทฺทเส ฐิตํ อาหํสุ – ‘‘กิํ, ตาต, ชาตคฺคิํ คเหตฺวา อรเญฺญ อคฺคิํ ปริจริสฺสสิ, อุทาหุ ตโย เวเท อุคฺคณฺหิตฺวา กุฎุมฺพํ สณฺฐเปตฺวา ฆราวาสํ วสิสฺสสี’’ติฯ โส ‘‘น เม ฆราวาเสน อโตฺถ, อรเญฺญ อคฺคิํ ปริจริตฺวา พฺรหฺมโลกปรายโณ ภวิสฺสามี’’ติ ชาตคฺคิํ คเหตฺวา มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา ปณฺณสาลาย วาสํ กเปฺปตฺวา อคฺคิํ ปริจริฯ โส เอกทิวสํ นิมนฺติตฎฺฐานํ คนฺตฺวา สปฺปินา ปายาสํ ลภิตฺวา ‘‘อิมํ ปายาสํ มหาพฺรหฺมุโน ยชิสฺสามี’’ติ ตํ ปายาสํ อาหริตฺวา อคฺคิํ ชาเลตฺวา ‘‘อคฺคิํ ตาว ภวนฺตํ สปฺปิยุตฺตํ ปายาสํ ปาเยมี’’ติ ปายาสํ อคฺคิมฺหิ ปกฺขิปิฯ พหุสิเนเห ปายาเส อคฺคิมฺหิ ปกฺขิตฺตมเตฺตเยว อคฺคิ ชลิตฺวา ปจฺจุคฺคตาหิ อจฺจีหิ ปณฺณสาลํ ฌาเปสิฯ พฺราหฺมโณ ภีตตสิโต ปลายิตฺวา พหิ ฐตฺวา ‘‘กาปุริเสหิ นาม สนฺถโว น กาตโพฺพ, อิทานิ เม อิมินา อคฺคินา กิเจฺฉน กตา ปณฺณสาลา ฌาปิตา’’ติ วตฺวา ปฐมํ คาถมาห –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto brāhmaṇakule nibbatti. Mātāpitaro tassa jātaggiṃ gahetvā taṃ soḷasavassuddese ṭhitaṃ āhaṃsu – ‘‘kiṃ, tāta, jātaggiṃ gahetvā araññe aggiṃ paricarissasi, udāhu tayo vede uggaṇhitvā kuṭumbaṃ saṇṭhapetvā gharāvāsaṃ vasissasī’’ti. So ‘‘na me gharāvāsena attho, araññe aggiṃ paricaritvā brahmalokaparāyaṇo bhavissāmī’’ti jātaggiṃ gahetvā mātāpitaro vanditvā araññaṃ pavisitvā paṇṇasālāya vāsaṃ kappetvā aggiṃ paricari. So ekadivasaṃ nimantitaṭṭhānaṃ gantvā sappinā pāyāsaṃ labhitvā ‘‘imaṃ pāyāsaṃ mahābrahmuno yajissāmī’’ti taṃ pāyāsaṃ āharitvā aggiṃ jāletvā ‘‘aggiṃ tāva bhavantaṃ sappiyuttaṃ pāyāsaṃ pāyemī’’ti pāyāsaṃ aggimhi pakkhipi. Bahusinehe pāyāse aggimhi pakkhittamatteyeva aggi jalitvā paccuggatāhi accīhi paṇṇasālaṃ jhāpesi. Brāhmaṇo bhītatasito palāyitvā bahi ṭhatvā ‘‘kāpurisehi nāma santhavo na kātabbo, idāni me iminā agginā kicchena katā paṇṇasālā jhāpitā’’ti vatvā paṭhamaṃ gāthamāha –
๒๓.
23.
‘‘น สนฺถวสฺมา ปรมตฺถิ ปาปิโย, โย สนฺถโว กาปุริเสน โหติ;
‘‘Na santhavasmā paramatthi pāpiyo, yo santhavo kāpurisena hoti;
สนฺตปฺปิโต สปฺปินา ปายเสน, กิจฺฉากตํ ปณฺณกุฎิํ อทยฺหี’’ติฯ
Santappito sappinā pāyasena, kicchākataṃ paṇṇakuṭiṃ adayhī’’ti.
ตตฺถ น สนฺถวสฺมาติ ตณฺหาสนฺถวาปิ จ มิตฺตสนฺถวาปิ จาติ ทุวิธาปิ เอตสฺมา สนฺถวา ปรํ อุตฺตริ อญฺญํ ปาปตรํ นตฺถิ, ลามกตรํ นาม นตฺถีติ อโตฺถฯ โย สนฺถโว กาปุริเสนาติ โย ปาปเกน กาปุริเสน สทฺธิํ ทุวิโธปิ สนฺถโว, ตโต ปาปตรํ อญฺญํ นตฺถิฯ กสฺมา? สนฺตปฺปิโต …เป.…อทยฺหีติ, ยสฺมา สปฺปินา จ ปายาเสน จ สนฺตปฺปิโตปิ อยํ อคฺคิ มยา กิเจฺฉน กตํ ปณฺณสาลํ ฌาเปสีติ อโตฺถฯ
Tattha na santhavasmāti taṇhāsanthavāpi ca mittasanthavāpi cāti duvidhāpi etasmā santhavā paraṃ uttari aññaṃ pāpataraṃ natthi, lāmakataraṃ nāma natthīti attho. Yo santhavo kāpurisenāti yo pāpakena kāpurisena saddhiṃ duvidhopi santhavo, tato pāpataraṃ aññaṃ natthi. Kasmā? Santappito…pe…adayhīti, yasmā sappinā ca pāyāsena ca santappitopi ayaṃ aggi mayā kicchena kataṃ paṇṇasālaṃ jhāpesīti attho.
โส เอวํ วตฺวา ‘‘น เม ตยา มิตฺตทุพฺภินา อโตฺถ’’ติ ตํ อคฺคิํ อุทเกน นิพฺพาเปตฺวา สาขาหิ โปเถตฺวา อโนฺตหิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา เอกํ สามมิคิํ สีหสฺส จ พฺยคฺฆสฺส จ ทีปิโน จ มุขํ เลหนฺติํ ทิสฺวา ‘‘สปฺปุริเสหิ สทฺธิํ สนฺถวา ปรํ เสโยฺย นาม นตฺถี’’ติ จิเนฺตตฺวา ทุติยํ คาถมาห –
So evaṃ vatvā ‘‘na me tayā mittadubbhinā attho’’ti taṃ aggiṃ udakena nibbāpetvā sākhāhi pothetvā antohimavantaṃ pavisitvā ekaṃ sāmamigiṃ sīhassa ca byagghassa ca dīpino ca mukhaṃ lehantiṃ disvā ‘‘sappurisehi saddhiṃ santhavā paraṃ seyyo nāma natthī’’ti cintetvā dutiyaṃ gāthamāha –
๒๔.
24.
‘‘น สนฺถวสฺมา ปรมตฺถิ เสโยฺย, โย สนฺถโว สปฺปุริเสน โหติ;
‘‘Na santhavasmā paramatthi seyyo, yo santhavo sappurisena hoti;
สีหสฺส พฺยคฺฆสฺส จ ทีปิโน จ, สามา มุขํ เลหติ สนฺถเวนา’’ติฯ
Sīhassa byagghassa ca dīpino ca, sāmā mukhaṃ lehati santhavenā’’ti.
ตตฺถ สามา มุขํ เลหติ สนฺถเวนาติ สามา นาม มิคี อิเมสํ ติณฺณํ ชนานํ สนฺถเวน สิเนเหน มุขํ เลหตีติฯ
Tattha sāmā mukhaṃ lehati santhavenāti sāmā nāma migī imesaṃ tiṇṇaṃ janānaṃ santhavena sinehena mukhaṃ lehatīti.
เอวํ วตฺวา โพธิสโตฺต อโนฺตหิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา อภิญฺญา จ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา ชีวิตปริโยสาเน พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ
Evaṃ vatvā bodhisatto antohimavantaṃ pavisitvā isipabbajjaṃ pabbajitvā abhiññā ca samāpattiyo ca nibbattetvā jīvitapariyosāne brahmalokūpago ahosi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘เตน สมเยน ตาปโส อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tena samayena tāpaso ahameva ahosi’’nti.
สนฺถวชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ
Santhavajātakavaṇṇanā dutiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๖๒. สนฺถวชาตกํ • 162. Santhavajātakaṃ