Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๘๓] ๑๐. สรภมิคชาตกวณฺณนา
[483] 10. Sarabhamigajātakavaṇṇanā
อาสีเสเถว ปุริโสติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อตฺตนา สํขิเตฺตน ปุจฺฉิตปญฺหสฺส ธมฺมเสนาปติโน วิตฺถาเรน พฺยากรณํ อารพฺภ กเถสิฯ กทา ปน สตฺถา เถรํ สํขิเตฺตน ปญฺหํ ปุจฺฉีติ? เทโวโรหเนฯ ตตฺรายํ สเงฺขปโต อนุปุพฺพิกถาฯ ราชคหเสฎฺฐิโน หิ สนฺตเก จนฺทนปเตฺต อายสฺมตา ปิโณฺฑลภารทฺวาเชน อิทฺธิยา คหิเต สตฺถา ภิกฺขูนํ อิทฺธิปาฎิหาริยกรณํ ปฎิกฺขิปิฯ ตทา ติตฺถิยา ‘‘ปฎิกฺขิตฺตํ สมเณน โคตเมน อิทฺธิปาฎิหาริยกรณํ, อิทานิ สยมฺปิ น กริสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา มงฺกุภูเตหิ อตฺตโน สาวเกหิ ‘‘กิํ, ภเนฺต, อิทฺธิยา ปตฺตํ น คณฺหถา’’ติ วุจฺจมานา ‘‘เนตํ อาวุโส, อมฺหากํ ทุกฺกรํ, ฉวสฺส ปน ทารุปตฺตสฺสตฺถาย อตฺตโน สณฺหสุขุมคุณํ โก คิหีนํ ปกาเสสฺสตีติ น คณฺหิมฺห, สมณา ปน สกฺยปุตฺติยา โลลตาย อิทฺธิํ ทเสฺสตฺวา คณฺหิํสุฯ มา ‘อมฺหากํ อิทฺธิกรณํ ภาโร’ติ จินฺตยิตฺถ, มยญฺหิ ติฎฺฐนฺตุ สมณสฺส โคตมสฺส สาวกา, อากงฺขมานา ปน สมเณน โคตเมน สทฺธิํ อิทฺธิํ ทเสฺสสฺสาม, สเจ หิ สมโณ โคตโม เอกํ ปาฎิหาริยํ กริสฺสติ, มยํ ทฺวิคุณํ กริสฺสามา’’ติ กถยิํสุฯ
Āsīsetheva purisoti idaṃ satthā jetavane viharanto attanā saṃkhittena pucchitapañhassa dhammasenāpatino vitthārena byākaraṇaṃ ārabbha kathesi. Kadā pana satthā theraṃ saṃkhittena pañhaṃ pucchīti? Devorohane. Tatrāyaṃ saṅkhepato anupubbikathā. Rājagahaseṭṭhino hi santake candanapatte āyasmatā piṇḍolabhāradvājena iddhiyā gahite satthā bhikkhūnaṃ iddhipāṭihāriyakaraṇaṃ paṭikkhipi. Tadā titthiyā ‘‘paṭikkhittaṃ samaṇena gotamena iddhipāṭihāriyakaraṇaṃ, idāni sayampi na karissatī’’ti cintetvā maṅkubhūtehi attano sāvakehi ‘‘kiṃ, bhante, iddhiyā pattaṃ na gaṇhathā’’ti vuccamānā ‘‘netaṃ āvuso, amhākaṃ dukkaraṃ, chavassa pana dārupattassatthāya attano saṇhasukhumaguṇaṃ ko gihīnaṃ pakāsessatīti na gaṇhimha, samaṇā pana sakyaputtiyā lolatāya iddhiṃ dassetvā gaṇhiṃsu. Mā ‘amhākaṃ iddhikaraṇaṃ bhāro’ti cintayittha, mayañhi tiṭṭhantu samaṇassa gotamassa sāvakā, ākaṅkhamānā pana samaṇena gotamena saddhiṃ iddhiṃ dassessāma, sace hi samaṇo gotamo ekaṃ pāṭihāriyaṃ karissati, mayaṃ dviguṇaṃ karissāmā’’ti kathayiṃsu.
ตํ สุตฺวา ภิกฺขู ภควโต อาโรเจสุํ ‘‘ภเนฺต, ติตฺถิยา กิร ปาฎิหาริยํ กริสฺสนฺตี’’ติฯ สตฺถา ‘‘ภิกฺขเว, กโรนฺตุ, อหมฺปิ กริสฺสามี’’ติ อาหฯ ตํ สุตฺวา พิมฺพิสาโร อาคนฺตฺวา ภควนฺตํ ปุจฺฉิ ‘‘ภเนฺต, ปาฎิหาริยํ กิร กริสฺสถา’’ติ? ‘‘อาม, มหาราชา’’ติฯ ‘‘นนุ, ภเนฺต, สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺต’’นฺติฯ ‘‘มหาราช, ตํ มยา สาวกานํ ปญฺญตฺตํ, พุทฺธานํ ปน สิกฺขาปทํ นาม นตฺถิฯ ‘‘ยถา หิ, มหาราช, ตว อุยฺยาเน ปุปฺผผลํ อเญฺญสํ วาริตํ, น ตว, เอวํสมฺปทมิทํ ทฎฺฐพฺพ’’นฺติฯ ‘‘กตฺถ ปน, ภเนฺต, ปาฎิหาริยํ กริสฺสถา’’ติ? ‘‘สาวตฺถินครทฺวาเร กณฺฑมฺพรุกฺขมูเล’’ติฯ ‘‘อเมฺหหิ ตตฺถ กิํ กตฺตพฺพ’’นฺติ? ‘‘นตฺถิ กิญฺจิ มหาราชา’’ติฯ ปุนทิวเส สตฺถา กตภตฺตกิโจฺจ จาริกํ ปกฺกามิฯ มนุสฺสา ‘‘กุหิํ, ภเนฺต, สตฺถา คจฺฉตี’’ติ ปุจฺฉนฺติฯ ‘‘สาวตฺถินครทฺวาเร กณฺฑมฺพรุกฺขมูเล ติตฺถิยมทฺทนํ ยมกปาฎิหาริยํ กาตุ’’นฺติ เตสํ ภิกฺขู กถยนฺติฯ มหาชโน ‘‘อจฺฉริยรูปํ กิร ปาฎิหาริยํ ภวิสฺสติ, ปสฺสิสฺสาม น’’นฺติ ฆรทฺวารานิ ฉเฑฺฑตฺวา สตฺถารา สทฺธิํเยว อคมาสิฯ
Taṃ sutvā bhikkhū bhagavato ārocesuṃ ‘‘bhante, titthiyā kira pāṭihāriyaṃ karissantī’’ti. Satthā ‘‘bhikkhave, karontu, ahampi karissāmī’’ti āha. Taṃ sutvā bimbisāro āgantvā bhagavantaṃ pucchi ‘‘bhante, pāṭihāriyaṃ kira karissathā’’ti? ‘‘Āma, mahārājā’’ti. ‘‘Nanu, bhante, sikkhāpadaṃ paññatta’’nti. ‘‘Mahārāja, taṃ mayā sāvakānaṃ paññattaṃ, buddhānaṃ pana sikkhāpadaṃ nāma natthi. ‘‘Yathā hi, mahārāja, tava uyyāne pupphaphalaṃ aññesaṃ vāritaṃ, na tava, evaṃsampadamidaṃ daṭṭhabba’’nti. ‘‘Kattha pana, bhante, pāṭihāriyaṃ karissathā’’ti? ‘‘Sāvatthinagaradvāre kaṇḍambarukkhamūle’’ti. ‘‘Amhehi tattha kiṃ kattabba’’nti? ‘‘Natthi kiñci mahārājā’’ti. Punadivase satthā katabhattakicco cārikaṃ pakkāmi. Manussā ‘‘kuhiṃ, bhante, satthā gacchatī’’ti pucchanti. ‘‘Sāvatthinagaradvāre kaṇḍambarukkhamūle titthiyamaddanaṃ yamakapāṭihāriyaṃ kātu’’nti tesaṃ bhikkhū kathayanti. Mahājano ‘‘acchariyarūpaṃ kira pāṭihāriyaṃ bhavissati, passissāma na’’nti gharadvārāni chaḍḍetvā satthārā saddhiṃyeva agamāsi.
อญฺญติตฺถิยา ‘‘มยมฺปิ สมณสฺส โคตมสฺส ปาฎิหาริยกรณฎฺฐาเน ปาฎิหาริยํ กริสฺสามา’’ติ อุปฎฺฐาเกหิ สทฺธิํ สตฺถารเมว อนุพนฺธิํสุฯ สตฺถา อนุปุเพฺพน สาวตฺถิํ คนฺตฺวา รญฺญา ‘‘ปาฎิหาริยํ กิร, ภเนฺต, กริสฺสถา’’ติ ปุจฺฉิโต ‘‘กริสฺสามี’’ติ วตฺวา ‘‘กทา, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘อิโต สตฺตเม ทิวเส อาสาฬฺหิปุณฺณมาสิย’’นฺติ อาหฯ ‘‘มณฺฑปํ กโรมิ ภเนฺต’’ติ? ‘‘อลํ มหาราช, มม ปาฎิหาริยกรณฎฺฐาเน สโกฺก เทวราชา ทฺวาทสโยชนิกํ รตนมณฺฑปํ กริสฺสตี’’ติฯ ‘‘เอตํ การณํ นคเร อุโคฺฆสาเปมิ, ภเนฺต’’ติ? ‘‘อุโคฺฆสาเปหิ มหาราชา’’ติฯ ราชา ธมฺมโฆสกํ อลงฺกตหตฺถิปิฎฺฐิํ อาโรเปตฺวา ‘‘ภควา กิร สาวตฺถินครทฺวาเร กณฺฑมฺพรุกฺขมูเล ติตฺถิยมทฺทนํ ปาฎิหาริยํ กริสฺสติ อิโต สตฺตเม ทิวเส’’ติ ยาว ฉฎฺฐทิวสา เทวสิกํ โฆสนํ กาเรสิฯ ติตฺถิยา ‘‘กณฺฑมฺพรุกฺขมูเล กิร กริสฺสตี’’ติ สามิกานํ ธนํ ทตฺวา สาวตฺถิสามเนฺต อมฺพรุเกฺข ฉินฺทาปยิํสุฯ ธมฺมโฆสโก ปุณฺณมีทิวเส ปาโตว ‘‘อชฺช, ภควโต ปาฎิหาริยํ ภวิสฺสตี’’ติ อุโคฺฆเสสิฯ เทวตานุภาเวน สกลชมฺพุทีเป ทฺวาเร ฐตฺวา อุโคฺฆสิตํ วิย อโหสิฯ เย เย คนฺตุํ จิตฺตํ อุปฺปาเทนฺติ, เต เต สาวตฺถิํ ปตฺตเมว อตฺตานํ ปสฺสิํสุ, ทฺวาทสโยชนิกา ปริสา อโหสิฯ
Aññatitthiyā ‘‘mayampi samaṇassa gotamassa pāṭihāriyakaraṇaṭṭhāne pāṭihāriyaṃ karissāmā’’ti upaṭṭhākehi saddhiṃ satthārameva anubandhiṃsu. Satthā anupubbena sāvatthiṃ gantvā raññā ‘‘pāṭihāriyaṃ kira, bhante, karissathā’’ti pucchito ‘‘karissāmī’’ti vatvā ‘‘kadā, bhante’’ti vutte ‘‘ito sattame divase āsāḷhipuṇṇamāsiya’’nti āha. ‘‘Maṇḍapaṃ karomi bhante’’ti? ‘‘Alaṃ mahārāja, mama pāṭihāriyakaraṇaṭṭhāne sakko devarājā dvādasayojanikaṃ ratanamaṇḍapaṃ karissatī’’ti. ‘‘Etaṃ kāraṇaṃ nagare ugghosāpemi, bhante’’ti? ‘‘Ugghosāpehi mahārājā’’ti. Rājā dhammaghosakaṃ alaṅkatahatthipiṭṭhiṃ āropetvā ‘‘bhagavā kira sāvatthinagaradvāre kaṇḍambarukkhamūle titthiyamaddanaṃ pāṭihāriyaṃ karissati ito sattame divase’’ti yāva chaṭṭhadivasā devasikaṃ ghosanaṃ kāresi. Titthiyā ‘‘kaṇḍambarukkhamūle kira karissatī’’ti sāmikānaṃ dhanaṃ datvā sāvatthisāmante ambarukkhe chindāpayiṃsu. Dhammaghosako puṇṇamīdivase pātova ‘‘ajja, bhagavato pāṭihāriyaṃ bhavissatī’’ti ugghosesi. Devatānubhāvena sakalajambudīpe dvāre ṭhatvā ugghositaṃ viya ahosi. Ye ye gantuṃ cittaṃ uppādenti, te te sāvatthiṃ pattameva attānaṃ passiṃsu, dvādasayojanikā parisā ahosi.
สตฺถา ปาโตว สาวตฺถิํ ปิณฺฑาย ปวิสิตุํ นิกฺขมิฯ กโณฺฑ นาม อุยฺยานปาโล ปิณฺฑิปกฺกเมว กุมฺภปมาณํ มหนฺตํ อมฺพปกฺกํ รโญฺญ หรโนฺต สตฺถารํ นครทฺวาเร ทิสฺวา ‘‘อิทํ ตถาคตเสฺสว อนุจฺฉวิก’’นฺติ อทาสิฯ สตฺถา ปฎิคฺคเหตฺวา ตเตฺถว เอกมนฺตํ นิสิโนฺน ปริภุญฺชิตฺวา ‘‘อานนฺท, อิมํ อมฺพฎฺฐิํ อุยฺยานปาลกสฺส อิมสฺมิํ ฐาเน โรปนตฺถาย เทหิ, เอส กณฺฑโมฺพ นาม ภวิสฺสตี’’ติ อาหฯ เถโร ตถา อกาสิฯ อุยฺยานปาโล ปํสุํ วิยูหิตฺวา โรเปสิฯ ตงฺขณเญฺญว อฎฺฐิํ ภินฺทิตฺวา มูลานิ โอตริํสุ, นงฺคลสีสปมาโณ รตฺตงฺกุโร อุฎฺฐหิ, มหาชนสฺส โอโลเกนฺตเสฺสว ปณฺณาสหตฺถกฺขโนฺธ ปณฺณาสหตฺถสาโข อุเพฺพธโต จ หตฺถสติโก อมฺพรุโกฺข สมฺปชฺชิ, ตาวเทวสฺส ปุปฺผานิ จ ผลานิ จ อุฎฺฐหิํสุฯ โส มธุกรปริวุโต สุวณฺณวณฺณผลภริโต นภํ ปูเรตฺวา อฎฺฐาสิ, วาตปฺปหรณกาเล มธุรปกฺกานิ ปติํสุฯ ปจฺฉา อาคจฺฉนฺตา ภิกฺขู ปริภุญฺชิตฺวาว อาคมิํสุฯ
Satthā pātova sāvatthiṃ piṇḍāya pavisituṃ nikkhami. Kaṇḍo nāma uyyānapālo piṇḍipakkameva kumbhapamāṇaṃ mahantaṃ ambapakkaṃ rañño haranto satthāraṃ nagaradvāre disvā ‘‘idaṃ tathāgatasseva anucchavika’’nti adāsi. Satthā paṭiggahetvā tattheva ekamantaṃ nisinno paribhuñjitvā ‘‘ānanda, imaṃ ambaṭṭhiṃ uyyānapālakassa imasmiṃ ṭhāne ropanatthāya dehi, esa kaṇḍambo nāma bhavissatī’’ti āha. Thero tathā akāsi. Uyyānapālo paṃsuṃ viyūhitvā ropesi. Taṅkhaṇaññeva aṭṭhiṃ bhinditvā mūlāni otariṃsu, naṅgalasīsapamāṇo rattaṅkuro uṭṭhahi, mahājanassa olokentasseva paṇṇāsahatthakkhandho paṇṇāsahatthasākho ubbedhato ca hatthasatiko ambarukkho sampajji, tāvadevassa pupphāni ca phalāni ca uṭṭhahiṃsu. So madhukaraparivuto suvaṇṇavaṇṇaphalabharito nabhaṃ pūretvā aṭṭhāsi, vātappaharaṇakāle madhurapakkāni patiṃsu. Pacchā āgacchantā bhikkhū paribhuñjitvāva āgamiṃsu.
สายนฺหสมเย สโกฺก เทวราชา อาวเชฺชโนฺต ‘‘สตฺถุ รตนมณฺฑปกรณํ อมฺหากํ ภาโร’’ติ ญตฺวา วิสฺสกมฺมเทวปุตฺตํ เปเสตฺวา ทฺวาทสโยชนิกํ นีลุปฺปลสญฺฉนฺนํ สตฺตรตนมณฺฑปํ กาเรสิฯ เอวํ ทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตา สนฺนิปติํสุฯ สตฺถา ติตฺถิยมทฺทนํ อสาธารณํ สาวเกหิ ยมกปาฎิหาริยํ กตฺวา พหุชนสฺส ปสนฺนภาวํ ญตฺวา โอรุยฺห พุทฺธาสเน นิสิโนฺน ธมฺมํ เทเสสิฯ วีสติ ปาณโกฎิโย อมตปานํ ปิวิํสุฯ ตโต ‘‘ปุริมพุทฺธา ปน ปาฎิหาริยํ กตฺวา กตฺถ คจฺฉนฺตี’’ติ อาวเชฺชโนฺต ‘‘ตาวติํสภวน’’นฺติ ญตฺวา พุทฺธาสนา อุฎฺฐาย ทกฺขิณปาทํ ยุคนฺธรมุทฺธนิ ฐเปตฺวา วามปาเทน สิเนรุมตฺถกํ อกฺกมิตฺวา ปาริจฺฉตฺตกมูเล ปณฺฑุกมฺพลสิลายํ วสฺสํ อุปคนฺตฺวา อโนฺตเตมาสํ เทวานํ อภิธมฺมปิฎกํ กเถสิฯ ปริสา สตฺถุ คตฎฺฐานํ อชานนฺตี ‘‘ทิสฺวาว คมิสฺสามา’’ติ ตเตฺถว เตมาสํ วสิฯ อุปกฎฺฐาย ปวารณาย มหาโมคฺคลฺลานเตฺถโร คนฺตฺวา ภควโต อาโรเจสิฯ อถ นํ สตฺถา ปุจฺฉิ ‘‘กหํ ปน เอตรหิ สาริปุโตฺต’’ติ? ‘‘เอโส, ภเนฺต, ปาฎิหาริเย ปสีทิตฺวา ปพฺพชิเตหิ ปญฺจหิ ภิกฺขุสเตหิ สทฺธิํ สงฺกสฺสนครทฺวาเร วสี’’ติฯ ‘‘โมคฺคลฺลาน, อหํ อิโต สตฺตเม ทิวเส สงฺกสฺสนครทฺวาเร โอตริสฺสามิ, ตถาคตํ ทฎฺฐุกามา สงฺกสฺสนคเร เอกโต สนฺนิปตนฺตู’’ติฯ เถโร ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา อาคนฺตฺวา ปริสาย อาโรเจตฺวา สกลปริสํ สาวตฺถิโต ติํสโยชนํ สงฺกสฺสนครํ เอกมุหุเตฺตเนว ปาเปสิฯ
Sāyanhasamaye sakko devarājā āvajjento ‘‘satthu ratanamaṇḍapakaraṇaṃ amhākaṃ bhāro’’ti ñatvā vissakammadevaputtaṃ pesetvā dvādasayojanikaṃ nīluppalasañchannaṃ sattaratanamaṇḍapaṃ kāresi. Evaṃ dasasahassacakkavāḷadevatā sannipatiṃsu. Satthā titthiyamaddanaṃ asādhāraṇaṃ sāvakehi yamakapāṭihāriyaṃ katvā bahujanassa pasannabhāvaṃ ñatvā oruyha buddhāsane nisinno dhammaṃ desesi. Vīsati pāṇakoṭiyo amatapānaṃ piviṃsu. Tato ‘‘purimabuddhā pana pāṭihāriyaṃ katvā kattha gacchantī’’ti āvajjento ‘‘tāvatiṃsabhavana’’nti ñatvā buddhāsanā uṭṭhāya dakkhiṇapādaṃ yugandharamuddhani ṭhapetvā vāmapādena sinerumatthakaṃ akkamitvā pāricchattakamūle paṇḍukambalasilāyaṃ vassaṃ upagantvā antotemāsaṃ devānaṃ abhidhammapiṭakaṃ kathesi. Parisā satthu gataṭṭhānaṃ ajānantī ‘‘disvāva gamissāmā’’ti tattheva temāsaṃ vasi. Upakaṭṭhāya pavāraṇāya mahāmoggallānatthero gantvā bhagavato ārocesi. Atha naṃ satthā pucchi ‘‘kahaṃ pana etarahi sāriputto’’ti? ‘‘Eso, bhante, pāṭihāriye pasīditvā pabbajitehi pañcahi bhikkhusatehi saddhiṃ saṅkassanagaradvāre vasī’’ti. ‘‘Moggallāna, ahaṃ ito sattame divase saṅkassanagaradvāre otarissāmi, tathāgataṃ daṭṭhukāmā saṅkassanagare ekato sannipatantū’’ti. Thero ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā āgantvā parisāya ārocetvā sakalaparisaṃ sāvatthito tiṃsayojanaṃ saṅkassanagaraṃ ekamuhutteneva pāpesi.
สตฺถา วุตฺถวโสฺส ปวาเรตฺวา ‘‘มหาราช, มนุสฺสโลกํ คมิสฺสามี’’ติ สกฺกสฺส อาโรเจสิฯ สโกฺก วิสฺสกมฺมํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ทสพลสฺส มนุสฺสโลกคมนตฺถาย ตีณิ โสปานานิ กโรหี’’ติ อาหฯ โส สิเนรุมตฺถเก โสปานสีสํ สงฺกสฺสนครทฺวาเร ธุรโสปานํ กตฺวา มเชฺฌ มณิมยํ, เอกสฺมิํ ปเสฺส รชตมยํ, เอกสฺมิํ ปเสฺส สุวณฺณมยนฺติ ตีณิ โสปานานิ มาเปสิ, สตฺตรตนมยา เวทิกาปริเกฺขปาฯ สตฺถา โลกวิวรณํ ปาฎิหาริยํ กตฺวา มเชฺฌ มณิมเยน โสปาเนน โอตริฯ สโกฺก ปตฺตจีวรํ อคฺคเหสิ, สุยาโม วาลพีชนิํ, สหมฺปติ มหาพฺรหฺมา ฉตฺตํ ธาเรสิ, ทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตา ทิพฺพคนฺธมาลาทีหิ ปูชยิํสุฯ สตฺถารํ ธุรโสปาเน ปติฎฺฐิตํ ปฐมเมว สาริปุตฺตเตฺถโร วนฺทิ, ปจฺฉา เสสปริสาฯ ตสฺมิํ สมาคเม สตฺถา จิเนฺตสิ ‘‘โมคฺคลฺลาโน ‘‘อิทฺธิมา’ติ ปากโฎ, อุปาลิ ‘วินยธโร’ติฯ สาริปุตฺตสฺส ปน มหาปญฺญคุโณ อปากโฎ, ฐเปตฺวา มํ อโญฺญ เอเตน สทิโส สมปโญฺญ นาม นตฺถิ, ปญฺญาคุณมสฺส ปากฎํ กริสฺสามี’’ติ ปฐมํ ตาว ปุถุชฺชนานํ วิสเย ปญฺหํ ปุจฺฉิ, ตํ ปุถุชฺชนาว กถยิํสุ ตโต โสตาปนฺนานํ วิสเย ปญฺหํ ปุจฺฉิ, ตมฺปิ โสตาปนฺนาว กถยิํสุ, ปุถุชฺชนา น ชานิํสุฯ เอวํ สกทาคามิวิสเย อนาคามิวิสเย ขีณาสววิสเย มหาสาวกวิสเย จ ปญฺหํ ปุจฺฉิ, ตมฺปิ เหฎฺฐิมา เหฎฺฐิมา น ชานิํสุ, อุปริมา อุปริมาว กถยิํสุฯ อคฺคสาวกวิสเย ปุฎฺฐปญฺหมฺปิ อคฺคสาวกาว กถยิํสุ, อเญฺญ น ชานิํสุฯ ตโต สาริปุตฺตเตฺถรสฺส วิสเย ปญฺหํ ปุจฺฉิ, ตํ เถโรว กเถสิ, อเญฺญ น ชานิํสุฯ
Satthā vutthavasso pavāretvā ‘‘mahārāja, manussalokaṃ gamissāmī’’ti sakkassa ārocesi. Sakko vissakammaṃ āmantetvā ‘‘dasabalassa manussalokagamanatthāya tīṇi sopānāni karohī’’ti āha. So sinerumatthake sopānasīsaṃ saṅkassanagaradvāre dhurasopānaṃ katvā majjhe maṇimayaṃ, ekasmiṃ passe rajatamayaṃ, ekasmiṃ passe suvaṇṇamayanti tīṇi sopānāni māpesi, sattaratanamayā vedikāparikkhepā. Satthā lokavivaraṇaṃ pāṭihāriyaṃ katvā majjhe maṇimayena sopānena otari. Sakko pattacīvaraṃ aggahesi, suyāmo vālabījaniṃ, sahampati mahābrahmā chattaṃ dhāresi, dasasahassacakkavāḷadevatā dibbagandhamālādīhi pūjayiṃsu. Satthāraṃ dhurasopāne patiṭṭhitaṃ paṭhamameva sāriputtatthero vandi, pacchā sesaparisā. Tasmiṃ samāgame satthā cintesi ‘‘moggallāno ‘‘iddhimā’ti pākaṭo, upāli ‘vinayadharo’ti. Sāriputtassa pana mahāpaññaguṇo apākaṭo, ṭhapetvā maṃ añño etena sadiso samapañño nāma natthi, paññāguṇamassa pākaṭaṃ karissāmī’’ti paṭhamaṃ tāva puthujjanānaṃ visaye pañhaṃ pucchi, taṃ puthujjanāva kathayiṃsu tato sotāpannānaṃ visaye pañhaṃ pucchi, tampi sotāpannāva kathayiṃsu, puthujjanā na jāniṃsu. Evaṃ sakadāgāmivisaye anāgāmivisaye khīṇāsavavisaye mahāsāvakavisaye ca pañhaṃ pucchi, tampi heṭṭhimā heṭṭhimā na jāniṃsu, uparimā uparimāva kathayiṃsu. Aggasāvakavisaye puṭṭhapañhampi aggasāvakāva kathayiṃsu, aññe na jāniṃsu. Tato sāriputtattherassa visaye pañhaṃ pucchi, taṃ therova kathesi, aññe na jāniṃsu.
มนุสฺสา ‘‘โก นาม เอส เถโร สตฺถารา สทฺธิํ กเถสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘ธมฺมเสนาปติ สาริปุตฺตเตฺถโร นามา’’ติ สุตฺวา ‘‘อโห มหาปโญฺญ’’ติ วทิํสุฯ ตโต ปฎฺฐาย เทวมนุสฺสานํ อนฺตเร เถรสฺส มหาปญฺญคุโณ ปากโฎ ชาโตฯ อถ นํ สตฺถา –
Manussā ‘‘ko nāma esa thero satthārā saddhiṃ kathesī’’ti pucchitvā ‘‘dhammasenāpati sāriputtatthero nāmā’’ti sutvā ‘‘aho mahāpañño’’ti vadiṃsu. Tato paṭṭhāya devamanussānaṃ antare therassa mahāpaññaguṇo pākaṭo jāto. Atha naṃ satthā –
‘‘เย จ สงฺขาตธมฺมาเส, เย จ เสขา ปุถู อิธ;
‘‘Ye ca saṅkhātadhammāse, ye ca sekhā puthū idha;
เตสํ เม นิปโก อิริยํ, ปุโฎฺฐ ปพฺรูหิ มาริสา’’ติฯ (สุ. นิ. ๑๐๔๔; จูฬนิ. อชิตมาณวปุจฺฉา ๖๓; เนตฺติ. ๑๔) –
Tesaṃ me nipako iriyaṃ, puṭṭho pabrūhi mārisā’’ti. (su. ni. 1044; cūḷani. ajitamāṇavapucchā 63; netti. 14) –
พุทฺธวิสเย ปญฺหํ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมสฺส นุ โข สาริปุตฺต, สํขิเตฺตน ภาสิตสฺส กถํ วิตฺถาเรน อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ’’ติ อาหฯ เถโร ปญฺหํ โอโลเกตฺวา ‘‘สตฺถา มํ เสขาเสขานํ ภิกฺขูนํ อาคมนปฎิปทํ ปุจฺฉตี’’ติ ปเญฺห นิกฺกโงฺข หุตฺวา ‘‘อาคมนปฎิปทา นาม ขนฺธาทิวเสน พหูหิ มุเขหิ สกฺกา กเถตุํ, กตํ นุ โข กเถโนฺต สตฺถุ อชฺฌาสยํ คณฺหิตุํ สกฺขิสฺสามี’’ติ อชฺฌาสเย กงฺขิฯ สตฺถา ‘‘สาริปุโตฺต ปเญฺห นิกฺกโงฺข, อชฺฌาสเย ปน เม กงฺขติ, มยา นเย อทิเนฺน กเถตุํ น สกฺขิสฺสติ, นยมสฺส ทสฺสามี’’ติ นยํ ททโนฺต ‘‘ภูตมิทํ สาริปุตฺต สมนุปสฺสา’’ติ อาหฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ ‘‘สาริปุโตฺต มม อชฺฌาสยํ คเหตฺวา กเถโนฺต ขนฺธวเสน กเถสฺสตี’’ติฯ เถรสฺส สห นยทาเนน โส ปโญฺห นยสเตน นยสหเสฺสน อุปฎฺฐาสิฯ โส สตฺถารา ทินฺนนเย ฐตฺวา พุทฺธวิสเย ปญฺหํ กเถสิฯ
Buddhavisaye pañhaṃ pucchitvā ‘‘imassa nu kho sāriputta, saṃkhittena bhāsitassa kathaṃ vitthārena attho daṭṭhabbo’’ti āha. Thero pañhaṃ oloketvā ‘‘satthā maṃ sekhāsekhānaṃ bhikkhūnaṃ āgamanapaṭipadaṃ pucchatī’’ti pañhe nikkaṅkho hutvā ‘‘āgamanapaṭipadā nāma khandhādivasena bahūhi mukhehi sakkā kathetuṃ, kataṃ nu kho kathento satthu ajjhāsayaṃ gaṇhituṃ sakkhissāmī’’ti ajjhāsaye kaṅkhi. Satthā ‘‘sāriputto pañhe nikkaṅkho, ajjhāsaye pana me kaṅkhati, mayā naye adinne kathetuṃ na sakkhissati, nayamassa dassāmī’’ti nayaṃ dadanto ‘‘bhūtamidaṃ sāriputta samanupassā’’ti āha. Evaṃ kirassa ahosi ‘‘sāriputto mama ajjhāsayaṃ gahetvā kathento khandhavasena kathessatī’’ti. Therassa saha nayadānena so pañho nayasatena nayasahassena upaṭṭhāsi. So satthārā dinnanaye ṭhatvā buddhavisaye pañhaṃ kathesi.
สตฺถา ทฺวาทสโยชนิกาย ปริสาย ธมฺมํ เทเสสิฯ ติํส ปาณโกฎิโย อมตปานํ ปิวิํสุฯ สตฺถา ปริสํ อุโยฺยเชตฺวา จาริกํ จรโนฺต อนุปุเพฺพน สาวตฺถิํ คนฺตฺวา ปุนทิวเส สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต ภิกฺขูหิ วเตฺต ทสฺสิเต คนฺธกุฎิํ ปาวิสิฯ สายนฺหสมเย ภิกฺขู เถรสฺส คุณกถํ กเถนฺตา ธมฺมสภายํ นิสีทิํสุ ‘‘มหาปโญฺญ, อาวุโส, สาริปุโตฺต ปุถุปโญฺญ ชวนปโญฺญ ติกฺขปโญฺญ นิเพฺพธิกปโญฺญ ทสพเลน สํขิเตฺตน ปุจฺฉิตปญฺหํ วิตฺถาเรน กเถสี’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ เอส สํขิเตฺตน ภาสิตสฺส วิตฺถาเรน อตฺถํ กเถสิเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Satthā dvādasayojanikāya parisāya dhammaṃ desesi. Tiṃsa pāṇakoṭiyo amatapānaṃ piviṃsu. Satthā parisaṃ uyyojetvā cārikaṃ caranto anupubbena sāvatthiṃ gantvā punadivase sāvatthiyaṃ piṇḍāya caritvā piṇḍapātapaṭikkanto bhikkhūhi vatte dassite gandhakuṭiṃ pāvisi. Sāyanhasamaye bhikkhū therassa guṇakathaṃ kathentā dhammasabhāyaṃ nisīdiṃsu ‘‘mahāpañño, āvuso, sāriputto puthupañño javanapañño tikkhapañño nibbedhikapañño dasabalena saṃkhittena pucchitapañhaṃ vitthārena kathesī’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi esa saṃkhittena bhāsitassa vitthārena atthaṃ kathesiyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต สรภมิคโยนิยํ นิพฺพตฺติตฺวา อรเญฺญ วสติฯ ราชา มิควิตฺตโก อโหสิ ถามสมฺปโนฺน, อญฺญํ มนุสฺสํ ‘‘มนุโสฺส’’ติปิ น คเณติฯ โส เอกทิวสํ มิควํ คนฺตฺวา อมเจฺจ อาห – ‘‘ยสฺส ปเสฺสน มิโค ปลายติ, เตน โส ทโณฺฑ ทาตโพฺพ’’ติฯ เต จินฺตยิํสุ ‘‘กทาจิ เวมเชฺฌ ฐิตมิคํ วิชฺฌนฺติ, กทาจิ อุฎฺฐิตํ, กทาจิ ปลายนฺตมฺปิ, อชฺช ปน เยน เกนจิ อุปาเยน รโญฺญ ฐิตฎฺฐานเญฺญว อาโรเปสฺสามา’’ติฯ จิเนฺตตฺวา จ ปน กติกํ กตฺวา รโญฺญ ธุรมคฺคํ อทํสุฯ เต มหนฺตํ คุมฺพํ ปริกฺขิปิตฺวา มุคฺคราทีหิ ภูมิํ โปถยิํสุฯ ปฐมเมว สรภมิโค อุฎฺฐาย ติกฺขตฺตุํ คุพฺภํ อนุปริคนฺตฺวา ปลายโนกาสํ โอโลเกโนฺต เสสทิสาสุ มนุเสฺส พาหาย พาหํ ธนุนา ธนุํ อาหจฺจ นิรนฺตเร ฐิเต ทิสฺวา รโญฺญ ฐิตฎฺฐาเนเยว โอกาสํ อทฺทสฯ โส อุมฺมีลิเตสุ อกฺขีสุ วาลุกํ ขิปมาโน วิย ราชานํ อภิมุโข อคมาสิฯ ราชา ตํ ลหุสมฺปตฺตํ ทิสฺวา สรํ อุกฺขิปิตฺวา วิชฺฌิฯ สรภมิคา นาม สรํ วเญฺจตุํ เฉกา โหนฺติ, สเร อภิมุขํ อาคจฺฉเนฺต เวคํ หาเปตฺวา ติฎฺฐนฺติ, ปจฺฉโต อาคจฺฉเนฺต เวเคน ปุรโต ชวนฺติ, อุปริภาเคนาคจฺฉเนฺต ปิฎฺฐิํ นาเมนฺติ, ปเสฺสนาคจฺฉเนฺต โถกํ อปคจฺฉนฺติ, กุจฺฉิํ สนฺธายาคจฺฉเนฺต ปริวตฺติตฺวา ปตนฺติ, สเร อติกฺกเนฺต วาตจฺฉินฺนวลาหกเวเคน ปลายนฺติฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto sarabhamigayoniyaṃ nibbattitvā araññe vasati. Rājā migavittako ahosi thāmasampanno, aññaṃ manussaṃ ‘‘manusso’’tipi na gaṇeti. So ekadivasaṃ migavaṃ gantvā amacce āha – ‘‘yassa passena migo palāyati, tena so daṇḍo dātabbo’’ti. Te cintayiṃsu ‘‘kadāci vemajjhe ṭhitamigaṃ vijjhanti, kadāci uṭṭhitaṃ, kadāci palāyantampi, ajja pana yena kenaci upāyena rañño ṭhitaṭṭhānaññeva āropessāmā’’ti. Cintetvā ca pana katikaṃ katvā rañño dhuramaggaṃ adaṃsu. Te mahantaṃ gumbaṃ parikkhipitvā muggarādīhi bhūmiṃ pothayiṃsu. Paṭhamameva sarabhamigo uṭṭhāya tikkhattuṃ gubbhaṃ anuparigantvā palāyanokāsaṃ olokento sesadisāsu manusse bāhāya bāhaṃ dhanunā dhanuṃ āhacca nirantare ṭhite disvā rañño ṭhitaṭṭhāneyeva okāsaṃ addasa. So ummīlitesu akkhīsu vālukaṃ khipamāno viya rājānaṃ abhimukho agamāsi. Rājā taṃ lahusampattaṃ disvā saraṃ ukkhipitvā vijjhi. Sarabhamigā nāma saraṃ vañcetuṃ chekā honti, sare abhimukhaṃ āgacchante vegaṃ hāpetvā tiṭṭhanti, pacchato āgacchante vegena purato javanti, uparibhāgenāgacchante piṭṭhiṃ nāmenti, passenāgacchante thokaṃ apagacchanti, kucchiṃ sandhāyāgacchante parivattitvā patanti, sare atikkante vātacchinnavalāhakavegena palāyanti.
โสปิ ราชา ตสฺมิํ ปริวตฺติตฺวา ปติเต ‘‘สรภมิโค เม วิโทฺธ’’ติ นาทํ มุญฺจิฯ สรโภ อุฎฺฐาย วาตเวเคน ปลายิฯ พลมณฺฑลํ ภิชฺชิตฺวา อุโภสุ ปเสฺสสุ ฐิตอมจฺจา สรภํ ปลายมานํ ทิสฺวา เอกโต หุตฺวา ปุจฺฉิํสุ ‘‘มิโค กสฺส ฐิตฎฺฐานํ อภิรุหี’’ติ? ‘‘รโญฺญ ฐิตฎฺฐาน’’นฺติ ฯ ‘‘ราชา ‘วิโทฺธ เม’ติ วทติ, โกเนน วิโทฺธ, นิพฺพิรโชฺฌ โภ อมฺหากํ ราชา, ภูมิเนน วิทฺธา’’ติ เต นานปฺปกาเรน รญฺญา สทฺธิํ เกฬิํ กริํสุฯ ราชา จิเนฺตสิ ‘‘อิเม มํ ปริหสนฺติ, น มม ปมาณํ ชานนฺตี’’ติ คาฬฺหํ นิวาเสตฺวา ปตฺติโกว ขคฺคํ อาทาย ‘‘สรภํ คณฺหิสฺสามี’’ติ เวเคน ปกฺขนฺทิฯ อถ นํ ทิสฺวา ตีณิ โยชนานิ อนุพนฺธิฯ สรโภ อรญฺญํ ปาวิสิ, ราชาปิ ปาวิสิฯ ตตฺถ สรภมิคสฺส คมนมเคฺค สฎฺฐิหตฺถมโตฺต มหาปูติปาทนรกาวาโฎ อตฺถิ, โส ติํสหตฺถมตฺตํ อุทเกน ปุโณฺณ ติเณหิ จ ปฎิจฺฉโนฺนฯ สรโภ อุทกคนฺธํ ฆายิตฺวาว อาวาฎภาวํ ญตฺวา โถกํ โอสกฺกิตฺวา คโตฯ ราชา ปน อุชุกเมว คจฺฉโนฺต ตสฺมิํ ปติฯ
Sopi rājā tasmiṃ parivattitvā patite ‘‘sarabhamigo me viddho’’ti nādaṃ muñci. Sarabho uṭṭhāya vātavegena palāyi. Balamaṇḍalaṃ bhijjitvā ubhosu passesu ṭhitaamaccā sarabhaṃ palāyamānaṃ disvā ekato hutvā pucchiṃsu ‘‘migo kassa ṭhitaṭṭhānaṃ abhiruhī’’ti? ‘‘Rañño ṭhitaṭṭhāna’’nti . ‘‘Rājā ‘viddho me’ti vadati, konena viddho, nibbirajjho bho amhākaṃ rājā, bhūminena viddhā’’ti te nānappakārena raññā saddhiṃ keḷiṃ kariṃsu. Rājā cintesi ‘‘ime maṃ parihasanti, na mama pamāṇaṃ jānantī’’ti gāḷhaṃ nivāsetvā pattikova khaggaṃ ādāya ‘‘sarabhaṃ gaṇhissāmī’’ti vegena pakkhandi. Atha naṃ disvā tīṇi yojanāni anubandhi. Sarabho araññaṃ pāvisi, rājāpi pāvisi. Tattha sarabhamigassa gamanamagge saṭṭhihatthamatto mahāpūtipādanarakāvāṭo atthi, so tiṃsahatthamattaṃ udakena puṇṇo tiṇehi ca paṭicchanno. Sarabho udakagandhaṃ ghāyitvāva āvāṭabhāvaṃ ñatvā thokaṃ osakkitvā gato. Rājā pana ujukameva gacchanto tasmiṃ pati.
สรโภ ตสฺส ปทสทฺทํ อสุณโนฺต นิวตฺติตฺวา ตํ อปสฺสโนฺต ‘‘นรกาวาเฎ ปติโต ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา อาคนฺตฺวา โอโลเกโนฺต ตํ คมฺภีรอุทเก อปติฎฺฐํ กิลมนฺตํ ทิสฺวา เตน กตํ อปราธํ หทเย อกตฺวา สญฺชาตการุโญฺญ ‘‘มา มยิ ปสฺสเนฺตว ราชา นสฺสตุ, อิมมฺหา ทุกฺขา นํ โมเจสฺสามี’’ติ อาวาฎตีเร ฐิโต ‘‘มา ภายิ, มหาราช, มหนฺตา ทุกฺขา ตํ โมเจสฺสามี’’ติ วตฺวา อตฺตโน ปิยปุตฺตํ อุทฺธริตุํ อุสฺสาหํ กโรโนฺต วิย ตสฺสุทฺธรณตฺถาย สิลาย โยคฺคํ กตฺวาว ‘‘วิชฺฌิสฺสามี’’ติ อาคตํ ราชานํ สฎฺฐิหตฺถา นรกา อุทฺธริตฺวา อสฺสาเสตฺวา ปิฎฺฐิํ อาโรเปตฺวา อรญฺญา นีหริตฺวา เสนาย อวิทูเร โอตาเรตฺวา โอวาทมสฺส ทตฺวา ปญฺจสุ สีเลสุ ปติฎฺฐาเปสิฯ ราชา มหาสตฺตํ วินา วสิตุํ อสโกฺกโนฺต อาห ‘‘สามิ สรภมิคราช, มยา สทฺธิํ พาราณสิํ เอหิ, ทฺวาทสโยชนิกาย เต พาราณสิยํ รชฺชํ ทมฺมิ, ตํ กาเรหี’’ติฯ ‘‘มหาราช, มยํ ติรจฺฉานคตา, น เม รเชฺชนโตฺถ, สเจ เต มยิ สิเนโห อตฺถิ, มยา ทินฺนานิ สีลานิ รกฺขโนฺต รฎฺฐวาสิโนปิ สีลํ รกฺขาเปหี’’ติ ตํ โอวทิตฺวา อรญฺญเมว ปาวิสิฯ
Sarabho tassa padasaddaṃ asuṇanto nivattitvā taṃ apassanto ‘‘narakāvāṭe patito bhavissatī’’ti ñatvā āgantvā olokento taṃ gambhīraudake apatiṭṭhaṃ kilamantaṃ disvā tena kataṃ aparādhaṃ hadaye akatvā sañjātakāruñño ‘‘mā mayi passanteva rājā nassatu, imamhā dukkhā naṃ mocessāmī’’ti āvāṭatīre ṭhito ‘‘mā bhāyi, mahārāja, mahantā dukkhā taṃ mocessāmī’’ti vatvā attano piyaputtaṃ uddharituṃ ussāhaṃ karonto viya tassuddharaṇatthāya silāya yoggaṃ katvāva ‘‘vijjhissāmī’’ti āgataṃ rājānaṃ saṭṭhihatthā narakā uddharitvā assāsetvā piṭṭhiṃ āropetvā araññā nīharitvā senāya avidūre otāretvā ovādamassa datvā pañcasu sīlesu patiṭṭhāpesi. Rājā mahāsattaṃ vinā vasituṃ asakkonto āha ‘‘sāmi sarabhamigarāja, mayā saddhiṃ bārāṇasiṃ ehi, dvādasayojanikāya te bārāṇasiyaṃ rajjaṃ dammi, taṃ kārehī’’ti. ‘‘Mahārāja, mayaṃ tiracchānagatā, na me rajjenattho, sace te mayi sineho atthi, mayā dinnāni sīlāni rakkhanto raṭṭhavāsinopi sīlaṃ rakkhāpehī’’ti taṃ ovaditvā araññameva pāvisi.
โส อสฺสุปุเณฺณหิ เนเตฺตหิ ตสฺส คุณํ สรโนฺตว เสนํ ปาปุณิตฺวา เสนงฺคปริวุโต นครํ คนฺตฺวา ‘‘อิโต ปฎฺฐาย สกลนครวาสิโน ปญฺจ สีลานิ รกฺขนฺตู’’ติ ธมฺมเภริํ จราเปสิฯ มหาสเตฺตน ปน อตฺตโน กตคุณํ กสฺสจิ อกเถตฺวา สายเนฺห นานคฺครสโภชนํ ภุญฺชิตฺวา อลงฺกตสยเน สยิตฺวา ปจฺจูสกาเล มหาสตฺตสฺส คุณํ สริตฺวา อุฎฺฐาย สยนปิเฎฺฐ ปลฺลเงฺกน นิสีทิตฺวา ปีติปุเณฺณน หทเยน ฉหิ คาถาหิ อุทาเนสิ –
So assupuṇṇehi nettehi tassa guṇaṃ sarantova senaṃ pāpuṇitvā senaṅgaparivuto nagaraṃ gantvā ‘‘ito paṭṭhāya sakalanagaravāsino pañca sīlāni rakkhantū’’ti dhammabheriṃ carāpesi. Mahāsattena pana attano kataguṇaṃ kassaci akathetvā sāyanhe nānaggarasabhojanaṃ bhuñjitvā alaṅkatasayane sayitvā paccūsakāle mahāsattassa guṇaṃ saritvā uṭṭhāya sayanapiṭṭhe pallaṅkena nisīditvā pītipuṇṇena hadayena chahi gāthāhi udānesi –
๑๓๔.
134.
‘‘อาสีเสเถว ปุริโส, น นิพฺพิเนฺทยฺย ปณฺฑิโต;
‘‘Āsīsetheva puriso, na nibbindeyya paṇḍito;
ปสฺสามิ โวหํ อตฺตานํ, ยถา อิจฺฉิํ ตถา อหุฯ
Passāmi vohaṃ attānaṃ, yathā icchiṃ tathā ahu.
๑๓๕.
135.
‘‘อาสีเสเถว ปุริโส, น นิพฺพิเนฺทยฺย ปณฺฑิโต;
‘‘Āsīsetheva puriso, na nibbindeyya paṇḍito;
ปสฺสามิ โวหํ อตฺตานํ, อุทกา ถลมุพฺภตํฯ
Passāmi vohaṃ attānaṃ, udakā thalamubbhataṃ.
๑๓๖.
136.
‘‘วายเมเถว ปุริโส, น นิพฺพิเนฺทยฺย ปณฺฑิโต;
‘‘Vāyametheva puriso, na nibbindeyya paṇḍito;
ปสฺสามิ โวหํ อตฺตานํ, ยถา อิจฺฉิํ ตถา อหุฯ
Passāmi vohaṃ attānaṃ, yathā icchiṃ tathā ahu.
๑๓๗.
137.
‘‘วายเมเถว ปุริโส, น นิพฺพิเนฺทยฺย ปณฺฑิโต;
‘‘Vāyametheva puriso, na nibbindeyya paṇḍito;
ปสฺสามิ โวหํ อตฺตานํ, อุทกา ถลมุพฺภตํฯ
Passāmi vohaṃ attānaṃ, udakā thalamubbhataṃ.
๑๓๘.
138.
‘‘ทุกฺขูปนีโตปิ นโร สปโญฺญ, อาสํ น ฉิเนฺทยฺย สุขาคมาย;
‘‘Dukkhūpanītopi naro sapañño, āsaṃ na chindeyya sukhāgamāya;
พหู หิ ผสฺสา อหิตา หิตา จ, อวิตกฺกิตา มจฺจุมุปพฺพชนฺติฯ
Bahū hi phassā ahitā hitā ca, avitakkitā maccumupabbajanti.
๑๓๙.
139.
‘‘อจินฺติตมฺปิ ภวติ, จินฺติตมฺปิ วินสฺสติ;
‘‘Acintitampi bhavati, cintitampi vinassati;
น หิ จินฺตามยา โภคา, อิตฺถิยา ปุริสสฺส วา’’ติฯ
Na hi cintāmayā bhogā, itthiyā purisassa vā’’ti.
ตตฺถ อาสีเสเถว ปุริโสติ อาสเจฺฉทกกมฺมํ อกตฺวา อตฺตโน กเมฺมสุ อาสํ กโรเถว น อุกฺกเณฺฐยฺยฯ ยถา อิจฺฉินฺติ อหญฺหิ สฎฺฐิหตฺถา นรกา อุฎฺฐานํ อิจฺฉิํ, โสมฺหิ ตเถว ชาโต, ตโต อุฎฺฐิโตเยวาติ ทีเปติฯ อหิตา หิตา จาติ ทุกฺขผสฺสา จ สุขผสฺสา จ, ‘‘มรณผสฺสา ชีวิตผสฺสา จา’’ติปิ อโตฺถ, สตฺตานญฺหิ มรณผโสฺส อหิโต ชีวิตผโสฺส หิโต, เตสํ อวิตกฺกิโต อจินฺติโตปิ มรณผโสฺส อาคจฺฉตีติ ทเสฺสติฯ อจินฺติ ตมฺปีติ มยา ‘‘อาวาเฎ ปติสฺสามี’’ติ น จินฺติตํ, ‘‘สรภํ มาเรสฺสามี’’ติ จินฺติตํ, อิทานิ ปน เม จินฺติตํ นฎฺฐํ, อจินฺติตเมว ชาตํฯ โภคาติ ยสปริวาราฯ เอเต จินฺตามยา น โหนฺติ, ตสฺมา ญาณวตา วีริยเมว กาตพฺพํฯ วีริยวโต หิ อจินฺติตมฺปิ โหติเยวฯ
Tattha āsīsetheva purisoti āsacchedakakammaṃ akatvā attano kammesu āsaṃ karotheva na ukkaṇṭheyya. Yathā icchinti ahañhi saṭṭhihatthā narakā uṭṭhānaṃ icchiṃ, somhi tatheva jāto, tato uṭṭhitoyevāti dīpeti. Ahitā hitā cāti dukkhaphassā ca sukhaphassā ca, ‘‘maraṇaphassā jīvitaphassā cā’’tipi attho, sattānañhi maraṇaphasso ahito jīvitaphasso hito, tesaṃ avitakkito acintitopi maraṇaphasso āgacchatīti dasseti. Acinti tampīti mayā ‘‘āvāṭe patissāmī’’ti na cintitaṃ, ‘‘sarabhaṃ māressāmī’’ti cintitaṃ, idāni pana me cintitaṃ naṭṭhaṃ, acintitameva jātaṃ. Bhogāti yasaparivārā. Ete cintāmayā na honti, tasmā ñāṇavatā vīriyameva kātabbaṃ. Vīriyavato hi acintitampi hotiyeva.
ตเสฺสวํ อุทานํ อุทาเนนฺตเสฺสว อรุณํ อุฎฺฐหิฯ ปุโรหิโต จ ปาโตว สุขเสยฺยปุจฺฉนตฺถํ อาคนฺตฺวา ราชทฺวาเร ฐิโต ตสฺส อุทานคีตสทฺทํ สุตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘ราชา หิโยฺย มิควํ อคมาสิ, ตตฺถ สรภมิคํ วิรโทฺธ ภวิสฺสติ, ตโต อมเจฺจหิ อวหสิยมาโน ‘มาเรตฺวา นํ อาหริสฺสามี’ติ ขตฺติยมาเนน ตํ อนุพนฺธโนฺต สฎฺฐิหเตฺถ นรเก ปติโต ภวิสฺสติ, ทยาลุนา สรภราเชน รโญฺญ โทสํ อจิเนฺตตฺวา ราชา อุทฺธริโต ภวิสฺสติ, เตน มเญฺญ อุทานํ อุทาเนตี’’ติฯ เอวํ พฺราหฺมณสฺส รโญฺญ ปริปุณฺณพฺยญฺชนํ อุทานํ สุตฺวา สุมชฺชิเต อาทาเส มุขํ โอโลเกนฺตสฺส ฉายา วิย รญฺญา จ สรเภน จ กตการณํ ปากฎํ อโหสิฯ โส นขเคฺคน ทฺวารํ อาโกเฎสิฯ ราชา ‘‘โก เอโส’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อหํ เทว ปุโรหิโต’’ติฯ อถสฺส ทฺวารํ วิวริตฺวา ‘‘อิโต เอหาจริยา’’ติ อาหฯ โส ปวิสิตฺวา ราชานํ ชยาเปตฺวา เอกมนฺตํ ฐิโต ‘‘อหํ, มหาราช, ตยา อรเญฺญ กตการณํ ชานามิ, ตฺวํ เอกํ สรภมิคํ อนุพนฺธโนฺต นรเก ปติโต, อถ นํ โส สรโภ สิลาย โยคฺคํ กตฺวา นรกโต อุทฺธริ, โส ตฺวํ ตสฺส คุณํ อนุสฺสริตฺวา อุทานํ อุทาเนสี’’ติ วตฺวา เทฺว คาถา อภาสิ –
Tassevaṃ udānaṃ udānentasseva aruṇaṃ uṭṭhahi. Purohito ca pātova sukhaseyyapucchanatthaṃ āgantvā rājadvāre ṭhito tassa udānagītasaddaṃ sutvā cintesi ‘‘rājā hiyyo migavaṃ agamāsi, tattha sarabhamigaṃ viraddho bhavissati, tato amaccehi avahasiyamāno ‘māretvā naṃ āharissāmī’ti khattiyamānena taṃ anubandhanto saṭṭhihatthe narake patito bhavissati, dayālunā sarabharājena rañño dosaṃ acintetvā rājā uddharito bhavissati, tena maññe udānaṃ udānetī’’ti. Evaṃ brāhmaṇassa rañño paripuṇṇabyañjanaṃ udānaṃ sutvā sumajjite ādāse mukhaṃ olokentassa chāyā viya raññā ca sarabhena ca katakāraṇaṃ pākaṭaṃ ahosi. So nakhaggena dvāraṃ ākoṭesi. Rājā ‘‘ko eso’’ti pucchi. ‘‘Ahaṃ deva purohito’’ti. Athassa dvāraṃ vivaritvā ‘‘ito ehācariyā’’ti āha. So pavisitvā rājānaṃ jayāpetvā ekamantaṃ ṭhito ‘‘ahaṃ, mahārāja, tayā araññe katakāraṇaṃ jānāmi, tvaṃ ekaṃ sarabhamigaṃ anubandhanto narake patito, atha naṃ so sarabho silāya yoggaṃ katvā narakato uddhari, so tvaṃ tassa guṇaṃ anussaritvā udānaṃ udānesī’’ti vatvā dve gāthā abhāsi –
๑๔๐.
140.
‘‘สรภํ คิริทุคฺคสฺมิํ, ยํ ตฺวํ อนุสรี ปุเร;
‘‘Sarabhaṃ giriduggasmiṃ, yaṃ tvaṃ anusarī pure;
อลีนจิตฺตสฺส ตุวํ, วิกฺกนฺตมนุชีวสิฯ
Alīnacittassa tuvaṃ, vikkantamanujīvasi.
๑๔๑.
141.
‘‘โย ตํ วิทุคฺคา นรกา สมุทฺธริ, สิลาย โยคฺคํ สรโภ กริตฺวา;
‘‘Yo taṃ viduggā narakā samuddhari, silāya yoggaṃ sarabho karitvā;
ทุกฺขูปนีตํ มจฺจุมุขา ปโมจยิ, อลีนจิตฺตํ ต มิคํ วเทสี’’ติฯ
Dukkhūpanītaṃ maccumukhā pamocayi, alīnacittaṃ ta migaṃ vadesī’’ti.
ตตฺถ อนุสรีติ อนุพนฺธิฯ วิกฺกนฺตนฺติ อุทฺธรณตฺถาย กตปรกฺกมํฯ อนุชีวสีติ อุปชีวสิ, ตสฺสานุภาเวน ตยา ชีวิตํ ลทฺธนฺติ อโตฺถฯ สมุทฺธรีติ อุทฺธริฯ ต มิคํ วเทสีติ ตํ สุวณฺณสรภมิคํ อิธ สิริสยเน นิสิโนฺน วเณฺณสิฯ
Tattha anusarīti anubandhi. Vikkantanti uddharaṇatthāya kataparakkamaṃ. Anujīvasīti upajīvasi, tassānubhāvena tayā jīvitaṃ laddhanti attho. Samuddharīti uddhari. Ta migaṃ vadesīti taṃ suvaṇṇasarabhamigaṃ idha sirisayane nisinno vaṇṇesi.
ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘อยํ มยา สทฺธิํ น มิควํ คโต, สพฺพํ ปวตฺติํ ชานาติ, กถํ นุ โข ชานาติ, ปุจฺฉิสฺสามิ น’’นฺติ จิเนฺตตฺวา นวมํ คาถมาห –
Taṃ sutvā rājā ‘‘ayaṃ mayā saddhiṃ na migavaṃ gato, sabbaṃ pavattiṃ jānāti, kathaṃ nu kho jānāti, pucchissāmi na’’nti cintetvā navamaṃ gāthamāha –
๑๔๒.
142.
‘‘กิํ ตฺวํ นุ ตเตฺถว ตทา อโหสิ, อุทาหุ เต โกจิ นํ เอตทกฺขา;
‘‘Kiṃ tvaṃ nu tattheva tadā ahosi, udāhu te koci naṃ etadakkhā;
วิวฎจฺฉโทฺท นุสิ สพฺพทสฺสี, ญาณํ นุ เต พฺราหฺมณ ภิํสรูป’’นฺติฯ
Vivaṭacchaddo nusi sabbadassī, ñāṇaṃ nu te brāhmaṇa bhiṃsarūpa’’nti.
ตตฺถ ภิํสรูปนฺติ กิํ นุ เต ญาณํ พลวชาติกํ, เตเนตํ ชานาสีติฯ
Tattha bhiṃsarūpanti kiṃ nu te ñāṇaṃ balavajātikaṃ, tenetaṃ jānāsīti.
พฺราหฺมโณ ‘‘นาหํ สพฺพญฺญุพุโทฺธ, พฺยญฺชนํ อมเกฺขตฺวา ตยา กถิตคาถานํ ปน มยฺหํ อโตฺถ อุปฎฺฐาตี’’ติ ทีเปโนฺต ทสมํ คาถมาห –
Brāhmaṇo ‘‘nāhaṃ sabbaññubuddho, byañjanaṃ amakkhetvā tayā kathitagāthānaṃ pana mayhaṃ attho upaṭṭhātī’’ti dīpento dasamaṃ gāthamāha –
๑๔๓.
143.
‘‘น เจวหํ ตตฺถ ตทา อโหสิํ, น จาปิ เม โกจิ นํ เอตทกฺขา;
‘‘Na cevahaṃ tattha tadā ahosiṃ, na cāpi me koci naṃ etadakkhā;
คาถาปทานญฺจ สุภาสิตานํ, อตฺถํ ตทาเนนฺติ ชนินฺท ธีรา’’ติฯ
Gāthāpadānañca subhāsitānaṃ, atthaṃ tadānenti janinda dhīrā’’ti.
ตตฺถ สุภาสิตานนฺติ พฺยญฺชนํ อมเกฺขตฺวา สุฎฺฐุ ภาสิตานํฯ อตฺถํ ตทาเนนฺตีติ โย เตสํ อโตฺถ, ตํ อาเนนฺติ อุปธาเรนฺตีติฯ
Tattha subhāsitānanti byañjanaṃ amakkhetvā suṭṭhu bhāsitānaṃ. Atthaṃ tadānentīti yo tesaṃ attho, taṃ ānenti upadhārentīti.
ราชา ตสฺส ตุสฺสิตฺวา พหุํ ธนํ อทาสิฯ ตโต ปฎฺฐาย ทานาทิปุญฺญาภิรโต อโหสิ, มนุสฺสาปิ ปุญฺญาภิรตา หุตฺวา มตมตา สคฺคเมว ปูรยิํสุฯ อเถกทิวสํ ราชา ‘‘ลกฺขํ วิชฺฌิสฺสามี’’ติ ปุโรหิตมาทาย อุยฺยานํ คโตฯ ตทา สโกฺก เทวราชา พหู นเว เทเว จ เทวกญฺญาโย จ ทิสฺวา ‘‘กิํ นุ โข การณ’’นฺติ อาวเชฺชโนฺต สรภมิเคน นรกา อุทฺธริตฺวา รโญฺญ สีเลสุ ปติฎฺฐาปิตภาวํ ญตฺวา ‘‘รโญฺญ อานุภาเวน มหาชโน ปุญฺญานิ กโรติ, เตน เทวโลโก ปริปูรติ, อิทานิ โข ปน ราชา ลกฺขํ วิชฺฌิตุํ อุยฺยานํ คโต, ตํ วีมํสิตฺวา สีหนาทํ นทาเปตฺวา สรภมิคสฺส คุณํ กถาเปตฺวา อตฺตโน จ สกฺกภาวํ ชานาเปตฺวา อากาเส ฐิโต ธมฺมํ เทเสตฺวา เมตฺตาย เจว ปญฺจนฺนํ สีลานญฺจ คุณํ กเถตฺวา อาคมิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อุยฺยานํ อคมาสิฯ ราชาปิ ‘‘ลกฺขํ วิชฺฌิสฺสามี’’ติ ธนุํ อาโรเปตฺวา สรํ สนฺนยฺหิฯ ตสฺมิํ ขเณ สโกฺก รโญฺญ จ ลกฺขสฺส จ อนฺตเร อตฺตโน อานุภาเวน สรภํ ทเสฺสสิฯ ราชา ตํ ทิสฺวา สรํ น มุญฺจิฯ อถ นํ สโกฺก ปุโรหิตสฺส สรีเร อธิมุจฺจิตฺวา คาถํ อภาสิ –
Rājā tassa tussitvā bahuṃ dhanaṃ adāsi. Tato paṭṭhāya dānādipuññābhirato ahosi, manussāpi puññābhiratā hutvā matamatā saggameva pūrayiṃsu. Athekadivasaṃ rājā ‘‘lakkhaṃ vijjhissāmī’’ti purohitamādāya uyyānaṃ gato. Tadā sakko devarājā bahū nave deve ca devakaññāyo ca disvā ‘‘kiṃ nu kho kāraṇa’’nti āvajjento sarabhamigena narakā uddharitvā rañño sīlesu patiṭṭhāpitabhāvaṃ ñatvā ‘‘rañño ānubhāvena mahājano puññāni karoti, tena devaloko paripūrati, idāni kho pana rājā lakkhaṃ vijjhituṃ uyyānaṃ gato, taṃ vīmaṃsitvā sīhanādaṃ nadāpetvā sarabhamigassa guṇaṃ kathāpetvā attano ca sakkabhāvaṃ jānāpetvā ākāse ṭhito dhammaṃ desetvā mettāya ceva pañcannaṃ sīlānañca guṇaṃ kathetvā āgamissāmī’’ti cintetvā uyyānaṃ agamāsi. Rājāpi ‘‘lakkhaṃ vijjhissāmī’’ti dhanuṃ āropetvā saraṃ sannayhi. Tasmiṃ khaṇe sakko rañño ca lakkhassa ca antare attano ānubhāvena sarabhaṃ dassesi. Rājā taṃ disvā saraṃ na muñci. Atha naṃ sakko purohitassa sarīre adhimuccitvā gāthaṃ abhāsi –
๑๔๔.
144.
‘‘อาทาย ปตฺติํ ปรวิริยฆาติํ, จาเป สรํ กิํ วิจิกิจฺฉเส ตุวํ;
‘‘Ādāya pattiṃ paraviriyaghātiṃ, cāpe saraṃ kiṃ vicikicchase tuvaṃ;
นุโนฺน สโร สรภํ หนฺตุ ขิปฺปํ, อนฺนญฺหิ เอตํ วรปญฺญ รโญฺญ’’ติฯ
Nunno saro sarabhaṃ hantu khippaṃ, annañhi etaṃ varapañña rañño’’ti.
ตตฺถ ปตฺตินฺติ วาชปเตฺตหิ สมนฺนาคตํฯ ปรวิริยฆาตินฺติ ปเรสํ วีริยฆาตกํฯ จาเป สรนฺติ เอตํ ปตฺตสหิตํ สรํ จาเป อาทาย สนฺนยฺหิตฺวา อิทานิ ตฺวํ กิํ วิจิกิจฺฉสิฯ หนฺตูติ ตยา วิสฺสโฎฺฐ หุตฺวา เอส สโร ขิปฺปํ อิมํ สรภํ หนตุฯ อนฺนญฺหิ เอตนฺติ วรปญฺญ, มหาราช, สรโภ นาม รโญฺญ อาหาโร ภโกฺขติ อโตฺถฯ
Tattha pattinti vājapattehi samannāgataṃ. Paraviriyaghātinti paresaṃ vīriyaghātakaṃ. Cāpe saranti etaṃ pattasahitaṃ saraṃ cāpe ādāya sannayhitvā idāni tvaṃ kiṃ vicikicchasi. Hantūti tayā vissaṭṭho hutvā esa saro khippaṃ imaṃ sarabhaṃ hanatu. Annañhi etanti varapañña, mahārāja, sarabho nāma rañño āhāro bhakkhoti attho.
ตโต ราชา คาถมาห –
Tato rājā gāthamāha –
๑๔๕.
145.
‘‘อทฺธา ปชานามิ อหมฺปิ เอตํ, อนฺนํ มิโค พฺราหฺมณ ขตฺติยสฺส;
‘‘Addhā pajānāmi ahampi etaṃ, annaṃ migo brāhmaṇa khattiyassa;
ปุเพฺพ กตญฺจ อปจายมาโน, ตสฺมา มิคํ สรภํ โน หนามี’’ติฯ
Pubbe katañca apacāyamāno, tasmā migaṃ sarabhaṃ no hanāmī’’ti.
ตตฺถ ปุเพฺพ กตญฺจาติ พฺราหฺมณ, อหเมตํ เอกํเสน ชานามิ ยถา มิโค ขตฺติยสฺส อนฺนํ, ปุเพฺพ ปน อิมินา มยฺหํ กตคุณํ ปูเชมิ, ตสฺมา ตํ น หนามีติฯ
Tattha pubbe katañcāti brāhmaṇa, ahametaṃ ekaṃsena jānāmi yathā migo khattiyassa annaṃ, pubbe pana iminā mayhaṃ kataguṇaṃ pūjemi, tasmā taṃ na hanāmīti.
ตโต สโกฺก คาถาทฺวยมาห –
Tato sakko gāthādvayamāha –
๑๔๖.
146.
‘‘เนโส มิโค มหาราช, อสุเรโส ทิสมฺปติ;
‘‘Neso migo mahārāja, asureso disampati;
เอตํ หนฺตฺวา มนุสฺสินฺท, ภวสฺสุ อมราธิโปฯ
Etaṃ hantvā manussinda, bhavassu amarādhipo.
๑๔๗.
147.
‘‘สเจ จ ราชา วิจิกิจฺฉเส ตุวํ, หนฺตุํ มิคํ สรภํ สหายกํ;
‘‘Sace ca rājā vicikicchase tuvaṃ, hantuṃ migaṃ sarabhaṃ sahāyakaṃ;
สปุตฺตทาโร นรวีรเสฎฺฐ, คนฺตา ตุวํ เวตรณิํ ยมสฺสา’’ติฯ
Saputtadāro naravīraseṭṭha, gantā tuvaṃ vetaraṇiṃ yamassā’’ti.
ตตฺถ อสุเรโสติ อสุโร เอโส, อสุรเชฎฺฐโก สโกฺก เอโสติ อธิปฺปาเยน วทติฯ อมราธิโปติ ตฺวํ เอตํ สกฺกํ มาเรตฺวา สยํ สโกฺก เทวราชา โหหีติ วทติฯ เวตรณิํ ยมสฺสาติ ‘‘สเจ เอตํ ‘สหาโย เม’ติ จิเนฺตตฺวา น มาเรสฺสสิ, สปุตฺตทาโร ยมสฺส เวตรณินิรยํ คโต ภวิสฺสสี’’ติ นํ ตาเสสิฯ
Tattha asuresoti asuro eso, asurajeṭṭhako sakko esoti adhippāyena vadati. Amarādhipoti tvaṃ etaṃ sakkaṃ māretvā sayaṃ sakko devarājā hohīti vadati. Vetaraṇiṃ yamassāti ‘‘sace etaṃ ‘sahāyo me’ti cintetvā na māressasi, saputtadāro yamassa vetaraṇinirayaṃ gato bhavissasī’’ti naṃ tāsesi.
ตโต ราชา เทฺว คาถา อภาสิ –
Tato rājā dve gāthā abhāsi –
๑๔๘.
148.
‘‘กามํ อหํ ชานปทา จ สเพฺพ, ปุตฺตา จ ทารา จ สหายสงฺฆา;
‘‘Kāmaṃ ahaṃ jānapadā ca sabbe, puttā ca dārā ca sahāyasaṅghā;
คเจฺฉมุ ตํ เวตรณิํ ยมสฺส, น เตฺวว หโญฺญ มม ปาณโท โยฯ
Gacchemu taṃ vetaraṇiṃ yamassa, na tveva hañño mama pāṇado yo.
๑๔๙.
149.
‘‘อยํ มิโค กิจฺฉคตสฺส มยฺหํ, เอกสฺส กตฺตา วิวนสฺมิ โฆเร;
‘‘Ayaṃ migo kicchagatassa mayhaṃ, ekassa kattā vivanasmi ghore;
ตํ ตาทิสํ ปุพฺพกิจฺจํ สรโนฺต, ชานํ มหาพฺรเหฺม กถํ หเนยฺย’’นฺติฯ
Taṃ tādisaṃ pubbakiccaṃ saranto, jānaṃ mahābrahme kathaṃ haneyya’’nti.
ตตฺถ มม ปาณโท โยติ พฺราหฺมณ, โย มม ปาณทโท เยน เม ปิยํ ชีวิตํ ทินฺนํ, นรกํ ปวิสเนฺตน มยา โส น เตฺวว หโญฺญ น หนิตโพฺพ, อวโชฺฌ เอโสติ วทติฯ เอกสฺส กตฺตา วิวนสฺมิ โฆเรติ ทารุเณ อรเญฺญ ปวิฎฺฐสฺส สโต เอกสฺส อสหายกสฺส มม กตฺตา การโก ชีวิตสฺส ทายโก, สฺวาหํ ตํ อิมินา กตํ ตาทิสํ ปุพฺพกิจฺจํ สรโนฺตเยว ตํ คุณํ ชานโนฺตเยว กถํ หเนยฺยํฯ
Tattha mama pāṇado yoti brāhmaṇa, yo mama pāṇadado yena me piyaṃ jīvitaṃ dinnaṃ, narakaṃ pavisantena mayā so na tveva hañño na hanitabbo, avajjho esoti vadati. Ekassa kattā vivanasmi ghoreti dāruṇe araññe paviṭṭhassa sato ekassa asahāyakassa mama kattā kārako jīvitassa dāyako, svāhaṃ taṃ iminā kataṃ tādisaṃ pubbakiccaṃ sarantoyeva taṃ guṇaṃ jānantoyeva kathaṃ haneyyaṃ.
อถ สโกฺก ปุโรหิตสฺส สรีรโต อปคนฺตฺวา สกฺกตฺตภาวํ มาเปตฺวา อากาเส ฐตฺวา รโญฺญ คุณํ ปกาเสโนฺต คาถาทฺวยมาห –
Atha sakko purohitassa sarīrato apagantvā sakkattabhāvaṃ māpetvā ākāse ṭhatvā rañño guṇaṃ pakāsento gāthādvayamāha –
๑๕๐.
150.
‘‘มิตฺตาภิราธี จิรเมว ชีว, รชฺชํ อิมํ ธมฺมคุเณ ปสาส;
‘‘Mittābhirādhī cirameva jīva, rajjaṃ imaṃ dhammaguṇe pasāsa;
นารีคเณหิ ปริจาริยโนฺต, โมทสฺสุ รเฎฺฐ ติทิเวว วาสโวฯ
Nārīgaṇehi paricāriyanto, modassu raṭṭhe tidiveva vāsavo.
๑๕๑.
151.
‘‘อโกฺกธโน นิจฺจปสนฺนจิโตฺต, สพฺพาติถี ยาจโยโค ภวิตฺวา;
‘‘Akkodhano niccapasannacitto, sabbātithī yācayogo bhavitvā;
ทตฺวา จ ภุตฺวา จ ยถานุภาวํ, อนินฺทิโต สคฺคมุเปหิ ฐาน’’นฺติฯ
Datvā ca bhutvā ca yathānubhāvaṃ, anindito saggamupehi ṭhāna’’nti.
ตตฺถ มิตฺตาภิราธีติ มิเตฺต อาราเธโนฺต โตเสโนฺต เตสุ อทุพฺภมาโนฯ สพฺพาติถีติ สเพฺพ ธมฺมิกสมณพฺราหฺมเณ อติถี ปาหุนเกเยว กตฺวา ปริหรโนฺต ยาจิตพฺพยุตฺตโก หุตฺวาฯ อนินฺทิโตติ ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กรเณน ปมุทิโต เทวโลเกน อภินนฺทิโต หุตฺวา สคฺคฎฺฐานํ อุเปหีติฯ
Tattha mittābhirādhīti mitte ārādhento tosento tesu adubbhamāno. Sabbātithīti sabbe dhammikasamaṇabrāhmaṇe atithī pāhunakeyeva katvā pariharanto yācitabbayuttako hutvā. Aninditoti dānādīni puññāni karaṇena pamudito devalokena abhinandito hutvā saggaṭṭhānaṃ upehīti.
เอวํ วตฺวา สโกฺก ‘‘อหํ มหาราชํ ตํ ปริคฺคณฺหิตุํ อาคโต, ตฺวํ อตฺตานํ ปริคฺคณฺหิตุํ นาทาสิ, อปฺปมโตฺต โหหี’’ติ ตํ โอวทิตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ
Evaṃ vatvā sakko ‘‘ahaṃ mahārājaṃ taṃ pariggaṇhituṃ āgato, tvaṃ attānaṃ pariggaṇhituṃ nādāsi, appamatto hohī’’ti taṃ ovaditvā sakaṭṭhānameva gato.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ สาริปุโตฺต สํขิเตฺตน ภาสิตสฺส วิตฺถาเรน อตฺถํ ชานาติเยวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ราชา อานโนฺท อโหสิ, ปุโรหิโต สาริปุโตฺต, สรภมิโค ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi sāriputto saṃkhittena bhāsitassa vitthārena atthaṃ jānātiyevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā rājā ānando ahosi, purohito sāriputto, sarabhamigo pana ahameva ahosi’’nti.
สรภมิคชาตกวณฺณนา ทสมาฯ
Sarabhamigajātakavaṇṇanā dasamā.
ชาตกุทฺทานํ –
Jātakuddānaṃ –
อมฺพ ผนฺทน ชวน, นารท ทูต กลิงฺคา;
Amba phandana javana, nārada dūta kaliṅgā;
อกิตฺติ ตกฺการิยํ รุรุ, สรภํ ทส เตรเสฯ
Akitti takkāriyaṃ ruru, sarabhaṃ dasa terase.
เตรสกนิปาตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Terasakanipātavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๘๓. สรภมิคชาตกํ • 483. Sarabhamigajātakaṃ