Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๕๒๒] ๒. สรภงฺคชาตกวณฺณนา
[522] 2. Sarabhaṅgajātakavaṇṇanā
อลงฺกตา กุณฺฑลิโน สุวตฺถาติ อิทํ สตฺถา เวฬุวเน วิหรโนฺต มหาโมคฺคลฺลานเตฺถรสฺส ปรินิพฺพานํ อารพฺภ กเถสิฯ สาริปุตฺตเตฺถโร ตถาคตํ เชตวเน วิหรนฺตํ อตฺตโน ปรินิพฺพานํ อนุชานาเปตฺวา คนฺตฺวา นาฬกคามเก ชาโตวรเก ปรินิพฺพายิฯ ตสฺส ปรินิพฺพุตภาวํ สุตฺวา สตฺถา ราชคหํ คนฺตฺวา เวฬุวเน วิหาสิฯ ตทา มหาโมคฺคลฺลานเตฺถโร อิสิคิลิปเสฺส กาฬสิลายํ วิหรติฯ โส ปน อิทฺธิพเลน โกฎิปฺปตฺตภาเวน เทวโลกจาริกญฺจ อุสฺสทนิรยจาริกญฺจ คจฺฉติฯ เทวโลเก พุทฺธสาวกานํ มหนฺตํ อิสฺสริยํ ทิสฺวา อุสฺสทนิรเยสุ จ ติตฺถิยสาวกานํ มหนฺตํ ทุกฺขํ ทิสฺวา มนุสฺสโลกํ อาคนฺตฺวา ‘‘อสุโก อุปาสโก อสุกา จ อุปาสิกา อสุกสฺมิํ นาม เทวโลเก นิพฺพตฺติตฺวา มหาสมฺปตฺติํ อนุภวนฺติ, ติตฺถิยสาวเกสุ อสุโก จ อสุกา จ นิรยาทีสุ อสุกอปาเย นาม นิพฺพตฺตา’’ติ มนุสฺสานํ กเถสิฯ มนุสฺสา สาสเน ปสีทนฺติ, ติตฺถิเย ปริวเชฺชนฺติฯ พุทฺธสาวกานํ สกฺกาโร มหโนฺต อโหสิ, ติตฺถิยานํ ปริหายติฯ
Alaṅkatākuṇḍalino suvatthāti idaṃ satthā veḷuvane viharanto mahāmoggallānattherassa parinibbānaṃ ārabbha kathesi. Sāriputtatthero tathāgataṃ jetavane viharantaṃ attano parinibbānaṃ anujānāpetvā gantvā nāḷakagāmake jātovarake parinibbāyi. Tassa parinibbutabhāvaṃ sutvā satthā rājagahaṃ gantvā veḷuvane vihāsi. Tadā mahāmoggallānatthero isigilipasse kāḷasilāyaṃ viharati. So pana iddhibalena koṭippattabhāvena devalokacārikañca ussadanirayacārikañca gacchati. Devaloke buddhasāvakānaṃ mahantaṃ issariyaṃ disvā ussadanirayesu ca titthiyasāvakānaṃ mahantaṃ dukkhaṃ disvā manussalokaṃ āgantvā ‘‘asuko upāsako asukā ca upāsikā asukasmiṃ nāma devaloke nibbattitvā mahāsampattiṃ anubhavanti, titthiyasāvakesu asuko ca asukā ca nirayādīsu asukaapāye nāma nibbattā’’ti manussānaṃ kathesi. Manussā sāsane pasīdanti, titthiye parivajjenti. Buddhasāvakānaṃ sakkāro mahanto ahosi, titthiyānaṃ parihāyati.
เต เถเร อาฆาตํ พนฺธิตฺวา ‘‘อิมสฺมิํ ชีวเนฺต อมฺหากํ อุปฎฺฐากา ภิชฺชนฺติ, สกฺกาโร จ ปริหายติ, มาราเปสฺสาม น’’นฺติ เถรสฺส มารณตฺถํ สมณคุตฺตกสฺส นาม โจรสฺส สหสฺสํ อทํสุฯ โส ‘‘เถรํ มาเรสฺสามี’’ติ มหเนฺตน ปริวาเรน สทฺธิํ กาฬสิลํ อคมาสิฯ เถโร ตํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวาว อิทฺธิยา อุปฺปติตฺวา ปกฺกามิฯ โจโร ตํ ทิวสํ เถรํ อทิสฺวา นิวตฺติตฺวา ปุนทิวเสปีติ ฉ ทิวเส อคมาสิฯ เถโรปิ ตเถว อิทฺธิยา ปกฺกามิฯ สตฺตเม ปน ทิวเส เถรสฺส ปุเพฺพ กตํ อปราปริยเวทนียกมฺมํ โอกาสํ ลภิฯ โส กิร ปุเพฺพ ภริยาย วจนํ คเหตฺวา มาตาปิตโร มาเรตุกาโม ยานเกน อรญฺญํ เนตฺวา โจรานํ อุฎฺฐิตาการํ กตฺวา มาตาปิตโร โปเถสิ ปหริฯ เต จกฺขุทุพฺพลตาย รูปทสฺสนรหิตา ตํ อตฺตโน ปุตฺตํ อสญฺชานนฺตา ‘‘โจรา เอว เอเต’’ติ สญฺญาย, ‘‘ตาต, อสุกา นาม โจรา โน ฆาเตนฺติ, ตฺวํ ปฎิกฺกมาหี’’ติ ตเสฺสวตฺถาย ปริเทวิํสุฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘อิเม มยา โปถิยมานาปิ มยฺหํ เยวตฺถาย ปริเทวนฺติ, อยุตฺตํ กมฺมํ กโรมี’’ติฯ อถ เน อสฺสาเสตฺวา โจรานํ ปลายนาการํ ทเสฺสตฺวา เตสํ หตฺถปาเท สมฺพาหิตฺวา ‘‘อมฺม , ตาตา, มา ภายิตฺถ, โจรา ปลาตา’’ติ วตฺวา ปุน อตฺตโน เคหเมว อาเนสิฯ ตํ กมฺมํ เอตฺตกํ กาลํ โอกาสํ อลภิตฺวา ภสฺมปฎิจฺฉโนฺน องฺคารราสิ วิย ฐตฺวา อิมํ อนฺติมสรีรํ อุปธาวิตฺวา คณฺหิฯ ยถา หิ ปน สุนขลุทฺทเกน มิคํ ทิสฺวา สุนโข วิสฺสชฺชิโต มิคํ อนุพนฺธิตฺวา ยสฺมิํ ฐาเน ปาปุณาติ, ตสฺมิํเยว คณฺหาติ, เอวํ อิทํ กมฺมํ ยสฺมิํ ฐาเน โอกาสํ ลภติ, ตสฺมิํ วิปากํ เทติ, เตน มุโตฺต นาม นตฺถิฯ
Te there āghātaṃ bandhitvā ‘‘imasmiṃ jīvante amhākaṃ upaṭṭhākā bhijjanti, sakkāro ca parihāyati, mārāpessāma na’’nti therassa māraṇatthaṃ samaṇaguttakassa nāma corassa sahassaṃ adaṃsu. So ‘‘theraṃ māressāmī’’ti mahantena parivārena saddhiṃ kāḷasilaṃ agamāsi. Thero taṃ āgacchantaṃ disvāva iddhiyā uppatitvā pakkāmi. Coro taṃ divasaṃ theraṃ adisvā nivattitvā punadivasepīti cha divase agamāsi. Theropi tatheva iddhiyā pakkāmi. Sattame pana divase therassa pubbe kataṃ aparāpariyavedanīyakammaṃ okāsaṃ labhi. So kira pubbe bhariyāya vacanaṃ gahetvā mātāpitaro māretukāmo yānakena araññaṃ netvā corānaṃ uṭṭhitākāraṃ katvā mātāpitaro pothesi pahari. Te cakkhudubbalatāya rūpadassanarahitā taṃ attano puttaṃ asañjānantā ‘‘corā eva ete’’ti saññāya, ‘‘tāta, asukā nāma corā no ghātenti, tvaṃ paṭikkamāhī’’ti tassevatthāya parideviṃsu. So cintesi – ‘‘ime mayā pothiyamānāpi mayhaṃ yevatthāya paridevanti, ayuttaṃ kammaṃ karomī’’ti. Atha ne assāsetvā corānaṃ palāyanākāraṃ dassetvā tesaṃ hatthapāde sambāhitvā ‘‘amma , tātā, mā bhāyittha, corā palātā’’ti vatvā puna attano gehameva ānesi. Taṃ kammaṃ ettakaṃ kālaṃ okāsaṃ alabhitvā bhasmapaṭicchanno aṅgārarāsi viya ṭhatvā imaṃ antimasarīraṃ upadhāvitvā gaṇhi. Yathā hi pana sunakhaluddakena migaṃ disvā sunakho vissajjito migaṃ anubandhitvā yasmiṃ ṭhāne pāpuṇāti, tasmiṃyeva gaṇhāti, evaṃ idaṃ kammaṃ yasmiṃ ṭhāne okāsaṃ labhati, tasmiṃ vipākaṃ deti, tena mutto nāma natthi.
เถโร อตฺตนา กตกมฺมสฺส อากฑฺฒิตภาวํ ญตฺวา น อปคจฺฉิฯ เถโร ตสฺส นิสฺสเนฺทน อากาเส อุปฺปติตุํ นาสกฺขิฯ นโนฺทปนนฺททมนสมตฺถเวชยนฺตกมฺปนสมตฺถาปิสฺส อิทฺธิ กมฺมพเลน ทุพฺพลตํ ปตฺตาฯ โจโร เถรํ คเหตฺวา เถรสฺส อฎฺฐีนิ ตณฺฑุลกณมตฺตานิ กโรโนฺต ภินฺทิตฺวา สญฺจุเณฺณตฺวา ปลาลปิฎฺฐิกกรณํ นาม กตฺวา ‘‘มโต’’ติ สญฺญาย เอกสฺมิํ คุมฺพปิเฎฺฐ ขิปิตฺวา สปริวาโร ปกฺกามิฯ เถโร สติํ ปฎิลภิตฺวา ‘‘สตฺถารํ ปสฺสิตฺวา ปรินิพฺพายิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา สรีรํ ฌานเวฐเนน เวเฐตฺวา ถิรํ กตฺวา อากาสํ อุปฺปติตฺวา อากาเสน สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, อายุสงฺขาโร เม โอสฺสโฎฺฐ, ปรินิพฺพายิสฺสามี’’ติ อาหฯ ‘‘ปรินิพฺพายิสฺสสิ, โมคฺคลฺลาน’’อาติฯ ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘กตฺถ คนฺตฺวา ปรินิพฺพายิสฺสสี’’ติฯ ‘‘กาฬสิลาปเฎฺฎ, ภเนฺต’’ติฯ เตน หิ, โมคฺคลฺลาน, ธมฺมํ มยฺหํ กเถตฺวา ยาหิ, ตาทิสสฺส สาวกสฺส อิทานิ ทสฺสนํ นตฺถีติฯ โส ‘‘เอวํ กริสฺสามิ, ภเนฺต’’ติ สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ตาลปฺปมาณํ อากาเส อุปฺปติตฺวา ปรินิพฺพานทิวเส สาริปุตฺตเตฺถโร วิย นานปฺปการา อิทฺธิโย กตฺวา ธมฺมํ กเถตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา กาฬสิลายํ อฎวิยํ ปรินิพฺพายิฯ
Thero attanā katakammassa ākaḍḍhitabhāvaṃ ñatvā na apagacchi. Thero tassa nissandena ākāse uppatituṃ nāsakkhi. Nandopanandadamanasamatthavejayantakampanasamatthāpissa iddhi kammabalena dubbalataṃ pattā. Coro theraṃ gahetvā therassa aṭṭhīni taṇḍulakaṇamattāni karonto bhinditvā sañcuṇṇetvā palālapiṭṭhikakaraṇaṃ nāma katvā ‘‘mato’’ti saññāya ekasmiṃ gumbapiṭṭhe khipitvā saparivāro pakkāmi. Thero satiṃ paṭilabhitvā ‘‘satthāraṃ passitvā parinibbāyissāmī’’ti cintetvā sarīraṃ jhānaveṭhanena veṭhetvā thiraṃ katvā ākāsaṃ uppatitvā ākāsena satthu santikaṃ gantvā satthāraṃ vanditvā ‘‘bhante, āyusaṅkhāro me ossaṭṭho, parinibbāyissāmī’’ti āha. ‘‘Parinibbāyissasi, moggallāna’’āti. ‘‘Āma, bhante’’ti. ‘‘Kattha gantvā parinibbāyissasī’’ti. ‘‘Kāḷasilāpaṭṭe, bhante’’ti. Tena hi, moggallāna, dhammaṃ mayhaṃ kathetvā yāhi, tādisassa sāvakassa idāni dassanaṃ natthīti. So ‘‘evaṃ karissāmi, bhante’’ti satthāraṃ vanditvā tālappamāṇaṃ ākāse uppatitvā parinibbānadivase sāriputtatthero viya nānappakārā iddhiyo katvā dhammaṃ kathetvā satthāraṃ vanditvā kāḷasilāyaṃ aṭaviyaṃ parinibbāyi.
ตงฺขณเญฺญว ฉ เทวโลกา เอกโกลาหลา อเหสุํ, ‘‘อมฺหากํ กิร อาจริโย ปรินิพฺพุโต’’ติ ทิพฺพคนฺธมาลาวาสธูมจนฺทนจุณฺณานิ เจว นานาทารูนิ จ คเหตฺวา อาคมิํสุ, เอกูนสตรตนจนฺทนจิตกา อโหสิฯ สตฺถา เถรสฺส สนฺติเก ฐตฺวา สรีรนิเกฺขปํ กาเรสิฯ อาฬาหนสฺส สมนฺตโต โยชนมเตฺต ปเทเส ปุปฺผวสฺสํ วสฺสิฯ เทวานํ อนฺตเร มนุสฺสา, มนุสฺสานํ อนฺตเร เทวา อเหสุํฯ ยถากฺกเมน เทวานํ อนฺตเร ยกฺขา ติฎฺฐนฺติ, ยกฺขานํ อนฺตเร คนฺธพฺพา ติฎฺฐนฺติ, คนฺธพฺพานํ อนฺตเร นาคา ติฎฺฐนฺติ, นาคานํ อนฺตเร เวนเตยฺยา ติฎฺฐนฺติ, เวนเตยฺยานํ อนฺตเร กินฺนรา ติฎฺฐนฺติ, กินฺนรานํ อนฺตเร ฉตฺตา ติฎฺฐนฺติ, ฉตฺตานํ อนฺตเร สุวณฺณจามรา ติฎฺฐนฺติ, เตสํ อนฺตเร ธชา ติฎฺฐนฺติ, เตสํ อนฺตเร ปฎากา ติฎฺฐนฺติฯ สตฺต ทิวสานิ สาธุกีฬํ กีฬิํสุฯ สตฺถา เถรสฺส ธาตุํ คาหาเปตฺวา เวฬุวนทฺวารโกฎฺฐเก เจติยํ การาเปสิฯ ตทา ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, สาริปุตฺตเตฺถโร ตถาคตสฺส สนฺติเก อปรินิพฺพุตตฺตา พุทฺธานํ สนฺติกา มหนฺตํ สมฺมานํ น ลภิ, โมคฺคลฺลานเตฺถโร ปน พุทฺธานํ สมีเป ปรินิพฺพุตตฺตา มหาสมฺมานํ ลภี’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว โมคฺคลฺลาโน มม สนฺติกา สมฺมานํ ลภติ, ปุเพฺพปิ ลภิเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Taṅkhaṇaññeva cha devalokā ekakolāhalā ahesuṃ, ‘‘amhākaṃ kira ācariyo parinibbuto’’ti dibbagandhamālāvāsadhūmacandanacuṇṇāni ceva nānādārūni ca gahetvā āgamiṃsu, ekūnasataratanacandanacitakā ahosi. Satthā therassa santike ṭhatvā sarīranikkhepaṃ kāresi. Āḷāhanassa samantato yojanamatte padese pupphavassaṃ vassi. Devānaṃ antare manussā, manussānaṃ antare devā ahesuṃ. Yathākkamena devānaṃ antare yakkhā tiṭṭhanti, yakkhānaṃ antare gandhabbā tiṭṭhanti, gandhabbānaṃ antare nāgā tiṭṭhanti, nāgānaṃ antare venateyyā tiṭṭhanti, venateyyānaṃ antare kinnarā tiṭṭhanti, kinnarānaṃ antare chattā tiṭṭhanti, chattānaṃ antare suvaṇṇacāmarā tiṭṭhanti, tesaṃ antare dhajā tiṭṭhanti, tesaṃ antare paṭākā tiṭṭhanti. Satta divasāni sādhukīḷaṃ kīḷiṃsu. Satthā therassa dhātuṃ gāhāpetvā veḷuvanadvārakoṭṭhake cetiyaṃ kārāpesi. Tadā bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, sāriputtatthero tathāgatassa santike aparinibbutattā buddhānaṃ santikā mahantaṃ sammānaṃ na labhi, moggallānatthero pana buddhānaṃ samīpe parinibbutattā mahāsammānaṃ labhī’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva moggallāno mama santikā sammānaṃ labhati, pubbepi labhiyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ปุโรหิตสฺส พฺราหฺมณิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิตฺวา ทสมาสจฺจเยน ปจฺจูสสมเย มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขมิฯ ตสฺมิํ ขเณ ทฺวาทสโยชนิเก พาราณสินคเร สพฺพาวุธานิ ปชฺชลิํสุฯ ปุโรหิโต ปุตฺตสฺส ชาตกฺขเณ พหิ นิกฺขมิตฺวา อากาสํ โอโลเกโนฺต นกฺขตฺตโยคํ ทิสฺวา ‘‘อิมินา นกฺขเตฺตน ชาตตฺตา เอโส กุมาโร สกลชมฺพุทีเป ธนุคฺคหานํ อโคฺค ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา กาลเสฺสว ราชกุลํ คนฺตฺวา ราชานํ สุขสยิตภาวํ ปุจฺฉิฯ ‘‘กุโต เม, อาจริย, สุขํ, อชฺช สกลนิเวสเน อาวุธานิ ปชฺชลิตานี’’ติ วุเตฺต ‘‘มา ภายิ, เทว, น ตุมฺหากํ นิเวสเนเยว, สกลนคเรปิ ปชฺชลิํสุเยว, อชฺช อมฺหากํ เคเห กุมารสฺส ชาตตฺตา เอวํ อโหสี’’ติฯ ‘‘อาจริย, เอวํ ชาตกุมารสฺส ปน กิํ ภวิสฺสตี’’ติ? ‘‘น กิญฺจิ, มหาราช, โส ปน สกลชมฺพุทีเป ธนุคฺคหานํ อโคฺค ภวิสฺสตี’’ติฯ ‘‘สาธุ, อาจริย, เตน หิ นํ ปฎิชคฺคิตฺวา วยปฺปตฺตกาเล อมฺหากํ ทเสฺสยฺยาสี’’ติ วตฺวา ขีรมูลํ ตาว สหสฺสํ ทาเปสิฯ ปุโรหิโต ตํ คเหตฺวา นิเวสนํ คนฺตฺวา พฺราหฺมณิยา ทตฺวา ปุตฺตสฺส นามคฺคหณทิวเส ชาตกฺขเณ อาวุธานํ ปชฺชลิตตฺตา ‘‘โชติปาโล’’ติสฺส นามํ อกาสิฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto purohitassa brāhmaṇiyā kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhitvā dasamāsaccayena paccūsasamaye mātukucchito nikkhami. Tasmiṃ khaṇe dvādasayojanike bārāṇasinagare sabbāvudhāni pajjaliṃsu. Purohito puttassa jātakkhaṇe bahi nikkhamitvā ākāsaṃ olokento nakkhattayogaṃ disvā ‘‘iminā nakkhattena jātattā eso kumāro sakalajambudīpe dhanuggahānaṃ aggo bhavissatī’’ti ñatvā kālasseva rājakulaṃ gantvā rājānaṃ sukhasayitabhāvaṃ pucchi. ‘‘Kuto me, ācariya, sukhaṃ, ajja sakalanivesane āvudhāni pajjalitānī’’ti vutte ‘‘mā bhāyi, deva, na tumhākaṃ nivesaneyeva, sakalanagarepi pajjaliṃsuyeva, ajja amhākaṃ gehe kumārassa jātattā evaṃ ahosī’’ti. ‘‘Ācariya, evaṃ jātakumārassa pana kiṃ bhavissatī’’ti? ‘‘Na kiñci, mahārāja, so pana sakalajambudīpe dhanuggahānaṃ aggo bhavissatī’’ti. ‘‘Sādhu, ācariya, tena hi naṃ paṭijaggitvā vayappattakāle amhākaṃ dasseyyāsī’’ti vatvā khīramūlaṃ tāva sahassaṃ dāpesi. Purohito taṃ gahetvā nivesanaṃ gantvā brāhmaṇiyā datvā puttassa nāmaggahaṇadivase jātakkhaṇe āvudhānaṃ pajjalitattā ‘‘jotipālo’’tissa nāmaṃ akāsi.
โส มหเนฺตน ปริวาเรน วฑฺฒมาโน โสฬสวสฺสกาเล อุตฺตมรูปธโร อโหสิฯ อถสฺส ปิตา สรีรสมฺปตฺติํ โอโลเกตฺวา สหสฺสํ ทตฺวา, ‘‘ตาต, ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา ทิสาปาโมกฺขสฺส อาจริยสฺส สนฺติเก สิปฺปํ อุปฺปณฺหาหี’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อาจริยภาคํ คเหตฺวา มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา สหสฺสํ ทตฺวา สิปฺปํ ปฎฺฐเปตฺวา สตฺตาเหเนว นิปฺผตฺติํ ปาปุณิฯ อถสฺส อาจริโย ตุสฺสิตฺวา อตฺตโน สนฺตกํ ขคฺครตนํ สนฺธิยุตฺตํ เมณฺฑกสิงฺคธนุํ สนฺธิยุตฺตํ ตูณีรํ อตฺตโน สนฺนาหกญฺจุกํ อุณฺหีสญฺจ ทตฺวา ‘‘ตาต โชติโปล, อหํ มหลฺลโก, อิทานิ ตฺวํ อิเม มาณวเก สิกฺขาเปหี’’ติ ปญฺจสตมาณวเกปิ ตเสฺสว นิยฺยาเทสิฯ โพธิสโตฺต สพฺพํ อุปกรณํ คเหตฺวา อาจริยํ วนฺทิตฺวา พาราณสิเมว อาคนฺตฺวา มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ อถ นํ วนฺทิตฺวา ฐิตํ ปิตา อโวจ ‘‘อุคฺคหิตํ เต, ตาต, สิปฺป’’นฺติฯ ‘‘อาม, ตาตา’’ติฯ โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา ราชกุลํ คนฺตฺวา ‘‘ปุโตฺต เม , เทว, สิปฺปํ สิกฺขิตฺวา อาคโต, กิํ กโรตู’’ติ อาหฯ ‘‘อาจริย, อเมฺห อุปฎฺฐหตู’’ติฯ ‘‘ปริพฺพยมสฺส ชานาถ, เทวา’’ติฯ ‘‘โส เทวสิกํ สหสฺสํ ลภตู’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา เคหํ คนฺตฺวา กุมารํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ตาต, ราชานํ อุปฎฺฐหา’’ติ อาหฯ โส ตโต ปฎฺฐาย เทวสิกํ สหสฺสํ ลภิตฺวา ราชานํ อุปฎฺฐหิฯ
So mahantena parivārena vaḍḍhamāno soḷasavassakāle uttamarūpadharo ahosi. Athassa pitā sarīrasampattiṃ oloketvā sahassaṃ datvā, ‘‘tāta, takkasilaṃ gantvā disāpāmokkhassa ācariyassa santike sippaṃ uppaṇhāhī’’ti āha. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā ācariyabhāgaṃ gahetvā mātāpitaro vanditvā tattha gantvā sahassaṃ datvā sippaṃ paṭṭhapetvā sattāheneva nipphattiṃ pāpuṇi. Athassa ācariyo tussitvā attano santakaṃ khaggaratanaṃ sandhiyuttaṃ meṇḍakasiṅgadhanuṃ sandhiyuttaṃ tūṇīraṃ attano sannāhakañcukaṃ uṇhīsañca datvā ‘‘tāta jotipola, ahaṃ mahallako, idāni tvaṃ ime māṇavake sikkhāpehī’’ti pañcasatamāṇavakepi tasseva niyyādesi. Bodhisatto sabbaṃ upakaraṇaṃ gahetvā ācariyaṃ vanditvā bārāṇasimeva āgantvā mātāpitaro vanditvā aṭṭhāsi. Atha naṃ vanditvā ṭhitaṃ pitā avoca ‘‘uggahitaṃ te, tāta, sippa’’nti. ‘‘Āma, tātā’’ti. So tassa vacanaṃ sutvā rājakulaṃ gantvā ‘‘putto me , deva, sippaṃ sikkhitvā āgato, kiṃ karotū’’ti āha. ‘‘Ācariya, amhe upaṭṭhahatū’’ti. ‘‘Paribbayamassa jānātha, devā’’ti. ‘‘So devasikaṃ sahassaṃ labhatū’’ti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā gehaṃ gantvā kumāraṃ pakkosāpetvā ‘‘tāta, rājānaṃ upaṭṭhahā’’ti āha. So tato paṭṭhāya devasikaṃ sahassaṃ labhitvā rājānaṃ upaṭṭhahi.
ราชปาทมูลิกา อุชฺฌายิํสุ – ‘‘มยํ โชติปาเลน กตกมฺมํ น ปสฺสาม, เทวสิกํ สหสฺสํ คณฺหาติ, มยมสฺส สิปฺปํ ปสฺสิตุกามา’’ติฯ ราชา เตสํ วจนํ สุตฺวา ปุโรหิตสฺส กเถสิฯ ปุโรหิโต ‘‘สาธุ, เทวา’’ติ ปุตฺตสฺสาโรเจสิฯ โส ‘‘สาธุ, ตาต, อิโต สตฺตเม ทิวเส ทเสฺสสฺสามิ สิปฺปํ, อปิจ ราชา อตฺตโน วิชิเต ธนุคฺคเห สนฺนิปาตาเปตู’’ติ อาหฯ ปุโรหิโต คนฺตฺวา รโญฺญ ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ ราชา นคเร เภริํ จราเปตฺวา ธนุคฺคเห สนฺนิปาตาเปสิฯ สฎฺฐิสหสฺสา ธนุคฺคหา สนฺนิปติํสุฯ ราชา เตสํ สนฺนิปติตภาวํ ญตฺวา ‘‘นครวาสิโน โชติปาลสฺส สิปฺปํ ปสฺสนฺตู’’ติ นคเร เภริํ จราเปตฺวา ราชงฺคณํ สชฺชาเปตฺวา มหาชนปริวุโต ปลฺลงฺกวเร นิสีทิตฺวา ธนุคฺคเห ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘โชติปาโล อาคจฺฉตู’’ติ เปเสสิฯ โส อาจริเยน ทินฺนานิ ธนุตูณีรสนฺนาหกญฺจุกอุณฺหีสานิ นิวาสนนฺตเร ฐเปตฺวา ขคฺคํ คาหาเปตฺวา ปกติเวเสน รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ
Rājapādamūlikā ujjhāyiṃsu – ‘‘mayaṃ jotipālena katakammaṃ na passāma, devasikaṃ sahassaṃ gaṇhāti, mayamassa sippaṃ passitukāmā’’ti. Rājā tesaṃ vacanaṃ sutvā purohitassa kathesi. Purohito ‘‘sādhu, devā’’ti puttassārocesi. So ‘‘sādhu, tāta, ito sattame divase dassessāmi sippaṃ, apica rājā attano vijite dhanuggahe sannipātāpetū’’ti āha. Purohito gantvā rañño tamatthaṃ ārocesi. Rājā nagare bheriṃ carāpetvā dhanuggahe sannipātāpesi. Saṭṭhisahassā dhanuggahā sannipatiṃsu. Rājā tesaṃ sannipatitabhāvaṃ ñatvā ‘‘nagaravāsino jotipālassa sippaṃ passantū’’ti nagare bheriṃ carāpetvā rājaṅgaṇaṃ sajjāpetvā mahājanaparivuto pallaṅkavare nisīditvā dhanuggahe pakkosāpetvā ‘‘jotipālo āgacchatū’’ti pesesi. So ācariyena dinnāni dhanutūṇīrasannāhakañcukauṇhīsāni nivāsanantare ṭhapetvā khaggaṃ gāhāpetvā pakativesena rañño santikaṃ gantvā ekamantaṃ aṭṭhāsi.
ธนุคฺคหา ‘‘โชติปาโล กิร ธนุสิปฺปํ ทเสฺสตุํ อาคโต, ธนุํ อคฺคเหตฺวา ปน อาคตตฺตา อมฺหากํ หตฺถโต ธนุํ คเหตุกาโม ภวิสฺสติ , นาสฺส ทสฺสามา’’ติ กติกํ กริํสุฯ ราชา โชติปาลํ อามเนฺตตฺวา ‘‘สิปฺปํ ทเสฺสหี’’ติ อาหฯ โส สาณิํ ปริกฺขิปาเปตฺวา อโนฺตสาณิยํ ฐิโต สาฎกํ อปเนตฺวา สนฺนาหกญฺจุกํ ปเวเสตฺวา อุณฺหีสํ สีเส ปฎิมุญฺจิตฺวา เมณฺฑกสิงฺคธนุมฺหิ ปวาลวณฺณํ ชิยํ อาโรเปตฺวา ตูณีรํ ปิเฎฺฐ พนฺธิตฺวา ขคฺคํ วามโต กตฺวา วชิรคฺคํ นาราจํ นขปิเฎฺฐน ปริวเตฺตตฺวา สาณิํ วิวริตฺวา ปถวิํ ภินฺทิตฺวา อลงฺกตนาคกุมาโร วิย นิกฺขมิตฺวา คนฺตฺวา รโญฺญ อปจิติํ ทเสฺสตฺวา อฎฺฐาสิฯ ตํ ทิสฺวา มหาชนา วคฺคนฺติ นทนฺติ อโปฺผเฎนฺติ เสเฬนฺติฯ ราชา ‘‘ทเสฺสหิ, โชติปาล, สิปฺป’’นฺติ อาหฯ เทว, ตุมฺหากํ ธนุคฺคเหสุ อกฺขณเวธิวาลเวธิสรเวธิสทฺทเวธิโน จตฺตาโร ธนุคฺคเห ปโกฺกสาเปหีติฯ อถ ราชา ปโกฺกสาเปสิฯ
Dhanuggahā ‘‘jotipālo kira dhanusippaṃ dassetuṃ āgato, dhanuṃ aggahetvā pana āgatattā amhākaṃ hatthato dhanuṃ gahetukāmo bhavissati , nāssa dassāmā’’ti katikaṃ kariṃsu. Rājā jotipālaṃ āmantetvā ‘‘sippaṃ dassehī’’ti āha. So sāṇiṃ parikkhipāpetvā antosāṇiyaṃ ṭhito sāṭakaṃ apanetvā sannāhakañcukaṃ pavesetvā uṇhīsaṃ sīse paṭimuñcitvā meṇḍakasiṅgadhanumhi pavālavaṇṇaṃ jiyaṃ āropetvā tūṇīraṃ piṭṭhe bandhitvā khaggaṃ vāmato katvā vajiraggaṃ nārācaṃ nakhapiṭṭhena parivattetvā sāṇiṃ vivaritvā pathaviṃ bhinditvā alaṅkatanāgakumāro viya nikkhamitvā gantvā rañño apacitiṃ dassetvā aṭṭhāsi. Taṃ disvā mahājanā vagganti nadanti apphoṭenti seḷenti. Rājā ‘‘dassehi, jotipāla, sippa’’nti āha. Deva, tumhākaṃ dhanuggahesu akkhaṇavedhivālavedhisaravedhisaddavedhino cattāro dhanuggahe pakkosāpehīti. Atha rājā pakkosāpesi.
มหาสโตฺต ราชงฺคเณ จตุรสฺสปริเจฺฉทพฺภนฺตเร มณฺฑลํ กตฺวา จตูสุ กเณฺณสุ จตฺตาโร ธนุคฺคเห ฐเปตฺวา เอเกกสฺส ติํส ติํส กณฺฑสหสฺสานิ ทาเปตฺวา เอเกกสฺส สนฺติเก เอเกกํ กณฺฑทายกํ ฐเปตฺวา สยํ วชิรคฺคํ นาราจํ คเหตฺวา มณฺฑลมเชฺฌ ฐตฺวา ‘‘มหาราช, อิเม จตฺตาโร ธนุคฺคหา เอกปฺปหาเรเนว สเร ขิปิตฺวา มํ วิชฺฌนฺตุ, อหํ เอเตหิ ขิตฺตกณฺฑานิ นิวาเรสฺสามี’’ติ อาหฯ ราชา ‘‘เอวํ กโรถา’’ติ อาณาเปสิฯ ธนุคฺคหา อาหํสุ, ‘‘มหาราช, มยํ อกฺขณเวธิวาลเวธิสรเวธิสทฺทเวธิโน, โชติปาโล ตรุณทารโก, น มยํ วิชฺฌิสฺสามา’’ติฯ มหาสโตฺต ‘‘สเจ สโกฺกถ, วิชฺฌถ ม’’นฺติ อาหฯ เต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา เอกปฺปหาเรเนว กณฺฑานิ ขิปิํสุฯ มหาสโตฺต ตานิ นาราเจน ปหริตฺวา ยถา วา ตถา วา น ปาเตสิ, โพธิโกฎฺฐกํ ปน ปริกฺขิปโนฺต วิย ตาเลน ตาลํ, วาเลน วาลํ, ทณฺฑเกน ทณฺฑกํ, วาเชน วาชํ อนติกฺกมโนฺต ขิปิตฺวา สรคพฺภํ อกาสิฯ ธนุคฺคหานํ กณฺฑานิ ขีณานิฯ โส เตสํ กณฺฑขีณภาวํ ญตฺวา สรคพฺภํ อวินาเสโนฺตว อุปฺปติตฺวา คนฺตฺวา รโญฺญ สนฺติเก อฎฺฐาสิฯ มหาชโน อุนฺนาเทโนฺต วคฺคโนฺต อโปฺผเฎโนฺต เสเฬโนฺต อจฺฉรํ ปหรโนฺต มหาโกลาหลํ กตฺวา วตฺถาภรณาทีนิ ขิปิฯ เอวํ เอกราสิภูตํ อฎฺฐารสโกฎิสงฺขฺยํ ธนํ อโหสิฯ
Mahāsatto rājaṅgaṇe caturassaparicchedabbhantare maṇḍalaṃ katvā catūsu kaṇṇesu cattāro dhanuggahe ṭhapetvā ekekassa tiṃsa tiṃsa kaṇḍasahassāni dāpetvā ekekassa santike ekekaṃ kaṇḍadāyakaṃ ṭhapetvā sayaṃ vajiraggaṃ nārācaṃ gahetvā maṇḍalamajjhe ṭhatvā ‘‘mahārāja, ime cattāro dhanuggahā ekappahāreneva sare khipitvā maṃ vijjhantu, ahaṃ etehi khittakaṇḍāni nivāressāmī’’ti āha. Rājā ‘‘evaṃ karothā’’ti āṇāpesi. Dhanuggahā āhaṃsu, ‘‘mahārāja, mayaṃ akkhaṇavedhivālavedhisaravedhisaddavedhino, jotipālo taruṇadārako, na mayaṃ vijjhissāmā’’ti. Mahāsatto ‘‘sace sakkotha, vijjhatha ma’’nti āha. Te ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā ekappahāreneva kaṇḍāni khipiṃsu. Mahāsatto tāni nārācena paharitvā yathā vā tathā vā na pātesi, bodhikoṭṭhakaṃ pana parikkhipanto viya tālena tālaṃ, vālena vālaṃ, daṇḍakena daṇḍakaṃ, vājena vājaṃ anatikkamanto khipitvā saragabbhaṃ akāsi. Dhanuggahānaṃ kaṇḍāni khīṇāni. So tesaṃ kaṇḍakhīṇabhāvaṃ ñatvā saragabbhaṃ avināsentova uppatitvā gantvā rañño santike aṭṭhāsi. Mahājano unnādento vagganto apphoṭento seḷento accharaṃ paharanto mahākolāhalaṃ katvā vatthābharaṇādīni khipi. Evaṃ ekarāsibhūtaṃ aṭṭhārasakoṭisaṅkhyaṃ dhanaṃ ahosi.
อถ นํ ราชา ปุจฺฉิ – ‘‘กิํ สิปฺปํ นาเมตํ โชติปาลา’’ติ? สรปฎิพาหนํ นาม, เทวาติฯ อเญฺญ เอตํ ชานนฺตา อตฺถีติฯ สกลชมฺพุทีเป มํ ฐเปตฺวา อโญฺญ นตฺถิ, เทวาติฯ อปรํ ทเสฺสหิ, ตาตาติฯ เทว, เอเต ตาว จตูสุ กเณฺณสุ ฐตฺวา จตฺตาโรปิ ชนา มํ วิชฺฌิตุํ น สกฺขิํสุ, อหํ ปเนเต จตูสุ กเณฺณสุ ฐิเต เอเกเนว สเรน วิชฺฌิสฺสามีติฯ ธนุคฺคหา ฐาตุํ น อุสฺสหิํสุฯ มหาสโตฺต จตูสุ กเณฺณสุ จตโสฺส กทลิโย ฐปาเปตฺวา นาราจปุเงฺข รตฺตสุตฺตกํ พนฺธิตฺวา เอกํ กทลิํ สนฺธาย ขิปิฯ นาราโจ ตํ กทลิํ วิชฺฌิตฺวา ตโต ทุติยํ, ตโต ตติยํ, ตโต จตุตฺถํ, ตโต ปฐมํ วิทฺธเมว วิชฺฌิตฺวา ปุน ตสฺส หเตฺถเยว ปติฎฺฐหิฯ กทลิโย สุตฺตปริกฺขิตฺตา อฎฺฐํสุฯ มหาชโน อุนฺนาทสหสฺสานิ ปวเตฺตสิฯ ราชา ‘‘กิํ สิปฺปํ นาเมตํ, ตาตา’’ติ? จกฺกวิทฺธํ นาม, เทวาติฯ อปรมฺปิ ทเสฺสหิ, ตาตาติฯ มหาสโตฺต สรลฎฺฐิํ นาม, สรรชฺชุํ นาม, สรเวธิํ นาม ทเสฺสสิ, สรปาสาทํ นาม, สรโสปานํ นาม, สรมณฺฑปํ นาม, สรปาการํ นาม, สรโปกฺขรณิํ นาม อกาสิ, สรปทุมํ นาม ปุปฺผาเปสิ, สรวสฺสํ นาม วสฺสาเปสิฯ อิติ อเญฺญหิ อสาธารณานิ อิมานิ ทฺวาทส สิปฺปานิ ทเสฺสตฺวา ปุน อเญฺญหิ อสาธารเณเยว สตฺต มหากาเย ปทาเลสิ, อฎฺฐงฺคุลพหลํ อุทุมฺพรปทรํ วิชฺฌิ, จตุรงฺคุลพหลํ อสนปทรํ, ทฺวงฺคุลพหลํ ตมฺพปฎฺฎํ, เอกงฺคุลพหลํ อยปฎฺฎํ, เอกาพทฺธํ ผลกสตํ วินิวิชฺฌิตฺวา ปลาลสกฎวาลุกสกฎปทรสกฎานํ ปุริมภาเคน สรํ ขิปิตฺวา ปจฺฉาภาเคน นิกฺขมาเปสิ, ปจฺฉาภาเคน สรํ ขิปิตฺวา ปุริมภาเคน นิกฺขมาเปสิ, อุทเก จตุอุสภํ, ถเล อฎฺฐอุสภฎฺฐานํ กณฺฑํ เปเสสิฯ วาติงฺคณสญฺญาย อุสภมตฺตเก วาลํ วิชฺฌิฯ โพธิสโตฺต สเร ขิปิตฺวา อากาเส สรปาสาทาทีนิ กตฺวา ปุน เอเกน สเรน เต สเร ปาเตโนฺต ภงฺควิภเงฺค อกาสีติ ‘‘สรภโงฺค’’ติ นาม ปญฺญาโตฯ ตสฺส เอตฺตกานิ สิปฺปานิ ทเสฺสนฺตเสฺสว สูริโย อตฺถงฺคโตฯ
Atha naṃ rājā pucchi – ‘‘kiṃ sippaṃ nāmetaṃ jotipālā’’ti? Sarapaṭibāhanaṃ nāma, devāti. Aññe etaṃ jānantā atthīti. Sakalajambudīpe maṃ ṭhapetvā añño natthi, devāti. Aparaṃ dassehi, tātāti. Deva, ete tāva catūsu kaṇṇesu ṭhatvā cattāropi janā maṃ vijjhituṃ na sakkhiṃsu, ahaṃ panete catūsu kaṇṇesu ṭhite ekeneva sarena vijjhissāmīti. Dhanuggahā ṭhātuṃ na ussahiṃsu. Mahāsatto catūsu kaṇṇesu catasso kadaliyo ṭhapāpetvā nārācapuṅkhe rattasuttakaṃ bandhitvā ekaṃ kadaliṃ sandhāya khipi. Nārāco taṃ kadaliṃ vijjhitvā tato dutiyaṃ, tato tatiyaṃ, tato catutthaṃ, tato paṭhamaṃ viddhameva vijjhitvā puna tassa hattheyeva patiṭṭhahi. Kadaliyo suttaparikkhittā aṭṭhaṃsu. Mahājano unnādasahassāni pavattesi. Rājā ‘‘kiṃ sippaṃ nāmetaṃ, tātā’’ti? Cakkaviddhaṃ nāma, devāti. Aparampi dassehi, tātāti. Mahāsatto saralaṭṭhiṃ nāma, sararajjuṃ nāma, saravedhiṃ nāma dassesi, sarapāsādaṃ nāma, sarasopānaṃ nāma, saramaṇḍapaṃ nāma, sarapākāraṃ nāma, sarapokkharaṇiṃ nāma akāsi, sarapadumaṃ nāma pupphāpesi, saravassaṃ nāma vassāpesi. Iti aññehi asādhāraṇāni imāni dvādasa sippāni dassetvā puna aññehi asādhāraṇeyeva satta mahākāye padālesi, aṭṭhaṅgulabahalaṃ udumbarapadaraṃ vijjhi, caturaṅgulabahalaṃ asanapadaraṃ, dvaṅgulabahalaṃ tambapaṭṭaṃ, ekaṅgulabahalaṃ ayapaṭṭaṃ, ekābaddhaṃ phalakasataṃ vinivijjhitvā palālasakaṭavālukasakaṭapadarasakaṭānaṃ purimabhāgena saraṃ khipitvā pacchābhāgena nikkhamāpesi, pacchābhāgena saraṃ khipitvā purimabhāgena nikkhamāpesi, udake catuusabhaṃ, thale aṭṭhausabhaṭṭhānaṃ kaṇḍaṃ pesesi. Vātiṅgaṇasaññāya usabhamattake vālaṃ vijjhi. Bodhisatto sare khipitvā ākāse sarapāsādādīni katvā puna ekena sarena te sare pātento bhaṅgavibhaṅge akāsīti ‘‘sarabhaṅgo’’ti nāma paññāto. Tassa ettakāni sippāni dassentasseva sūriyo atthaṅgato.
อถสฺส ราชา เสนาปติฎฺฐานํ ปฎิชานิตฺวา ‘‘โชติปาล, อชฺช วิกาโล, เสฺว ตฺวํ เสนาปติฎฺฐานํ สกฺการํ คณฺหิสฺสสิ, เกสมสฺสุํ กาเรตฺวา นฺหตฺวา เอหี’’ติ ตํ ทิวสํ ปริพฺพยตฺถาย สตสหสฺสํ อทาสิฯ มหาสโตฺต ‘‘อิมินา มยฺหํ อโตฺถ นตฺถี’’ติ อฎฺฐารสโกฎิสงฺขฺยํ ธนํ สามิกานเญฺญว ทตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน นฺหายิตุํ นทิํ คนฺตฺวา เกสมสฺสุํ กาเรตฺวา นฺหตฺวา สพฺพาลงฺการปฺปฎิมณฺฑิโต อโนปมาย สิริยา นิเวสนํ ปวิสิตฺวา นานคฺครสโภชนํ ภุญฺชิตฺวา สิริสยนํ อภิรุยฺห นิปโนฺน เทฺว ยาเม สยิตฺวา ปจฺฉิมยาเม ปพุโทฺธ อุฎฺฐาย ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา สยนปิเฎฺฐ นิสิโนฺนว อตฺตโน สิปฺปสฺส อาทิมชฺฌปริโยสานํ โอโลเกโนฺต ‘‘มม สิปฺปสฺส อาทิโตว ปรมารณํ ปญฺญายติ, มเชฺฌ กิเลสปริโภโค, ปริโยสาเน นิรยมฺหิ ปฎิสนฺธิ, ปาณาติปาโต กิเลสปริโภเคสุ จ อธิมตฺตปฺปมาโท นิรเย ปฎิสนฺธิํ เทติ, รญฺญา มยฺหํ มหนฺตํ เสนาปติฎฺฐานํ ทินฺนํ, มหนฺตํ เม อิสฺสริยํ ภวิสฺสติ, ภริยา จ ปุตฺตธีตโร จ พหู ภวิสฺสนฺติฯ กิเลสวตฺถุ โข ปน เวปุลฺลคตํ ทุจฺจชํ โหติ, อิทาเนว นิกฺขมิตฺวา เอกโกว อรญฺญํ ปวิสิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตุํ ยุตฺตํ มยฺห’’นฺติ มหาสยนโต อุฎฺฐาย กญฺจิ อชานาเปโนฺต ปาสาทา โอรุยฺห อคฺคทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา เอกโกว อรญฺญํ ปวิสิตฺวา โคธาวรินทีตีเร ติโยชนิกํ กปิฎฺฐวนํ สนฺธาย ปายาสิฯ
Athassa rājā senāpatiṭṭhānaṃ paṭijānitvā ‘‘jotipāla, ajja vikālo, sve tvaṃ senāpatiṭṭhānaṃ sakkāraṃ gaṇhissasi, kesamassuṃ kāretvā nhatvā ehī’’ti taṃ divasaṃ paribbayatthāya satasahassaṃ adāsi. Mahāsatto ‘‘iminā mayhaṃ attho natthī’’ti aṭṭhārasakoṭisaṅkhyaṃ dhanaṃ sāmikānaññeva datvā mahantena parivārena nhāyituṃ nadiṃ gantvā kesamassuṃ kāretvā nhatvā sabbālaṅkārappaṭimaṇḍito anopamāya siriyā nivesanaṃ pavisitvā nānaggarasabhojanaṃ bhuñjitvā sirisayanaṃ abhiruyha nipanno dve yāme sayitvā pacchimayāme pabuddho uṭṭhāya pallaṅkaṃ ābhujitvā sayanapiṭṭhe nisinnova attano sippassa ādimajjhapariyosānaṃ olokento ‘‘mama sippassa āditova paramāraṇaṃ paññāyati, majjhe kilesaparibhogo, pariyosāne nirayamhi paṭisandhi, pāṇātipāto kilesaparibhogesu ca adhimattappamādo niraye paṭisandhiṃ deti, raññā mayhaṃ mahantaṃ senāpatiṭṭhānaṃ dinnaṃ, mahantaṃ me issariyaṃ bhavissati, bhariyā ca puttadhītaro ca bahū bhavissanti. Kilesavatthu kho pana vepullagataṃ duccajaṃ hoti, idāneva nikkhamitvā ekakova araññaṃ pavisitvā isipabbajjaṃ pabbajituṃ yuttaṃ mayha’’nti mahāsayanato uṭṭhāya kañci ajānāpento pāsādā oruyha aggadvārena nikkhamitvā ekakova araññaṃ pavisitvā godhāvarinadītīre tiyojanikaṃ kapiṭṭhavanaṃ sandhāya pāyāsi.
ตสฺส นิกฺขนฺตภาวํ ญตฺวา สโกฺก วิสฺสกมฺมํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ตาต, ชาติปาโล อภินิกฺขมนํ นิกฺขโนฺต, มหาสมาคโม ภวิสฺสติ, โคธาวรินทีตีเร กปิฎฺฐวเน อสฺสมํ มาเปตฺวา ปพฺพชิตปริกฺขาเร ปฎิยาเทหี’’ติ อาหฯ โส ตถา อกาสิฯ มหาสโตฺต ตํ ฐานํ ปตฺวา เอกปทิกมคฺคํ ทิสฺวา ‘‘ปพฺพชิตานํ วสนฎฺฐาเนน ภวิตพฺพ’’นฺติ เตน มเคฺคน ตตฺถ คนฺตฺวา กญฺจิ อปสฺสโนฺต ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา ปพฺพชิตปริกฺขาเร ทิสฺวา ‘‘สโกฺก เทวราชา มม นิกฺขนฺตภาวํ อญฺญาสิ มเญฺญ’’ติ จิเนฺตตฺวา สาฎกํ อปเนตฺวา รตฺตวากจิรํ นิวาเสตฺวา จ ปารุปิตฺวา จ อชินจมฺมํ เอกํสคตํ อกาสิ, ชฎามณฺฑลํ พนฺธิตฺวา ขาริกาชํ อํเส กตฺวา กตฺตรทณฺฑํ คเหตฺวา ปณฺณสาลโต นิกฺขมิตฺวา จงฺกมํ อารุยฺห กติปยวาเร อปราปรํ จงฺกมิตฺวา ปพฺพชฺชาสิริยา วนํ อุปโสภยมาโน กสิณปริกมฺมํ กตฺวา ปพฺพชิตโต สตฺตเม ทิวเส อฎฺฐ สมาปตฺติโย ปญฺจ อภิญฺญาโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา อุญฺฉาจริยาย วนมูลผลาหาโร เอกโกว วิหาสิฯ มาตาปิตโร มิตฺตสุหชฺชาทโย ญาติวคฺคาปิสฺส ตํ อปสฺสนฺตา โรทนฺตา ปริเทวนฺตา วิจรนฺติฯ
Tassa nikkhantabhāvaṃ ñatvā sakko vissakammaṃ pakkosāpetvā ‘‘tāta, jātipālo abhinikkhamanaṃ nikkhanto, mahāsamāgamo bhavissati, godhāvarinadītīre kapiṭṭhavane assamaṃ māpetvā pabbajitaparikkhāre paṭiyādehī’’ti āha. So tathā akāsi. Mahāsatto taṃ ṭhānaṃ patvā ekapadikamaggaṃ disvā ‘‘pabbajitānaṃ vasanaṭṭhānena bhavitabba’’nti tena maggena tattha gantvā kañci apassanto paṇṇasālaṃ pavisitvā pabbajitaparikkhāre disvā ‘‘sakko devarājā mama nikkhantabhāvaṃ aññāsi maññe’’ti cintetvā sāṭakaṃ apanetvā rattavākaciraṃ nivāsetvā ca pārupitvā ca ajinacammaṃ ekaṃsagataṃ akāsi, jaṭāmaṇḍalaṃ bandhitvā khārikājaṃ aṃse katvā kattaradaṇḍaṃ gahetvā paṇṇasālato nikkhamitvā caṅkamaṃ āruyha katipayavāre aparāparaṃ caṅkamitvā pabbajjāsiriyā vanaṃ upasobhayamāno kasiṇaparikammaṃ katvā pabbajitato sattame divase aṭṭha samāpattiyo pañca abhiññāyo ca nibbattetvā uñchācariyāya vanamūlaphalāhāro ekakova vihāsi. Mātāpitaro mittasuhajjādayo ñātivaggāpissa taṃ apassantā rodantā paridevantā vicaranti.
อเถโก วนจรโก อรญฺญํ ปวิสิตฺวา กปิฎฺฐกอสฺสมปเท นิสินฺนํ มหาสตฺตํ ทิสฺวา สญฺชานิตฺวา คนฺตฺวา เตน สทฺธิํ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา นครํ คนฺตฺวา ตสฺส มาตาปิตูนํ อาโรเจสิฯ เต รโญฺญ อาโรจยิํสุฯ ราชา ‘‘เอถ นํ ปสฺสิสฺสามา’’ติ ตสฺส มาตาปิตโร คเหตฺวา มหาชนปริวุโต วนจรเกน เทสิเตน มเคฺคน โคธาวรินทีตีรํ ปาปุณิฯ โพธิสโตฺต นทีตีรํ อาคนฺตฺวา อากาเส นิสิโนฺน ธมฺมํ เทเสตฺวา เต สเพฺพ อสฺสมปทํ ปเวเสตฺวา ตตฺรปิ เตสํ อากาเส นิสิโนฺนว กาเมสุ อาทีนวํ ปกาเสตฺวา ธมฺมํ เทเสสิฯ ราชานํ อาทิํ กตฺวา สเพฺพว ปพฺพชิํสุฯ โพธิสโตฺต อิสิคณปริวุโต ตเตฺถว วสิฯ อถสฺส ตตฺถ วสนภาโว สกลชมฺพุทีเป ปากโฎ อโหสิฯ อเญฺญปิ ราชาโน รฎฺฐวาสีหิ สทฺธิํ อาคนฺตฺวา ตสฺส สนฺติเก ปพฺพชิํสุ, สมาคโม มหา อโหสิฯ อนุปุเพฺพน อเนกสตสหสฺสปริสา อเหสุํฯ โย กามวิตกฺกํ วา พฺยาปาทวิตกฺกํ วา วิหิํสาวิตกฺกํ วา วิตเกฺกติ, มหาสโตฺต คนฺตฺวา ตสฺส ปุรโต อากาเส นิสีทิตฺวา ธมฺมํ เทเสติ, กสิณปริกมฺมํ อาจิกฺขติฯ ตโสฺสวาเท ฐตฺวา อฎฺฐ สมาปตฺติโย อุปฺปาเทตฺวา ฌานนิปฺผตฺติํ ปตฺตา สาลิสฺสโร เมณฺฑิสฺสโร ปพฺพโต กาฬเทวิโล กิสวโจฺฉ อนุสิโสฺส นารโทติ สตฺต เชฎฺฐเนฺตวาสิโน อเหสุํฯ อปรภาเค กปิฎฺฐกอสฺสโม ปริปูริฯ อิสิคณสฺส วสโนกาโส นปฺปโหติฯ
Atheko vanacarako araññaṃ pavisitvā kapiṭṭhakaassamapade nisinnaṃ mahāsattaṃ disvā sañjānitvā gantvā tena saddhiṃ paṭisanthāraṃ katvā nagaraṃ gantvā tassa mātāpitūnaṃ ārocesi. Te rañño ārocayiṃsu. Rājā ‘‘etha naṃ passissāmā’’ti tassa mātāpitaro gahetvā mahājanaparivuto vanacarakena desitena maggena godhāvarinadītīraṃ pāpuṇi. Bodhisatto nadītīraṃ āgantvā ākāse nisinno dhammaṃ desetvā te sabbe assamapadaṃ pavesetvā tatrapi tesaṃ ākāse nisinnova kāmesu ādīnavaṃ pakāsetvā dhammaṃ desesi. Rājānaṃ ādiṃ katvā sabbeva pabbajiṃsu. Bodhisatto isigaṇaparivuto tattheva vasi. Athassa tattha vasanabhāvo sakalajambudīpe pākaṭo ahosi. Aññepi rājāno raṭṭhavāsīhi saddhiṃ āgantvā tassa santike pabbajiṃsu, samāgamo mahā ahosi. Anupubbena anekasatasahassaparisā ahesuṃ. Yo kāmavitakkaṃ vā byāpādavitakkaṃ vā vihiṃsāvitakkaṃ vā vitakketi, mahāsatto gantvā tassa purato ākāse nisīditvā dhammaṃ deseti, kasiṇaparikammaṃ ācikkhati. Tassovāde ṭhatvā aṭṭha samāpattiyo uppādetvā jhānanipphattiṃ pattā sālissaro meṇḍissaro pabbato kāḷadevilo kisavaccho anusisso nāradoti satta jeṭṭhantevāsino ahesuṃ. Aparabhāge kapiṭṭhakaassamo paripūri. Isigaṇassa vasanokāso nappahoti.
อถ มหาสโตฺต สาลิสฺสรํ อามเนฺตตฺวา ‘‘สาลิสฺสร, อยํ อสฺสโม อิสิคณสฺส นปฺปโหติ, ตฺวํ อิมํ อิสิคณํ คเหตฺวา มชฺฌรโญฺญ วิชิเต กลปฺปจุลฺลกนิคมํ อุปนิสฺสาย วสาหี’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธู’’ติ ตสฺส วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อเนกสหสฺสํ อิสิคณํ คเหตฺวา คนฺตฺวา ตตฺถ วาสํ กเปฺปสิฯ มนุเสฺสสุ อาคนฺตฺวา ปพฺพชเนฺตสุ ปุน อสฺสโม ปริปูริฯ โพธิสโตฺต เมณฺฑิสฺสรํ อามเนฺตตฺวา, ‘‘เมณฺฑิสฺสร, ตฺวํ อิมํ อิสิคณํ อาทาย สุรฎฺฐชนปทสฺส สีมนฺตเร สาโตทิกา นาม นที อตฺถิ, ตสฺสา ตีเร วสาหี’’ติ อุโยฺยเชสิ, ปุน กปิฎฺฐกอสฺสโม ปริปูริฯ เอเตนุปาเยน ตติยวาเร ปพฺพตํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ปพฺพต, ตฺวํ มหาอฎวิยํ อญฺชนปพฺพโต นาม อตฺถิ, ตํ อุปนิสฺสาย วสาหี’’ติ เปเสสิฯ จตุตฺถวาเร กาฬเทวิลํ อามเนฺตตฺวา ‘‘กาฬเทวิล, ตฺวํ ทกฺขิณปเถ อวนฺติรเฎฺฐ ฆนเสลปพฺพโต นาม อตฺถิ, ตํ อุปนิสฺสาย วสาหี’’ติ เปเสสิฯ ปุน กปิฎฺฐกอสฺสโม ปริปูริ, ปญฺจสุ ฐาเนสุ อเนกสตสหสฺสอิสิคโณ อโหสิฯ กิสวโจฺฉ ปน มหาสตฺตํ อาปุจฺฉิตฺวา ทณฺฑกิรโญฺญ วิชิเต กุมฺภวตินครํ นาม อตฺถิ, ตํ อุปนิสฺสาย อุยฺยาเน วิหาสิฯ นารโท มชฺฌิมเทเส อญฺชนคิรินามเก ปพฺพตชาลนฺตเร วิหาสิฯ อนุสิโสฺส ปน มหาสตฺตสฺส สนฺติเกว อโหสิฯ
Atha mahāsatto sālissaraṃ āmantetvā ‘‘sālissara, ayaṃ assamo isigaṇassa nappahoti, tvaṃ imaṃ isigaṇaṃ gahetvā majjharañño vijite kalappacullakanigamaṃ upanissāya vasāhī’’ti āha. So ‘‘sādhū’’ti tassa vacanaṃ sampaṭicchitvā anekasahassaṃ isigaṇaṃ gahetvā gantvā tattha vāsaṃ kappesi. Manussesu āgantvā pabbajantesu puna assamo paripūri. Bodhisatto meṇḍissaraṃ āmantetvā, ‘‘meṇḍissara, tvaṃ imaṃ isigaṇaṃ ādāya suraṭṭhajanapadassa sīmantare sātodikā nāma nadī atthi, tassā tīre vasāhī’’ti uyyojesi, puna kapiṭṭhakaassamo paripūri. Etenupāyena tatiyavāre pabbataṃ āmantetvā ‘‘pabbata, tvaṃ mahāaṭaviyaṃ añjanapabbato nāma atthi, taṃ upanissāya vasāhī’’ti pesesi. Catutthavāre kāḷadevilaṃ āmantetvā ‘‘kāḷadevila, tvaṃ dakkhiṇapathe avantiraṭṭhe ghanaselapabbato nāma atthi, taṃ upanissāya vasāhī’’ti pesesi. Puna kapiṭṭhakaassamo paripūri, pañcasu ṭhānesu anekasatasahassaisigaṇo ahosi. Kisavaccho pana mahāsattaṃ āpucchitvā daṇḍakirañño vijite kumbhavatinagaraṃ nāma atthi, taṃ upanissāya uyyāne vihāsi. Nārado majjhimadese añjanagirināmake pabbatajālantare vihāsi. Anusisso pana mahāsattassa santikeva ahosi.
ตสฺมิํ กาเล ทณฺฑกิราชา เอกํ ลทฺธสกฺการํ คณิกํ ฐานา จาเวสิฯ สา อตฺตโน ธมฺมตาย วิจรนฺตี อุยฺยานํ คนฺตฺวา กิสวจฺฉตาปสํ ทิสฺวา ‘‘อยํ กาฬกณฺณี ภวิสฺสติ, อิมสฺส สรีเร กลิํ ปวาเหตฺวา นฺหตฺวา คมิสฺสามี’’ติ ทนฺตกฎฺฐํ ขาทิตฺวา สพฺพปฐมํ ตสฺสูปริ พหลเขฬํ นิฎฺฐุภนฺตี กิสวจฺฉตาปสสฺส ชฎนฺตเร นิฎฺฐุภิตฺวา ทนฺตกฎฺฐมฺปิสฺส สีเสเยว ขิปิตฺวา สยํ สีสํ นฺหายิตฺวา คตาฯ ราชาปิ ตํ สริตฺวา ปุน ปากติกเมว อกาสิฯ สา โมหมูฬฺหา หุตฺวา ‘‘กาฬกณฺณิสรีเร กลิํ ปวาเหตฺวา มมฺปิ ราชา ปุน ฐาเน ฐเปติ มยา ยโส ลโทฺธ’’ติ สญฺญมกาสิฯ ตโต นจิรเสฺสว ราชา ปุโรหิตํ ฐานโต จาเวสิฯ โส ตสฺสา สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘ตฺวํ เกน การเณน ปุน ฐานํ ลภสี’’ติ ปุจฺฉิฯ อถสฺส สา ‘‘ราชุยฺยาเน กาฬกณฺณิสรีเร กลิสฺส ปวาหิตตฺตา’’ติ อาโรเจสิฯ ปุโรหิโต คนฺตฺวา ตเถว ตสฺส สรีเร กลิํ ปวาเหสิ, ตมฺปิ ราชา ปุน ฐาเน ฐเปสิฯ อถสฺส อปรภาเค ปจฺจโนฺต กุปฺปิฯ โส เสนงฺคปริวุโต ยุทฺธาย นิกฺขมิฯ อถ นํ โมหมูโฬฺห ปุโรหิโต, ‘‘มหาราช, กิํ ตุเมฺห ชยํ อิจฺฉถ, อุทาหุ ปราชย’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘ชย’’นฺติ วุเตฺต – ‘‘เตน หิ ราชุยฺยาเน กาฬกณฺณี วสติ, ตสฺส สรีเร กลิํ ปวาเหตฺวา ยาหี’’ติ อาหฯ โส ตสฺส กถํ คเหตฺวา ‘‘เย มยา สทฺธิํ อาคจฺฉนฺติ, เต อุยฺยาเน กาฬกณฺณิสรีเร กลิํ ปวาเหนฺตู’’ติ วตฺวา อุยฺยานํ ปวิสิตฺวา ทนฺตกฎฺฐํ ขาทิตฺวา สพฺพปฐมํ สยเมว ตสฺส ชฎนฺตเร เขฬํ นิฎฺฐุภิตฺวา ทนฺตกฎฺฐญฺจ ขิปิตฺวา สีสํ นฺหายิฯ พลกาโยปิสฺส ตถา อกาสิฯ
Tasmiṃ kāle daṇḍakirājā ekaṃ laddhasakkāraṃ gaṇikaṃ ṭhānā cāvesi. Sā attano dhammatāya vicarantī uyyānaṃ gantvā kisavacchatāpasaṃ disvā ‘‘ayaṃ kāḷakaṇṇī bhavissati, imassa sarīre kaliṃ pavāhetvā nhatvā gamissāmī’’ti dantakaṭṭhaṃ khāditvā sabbapaṭhamaṃ tassūpari bahalakheḷaṃ niṭṭhubhantī kisavacchatāpasassa jaṭantare niṭṭhubhitvā dantakaṭṭhampissa sīseyeva khipitvā sayaṃ sīsaṃ nhāyitvā gatā. Rājāpi taṃ saritvā puna pākatikameva akāsi. Sā mohamūḷhā hutvā ‘‘kāḷakaṇṇisarīre kaliṃ pavāhetvā mampi rājā puna ṭhāne ṭhapeti mayā yaso laddho’’ti saññamakāsi. Tato nacirasseva rājā purohitaṃ ṭhānato cāvesi. So tassā santikaṃ gantvā ‘‘tvaṃ kena kāraṇena puna ṭhānaṃ labhasī’’ti pucchi. Athassa sā ‘‘rājuyyāne kāḷakaṇṇisarīre kalissa pavāhitattā’’ti ārocesi. Purohito gantvā tatheva tassa sarīre kaliṃ pavāhesi, tampi rājā puna ṭhāne ṭhapesi. Athassa aparabhāge paccanto kuppi. So senaṅgaparivuto yuddhāya nikkhami. Atha naṃ mohamūḷho purohito, ‘‘mahārāja, kiṃ tumhe jayaṃ icchatha, udāhu parājaya’’nti pucchitvā ‘‘jaya’’nti vutte – ‘‘tena hi rājuyyāne kāḷakaṇṇī vasati, tassa sarīre kaliṃ pavāhetvā yāhī’’ti āha. So tassa kathaṃ gahetvā ‘‘ye mayā saddhiṃ āgacchanti, te uyyāne kāḷakaṇṇisarīre kaliṃ pavāhentū’’ti vatvā uyyānaṃ pavisitvā dantakaṭṭhaṃ khāditvā sabbapaṭhamaṃ sayameva tassa jaṭantare kheḷaṃ niṭṭhubhitvā dantakaṭṭhañca khipitvā sīsaṃ nhāyi. Balakāyopissa tathā akāsi.
ตสฺมิํ ปกฺกเนฺต เสนาปติ คนฺตฺวา ตาปสํ ทิสฺวา ทนฺตกฎฺฐาทีนิ นีหริตฺวา สาธุกํ นฺหาเปตฺวา ‘‘ภเนฺต, รโญฺญ กิํ ภวิสฺสตี’’ติ ปุจฺฉิฯ อาวุสา มยฺหํ มโนปโทโส นตฺถิ, เทวตา ปน กุปิตา อิโต สตฺตเม ทิวเส สกลรฎฺฐํ อรฎฺฐํ กริสฺสนฺติ, ตฺวํ ปุตฺตทารํ คเหตฺวา สีฆํ ปลายิตฺวา อญฺญตฺถ ยาหีติฯ โส ภีตตสิโต คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรเจสิ, ราชา ตสฺส วจนํ น คณฺหิฯ โส นิวตฺติตฺวา อตฺตโน เคหํ คนฺตฺวา ปุตฺตทารํ อาทาย ปลายิตฺวา อญฺญํ รฎฺฐํ อคมาสิฯ สรภงฺคสตฺถา ตํ การณํ ญตฺวา เทฺว ตรุณตาปเส เปเสตฺวา ‘‘กิสวจฺฉํ มญฺจสิวิกาย อาเนถา’’ติ อากาเสน อาณาเปสิฯ ราชา ยุชฺฌิตฺวา โจเร คเหตฺวา นครเมว ปจฺจาคมิฯ ตสฺมิํ อาคเต เทวตา ปฐมํ เทวํ วสฺสาเปสุํ, วโสฺสเฆน สพฺพกุณเปสุ อวหเฎสุ สุทฺธวาลุกวสฺสํ วสฺสิ, สุทฺธวาลุกมตฺถเก ทิพฺพปุปฺผวสฺสํ วสฺสิ, ทิพฺพปุปฺผมตฺถเก มาสกวสฺสํ, มาสกมตฺถเก กหาปณวสฺสํ, กหาปณมตฺถเก ทิพฺพาภรณวสฺสํ วสฺสิ, มนุสฺสา โสมนสฺสปฺปตฺตา หิรญฺญสุวณฺณาภรณานิ คณฺหิตุํ อารภิํสุฯ อถ เนสํ สรีเร สมฺปชฺชลิตํ นานปฺปการํ อาวุธวสฺสํ วสฺสิ, มนุสฺสา ขณฺฑาขณฺฑิกํ ฉิชฺชิํสุฯ อถ เนสํ อุปริ มหนฺตมหนฺตา วีตจฺจิตงฺคารา ปติํสุ , เตสํ อุปริ มหนฺตมหนฺตานิ ปชฺชลิตปพฺพตกูฎานิ ปติํสุ, เตสํ อุปริ สฎฺฐิหตฺถฎฺฐานํ ปูรยนฺตํ สุขุมวาลุกวสฺสํ วสฺสิฯ เอวํ สฎฺฐิโยชนฎฺฐานํ อรฎฺฐํ อโหสิ, ตสฺส เอวํ อรฎฺฐภาโว สกลชมฺพุทีเป ปญฺญายิฯ
Tasmiṃ pakkante senāpati gantvā tāpasaṃ disvā dantakaṭṭhādīni nīharitvā sādhukaṃ nhāpetvā ‘‘bhante, rañño kiṃ bhavissatī’’ti pucchi. Āvusā mayhaṃ manopadoso natthi, devatā pana kupitā ito sattame divase sakalaraṭṭhaṃ araṭṭhaṃ karissanti, tvaṃ puttadāraṃ gahetvā sīghaṃ palāyitvā aññattha yāhīti. So bhītatasito gantvā rañño ārocesi, rājā tassa vacanaṃ na gaṇhi. So nivattitvā attano gehaṃ gantvā puttadāraṃ ādāya palāyitvā aññaṃ raṭṭhaṃ agamāsi. Sarabhaṅgasatthā taṃ kāraṇaṃ ñatvā dve taruṇatāpase pesetvā ‘‘kisavacchaṃ mañcasivikāya ānethā’’ti ākāsena āṇāpesi. Rājā yujjhitvā core gahetvā nagarameva paccāgami. Tasmiṃ āgate devatā paṭhamaṃ devaṃ vassāpesuṃ, vassoghena sabbakuṇapesu avahaṭesu suddhavālukavassaṃ vassi, suddhavālukamatthake dibbapupphavassaṃ vassi, dibbapupphamatthake māsakavassaṃ, māsakamatthake kahāpaṇavassaṃ, kahāpaṇamatthake dibbābharaṇavassaṃ vassi, manussā somanassappattā hiraññasuvaṇṇābharaṇāni gaṇhituṃ ārabhiṃsu. Atha nesaṃ sarīre sampajjalitaṃ nānappakāraṃ āvudhavassaṃ vassi, manussā khaṇḍākhaṇḍikaṃ chijjiṃsu. Atha nesaṃ upari mahantamahantā vītaccitaṅgārā patiṃsu , tesaṃ upari mahantamahantāni pajjalitapabbatakūṭāni patiṃsu, tesaṃ upari saṭṭhihatthaṭṭhānaṃ pūrayantaṃ sukhumavālukavassaṃ vassi. Evaṃ saṭṭhiyojanaṭṭhānaṃ araṭṭhaṃ ahosi, tassa evaṃ araṭṭhabhāvo sakalajambudīpe paññāyi.
อถ ตสฺส รฎฺฐสฺส อนนฺตรรฎฺฐาธิปติโน กาลิโงฺค, อฎฺฐโก, ภีมรโถติ ตโย ราชาโน จินฺตยิํสุ – ‘‘ปุเพฺพ พาราณสิยํ กลาพุกาสิกราชา ขนฺติวาทิตาปเส อปรชฺฌิตฺวา ปถวิํ ปวิโฎฺฐติ สูยติ, ตถา ‘‘นาฬิเกรราชา ตาปเส สุนเขหิ ขาทาเปตฺวา, สหสฺสพาหุ อชฺชุโน จ องฺคีรเส อปรชฺฌิตฺวา, อิทานิ ทณฺฑกิราชา กิสวเจฺฉ อปรชฺฌิตฺวา สห รเฎฺฐน วินาสํ ปโตฺต’’ติ สูยติฯ อิเมสํ ปน จตุนฺนํ ราชูนํ นิพฺพตฺตฎฺฐานํ มยํ น ชานาม, ตํ โน ฐเปตฺวา สรภงฺคสตฺถารํ อโญฺญ กเถตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิ, ตํ อุปสงฺกมิตฺวา อิเม ปเญฺห ปุจฺฉิสฺสามา’’ติ ฯ เต ตโยปิ มหเนฺตน ปริวาเรน ปญฺหปุจฺฉนตฺถาย นิกฺขมิํสุฯ เต ปน ‘‘อสุโกปิ นิกฺขโนฺต’’ติ น ชานนฺติ, เอเกโก ‘‘อหเมว คจฺฉามี’’ติ มญฺญติ, เตสํ โคธาวรินทิโต อวิทูเร สมาคโม อโหสิฯ เต รเถหิ โอตริตฺวา ตโยปิ เอกเมว รถํ อภิรุยฺห โคธาวรินทีตีรํ สมฺปาปุณิํสุฯ
Atha tassa raṭṭhassa anantararaṭṭhādhipatino kāliṅgo, aṭṭhako, bhīmarathoti tayo rājāno cintayiṃsu – ‘‘pubbe bārāṇasiyaṃ kalābukāsikarājā khantivāditāpase aparajjhitvā pathaviṃ paviṭṭhoti sūyati, tathā ‘‘nāḷikerarājā tāpase sunakhehi khādāpetvā, sahassabāhu ajjuno ca aṅgīrase aparajjhitvā, idāni daṇḍakirājā kisavacche aparajjhitvā saha raṭṭhena vināsaṃ patto’’ti sūyati. Imesaṃ pana catunnaṃ rājūnaṃ nibbattaṭṭhānaṃ mayaṃ na jānāma, taṃ no ṭhapetvā sarabhaṅgasatthāraṃ añño kathetuṃ samattho nāma natthi, taṃ upasaṅkamitvā ime pañhe pucchissāmā’’ti . Te tayopi mahantena parivārena pañhapucchanatthāya nikkhamiṃsu. Te pana ‘‘asukopi nikkhanto’’ti na jānanti, ekeko ‘‘ahameva gacchāmī’’ti maññati, tesaṃ godhāvarinadito avidūre samāgamo ahosi. Te rathehi otaritvā tayopi ekameva rathaṃ abhiruyha godhāvarinadītīraṃ sampāpuṇiṃsu.
ตสฺมิํ ขเณ สโกฺก ปณฺฑุกมฺพลสิลาสเน นิสิโนฺน สตฺต ปเญฺห จิเนฺตตฺวา ‘‘อิเม ปเญฺห ฐเปตฺวา สรภงฺคสตฺถารํ อโญฺญ สเทวเก โลเก กเถตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิ, ตํ อิเม ปเญฺห ปุจฺฉิสฺสามิ, อิเมปิ ตโย ราชาโน สรภงฺคสตฺถารํ ปญฺหํ ปุจฺฉิตุํ โคธาวรินทีตีรํ ปตฺตา, เอเตสํ ปเญฺหปิ อหเมว ปุจฺฉิสฺสามี’’ติ ทฺวีสุ เทวโลเกสุ เทวตาหิ ปริวุโต เทวโลกโต โอตริฯ ตํ ทิวสเมว กิสวโจฺฉ กาลมกาสิฯ ตสฺส สรีรกิจฺจํ กาเรตุํ จตูสุ ฐาเนสุ อเนกสหสฺสา อิสโย ตเตฺถว คนฺตฺวา ปญฺจสุ ฐาเนสุ มณฺฑปญฺจ กาเรตฺวา อเนกสหสฺสา อิสิคณา กิสวจฺฉสฺส ตาปสสฺส จนฺทนจิตกํ กตฺวา สรีรํ ฌาเปสุํฯ อาฬาหนสฺส สมนฺตา อฑฺฒโยชนมเตฺต ฐาเน ทิพฺพกุสุมวสฺสํ วสฺสิฯ มหาสโตฺต ตสฺส สรีรนิเกฺขปํ การาเปตฺวา อสฺสมํ ปวิสิตฺวา เตหิ อิสิคเณหิ ปริวุโต นิสีทิฯ เตสมฺปิ ราชูนํ นทีตีรํ อาคตกาเล มหาเสนาวาหนตูริยสโทฺท อโหสิฯ มหาสโตฺต ตํ สุตฺวา อนุสิสฺสํ ตาปสํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ตาต, ตฺวํ คนฺตฺวา ตาว ชานาหิ, กิํ สโทฺท นาเมโส’’ติ อาหฯ โส ปานียฆฎํ อาทาย ตตฺถ คนฺตฺวา เต ราชาโน ทิสฺวา ปุจฺฉนวเสน ปฐมํ คาถมาห –
Tasmiṃ khaṇe sakko paṇḍukambalasilāsane nisinno satta pañhe cintetvā ‘‘ime pañhe ṭhapetvā sarabhaṅgasatthāraṃ añño sadevake loke kathetuṃ samattho nāma natthi, taṃ ime pañhe pucchissāmi, imepi tayo rājāno sarabhaṅgasatthāraṃ pañhaṃ pucchituṃ godhāvarinadītīraṃ pattā, etesaṃ pañhepi ahameva pucchissāmī’’ti dvīsu devalokesu devatāhi parivuto devalokato otari. Taṃ divasameva kisavaccho kālamakāsi. Tassa sarīrakiccaṃ kāretuṃ catūsu ṭhānesu anekasahassā isayo tattheva gantvā pañcasu ṭhānesu maṇḍapañca kāretvā anekasahassā isigaṇā kisavacchassa tāpasassa candanacitakaṃ katvā sarīraṃ jhāpesuṃ. Āḷāhanassa samantā aḍḍhayojanamatte ṭhāne dibbakusumavassaṃ vassi. Mahāsatto tassa sarīranikkhepaṃ kārāpetvā assamaṃ pavisitvā tehi isigaṇehi parivuto nisīdi. Tesampi rājūnaṃ nadītīraṃ āgatakāle mahāsenāvāhanatūriyasaddo ahosi. Mahāsatto taṃ sutvā anusissaṃ tāpasaṃ āmantetvā ‘‘tāta, tvaṃ gantvā tāva jānāhi, kiṃ saddo nāmeso’’ti āha. So pānīyaghaṭaṃ ādāya tattha gantvā te rājāno disvā pucchanavasena paṭhamaṃ gāthamāha –
๕๐.
50.
‘‘อลงฺกตา กุณฺฑลิโน สุวตฺถา, เวฬุริยมุตฺตาถรุขคฺคพนฺธา;
‘‘Alaṅkatā kuṇḍalino suvatthā, veḷuriyamuttātharukhaggabandhā;
รเถสภา ติฎฺฐถ เก นุ ตุเมฺห, กถํ โว ชานนฺติ มนุสฺสโลเก’’ติฯ
Rathesabhā tiṭṭhatha ke nu tumhe, kathaṃ vo jānanti manussaloke’’ti.
ตตฺถ เวฬุริยมุตฺตาถรุขคฺคพนฺธาติ เวฬุริยมณีหิ เจว มุตฺตาลมฺพเกหิ จ อลงฺกตถรูหิ ขคฺครตเนหิ สมนฺนาคตาฯ ติฎฺฐถาติ เอกสฺมิํ รเถ ติฎฺฐถฯ เก นูติ เก นาม ตุเมฺห, กถํ โว สญฺชานนฺตีติ?
Tattha veḷuriyamuttātharukhaggabandhāti veḷuriyamaṇīhi ceva muttālambakehi ca alaṅkatatharūhi khaggaratanehi samannāgatā. Tiṭṭhathāti ekasmiṃ rathe tiṭṭhatha. Ke nūti ke nāma tumhe, kathaṃ vo sañjānantīti?
เต ตสฺส วจนํ สุตฺวา รถา โอตริตฺวา วนฺทิตฺวา อฎฺฐํสุฯ เตสุ อฎฺฐกราชา เตน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ทุติยํ คาถมาห –
Te tassa vacanaṃ sutvā rathā otaritvā vanditvā aṭṭhaṃsu. Tesu aṭṭhakarājā tena saddhiṃ sallapanto dutiyaṃ gāthamāha –
๕๑.
51.
‘‘อหมฎฺฐโก ภีมรโถ ปนายํ, กาลิงฺคราชา ปน อุคฺคโตยํ;
‘‘Ahamaṭṭhako bhīmaratho panāyaṃ, kāliṅgarājā pana uggatoyaṃ;
สุสญฺญตานํ อิสีนํ ทสฺสนาย, อิธาคตา ปุจฺฉิตาเยมฺห ปเญฺห’’ติฯ
Susaññatānaṃ isīnaṃ dassanāya, idhāgatā pucchitāyemha pañhe’’ti.
ตตฺถ อุคฺคโตติ จโนฺท วิย สูริโย วิย จ ปากโฎ ปญฺญาโตฯ สุสญฺญตานํ อิสีนนฺติ, ภเนฺต, น มยํ วนกีฬาทีนํ อตฺถาย อาคตา, อถ โข กายาทีหิ สุสญฺญตานํ สีลสมฺปนฺนานํ อิสีนํ ทสฺสนตฺถาย อิธาคตาฯ ปุจฺฉิตาเยมฺห ปเญฺหติ สรภงฺคสตฺถารํ ปเญฺห ปุจฺฉิตุํ เอมฺห, อาคตามฺหาติ อโตฺถฯ ย-กาโร พฺยญฺชนสนฺธิกโรติ เวทิตโพฺพฯ
Tattha uggatoti cando viya sūriyo viya ca pākaṭo paññāto. Susaññatānaṃ isīnanti, bhante, na mayaṃ vanakīḷādīnaṃ atthāya āgatā, atha kho kāyādīhi susaññatānaṃ sīlasampannānaṃ isīnaṃ dassanatthāya idhāgatā. Pucchitāyemha pañheti sarabhaṅgasatthāraṃ pañhe pucchituṃ emha, āgatāmhāti attho. Ya-kāro byañjanasandhikaroti veditabbo.
อถ เน ตาปโส ‘‘สาธุ มหาราชา, อาคนฺตพฺพฎฺฐานเญฺญว อาคตาตฺถ, เตน หิ นฺหตฺวา วิสฺสมิตฺวา อสฺสมปทํ ปวิสิตฺวา อิสิคณํ วนฺทิตฺวา สรภงฺคสตฺถารเมว ปญฺหํ ปุจฺฉถา’’ติ เตหิ สทฺธิํ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ปานียฆฎํ อุกฺขิปิตฺวา อุทกเถเว ปุญฺฉโนฺต อากาสํ โอโลเกโนฺต สกฺกํ เทวราชานํ เทวคณปริวุตํ เอราวณกฺขนฺธวรคตํ โอตรนฺตํ ทิสฺวา เตน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ตติยํ คาถมาห –
Atha ne tāpaso ‘‘sādhu mahārājā, āgantabbaṭṭhānaññeva āgatāttha, tena hi nhatvā vissamitvā assamapadaṃ pavisitvā isigaṇaṃ vanditvā sarabhaṅgasatthārameva pañhaṃ pucchathā’’ti tehi saddhiṃ paṭisanthāraṃ katvā pānīyaghaṭaṃ ukkhipitvā udakatheve puñchanto ākāsaṃ olokento sakkaṃ devarājānaṃ devagaṇaparivutaṃ erāvaṇakkhandhavaragataṃ otarantaṃ disvā tena saddhiṃ sallapanto tatiyaṃ gāthamāha –
๕๒.
52.
‘‘เวหายสํ ติฎฺฐสิ อนฺตลิเกฺข, ปถทฺธุโน ปนฺนรเสว จโนฺท;
‘‘Vehāyasaṃ tiṭṭhasi antalikkhe, pathaddhuno pannaraseva cando;
ปุจฺฉามิ ตํ ยกฺข มหานุภาว, กตํ ตํ ชานนฺติ มนุสฺสโลเก’’ติฯ
Pucchāmi taṃ yakkha mahānubhāva, kataṃ taṃ jānanti manussaloke’’ti.
ตตฺถ เวหายสนฺติ อพฺภุคฺคนฺตฺวา อนฺตลิเกฺข อากาเส ติฎฺฐสิฯ ปถทฺธุโนติ ปถทฺธคโต, อทฺธปเถ คคนมเชฺฌ ฐิโตติ อโตฺถฯ
Tattha vehāyasanti abbhuggantvā antalikkhe ākāse tiṭṭhasi. Pathaddhunoti pathaddhagato, addhapathe gaganamajjhe ṭhitoti attho.
ตํ สุตฺวา สโกฺก จตุตฺถํ คาถมาห –
Taṃ sutvā sakko catutthaṃ gāthamāha –
๕๓.
53.
‘‘ยมาหุ เทเวสุ ‘สุชมฺปตี’ติ, ‘มฆวา’ติ ตํ อาหุ มนุสฺสโลเก;
‘‘Yamāhu devesu ‘sujampatī’ti, ‘maghavā’ti taṃ āhu manussaloke;
ส เทวราชา อิทมชฺช ปโตฺต, สุสญฺญตานํ อิสีนํ ทสฺสนายา’’ติฯ
Sa devarājā idamajja patto, susaññatānaṃ isīnaṃ dassanāyā’’ti.
ตตฺถ ส เทวราชาติ โส อหํ สโกฺก เทวราชาฯ อิทมชฺช ปโตฺตติ อิทํ ฐานํ อชฺช อาคโตฯ ทสฺสนายาติ ทสฺสนตฺถาย วนฺทนตฺถาย สรภงฺคสตฺถารญฺจ ปญฺหํ ปุจฺฉนตฺถายาติ อาหฯ
Tattha sa devarājāti so ahaṃ sakko devarājā. Idamajja pattoti idaṃ ṭhānaṃ ajja āgato. Dassanāyāti dassanatthāya vandanatthāya sarabhaṅgasatthārañca pañhaṃ pucchanatthāyāti āha.
อถ นํ อนุสิโสฺส ‘‘สาธุ, มหาราช, ตุเมฺห ปจฺฉา อาคจฺฉถา’’ติ วตฺวา ปานียฆฎํ อาทาย อสฺสมปทํ ปวิสิตฺวา ปานียฆฎํ ปฎิสาเมตฺวา ติณฺณํ ราชูนํ เทวราชสฺส จ ปญฺหปุจฺฉนตฺถาย อาคตภาวํ มหาสตฺตสฺส อาโรเจสิฯ โส อิสิคณปริวุโต มหาวิสาลมาฬเก นิสีทิฯ ตโย ราชาโน อาคนฺตฺวา อิสิคณํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ สโกฺกปิ โอตริตฺวา อิสิคณํ อุปสงฺกมิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคยฺห ฐิโต อิสิคณํ วเณฺณตฺวา วนฺทมาโน ปญฺจมํ คาถมาห –
Atha naṃ anusisso ‘‘sādhu, mahārāja, tumhe pacchā āgacchathā’’ti vatvā pānīyaghaṭaṃ ādāya assamapadaṃ pavisitvā pānīyaghaṭaṃ paṭisāmetvā tiṇṇaṃ rājūnaṃ devarājassa ca pañhapucchanatthāya āgatabhāvaṃ mahāsattassa ārocesi. So isigaṇaparivuto mahāvisālamāḷake nisīdi. Tayo rājāno āgantvā isigaṇaṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Sakkopi otaritvā isigaṇaṃ upasaṅkamitvā añjaliṃ paggayha ṭhito isigaṇaṃ vaṇṇetvā vandamāno pañcamaṃ gāthamāha –
๕๔.
54.
‘‘ทูเร สุตา โน อิสโย สมาคตา, มหิทฺธิกา อิทฺธิคุณูปปนฺนา;
‘‘Dūre sutā no isayo samāgatā, mahiddhikā iddhiguṇūpapannā;
วนฺทามิ เต อยิเร ปสนฺนจิโตฺต, เย ชีวโลเกตฺถ มนุสฺสเสฎฺฐา’’ติฯ
Vandāmi te ayire pasannacitto, ye jīvalokettha manussaseṭṭhā’’ti.
ตตฺถ ทูเร สุตา โนติ, ภเนฺต, อเมฺหหิ ตุเมฺห ทูเร เทวโลเก ฐิเตหิเยว สุตาติ มมายโนฺต เอวมาหฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อิเม อิธ สมาคตา อมฺหากํ อิสโย ทูเร สุตา ยาว พฺรหฺมโลกา วิสฺสุตา ปากฎาติฯ มหิทฺธิกาติ มหานุภาวาฯ อิทฺธิคุณูปปนฺนาติ ปญฺจวิเธน อิทฺธิคุเณน สมนฺนาคตาฯ อยิเรติ, อเยฺยฯ เยติ เย ตุเมฺห อิมสฺมิํ ชีวโลเก มนุเสฺสสุ เสฎฺฐาติฯ
Tattha dūre sutā noti, bhante, amhehi tumhe dūre devaloke ṭhitehiyeva sutāti mamāyanto evamāha. Idaṃ vuttaṃ hoti – ime idha samāgatā amhākaṃ isayo dūre sutā yāva brahmalokā vissutā pākaṭāti. Mahiddhikāti mahānubhāvā. Iddhiguṇūpapannāti pañcavidhena iddhiguṇena samannāgatā. Ayireti, ayye. Yeti ye tumhe imasmiṃ jīvaloke manussesu seṭṭhāti.
เอวํ อิสิคณํ วเณฺณตฺวา สโกฺก ฉ นิสชฺชโทเส ปริหรโนฺต เอกมนฺตํ นิสีทิฯ อถ นํ อิสีนํ อโธวาเต นิสินฺนํ ทิสฺวา อนุสิโสฺส ฉฎฺฐํ คาถมาห –
Evaṃ isigaṇaṃ vaṇṇetvā sakko cha nisajjadose pariharanto ekamantaṃ nisīdi. Atha naṃ isīnaṃ adhovāte nisinnaṃ disvā anusisso chaṭṭhaṃ gāthamāha –
๕๕.
55.
‘‘คโนฺธ อิสีนํ จิรทิกฺขิตานํ, กายา จุโต คจฺฉติ มาลุเตน;
‘‘Gandho isīnaṃ ciradikkhitānaṃ, kāyā cuto gacchati mālutena;
อิโต ปฎิกฺกมฺม สหสฺสเนตฺต, คโนฺธ อิสีนํ อสุจิ เทวราชา’’ติฯ
Ito paṭikkamma sahassanetta, gandho isīnaṃ asuci devarājā’’ti.
ตตฺถ จิรทิกฺขิตานนฺติ จิรปพฺพชิตานํฯ ปฎิกฺกมฺมาติ ปฎิกฺกม อเปหิฯ สหสฺสเนตฺตาติ อาลปนเมตํฯ สโกฺก หิ อมจฺจสหเสฺสหิ จินฺติตํ อตฺถํ เอกโกว ปสฺสติ, ตสฺมา ‘‘สหสฺสเนโตฺต’’ติ วุจฺจติ ฯ อถ วา สหสฺสเนตฺตานํ ปน เทวานํ ทสฺสนูปจาราติกฺกมนสมโตฺถติ สหสฺสเนตฺตา ฯ อสุจีติ เสทมลาทีหิ ปริภาวิตตฺตา ทุคฺคโนฺธ, ตุเมฺห จ สุจิกามา, เตน โว เอส คโนฺธ พาธตีติฯ
Tattha ciradikkhitānanti cirapabbajitānaṃ. Paṭikkammāti paṭikkama apehi. Sahassanettāti ālapanametaṃ. Sakko hi amaccasahassehi cintitaṃ atthaṃ ekakova passati, tasmā ‘‘sahassanetto’’ti vuccati . Atha vā sahassanettānaṃ pana devānaṃ dassanūpacārātikkamanasamatthoti sahassanettā . Asucīti sedamalādīhi paribhāvitattā duggandho, tumhe ca sucikāmā, tena vo esa gandho bādhatīti.
ตํ สุตฺวา สโกฺก อิตรํ คาถมาห –
Taṃ sutvā sakko itaraṃ gāthamāha –
๕๖.
56.
‘‘คโนฺธ อิสีนํ จิรทิกฺขิตานํ, กายา จุโต คจฺฉตุ มาลุเตน;
‘‘Gandho isīnaṃ ciradikkhitānaṃ, kāyā cuto gacchatu mālutena;
วิจิตฺตปุปฺผํ สุรภิํว มาลํ, คนฺธญฺจ เอตํ ปาฎิกงฺขาม ภเนฺต;
Vicittapupphaṃ surabhiṃva mālaṃ, gandhañca etaṃ pāṭikaṅkhāma bhante;
น เหตฺถ เทวา ปฎิกฺกูลสญฺญิโน’’ติฯ
Na hettha devā paṭikkūlasaññino’’ti.
ตตฺถ คจฺฉตูติ ยถาสุขํ ปวตฺตตุ, นาสปุฎํ โน ปหรตูติ อโตฺถฯ ปาฎิกงฺขามาติ อิจฺฉาม ปเตฺถมฯ เอตฺถาติ เอตสฺมิํ คเนฺธ เทวา ชิคุจฺฉสญฺญิโน น โหนฺติฯ ทุสฺสีเลเยว หิ เทวา ชิคุจฺฉนฺติ, น สีลวเนฺตติฯ
Tattha gacchatūti yathāsukhaṃ pavattatu, nāsapuṭaṃ no paharatūti attho. Pāṭikaṅkhāmāti icchāma patthema. Etthāti etasmiṃ gandhe devā jigucchasaññino na honti. Dussīleyeva hi devā jigucchanti, na sīlavanteti.
เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘ภเนฺต, อนุสิสฺส อหํ มหเนฺตน อุสฺสาเหน ปญฺหํ ปุจฺฉิตุํ อาคโต, โอกาสํ เม กโรหี’’ติ อาหฯ โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา อุฎฺฐายาสนา อิสิคณํ โอกาสํ กโรโนฺต คาถาทฺวยมาห –
Evañca pana vatvā ‘‘bhante, anusissa ahaṃ mahantena ussāhena pañhaṃ pucchituṃ āgato, okāsaṃ me karohī’’ti āha. So tassa vacanaṃ sutvā uṭṭhāyāsanā isigaṇaṃ okāsaṃ karonto gāthādvayamāha –
๕๗.
57.
‘‘ปุรินฺทโท ภูตปตี ยสสฺสี, เทวานมิโนฺท สโกฺก มฆวา สุชมฺปติ;
‘‘Purindado bhūtapatī yasassī, devānamindo sakko maghavā sujampati;
ส เทวราชา อสุรคณปฺปมทฺทโน, โอกาสมากงฺขติ ปญฺห ปุจฺฉิตุํฯ
Sa devarājā asuragaṇappamaddano, okāsamākaṅkhati pañha pucchituṃ.
๕๘.
58.
‘‘โก เนวิเมสํ อิธ ปณฺฑิตานํ, ปเญฺห ปุโฎฺฐ นิปุเณ พฺยากริสฺสติ;
‘‘Ko nevimesaṃ idha paṇḍitānaṃ, pañhe puṭṭho nipuṇe byākarissati;
ติณญฺจ รญฺญํ มนุชาธิปานํ, เทวานมินฺทสฺส จ วาสวสฺสา’’ติฯ
Tiṇañca raññaṃ manujādhipānaṃ, devānamindassa ca vāsavassā’’ti.
ตตฺถ ‘‘ปุรินฺทโท’’ติอาทีนิ สกฺกเสฺสว คุณนามานิฯ โส หิ ปุเร ทานํ ทินฺนตฺตา ปุรินฺทโท, ภูเตสุ เชฎฺฐกตฺตา ภูตปติ, ปริวารสมฺปทาย ยสสฺสี, ปรมิสฺสรตาย เทวานมิโนฺท, สตฺตนฺนํ วตฺตปทานํ สุฎฺฐุ กตตฺตา สโกฺก, ปุริมชาติวเสน มฆวา, สุชาย อสุรกญฺญาย ปติภาเวน สุชมฺปติ, เทวานํ รญฺชนตาย เทวราชาฯ โก เนวาติ โก นุ เอวฯ นิปุเณติ สณฺหสุขุเม ปเญฺหฯ รญฺญนฺติ ราชูนํฯ อิเมสํ จตุนฺนํ ราชูนํ มนํ คเหตฺวา โก อิเมสํ ปณฺฑิตานํ อิสีนํ ปเญฺห กเถสฺสติ, ปญฺหํ เนสํ กเถตุํ สมตฺถํ ชานาถาติ วทติฯ
Tattha ‘‘purindado’’tiādīni sakkasseva guṇanāmāni. So hi pure dānaṃ dinnattā purindado, bhūtesu jeṭṭhakattā bhūtapati, parivārasampadāya yasassī, paramissaratāya devānamindo, sattannaṃ vattapadānaṃ suṭṭhu katattā sakko, purimajātivasena maghavā, sujāya asurakaññāya patibhāvena sujampati, devānaṃ rañjanatāya devarājā. Ko nevāti ko nu eva. Nipuṇeti saṇhasukhume pañhe. Raññanti rājūnaṃ. Imesaṃ catunnaṃ rājūnaṃ manaṃ gahetvā ko imesaṃ paṇḍitānaṃ isīnaṃ pañhe kathessati, pañhaṃ nesaṃ kathetuṃ samatthaṃ jānāthāti vadati.
ตํ สุตฺวา อิสิคโณ, ‘‘มาริส, อนุสิสฺส ตฺวํ ปถวิยํ ฐตฺวา ปถวิํ อปสฺสโนฺต วิย กเถสิ, ฐเปตฺวา สรภงฺคสตฺถารํ โก อโญฺญ เอเตสํ ปญฺหํ กเถตุํ สมโตฺถ’’ติ วตฺวา คาถมาห –
Taṃ sutvā isigaṇo, ‘‘mārisa, anusissa tvaṃ pathaviyaṃ ṭhatvā pathaviṃ apassanto viya kathesi, ṭhapetvā sarabhaṅgasatthāraṃ ko añño etesaṃ pañhaṃ kathetuṃ samattho’’ti vatvā gāthamāha –
๕๙.
59.
‘‘อยํ อิสิ สรภโงฺค ตปสฺสี, ยโต ชาโต วิรโต เมถุนสฺมา;
‘‘Ayaṃ isi sarabhaṅgo tapassī, yato jāto virato methunasmā;
อาเจรปุโตฺต สุวินีตรูโป, โส เนสํ ปญฺหานิ วิยากริสฺสตี’’ติฯ
Āceraputto suvinītarūpo, so nesaṃ pañhāni viyākarissatī’’ti.
ตตฺถ สรภโงฺคติ สเร ขิปิตฺวา อากาเส สรปาสาทาทีนิ กตฺวา ปุน เอเกน สเรน เต สเร ปาเตโนฺต ภงฺควิภเงฺค อกาสีติ สรภโงฺคฯ เมถุนสฺมาติ เมถุนธมฺมโตฯ โส กิร เมถุนํ อเสวิตฺวา ปพฺพชิโตฯ อาเจรปุโตฺตติ รโญฺญ อาจริยสฺส ปุโรหิตสฺส ปุโตฺตฯ
Tattha sarabhaṅgoti sare khipitvā ākāse sarapāsādādīni katvā puna ekena sarena te sare pātento bhaṅgavibhaṅge akāsīti sarabhaṅgo. Methunasmāti methunadhammato. So kira methunaṃ asevitvā pabbajito. Āceraputtoti rañño ācariyassa purohitassa putto.
เอวญฺจ ปน วตฺวา อิสิคโณ อนุสิสฺสํ อาห – ‘‘มาริส, ตฺวเมว สตฺถารํ วนฺทิตฺวา อิสิคณสฺส วจเนน สเกฺกน ปุจฺฉิตปญฺหกถนาย โอกาสํ กาเรหี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา โอกาสํ กาเรโนฺต อนนฺตรํ คาถมาห –
Evañca pana vatvā isigaṇo anusissaṃ āha – ‘‘mārisa, tvameva satthāraṃ vanditvā isigaṇassa vacanena sakkena pucchitapañhakathanāya okāsaṃ kārehī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā satthāraṃ vanditvā okāsaṃ kārento anantaraṃ gāthamāha –
๖๐.
60.
‘‘โกณฺฑญฺญ ปญฺหานิ วิยากโรหิ, ยาจนฺติ ตํ อิสโย สาธุรูปา;
‘‘Koṇḍañña pañhāni viyākarohi, yācanti taṃ isayo sādhurūpā;
โกณฺฑญฺญ เอโส มนุเชสุ ธโมฺม, ยํ วุทฺธมาคจฺฉติ เอส ภาโร’’ติฯ
Koṇḍañña eso manujesu dhammo, yaṃ vuddhamāgacchati esa bhāro’’ti.
ตตฺถ โกณฺฑญฺญาติ ตํ โคเตฺตนาลปติฯ ธโมฺมติ สภาโวฯ ยํ วุทฺธนฺติ ยํ ปญฺญาย วุทฺธํ ปุริสํ เอส ปญฺหานํ วิสฺสชฺชนภาโร นาม อาคจฺฉติ, เอโส มนุเชสุ สภาโว, ตสฺมา จนฺทิมสูริยสหสฺสํ อุฎฺฐาเปโนฺต วิย ปากฎํ กตฺวา เทวรโญฺญ ปเญฺห กเถหีติฯ
Tattha koṇḍaññāti taṃ gottenālapati. Dhammoti sabhāvo. Yaṃ vuddhanti yaṃ paññāya vuddhaṃ purisaṃ esa pañhānaṃ vissajjanabhāro nāma āgacchati, eso manujesu sabhāvo, tasmā candimasūriyasahassaṃ uṭṭhāpento viya pākaṭaṃ katvā devarañño pañhe kathehīti.
ตโต มหาปุริโส โอกาสํ กโรโนฺต อนนฺตรํ คาถมาห –
Tato mahāpuriso okāsaṃ karonto anantaraṃ gāthamāha –
๖๑.
61.
‘‘กตาวกาสา ปุจฺฉนฺตุ โภโนฺต, ยํ กิญฺจิ ปญฺหํ มนสาภิปตฺถิตํ;
‘‘Katāvakāsā pucchantu bhonto, yaṃ kiñci pañhaṃ manasābhipatthitaṃ;
อหญฺหิ ตํ ตํ โว วิยากริสฺสํ, ญตฺวา สยํ โลกมิมํ ปรญฺจา’’ติฯ
Ahañhi taṃ taṃ vo viyākarissaṃ, ñatvā sayaṃ lokamimaṃ parañcā’’ti.
ตตฺถ ยํ กิญฺจีติ น เกวลํ ตุมฺหากํเยว, อถ โข สเทวกสฺสปิ โลกสฺส ยํ มนสาภิปตฺถิตํ, ตํ มํ ภวโนฺต ปุจฺฉนฺตุฯ อหญฺหิ โว อิธโลกนิสฺสิตํ วา ปรโลกนิสฺสิตํ วา สพฺพํ ปญฺหํ อิมญฺจ ปรญฺจ โลกํ สยํ ปญฺญาย สจฺฉิกตฺวา กเถสฺสามีติ สพฺพญฺญุปวารณํ สมฺปวาเรสิฯ
Tattha yaṃ kiñcīti na kevalaṃ tumhākaṃyeva, atha kho sadevakassapi lokassa yaṃ manasābhipatthitaṃ, taṃ maṃ bhavanto pucchantu. Ahañhi vo idhalokanissitaṃ vā paralokanissitaṃ vā sabbaṃ pañhaṃ imañca parañca lokaṃ sayaṃ paññāya sacchikatvā kathessāmīti sabbaññupavāraṇaṃ sampavāresi.
เอวํ เตน โอกาเส กเต สโกฺก อตฺตนา อภิสงฺขตํ ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –
Evaṃ tena okāse kate sakko attanā abhisaṅkhataṃ pañhaṃ pucchi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –
๖๒.
62.
‘‘ตโต จ มฆวา สโกฺก, อตฺถทสฺสี ปุรินฺทโท;
‘‘Tato ca maghavā sakko, atthadassī purindado;
อปุจฺฉิ ปฐมํ ปญฺหํ, ยญฺจาสิ อภิปตฺถิตํฯ
Apucchi paṭhamaṃ pañhaṃ, yañcāsi abhipatthitaṃ.
๖๓.
63.
‘‘กิํ สู วธิตฺวา น กทาจิ โสจติ, กิสฺสปฺปหานํ อิสโย วณฺณยนฺติ;
‘‘Kiṃ sū vadhitvā na kadāci socati, kissappahānaṃ isayo vaṇṇayanti;
กสฺสีธ วุตฺตํ ผรุสํ ขเมถ, อกฺขาหิ เม โกณฺฑญฺญ เอตมตฺถ’’นฺติฯ
Kassīdha vuttaṃ pharusaṃ khametha, akkhāhi me koṇḍañña etamattha’’nti.
ตตฺถ ยญฺจาสีติ ยํ ตสฺส มนสา อภิปตฺถิตํ อาสิ, ตํ ปุจฺฉีติ อโตฺถฯ เอตนฺติ เอตํ มยา ปุจฺฉิตมตฺถํ อกฺขาหิ เมติ เอกคาถาย ตโย ปเญฺห ปุจฺฉิฯ
Tattha yañcāsīti yaṃ tassa manasā abhipatthitaṃ āsi, taṃ pucchīti attho. Etanti etaṃ mayā pucchitamatthaṃ akkhāhi meti ekagāthāya tayo pañhe pucchi.
ตโต ปรํ พฺยากโรโนฺต อาห –
Tato paraṃ byākaronto āha –
๖๔.
64.
‘‘โกธํ วธิตฺวา น กทาจิ โสจติ, มกฺขปฺปหานํ อิสโย วณฺณยนฺติ;
‘‘Kodhaṃ vadhitvā na kadāci socati, makkhappahānaṃ isayo vaṇṇayanti;
สเพฺพสํ วุตฺตํ ผรุสํ ขเมถ, เอตํ ขนฺติํ อุตฺตมมาหุ สโนฺต’’ติฯ
Sabbesaṃ vuttaṃ pharusaṃ khametha, etaṃ khantiṃ uttamamāhu santo’’ti.
ตตฺถ โกธํ วธิตฺวาติ โกธํ มาเรตฺวา ฉเฑฺฑตฺวาฯ โสจโนฺต หิ ปฎิฆจิเตฺตเนว โสจติ, โกธาภาวา กุโต โสโกฯ เตน วุตฺตํ ‘‘น กทาจิ โสจตี’’ติฯ มกฺขปฺปหานนฺติ ปเรหิ อตฺตโน กตคุณมกฺขนลกฺขณสฺส อกตญฺญุภาวสงฺขาตสฺส มกฺขสฺส ปหานํ อิสโย วณฺณยนฺติฯ สเพฺพสนฺติ หีนมชฺฌิมุกฺกฎฺฐานํ สเพฺพสมฺปิ ผรุสํ วจนํ ขเมถฯ สโนฺตติ โปราณกา ปณฺฑิตา เอวํ กเถนฺติฯ
Tattha kodhaṃ vadhitvāti kodhaṃ māretvā chaḍḍetvā. Socanto hi paṭighacitteneva socati, kodhābhāvā kuto soko. Tena vuttaṃ ‘‘na kadāci socatī’’ti. Makkhappahānanti parehi attano kataguṇamakkhanalakkhaṇassa akataññubhāvasaṅkhātassa makkhassa pahānaṃ isayo vaṇṇayanti. Sabbesanti hīnamajjhimukkaṭṭhānaṃ sabbesampi pharusaṃ vacanaṃ khametha. Santoti porāṇakā paṇḍitā evaṃ kathenti.
สโกฺก อาห –
Sakko āha –
๖๕.
65.
‘‘สกฺกา อุภินฺนํ วจนํ ติติกฺขิตุํ, สทิสสฺส วา เสฎฺฐตรสฺส วาปิ;
‘‘Sakkā ubhinnaṃ vacanaṃ titikkhituṃ, sadisassa vā seṭṭhatarassa vāpi;
กถํ นุ หีนสฺส วโจ ขเมถ, อกฺขาหิ เม โกณฺฑญฺญ เอตมตฺถ’’นฺติฯ
Kathaṃ nu hīnassa vaco khametha, akkhāhi me koṇḍañña etamattha’’nti.
สรภโงฺค อาห –
Sarabhaṅgo āha –
๖๖.
66.
‘‘ภยา หิ เสฎฺฐสฺส วโจ ขเมถ, สารมฺภเหตู ปน สาทิสสฺส;
‘‘Bhayā hi seṭṭhassa vaco khametha, sārambhahetū pana sādisassa;
โย จีธ หีนสฺส วโจ ขเมถ, เอตํ ขนฺติํ อุตฺตมมาหุ สโนฺต’’ติฯ –
Yo cīdha hīnassa vaco khametha, etaṃ khantiṃ uttamamāhu santo’’ti. –
เอวมาทีนํ คาถานํ วจนปฺปฎิวจนวเสน สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ
Evamādīnaṃ gāthānaṃ vacanappaṭivacanavasena sambandho veditabbo.
ตตฺถ อกฺขาหิ เมติ, ภเนฺต โกณฺฑญฺญ, ตุเมฺหหิ เทฺว ปญฺหา สุกถิตา, เอโก เม จิตฺตํ น คณฺหาติ, กถํ สกฺกา อตฺตโน หีนตรสฺส วจนํ อธิวาเสตุํ, ตํ มม อกฺขาหีติ ปุจฺฉโนฺต เอวมาหฯ เอตํ ขนฺตินฺติ ยเทตํ ชาติโคตฺตาทิหีนสฺส วจนํ ขมนํ, เอตํ ขนฺติํ อุตฺตมนฺติ โปราณกปณฺฑิตา วทนฺติฯ ยํ ปเนตํ ชาติอาทีหิ เสฎฺฐสฺส ภเยน, สทิสสฺส กรณุตฺตริยลกฺขเณ สารเมฺภ อาทีนวทสฺสเนน ขมนํ, เนสา อธิวาสนขนฺติ นามาติ อโตฺถฯ
Tattha akkhāhi meti, bhante koṇḍañña, tumhehi dve pañhā sukathitā, eko me cittaṃ na gaṇhāti, kathaṃ sakkā attano hīnatarassa vacanaṃ adhivāsetuṃ, taṃ mama akkhāhīti pucchanto evamāha. Etaṃ khantinti yadetaṃ jātigottādihīnassa vacanaṃ khamanaṃ, etaṃ khantiṃ uttamanti porāṇakapaṇḍitā vadanti. Yaṃ panetaṃ jātiādīhi seṭṭhassa bhayena, sadisassa karaṇuttariyalakkhaṇe sārambhe ādīnavadassanena khamanaṃ, nesā adhivāsanakhanti nāmāti attho.
เอวํ วุเตฺต สโกฺก มหาสตฺตํ อาห – ‘‘ภเนฺต, ปฐมํ ตุเมฺห ‘สเพฺพสํ วุตฺตํ ผรุสํ ขเมถ, เอตํ ขนฺติํ อุตฺตมมาหุ สโนฺต’ติ วตฺวา อิทานิ ‘โย จีธ หีนสฺส วโจ ขเมถ, เอตํ ขนฺติํ อุตฺตมมาหุ สโนฺต’ติ วทถ, น โว ปุริเมน ปจฺฉิมํ สเมตี’’ติฯ อถ นํ มหาสโตฺต, ‘‘สกฺก, ปจฺฉิมํ มยา ‘อยํ หีโน’ติ ญตฺวา ผรุสวจนํ อธิวาเสนฺตสฺส วเสน วุตฺตํ, ยสฺมา ปน น สกฺกา รูปทสฺสนมเตฺตน สตฺตานํ เสฎฺฐาทิภาโว ญาตุํ, ตสฺมา ปุริมํ วุตฺต’’นฺติ วตฺวา สตฺตานํ อญฺญตฺร สํวาสา รูปทสฺสนมเตฺตน เสฎฺฐาทิภาวสฺส ทุวิเญฺญยฺยตํ ปกาเสโนฺต คาถมาห –
Evaṃ vutte sakko mahāsattaṃ āha – ‘‘bhante, paṭhamaṃ tumhe ‘sabbesaṃ vuttaṃ pharusaṃ khametha, etaṃ khantiṃ uttamamāhu santo’ti vatvā idāni ‘yo cīdha hīnassa vaco khametha, etaṃ khantiṃ uttamamāhu santo’ti vadatha, na vo purimena pacchimaṃ sametī’’ti. Atha naṃ mahāsatto, ‘‘sakka, pacchimaṃ mayā ‘ayaṃ hīno’ti ñatvā pharusavacanaṃ adhivāsentassa vasena vuttaṃ, yasmā pana na sakkā rūpadassanamattena sattānaṃ seṭṭhādibhāvo ñātuṃ, tasmā purimaṃ vutta’’nti vatvā sattānaṃ aññatra saṃvāsā rūpadassanamattena seṭṭhādibhāvassa duviññeyyataṃ pakāsento gāthamāha –
๖๗.
67.
‘‘กถํ วิชญฺญา จตุปตฺถรูปํ, เสฎฺฐํ สริกฺขํ อถวาปิ หีนํ;
‘‘Kathaṃ vijaññā catupattharūpaṃ, seṭṭhaṃ sarikkhaṃ athavāpi hīnaṃ;
วิรูปรูเปน จรนฺติ สโนฺต, ตสฺมา หิ สเพฺพสํ วโจ ขเมถา’’ติฯ
Virūparūpena caranti santo, tasmā hi sabbesaṃ vaco khamethā’’ti.
ตตฺถ จตุปตฺถรูปนฺติ จตูหิ อิริยาปเถหิ ปฎิจฺฉนฺนสภาวํฯ วิรูปรูเปนาติ วิรูปานํ ลามกปุคฺคลานํ รูเปน อุตฺตมคุณา สโนฺตปิ วิจรนฺติฯ อิมสฺมิํ ปนเตฺถ มชฺฌนฺติกเตฺถรสฺส วตฺถุ กเถตพฺพํฯ
Tattha catupattharūpanti catūhi iriyāpathehi paṭicchannasabhāvaṃ. Virūparūpenāti virūpānaṃ lāmakapuggalānaṃ rūpena uttamaguṇā santopi vicaranti. Imasmiṃ panatthe majjhantikattherassa vatthu kathetabbaṃ.
ตํ สุตฺวา สโกฺก นิกฺกโงฺข หุตฺวา, ‘‘ภเนฺต, เอตาย โน ขนฺติยา อานิสํสํ กเถหี’’ติ ยาจิฯ อถสฺส มหาสโตฺต คาถมาห –
Taṃ sutvā sakko nikkaṅkho hutvā, ‘‘bhante, etāya no khantiyā ānisaṃsaṃ kathehī’’ti yāci. Athassa mahāsatto gāthamāha –
๖๘.
68.
‘‘น เหตมตฺถํ มหตีปิ เสนา, สราชิกา ยุชฺฌมานา ลเภถ;
‘‘Na hetamatthaṃ mahatīpi senā, sarājikā yujjhamānā labhetha;
ยํ ขนฺติมา สปฺปุริโส ลเภถ, ขนฺตีพลสฺสูปสมนฺติ เวรา’’ติฯ
Yaṃ khantimā sappuriso labhetha, khantībalassūpasamanti verā’’ti.
ตตฺถ เอตมตฺถนฺติ เอตํ เวรวูปสมนิปฺปฎิฆสภาวสงฺขาตํ อตฺถํฯ
Tattha etamatthanti etaṃ veravūpasamanippaṭighasabhāvasaṅkhātaṃ atthaṃ.
เอวํ มหาสเตฺตน ขนฺติคุเณ กถิเต เต ราชาโน จินฺตยิํสุ – ‘‘สโกฺก อตฺตโนว ปเญฺห ปุจฺฉติ, อมฺหากํ ปุจฺฉโนกาสํ น ทสฺสตี’’ติฯ อถ เนสํ อชฺฌาสยํ วิทิตฺวา สโกฺก อตฺตนา อภิสงฺขเต จตฺตาโร ปเญฺห ฐเปตฺวาว เตสํ กงฺขํ ปุจฺฉโนฺต คาถมาห –
Evaṃ mahāsattena khantiguṇe kathite te rājāno cintayiṃsu – ‘‘sakko attanova pañhe pucchati, amhākaṃ pucchanokāsaṃ na dassatī’’ti. Atha nesaṃ ajjhāsayaṃ viditvā sakko attanā abhisaṅkhate cattāro pañhe ṭhapetvāva tesaṃ kaṅkhaṃ pucchanto gāthamāha –
๖๙.
69.
‘‘สุภาสิตํ เต อนุโมทิยาน, อญฺญํ ตํ ปุจฺฉามิ ตทิงฺฆ พฺรูหิ;
‘‘Subhāsitaṃ te anumodiyāna, aññaṃ taṃ pucchāmi tadiṅgha brūhi;
ยถา อหุํ ทณฺฑกี นาฬิเกโร, อถชฺชุโน กลาพุ จาปิ ราชา;
Yathā ahuṃ daṇḍakī nāḷikero, athajjuno kalābu cāpi rājā;
เตสํ คติํ พฺรูหิ สุปาปกมฺมินํ, กตฺถูปปนฺนา อิสีนํ วิเหฐกา’’ติฯ
Tesaṃ gatiṃ brūhi supāpakamminaṃ, katthūpapannā isīnaṃ viheṭhakā’’ti.
ตตฺถ อนุโมทิยานาติ อิทํ มยา ปุฎฺฐานํ ติณฺณํ ปญฺหานํ วิสฺสชฺชนสงฺขาตํ ตว สุภาสิตํ อนุโมทิตฺวาฯ ยถา อหุนฺติ ยถา จตฺตาโร ชนา อเหสุํฯ กลาพุ จาติ กลาพุราชา จฯ อถชฺชุโนติ อถ อชฺชุนราชาฯ
Tattha anumodiyānāti idaṃ mayā puṭṭhānaṃ tiṇṇaṃ pañhānaṃ vissajjanasaṅkhātaṃ tava subhāsitaṃ anumoditvā. Yathā ahunti yathā cattāro janā ahesuṃ. Kalābu cāti kalāburājā ca. Athajjunoti atha ajjunarājā.
อถสฺส วิสฺสเชฺชโนฺต มหาสโตฺต ปญฺจ คาถาโย อภาสิ –
Athassa vissajjento mahāsatto pañca gāthāyo abhāsi –
๗๐.
70.
‘‘กิสญฺหิ วจฺฉํ อวกิริย ทณฺฑกี, อุจฺฉินฺนมูโล สชโน สรโฎฺฐ;
‘‘Kisañhi vacchaṃ avakiriya daṇḍakī, ucchinnamūlo sajano saraṭṭho;
กุกฺกุฬนาเม นิรยมฺหิ ปจฺจติ, ตสฺส ผุลิงฺคานิ ปตนฺติ กาเยฯ
Kukkuḷanāme nirayamhi paccati, tassa phuliṅgāni patanti kāye.
๗๑.
71.
‘‘โย สญฺญเต ปพฺพชิเต อเหฐยิ, ธมฺมํ ภณเนฺต สมเณ อทูสเก;
‘‘Yo saññate pabbajite aheṭhayi, dhammaṃ bhaṇante samaṇe adūsake;
ตํ นาฬิเกรํ สุนขา ปรตฺถ, สงฺคมฺม ขาทนฺติ วิผนฺทมานํฯ
Taṃ nāḷikeraṃ sunakhā parattha, saṅgamma khādanti viphandamānaṃ.
๗๒.
72.
‘‘อถชฺชุโน นิรเย สตฺติสูเล, อวํสิโร ปติโต อุทฺธํปาโท;
‘‘Athajjuno niraye sattisūle, avaṃsiro patito uddhaṃpādo;
องฺคีรสํ โคตมํ เหฐยิตฺวา, ขนฺติํ ตปสฺสิํ จิรพฺรหฺมจาริํฯ
Aṅgīrasaṃ gotamaṃ heṭhayitvā, khantiṃ tapassiṃ cirabrahmacāriṃ.
๗๓.
73.
‘‘โย ขณฺฑโส ปพฺพชิตํ อเฉทยิ, ขนฺติํ วทนฺตํ สมณํ อทูสกํ;
‘‘Yo khaṇḍaso pabbajitaṃ achedayi, khantiṃ vadantaṃ samaṇaṃ adūsakaṃ;
กลาพุวีจิํ อุปปชฺช ปจฺจติ, มหาปตาปํ กฎุกํ ภยานกํฯ
Kalābuvīciṃ upapajja paccati, mahāpatāpaṃ kaṭukaṃ bhayānakaṃ.
๗๔.
74.
‘‘เอตานิ สุตฺวา นิรยานิ ปณฺฑิโต, อญฺญานิ ปาปิฎฺฐตรานิ เจตฺถ;
‘‘Etāni sutvā nirayāni paṇḍito, aññāni pāpiṭṭhatarāni cettha;
ธมฺมํ จเร สมณพฺราหฺมเณสุ, เอวํกโร สคฺคมุเปติ ฐาน’’นฺติฯ
Dhammaṃ care samaṇabrāhmaṇesu, evaṃkaro saggamupeti ṭhāna’’nti.
ตตฺถ กิสนฺติ อปฺปมํสโลหิตตฺตา กิสสรีรํฯ อวกิริยาติ อวกิริตฺวา นิฎฺฐุภนทนฺตกฎฺฐปาตเนน ตสฺส สรีเร กลิํ ปวาเหตฺวาฯ อุจฺฉินฺนมูโลติ อุจฺฉินฺนมูโล หุตฺวาฯ สชโนติ สปริโสฯ กุกฺกุฬนาเม นิรยมฺหีติ โยชนสตปฺปมาเณ กปฺปสณฺฐิเต อุณฺหฉาริกนิรเยฯ ผุลิงฺคานีติ วีตจฺจิตงฺคาราฯ ตสฺส กิร ตตฺถ อุณฺหกุกฺกุเฬ นิมุคฺคสฺส นวหิ วณมุเขหิ อุณฺหา ฉาริกา ปวิสนฺติ, สีเส มหนฺตมหนฺตา องฺคารา ปตนฺติฯ เตสํ ปน ปตนกาเล สกลสรีรํ ทีปรุโกฺข วิย ชลติ, พลวเวทนา วตฺตนฺติฯ โส อธิวาเสตุํ อสโกฺกโนฺต มหาวิรวํ รวติฯ สรภงฺคสตฺถา ปถวิํ ภินฺทิตฺวา ตํ ตตฺถ ตถาปจฺจมานํ ทเสฺสสิ, มหาชโน ภยสนฺตาสมาปชฺชิฯ ตสฺส อติวิย ภีตภาวํ ญตฺวา มหาสโตฺต ตํ นิรยํ อนฺตรธาเปสิฯ
Tattha kisanti appamaṃsalohitattā kisasarīraṃ. Avakiriyāti avakiritvā niṭṭhubhanadantakaṭṭhapātanena tassa sarīre kaliṃ pavāhetvā. Ucchinnamūloti ucchinnamūlo hutvā. Sajanoti sapariso. Kukkuḷanāme nirayamhīti yojanasatappamāṇe kappasaṇṭhite uṇhachārikaniraye. Phuliṅgānīti vītaccitaṅgārā. Tassa kira tattha uṇhakukkuḷe nimuggassa navahi vaṇamukhehi uṇhā chārikā pavisanti, sīse mahantamahantā aṅgārā patanti. Tesaṃ pana patanakāle sakalasarīraṃ dīparukkho viya jalati, balavavedanā vattanti. So adhivāsetuṃ asakkonto mahāviravaṃ ravati. Sarabhaṅgasatthā pathaviṃ bhinditvā taṃ tattha tathāpaccamānaṃ dassesi, mahājano bhayasantāsamāpajji. Tassa ativiya bhītabhāvaṃ ñatvā mahāsatto taṃ nirayaṃ antaradhāpesi.
ธมฺมํ ภณเนฺตติ ทสกุสลกมฺมปถธมฺมํ ภาสเนฺตฯ สมเณติ สมิตปาเปฯ อทูสเกติ นิรปราเธฯ นาฬิเกรนฺติ เอวํนามกํ ราชานํฯ ปรตฺถาติ ปรโลเก นิรเย นิพฺพตฺตํฯ สงฺคมฺมาติ อิโต จิโต จ สมาคนฺตฺวา ฉินฺทิตฺวา มหนฺตมหนฺตา สุนขา ขาทนฺติฯ ตสฺมิํ กิร กลิงฺครเฎฺฐ ทนฺตปุรนคเร นาฬิเกเร นาม รเญฺญ รชฺชํ การยมาเน เอโก มหาตาปโส ปญฺจสตตาปสปริวุโต หิมวนฺตา อาคมฺม ราชุยฺยาเน วาสํ กเปฺปตฺวา มหาชนสฺส ธมฺมํ เทเสสิฯ ‘‘ธมฺมิกตาปโส อุยฺยาเน วสตี’’ติ รโญฺญปิ อาโรจยิํสุฯ ราชา ปน อธมฺมิโก อธเมฺมน รชฺชํ กาเรสิฯ โส อมเจฺจสุ ตาปสํ ปสํสเนฺตสุ ‘‘อหมฺปิ ธมฺมํ สุณิสฺสามี’’ติ อุยฺยานํ คนฺตฺวา ตาปสํ วนฺทิตฺวา นิสีทิฯ ตาปโส รญฺญา สทฺธิํ ปฎิสนฺถารํ กโรโนฺต ‘‘กิํ, มหาราช, ธเมฺมน รชฺชํ กาเรสิ, ชนํ น ปีเฬสี’’ติ อาหฯ โส ตสฺส กุชฺฌิตฺวา ‘‘อยํ กูฎชฎิโล เอตฺตกํ กาลํ นาครานํ สนฺติเก มมเญฺญว อคุณํ กเถสิ มเญฺญ, โหตุ ชานิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘เสฺว อมฺหากํ ฆรทฺวารํ อาคเจฺฉยฺยาถา’’ติ นิมเนฺตตฺวา ปุนทิวเส ปุราณคูถสฺส จาฎิโย ปริปูราเปตฺวา ตาปเสสุ อาคเตสุ เตสํ ภิกฺขาภาชนานิ คูถสฺส ปูราเปตฺวา ทฺวารํ ปิทหาเปตฺวา มุสลานิ จ โลหทเณฺฑ จ คาหาเปตฺวา อิสีนํ สีสานิ ภินฺทาเปตฺวา ชฎาสุ คาหาเปตฺวา กฑฺฒาเปตฺวา สุนเขหิ ขาทาเปตฺวา ตเตฺถว ภินฺนํ ปถวิํ ปวิสิตฺวา สุนขมหานิรเย นิพฺพตฺตติ, ตตฺรสฺส ติคาวุตปฺปมาณสรีรํ อโหสิฯ อถ นํ มหนฺตมหนฺตา มหาหตฺถิปฺปมาณา ปญฺจวณฺณา สุนขา อนุพนฺธิตฺวา ฑํสิตฺวา นวโยชนาย ชลิตอยปถวิยา ปาเตตฺวา มุขปูรํ ลุญฺจนฺตา วิปฺผนฺทมานํ ขาทิํสุฯ มหาสโตฺต ปถวิํ ทฺวิธา ภินฺทิตฺวา ตํ นิรยํ ทเสฺสตฺวา มหาชนสฺส ภีตภาวํ ญตฺวา อนฺตรธาเปสิฯ
Dhammaṃ bhaṇanteti dasakusalakammapathadhammaṃ bhāsante. Samaṇeti samitapāpe. Adūsaketi niraparādhe. Nāḷikeranti evaṃnāmakaṃ rājānaṃ. Paratthāti paraloke niraye nibbattaṃ. Saṅgammāti ito cito ca samāgantvā chinditvā mahantamahantā sunakhā khādanti. Tasmiṃ kira kaliṅgaraṭṭhe dantapuranagare nāḷikere nāma raññe rajjaṃ kārayamāne eko mahātāpaso pañcasatatāpasaparivuto himavantā āgamma rājuyyāne vāsaṃ kappetvā mahājanassa dhammaṃ desesi. ‘‘Dhammikatāpaso uyyāne vasatī’’ti raññopi ārocayiṃsu. Rājā pana adhammiko adhammena rajjaṃ kāresi. So amaccesu tāpasaṃ pasaṃsantesu ‘‘ahampi dhammaṃ suṇissāmī’’ti uyyānaṃ gantvā tāpasaṃ vanditvā nisīdi. Tāpaso raññā saddhiṃ paṭisanthāraṃ karonto ‘‘kiṃ, mahārāja, dhammena rajjaṃ kāresi, janaṃ na pīḷesī’’ti āha. So tassa kujjhitvā ‘‘ayaṃ kūṭajaṭilo ettakaṃ kālaṃ nāgarānaṃ santike mamaññeva aguṇaṃ kathesi maññe, hotu jānissāmī’’ti cintetvā ‘‘sve amhākaṃ gharadvāraṃ āgaccheyyāthā’’ti nimantetvā punadivase purāṇagūthassa cāṭiyo paripūrāpetvā tāpasesu āgatesu tesaṃ bhikkhābhājanāni gūthassa pūrāpetvā dvāraṃ pidahāpetvā musalāni ca lohadaṇḍe ca gāhāpetvā isīnaṃ sīsāni bhindāpetvā jaṭāsu gāhāpetvā kaḍḍhāpetvā sunakhehi khādāpetvā tattheva bhinnaṃ pathaviṃ pavisitvā sunakhamahāniraye nibbattati, tatrassa tigāvutappamāṇasarīraṃ ahosi. Atha naṃ mahantamahantā mahāhatthippamāṇā pañcavaṇṇā sunakhā anubandhitvā ḍaṃsitvā navayojanāya jalitaayapathaviyā pātetvā mukhapūraṃ luñcantā vipphandamānaṃ khādiṃsu. Mahāsatto pathaviṃ dvidhā bhinditvā taṃ nirayaṃ dassetvā mahājanassa bhītabhāvaṃ ñatvā antaradhāpesi.
อถชฺชุโนติ สหสฺสพาหุราชาฯ องฺคีรสนฺติ อเงฺคหิ รํสีนํ นิจฺฉรณโต เอวํลทฺธนามํฯ เหฐยิตฺวาติ วิเหเฐตฺวา วิสปีตกเณฺฑน วิชฺฌิตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวาฯ โส กิร อชฺชุโน นาม ราชา มหิสกรเฎฺฐ เกตกราชธานิยํ รชฺชํ กาเรโนฺต มิควํ คนฺตฺวา มิเค วธิตฺวา องฺคารปกฺกมํสํ ขาทโนฺต วิจริฯ อเถกทิวสํ มิคานํ อาคมนฎฺฐาเน โกฎฺฐกํ กตฺวา มิเค โอโลกยมาโน อฎฺฐาสิฯ ตทา โส ตาปโส ตสฺส รโญฺญ อวิทูเร เอกํ การรุกฺขํ อภิรุหิตฺวา ผลานิ โอจินโนฺต โอจินิตผลสาขํ มุญฺจิฯ ตสฺสา วิสฺสฎฺฐาย สเทฺทน ตํฐานํ ปตฺตา มิคา ปลายิํสุฯ ราชา กุชฺฌิตฺวา ตาปสํ วิสมิสฺสิเตน สเลฺลน วิชฺฌิฯ โส ปริคลิตฺวา ปตโนฺต มตฺถเกน ขทิรขาณุกํ อาสาเทตฺวา สูลเคฺคเยว กาลมกาสิฯ ราชา ตงฺขเณเยว ทฺวิธา ภินฺนํ ปถวิํ ปวิสิตฺวา สตฺติสูลนิรเย นิพฺพตฺติ, ติคาวุตปฺปมาณํ สรีรํ อโหสิฯ ตตฺร ตํ นิรยปาลา ชลิเตหิ อาวุเธหิ โกเฎฺฎตฺวา ชลิตํ อยปพฺพตํ อาโรเปนฺติฯ ปพฺพตมตฺถเก ฐิตกาเล วาโต ปหรติ, โส วาตปฺปหาเรน ปริคลิตฺวา ปตติฯ ตสฺมิํ ขเณ เหฎฺฐา นวโยชนาย ชลิตอยปถวิยา มหาตาลกฺขนฺธปฺปมาณํ ชลิตํ อยสูลํ อุฎฺฐหติฯ โส สูลคฺคมตฺถเกเยว อาสาเทตฺวา สูลาวุโต ติฎฺฐติฯ ตสฺมิํ ขเณ ปถวี ชลติ, สูลํ ชลติ, ตสฺส สรีรํ ชลติฯ โส ตตฺถ มหารวํ รวโนฺต ปจฺจติฯ มหาสโตฺต ปถวิํ ทฺวิธา กตฺวา ตํ นิรยํ ทเสฺสตฺวา มหาชนสฺส ภีตภาวํ ญตฺวา อนฺตรธาเปสิฯ
Athajjunoti sahassabāhurājā. Aṅgīrasanti aṅgehi raṃsīnaṃ niccharaṇato evaṃladdhanāmaṃ. Heṭhayitvāti viheṭhetvā visapītakaṇḍena vijjhitvā jīvitakkhayaṃ pāpetvā. So kira ajjuno nāma rājā mahisakaraṭṭhe ketakarājadhāniyaṃ rajjaṃ kārento migavaṃ gantvā mige vadhitvā aṅgārapakkamaṃsaṃ khādanto vicari. Athekadivasaṃ migānaṃ āgamanaṭṭhāne koṭṭhakaṃ katvā mige olokayamāno aṭṭhāsi. Tadā so tāpaso tassa rañño avidūre ekaṃ kārarukkhaṃ abhiruhitvā phalāni ocinanto ocinitaphalasākhaṃ muñci. Tassā vissaṭṭhāya saddena taṃṭhānaṃ pattā migā palāyiṃsu. Rājā kujjhitvā tāpasaṃ visamissitena sallena vijjhi. So parigalitvā patanto matthakena khadirakhāṇukaṃ āsādetvā sūlaggeyeva kālamakāsi. Rājā taṅkhaṇeyeva dvidhā bhinnaṃ pathaviṃ pavisitvā sattisūlaniraye nibbatti, tigāvutappamāṇaṃ sarīraṃ ahosi. Tatra taṃ nirayapālā jalitehi āvudhehi koṭṭetvā jalitaṃ ayapabbataṃ āropenti. Pabbatamatthake ṭhitakāle vāto paharati, so vātappahārena parigalitvā patati. Tasmiṃ khaṇe heṭṭhā navayojanāya jalitaayapathaviyā mahātālakkhandhappamāṇaṃ jalitaṃ ayasūlaṃ uṭṭhahati. So sūlaggamatthakeyeva āsādetvā sūlāvuto tiṭṭhati. Tasmiṃ khaṇe pathavī jalati, sūlaṃ jalati, tassa sarīraṃ jalati. So tattha mahāravaṃ ravanto paccati. Mahāsatto pathaviṃ dvidhā katvā taṃ nirayaṃ dassetvā mahājanassa bhītabhāvaṃ ñatvā antaradhāpesi.
ขณฺฑโสติ จตฺตาโร หตฺถปาเท กณฺณนาสญฺจ ขณฺฑาขณฺฑํ กตฺวาฯ อทูสกนฺติ นิรปราธํฯ ตถา เฉทาเปตฺวา ทฺวีหิ กสาหิ ปหารสหเสฺสหิ ตาฬาเปตฺวา ชฎาสุ คเหตฺวา อากฑฺฒาเปตฺวา ปฎิกุชฺชํ นิปชฺชาเปตฺวา ปิฎฺฐิยํ ปณฺหิยา ปหริตฺวา มหาทุกฺขสมปฺปิตํ อกาสิฯ กลาพุวีจินฺติ กลาพุ อวีจิํฯ กฎุกนฺติ ติขิณเวทนํ, เอวรูปํ นิรยํ อุปปชฺชิตฺวา ฉนฺนํ ชาลานํ อนฺตเร ปจฺจติฯ วิตฺถารโต ปน กลาพุรโญฺญ วตฺถุ ขนฺติวาทิชาตเก (ชา. ๑.๔.๔๙-๕๒) กถิตเมวฯ อญฺญานิ ปาปิฎฺฐตรานิ เจตฺถาติ เอเตหิ นิรเยหิ ปาปิฎฺฐตรานิ จ อญฺญานิ นิรยานิ สุตฺวาฯ ธมฺมํ จเรติ, สกฺก เทวราช, ปณฺฑิโต กุลปุโตฺต น เกวลํ เอเตเยว จตฺตาโร นิรยา, เอเตเยว จ ราชาโน เนรยิกา, อถ โข อเญฺญปิ นิรยา, อเญฺญปิ จ ราชาโน นิรเยสุ อุปฺปนฺนาติ วิทิตฺวา จตุปจฺจยทานธมฺมิการกฺขาวรณสํวิธานสงฺขาตํ สมณพฺราหฺมเณสุ ธมฺมํ จเรยฺยาติฯ
Khaṇḍasoti cattāro hatthapāde kaṇṇanāsañca khaṇḍākhaṇḍaṃ katvā. Adūsakanti niraparādhaṃ. Tathā chedāpetvā dvīhi kasāhi pahārasahassehi tāḷāpetvā jaṭāsu gahetvā ākaḍḍhāpetvā paṭikujjaṃ nipajjāpetvā piṭṭhiyaṃ paṇhiyā paharitvā mahādukkhasamappitaṃ akāsi. Kalābuvīcinti kalābu avīciṃ. Kaṭukanti tikhiṇavedanaṃ, evarūpaṃ nirayaṃ upapajjitvā channaṃ jālānaṃ antare paccati. Vitthārato pana kalāburañño vatthu khantivādijātake (jā. 1.4.49-52) kathitameva. Aññāni pāpiṭṭhatarāni cetthāti etehi nirayehi pāpiṭṭhatarāni ca aññāni nirayāni sutvā. Dhammaṃ careti, sakka devarāja, paṇḍito kulaputto na kevalaṃ eteyeva cattāro nirayā, eteyeva ca rājāno nerayikā, atha kho aññepi nirayā, aññepi ca rājāno nirayesu uppannāti viditvā catupaccayadānadhammikārakkhāvaraṇasaṃvidhānasaṅkhātaṃ samaṇabrāhmaṇesu dhammaṃ careyyāti.
เอวํ มหาสเตฺตน จตุนฺนํ ราชูนํ นิพฺพตฺตฎฺฐาเน ทสฺสิเต ตโย ราชาโน นิกฺกงฺขา อเหสุํฯ ตโต สโกฺก อวเสเส จตฺตาโร ปเญฺห ปุจฺฉโนฺต คาถมาห –
Evaṃ mahāsattena catunnaṃ rājūnaṃ nibbattaṭṭhāne dassite tayo rājāno nikkaṅkhā ahesuṃ. Tato sakko avasese cattāro pañhe pucchanto gāthamāha –
๗๕.
75.
‘‘สุภาสิตํ เต อนุโมทิยาน, อญฺญํ ตํ ปุจฺฉามิ ตทิงฺฆ พฺรูหิ;
‘‘Subhāsitaṃ te anumodiyāna, aññaṃ taṃ pucchāmi tadiṅgha brūhi;
กถํวิธํ สีลวนฺตํ วทนฺติ, กถํวิธํ ปญฺญวนฺตํ วทนฺติ;
Kathaṃvidhaṃ sīlavantaṃ vadanti, kathaṃvidhaṃ paññavantaṃ vadanti;
กถํวิธํ สปฺปุริสํ วทนฺติ, กถํวิธํ โน สิริ โน ชหาตี’’ติฯ
Kathaṃvidhaṃ sappurisaṃ vadanti, kathaṃvidhaṃ no siri no jahātī’’ti.
ตตฺถ กถํวิธํ โน สิริ โน ชหาตีติ กถํวิธํ นุ ปุริสํ ปฎิลทฺธสิรี น ชหาตีติฯ
Tattha kathaṃvidhaṃ no siri no jahātīti kathaṃvidhaṃ nu purisaṃ paṭiladdhasirī na jahātīti.
อถสฺส วิสฺสเชฺชโนฺต มหาสโตฺต จตโสฺส คาถาโย อภาสิ –
Athassa vissajjento mahāsatto catasso gāthāyo abhāsi –
๗๖.
76.
‘‘กาเยน วาจาย จ โยธ สญฺญโต, มนสา จ กิญฺจิ น กโรติ ปาปํ;
‘‘Kāyena vācāya ca yodha saññato, manasā ca kiñci na karoti pāpaṃ;
น อตฺตเหตู อลิกํ ภเณติ, ตถาวิธํ สีลวนฺตํ วทนฺติฯ
Na attahetū alikaṃ bhaṇeti, tathāvidhaṃ sīlavantaṃ vadanti.
๗๗.
77.
‘‘คมฺภีรปญฺหํ มนสาภิจินฺตยํ, นาจฺจาหิตํ กมฺม กโรติ ลุทฺทํ;
‘‘Gambhīrapañhaṃ manasābhicintayaṃ, nāccāhitaṃ kamma karoti luddaṃ;
กาลาคตํ อตฺถปทํ น ริญฺจติ, ตถาวิธํ ปญฺญวนฺตํ วทนฺติฯ
Kālāgataṃ atthapadaṃ na riñcati, tathāvidhaṃ paññavantaṃ vadanti.
๗๘.
78.
‘‘โย เว กตญฺญู กตเวทิ ธีโร, กลฺยาณมิโตฺต ทฬฺหภตฺติ จ โหติ;
‘‘Yo ve kataññū katavedi dhīro, kalyāṇamitto daḷhabhatti ca hoti;
ทุขิตสฺส สกฺกจฺจ กโรติ กิจฺจํ, ตถาวิธํ สปฺปุริสํ วทนฺติฯ
Dukhitassa sakkacca karoti kiccaṃ, tathāvidhaṃ sappurisaṃ vadanti.
๗๙.
79.
‘‘เอเตหิ สเพฺพหิ คุเณหุเปโต, สโทฺธ มุทู สํวิภาคี วทญฺญู;
‘‘Etehi sabbehi guṇehupeto, saddho mudū saṃvibhāgī vadaññū;
สงฺคาหกํ สขิลํ สณฺหวาจํ, ตถาวิธํ โน สิริ โน ชหาตี’’ติฯ
Saṅgāhakaṃ sakhilaṃ saṇhavācaṃ, tathāvidhaṃ no siri no jahātī’’ti.
ตตฺถ ‘‘กาเยนา’’ติอาทีนิ ปทานิ ติวิธสุจริตทฺวารวเสน วุตฺตานิฯ น อตฺตเหตูติ เทสนาสีสเมเวตํ, อตฺตเหตุ วา ปรเหตุ วา ยสเหตุ วา ธนเหตุ วา ลาภเหตุ วา อามิสกิญฺจิกฺขเหตุ วา อลิกํ น กเถตีติ อโตฺถฯ กามเญฺจส อโตฺถ ‘‘วาจาย สญฺญโต’’ติ อิมินาว สิโทฺธ, มุสาวาทิโน ปน อกตฺตพฺพํ ปาปํ นาม นตฺถีติ ครุภาวทีปนตฺถํ ปุน เอวมาหาติ เวทิตโพฺพฯ ตํ ปุคฺคลํ สีลวนฺตํ วทนฺติฯ
Tattha ‘‘kāyenā’’tiādīni padāni tividhasucaritadvāravasena vuttāni. Na attahetūti desanāsīsamevetaṃ, attahetu vā parahetu vā yasahetu vā dhanahetu vā lābhahetu vā āmisakiñcikkhahetu vā alikaṃ na kathetīti attho. Kāmañcesa attho ‘‘vācāya saññato’’ti imināva siddho, musāvādino pana akattabbaṃ pāpaṃ nāma natthīti garubhāvadīpanatthaṃ puna evamāhāti veditabbo. Taṃ puggalaṃ sīlavantaṃ vadanti.
คมฺภีรปญฺหนฺติ อตฺถโต จ ปาฬิโต จ คมฺภีรํ คุฬฺหํ ปฎิจฺฉนฺนํ สตฺตุภสฺตชาตก- (ชา. ๑.๗.๔๖ อาทโย) สมฺภวชาตก- (ชา. ๑.๑๖.๑๓๘ อาทโย) มหาอุมงฺคชาตเกสุ (ชา. ๒.๒๒.๕๙๐ อาทโย) อาคตสทิสํ ปญฺหํฯ มนสาภิจินฺตยนฺติ มนสา อภิจิเนฺตโนฺต อตฺถํ ปฎิวิชฺฌิตฺวา จนฺทสหสฺสํ สูริยสหสฺสํ อุฎฺฐาเปโนฺต วิย ปากฎํ กตฺวา โย กเถตุํ สโกฺกตีติ อโตฺถฯ นาจฺจาหิตนฺติ น อติอหิตํ, หิตาติกฺกนฺตํ ลุทฺทํ ผรุสํ สาหสิกกมฺมญฺจ โย น กโรตีติ อโตฺถฯ อิมสฺส ปนตฺถสฺส อาวิภาวตฺถํ –
Gambhīrapañhanti atthato ca pāḷito ca gambhīraṃ guḷhaṃ paṭicchannaṃ sattubhastajātaka- (jā. 1.7.46 ādayo) sambhavajātaka- (jā. 1.16.138 ādayo) mahāumaṅgajātakesu (jā. 2.22.590 ādayo) āgatasadisaṃ pañhaṃ. Manasābhicintayanti manasā abhicintento atthaṃ paṭivijjhitvā candasahassaṃ sūriyasahassaṃ uṭṭhāpento viya pākaṭaṃ katvā yo kathetuṃ sakkotīti attho. Nāccāhitanti na atiahitaṃ, hitātikkantaṃ luddaṃ pharusaṃ sāhasikakammañca yo na karotīti attho. Imassa panatthassa āvibhāvatthaṃ –
‘‘น ปณฺฑิตา อตฺตสุขสฺส เหตุ, ปาปานิ กมฺมานิ สมาจรนฺติ;
‘‘Na paṇḍitā attasukhassa hetu, pāpāni kammāni samācaranti;
ทุเกฺขน ผุฎฺฐา ปิฬิตาปิ สนฺตา, ฉนฺทา โทสา จ น ชหนฺติ ธมฺม’’นฺติฯ –
Dukkhena phuṭṭhā piḷitāpi santā, chandā dosā ca na jahanti dhamma’’nti. –
ภูริปโญฺห กเถตโพฺพฯ
Bhūripañho kathetabbo.
กาลาคตนฺติ เอตฺถ ทานํ ทาตพฺพกาเล, สีลํ รกฺขณกาเล, อุโปสถํ อุปวาสกาเล, สรเณสุ ปติฎฺฐานกาเล, ปพฺพชิตกาเล, สมณธมฺมกรณกาเล, วิปสฺสนาจารสฺมิํ ยุญฺชนกาเล จาติ อิมานิ ทานาทีนิ สมฺปาเทโนฺต กาลาคตํ อตฺถปทํ น ริญฺจติ น หาเปติ น คฬาเปติ นามฯ ตถาวิธนฺติ สกฺก สพฺพญฺญุพุทฺธา จ ปเจฺจกพุทฺธา จ โพธิสตฺตา จ ปญฺญวนฺตํ กเถนฺตา เอวรูปํ ปุคฺคลํ กเถนฺติฯ
Kālāgatanti ettha dānaṃ dātabbakāle, sīlaṃ rakkhaṇakāle, uposathaṃ upavāsakāle, saraṇesu patiṭṭhānakāle, pabbajitakāle, samaṇadhammakaraṇakāle, vipassanācārasmiṃ yuñjanakāle cāti imāni dānādīni sampādento kālāgataṃ atthapadaṃ na riñcati na hāpeti na gaḷāpeti nāma. Tathāvidhanti sakka sabbaññubuddhā ca paccekabuddhā ca bodhisattā ca paññavantaṃ kathentā evarūpaṃ puggalaṃ kathenti.
‘‘โย เว’’ติ คาถาย ปเรน อตฺตโน กตคุณํ ชานาตีติ กตญฺญูฯ เอวํ ญตฺวา ปน เยนสฺส คุโณ กโต, ตสฺส คุณํ ปฎิกโรโนฺต กตเวที นามฯ ทุขิตสฺสาติ อตฺตโน สหายสฺส ทุกฺขปฺปตฺตสฺส ทุกฺขํ อตฺตนิ อาโรเปตฺวา โย ตสฺส อุปฺปนฺนกิจฺจํ สหเตฺถน สกฺกจฺจํ กโรติ, พุทฺธาทโย เอวรูปํ สปฺปุริสํ นาม กเถนฺติฯ อปิจ สปฺปุริสา นาม กตญฺญู กตเวทิโน โหนฺตีติ สตปตฺตชาตก- (ชา. ๑.๓.๘๕-๘๗) จูฬหํสชาตก- (ชา. ๑.๑๕.๑๓๓ อาทโย) มหาหํสชาตกาทีนิ (ชา. ๒.๒๑.๘๙ อาทโย) กเถตพฺพานิฯ เอเตหิ สเพฺพหีติ สกฺก โย เอเตหิ เหฎฺฐา วุเตฺตหิ สีลาทีหิ สเพฺพหิปิ คุเณหิ อุเปโตฯ สโทฺธติ โอกปฺปนสทฺธาย สมนฺนาคโตฯ มุทูติ ปิยภาณีฯ สํวิภาคีติ สีลสํวิภาคทานสํวิภาคาภิรตตฺตา สํวิภาคีฯ ยาจกานํ วจนํ ญตฺวา ทานวเสน วทญฺญูฯ จตูหิ สงฺคหวตฺถูหิ เตสํ เตสํ สงฺคณฺหนโต สงฺคาหกํ, มธุรวจนตาย สขิลํ, มฎฺฐวจนตาย สณฺหวาจํ ตถาวิธํ นุ ปุคฺคลํ อธิคตยสโสภคฺคสงฺขาตา สิรี โน ชหาติ, นาสฺส สิรี วินสฺสตีติฯ
‘‘Yo ve’’ti gāthāya parena attano kataguṇaṃ jānātīti kataññū. Evaṃ ñatvā pana yenassa guṇo kato, tassa guṇaṃ paṭikaronto katavedī nāma. Dukhitassāti attano sahāyassa dukkhappattassa dukkhaṃ attani āropetvā yo tassa uppannakiccaṃ sahatthena sakkaccaṃ karoti, buddhādayo evarūpaṃ sappurisaṃ nāma kathenti. Apica sappurisā nāma kataññū katavedino hontīti satapattajātaka- (jā. 1.3.85-87) cūḷahaṃsajātaka- (jā. 1.15.133 ādayo) mahāhaṃsajātakādīni (jā. 2.21.89 ādayo) kathetabbāni. Etehi sabbehīti sakka yo etehi heṭṭhā vuttehi sīlādīhi sabbehipi guṇehi upeto. Saddhoti okappanasaddhāya samannāgato. Mudūti piyabhāṇī. Saṃvibhāgīti sīlasaṃvibhāgadānasaṃvibhāgābhiratattā saṃvibhāgī. Yācakānaṃ vacanaṃ ñatvā dānavasena vadaññū. Catūhi saṅgahavatthūhi tesaṃ tesaṃ saṅgaṇhanato saṅgāhakaṃ, madhuravacanatāya sakhilaṃ, maṭṭhavacanatāya saṇhavācaṃ tathāvidhaṃ nu puggalaṃ adhigatayasasobhaggasaṅkhātā sirī no jahāti, nāssa sirī vinassatīti.
เอวํ มหาสโตฺต คคนตเล ปุณฺณจนฺทํ อุฎฺฐาเปโนฺต วิย จตฺตาโร ปเญฺห วิสฺสเชฺชสิฯ ตโต ปรํ เสสปญฺหานํ ปุจฺฉา จ วิสฺสชฺชนญฺจ โหติ –
Evaṃ mahāsatto gaganatale puṇṇacandaṃ uṭṭhāpento viya cattāro pañhe vissajjesi. Tato paraṃ sesapañhānaṃ pucchā ca vissajjanañca hoti –
๘๐.
80.
‘‘สุภาสิตํ เต อนุโมทิยาน, อญฺญํ ตํ ปุจฺฉามิ ตทิงฺฆ พฺรูหิ;
‘‘Subhāsitaṃ te anumodiyāna, aññaṃ taṃ pucchāmi tadiṅgha brūhi;
สีลํ สิริญฺจาปิ สตญฺจ ธมฺมํ, ปญฺญญฺจ กํ เสฎฺฐตรํ วทนฺติฯ
Sīlaṃ siriñcāpi satañca dhammaṃ, paññañca kaṃ seṭṭhataraṃ vadanti.
๘๑.
81.
‘‘ปญฺญา หิ เสฎฺฐา กุสลา วทนฺติ, นกฺขตฺตราชาริว ตารกานํ;
‘‘Paññā hi seṭṭhā kusalā vadanti, nakkhattarājāriva tārakānaṃ;
สีลํ สิรี จาปิ สตญฺจ ธโมฺม, อนฺวายิกา ปญฺญวโต ภวนฺติฯ
Sīlaṃ sirī cāpi satañca dhammo, anvāyikā paññavato bhavanti.
๘๒.
82.
‘‘สุภาสิตํ เต อนุโมทิยาน, อญฺญํ ตํ ปุจฺฉามิ ตทิงฺฆ พฺรูหิ;
‘‘Subhāsitaṃ te anumodiyāna, aññaṃ taṃ pucchāmi tadiṅgha brūhi;
กถํกโร กินฺติกโร กิมาจรํ, กิํ เสวมาโน ลภตีธ ปญฺญํ;
Kathaṃkaro kintikaro kimācaraṃ, kiṃ sevamāno labhatīdha paññaṃ;
ปญฺญาย ทานิปฺปฎิปทํ วเทหิ, กถํกโร ปญฺญวา โหติ มโจฺจฯ
Paññāya dānippaṭipadaṃ vadehi, kathaṃkaro paññavā hoti macco.
๘๓.
83.
‘‘เสเวถ วุเทฺธ นิปุเณ พหุสฺสุเต, อุคฺคาหโก จ ปริปุจฺฉโก สิยา;
‘‘Sevetha vuddhe nipuṇe bahussute, uggāhako ca paripucchako siyā;
สุเณยฺย สกฺกจฺจ สุภาสิตานิ, เอวํกโร ปญฺญวา โหติ มโจฺจฯ
Suṇeyya sakkacca subhāsitāni, evaṃkaro paññavā hoti macco.
๘๔.
84.
‘‘ส ปญฺญวา กามคุเณ อเวกฺขติ, อนิจฺจโต ทุกฺขโต โรคโต จ;
‘‘Sa paññavā kāmaguṇe avekkhati, aniccato dukkhato rogato ca;
เอวํ วิปสฺสี ปชหาติ ฉนฺทํ, ทุเกฺขสุ กาเมสุ มหพฺภเยสุฯ
Evaṃ vipassī pajahāti chandaṃ, dukkhesu kāmesu mahabbhayesu.
๘๕.
85.
‘‘ส วีตราโค ปวิเนยฺย โทสํ, เมตฺตํ จิตฺตํ ภาวเย อปฺปมาณํ;
‘‘Sa vītarāgo pavineyya dosaṃ, mettaṃ cittaṃ bhāvaye appamāṇaṃ;
สเพฺพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑํ, อนินฺทิโต พฺรหฺมมุเปติ ฐาน’’นฺติฯ
Sabbesu bhūtesu nidhāya daṇḍaṃ, anindito brahmamupeti ṭhāna’’nti.
ตตฺถ สีลนฺติ อาจารสีลํฯ สิรินฺติ อิสฺสริยสิริํฯ สตญฺจ ธมฺมนฺติ สปฺปุริสธมฺมํฯ ปญฺญนฺติ สุปญฺญํฯ เอวํ อิเมสํ จตุนฺนํ ธมฺมานํ กตรํ ธมฺมํ เสฎฺฐตรํ วทนฺตีติ ปุจฺฉติฯ ปญฺญา หีติ, สกฺก, เอเตสุ จตูสุ ธเมฺมสุ ยา เอสา ปญฺญา นาม, สาว เสฎฺฐา, อิติ พุทฺธาทโย กุสลา วทนฺติฯ ยถา หิ ตารกคณา จนฺทํ ปริวาเรนฺติ, จโนฺทว เตสํ อุตฺตโมฯ เอวํ สีลญฺจ สิรี จาปิ สตญฺจ ธโมฺมติ เอเต ตโยปิ อนฺวายิกา ปญฺญวโต ภวนฺติ ปญฺญวนฺตเมว อนุคจฺฉนฺติ, ปญฺญาย เอว ปริวารา โหนฺตีติ อโตฺถฯ
Tattha sīlanti ācārasīlaṃ. Sirinti issariyasiriṃ. Satañca dhammanti sappurisadhammaṃ. Paññanti supaññaṃ. Evaṃ imesaṃ catunnaṃ dhammānaṃ kataraṃ dhammaṃ seṭṭhataraṃ vadantīti pucchati. Paññā hīti, sakka, etesu catūsu dhammesu yā esā paññā nāma, sāva seṭṭhā, iti buddhādayo kusalā vadanti. Yathā hi tārakagaṇā candaṃ parivārenti, candova tesaṃ uttamo. Evaṃ sīlañca sirī cāpi satañca dhammoti ete tayopi anvāyikā paññavato bhavanti paññavantameva anugacchanti, paññāya eva parivārā hontīti attho.
‘‘กถํกโร’’ติอาทีนิ อญฺญมญฺญเววจนาเนวฯ กถํกโรติ กิํ นาม กมฺมํ กโรโนฺต กิํ อาจรโนฺต กิํ เสวมาโน ภชมาโน ปยิรุปาสมาโน อิธโลเก ปญฺญํ ลภติ, ปญฺญายเมว ปฎิปทํ วเทหิ, ชานิตุกาโมมฺหิ, กถํกโร มโจฺจ ปญฺญวา นาม โหตีติ ปุจฺฉติฯ วุเทฺธติ ปญฺญาวุทฺธิปฺปเตฺต ปณฺฑิเตฯ นิปุเณติ สุขุมการณชานนสมเตฺถฯ เอวํกโรติ โย ปุคฺคโล เอวํ วุตฺตปฺปกาเร ปุคฺคเล เสวติ ภชติ ปยิรุปาสติ, ปาฬิํ อุคฺคณฺหาติ, ปุนปฺปุนํ อตฺถํ ปุจฺฉติ, ปาสาเณ เลขํ ขณโนฺต วิย กญฺจนนาฬิยา สีหวสํ สมฺปฎิจฺฉโนฺต วิย โอหิตโสโต สกฺกจฺจํ สุภาสิตานิ สุณาติ, อยํ เอวํกโร มโจฺจ ปญฺญวา โหตีติฯ
‘‘Kathaṃkaro’’tiādīni aññamaññavevacanāneva. Kathaṃkaroti kiṃ nāma kammaṃ karonto kiṃ ācaranto kiṃ sevamāno bhajamāno payirupāsamāno idhaloke paññaṃ labhati, paññāyameva paṭipadaṃ vadehi, jānitukāmomhi, kathaṃkaro macco paññavā nāma hotīti pucchati. Vuddheti paññāvuddhippatte paṇḍite. Nipuṇeti sukhumakāraṇajānanasamatthe. Evaṃkaroti yo puggalo evaṃ vuttappakāre puggale sevati bhajati payirupāsati, pāḷiṃ uggaṇhāti, punappunaṃ atthaṃ pucchati, pāsāṇe lekhaṃ khaṇanto viya kañcananāḷiyā sīhavasaṃ sampaṭicchanto viya ohitasoto sakkaccaṃ subhāsitāni suṇāti, ayaṃ evaṃkaro macco paññavā hotīti.
เอวํ มหาสโตฺต ปาจีนโลกธาตุโต สูริยํ อุฎฺฐาเปโนฺต วิย ปญฺญาย ปฎิปทํ กเถตฺวา อิทานิ ตสฺสา ปญฺญาย คุณํ กเถโนฺต ‘‘ส ปญฺญวา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ กามคุเณติ กามโกฎฺฐาเส หุตฺวา อภาวเฎฺฐน อนิจฺจโต, ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกานํ ทุกฺขานํ วตฺถุภาเวน ทุกฺขโต, อฎฺฐนวุติยา โรคมุขานํ กาเม นิสฺสาย อุปฺปตฺติสมฺภเวน โรคโต จ อเวกฺขติ โอโลเกติ, โส เอวํ วิปสฺสี เอเตหิ การเณหิ กามานํ อนิจฺจาทิตํ ปสฺสโนฺต ‘‘กาเม นิสฺสาย อุปฺปชฺชนกทุกฺขานํ อโนฺต นตฺถิ, กามานํ ปหานเมว สุข’’นฺติ วิทิตฺวา ทุเกฺขสุ กาเมสุ มหพฺภเยสุ ฉนฺทํ ปชหาติฯ ส วีตราโคติ, ‘‘สกฺก, โส ปุคฺคโล เอวํ วีตราโค นวาฆาตวตฺถุวเสน อุปฺปชฺชนกสภาวโทสํ วิเนตฺวา เมตฺตจิตฺตํ ภาเวยฺย, อปฺปมาณสตฺตารมฺมณตฺตา อปฺปมาณํ ตํ ภาเวตฺวา อปริหีนชฺฌาโน อครหิโต พฺรหฺมโลเก อุปฺปชฺชตี’’ติฯ
Evaṃ mahāsatto pācīnalokadhātuto sūriyaṃ uṭṭhāpento viya paññāya paṭipadaṃ kathetvā idāni tassā paññāya guṇaṃ kathento ‘‘sa paññavā’’tiādimāha. Tattha kāmaguṇeti kāmakoṭṭhāse hutvā abhāvaṭṭhena aniccato, diṭṭhadhammikasamparāyikānaṃ dukkhānaṃ vatthubhāvena dukkhato, aṭṭhanavutiyā rogamukhānaṃ kāme nissāya uppattisambhavena rogato ca avekkhati oloketi, so evaṃ vipassī etehi kāraṇehi kāmānaṃ aniccāditaṃ passanto ‘‘kāme nissāya uppajjanakadukkhānaṃ anto natthi, kāmānaṃ pahānameva sukha’’nti viditvā dukkhesu kāmesu mahabbhayesu chandaṃ pajahāti. Sa vītarāgoti, ‘‘sakka, so puggalo evaṃ vītarāgo navāghātavatthuvasena uppajjanakasabhāvadosaṃ vinetvā mettacittaṃ bhāveyya, appamāṇasattārammaṇattā appamāṇaṃ taṃ bhāvetvā aparihīnajjhāno agarahito brahmaloke uppajjatī’’ti.
เอวํ มหาสเตฺต กามานํ โทสํ กเถเนฺตเยว เตสํ ติณฺณมฺปิ ราชูนํ สพลกายานํ ตทงฺคปฺปหาเนน ปญฺจกามคุณราโค ปหีโนฯ ตํ ญตฺวา มหาสโตฺต เตสํ ปหํสนวเสน คาถมาห –
Evaṃ mahāsatte kāmānaṃ dosaṃ kathenteyeva tesaṃ tiṇṇampi rājūnaṃ sabalakāyānaṃ tadaṅgappahānena pañcakāmaguṇarāgo pahīno. Taṃ ñatvā mahāsatto tesaṃ pahaṃsanavasena gāthamāha –
๘๖.
86.
‘‘มหตฺถิยํ อาคมนํ อโหสิ, ตวมฎฺฐกา ภีมรถสฺส จาปิ;
‘‘Mahatthiyaṃ āgamanaṃ ahosi, tavamaṭṭhakā bhīmarathassa cāpi;
กาลิงฺคราชสฺส จ อุคฺคตสฺส, สเพฺพส โว กามราโค ปหีโน’’ติฯ
Kāliṅgarājassa ca uggatassa, sabbesa vo kāmarāgo pahīno’’ti.
ตตฺถ มหตฺถิยนฺติ มหตฺถํ มหาวิปฺผารํ มหาชุติกํฯ ตวมฎฺฐกาติ ตว อฎฺฐกาฯ ปหีโนติ ตทงฺคปฺปหาเนน ปหีโนฯ
Tattha mahatthiyanti mahatthaṃ mahāvipphāraṃ mahājutikaṃ. Tavamaṭṭhakāti tava aṭṭhakā. Pahīnoti tadaṅgappahānena pahīno.
ตํ สุตฺวา ราชาโน มหาสตฺตสฺส ถุติํ กโรนฺตา คาถมาหํสุ –
Taṃ sutvā rājāno mahāsattassa thutiṃ karontā gāthamāhaṃsu –
๘๗.
87.
‘‘เอวเมตํ ปรจิตฺตเวทิ, สเพฺพส โน กามราโค ปหีโน;
‘‘Evametaṃ paracittavedi, sabbesa no kāmarāgo pahīno;
กโรหิ โอกาสมนุคฺคหาย, ยถา คติํ เต อภิสมฺภเวมา’’ติฯ
Karohi okāsamanuggahāya, yathā gatiṃ te abhisambhavemā’’ti.
ตตฺถ อนุคฺคหายาติ ปพฺพชฺชตฺถาย โอกาสํ โน กโรหิฯ ยถา มยํ ปพฺพชิตฺวา ตว คติํ นิปฺผตฺติํ อภิสมฺภเวม ปาปุเณยฺยาม, ตยา ปฎิวิทฺธคุณํ ปฎิวิเชฺฌยฺยามาติ วทิํสุฯ
Tattha anuggahāyāti pabbajjatthāya okāsaṃ no karohi. Yathā mayaṃ pabbajitvā tava gatiṃ nipphattiṃ abhisambhavema pāpuṇeyyāma, tayā paṭividdhaguṇaṃ paṭivijjheyyāmāti vadiṃsu.
อถ เนสํ โอกาสํ กโรโนฺต มหาสโตฺต อิตรํ คาถมาห –
Atha nesaṃ okāsaṃ karonto mahāsatto itaraṃ gāthamāha –
๘๘.
88.
‘‘กโรมิ โอกาสมนุคฺคหาย, ตถา หิ โว กามราโค ปหีโน;
‘‘Karomi okāsamanuggahāya, tathā hi vo kāmarāgo pahīno;
ผราถ กายํ วิปุลาย ปีติยา, ยถา คติํ เม อภิสมฺภเวถา’’ติฯ
Pharātha kāyaṃ vipulāya pītiyā, yathā gatiṃ me abhisambhavethā’’ti.
ตตฺถ ผราถ กายนฺติ ฌานปีติยา วิปุลาย กายํ ผรถาติฯ
Tattha pharātha kāyanti jhānapītiyā vipulāya kāyaṃ pharathāti.
ตํ สุตฺวา เต สมฺปฎิจฺฉนฺตา คาถมาหํสุ –
Taṃ sutvā te sampaṭicchantā gāthamāhaṃsu –
๘๙.
89.
‘‘สพฺพํ กริสฺสาม ตวานุสาสนิํ, ยํ ยํ ตุวํ วกฺขสิ ภูริปญฺญ;
‘‘Sabbaṃ karissāma tavānusāsaniṃ, yaṃ yaṃ tuvaṃ vakkhasi bhūripañña;
ผราม กายํ วิปุลาย ปีติยา, ยถา คติํ เต อภิสมฺภเวมา’’ติฯ
Pharāma kāyaṃ vipulāya pītiyā, yathā gatiṃ te abhisambhavemā’’ti.
อถ เนสํ สพลกายานํ มหาสโตฺต ปพฺพชฺชํ ทาเปตฺวา อิสิคณํ อุโยฺยเชโนฺต คาถมาห –
Atha nesaṃ sabalakāyānaṃ mahāsatto pabbajjaṃ dāpetvā isigaṇaṃ uyyojento gāthamāha –
๙๐.
90.
‘‘กตาย วจฺฉสฺส กิสสฺส ปูชา, คจฺฉนฺตุ โภโนฺต อิสโย สาธุรูปา;
‘‘Katāya vacchassa kisassa pūjā, gacchantu bhonto isayo sādhurūpā;
ฌาเน รตา โหถ สทา สมาหิตา, เอสา รตี ปพฺพชิตสฺส เสฎฺฐา’’ติฯ
Jhāne ratā hotha sadā samāhitā, esā ratī pabbajitassa seṭṭhā’’ti.
ตตฺถ คจฺฉนฺตูติ อตฺตโน อตฺตโน วสนฎฺฐานานิ คจฺฉนฺตุฯ
Tattha gacchantūti attano attano vasanaṭṭhānāni gacchantu.
อิสโย ตสฺส สรภงฺคสตฺถุโน วจนํ สิรสา สมฺปฎิจฺฉิตฺวา วนฺทิตฺวา อากาสํ อุปฺปติตฺวา สกานิ วสนฎฺฐานานิ คมิํสุฯ สโกฺกปิ อุฎฺฐายาสนา มหาสตฺตสฺส ถุติํ กตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคยฺห สูริยํ นมสฺสโนฺต วิย มหาสตฺตํ นมสฺสมาโน สปริโส ปกฺกามิฯ เอตมตฺถํ วิทิตฺวา สตฺถา อิมา คาถาโย อภาสิ –
Isayo tassa sarabhaṅgasatthuno vacanaṃ sirasā sampaṭicchitvā vanditvā ākāsaṃ uppatitvā sakāni vasanaṭṭhānāni gamiṃsu. Sakkopi uṭṭhāyāsanā mahāsattassa thutiṃ katvā añjaliṃ paggayha sūriyaṃ namassanto viya mahāsattaṃ namassamāno sapariso pakkāmi. Etamatthaṃ viditvā satthā imā gāthāyo abhāsi –
๙๑.
91.
‘‘สุตฺวาน คาถา ปรมตฺถสํหิตา, สุภาสิตา อิสินา ปณฺฑิเตน;
‘‘Sutvāna gāthā paramatthasaṃhitā, subhāsitā isinā paṇḍitena;
เต เวทชาตา อนุโมทมานา, ปกฺกามุ เทวา เทวปุรํ ยสสฺสิโนฯ
Te vedajātā anumodamānā, pakkāmu devā devapuraṃ yasassino.
๙๒.
92.
‘‘คาถา อิมา อตฺถวตี สุพฺยญฺชนา, สุภาสิตา อิสินา ปณฺฑิเตน;
‘‘Gāthā imā atthavatī subyañjanā, subhāsitā isinā paṇḍitena;
โย โกจิมา อฎฺฐิกตฺวา สุเณยฺย, ลเภถ ปุพฺพาปริยํ วิเสสํ;
Yo kocimā aṭṭhikatvā suṇeyya, labhetha pubbāpariyaṃ visesaṃ;
ลทฺธาน ปุพฺพาปริยํ วิเสสํ, อทสฺสนํ มจฺจุราชสฺส คเจฺฉ’’ติฯ
Laddhāna pubbāpariyaṃ visesaṃ, adassanaṃ maccurājassa gacche’’ti.
ตตฺถ ปรมตฺถสํหิตาติ อนิจฺจาทิทีปเนน นิพฺพานนิสฺสิตาฯ คาถา อิมาติ อิทํ สตฺถา สรภงฺคสตฺถุโน นิพฺพานทายกํ สุภาสิตํ วเณฺณโนฺต อาหฯ ตตฺถ อตฺถวตีติ นิพฺพานทายกเฎฺฐน ปรมตฺถนิสฺสิตาฯ สุพฺยญฺชนาติ ปริสุทฺธพฺยญฺชนาฯ สุภาสิตาติ สุกถิตาฯ อฎฺฐิกตฺวาติ อตฺตโน อตฺถิกภาวํ กตฺวา อตฺถิโก หุตฺวา สกฺกจฺจํ สุเณยฺยฯ ปุพฺพาปริยนฺติ ปฐมชฺฌานํ ปุพฺพวิเสโส, ทุติยชฺฌานํ อปรวิเสโสฯ ทุติยชฺฌานํ ปุพฺพวิเสโส, ตติยชฺฌานํ อปรวิเสโสติ เอวํ อฎฺฐสมาปตฺติจตุมคฺควเสน ปุพฺพาปรภาเวน ฐิตํ วิเสสํฯ อทสฺสนนฺติ ปริโยสาเน อปรวิเสสํ อรหตฺตํ ลภิตฺวา นิพฺพานํ ปาปุเณยฺยฯ นิพฺพานปฺปโตฺต หิ ปุคฺคโล มจฺจุราชสฺส อทสฺสนํ คโต นาม โหตีติฯ
Tattha paramatthasaṃhitāti aniccādidīpanena nibbānanissitā. Gāthā imāti idaṃ satthā sarabhaṅgasatthuno nibbānadāyakaṃ subhāsitaṃ vaṇṇento āha. Tattha atthavatīti nibbānadāyakaṭṭhena paramatthanissitā. Subyañjanāti parisuddhabyañjanā. Subhāsitāti sukathitā. Aṭṭhikatvāti attano atthikabhāvaṃ katvā atthiko hutvā sakkaccaṃ suṇeyya. Pubbāpariyanti paṭhamajjhānaṃ pubbaviseso, dutiyajjhānaṃ aparaviseso. Dutiyajjhānaṃ pubbaviseso, tatiyajjhānaṃ aparavisesoti evaṃ aṭṭhasamāpatticatumaggavasena pubbāparabhāvena ṭhitaṃ visesaṃ. Adassananti pariyosāne aparavisesaṃ arahattaṃ labhitvā nibbānaṃ pāpuṇeyya. Nibbānappatto hi puggalo maccurājassa adassanaṃ gato nāma hotīti.
เอวํ สตฺถา อรหเตฺตน เทสนาย กูฎํ คณฺหิตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ โมคฺคลฺลานสฺส อาฬาหเน ปุปฺผวสฺสํ วสฺสี’’ติ วตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนโนฺต อาห –
Evaṃ satthā arahattena desanāya kūṭaṃ gaṇhitvā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi moggallānassa āḷāhane pupphavassaṃ vassī’’ti vatvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānento āha –
๙๓.
93.
‘‘สาลิสฺสโร สาริปุโตฺต, เมณฺฑิสฺสโร จ กสฺสโป;
‘‘Sālissaro sāriputto, meṇḍissaro ca kassapo;
ปพฺพโต อนุรุโทฺธ จ, กจฺจายโน จ เทวโล;
Pabbato anuruddho ca, kaccāyano ca devalo;
๙๔.
94.
‘‘อนุสิโสฺส จ อานโนฺท, กิสวโจฺฉ จ โกลิโต;
‘‘Anusisso ca ānando, kisavaccho ca kolito;
นารโท อุทายิเตฺถโร, ปริสา พุทฺธปริสา;
Nārado udāyitthero, parisā buddhaparisā;
สรภโงฺค โลกนาโถ, เอวํ ธาเรถ ชาตก’’นฺติฯ
Sarabhaṅgo lokanātho, evaṃ dhāretha jātaka’’nti.
สรภงฺคชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ
Sarabhaṅgajātakavaṇṇanā dutiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๒๒. สรภงฺคชาตกํ • 522. Sarabhaṅgajātakaṃ