Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā)

    ๔. สรภสุตฺตวณฺณนา

    4. Sarabhasuttavaṇṇanā

    ๖๕. จตุเตฺถ ราชคเหติ เอวํนามเก นคเรฯ คิชฺฌกูเฎ ปพฺพเตติ คิชฺฌสทิสานิสฺส กูฎานิ, คิชฺฌา วา ตสฺส กูเฎสุ วสนฺตีติ คิชฺฌกูโฎ, ตสฺมิํ คิชฺฌกูเฎ ปพฺพเตฯ เอเตนสฺส ราชคหํ โคจรคามํ กตฺวา วิหรนฺตสฺส วสนฎฺฐานํ ทสฺสิตํฯ คิชฺฌกูฎสฺมิญฺหิ ตถาคตํ อุทฺทิสฺส วิหาโร การิโต, คิชฺฌกูฎวิหาโรเตฺววสฺส นามํฯ ตตฺถายํ ตสฺมิํ สมเย วิหรตีติฯ สรโภ นาม ปริพฺพาชโก อจิรปกฺกโนฺต โหตีติ สรโภติ เอวํนามโก ปริพฺพาชโก อิมสฺมิํ สาสเน ปพฺพชิตฺวา นจิรเสฺสว ปกฺกโนฺต โหติ, อธุนา วิพฺภโนฺตติ อโตฺถฯ สมฺมาสมฺพุเทฺธ หิ โลเก อุปฺปเนฺน ติตฺถิยา นฎฺฐลาภสกฺการา อเหสุํ, ติณฺณํ รตนานํ มหาลาภสกฺกาโร อุปฺปชฺชิฯ ยถาห –

    65. Catutthe rājagaheti evaṃnāmake nagare. Gijjhakūṭe pabbateti gijjhasadisānissa kūṭāni, gijjhā vā tassa kūṭesu vasantīti gijjhakūṭo, tasmiṃ gijjhakūṭe pabbate. Etenassa rājagahaṃ gocaragāmaṃ katvā viharantassa vasanaṭṭhānaṃ dassitaṃ. Gijjhakūṭasmiñhi tathāgataṃ uddissa vihāro kārito, gijjhakūṭavihārotvevassa nāmaṃ. Tatthāyaṃ tasmiṃ samaye viharatīti. Sarabho nāma paribbājako acirapakkanto hotīti sarabhoti evaṃnāmako paribbājako imasmiṃ sāsane pabbajitvā nacirasseva pakkanto hoti, adhunā vibbhantoti attho. Sammāsambuddhe hi loke uppanne titthiyā naṭṭhalābhasakkārā ahesuṃ, tiṇṇaṃ ratanānaṃ mahālābhasakkāro uppajji. Yathāha –

    ‘‘เตน โข ปน สมเยน ภควา สกฺกโต โหติ ครุกโต มานิโต ปูชิโต อปจิโต ลาภี จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารานํฯ อญฺญติตฺถิยา ปน ปริพฺพาชกา อสกฺกตา โหนฺติ อครุกตา อมานิตา อปูชิตา น ลาภิโน จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาราน’’นฺติ (อุทา.๑๔; สํ.นิ.๑.๒.๗๐)ฯ

    ‘‘Tena kho pana samayena bhagavā sakkato hoti garukato mānito pūjito apacito lābhī cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānapaccayabhesajjaparikkhārānaṃ. Aññatitthiyā pana paribbājakā asakkatā honti agarukatā amānitā apūjitā na lābhino cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānapaccayabhesajjaparikkhārāna’’nti (udā.14; saṃ.ni.1.2.70).

    เต เอวํ ปริหีนลาภสกฺการา ปญฺจสตมตฺตา เอกสฺมิํ ปริพฺพาชการาเม สนฺนิปติตฺวา สมฺมนฺตยิํสุ – ‘‘โภ, มยํ สมณสฺส โคตมสฺส อุปฺปนฺนกาลโต ปฎฺฐาย หตลาภสกฺการา ชาตา, สมณสฺส โคตมสฺส สาวกานญฺจสฺส เอกํ อวณฺณํ อุปธาเรถ, อวณฺณํ ปตฺถริตฺวา เอตสฺส สาสนํ ครหิตฺวา อมฺหากํ ลาภสกฺการํ อุปฺปาเทสฺสามา’’ติฯ เต วชฺชํ โอโลเกนฺตา – ‘‘ตีสุ ทฺวาเรสุ อาชีเว จาติ จตูสุปิ ฐาเนสุ สมณสฺส โคตมสฺส วชฺชํ ปสฺสิตุํ น สกฺกา, อิมานิ จตฺตาริ ฐานานิ มุญฺจิตฺวา อญฺญตฺถ โอโลเกถา’’ติ อาหํสุฯ อถ เนสํ อนฺตเร เอโก เอวมาห – ‘‘อหํ อญฺญํ น ปสฺสามิ, อิเม อนฺวฑฺฒมาสํ สนฺนิปติตฺวา ทฺวารวาตปานานิ ปิธาย สามเณรานมฺปิ ปเวสนํ น เทนฺติฯ ชีวิตสทิสาปิ อุปฎฺฐากา ทฎฺฐุํ น ลภนฺติ, อาวฎฺฎนิมายํ โอสาเรตฺวา โอสาเรตฺวา ชนํ อาวเฎฺฎตฺวา อาวเฎฺฎตฺวา ขาทนฺติฯ สเจ ตํ มยํ อาหริตุํ สกฺขิสฺสาม, เอวํ โน ลาภสกฺการอุฬาโร ภวิสฺสตี’’ติฯ อปโรปิ เอวเมว วทโนฺต อุฎฺฐาสิฯ สเพฺพ เอกวาทา อเหสุํฯ ตโต อาหํสุ – ‘‘โย ตํ อาหริตุํ สกฺขิสฺสติ, ตํ มยํ อมฺหากํ สมเย เชฎฺฐกํ กริสฺสามา’’ติฯ

    Te evaṃ parihīnalābhasakkārā pañcasatamattā ekasmiṃ paribbājakārāme sannipatitvā sammantayiṃsu – ‘‘bho, mayaṃ samaṇassa gotamassa uppannakālato paṭṭhāya hatalābhasakkārā jātā, samaṇassa gotamassa sāvakānañcassa ekaṃ avaṇṇaṃ upadhāretha, avaṇṇaṃ pattharitvā etassa sāsanaṃ garahitvā amhākaṃ lābhasakkāraṃ uppādessāmā’’ti. Te vajjaṃ olokentā – ‘‘tīsu dvāresu ājīve cāti catūsupi ṭhānesu samaṇassa gotamassa vajjaṃ passituṃ na sakkā, imāni cattāri ṭhānāni muñcitvā aññattha olokethā’’ti āhaṃsu. Atha nesaṃ antare eko evamāha – ‘‘ahaṃ aññaṃ na passāmi, ime anvaḍḍhamāsaṃ sannipatitvā dvāravātapānāni pidhāya sāmaṇerānampi pavesanaṃ na denti. Jīvitasadisāpi upaṭṭhākā daṭṭhuṃ na labhanti, āvaṭṭanimāyaṃ osāretvā osāretvā janaṃ āvaṭṭetvā āvaṭṭetvā khādanti. Sace taṃ mayaṃ āharituṃ sakkhissāma, evaṃ no lābhasakkārauḷāro bhavissatī’’ti. Aparopi evameva vadanto uṭṭhāsi. Sabbe ekavādā ahesuṃ. Tato āhaṃsu – ‘‘yo taṃ āharituṃ sakkhissati, taṃ mayaṃ amhākaṃ samaye jeṭṭhakaṃ karissāmā’’ti.

    ตโต โกฎิโต ปฎฺฐาย ‘‘ตฺวํ สกฺขิสฺสสิ, ตฺวํ สกฺขิสฺสสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อหํ น สกฺขิสฺสามิ, อหํ น สกฺขิสฺสามี’’ติ พหูหิ วุเตฺต สรภํ ปุจฺฉิํสุ – ‘‘ตฺวํ สกฺขิสฺสสิ อาจริยา’’ติฯ โส อาห – ‘‘อครุ เอตํ อาหริตุํ, สเจ ตุเมฺห อตฺตโน กถาย ฐตฺวา มํ เชฎฺฐกํ กริสฺสถา’’ติฯ อครุ เอตมาจริย อาหร, ตฺวํ กโตเยวาสิ อเมฺหหิ เชฎฺฐโกติฯ โส อาห – ‘‘ตํ อาหรเนฺตน เถเนตฺวา วา วิลุมฺปิตฺวา วา อาหริตุํ น สกฺกา, สมณสฺส ปน โคตมสฺส สาวกสทิเสน หุตฺวา ตสฺส สาวเก วนฺทิตฺวา วตฺตปฎิวตฺตํ กตฺวา เตสํ ปเตฺต ภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา อาหริตุํ สกฺกาฯ รุจฺจติ โว เอตสฺส เอตฺตกสฺส กิริยา’’ติฯ ยํกิญฺจิ กตฺวา อาหริตฺวา จ โน เทหีติฯ เตน หิ มํ ทิสฺวา อปสฺสนฺตา วิย ภเวยฺยาถาติ ปริพฺพาชกานํ สญฺญํ ทตฺวา ทุติยทิวเส ปาโตว อุฎฺฐาย คิชฺฌกูฎมหาวิหารํ คนฺตฺวา ทิฎฺฐทิฎฺฐานํ ภิกฺขูนํ ปญฺจปติฎฺฐิเตน ปาเท วนฺทิฯ ภิกฺขู อาหํสุ – ‘‘อเญฺญ ปริพฺพาชกา จณฺฑา ผรุสา, อยํ ปน สโทฺธ ภวิสฺสติ ปสโนฺน’’ติฯ ภเนฺต, ตุเมฺห ญตฺวา ยุตฺตฎฺฐานสฺมิํเยว ปพฺพชิตา, มยํ ปน อนุปธาเรตฺวา อติเตฺถเนว ปกฺขนฺตา อนิยฺยานิกมเคฺค วิจรามาติฯ โส เอวํ วตฺวา ทิเฎฺฐ ทิเฎฺฐ ภิกฺขู ปุนปฺปุนํ วนฺทติ, นฺหาโนทกาทีนิ ปฎิยาเทติ, ทนฺตกฎฺฐํ กปฺปิยํ กโรติ, ปาเท โธวติ มเกฺขติ, อติเรกภตฺตํ ลภิตฺวา ภุญฺชติฯ

    Tato koṭito paṭṭhāya ‘‘tvaṃ sakkhissasi, tvaṃ sakkhissasī’’ti pucchitvā ‘‘ahaṃ na sakkhissāmi, ahaṃ na sakkhissāmī’’ti bahūhi vutte sarabhaṃ pucchiṃsu – ‘‘tvaṃ sakkhissasi ācariyā’’ti. So āha – ‘‘agaru etaṃ āharituṃ, sace tumhe attano kathāya ṭhatvā maṃ jeṭṭhakaṃ karissathā’’ti. Agaru etamācariya āhara, tvaṃ katoyevāsi amhehi jeṭṭhakoti. So āha – ‘‘taṃ āharantena thenetvā vā vilumpitvā vā āharituṃ na sakkā, samaṇassa pana gotamassa sāvakasadisena hutvā tassa sāvake vanditvā vattapaṭivattaṃ katvā tesaṃ patte bhattaṃ bhuñjitvā āharituṃ sakkā. Ruccati vo etassa ettakassa kiriyā’’ti. Yaṃkiñci katvā āharitvā ca no dehīti. Tena hi maṃ disvā apassantā viya bhaveyyāthāti paribbājakānaṃ saññaṃ datvā dutiyadivase pātova uṭṭhāya gijjhakūṭamahāvihāraṃ gantvā diṭṭhadiṭṭhānaṃ bhikkhūnaṃ pañcapatiṭṭhitena pāde vandi. Bhikkhū āhaṃsu – ‘‘aññe paribbājakā caṇḍā pharusā, ayaṃ pana saddho bhavissati pasanno’’ti. Bhante, tumhe ñatvā yuttaṭṭhānasmiṃyeva pabbajitā, mayaṃ pana anupadhāretvā atittheneva pakkhantā aniyyānikamagge vicarāmāti. So evaṃ vatvā diṭṭhe diṭṭhe bhikkhū punappunaṃ vandati, nhānodakādīni paṭiyādeti, dantakaṭṭhaṃ kappiyaṃ karoti, pāde dhovati makkheti, atirekabhattaṃ labhitvā bhuñjati.

    ตํ อิมินา นีหาเรน วสนฺตํ เอโก มหาเถโร ทิสฺวา, ‘‘ปริพฺพาชก, ตฺวํ สโทฺธ ปสโนฺน, กิํ น ปพฺพชสี’’ติฯ โก มํ, ภเนฺต, ปพฺพาเชสฺสติฯ มยญฺหิ จิรกาลํ ภทนฺตานํ ปจฺจตฺถิกา หุตฺวา วิจริมฺหาติฯ เถโร ‘‘สเจ ตฺวํ ปพฺพชิตุกาโม, อหํ ตํ ปพฺพาเชสฺสามี’’ติ วตฺวา ปพฺพาเชสิฯ โส ปพฺพชิตกาลโต ปฎฺฐาย นิรนฺตรํ วตฺตปฎิวตฺตมกาสิฯ อถ นํ เถโร วเตฺต ปสีทิตฺวา นจิรเสฺสว อุปสมฺปาเทสิฯ โส อุโปสถทิวเส ภิกฺขูหิ สทฺธิํ อุโปสถคฺคํ ปวิสิตฺวา ภิกฺขู มหเนฺตน อุสฺสาเหน ปาติโมกฺขํ ปคฺคณฺหเนฺต ทิสฺวา ‘‘อิมินา นีหาเรน โอสาเรตฺวา โอสาเรตฺวา โลกํ ขาทนฺติ, กติปาเหน หริสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิฯ โส ปริเวณํ คนฺตฺวา อุปชฺฌายํ วนฺทิตฺวา, ‘‘ภเนฺต, โก นาโม อยํ ธโมฺม’’ติ ปุจฺฉิฯ ปาติโมโกฺข นาม, อาวุโสติฯ อุตฺตมธโมฺม เอส, ภเนฺต, ภวิสฺสตีติฯ อาม, อาวุโส, สกลสาสนธารณี อยํ สิกฺขาติฯ ภเนฺต, สเจ เอส สิกฺขาธโมฺม อุตฺตโม, อิมเมว ปฐมํ คณฺหามีติฯ คณฺหาวุโสติ เถโร สมฺปฎิจฺฉิฯ โส คณฺหโนฺต ปริพฺพาชเก ปสฺสิตฺวา ‘‘กีทิสํ อาจริยา’’ติ ปุจฺฉิโต, ‘‘อาวุโส, มา จินฺตยิตฺถ, กติปาเหน อาหริสฺสามี’’ติ วตฺวา นจิรเสฺสว อุคฺคณฺหิตฺวา อุปชฺฌายํ อาห – ‘‘เอตฺตกเมว, ภเนฺต, อุทาหุ อญฺญมฺปิ อตฺถี’’ติฯ เอตฺตกเมว, อาวุโสติฯ

    Taṃ iminā nīhārena vasantaṃ eko mahāthero disvā, ‘‘paribbājaka, tvaṃ saddho pasanno, kiṃ na pabbajasī’’ti. Ko maṃ, bhante, pabbājessati. Mayañhi cirakālaṃ bhadantānaṃ paccatthikā hutvā vicarimhāti. Thero ‘‘sace tvaṃ pabbajitukāmo, ahaṃ taṃ pabbājessāmī’’ti vatvā pabbājesi. So pabbajitakālato paṭṭhāya nirantaraṃ vattapaṭivattamakāsi. Atha naṃ thero vatte pasīditvā nacirasseva upasampādesi. So uposathadivase bhikkhūhi saddhiṃ uposathaggaṃ pavisitvā bhikkhū mahantena ussāhena pātimokkhaṃ paggaṇhante disvā ‘‘iminā nīhārena osāretvā osāretvā lokaṃ khādanti, katipāhena harissāmī’’ti cintesi. So pariveṇaṃ gantvā upajjhāyaṃ vanditvā, ‘‘bhante, ko nāmo ayaṃ dhammo’’ti pucchi. Pātimokkho nāma, āvusoti. Uttamadhammo esa, bhante, bhavissatīti. Āma, āvuso, sakalasāsanadhāraṇī ayaṃ sikkhāti. Bhante, sace esa sikkhādhammo uttamo, imameva paṭhamaṃ gaṇhāmīti. Gaṇhāvusoti thero sampaṭicchi. So gaṇhanto paribbājake passitvā ‘‘kīdisaṃ ācariyā’’ti pucchito, ‘‘āvuso, mā cintayittha, katipāhena āharissāmī’’ti vatvā nacirasseva uggaṇhitvā upajjhāyaṃ āha – ‘‘ettakameva, bhante, udāhu aññampi atthī’’ti. Ettakameva, āvusoti.

    โส ปุนทิวเส ยถานิวตฺถปารุโตว คหิตนีหาเรเนว ปตฺตํ คเหตฺวา คิชฺฌกูฎา นิกฺขมฺม ปริพฺพาชการามํ อคมาสิฯ ปริพฺพาชกา ทิสฺวา ‘‘กีทิสํ, อาจริย, นาสกฺขิตฺถ มเญฺญ อาวฎฺฎนิมายํ อาหริตุ’’นฺติ ตํ ปริวารยิํสุฯ มา จินฺตยิตฺถ, อาวุโส, อาหฎา เม อาวฎฺฎนิมายา, อิโต ปฎฺฐาย อมฺหากํ ลาภสกฺกาโร มหา ภวิสฺสติฯ ตุเมฺห อญฺญมญฺญํ สมคฺคา โหถ, มา วิวาทํ อกตฺถาติฯ สเจ เต, อาจริย, สุคฺคหิตา, อเมฺหปิ นํ วาเจหีติฯ โส อาทิโต ปฎฺฐาย ปาติโมกฺขํ โอสาเรสิฯ อถ เต สเพฺพปิ – ‘‘เอถ, โภ, นคเร วิจรนฺตา สมณสฺส โคตมสฺส อวณฺณํ กเถสฺสามา’’ติ อนุคฺฆาฎิเตสุเยว นครทฺวาเรสุ ทฺวารสมีปํ คนฺตฺวา วิวเฎน ทฺวาเรน สพฺพปฐมํ ปวิสิํสุฯ เอวํ สลิเงฺคเนว อปกฺกนฺตํ ตํ ปริพฺพาชกํ สนฺธาย – ‘‘สรโภ นาม ปริพฺพาชโก อจิรปกฺกโนฺต โหตี’’ติ วุตฺตํฯ

    So punadivase yathānivatthapārutova gahitanīhāreneva pattaṃ gahetvā gijjhakūṭā nikkhamma paribbājakārāmaṃ agamāsi. Paribbājakā disvā ‘‘kīdisaṃ, ācariya, nāsakkhittha maññe āvaṭṭanimāyaṃ āharitu’’nti taṃ parivārayiṃsu. Mā cintayittha, āvuso, āhaṭā me āvaṭṭanimāyā, ito paṭṭhāya amhākaṃ lābhasakkāro mahā bhavissati. Tumhe aññamaññaṃ samaggā hotha, mā vivādaṃ akatthāti. Sace te, ācariya, suggahitā, amhepi naṃ vācehīti. So ādito paṭṭhāya pātimokkhaṃ osāresi. Atha te sabbepi – ‘‘etha, bho, nagare vicarantā samaṇassa gotamassa avaṇṇaṃ kathessāmā’’ti anugghāṭitesuyeva nagaradvāresu dvārasamīpaṃ gantvā vivaṭena dvārena sabbapaṭhamaṃ pavisiṃsu. Evaṃ saliṅgeneva apakkantaṃ taṃ paribbājakaṃ sandhāya – ‘‘sarabho nāma paribbājako acirapakkanto hotī’’ti vuttaṃ.

    ตํ ทิวสํ ปน ภควา ปจฺจูสสมเย โลกํ โอโลเกโนฺต อิทํ อทฺทส – ‘‘อชฺช สรโภ ปริพฺพาชโก นคเร วิจริตฺวา ปกาสนียกมฺมํ กริสฺสติ, ติณฺณํ รตนานํ อวณฺณํ กเถโนฺต วิสํ สิญฺจิตฺวา ปริพฺพาชการามํ คมิสฺสติ, อหมฺปิ ตเตฺถว คมิสฺสามิ, จตโสฺสปิ ปริสา ตเตฺถว โอสริสฺสนฺติฯ ตสฺมิํ สมาคเม จตุราสีติ ปาณสหสฺสานิ อมตปานํ ปิวิสฺสนฺตี’’ติฯ ตโต ‘‘ตสฺส โอกาโส โหตุ, ยถารุจิยา อวณฺณํ ปตฺถรตู’’ติ จิเนฺตตฺวา อานนฺทเตฺถรํ อามเนฺตสิ – ‘‘อานนฺท, อฎฺฐารสสุ มหาวิหาเรสุ ภิกฺขุสงฺฆสฺส มยา สทฺธิํเยว ปิณฺฑาย จริตุํ อาโรเจหี’’ติฯ เถโร ตถา อกาสิฯ ภิกฺขู ปตฺตจีวรมาทาย สตฺถารเมว ปริวารยิํสุฯ สตฺถา ภิกฺขุสงฺฆํ อาทาย ทฺวารคามสมีเปเยว ปิณฺฑาย จริฯ สรโภปิ ปริพฺพาชเกหิ สทฺธิํ นครํ ปวิโฎฺฐ ตตฺถ ตตฺถ ปริสมเชฺฌ ราชทฺวารวีถิจตุกฺกาทีสุ จ คนฺตฺวา ‘‘อญฺญาโต มยา สมณานํ สกฺยปุตฺติยานํ ธโมฺม’’ติอาทีนิ อภาสิฯ ตํ สนฺธาย โส ราชคเห ปริสติ เอวํ วาจํ ภาสตีติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อญฺญาโตติ ญาโต อวพุโทฺธ, ปากฎํ กตฺวา อุคฺคหิโตติ ทีเปติฯ อญฺญายาติ ชานิตฺวาฯ อปกฺกโนฺตติ สลิเงฺคเนว อปกฺกโนฺตฯ สเจ หิ สมณสฺส โคตมสฺส สาสเน โกจิ สาโร อภวิสฺส, นาหํ อปกฺกมิสฺสํฯ ตสฺส ปน สาสนํ อสารํ นิสฺสารํ, อาวฎฺฎนิมายํ โอสาเรตฺวา สมณา โลกํ ขาทนฺตีติ เอวมตฺถํ ทีเปโนฺต เอวมาหฯ

    Taṃ divasaṃ pana bhagavā paccūsasamaye lokaṃ olokento idaṃ addasa – ‘‘ajja sarabho paribbājako nagare vicaritvā pakāsanīyakammaṃ karissati, tiṇṇaṃ ratanānaṃ avaṇṇaṃ kathento visaṃ siñcitvā paribbājakārāmaṃ gamissati, ahampi tattheva gamissāmi, catassopi parisā tattheva osarissanti. Tasmiṃ samāgame caturāsīti pāṇasahassāni amatapānaṃ pivissantī’’ti. Tato ‘‘tassa okāso hotu, yathāruciyā avaṇṇaṃ pattharatū’’ti cintetvā ānandattheraṃ āmantesi – ‘‘ānanda, aṭṭhārasasu mahāvihāresu bhikkhusaṅghassa mayā saddhiṃyeva piṇḍāya carituṃ ārocehī’’ti. Thero tathā akāsi. Bhikkhū pattacīvaramādāya satthārameva parivārayiṃsu. Satthā bhikkhusaṅghaṃ ādāya dvāragāmasamīpeyeva piṇḍāya cari. Sarabhopi paribbājakehi saddhiṃ nagaraṃ paviṭṭho tattha tattha parisamajjhe rājadvāravīthicatukkādīsu ca gantvā ‘‘aññāto mayā samaṇānaṃ sakyaputtiyānaṃ dhammo’’tiādīni abhāsi. Taṃ sandhāya so rājagahe parisati evaṃ vācaṃ bhāsatītiādi vuttaṃ. Tattha aññātoti ñāto avabuddho, pākaṭaṃ katvā uggahitoti dīpeti. Aññāyāti jānitvā. Apakkantoti saliṅgeneva apakkanto. Sace hi samaṇassa gotamassa sāsane koci sāro abhavissa, nāhaṃ apakkamissaṃ. Tassa pana sāsanaṃ asāraṃ nissāraṃ, āvaṭṭanimāyaṃ osāretvā samaṇā lokaṃ khādantīti evamatthaṃ dīpento evamāha.

    อถ โข สมฺพหุลา ภิกฺขูติ อถ เอวํ ตสฺมิํ ปริพฺพาชเก ภาสมาเน อรญฺญวาสิโน ปญฺจสตา ภิกฺขู ‘‘อสุกฎฺฐานํ นาม สตฺถา ปิณฺฑาย จริตุํ คโต’’ติ อชานนฺตา ภิกฺขาจารเวลายํ ราชคหํ ปิณฺฑาย ปวิสิํสุฯ เต สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ อโสฺสสุนฺติ สุณิํสุฯ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิํสูติ ‘‘อิมํ การณํ ทสพลสฺส อาโรเจสฺสามา’’ติ อุปสงฺกมิํสุฯ

    Atha kho sambahulā bhikkhūti atha evaṃ tasmiṃ paribbājake bhāsamāne araññavāsino pañcasatā bhikkhū ‘‘asukaṭṭhānaṃ nāma satthā piṇḍāya carituṃ gato’’ti ajānantā bhikkhācāravelāyaṃ rājagahaṃ piṇḍāya pavisiṃsu. Te sandhāyetaṃ vuttaṃ. Assosunti suṇiṃsu. Yenabhagavā tenupasaṅkamiṃsūti ‘‘imaṃ kāraṇaṃ dasabalassa ārocessāmā’’ti upasaṅkamiṃsu.

    สิปฺปินิกาตีรนฺติ สิปฺปินิกาติ เอวํนามิกาย นทิยา ตีรํฯ อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวนาติ กายงฺควาจงฺคานิ อโจเปตฺวา อพฺภนฺตเร ขนฺติํ ธาเรตฺวา จิเตฺตเนว อธิวาเสสีติ อโตฺถฯ เอวํ อธิวาเสตฺวา ปุน จิเนฺตสิ – ‘‘กิํ นุ โข อชฺช มยา สรภสฺส วาทํ มทฺทิตุํ คจฺฉเนฺตน เอกเกน คนฺตพฺพํ , อุทาหุ ภิกฺขุสงฺฆปริวุเตนา’’ติฯ อถสฺส เอตทโหสิ – สจาหํ ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต คมิสฺสามิ, มหาชโน เอวํ จิเนฺตสฺสติ – ‘‘สมโณ โคตโม วาทุปฺปตฺติฎฺฐานํ คจฺฉโนฺต ปกฺขํ อุกฺขิปิตฺวา คนฺตฺวา ปริสพเลน อุปฺปนฺนํ วาทํ มทฺทติ, ปรวาทีนํ สีสํ อุกฺขิปิตุํ น เทตี’’ติฯ น โข ปน มยฺหํ อุปฺปเนฺน วาเท ปรํ คเหตฺวา มทฺทนกิจฺจํ อตฺถิ, อหเมว คนฺตฺวา มทฺทิสฺสามิฯ อนจฺฉริยํ เจตํ ยฺวาหํ อิทานิ พุทฺธภูโต อตฺตโน อุปฺปนฺนํ วาทํ มเทฺทยฺยํ, จริยํ จรณกาเล อเหตุกปฎิสนฺธิยํ นิพฺพเตฺตนาปิ หิ มยา วหิตพฺพํ ธุรํ อโญฺญ วหิตุํ สมโตฺถ นาม นาโหสิฯ อิมสฺส ปนตฺถสฺส สาธนตฺถํ –

    Sippinikātīranti sippinikāti evaṃnāmikāya nadiyā tīraṃ. Adhivāsesi bhagavā tuṇhībhāvenāti kāyaṅgavācaṅgāni acopetvā abbhantare khantiṃ dhāretvā citteneva adhivāsesīti attho. Evaṃ adhivāsetvā puna cintesi – ‘‘kiṃ nu kho ajja mayā sarabhassa vādaṃ maddituṃ gacchantena ekakena gantabbaṃ , udāhu bhikkhusaṅghaparivutenā’’ti. Athassa etadahosi – sacāhaṃ bhikkhusaṅghaparivuto gamissāmi, mahājano evaṃ cintessati – ‘‘samaṇo gotamo vāduppattiṭṭhānaṃ gacchanto pakkhaṃ ukkhipitvā gantvā parisabalena uppannaṃ vādaṃ maddati, paravādīnaṃ sīsaṃ ukkhipituṃ na detī’’ti. Na kho pana mayhaṃ uppanne vāde paraṃ gahetvā maddanakiccaṃ atthi, ahameva gantvā maddissāmi. Anacchariyaṃ cetaṃ yvāhaṃ idāni buddhabhūto attano uppannaṃ vādaṃ maddeyyaṃ, cariyaṃ caraṇakāle ahetukapaṭisandhiyaṃ nibbattenāpi hi mayā vahitabbaṃ dhuraṃ añño vahituṃ samattho nāma nāhosi. Imassa panatthassa sādhanatthaṃ –

    ‘‘ยโต ยโต ครุ ธุรํ, ยโต คมฺภีรวตฺตนี;

    ‘‘Yato yato garu dhuraṃ, yato gambhīravattanī;

    ตทาสฺสุ กณฺหํ ยุเญฺชนฺติ, สฺวาสฺสุ ตํ วหเต ธุร’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑.๒๙) –

    Tadāssu kaṇhaṃ yuñjenti, svāssu taṃ vahate dhura’’nti. (jā. 1.1.29) –

    อิทํ กณฺหชาตกํ อาหริตพฺพํฯ อตีเต กิร เอโก สตฺถวาโห เอกิสฺสา มหลฺลิกาย เคเห นิวาสํ คณฺหิฯ อถสฺส เอกิสฺสา เธนุยา รตฺติภาคสมนนฺตเร คพฺภวุฎฺฐานํ อโหสิฯ สา เอกํ วจฺฉกํ วิชายิฯ มหลฺลิกาย วจฺฉกํ ทิฎฺฐกาลโต ปฎฺฐาย ปุตฺตสิเนโห อุทปาทิฯ ปุนทิวเส สตฺถวาหปุโตฺต – ‘‘ตว เคหเวตนํ คณฺหาหี’’ติ อาหฯ มหลฺลิกา ‘‘มยฺหํ อเญฺญน กิจฺจํ น อตฺถิ, อิมเมว วจฺฉกํ เทหี’’ติ อาหฯ คณฺห, อมฺมาติฯ สา ตํ คณฺหิตฺวา ขีรํ ปาเยตฺวา ยาคุภตฺตติณาทีนิ ททมานา โปเสสิฯ โส วุทฺธิมนฺวาย ปริปุณฺณรูโป พลวีริยสมฺปโนฺน อโหสิ สมฺปนฺนาจาโร, กาฬโก นาม นาเมนฯ อเถกสฺส สตฺถวาหสฺส ปญฺจหิ สกฎสเตหิ อาคจฺฉนฺตสฺส อุทกภินฺนฎฺฐาเน สกฎจกฺกํ ลคฺคิฯ โส ทสปิ วีสมฺปิ ติํสมฺปิ โยเชตฺวา นีหราเปตุํ อสโกฺกโนฺต กาฬกํ อุปสงฺกมิตฺวา อาห – ‘‘ตาต, ตว เวตนํ ทสฺสามิ, สกฎํ เม อุกฺขิปิตฺวา เทหี’’ติฯ เอวญฺจ ปน วตฺวา ตํ อาทาย – ‘‘อโญฺญ อิมินา สทฺธิํ ธุรํ วหิตุํ สมโตฺถ นตฺถี’’ติ ธุรสกเฎ โยตฺตํ พนฺธิตฺวา ตํ เอกกํเยว โยเชสิฯ โส ตํ สกฎํ อุกฺขิปิตฺวา ถเล ปติฎฺฐาเปตฺวา เอเตเนว นิหาเรน ปญฺจ สกฎสตานิ นีหริฯ โส สพฺพปจฺฉิมสกฎํ นีหริตฺวา โมจิยมาโน ‘‘สุ’’นฺติ กตฺวา สีสํ อุกฺขิปิฯ

    Idaṃ kaṇhajātakaṃ āharitabbaṃ. Atīte kira eko satthavāho ekissā mahallikāya gehe nivāsaṃ gaṇhi. Athassa ekissā dhenuyā rattibhāgasamanantare gabbhavuṭṭhānaṃ ahosi. Sā ekaṃ vacchakaṃ vijāyi. Mahallikāya vacchakaṃ diṭṭhakālato paṭṭhāya puttasineho udapādi. Punadivase satthavāhaputto – ‘‘tava gehavetanaṃ gaṇhāhī’’ti āha. Mahallikā ‘‘mayhaṃ aññena kiccaṃ na atthi, imameva vacchakaṃ dehī’’ti āha. Gaṇha, ammāti. Sā taṃ gaṇhitvā khīraṃ pāyetvā yāgubhattatiṇādīni dadamānā posesi. So vuddhimanvāya paripuṇṇarūpo balavīriyasampanno ahosi sampannācāro, kāḷako nāma nāmena. Athekassa satthavāhassa pañcahi sakaṭasatehi āgacchantassa udakabhinnaṭṭhāne sakaṭacakkaṃ laggi. So dasapi vīsampi tiṃsampi yojetvā nīharāpetuṃ asakkonto kāḷakaṃ upasaṅkamitvā āha – ‘‘tāta, tava vetanaṃ dassāmi, sakaṭaṃ me ukkhipitvā dehī’’ti. Evañca pana vatvā taṃ ādāya – ‘‘añño iminā saddhiṃ dhuraṃ vahituṃ samattho natthī’’ti dhurasakaṭe yottaṃ bandhitvā taṃ ekakaṃyeva yojesi. So taṃ sakaṭaṃ ukkhipitvā thale patiṭṭhāpetvā eteneva nihārena pañca sakaṭasatāni nīhari. So sabbapacchimasakaṭaṃ nīharitvā mociyamāno ‘‘su’’nti katvā sīsaṃ ukkhipi.

    สตฺถวาโห ‘‘อยํ เอตฺตกานิ สกฎานิ อุกฺขิปโนฺต เอวํ น อกาสิ, เวตนตฺถํ มเญฺญ กโรตี’’ติ สกฎคณนาย กหาปเณ คเหตฺวา ปญฺจสตภณฺฑิกํ ตสฺส คีวาย พนฺธาเปสิฯ โส อเญฺญสํ อตฺตโน สนฺติกํ อลฺลียิตุํ อเทโนฺต อุชุกํ เคหเมว อคมาสิฯ มหลฺลิกา ทิสฺวา โมเจตฺวา กหาปณภาวํ ญตฺวา ‘‘กสฺมา, ปุตฺต, เอวมกาสิ, มา ตฺวํ ‘มยา กมฺมํ กตฺวา อาภเตน อยํ ชีวิสฺสตี’ติ สญฺญมกาสี’’ติ วตฺวา โคณํ อุโณฺหทเกน นฺหาเปตฺวา เตเลน อพฺภญฺชิตฺวา ‘‘อิโต ปฎฺฐาย ปุน มา เอวมกาสี’’ติ โอวทิฯ เอวํ สตฺถา ‘‘จริยํ จรณกาเล อเหตุกปฎิสนฺธิยํ นิพฺพเตฺตนาปิ หิ มยา วหิตพฺพธุรํ อโญฺญ วหิตุํ สมโตฺถ นาม นาโหสี’’ติ จิเนฺตตฺวา เอกโกว อคมาสิฯ ตํ ทเสฺสตุํ อถ โข ภควา สายนฺหสมยํ ปฎิสลฺลานา วุฎฺฐิโตติอาทิ วุตฺตํฯ

    Satthavāho ‘‘ayaṃ ettakāni sakaṭāni ukkhipanto evaṃ na akāsi, vetanatthaṃ maññe karotī’’ti sakaṭagaṇanāya kahāpaṇe gahetvā pañcasatabhaṇḍikaṃ tassa gīvāya bandhāpesi. So aññesaṃ attano santikaṃ allīyituṃ adento ujukaṃ gehameva agamāsi. Mahallikā disvā mocetvā kahāpaṇabhāvaṃ ñatvā ‘‘kasmā, putta, evamakāsi, mā tvaṃ ‘mayā kammaṃ katvā ābhatena ayaṃ jīvissatī’ti saññamakāsī’’ti vatvā goṇaṃ uṇhodakena nhāpetvā telena abbhañjitvā ‘‘ito paṭṭhāya puna mā evamakāsī’’ti ovadi. Evaṃ satthā ‘‘cariyaṃ caraṇakāle ahetukapaṭisandhiyaṃ nibbattenāpi hi mayā vahitabbadhuraṃ añño vahituṃ samattho nāma nāhosī’’ti cintetvā ekakova agamāsi. Taṃ dassetuṃ atha kho bhagavā sāyanhasamayaṃ paṭisallānā vuṭṭhitotiādi vuttaṃ.

    ตตฺถ ปฎิสลฺลานาติ ปุถุตฺตารมฺมเณหิ จิตฺตํ ปฎิสํหริตฺวา สลฺลานโต, ผลสมาปตฺติโตติ อโตฺถฯ เตนุปสงฺกมีติ ปริพฺพาชเกสุ สกลนคเร ปกาสนียกมฺมํ กตฺวา นครา นิกฺขมฺม ปริพฺพาชการาเม สนฺนิปติตฺวา ‘‘สเจ, อาวุโส สรภ, สมโณ โคตโม อาคมิสฺสติ, กิํ กริสฺสสี’’ติฯ สมเณ โคตเม เอกํ กโรเนฺต อหํ เทฺว กริสฺสามิ, เทฺว กโรเนฺต จตฺตาริ, จตฺตาริ กโรเนฺต ปญฺจ, ปญฺจ กโรเนฺต ทส, ทส กโรเนฺต วีสติ, วีสติ กโรเนฺต ติํสํ, ติํสํ กโรเนฺต จตฺตาลีสํ, จตฺตาลีสํ กโรเนฺต ปญฺญาสํ, ปญฺญาสํ กโรเนฺต สตํ, สตํ กโรเนฺต สหสฺสํ กริสฺสามีติ เอวํ อญฺญมญฺญํ สีหนาทกถํ สมุฎฺฐาเปตฺวา นิสิเนฺนสุ อุปสงฺกมิฯ

    Tattha paṭisallānāti puthuttārammaṇehi cittaṃ paṭisaṃharitvā sallānato, phalasamāpattitoti attho. Tenupasaṅkamīti paribbājakesu sakalanagare pakāsanīyakammaṃ katvā nagarā nikkhamma paribbājakārāme sannipatitvā ‘‘sace, āvuso sarabha, samaṇo gotamo āgamissati, kiṃ karissasī’’ti. Samaṇe gotame ekaṃ karonte ahaṃ dve karissāmi, dve karonte cattāri, cattāri karonte pañca, pañca karonte dasa, dasa karonte vīsati, vīsati karonte tiṃsaṃ, tiṃsaṃ karonte cattālīsaṃ, cattālīsaṃ karonte paññāsaṃ, paññāsaṃ karonte sataṃ, sataṃ karonte sahassaṃ karissāmīti evaṃ aññamaññaṃ sīhanādakathaṃ samuṭṭhāpetvā nisinnesu upasaṅkami.

    อุปสงฺกมโนฺต ปน ยสฺมา ปริพฺพาชการามสฺส นครมเชฺฌเนว มโคฺค, ตสฺมา สุรตฺตทุปฎฺฎํ นิวาเสตฺวา สุคตมหาจีวรํ ปารุปิตฺวา วิสฺสฎฺฐพโล ราชา วิย เอกโกว นครมเชฺฌน อคมาสิฯ มิจฺฉาทิฎฺฐิกา ทิสฺวา ‘‘ปริพฺพาชกา สมณสฺส โคตมสฺส ปกาสนียกมฺมํ กโรนฺตา อวณฺณํ ปตฺถริํสุ, โส เอเต อนุวตฺติตฺวา สญฺญาเปตุํ คจฺฉติ มเญฺญ’’ติ อนุพนฺธิํสุฯ สมฺมาทิฎฺฐิกาปิ ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ ปตฺตจีวรํ อาทาย เอกโกว นิกฺขโนฺต, อชฺช สรเภน สทฺธิํ มหาธมฺมสงฺคาโม ภวิสฺสติฯ มยมฺปิ ตสฺมิํ สมาคเม กายสกฺขิโน ภวิสฺสามา’’ติ อนุพนฺธิํสุฯ สตฺถา ปสฺสนฺตเสฺสว มหาชนสฺส ปริพฺพาชการามํ อุปสงฺกมิฯ

    Upasaṅkamanto pana yasmā paribbājakārāmassa nagaramajjheneva maggo, tasmā surattadupaṭṭaṃ nivāsetvā sugatamahācīvaraṃ pārupitvā vissaṭṭhabalo rājā viya ekakova nagaramajjhena agamāsi. Micchādiṭṭhikā disvā ‘‘paribbājakā samaṇassa gotamassa pakāsanīyakammaṃ karontā avaṇṇaṃ patthariṃsu, so ete anuvattitvā saññāpetuṃ gacchati maññe’’ti anubandhiṃsu. Sammādiṭṭhikāpi ‘‘sammāsambuddho pattacīvaraṃ ādāya ekakova nikkhanto, ajja sarabhena saddhiṃ mahādhammasaṅgāmo bhavissati. Mayampi tasmiṃ samāgame kāyasakkhino bhavissāmā’’ti anubandhiṃsu. Satthā passantasseva mahājanassa paribbājakārāmaṃ upasaṅkami.

    ปริพฺพาชกา รุกฺขานํ ขนฺธวิฎปสาขนฺตเรหิ สมุคฺคจฺฉนฺตา ฉพฺพณฺณฆนพุทฺธรสฺมิโย ทิสฺวา ‘‘อญฺญทา เอวรูโป โอภาโส นาม นตฺถิ, กิํ นุ โข เอต’’นฺติ อุโลฺลเกตฺวา ‘‘สมโณ โคตโม อาคจฺฉตี’’ติ อาหํสุฯ ตํ สุตฺวาว สรโภ ชาณุกนฺตเร สีสํ ฐเปตฺวา อโธมุโข นิสีทิฯ เอวํ ตสฺมิํ สมเย ภควา ตํ อารามํ อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิฯ ตถาคโต หิ ชมฺพุทีปตเล อคฺคกุเล ชาตตฺตา อคฺคาสนารโหติสฺส สพฺพตฺถ อาสนํ ปญฺญตฺตเมว โหติฯ เอวํ ปญฺญเตฺต มหารเห พุทฺธาสเน นิสีทิฯ

    Paribbājakā rukkhānaṃ khandhaviṭapasākhantarehi samuggacchantā chabbaṇṇaghanabuddharasmiyo disvā ‘‘aññadā evarūpo obhāso nāma natthi, kiṃ nu kho eta’’nti ulloketvā ‘‘samaṇo gotamo āgacchatī’’ti āhaṃsu. Taṃ sutvāva sarabho jāṇukantare sīsaṃ ṭhapetvā adhomukho nisīdi. Evaṃ tasmiṃ samaye bhagavā taṃ ārāmaṃ upasaṅkamitvā paññatte āsane nisīdi. Tathāgato hi jambudīpatale aggakule jātattā aggāsanārahotissa sabbattha āsanaṃ paññattameva hoti. Evaṃ paññatte mahārahe buddhāsane nisīdi.

    เต ปริพฺพาชกา สรภํ ปริพฺพาชกํ เอตทโวจุนฺติ สมฺมาสมฺพุเทฺธ กิร สรเภน สทฺธิํ เอตฺตกํ กเถเนฺตเยว ภิกฺขุสโงฺฆ สตฺถุ ปทานุปทิโก หุตฺวา ปริพฺพาชการามํ สมฺปาปุณิ, จตโสฺสปิ ปริสา ปริพฺพาชการาเมเยว โอสริํสุฯ ตโต เต ปริพฺพาชกา ‘‘อจฺฉริยํ สมณสฺส โคตมสฺส กมฺมํ, สกลนครํ วิจริตฺวา อวณฺณํ ปตฺถริตฺวา ปกาสนียกมฺมํ กตฺวา อาคตานํ เวรีนํ ปฎิสตฺตูนํ ปจฺจามิตฺตานํ สนฺติกํ อาคนฺตฺวา โถกมฺปิ วิคฺคาหิกกถํ น กเถสิ, อาคตกาลโต ปฎฺฐาย สตปากเตเลน มเกฺขโนฺต วิย อมตปานํ ปาเยโนฺต วิย มธุรกถํ กเถตี’’ติ สเพฺพปิ สมฺมาสมฺพุทฺธํ อนุวตฺตนฺตา เอตทโวจุํฯ

    Te paribbājakā sarabhaṃ paribbājakaṃ etadavocunti sammāsambuddhe kira sarabhena saddhiṃ ettakaṃ kathenteyeva bhikkhusaṅgho satthu padānupadiko hutvā paribbājakārāmaṃ sampāpuṇi, catassopi parisā paribbājakārāmeyeva osariṃsu. Tato te paribbājakā ‘‘acchariyaṃ samaṇassa gotamassa kammaṃ, sakalanagaraṃ vicaritvā avaṇṇaṃ pattharitvā pakāsanīyakammaṃ katvā āgatānaṃ verīnaṃ paṭisattūnaṃ paccāmittānaṃ santikaṃ āgantvā thokampi viggāhikakathaṃ na kathesi, āgatakālato paṭṭhāya satapākatelena makkhento viya amatapānaṃ pāyento viya madhurakathaṃ kathetī’’ti sabbepi sammāsambuddhaṃ anuvattantā etadavocuṃ.

    ยาเจยฺยาสีติ อายาเจยฺยาสิ ปเตฺถยฺยาสิ ปิเหยฺยาสิฯ ตุณฺหีภูโตติ ตุณฺหีภาวํ อุปคโตฯ มงฺกุภูโตติ นิเตฺตชตํ อาปโนฺนฯ ปตฺตกฺขโนฺธติ โอนตคีโวฯ อโธมุโขติ เหฎฺฐามุโขฯ สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส เต ปฎิชานโตติ ‘‘อหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ, สเพฺพ ธมฺมา มยา อภิสมฺพุทฺธา’’ติ เอวํ ปฎิชานโต ตวฯ อนภิสมฺพุทฺธาติ อิเม นาม ธมฺมา ตยา อนภิสมฺพุทฺธาฯ ตตฺถาติ เตสุ อนภิสมฺพุทฺธาติ เอวํ ทสฺสิตธเมฺมสุฯ อเญฺญน วา อญฺญํ ปฎิจริสฺสตีติ อเญฺญน วา วจเนน อญฺญํ วจนํ ปฎิจฺฉาเทสฺสติ, อญฺญํ ปุจฺฉิโต อญฺญํ กเถสฺสตีติ อธิปฺปาโยฯ พหิทฺธา กถํ อปนาเมสฺสตีติ พหิทฺธา อญฺญํ อาคนฺตุกกถํ อาหรโนฺต ปุริมกถํ อปนาเมสฺสติฯ อปฺปจฺจยนฺติ อนภิรทฺธิํ อตุฎฺฐาการํ ปาตุกริสฺสตีติ ปากฎํ กริสฺสติฯ เอตฺถ จ อปฺปจฺจเยน โทมนสฺสํ วุตฺตํ, ปุริเมหิ ทฺวีหิ มนฺทพลวเภโท โกโธเยวฯ

    Yāceyyāsīti āyāceyyāsi pattheyyāsi piheyyāsi. Tuṇhībhūtoti tuṇhībhāvaṃ upagato. Maṅkubhūtoti nittejataṃ āpanno. Pattakkhandhoti onatagīvo. Adhomukhoti heṭṭhāmukho. Sammāsambuddhassa te paṭijānatoti ‘‘ahaṃ sammāsambuddho, sabbe dhammā mayā abhisambuddhā’’ti evaṃ paṭijānato tava. Anabhisambuddhāti ime nāma dhammā tayā anabhisambuddhā. Tatthāti tesu anabhisambuddhāti evaṃ dassitadhammesu. Aññena vā aññaṃ paṭicarissatīti aññena vā vacanena aññaṃ vacanaṃ paṭicchādessati, aññaṃ pucchito aññaṃ kathessatīti adhippāyo. Bahiddhā kathaṃ apanāmessatīti bahiddhā aññaṃ āgantukakathaṃ āharanto purimakathaṃ apanāmessati. Appaccayanti anabhiraddhiṃ atuṭṭhākāraṃ pātukarissatīti pākaṭaṃ karissati. Ettha ca appaccayena domanassaṃ vuttaṃ, purimehi dvīhi mandabalavabhedo kodhoyeva.

    เอวํ ภควา ปฐมเวสารเชฺชน สีหนาทํ นทิตฺวา ปุน ทุติยาทีหิ นทโนฺต โย โข มํ ปริพฺพาชกาติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยสฺส โข ปน เต อตฺถาย ธโมฺม เทสิโตติ ยสฺส มคฺคสฺส วา ผลสฺส วา อตฺถาย ตยา จตุสจฺจธโมฺม เทสิโตฯ โส น นิยฺยาตีติ โส ธโมฺม น นิยฺยาติ น นิคฺคจฺฉติ, น ตํ อตฺถํ สาเธตีติ วุตฺตํ โหติฯ ตกฺกรสฺสาติ โย นํ กโรติ, ตสฺส ปฎิปตฺติปูรกสฺส ปุคฺคลสฺสาติ อโตฺถฯ สมฺมา ทุกฺขกฺขยายาติ เหตุนา นเยน การเณน สกลสฺส วฎฺฎทุกฺขสฺส ขยายฯ อถ วา ยสฺส โข ปน เต อตฺถาย ธโมฺม เทสิโตติ ยสฺส เต อตฺถาย ธโมฺม เทสิโตฯ เสยฺยถิทํ – ราคปฎิฆาตตฺถาย อสุภกมฺมฎฺฐานํ, โทสปฎิฆาตตฺถาย เมตฺตาภาวนา, โมหปฎิฆาตตฺถาย ปญฺจ ธมฺมา, วิตกฺกุปเจฺฉทาย อานาปานสฺสติฯ โส น นิยฺยาติ ตกฺกรสฺส สมฺมา ทุกฺขกฺขยายาติ โส ธโมฺม โย นํ ยถาเทสิตํ กโรติ, ตสฺส ตกฺกรสฺส สมฺมา เหตุนา นเยน การเณน วฎฺฎทุกฺขกฺขยาย น นิยฺยาติ น นิคฺคจฺฉติ, ตํ อตฺถํ น สาเธตีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ เสยฺยถาปิ สรโภ ปริพฺพาชโกติ ยถา อยํ สรโภ ปริพฺพาชโก ปชฺฌายโนฺต อปฺปฎิภาโน นิสิโนฺน, เอวํ นิสีทิสฺสตีติฯ

    Evaṃ bhagavā paṭhamavesārajjena sīhanādaṃ naditvā puna dutiyādīhi nadanto yo kho maṃ paribbājakātiādimāha. Tattha yassa kho pana te atthāya dhammo desitoti yassa maggassa vā phalassa vā atthāya tayā catusaccadhammo desito. So na niyyātīti so dhammo na niyyāti na niggacchati, na taṃ atthaṃ sādhetīti vuttaṃ hoti. Takkarassāti yo naṃ karoti, tassa paṭipattipūrakassa puggalassāti attho. Sammā dukkhakkhayāyāti hetunā nayena kāraṇena sakalassa vaṭṭadukkhassa khayāya. Atha vā yassa kho pana te atthāya dhammo desitoti yassa te atthāya dhammo desito. Seyyathidaṃ – rāgapaṭighātatthāya asubhakammaṭṭhānaṃ, dosapaṭighātatthāya mettābhāvanā, mohapaṭighātatthāya pañca dhammā, vitakkupacchedāya ānāpānassati. So na niyyāti takkarassa sammā dukkhakkhayāyāti so dhammo yo naṃ yathādesitaṃ karoti, tassa takkarassa sammā hetunā nayena kāraṇena vaṭṭadukkhakkhayāya na niyyāti na niggacchati, taṃ atthaṃ na sādhetīti ayamettha attho. Seyyathāpi sarabho paribbājakoti yathā ayaṃ sarabho paribbājako pajjhāyanto appaṭibhāno nisinno, evaṃ nisīdissatīti.

    เอวํ ตีหิ ปเทหิ สีหนาทํ นทิตฺวา เทสนํ นิวเตฺตนฺตเสฺสว ตถาคตสฺส ตสฺมิํ ฐาเน สนฺนิปติตา จตุราสีติปาณสหสฺสปริมาณา ปริสา อมตปานํ ปิวิ, สตฺถา ปริสาย อมตปานสฺส ปีตภาวํ ญตฺวา เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา ปกฺกามิฯ ตมตฺถํ ทเสฺสตุํ อถ โข ภควาติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ สีหนาทนฺติ เสฎฺฐนาทํ อภีตนาทํ อปฺปฎินาทํฯ เวหาสํ ปกฺกามีติ อภิญฺญาปาทกํ จตุตฺถชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย อธิฎฺฐาย สทฺธิํ ภิกฺขุสเงฺฆน อากาสํ ปกฺขนฺทิฯ เอวํ ปกฺขโนฺท จ ปน ตํขณเญฺญว คิชฺฌกูฎมหาวิหาเร ปติฎฺฐาสิฯ

    Evaṃ tīhi padehi sīhanādaṃ naditvā desanaṃ nivattentasseva tathāgatassa tasmiṃ ṭhāne sannipatitā caturāsītipāṇasahassaparimāṇā parisā amatapānaṃ pivi, satthā parisāya amatapānassa pītabhāvaṃ ñatvā vehāsaṃ abbhuggantvā pakkāmi. Tamatthaṃ dassetuṃ atha kho bhagavātiādi vuttaṃ. Tattha sīhanādanti seṭṭhanādaṃ abhītanādaṃ appaṭinādaṃ. Vehāsaṃ pakkāmīti abhiññāpādakaṃ catutthajjhānaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya adhiṭṭhāya saddhiṃ bhikkhusaṅghena ākāsaṃ pakkhandi. Evaṃ pakkhando ca pana taṃkhaṇaññeva gijjhakūṭamahāvihāre patiṭṭhāsi.

    วาจาย สนฺนิโตทเกนาติ วจนปโตเทนฯ สญฺชมฺภริมกํสูติ สมฺภริตํ นิรนฺตรผุฎํ อกํสุ, อุปริ วิชฺฌิํสูติ วุตฺตํ โหติฯ พฺรหารเญฺญติ มหารเญฺญฯ สีหนาทํ นทิสฺสามีติ สีหสฺส นทโต อาการํ ทิสฺวา ‘‘อยมฺปิ ติรจฺฉานคโต, อหมฺปิ, อิมสฺส จตฺตาโร ปาทา, มยฺหมฺปิ, อหมฺปิ เอวเมว สีหนาทํ นทิสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิฯ โส สีหสฺส สมฺมุขา นทิตุํ อสโกฺกโนฺต ตสฺมิํ โคจราย ปกฺกเนฺต เอกโก นทิตุํ อารภิฯ อถสฺส สิงฺคาลสโทฺทเยว นิจฺฉริฯ เตน วุตฺตํ – สิงฺคาลกํเยว นทตีติฯ เภรณฺฑกนฺติ ตเสฺสว เววจนํฯ อปิจ ภินฺนสฺสรํ อมนาปสทฺทํ นทตีติ วุตฺตํ โหติฯ เอวเมว โข ตฺวนฺติ อิมินา โอปเมฺมน ปริพฺพาชกา ตถาคตํ สีหสทิสํ กตฺวา สรภํ สิงฺคาลสทิสํ อกํสุฯ อมฺพุกสญฺจรีติ ขุทฺทกกุกฺกุฎิกาฯ ปุริสกรวิตํ รวิสฺสามีติ มหากุกฺกุฎํ รวนฺตํ ทิสฺวา ‘‘อิมสฺสปิ เทฺว ปาทา เทฺว ปกฺขา, มยฺหมฺปิ ตเถว, อหมฺปิ เอวรูปํ รวิตํ รวิสฺสามี’’ติ สา ตสฺส สมฺมุขา รวิตุํ อสโกฺกนฺตี ตสฺมิํ ปกฺกเนฺต รวมานา กุกฺกุฎิการวํเยว รวิฯ เตน วุตฺตํ – อมฺพุกสญฺจริรวิตํเยว รวตีติฯ อุสโภติ โคโณฯ สุญฺญายาติ ตุจฺฉาย เชฎฺฐกวสเภหิ วิรหิตาย ฯ คมฺภีรํ นทิตพฺพํ มญฺญตีติ เชฎฺฐกวสภสฺส นาทสทิสํ คมฺภีรนาทํ นทิตพฺพํ มญฺญติฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ

    Vācāya sannitodakenāti vacanapatodena. Sañjambharimakaṃsūti sambharitaṃ nirantaraphuṭaṃ akaṃsu, upari vijjhiṃsūti vuttaṃ hoti. Brahāraññeti mahāraññe. Sīhanādaṃ nadissāmīti sīhassa nadato ākāraṃ disvā ‘‘ayampi tiracchānagato, ahampi, imassa cattāro pādā, mayhampi, ahampi evameva sīhanādaṃ nadissāmī’’ti cintesi. So sīhassa sammukhā nadituṃ asakkonto tasmiṃ gocarāya pakkante ekako nadituṃ ārabhi. Athassa siṅgālasaddoyeva nicchari. Tena vuttaṃ – siṅgālakaṃyeva nadatīti. Bheraṇḍakanti tasseva vevacanaṃ. Apica bhinnassaraṃ amanāpasaddaṃ nadatīti vuttaṃ hoti. Evameva kho tvanti iminā opammena paribbājakā tathāgataṃ sīhasadisaṃ katvā sarabhaṃ siṅgālasadisaṃ akaṃsu. Ambukasañcarīti khuddakakukkuṭikā. Purisakaravitaṃ ravissāmīti mahākukkuṭaṃ ravantaṃ disvā ‘‘imassapi dve pādā dve pakkhā, mayhampi tatheva, ahampi evarūpaṃ ravitaṃ ravissāmī’’ti sā tassa sammukhā ravituṃ asakkontī tasmiṃ pakkante ravamānā kukkuṭikāravaṃyeva ravi. Tena vuttaṃ – ambukasañcariravitaṃyeva ravatīti. Usabhoti goṇo. Suññāyāti tucchāya jeṭṭhakavasabhehi virahitāya . Gambhīraṃ naditabbaṃ maññatīti jeṭṭhakavasabhassa nādasadisaṃ gambhīranādaṃ naditabbaṃ maññati. Sesaṃ sabbattha uttānatthamevāti.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๔. สรภสุตฺตํ • 4. Sarabhasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๔. สรภสุตฺตวณฺณนา • 4. Sarabhasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact