Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā |
สรณคมนผลกถา
Saraṇagamanaphalakathā
เอตฺถ จ โลกุตฺตรสฺส สรณคมนสฺส จตฺตาริ สามญฺญผลานิ วิปากผลํ อริยมคฺคเสฺสว โลกุตฺตรสรณคมนนฺติ อธิเปฺปตตฺตาฯ สกลสฺส ปน วฎฺฎทุกฺขสฺส อนุปฺปาทนิโรโธ อานิสํสผลํฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Ettha ca lokuttarassa saraṇagamanassa cattāri sāmaññaphalāni vipākaphalaṃ ariyamaggasseva lokuttarasaraṇagamananti adhippetattā. Sakalassa pana vaṭṭadukkhassa anuppādanirodho ānisaṃsaphalaṃ. Vuttañhetaṃ –
‘‘โย จ พุทฺธญฺจ ธมฺมญฺจ, สงฺฆญฺจ สรณํ คโต;
‘‘Yo ca buddhañca dhammañca, saṅghañca saraṇaṃ gato;
จตฺตาริ อริยสจฺจานิ, สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสติฯ
Cattāri ariyasaccāni, sammappaññāya passati.
‘‘ทุกฺขํ ทุกฺขสมุปฺปาทํ, ทุกฺขสฺส จ อติกฺกมํ;
‘‘Dukkhaṃ dukkhasamuppādaṃ, dukkhassa ca atikkamaṃ;
อริยญฺจฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ, ทุกฺขูปสมคามินํฯ
Ariyañcaṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ, dukkhūpasamagāminaṃ.
‘‘เอตํ โข สรณํ เขมํ, เอตํ สรณมุตฺตมํ;
‘‘Etaṃ kho saraṇaṃ khemaṃ, etaṃ saraṇamuttamaṃ;
เอตํ สรณมาคมฺม, สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจตี’’ติฯ (ธ. ป. ๑๙๐-๑๙๒);
Etaṃ saraṇamāgamma, sabbadukkhā pamuccatī’’ti. (dha. pa. 190-192);
อปิจ นิจฺจโต อนุปคมนาทิวเสน เปตสฺส อานิสํสผลํ เวทิตพฺพํฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Apica niccato anupagamanādivasena petassa ānisaṃsaphalaṃ veditabbaṃ. Vuttañhetaṃ –
‘‘อฎฺฐานเมตํ, ภิกฺขเว, อนวกาโส, ยํ ทิฎฺฐิสมฺปโนฺน ปุคฺคโล กญฺจิ สงฺขารํ นิจฺจโต อุปคเจฺฉยฺย, สุขโต อุปคเจฺฉยฺย, กญฺจิ ธมฺมํ อตฺตโต อุปคเจฺฉยฺย, มาตรํ ชีวิตา โวโรเปยฺย, ปิตรํ ชีวิตา โวโรเปยฺย, อรหนฺตํ ชีวิตา โวโรเปยฺย, ปทุฎฺฐจิโตฺต ตถาคตสฺส โลหิตํ อุปฺปาเทยฺย, สงฺฆํ ภิเนฺทยฺย, อญฺญํ สตฺถารํ อุทฺทิเสยฺย, เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๑๒๘; อ. นิ. ๑.๒๗๖)ฯ
‘‘Aṭṭhānametaṃ, bhikkhave, anavakāso, yaṃ diṭṭhisampanno puggalo kañci saṅkhāraṃ niccato upagaccheyya, sukhato upagaccheyya, kañci dhammaṃ attato upagaccheyya, mātaraṃ jīvitā voropeyya, pitaraṃ jīvitā voropeyya, arahantaṃ jīvitā voropeyya, paduṭṭhacitto tathāgatassa lohitaṃ uppādeyya, saṅghaṃ bhindeyya, aññaṃ satthāraṃ uddiseyya, netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’ti (ma. ni. 3.128; a. ni. 1.276).
โลกิยสฺส ปน สรณคมนสฺส ภวสมฺปทาปิ โภคสมฺปทาปิ ผลเมวฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Lokiyassa pana saraṇagamanassa bhavasampadāpi bhogasampadāpi phalameva. Vuttañhetaṃ –
‘‘เย เกจิ พุทฺธํ สรณํ คตาเส,
‘‘Ye keci buddhaṃ saraṇaṃ gatāse,
น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมิํ;
Na te gamissanti apāyabhūmiṃ;
ปหาย มานุสํ เทหํ,
Pahāya mānusaṃ dehaṃ,
เทวกายํ ปริปูเรสฺสนฺตี’’ติฯ(ที. นิ. ๒.๓๓๒; สํ. นิ. ๑.๓๗);
Devakāyaṃ paripūressantī’’ti.(dī. ni. 2.332; saṃ. ni. 1.37);
อปรมฺปิ วุตฺตํ –
Aparampi vuttaṃ –
‘‘อถ โข สโกฺก เทวานมิโนฺท อสีติยา เทวตาสหเสฺสหิ สทฺธิํ เยนายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน เตนุปสงฺกมิ…เป.… เอกมนฺตํ ฐิตํ โข สกฺกํ เทวานมินฺทํ อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน เอตทโวจ ‘สาธุ โข, เทวานมินฺท, พุทฺธสรณคมนํ โหติ, พุทฺธสรณคมนเหตุ โข, เทวานมินฺท, เอวมิเธกเจฺจ สตฺตา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺติฯ เต อเญฺญ เทเว ทสหิ ฐาเนหิ อธิคณฺหนฺติ ทิเพฺพน อายุนา ทิเพฺพน วเณฺณน สุเขน ยเสน อาธิปเตเยฺยน ทิเพฺพหิ รูเปหิ สเทฺทหิ คเนฺธหิ รเสหิ โผฎฺฐเพฺพหี’’’ติ (สํ. นิ. ๔.๓๔๑)ฯ
‘‘Atha kho sakko devānamindo asītiyā devatāsahassehi saddhiṃ yenāyasmā mahāmoggallāno tenupasaṅkami…pe… ekamantaṃ ṭhitaṃ kho sakkaṃ devānamindaṃ āyasmā mahāmoggallāno etadavoca ‘sādhu kho, devānaminda, buddhasaraṇagamanaṃ hoti, buddhasaraṇagamanahetu kho, devānaminda, evamidhekacce sattā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjanti. Te aññe deve dasahi ṭhānehi adhigaṇhanti dibbena āyunā dibbena vaṇṇena sukhena yasena ādhipateyyena dibbehi rūpehi saddehi gandhehi rasehi phoṭṭhabbehī’’’ti (saṃ. ni. 4.341).
เอส นโย ธเมฺม สเงฺฆ จฯ
Esa nayo dhamme saṅghe ca.
อปิจ เวลามสุตฺตาทิวเสนปิ สรณคมนสฺส ผลวิเสโส เวทิตโพฺพฯ ตถา หิ เวลามสุเตฺต (อ. นิ. ๙.๒๐) ‘‘กรีสสฺส จตุตฺถภาคปฺปมาณานํ จตุราสีติสหสฺสสงฺขฺยานํ สุวณฺณปาติรูปิยปาติกํสปาตีนํ ยถากฺกมํ รูปิยสุวณฺณหิรญฺญปูรานํ สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตานํ จตุราสีติยา หตฺถิสหสฺสานํ จตุราสีติยา อสฺสสหสฺสานํ จตุราสีติยา รถสหสฺสานํ จตุราสีติยา เธนุสหสฺสานํ จตุราสีติยา กญฺญาสหสฺสานํ จตุราสีติยา ปลฺลงฺกสหสฺสานํ จตุราสีติยา วตฺถโกฎิสหสฺสานํ อปริมาณสฺส จ ขชฺชโภชฺชาทิเภทสฺส อาหารสฺส ปริจฺจชนวเสน สตฺตมาสาธิกานิ สตฺต สํวจฺฉรานิ นิรนฺตรํ ปวตฺตเวลามมหาทานโต เอกสฺส โสตาปนฺนสฺส ทินฺนํ มหปฺผลตรํ, ตโต สตํ โสตาปนฺนานํ ทินฺนทานโต เอกสฺส สกทาคามิโน, ตโต เอกสฺส อนาคามิโน, ตโต เอกสฺส อรหโต, ตโต เอกสฺส ปเจฺจกสมฺพุทฺธสฺส, ตโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส, ตโต พุทฺธปฺปมุขสฺส สงฺฆสฺส ทินฺนทานํ มหปฺผลตรํ, ตโต จาตุทฺทิสํ สงฺฆํ อุทฺทิสฺส วิหารกรณํ, ตโต สรณคมนํ มหปฺผลตร’’นฺติ ปกาสิตํฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Apica velāmasuttādivasenapi saraṇagamanassa phalaviseso veditabbo. Tathā hi velāmasutte (a. ni. 9.20) ‘‘karīsassa catutthabhāgappamāṇānaṃ caturāsītisahassasaṅkhyānaṃ suvaṇṇapātirūpiyapātikaṃsapātīnaṃ yathākkamaṃ rūpiyasuvaṇṇahiraññapūrānaṃ sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitānaṃ caturāsītiyā hatthisahassānaṃ caturāsītiyā assasahassānaṃ caturāsītiyā rathasahassānaṃ caturāsītiyā dhenusahassānaṃ caturāsītiyā kaññāsahassānaṃ caturāsītiyā pallaṅkasahassānaṃ caturāsītiyā vatthakoṭisahassānaṃ aparimāṇassa ca khajjabhojjādibhedassa āhārassa pariccajanavasena sattamāsādhikāni satta saṃvaccharāni nirantaraṃ pavattavelāmamahādānato ekassa sotāpannassa dinnaṃ mahapphalataraṃ, tato sataṃ sotāpannānaṃ dinnadānato ekassa sakadāgāmino, tato ekassa anāgāmino, tato ekassa arahato, tato ekassa paccekasambuddhassa, tato sammāsambuddhassa, tato buddhappamukhassa saṅghassa dinnadānaṃ mahapphalataraṃ, tato cātuddisaṃ saṅghaṃ uddissa vihārakaraṇaṃ, tato saraṇagamanaṃ mahapphalatara’’nti pakāsitaṃ. Vuttañhetaṃ –
‘‘ยํ, คหปติ, เวลาโม พฺราหฺมโณ ทานํ อทาสิ มหาทานํ, โย เจกํ ทิฎฺฐิสมฺปนฺนํ โภเชยฺย, อิทํ ตโต มหปฺผลตร’’นฺติ (อ. นิ. ๙.๒๐) –
‘‘Yaṃ, gahapati, velāmo brāhmaṇo dānaṃ adāsi mahādānaṃ, yo cekaṃ diṭṭhisampannaṃ bhojeyya, idaṃ tato mahapphalatara’’nti (a. ni. 9.20) –
อาทิฯ เอวํ สรณคมนผลํ เวทิตพฺพํฯ
Ādi. Evaṃ saraṇagamanaphalaṃ veditabbaṃ.
สรณคมนผลกถา นิฎฺฐิตาฯ
Saraṇagamanaphalakathā niṭṭhitā.