Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มหาวคฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvagga-aṭṭhakathā

    สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานปพฺพชฺชากถา

    Sāriputtamoggallānapabbajjākathā

    ๖๐. สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานาติ สาริปุโตฺต จ โมคฺคลฺลาโน จฯ เตหิ กติกา กตา โหติ ‘‘โย ปฐมํ อมตํ อธิคจฺฉติ, โส อาโรเจตู’’ติ เต กิร อุโภปิ คิหิกาเล อุปติโสฺส โกลิโตติ เอวํ ปญฺญายมานนามา อฑฺฒเตยฺยสตมาณวกปริวารา คิรคฺคสมชฺชํ อคมํสุฯ ตตฺร เนสํ มหาชนํ ทิสฺวา เอตทโหสิ – ‘‘อยํ นาม เอวํ มหาสตฺตนิกาโย อปฺปเตฺต วสฺสสเต มรณมุเข ปติสฺสตี’’ติฯ อถ อุโภปิ อุฎฺฐิตาย ปริสาย อญฺญมญฺญํ ปุจฺฉิตฺวา เอกชฺฌาสยา ปจฺจุปฎฺฐิตมรณสญฺญา สมฺมนฺตยิํสุ ‘‘สมฺม มรเณ สติ อมเตนาปิ ภวิตพฺพํ, หนฺท มยํ อมตํ ปริเยสามา’’ติ อมตปริเยสนตฺถํ สญฺจยสฺส ฉนฺนปริพฺพาชกสฺส สนฺติเก สปริสา ปพฺพชิตฺวา กติปาเหเนว ตสฺส ญาณวิสเย ปารํ คนฺตฺวา อมตํ อปสฺสนฺตา ปุจฺฉิํสุ ‘‘กิํ นุ โข, อาจริย, อโญฺญเปตฺถ สาโร อตฺถี’’ติ? ‘‘นตฺถาวุโส, เอตฺตกเมว อิท’’นฺติ จ สุตฺวา ‘‘ตุจฺฉํ อิทํ อาวุโส นิสฺสารํ, โย ทานิ อเมฺหสุ ปฐมํ อมตํ อธิคจฺฉติ, โส อิตรสฺส อาโรเจตู’’ติ กติกํ อกํสุฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เตหิ กติกา กตา โหตี’’ติอาทิฯ

    60.Sāriputtamoggallānāti sāriputto ca moggallāno ca. Tehi katikā katā hoti‘‘yo paṭhamaṃ amataṃ adhigacchati, so ārocetū’’ti te kira ubhopi gihikāle upatisso kolitoti evaṃ paññāyamānanāmā aḍḍhateyyasatamāṇavakaparivārā giraggasamajjaṃ agamaṃsu. Tatra nesaṃ mahājanaṃ disvā etadahosi – ‘‘ayaṃ nāma evaṃ mahāsattanikāyo appatte vassasate maraṇamukhe patissatī’’ti. Atha ubhopi uṭṭhitāya parisāya aññamaññaṃ pucchitvā ekajjhāsayā paccupaṭṭhitamaraṇasaññā sammantayiṃsu ‘‘samma maraṇe sati amatenāpi bhavitabbaṃ, handa mayaṃ amataṃ pariyesāmā’’ti amatapariyesanatthaṃ sañcayassa channaparibbājakassa santike saparisā pabbajitvā katipāheneva tassa ñāṇavisaye pāraṃ gantvā amataṃ apassantā pucchiṃsu ‘‘kiṃ nu kho, ācariya, aññopettha sāro atthī’’ti? ‘‘Natthāvuso, ettakameva ida’’nti ca sutvā ‘‘tucchaṃ idaṃ āvuso nissāraṃ, yo dāni amhesu paṭhamaṃ amataṃ adhigacchati, so itarassa ārocetū’’ti katikaṃ akaṃsu. Tena vuttaṃ – ‘‘tehi katikā katā hotī’’tiādi.

    ปาสาทิเกน อภิกฺกเนฺตนาติอาทีสุ อิตฺถมฺภูตลกฺขเณ กรณวจนํ เวทิตพฺพํฯ อตฺถิเกหิ อุปญฺญาตํ มคฺคนฺติ เอตํ อนุพนฺธนสฺส การณวจนํ; อิทญฺหิ วุตฺตํ โหติ – ‘‘ยํนูนาหํ อิมํ ภิกฺขุํ ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต อนุพเนฺธยฺยํ, กสฺมา ? ยสฺมา อิทํ ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต อนุพนฺธนํ นาม อตฺถิเกหิ อุปญฺญาตํ มคฺคํ ญาโต เจว อุปคโต จ มโคฺค’’ติ อโตฺถฯ อถ วา อตฺถิเกหิ อเมฺหหิ ‘‘มรเณ สติ อมเตนาปิ ภวิตพฺพ’’นฺติ เอวํ เกวลํ อตฺถีติ อุปญฺญาตํ นิพฺพานํ นาม, ตํ มคฺคโนฺต ปริเยสโนฺตติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Pāsādikena abhikkantenātiādīsu itthambhūtalakkhaṇe karaṇavacanaṃ veditabbaṃ. Atthikehi upaññātaṃ magganti etaṃ anubandhanassa kāraṇavacanaṃ; idañhi vuttaṃ hoti – ‘‘yaṃnūnāhaṃ imaṃ bhikkhuṃ piṭṭhito piṭṭhito anubandheyyaṃ, kasmā ? Yasmā idaṃ piṭṭhito piṭṭhito anubandhanaṃ nāma atthikehi upaññātaṃ maggaṃ ñāto ceva upagato ca maggo’’ti attho. Atha vā atthikehi amhehi ‘‘maraṇe sati amatenāpi bhavitabba’’nti evaṃ kevalaṃ atthīti upaññātaṃ nibbānaṃ nāma, taṃ magganto pariyesantoti evampettha attho daṭṭhabbo.

    ปิณฺฑปาตํ อาทาย ปฎิกฺกมีติ สุทินฺนกเณฺฑ วุตฺตปฺปการํ อญฺญตรํ กุฎฺฎมูลํ อุปสงฺกมิตฺวา นิสีทิฯ สาริปุโตฺตปิ โข ‘‘อกาโล โข ตาว ปญฺหํ ปุจฺฉิตุ’’นฺติ กาลํ อาคมยมาโน เอกมนฺตํ ฐตฺวา วตฺตปฎิปตฺติปูรณตฺถํ กตภตฺตกิจฺจสฺส เถรสฺส อตฺตโน กมณฺฑลุโต อุทกํ ทตฺวา โธตหตฺถปาเทน เถเรน สทฺธิํ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข สาริปุโตฺต ปริพฺพาชโก’’ติอาทิฯ น ตาหํ สโกฺกมีติ น เต อหํ สโกฺกมิฯ เอตฺถ จ ปฎิสมฺภิทาปฺปโตฺต เถโร น เอตฺตกํ น สโกฺกติฯ อถ โข อิมสฺส ธมฺมคารวํ อุปฺปาเทสฺสามีติ สพฺพากาเรน พุทฺธวิสเย อวิสยภาวํ คเหตฺวา เอวมาหฯ

    Piṇḍapātaṃ ādāya paṭikkamīti sudinnakaṇḍe vuttappakāraṃ aññataraṃ kuṭṭamūlaṃ upasaṅkamitvā nisīdi. Sāriputtopi kho ‘‘akālo kho tāva pañhaṃ pucchitu’’nti kālaṃ āgamayamāno ekamantaṃ ṭhatvā vattapaṭipattipūraṇatthaṃ katabhattakiccassa therassa attano kamaṇḍaluto udakaṃ datvā dhotahatthapādena therena saddhiṃ paṭisanthāraṃ katvā pañhaṃ pucchi. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho sāriputto paribbājako’’tiādi. Na tāhaṃ sakkomīti na te ahaṃ sakkomi. Ettha ca paṭisambhidāppatto thero na ettakaṃ na sakkoti. Atha kho imassa dhammagāravaṃ uppādessāmīti sabbākārena buddhavisaye avisayabhāvaṃ gahetvā evamāha.

    เย ธมฺมา เหตุปฺปภวาติ เหตุปฺปภวา นาม ปญฺจกฺขนฺธา; เตนสฺส ทุกฺขสจฺจํ ทเสฺสติฯ เตสํ เหตุํ ตถาคโต อาหาติ เตสํ เหตุ นาม สมุทยสจฺจํ; ตญฺจ ตถาคโต อาหาติ ทเสฺสติฯ เตสญฺจ โย นิโรโธติ เตสํ อุภินฺนมฺปิ สจฺจานํ โย อปฺปวตฺตินิโรโธ; ตญฺจ ตถาคโต อาหาติ อโตฺถฯ เตนสฺส นิโรธสจฺจํ ทเสฺสติฯ มคฺคสจฺจํ ปเนตฺถ สรูปโต อทสฺสิตมฺปิ นยโต ทสฺสิตํ โหติ, นิโรเธ หิ วุเตฺต ตสฺส สมฺปาปโก มโคฺค วุโตฺตว โหติฯ อถ วา เตสญฺจ โย นิโรโธติ เอตฺถ เตสํ โย นิโรโธ จ นิโรธุปาโย จาติ เอวํ เทฺวปิ สจฺจานิ ทสฺสิตานิ โหนฺตีติฯ อิทานิ ตเมวตฺถํ ปฎิปาเทโนฺต อาห – ‘‘เอวํวาที มหาสมโณ’’ติฯ

    Ye dhammā hetuppabhavāti hetuppabhavā nāma pañcakkhandhā; tenassa dukkhasaccaṃ dasseti. Tesaṃ hetuṃ tathāgato āhāti tesaṃ hetu nāma samudayasaccaṃ; tañca tathāgato āhāti dasseti. Tesañca yo nirodhoti tesaṃ ubhinnampi saccānaṃ yo appavattinirodho; tañca tathāgato āhāti attho. Tenassa nirodhasaccaṃ dasseti. Maggasaccaṃ panettha sarūpato adassitampi nayato dassitaṃ hoti, nirodhe hi vutte tassa sampāpako maggo vuttova hoti. Atha vā tesañca yo nirodhoti ettha tesaṃ yo nirodho ca nirodhupāyo cāti evaṃ dvepi saccāni dassitāni hontīti. Idāni tamevatthaṃ paṭipādento āha – ‘‘evaṃvādī mahāsamaṇo’’ti.

    เอเสว ธโมฺม ยทิ ตาวเทวาติ สเจปิ อิโต อุตฺตริ นตฺถิ, เอตฺตกเมว อิทํ โสตาปตฺติผลมตฺตเมว ปตฺตพฺพํ, ตถาปิ เอโส เอว ธโมฺมติ อโตฺถฯ ปจฺจพฺยตฺถ ปทมโสกนฺติ ยํ มยํ ปริเยสมานา วิจราม, ตํ ปทมโสกํ ปฎิวิทฺธาตฺถ ตุเมฺห; ปตฺตํ ตํ ตุเมฺหหีติ อโตฺถฯ อทิฎฺฐํ อพฺภตีตํ พหุเกหิ กปฺปนหุเตหีติ อเมฺหหิ นาม อิทํ ปทํ พหุเกหิ กปฺปนหุเตหิ อทิฎฺฐเมว อพฺภตีตํ; อิติ ตสฺส ปทสฺส อทิฎฺฐภาเวน ทีฆรตฺตํ อตฺตโน มหาชานิภาวํ ทีเปติฯ

    Eseva dhammo yadi tāvadevāti sacepi ito uttari natthi, ettakameva idaṃ sotāpattiphalamattameva pattabbaṃ, tathāpi eso eva dhammoti attho. Paccabyattha padamasokanti yaṃ mayaṃ pariyesamānā vicarāma, taṃ padamasokaṃ paṭividdhāttha tumhe; pattaṃ taṃ tumhehīti attho. Adiṭṭhaṃ abbhatītaṃ bahukehi kappanahutehīti amhehi nāma idaṃ padaṃ bahukehi kappanahutehi adiṭṭhameva abbhatītaṃ; iti tassa padassa adiṭṭhabhāvena dīgharattaṃ attano mahājānibhāvaṃ dīpeti.

    ๖๒. คมฺภีเร ญาณวิสเยติ คมฺภีเร เจว คมฺภีรสฺส จ ญาณสฺส วิสยภูเตฯ อนุตฺตเร อุปธิสงฺขเยติ นิพฺพาเนฯ วิมุเตฺตติ ตทารมฺมณาย วิมุตฺติยา วิมุเตฺตฯ พฺยากาสีติ ‘‘เอตํ เม สาวกยุคํ ภวิสฺสติ อคฺคํ ภทฺทยุค’’นฺติ วทโนฺต สาวกปารมิญฺญาเณ พฺยากาสิฯ สาว เตสํ อายสฺมนฺตานํ อุปสมฺปทา อโหสีติ สา เอหิภิกฺขูปสมฺปทาเยว เตสํ อุปสมฺปทา อโหสิฯ เอวํ อุปสมฺปเนฺนสุ จ เตสุ มหาโมคฺคลฺลานเตฺถโร สตฺตหิ ทิวเสหิ อรหเตฺต ปติฎฺฐิโต, สาริปุตฺตเตฺถโร อฑฺฒมาเสนฯ

    62.Gambhīre ñāṇavisayeti gambhīre ceva gambhīrassa ca ñāṇassa visayabhūte. Anuttare upadhisaṅkhayeti nibbāne. Vimutteti tadārammaṇāya vimuttiyā vimutte. Byākāsīti ‘‘etaṃ me sāvakayugaṃ bhavissati aggaṃ bhaddayuga’’nti vadanto sāvakapāramiññāṇe byākāsi. Sāva tesaṃ āyasmantānaṃ upasampadā ahosīti sā ehibhikkhūpasampadāyeva tesaṃ upasampadā ahosi. Evaṃ upasampannesu ca tesu mahāmoggallānatthero sattahi divasehi arahatte patiṭṭhito, sāriputtatthero aḍḍhamāsena.

    อตีเต กิร อโนมทสฺสี นาม พุโทฺธ โลเก อุทปาทิฯ ตสฺส สรโท นาม ตาปโส สเก อสฺสเม นานาปุเปฺผหิ มณฺฑปํ กตฺวา ปุปฺผาสเนเยว ภควนฺตํ นิสีทาเปตฺวา ภิกฺขุสงฺฆสฺสาปิ ตเถว มณฺฑปํ กตฺวา ปุปฺผาสนานิ ปญฺญเปตฺวา อคฺคสาวกภาวํ ปเตฺถสิฯ ปตฺถยิตฺวา จ สิรีวฑฺฒสฺส นาม เสฎฺฐิโน เปเสสิ ‘‘มยา อคฺคสาวกฎฺฐานํ ปตฺถิตํ, ตฺวมฺปิ อาคนฺตฺวา เอกํ ฐานํ ปเตฺถหี’’ติฯ เสฎฺฐิ นีลุปฺปลมณฺฑปํ กตฺวา พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ, ตตฺถ โภเชตฺวา ทุติยสาวกภาวํ ปเตฺถสิฯ เตสุ สรทตาปโส สาริปุตฺตเตฺถโร ชาโต, สิรีวโฑฺฒ มหาโมคฺคลฺลานเตฺถโรติ อิทํ เนสํ ปุพฺพกมฺมํฯ

    Atīte kira anomadassī nāma buddho loke udapādi. Tassa sarado nāma tāpaso sake assame nānāpupphehi maṇḍapaṃ katvā pupphāsaneyeva bhagavantaṃ nisīdāpetvā bhikkhusaṅghassāpi tatheva maṇḍapaṃ katvā pupphāsanāni paññapetvā aggasāvakabhāvaṃ patthesi. Patthayitvā ca sirīvaḍḍhassa nāma seṭṭhino pesesi ‘‘mayā aggasāvakaṭṭhānaṃ patthitaṃ, tvampi āgantvā ekaṃ ṭhānaṃ patthehī’’ti. Seṭṭhi nīluppalamaṇḍapaṃ katvā buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ, tattha bhojetvā dutiyasāvakabhāvaṃ patthesi. Tesu saradatāpaso sāriputtatthero jāto, sirīvaḍḍho mahāmoggallānattheroti idaṃ nesaṃ pubbakammaṃ.

    ๖๓. อปุตฺตกตายาติอาทีสุ เยสํ ปุตฺตา ปพฺพชนฺติ, เตสํ อปุตฺตกตายฯ ยาสํ ปตี ปพฺพชนฺติ, ตาสํ เวธพฺยาย วิธวาภาวายฯ อุภเยนาปิ กุลุปเจฺฉทายฯ สญฺจยานีติ สญฺจยสฺส อเนฺตวาสิกานิฯ มคธานํ คิริพฺพชนฺติ มคธานํ ชนปทสฺส คิริพฺพชํ นครํฯ มหาวีราติ มหาวีริยวโนฺตฯ นยมานานนฺติ นยมาเนสุฯ ภุมฺมเตฺถ สามิวจนํ, อุปโยคเตฺถ วาฯ กา อุสูยา วิชานตนฺติ ธเมฺมน นยนฺตีติ เอวํ วิชานนฺตานํ กา อิสฺสาฯ

    63.Aputtakatāyātiādīsu yesaṃ puttā pabbajanti, tesaṃ aputtakatāya. Yāsaṃ patī pabbajanti, tāsaṃ vedhabyāya vidhavābhāvāya. Ubhayenāpi kulupacchedāya. Sañcayānīti sañcayassa antevāsikāni. Magadhānaṃ giribbajanti magadhānaṃ janapadassa giribbajaṃ nagaraṃ. Mahāvīrāti mahāvīriyavanto. Nayamānānanti nayamānesu. Bhummatthe sāmivacanaṃ, upayogatthe vā. Kā usūyā vijānatanti dhammena nayantīti evaṃ vijānantānaṃ kā issā.

    สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานปพฺพชฺชากถา นิฎฺฐิตาฯ

    Sāriputtamoggallānapabbajjākathā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi / ๑๔. สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานปพฺพชฺชากถา • 14. Sāriputtamoggallānapabbajjākathā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานปพฺพชฺชากถาวณฺณนา • Sāriputtamoggallānapabbajjākathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานปพฺพชฺชากถาวณฺณนา • Sāriputtamoggallānapabbajjākathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานปพฺพชฺชากถาวณฺณนา • Sāriputtamoggallānapabbajjākathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๑๔. สาริปุตฺตโมคฺคลฺลาน ปพฺพชฺชากถา • 14. Sāriputtamoggallāna pabbajjākathā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact