Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā

    สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานปพฺพชฺชากถาวณฺณนา

    Sāriputtamoggallānapabbajjākathāvaṇṇanā

    ๖๐. อิทานิ ‘‘เตน โข ปน สมเยน สญฺจโย ปริพฺพาชโก’’ติอาทีสุ อปุพฺพปทวณฺณนํ ทเสฺสโนฺต ‘‘สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สารีพฺราหฺมณิยา ปุโตฺต สาริปุโตฺต, โมคฺคลฺลีพฺราหฺมณิยา ปุโตฺต โมคฺคลฺลาโนฯ อมฺหากํ กิร (อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๑๘๙-๑๙๐; ธ. ป. อฎฺฐ. ๑.๑๐ สาริปุตฺตเตฺถรวตฺถุ) ภควโต นิพฺพตฺติโต ปุเรตรเมว สาริปุโตฺต ราชคหนครสฺส อวิทูเร อุปติสฺสคาเม สารีพฺราหฺมณิยา นาม กุจฺฉิยํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ ตํทิวสเมวสฺส สหาโยปิ ราชคหเสฺสว อวิทูเร โกลิตคาเม โมคฺคลฺลีพฺราหฺมณิยา กุจฺฉิยํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ ตานิ กิร เทฺวปิ กุลานิ ยาว สตฺตมา กุลปริวฎฺฎา อาพทฺธปฎิพทฺธสหายาเนวฯ เตสํ ทฺวินฺนํ เอกทิวสเมว คพฺภปริหารํ อทํสุฯ ทสมาสจฺจเยน ชาตานมฺปิ เตสํ ฉสฎฺฐิ ธาติโย อุปนยิํสุฯ นามคฺคหณทิวเส สารีพฺราหฺมณิยา ปุตฺตสฺส อุปติสฺสคาเม เชฎฺฐกุลสฺส ปุตฺตตฺตา ‘‘อุปติโสฺส’’ติ นามํ อกํสุ, อิตรสฺส โกลิตคาเม เชฎฺฐกุลสฺส ปุตฺตตฺตา ‘‘โกลิโต’’ติ นามํ อกํสุฯ เตน วุตฺตํ ‘‘คิหิกาเล อุปติโสฺส โกลิโตติ เอวํ ปญฺญายมานนามา’’ติฯ

    60. Idāni ‘‘tena kho pana samayena sañcayo paribbājako’’tiādīsu apubbapadavaṇṇanaṃ dassento ‘‘sāriputtamoggallānā’’tiādimāha. Tattha sārībrāhmaṇiyā putto sāriputto, moggallībrāhmaṇiyā putto moggallāno. Amhākaṃ kira (a. ni. aṭṭha. 1.1.189-190; dha. pa. aṭṭha. 1.10 sāriputtattheravatthu) bhagavato nibbattito puretarameva sāriputto rājagahanagarassa avidūre upatissagāme sārībrāhmaṇiyā nāma kucchiyaṃ paṭisandhiṃ gaṇhi. Taṃdivasamevassa sahāyopi rājagahasseva avidūre kolitagāme moggallībrāhmaṇiyā kucchiyaṃ paṭisandhiṃ gaṇhi. Tāni kira dvepi kulāni yāva sattamā kulaparivaṭṭā ābaddhapaṭibaddhasahāyāneva. Tesaṃ dvinnaṃ ekadivasameva gabbhaparihāraṃ adaṃsu. Dasamāsaccayena jātānampi tesaṃ chasaṭṭhi dhātiyo upanayiṃsu. Nāmaggahaṇadivase sārībrāhmaṇiyā puttassa upatissagāme jeṭṭhakulassa puttattā ‘‘upatisso’’ti nāmaṃ akaṃsu, itarassa kolitagāme jeṭṭhakulassa puttattā ‘‘kolito’’ti nāmaṃ akaṃsu. Tena vuttaṃ ‘‘gihikāle upatisso kolitoti evaṃ paññāyamānanāmā’’ti.

    อฑฺฒเตยฺยสตมาณวกปริวาราติ เอตฺถ ปญฺจปญฺจสตมาณวกปริวาราติปิ วทนฺติฯ วุตฺตเญฺหตํ องฺคุตฺตรนิกายฎฺฐกถายํ (อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๑๘๙-๑๙๐) –

    Aḍḍhateyyasatamāṇavakaparivārāti ettha pañcapañcasatamāṇavakaparivārātipi vadanti. Vuttañhetaṃ aṅguttaranikāyaṭṭhakathāyaṃ (a. ni. aṭṭha. 1.1.189-190) –

    ‘‘อุปติสฺสมาณวกสฺส กีฬนตฺถาย นทิํ วา อุยฺยานํ วา คมนกาเล ปญฺจ สุวณฺณสิวิกาสตานิ ปริวารานิ โหนฺติ, โกลิตมาณวกสฺส ปญฺจ อาชญฺญรถสตานิฯ เทฺวปิ ชนา ปญฺจปญฺจมาณวกสตปริวารา โหนฺตี’’ติฯ

    ‘‘Upatissamāṇavakassa kīḷanatthāya nadiṃ vā uyyānaṃ vā gamanakāle pañca suvaṇṇasivikāsatāni parivārāni honti, kolitamāṇavakassa pañca ājaññarathasatāni. Dvepi janā pañcapañcamāṇavakasataparivārā hontī’’ti.

    ราชคเห จ อนุสํวจฺฉรํ คิรคฺคสมชฺชํ นาม โหติฯ เตสํ ทฺวินฺนมฺปิ เอกฎฺฐาเนเยว มญฺจกํ พนฺธนฺติฯ เทฺวปิ เอกโตว นิสีทิตฺวา สมชฺชํ ปสฺสิตฺวา หสิตพฺพฎฺฐาเน หสนฺติ, สํเวคฎฺฐาเน สํวิชฺชนฺติ, ทายํ ทาตุํ ยุตฺตฎฺฐาเน ทายํ เทนฺติฯ เตสํ อิมินาว นิยาเมน เอกทิวสํ สมชฺชํ ปสฺสนฺตานํ ปริปากคตตฺตา ญาณสฺส ปุริมทิวเสสุ วิย หสิตพฺพฎฺฐาเน หาโส วา สํเวคฎฺฐาเน สํวิชฺชนํ วา ทายํ ทาตุํ ยุตฺตฎฺฐาเน ทายทานํ วา นาโหสิฯ เทฺวปิ ปน ชนา เอวํ จินฺตยิํสุ ‘‘กิํ เอตฺถ โอโลเกตพฺพํ อตฺถิ, สเพฺพปิเม อปฺปเตฺต วสฺสสเต อปณฺณตฺติกภาวํ คมิสฺสนฺติ, อเมฺหหิ ปน เอกํ โมกฺขธมฺมํ คเวสิตุํ วฎฺฎตี’’ติ อารมฺมณํ คเหตฺวา นิสีทิํสุฯ ตโต โกลิโต อุปติสฺสํ อาห ‘‘สมฺม อุปติสฺส, น ตฺวํ อญฺญทิวเสสุ วิย หฎฺฐปหโฎฺฐ, อนตฺตมนธาตุโกสิ, กิํ เต สลฺลกฺขิต’’นฺติฯ ‘‘สมฺม โกลิต, เอเตสํ โอโลกเน สาโร นตฺถิ, นิรตฺถกเมตํ, อตฺตโน โมกฺขธมฺมํ คเวสิตุํ วฎฺฎตี’’ติ อิทํ จินฺตยโนฺต นิสิโนฺนมฺหีติฯ ตฺวํ ปน กสฺมา อนตฺตมโนติฯ โสปิ ตเถว อาหฯ อถสฺส อตฺตนา สทฺธิํ เอกชฺฌาสยตํ ญตฺวา อุปติโสฺส เอวมาห ‘‘อมฺหากํ อุภินฺนํ สุจินฺติตํ, โมกฺขธมฺมํ ปน คเวสเนฺตหิ เอกา ปพฺพชฺชา ลทฺธุํ วฎฺฎติ, กสฺส สนฺติเก ปพฺพชามา’’ติฯ

    Rājagahe ca anusaṃvaccharaṃ giraggasamajjaṃ nāma hoti. Tesaṃ dvinnampi ekaṭṭhāneyeva mañcakaṃ bandhanti. Dvepi ekatova nisīditvā samajjaṃ passitvā hasitabbaṭṭhāne hasanti, saṃvegaṭṭhāne saṃvijjanti, dāyaṃ dātuṃ yuttaṭṭhāne dāyaṃ denti. Tesaṃ imināva niyāmena ekadivasaṃ samajjaṃ passantānaṃ paripākagatattā ñāṇassa purimadivasesu viya hasitabbaṭṭhāne hāso vā saṃvegaṭṭhāne saṃvijjanaṃ vā dāyaṃ dātuṃ yuttaṭṭhāne dāyadānaṃ vā nāhosi. Dvepi pana janā evaṃ cintayiṃsu ‘‘kiṃ ettha oloketabbaṃ atthi, sabbepime appatte vassasate apaṇṇattikabhāvaṃ gamissanti, amhehi pana ekaṃ mokkhadhammaṃ gavesituṃ vaṭṭatī’’ti ārammaṇaṃ gahetvā nisīdiṃsu. Tato kolito upatissaṃ āha ‘‘samma upatissa, na tvaṃ aññadivasesu viya haṭṭhapahaṭṭho, anattamanadhātukosi, kiṃ te sallakkhita’’nti. ‘‘Samma kolita, etesaṃ olokane sāro natthi, niratthakametaṃ, attano mokkhadhammaṃ gavesituṃ vaṭṭatī’’ti idaṃ cintayanto nisinnomhīti. Tvaṃ pana kasmā anattamanoti. Sopi tatheva āha. Athassa attanā saddhiṃ ekajjhāsayataṃ ñatvā upatisso evamāha ‘‘amhākaṃ ubhinnaṃ sucintitaṃ, mokkhadhammaṃ pana gavesantehi ekā pabbajjā laddhuṃ vaṭṭati, kassa santike pabbajāmā’’ti.

    เตน โข ปน สมเยน สญฺจโย ปริพฺพาชโก ราชคเห ปฎิวสติ มหติยา ปริพฺพาชกปริสาย สทฺธิํฯ เต ‘‘ตสฺส สนฺติเก ปพฺพชิสฺสามา’’ติ ปญฺจหิ มาณวกสเตหิ สทฺธิํ สญฺจยสฺส สนฺติเก ปพฺพชิํสุฯ เตสํ ปพฺพชิตกาลโต ปฎฺฐาย สญฺจโย อติเรกลาภคฺคยสคฺคปฺปโตฺต อโหสิฯ เต กติปาเหเนว สพฺพํ สญฺจยสฺส สมยํ ปริมทฺทิตฺวา ‘‘อาจริย, ตุมฺหากํ ชานนสมโย เอตฺตโกว, อุทาหุ อุตฺตริปิ อตฺถี’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ สญฺจโย ‘‘เอตฺตโกว, สพฺพํ ตุเมฺหหิ ญาต’’นฺติ อาหฯ ตสฺส กถํ สุตฺวา จินฺตยิํสุ ‘‘เอวํ สติ อิมสฺส สนฺติเก พฺรหฺมจริยวาโส นิรตฺถโก, มยํ โมกฺขธมฺมํ คเวสิตุํ นิกฺขนฺตา, โส อิมสฺส สนฺติเก อุปฺปาเทตุํ น สกฺกา, มหา โข ปน ชมฺพุทีโป, คามนิคมราชธานิโย จรนฺตา อวสฺสํ โมกฺขธมฺมเทสกํ อาจริยํ ลภิสฺสามา’’ติฯ เต ตโต ปฎฺฐาย ‘‘ยตฺถ ยตฺถ ปณฺฑิตา สมณพฺราหฺมณา อตฺถี’’ติ สุณนฺติ, ตตฺถ ตตฺถ คนฺตฺวา ปญฺหสากจฺฉํ กโรนฺติ, เตหิ ปุฎฺฐํ ปญฺหํ อโญฺญ กเถตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิ, เต ปน เตสํ ปญฺหํ วิสฺสเชฺชนฺติฯ เอวํ สกลชมฺพุทีปํ ปริคฺคณฺหิตฺวา นิวตฺติตฺวา สกฎฺฐานเมว อาคนฺตฺวา ‘‘สมฺม โกลิต, โย ปฐมํ อมตํ อธิคจฺฉติ , โส อาโรเจตู’’ติ กติกํ อกํสุฯ อิมเมว วตฺถุํ สงฺขิปิตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘‘ตตฺร เนสํ มหาชนํ ทิสฺวา…เป.… กติกํ อกํสู’’ติ อาหฯ

    Tena kho pana samayena sañcayo paribbājako rājagahe paṭivasati mahatiyā paribbājakaparisāya saddhiṃ. Te ‘‘tassa santike pabbajissāmā’’ti pañcahi māṇavakasatehi saddhiṃ sañcayassa santike pabbajiṃsu. Tesaṃ pabbajitakālato paṭṭhāya sañcayo atirekalābhaggayasaggappatto ahosi. Te katipāheneva sabbaṃ sañcayassa samayaṃ parimadditvā ‘‘ācariya, tumhākaṃ jānanasamayo ettakova, udāhu uttaripi atthī’’ti pucchiṃsu. Sañcayo ‘‘ettakova, sabbaṃ tumhehi ñāta’’nti āha. Tassa kathaṃ sutvā cintayiṃsu ‘‘evaṃ sati imassa santike brahmacariyavāso niratthako, mayaṃ mokkhadhammaṃ gavesituṃ nikkhantā, so imassa santike uppādetuṃ na sakkā, mahā kho pana jambudīpo, gāmanigamarājadhāniyo carantā avassaṃ mokkhadhammadesakaṃ ācariyaṃ labhissāmā’’ti. Te tato paṭṭhāya ‘‘yattha yattha paṇḍitā samaṇabrāhmaṇā atthī’’ti suṇanti, tattha tattha gantvā pañhasākacchaṃ karonti, tehi puṭṭhaṃ pañhaṃ añño kathetuṃ samattho nāma natthi, te pana tesaṃ pañhaṃ vissajjenti. Evaṃ sakalajambudīpaṃ pariggaṇhitvā nivattitvā sakaṭṭhānameva āgantvā ‘‘samma kolita, yo paṭhamaṃ amataṃ adhigacchati , so ārocetū’’ti katikaṃ akaṃsu. Imameva vatthuṃ saṅkhipitvā dassento ‘‘tatra nesaṃ mahājanaṃ disvā…pe… katikaṃ akaṃsū’’ti āha.

    ตตฺถ ฉนฺนปริพฺพาชกสฺสาติ เสตปฎธรสฺส ปริพฺพาชกสฺสฯ เตน นายํ นคฺคปริพฺพาชโกติ ทเสฺสติฯ ปาสาทิเกน อภิกฺกเนฺตนาติอาทีสุ ปาสาทิเกนาติ ปสาทาวเหน สารุเปฺปน สมณานุจฺฉวิเกนฯ อภิกฺกเนฺตนาติ คมเนนฯ ปฎิกฺกเนฺตนาติ นิวตฺตเนนฯ อาโลกิเตนาติ ปุรโต ทสฺสเนนฯ วิโลกิเตนาติ อิโต จิโต ทสฺสเนนฯ สมิญฺชิเตนาติ ปพฺพสโงฺกจเนนฯ ปสาริเตนาติ เตสํเยว ปสารเณนฯ สพฺพตฺถ อิตฺถมฺภูตลกฺขเณ กรณวจนํ, ตสฺมา สติสมฺปชญฺญเกหิ วภิสงฺขตตฺตา ปาสาทิกอภิกฺกนฺตปฎิกฺกนฺตอาโลกิตวิโลกิตสมิญฺชิตปสาริโต หุตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ โอกฺขิตฺตจกฺขูติ เหฎฺฐาขิตฺตจกฺขุฯ อิริยาปถสมฺปโนฺนติ ตาย ปาสาทิกอภิกฺกนฺตาทิตาย สมฺปนฺนอิริยาปโถฯ อตฺถิเกหิ อุปญฺญาตนฺติ ‘‘มรเณ สติ อมเตนปิ ภวิตพฺพ’’นฺติ เอวํ อนุมานญาเณน ‘‘อตฺถี’’ติ อุปคตํ นิพฺพานํ นาม, ตํ มคฺคโนฺต ปริเยสโนฺต ยนฺนูนาหํ อิมํ ภิกฺขุํ ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต อนุพเนฺธยฺยนฺติ สมฺพโนฺธฯ สุทินฺนกเณฺฑ วุตฺตปฺปการนฺติ ‘‘ทานปตีนํ ฆเรสุ สาลา โหนฺติ, อาสนานิ เจตฺถ ปญฺญตฺตานิ โหนฺติ, อุปฎฺฐาปิตํ อุทกกญฺชิยํ, ตตฺถ ปพฺพชิตา ปิณฺฑาย จริตฺวา นิสีทิตฺวา ภุญฺชนฺติฯ สเจ อิจฺฉนฺติ, ทานปตีนมฺปิ สนฺตกํ คณฺหนฺติ, ตสฺมา ตมฺปิ อญฺญตรสฺส กุลสฺส อีทิสาย สาลาย อญฺญตรํ กุฎฺฎมูลนฺติ เวทิตพฺพ’’นฺติ เอวํ วุตฺตปฺปการํฯ

    Tattha channaparibbājakassāti setapaṭadharassa paribbājakassa. Tena nāyaṃ naggaparibbājakoti dasseti. Pāsādikena abhikkantenātiādīsu pāsādikenāti pasādāvahena sāruppena samaṇānucchavikena. Abhikkantenāti gamanena. Paṭikkantenāti nivattanena. Ālokitenāti purato dassanena. Vilokitenāti ito cito dassanena. Samiñjitenāti pabbasaṅkocanena. Pasāritenāti tesaṃyeva pasāraṇena. Sabbattha itthambhūtalakkhaṇe karaṇavacanaṃ, tasmā satisampajaññakehi vabhisaṅkhatattā pāsādikaabhikkantapaṭikkantaālokitavilokitasamiñjitapasārito hutvāti vuttaṃ hoti. Okkhittacakkhūti heṭṭhākhittacakkhu. Iriyāpathasampannoti tāya pāsādikaabhikkantāditāya sampannairiyāpatho. Atthikehi upaññātanti ‘‘maraṇe sati amatenapi bhavitabba’’nti evaṃ anumānañāṇena ‘‘atthī’’ti upagataṃ nibbānaṃ nāma, taṃ magganto pariyesanto yannūnāhaṃ imaṃ bhikkhuṃ piṭṭhito piṭṭhito anubandheyyanti sambandho. Sudinnakaṇḍe vuttappakāranti ‘‘dānapatīnaṃ gharesu sālā honti, āsanāni cettha paññattāni honti, upaṭṭhāpitaṃ udakakañjiyaṃ, tattha pabbajitā piṇḍāya caritvā nisīditvā bhuñjanti. Sace icchanti, dānapatīnampi santakaṃ gaṇhanti, tasmā tampi aññatarassa kulassa īdisāya sālāya aññataraṃ kuṭṭamūlanti veditabba’’nti evaṃ vuttappakāraṃ.

    อปฺปํ วา พหุํ วา ภาสสฺสูติ ปริพฺพาชโก ‘‘อหํ อุปติโสฺส นาม, ตฺวํ ยถาสตฺติยา อปฺปํ วา พหุํ วา ปาวท, เอตํ นยสเตน นยสหเสฺสน ปฎิวิชฺฌิตุํ มยฺหํ ภาโร’’ติ จิเนฺตตฺวา เอวมาหฯ นิโรโธ จ นิโรธุปาโย จ เอกเทสสรูเปกเสสนเยน ‘‘นิโรโธ’’ติ วุโตฺตติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อถ วา’’ติอาทิมาหฯ ปฎิปาเทโนฺตติ นิคเมโนฺตฯ อิมํ ธมฺมปริยายํ สุตฺวา วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุํ อุทปาทีติ เอตฺถ ปริพฺพาชโก ปฐมปททฺวยเมว สุตฺวา สหสฺสนยสมฺปเนฺน โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ อิตรปททฺวยํ โสตาปนฺนกาเล นิฎฺฐาสีติ เวทิตพฺพํฯ

    Appaṃ vā bahuṃ vā bhāsassūti paribbājako ‘‘ahaṃ upatisso nāma, tvaṃ yathāsattiyā appaṃ vā bahuṃ vā pāvada, etaṃ nayasatena nayasahassena paṭivijjhituṃ mayhaṃ bhāro’’ti cintetvā evamāha. Nirodho ca nirodhupāyo ca ekadesasarūpekasesanayena ‘‘nirodho’’ti vuttoti dassento ‘‘atha vā’’tiādimāha. Paṭipādentoti nigamento. Imaṃ dhammapariyāyaṃ sutvā virajaṃ vītamalaṃ dhammacakkhuṃ udapādīti ettha paribbājako paṭhamapadadvayameva sutvā sahassanayasampanne sotāpattiphale patiṭṭhahi. Itarapadadvayaṃ sotāpannakāle niṭṭhāsīti veditabbaṃ.

    พหุเกหิ กปฺปนหุเตหีติ เอตฺถ ทส ทสกานิ สตํ, ทส สตานิ สหสฺสํ, สหสฺสานํ สตํ สตสหสฺสํ, สตสหสฺสานํ สตํ โกฎิ, โกฎิสตสหสฺสานํ สตํ ปโกฎิ, ปโกฎิสตสหสฺสานํ สตํ โกฎิปโกฎิ, โกฎิปโกฎิสตสหสฺสานํ สตํ เอกนหุตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Bahukehi kappanahutehīti ettha dasa dasakāni sataṃ, dasa satāni sahassaṃ, sahassānaṃ sataṃ satasahassaṃ, satasahassānaṃ sataṃ koṭi, koṭisatasahassānaṃ sataṃ pakoṭi, pakoṭisatasahassānaṃ sataṃ koṭipakoṭi, koṭipakoṭisatasahassānaṃ sataṃ ekanahutanti veditabbaṃ.

    ๖๑. อถ โข สาริปุโตฺต ปริพฺพาชโก เยน โมคฺคลฺลาโน ปริพฺพาชโก เตนุปสงฺกมีติ (อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๑๘๙-๑๙๐; ธ. ป. อฎฺฐ. ๑.๑๐ สาริปุตฺตเตฺถรวตฺถุ) โสตาปโนฺน หุตฺวา อุปริวิเสเส อปฺปวตฺตเนฺต ‘‘ภวิสฺสติ เอตฺถ การณ’’นฺติ สลฺลเกฺขตฺวา เถรํ อาห ‘‘ภเนฺต, มา อุปริ ธมฺมเทสนํ วฑฺฒยิตฺถ, เอตฺตกเมว โหตุ, กหํ อมฺหากํ สตฺถา วสตี’’ติฯ เวฬุวเน ปริพฺพาชกาติฯ ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺห ปุรโต ยาถ, มยฺหํ เอโก สหายโก อตฺถิ, อเมฺหหิ จ อญฺญมญฺญํ กติกา กตา ‘โย ปฐมํ อมตํ อธิคจฺฉติ, โส อาโรเจตู’ติ, อหํ ตํ ปฎิญฺญํ โมเจตฺวา สหายกํ คเหตฺวา ตุมฺหากํ คตมเคฺคเนว สตฺถุ สนฺติกํ อาคมิสฺสามี’’ติ ปญฺจปติฎฺฐิเตน เถรสฺส ปาเทสุ นิปติตฺวา ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา เถรํ อุโยฺยเชตฺวา ปริพฺพาชการามาภิมุโข อคมาสิฯ

    61.Athakho sāriputto paribbājako yena moggallāno paribbājako tenupasaṅkamīti (a. ni. aṭṭha. 1.1.189-190; dha. pa. aṭṭha. 1.10 sāriputtattheravatthu) sotāpanno hutvā uparivisese appavattante ‘‘bhavissati ettha kāraṇa’’nti sallakkhetvā theraṃ āha ‘‘bhante, mā upari dhammadesanaṃ vaḍḍhayittha, ettakameva hotu, kahaṃ amhākaṃ satthā vasatī’’ti. Veḷuvane paribbājakāti. ‘‘Bhante, tumhe purato yātha, mayhaṃ eko sahāyako atthi, amhehi ca aññamaññaṃ katikā katā ‘yo paṭhamaṃ amataṃ adhigacchati, so ārocetū’ti, ahaṃ taṃ paṭiññaṃ mocetvā sahāyakaṃ gahetvā tumhākaṃ gatamaggeneva satthu santikaṃ āgamissāmī’’ti pañcapatiṭṭhitena therassa pādesu nipatitvā tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā theraṃ uyyojetvā paribbājakārāmābhimukho agamāsi.

    ๖๒. สาริปุตฺตํ ปริพฺพาชกํ เอตทโวจาติ ‘‘อชฺช มยฺหํ สหายสฺส มุขวโณฺณ น อญฺญทิวเสสุ วิย, อทฺธา อเนน อมตํ อธิคตํ ภวิสฺสตี’’ติ อมตาธิคมํ ปุจฺฉโนฺต เอตทโวจฯ โสปิสฺส ‘‘อามาวุโส, อมตํ อธิคต’’นฺติ ปฎิชานิตฺวา สพฺพํ ปวตฺติํ อาโรเจตฺวา ตเมว คาถํ อภาสิฯ คาถาปริโยสาเน โมคฺคลฺลาโน ปริพฺพาชโก โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อถ โข โมคฺคลฺลานสฺส ปริพฺพาชกสฺส…เป.… ธมฺมจกฺขุํ อุทปาที’’ติฯ คจฺฉาม มยํ, อาวุโส, ภควโต สนฺติเกติ ‘‘กหํ สมฺม สตฺถา วสตี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘เวฬุวเน กิร สมฺม, เอวํ โน อาจริเยน อสฺสชิเตฺถเรน กถิต’’นฺติ วุเตฺต เอวมาหฯ

    62.Sāriputtaṃ paribbājakaṃ etadavocāti ‘‘ajja mayhaṃ sahāyassa mukhavaṇṇo na aññadivasesu viya, addhā anena amataṃ adhigataṃ bhavissatī’’ti amatādhigamaṃ pucchanto etadavoca. Sopissa ‘‘āmāvuso, amataṃ adhigata’’nti paṭijānitvā sabbaṃ pavattiṃ ārocetvā tameva gāthaṃ abhāsi. Gāthāpariyosāne moggallāno paribbājako sotāpattiphale patiṭṭhahi. Tena vuttaṃ ‘‘atha kho moggallānassa paribbājakassa…pe… dhammacakkhuṃ udapādī’’ti. Gacchāma mayaṃ, āvuso, bhagavato santiketi ‘‘kahaṃ samma satthā vasatī’’ti pucchitvā ‘‘veḷuvane kira samma, evaṃ no ācariyena assajittherena kathita’’nti vutte evamāha.

    สาริปุตฺตเตฺถโร จ นาเมส สทาปิ อาจริยปูชโกว, ตสฺมา สหายํ โมคฺคลฺลานํ ปริพฺพาชกํ เอวมาห ‘‘อเมฺหหิ อธิคตํ อมตํ อมฺหากํ อาจริยสฺส สญฺจยปริพฺพาชกสฺสปิ กเถสฺสาม, พุชฺฌมาโน ปฎิวิชฺฌิสฺสติ, อปฺปฎิวิชฺฌโนฺต อมฺหากํ สทฺทหิตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ คมิสฺสติ, พุทฺธานํ เทสนํ สุตฺวา มคฺคผลปฺปฎิเวธํ กริสฺสตี’’ติฯ ตโต เทฺวปิ ชนา สญฺจยสฺส สนฺติกํ อคมํสุฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อถ โข สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานา เยน สญฺจโย ปริพฺพาชโก เตนุปสงฺกมิํสู’’ติฯ อุปสงฺกมิตฺวา จ ‘‘อาจริย, ตฺวํ กิํ กโรสิ, โลเก พุโทฺธ อุปฺปโนฺน, สฺวากฺขาโต ธโมฺม, สุปฺปฎิปโนฺน สโงฺฆ, อายาม ทสพลํ ปสฺสิสฺสามา’’ติฯ โส ‘‘กิํ วทถ ตาตา’’ติ เตปิ วาเรตฺวา ลาภคฺคยสคฺคปฺปวตฺติเมว เนสํ ทีเปติฯ เต ‘‘อมฺหากํ เอวรูโป อเนฺตวาสิกวาโส นิจฺจเมว โหตุ, ตุมฺหากํ ปน คมนํ วา อคมนํ วา ชานาถา’’ติ อาหํสุฯ สญฺจโย ‘‘อิเม เอตฺตกํ ชานนฺตา มม วจนํ น กริสฺสนฺตี’’ติ ญตฺวา ‘‘คจฺฉถ ตุเมฺห ตาตา, อหํ มหลฺลกกาเล อเนฺตวาสิกวาสํ วสิตุํ น สโกฺกมี’’ติ อาหฯ เต อเนเกหิปิ การณสเตหิ ตํ โพเธตุํ อสโกฺกนฺตา อตฺตโน โอวาเท วตฺตมานํ ชนํ อาทาย เวฬุวนํ อคมํสุฯ ปญฺจสุ อเนฺตวาสิกสเตสุ อฑฺฒเตยฺยสตา นิวตฺติํสุ, อฑฺฒเตยฺยสตา เตหิ สทฺธิํ อคมํสุฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อถ โข สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานา ตานิ อฑฺฒเตยฺยานิ ปริพฺพาชกสตานิ อาทาย เยน เวฬุวนํ เตนุปสงฺกมิํสู’’ติฯ

    Sāriputtatthero ca nāmesa sadāpi ācariyapūjakova, tasmā sahāyaṃ moggallānaṃ paribbājakaṃ evamāha ‘‘amhehi adhigataṃ amataṃ amhākaṃ ācariyassa sañcayaparibbājakassapi kathessāma, bujjhamāno paṭivijjhissati, appaṭivijjhanto amhākaṃ saddahitvā satthu santikaṃ gamissati, buddhānaṃ desanaṃ sutvā maggaphalappaṭivedhaṃ karissatī’’ti. Tato dvepi janā sañcayassa santikaṃ agamaṃsu. Tena vuttaṃ ‘‘atha kho sāriputtamoggallānā yena sañcayo paribbājako tenupasaṅkamiṃsū’’ti. Upasaṅkamitvā ca ‘‘ācariya, tvaṃ kiṃ karosi, loke buddho uppanno, svākkhāto dhammo, suppaṭipanno saṅgho, āyāma dasabalaṃ passissāmā’’ti. So ‘‘kiṃ vadatha tātā’’ti tepi vāretvā lābhaggayasaggappavattimeva nesaṃ dīpeti. Te ‘‘amhākaṃ evarūpo antevāsikavāso niccameva hotu, tumhākaṃ pana gamanaṃ vā agamanaṃ vā jānāthā’’ti āhaṃsu. Sañcayo ‘‘ime ettakaṃ jānantā mama vacanaṃ na karissantī’’ti ñatvā ‘‘gacchatha tumhe tātā, ahaṃ mahallakakāle antevāsikavāsaṃ vasituṃ na sakkomī’’ti āha. Te anekehipi kāraṇasatehi taṃ bodhetuṃ asakkontā attano ovāde vattamānaṃ janaṃ ādāya veḷuvanaṃ agamaṃsu. Pañcasu antevāsikasatesu aḍḍhateyyasatā nivattiṃsu, aḍḍhateyyasatā tehi saddhiṃ agamaṃsu. Tena vuttaṃ ‘‘atha kho sāriputtamoggallānā tāni aḍḍhateyyāni paribbājakasatāni ādāya yena veḷuvanaṃ tenupasaṅkamiṃsū’’ti.

    วิมุเตฺตติ ยถาวุตฺตลกฺขเณ นิพฺพาเน ตทารมฺมณาย ผลวิมุตฺติยา อธิมุเตฺต เน สาริปุตฺตโมคฺคลฺลาเน พฺยากาสีติ สมฺพโนฺธฯ

    Vimutteti yathāvuttalakkhaṇe nibbāne tadārammaṇāya phalavimuttiyā adhimutte ne sāriputtamoggallāne byākāsīti sambandho.

    เอวํ พฺยากริตฺวา จ สตฺถา จตุปริสมเชฺฌ ธมฺมํ เทเสโนฺต เนสํ ปริสาย จริยวเสน ธมฺมเทสนํ วเฑฺฒสิ, ฐเปตฺวา เทฺว อคฺคสาวเก สเพฺพปิ อฑฺฒเตยฺยสตา ปริพฺพาชกา อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ สตฺถา ‘‘เอถ ภิกฺขโว’’ติ หตฺถํ ปสาเรสิ, สเพฺพสํ เกสมสฺสุ อนฺตรธายิ, อิทฺธิมยปตฺตจีวรํ กายปฎิพทฺธํ อโหสิฯ อคฺคสาวกานมฺปิ อิทฺธิมยปตฺตจีวรํ อาคตํ, อุปริมคฺคตฺตยกิจฺจํ ปน น นิฎฺฐาติฯ กสฺมา? สาวกปารมีญาณสฺส มหนฺตตายฯ อถายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ปพฺพชิตทิวสโต สตฺตเม ทิวเส มคธรเฎฺฐ กลฺลวาฬคามกํ อุปนิสฺสาย สมณธมฺมํ กโรโนฺต ถินมิทฺธํ โอกฺกมโนฺต สตฺถารา สํเวชิโต ถินมิทฺธํ วิโนเทตฺวา ตถาคเตน ทินฺนํ ธาตุกมฺมฎฺฐานํ สุณโนฺตว อุปริมคฺคตฺตยกิจฺจํ นิฎฺฐาเปตฺวา สาวกปารมีญาณสฺส มตฺถกํ ปโตฺตฯ สาริปุตฺตเตฺถโรปิ ปพฺพชิตทิวสโต อทฺธมาสํ อติกฺกมิตฺวา สตฺถารา สทฺธิํ ตเมว ราชคหํ อุปนิสฺสาย สูกรขตเลเณ วิหรโนฺต อตฺตโน ภาคิเนยฺยสฺส ทีฆนขปริพฺพาชกสฺส เวทนาปริคฺคหสุตฺตเนฺต เทสิยมาเน สุตฺตานุสาเรน ญาณํ เปเสตฺวา ปรสฺส วฑฺฒิตภตฺตํ ภุญฺชโนฺต วิย สาวกปารมีญาณสฺส มตฺถกํ ปโตฺตฯ เตเนวาห ‘‘มหาโมคฺคลฺลานเตฺถโร สตฺตหิ ทิวเสหิ อรหเตฺต ปติฎฺฐิโต, สาริปุตฺตเตฺถโร อทฺธมาเสนา’’ติฯ

    Evaṃ byākaritvā ca satthā catuparisamajjhe dhammaṃ desento nesaṃ parisāya cariyavasena dhammadesanaṃ vaḍḍhesi, ṭhapetvā dve aggasāvake sabbepi aḍḍhateyyasatā paribbājakā arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Satthā ‘‘etha bhikkhavo’’ti hatthaṃ pasāresi, sabbesaṃ kesamassu antaradhāyi, iddhimayapattacīvaraṃ kāyapaṭibaddhaṃ ahosi. Aggasāvakānampi iddhimayapattacīvaraṃ āgataṃ, uparimaggattayakiccaṃ pana na niṭṭhāti. Kasmā? Sāvakapāramīñāṇassa mahantatāya. Athāyasmā mahāmoggallāno pabbajitadivasato sattame divase magadharaṭṭhe kallavāḷagāmakaṃ upanissāya samaṇadhammaṃ karonto thinamiddhaṃ okkamanto satthārā saṃvejito thinamiddhaṃ vinodetvā tathāgatena dinnaṃ dhātukammaṭṭhānaṃ suṇantova uparimaggattayakiccaṃ niṭṭhāpetvā sāvakapāramīñāṇassa matthakaṃ patto. Sāriputtattheropi pabbajitadivasato addhamāsaṃ atikkamitvā satthārā saddhiṃ tameva rājagahaṃ upanissāya sūkarakhataleṇe viharanto attano bhāgineyyassa dīghanakhaparibbājakassa vedanāpariggahasuttante desiyamāne suttānusārena ñāṇaṃ pesetvā parassa vaḍḍhitabhattaṃ bhuñjanto viya sāvakapāramīñāṇassa matthakaṃ patto. Tenevāha ‘‘mahāmoggallānatthero sattahi divasehi arahatte patiṭṭhito, sāriputtatthero addhamāsenā’’ti.

    ยทิปิ มหาโมคฺคลฺลานเตฺถโร น จิรเสฺสว อรหตฺตํ ปโตฺต, ธมฺมเสนาปติ ตโต จิเรน, เอวํ สเนฺตปิ สาริปุตฺตเตฺถโรว มหาปญฺญตโรฯ มหาโมคฺคลฺลานเตฺถโร หิ สาวกานํ สมฺมสนจารํ ยฎฺฐิโกฎิยา อุปฺปีเฬโนฺต วิย เอกเทสเมว สมฺมสโนฺต สตฺต ทิวเส วายมิตฺวา อรหตฺตํ ปโตฺตฯ สาริปุตฺตเตฺถโร ฐเปตฺวา พุทฺธานํ ปเจฺจกพุทฺธานญฺจ สมฺมสนจารํ สาวกานํ สมฺมสนจารํ นิปฺปเทสํ สมฺมสิ, เอวํ สมฺมสโนฺต อทฺธมาสํ วายมิฯ อุกฺกํสคตสฺส สาวกานํ สมฺมสนจารสฺส นิปฺปเทเสน ปวตฺติยมานตฺตา สาวกปารมีญาณสฺส จ ตถา ปริปาเจตพฺพตฺตาฯ ยถา หิ ปุริโส ‘‘เวณุยฎฺฐิํ คณฺหิสฺสามี’’ติ มหาชฎํ เวณุํ ทิสฺวา ‘‘ชฎํ ฉินฺทนฺตสฺส ปปโญฺจ ภวิสฺสตี’’ติ อนฺตเรน หตฺถํ ปเวเสตฺวา สมฺปตฺตเมว ยฎฺฐิํ มูเล จ อเคฺค จ ฉินฺทิตฺวา อาทาย ปกฺกเมยฺย, โส กิญฺจาปิ ปฐมตรํ คจฺฉติ, ยฎฺฐิํ ปน สารํ วา อุชุํ วา น ลภติฯ อปโร ตถารูปเมว เวณุํ ทิสฺวา สเจ สมฺปตฺตยฎฺฐิํ คณฺหิสฺสามิ, สารํ วา อุชุํ วา น ลภิสฺสามีติ กจฺฉํ พนฺธิตฺวา มหเนฺตน สเตฺถน เวณุชฎํ ฉินฺทิตฺวา สารา เจว อุชู จ ยฎฺฐิโย อุจฺจินิตฺวา อาทาย ปกฺกเมยฺย, อยํ กิญฺจาปิ ปจฺฉา คจฺฉติ, ยฎฺฐิโย ปน สารา เจว อุชู จ ลภติ, เอวํสมฺปทมิทํ อิเมสํ ทฺวินฺนํ เถรานํ ปธานํฯ

    Yadipi mahāmoggallānatthero na cirasseva arahattaṃ patto, dhammasenāpati tato cirena, evaṃ santepi sāriputtattherova mahāpaññataro. Mahāmoggallānatthero hi sāvakānaṃ sammasanacāraṃ yaṭṭhikoṭiyā uppīḷento viya ekadesameva sammasanto satta divase vāyamitvā arahattaṃ patto. Sāriputtatthero ṭhapetvā buddhānaṃ paccekabuddhānañca sammasanacāraṃ sāvakānaṃ sammasanacāraṃ nippadesaṃ sammasi, evaṃ sammasanto addhamāsaṃ vāyami. Ukkaṃsagatassa sāvakānaṃ sammasanacārassa nippadesena pavattiyamānattā sāvakapāramīñāṇassa ca tathā paripācetabbattā. Yathā hi puriso ‘‘veṇuyaṭṭhiṃ gaṇhissāmī’’ti mahājaṭaṃ veṇuṃ disvā ‘‘jaṭaṃ chindantassa papañco bhavissatī’’ti antarena hatthaṃ pavesetvā sampattameva yaṭṭhiṃ mūle ca agge ca chinditvā ādāya pakkameyya, so kiñcāpi paṭhamataraṃ gacchati, yaṭṭhiṃ pana sāraṃ vā ujuṃ vā na labhati. Aparo tathārūpameva veṇuṃ disvā sace sampattayaṭṭhiṃ gaṇhissāmi, sāraṃ vā ujuṃ vā na labhissāmīti kacchaṃ bandhitvā mahantena satthena veṇujaṭaṃ chinditvā sārā ceva ujū ca yaṭṭhiyo uccinitvā ādāya pakkameyya, ayaṃ kiñcāpi pacchā gacchati, yaṭṭhiyo pana sārā ceva ujū ca labhati, evaṃsampadamidaṃ imesaṃ dvinnaṃ therānaṃ padhānaṃ.

    สมฺมสนจาโร จ นาเมตฺถ วิปสฺสนาภูมิ เวทิตพฺพา สมฺมสนํ จรติ เอตฺถาติ สมฺมสนจาโรติ กตฺวาฯ ตตฺถ พุทฺธานํ สมฺมสนจาโร ทสสหสฺสโลกธาตุยํ สตฺตสนฺตานคตา อนินฺทฺริยพทฺธา จ สงฺขาราติ วทนฺติฯ โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาเฬสูติ อปเรฯ ตถา หิ อตฺตนิยวเสน ปฎิจฺจสมุปฺปาทนยํ โอตริตฺวา ฉตฺติํสโกฎิสตสหสฺสมุเขน พุทฺธานํ มหาวชิรญาณํ ปวตฺตํฯ ปเจฺจกพุทฺธานํ สสนฺตานคเตหิ สทฺธิํ มชฺฌิมเทสวาสีสตฺตสนฺตานคตา อนินฺทฺริยพทฺธา จ สงฺขารา สมฺมสนจาโรติ วทนฺติฯ ชมฺพุทีปวาสีสนฺตานคตาติ เกจิฯ สสนฺตานคเต สพฺพธเมฺม ปรสนฺตานคเต จ สนฺตานวิภาคํ อกตฺวา พหิทฺธาภาวสามญฺญโต สมฺมสนํ, อยํ สาวกานํ สมฺมสนจาโรฯ โมคฺคลฺลานเตฺถโร ปน พหิทฺธา ธเมฺมปิ สสนฺตานวิภาเคน เกจิ เกจิ อุทฺธริตฺวา สมฺมสิ, ตญฺจ โข ญาเณน ผุฎฺฐมตฺตํ กตฺวาฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ยฎฺฐิโกฎิยา อุปฺปีเฬโนฺต วิย เอกเทสเมว สมฺมสโนฺต’’ติฯ ตตฺถ ญาเณน นาม ยาวตา เนยฺยํ วตฺติตพฺพํ, ตาวตา อวตฺตนโต ‘‘ยฎฺฐิโกฎิยา อุปฺปีเฬโนฺต วิยา’’ติ วุตฺตํ, อนุปทธมฺมวิปสฺสนาย อภาวโต ‘‘เอกเทสเมว สมฺมสโนฺต’’ติ วุตฺตํฯ ธมฺมเสนาปติโนปิ ยถาวุตฺตสาวกานํ วิปสฺสนาย ภูมิเยว สมฺมสนจาโรฯ ตตฺถ ปน เถโร สาติสยํ นิรวเสสํ อนุปทญฺจ สมฺมา วิปสฺสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สาวกานํ สมฺมสนจารํ นิปฺปเทสํ สมฺมสี’’ติฯ

    Sammasanacāro ca nāmettha vipassanābhūmi veditabbā sammasanaṃ carati etthāti sammasanacāroti katvā. Tattha buddhānaṃ sammasanacāro dasasahassalokadhātuyaṃ sattasantānagatā anindriyabaddhā ca saṅkhārāti vadanti. Koṭisatasahassacakkavāḷesūti apare. Tathā hi attaniyavasena paṭiccasamuppādanayaṃ otaritvā chattiṃsakoṭisatasahassamukhena buddhānaṃ mahāvajirañāṇaṃ pavattaṃ. Paccekabuddhānaṃ sasantānagatehi saddhiṃ majjhimadesavāsīsattasantānagatā anindriyabaddhā ca saṅkhārā sammasanacāroti vadanti. Jambudīpavāsīsantānagatāti keci. Sasantānagate sabbadhamme parasantānagate ca santānavibhāgaṃ akatvā bahiddhābhāvasāmaññato sammasanaṃ, ayaṃ sāvakānaṃ sammasanacāro. Moggallānatthero pana bahiddhā dhammepi sasantānavibhāgena keci keci uddharitvā sammasi, tañca kho ñāṇena phuṭṭhamattaṃ katvā. Tena vuttaṃ ‘‘yaṭṭhikoṭiyā uppīḷento viya ekadesameva sammasanto’’ti. Tattha ñāṇena nāma yāvatā neyyaṃ vattitabbaṃ, tāvatā avattanato ‘‘yaṭṭhikoṭiyā uppīḷento viyā’’ti vuttaṃ, anupadadhammavipassanāya abhāvato ‘‘ekadesameva sammasanto’’ti vuttaṃ. Dhammasenāpatinopi yathāvuttasāvakānaṃ vipassanāya bhūmiyeva sammasanacāro. Tattha pana thero sātisayaṃ niravasesaṃ anupadañca sammā vipassi. Tena vuttaṃ ‘‘sāvakānaṃ sammasanacāraṃ nippadesaṃ sammasī’’ti.

    เอตฺถ จ สุกฺขวิปสฺสกา โลกิยาภิญฺญปฺปตฺตา ปกติสาวกา มหาสาวกา อคฺคสาวกา ปเจฺจกพุทฺธา สมฺมาสมฺพุทฺธาติ ฉสุ ชเนสุ สุกฺขวิปสฺสกานํ ฌานาภิญฺญาหิ อนธิคตปญฺญาเนปุญฺญตฺตา อนฺธานํ วิย อิจฺฉิตปเทโสกฺกมนํ วิปสฺสนากาเล อิจฺฉิติจฺฉิตธมฺมภาวนา นตฺถิ, เต ยถาปริคฺคหิตธมฺมมเตฺตเยว วิปสฺสนํ วเฑฺฒนฺติฯ โลกิยาภิญฺญปฺปตฺตา ปน ปกติสาวกา เยน มุเขน วิปสฺสนํ อารภนฺติ, ตโต อเญฺญนปิ วิปสฺสนํ วิตฺถาริกํ กาตุํ สโกฺกนฺติ วิปุลญาณตฺตาฯ มหาสาวกา อภินีหารสมฺปนฺนตฺตา ตโต สาติสยํ วิปสฺสนํ วิตฺถาริกํ กาตุํ สโกฺกนฺติฯ อคฺคสาวเกสุ ทุติโย อภินีหารสมฺปตฺติยา สมาธานสฺส สาติสยตฺตา วิปสฺสนํ ตโตปิ วิตฺถาริกํ กโรติฯ ปฐโม ปน ตโตปิ มหาปญฺญตาย สาวเกหิ อสาธารณํ กตฺวา วิปสฺสนํ วิตฺถาริกํ กโรติฯ ปเจฺจกพุทฺธา เตหิปิ มหาภินีหารตาย อตฺตโน อภินีหารานุรูปํ ตโตปิ วิตฺถาริกํ วิปสฺสนํ กโรนฺติฯ พุทฺธานํ สมฺมเทว ปริปูริตปญฺญาปารมีปภาวิตา สพฺพญฺญุตญฺญาณาธิคมสฺส อนุรูปา ยถา นาม กตวาลเวธปริจเยน สรภงฺคสทิเสน ธนุคฺคเหน ขิโตฺต สโร อนฺตรา รุกฺขลตาทีสุ อสชฺชมาโน ลเกฺขเยว ปตติ, น สชฺชติ น วิรชฺชติ, เอวํ อนฺตรา อสชฺชมานา อวิรชฺชมานา วิปสฺสนา สมฺมสนียธเมฺมสุ ยาถาวโต นานานเยหิ ปวตฺตติ, ยํ ‘‘มหาวชิรญาณ’’นฺติ วุจฺจติฯ

    Ettha ca sukkhavipassakā lokiyābhiññappattā pakatisāvakā mahāsāvakā aggasāvakā paccekabuddhā sammāsambuddhāti chasu janesu sukkhavipassakānaṃ jhānābhiññāhi anadhigatapaññānepuññattā andhānaṃ viya icchitapadesokkamanaṃ vipassanākāle icchiticchitadhammabhāvanā natthi, te yathāpariggahitadhammamatteyeva vipassanaṃ vaḍḍhenti. Lokiyābhiññappattā pana pakatisāvakā yena mukhena vipassanaṃ ārabhanti, tato aññenapi vipassanaṃ vitthārikaṃ kātuṃ sakkonti vipulañāṇattā. Mahāsāvakā abhinīhārasampannattā tato sātisayaṃ vipassanaṃ vitthārikaṃ kātuṃ sakkonti. Aggasāvakesu dutiyo abhinīhārasampattiyā samādhānassa sātisayattā vipassanaṃ tatopi vitthārikaṃ karoti. Paṭhamo pana tatopi mahāpaññatāya sāvakehi asādhāraṇaṃ katvā vipassanaṃ vitthārikaṃ karoti. Paccekabuddhā tehipi mahābhinīhāratāya attano abhinīhārānurūpaṃ tatopi vitthārikaṃ vipassanaṃ karonti. Buddhānaṃ sammadeva paripūritapaññāpāramīpabhāvitā sabbaññutaññāṇādhigamassa anurūpā yathā nāma katavālavedhaparicayena sarabhaṅgasadisena dhanuggahena khitto saro antarā rukkhalatādīsu asajjamāno lakkheyeva patati, na sajjati na virajjati, evaṃ antarā asajjamānā avirajjamānā vipassanā sammasanīyadhammesu yāthāvato nānānayehi pavattati, yaṃ ‘‘mahāvajirañāṇa’’nti vuccati.

    เอเตสุ จ สุกฺขวิปสฺสกานํ วิปสฺสนาจาโร ขโชฺชตปฺปภาสทิโส, อภิญฺญปฺปตฺตปกติสาวกานํ ทีปปฺปภาสทิโส, มหาสาวกานํ อุกฺกาปฺปภาสทิโส, อคฺคสาวกานํ โอสธิตารกปฺปภาสทิโส, ปเจฺจกพุทฺธานํ จนฺทปฺปภาสทิโส, สมฺมาสมฺพุทฺธานํ รสฺมิสหสฺสปฎิมณฺฑิตสรทสูริยมณฺฑลสทิโส หุตฺวา อุปฎฺฐาติฯ ตถา สุกฺขวิปสฺสกานํ วิปสฺสนาจาโร อนฺธานํ ยฎฺฐิโกฎิยา คมนสทิโส, โลกิยาภิญฺญปฺปตฺตปกติสาวกานํ ทณฺฑกเสตุคมนสทิโส, มหาสาวกานํ ชงฺฆเสตุคมนสทิโส, อคฺคสาวกานํ สกฎเสตุคมนสทิโส, ปเจฺจกพุทฺธานํ มหาชงฺฆมคฺคคมนสทิโส, สมฺมาสมฺพุทฺธานํ มหาสกฎมคฺคคมนสทิโสฯ ตถา พุทฺธานํ ปเจฺจกพุทฺธานญฺจ วิปสฺสนา จินฺตามยญาณสํวฑฺฒิตตฺตา สยมฺภูญาณภูตา, อิตเรสํ สุตมยญาณสํวฑฺฒิตตฺตา ปโรปเทสสมฺภูตาติ เวทิตพฺพาฯ

    Etesu ca sukkhavipassakānaṃ vipassanācāro khajjotappabhāsadiso, abhiññappattapakatisāvakānaṃ dīpappabhāsadiso, mahāsāvakānaṃ ukkāppabhāsadiso, aggasāvakānaṃ osadhitārakappabhāsadiso, paccekabuddhānaṃ candappabhāsadiso, sammāsambuddhānaṃ rasmisahassapaṭimaṇḍitasaradasūriyamaṇḍalasadiso hutvā upaṭṭhāti. Tathā sukkhavipassakānaṃ vipassanācāro andhānaṃ yaṭṭhikoṭiyā gamanasadiso, lokiyābhiññappattapakatisāvakānaṃ daṇḍakasetugamanasadiso, mahāsāvakānaṃ jaṅghasetugamanasadiso, aggasāvakānaṃ sakaṭasetugamanasadiso, paccekabuddhānaṃ mahājaṅghamaggagamanasadiso, sammāsambuddhānaṃ mahāsakaṭamaggagamanasadiso. Tathā buddhānaṃ paccekabuddhānañca vipassanā cintāmayañāṇasaṃvaḍḍhitattā sayambhūñāṇabhūtā, itaresaṃ sutamayañāṇasaṃvaḍḍhitattā paropadesasambhūtāti veditabbā.

    อิทานิ อุภินฺนมฺปิ เถรานํ ปุพฺพโยคํ ทเสฺสตุํ ‘‘อตีเต กิรา’’ติอาทิมาหฯ ตํ สพฺพํ อุตฺตานตฺถเมวฯ

    Idāni ubhinnampi therānaṃ pubbayogaṃ dassetuṃ ‘‘atīte kirā’’tiādimāha. Taṃ sabbaṃ uttānatthameva.

    ๖๓. คิริพฺพชนครนฺติ สมนฺตา ปพฺพตปริกฺขิตฺตํ วชสทิสํ หุตฺวา ติฎฺฐตีติ คิริพฺพชนฺติ เอวํลทฺธนามํ ราชคหนครํฯ อุสูยนกิริยาย กมฺมภาวํ สนฺธาย ‘‘อุปโยคเตฺถ วา’’ติ วุตฺตํฯ

    63.Giribbajanagaranti samantā pabbataparikkhittaṃ vajasadisaṃ hutvā tiṭṭhatīti giribbajanti evaṃladdhanāmaṃ rājagahanagaraṃ. Usūyanakiriyāya kammabhāvaṃ sandhāya ‘‘upayogatthe vā’’ti vuttaṃ.

    สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานปพฺพชฺชากถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Sāriputtamoggallānapabbajjākathāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi / ๑๔. สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานปพฺพชฺชากถา • 14. Sāriputtamoggallānapabbajjākathā

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวคฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvagga-aṭṭhakathā / สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานปพฺพชฺชากถา • Sāriputtamoggallānapabbajjākathā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานปพฺพชฺชากถาวณฺณนา • Sāriputtamoggallānapabbajjākathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานปพฺพชฺชากถาวณฺณนา • Sāriputtamoggallānapabbajjākathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๑๔. สาริปุตฺตโมคฺคลฺลาน ปพฺพชฺชากถา • 14. Sāriputtamoggallāna pabbajjākathā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact