Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) |
๓. สาริปุตฺตสุตฺตวณฺณนา
3. Sāriputtasuttavaṇṇanā
๓๓. ตติเย สํขิเตฺตนาติ มาติกาฐปเนนฯ วิตฺถาเรนาติ ฐปิตมาติกาวิภชเนนฯ สํขิตฺตวิตฺถาเรนาติ กาเล สํขิเตฺตน กาเล วิตฺถาเรนฯ อญฺญาตาโร จ ทุลฺลภาติ ปฎิวิชฺฌนกปุคฺคลา ปน ทุลฺลภาฯ อิทํ ภควา ‘‘สาริปุตฺตเตฺถรสฺส ญาณํ ฆเฎฺฎมี’’ติ อธิปฺปาเยน กเถสิฯ ตํ สุตฺวา เถโร กิญฺจาปิ ‘‘อหํ, ภเนฺต, อาชานิสฺสามี’’ติ น วทติ, อธิปฺปาเยน ปน ‘‘วิสฺสตฺถา ตุเมฺห, ภเนฺต, เทเสถ, อหํ ตุเมฺหหิ เทสิตํ ธมฺมํ นยสเตน นยสหเสฺสน ปฎิวิชฺฌิสฺสามิ, มเมส ภาโร โหตู’’ติ สตฺถารํ เทสนาย อุสฺสาเหโนฺต เอตสฺส ภควา กาโลติอาทิมาหฯ
33. Tatiye saṃkhittenāti mātikāṭhapanena. Vitthārenāti ṭhapitamātikāvibhajanena. Saṃkhittavitthārenāti kāle saṃkhittena kāle vitthārena. Aññātāro ca dullabhāti paṭivijjhanakapuggalā pana dullabhā. Idaṃ bhagavā ‘‘sāriputtattherassa ñāṇaṃ ghaṭṭemī’’ti adhippāyena kathesi. Taṃ sutvā thero kiñcāpi ‘‘ahaṃ, bhante, ājānissāmī’’ti na vadati, adhippāyena pana ‘‘vissatthā tumhe, bhante, desetha, ahaṃ tumhehi desitaṃ dhammaṃ nayasatena nayasahassena paṭivijjhissāmi, mamesa bhāro hotū’’ti satthāraṃ desanāya ussāhento etassa bhagavā kālotiādimāha.
อถสฺส สตฺถา ตสฺมาติหาติ เทสนํ อารภิฯ ตตฺถ อิมสฺมิญฺจ สวิญฺญาณเกติอาทิ วุตฺตนยเมวฯ อเจฺฉจฺฉิ ตณฺหนฺติ มคฺคญาณสเตฺถน ตณฺหํ ฉินฺทิฯ วิวตฺตยิ สํโยชนนฺติ ทสวิธมฺปิ สํโยชนํ สมูลกํ อุพฺพเตฺตตฺวา ฉเฑฺฑสิฯ สมฺมา มานาภิสมยา อนฺตมกาสิ ทุกฺขสฺสาติ สมฺมา อุปาเยน สมฺมา ปฎิปตฺติยา นววิธสฺส มานสฺส ปหานาภิสมเยน วฎฺฎทุกฺขสฺส อนฺตมกาสิฯ อิทญฺจ ปน เมตํ, สาริปุตฺต, สนฺธาย ภาสิตนฺติ, สาริปุตฺต, มยา ปารายเน อุทยปเญฺห อิทํ ผลสมาปตฺติเมว สนฺธาย เอตํ ภาสิตํฯ
Athassa satthā tasmātihāti desanaṃ ārabhi. Tattha imasmiñca saviññāṇaketiādi vuttanayameva. Acchecchitaṇhanti maggañāṇasatthena taṇhaṃ chindi. Vivattayi saṃyojananti dasavidhampi saṃyojanaṃ samūlakaṃ ubbattetvā chaḍḍesi. Sammā mānābhisamayā antamakāsi dukkhassāti sammā upāyena sammā paṭipattiyā navavidhassa mānassa pahānābhisamayena vaṭṭadukkhassa antamakāsi. Idañca pana metaṃ, sāriputta, sandhāya bhāsitanti, sāriputta, mayā pārāyane udayapañhe idaṃ phalasamāpattimeva sandhāya etaṃ bhāsitaṃ.
อิทานิ ยํ ตํ ภควตา ภาสิตํ, ตํ ทเสฺสโนฺต ปหานํ กามสญฺญานนฺติอาทิ อารทฺธํฯ อุทยปเญฺห จ เอตํ ปทํ ‘‘ปหานํ กามจฺฉนฺทาน’’นฺติ (สุ. นิ. ๑๑๑๒; จูฬนิ. อุทยมาณวปุจฺฉานิเทฺทโส ๗๕) อาคตํ, อิธ ปน องฺคุตฺตรภาณเกหิ ‘‘กามสญฺญาน’’นฺติ อาโรปิตํฯ ตตฺถ พฺยญฺชนเมว นานํ, อโตฺถ ปน เอโกเยวฯ กามสญฺญานนฺติ กาเม อารพฺภ อุปฺปนฺนสญฺญานํ, อฎฺฐหิ วา โลภสหคตจิเตฺตหิ สหชาตสญฺญานํฯ โทมนสฺสาน จูภยนฺติ เอตาสญฺจ กามสญฺญานํ เจตสิกโทมนสฺสานญฺจาติ อุภินฺนมฺปิ ปหานํ ปฎิปฺปสฺสทฺธิปหานสงฺขาตํ อรหตฺตผลํ อญฺญาวิโมกฺขํ ปพฺรูมีติ อโตฺถฯ นิเทฺทเส ปน ‘‘กามจฺฉนฺทสฺส จ โทมนสฺสสฺส จ อุภินฺนํ ปหานํ วูปสมํ ปฎินิสฺสคฺคํ ปฎิปฺปสฺสทฺธิํ อมตํ นิพฺพาน’’นฺติ (จูฬนิ. อุทยมาณวปุจฺฉานิเทฺทโส ๗๕) วุตฺตํ, ตํ อตฺถุทฺธารวเสน วุตฺตํฯ ปหานนฺติ หิ ขีณาการสงฺขาโต วูปสโมปิ วุจฺจติ, กิเลเส ปฎินิสฺสชฺชโนฺต มโคฺคปิ, กิเลสปฎิปฺปสฺสทฺธิสงฺขาตํ ผลมฺปิ , ยํ อาคมฺม กิเลสา ปหียนฺติ, ตํ อมตํ นิพฺพานมฺปิฯ ตสฺมา ตตฺถ ตานิ ปทานิ อาคตานิฯ ‘‘อญฺญาวิโมกฺขํ ปพฺรูมี’’ติ วจนโต ปน อรหตฺตผลเมว อธิเปฺปตํฯ ถินสฺส จ ปนูทนนฺติปิ ถินสฺส จ ปนูทนเนฺต อุปฺปนฺนตฺตา อรหตฺตผลเมว อธิเปฺปตํ ฯ กุกฺกุจฺจานํ นิวารณนฺติ กุกฺกุจฺจนิวารณสฺส มคฺคสฺส อนนฺตรํ อุปฺปนฺนตฺตา ผลเมว อธิเปฺปตํฯ
Idāni yaṃ taṃ bhagavatā bhāsitaṃ, taṃ dassento pahānaṃ kāmasaññānantiādi āraddhaṃ. Udayapañhe ca etaṃ padaṃ ‘‘pahānaṃ kāmacchandāna’’nti (su. ni. 1112; cūḷani. udayamāṇavapucchāniddeso 75) āgataṃ, idha pana aṅguttarabhāṇakehi ‘‘kāmasaññāna’’nti āropitaṃ. Tattha byañjanameva nānaṃ, attho pana ekoyeva. Kāmasaññānanti kāme ārabbha uppannasaññānaṃ, aṭṭhahi vā lobhasahagatacittehi sahajātasaññānaṃ. Domanassāna cūbhayanti etāsañca kāmasaññānaṃ cetasikadomanassānañcāti ubhinnampi pahānaṃ paṭippassaddhipahānasaṅkhātaṃ arahattaphalaṃ aññāvimokkhaṃ pabrūmīti attho. Niddese pana ‘‘kāmacchandassa ca domanassassa ca ubhinnaṃ pahānaṃ vūpasamaṃ paṭinissaggaṃ paṭippassaddhiṃ amataṃ nibbāna’’nti (cūḷani. udayamāṇavapucchāniddeso 75) vuttaṃ, taṃ atthuddhāravasena vuttaṃ. Pahānanti hi khīṇākārasaṅkhāto vūpasamopi vuccati, kilese paṭinissajjanto maggopi, kilesapaṭippassaddhisaṅkhātaṃ phalampi , yaṃ āgamma kilesā pahīyanti, taṃ amataṃ nibbānampi. Tasmā tattha tāni padāni āgatāni. ‘‘Aññāvimokkhaṃ pabrūmī’’ti vacanato pana arahattaphalameva adhippetaṃ. Thinassaca panūdanantipi thinassa ca panūdanante uppannattā arahattaphalameva adhippetaṃ . Kukkuccānaṃ nivāraṇanti kukkuccanivāraṇassa maggassa anantaraṃ uppannattā phalameva adhippetaṃ.
อุเปกฺขาสติสํสุทฺธนฺติ จตุตฺถชฺฌานิเก ผเล อุปฺปนฺนาย อุเปกฺขาย จ สติยา จ สํสุทฺธํฯ ธมฺมตกฺกปุเรชวนฺติ ธมฺมตโกฺก วุจฺจติ สมฺมาสงฺกโปฺป, โส อาทิโต โหติ, ปุรโต โหติ, ปุพฺพงฺคโม โหติ อญฺญาวิโมกฺขสฺสาติ ธมฺมตกฺกปุเรชโวฯ ตํ ธมฺมตกฺกปุเรชวํฯ อญฺญาวิโมกฺขนฺติ อญฺญินฺทฺริยปริโยสาเน อุปฺปนฺนํ วิโมกฺขํ, อญฺญาย วา วิโมกฺขํ อญฺญาวิโมกฺขํ, ปญฺญาวิมุตฺตนฺติ อโตฺถฯ อวิชฺชาย ปเภทนนฺติ อวิชฺชาย ปเภทนเนฺต อุปฺปนฺนตฺตา, อวิชฺชาย ปเภทนสงฺขาตํ วา นิพฺพานํ อารพฺภ อุปฺปนฺนตฺตา เอวํลทฺธนามํ อรหตฺตผลเมวฯ อิติ สเพฺพหิปิ อิเมหิ ปหานนฺติอาทีหิ ปเทหิ อรหตฺตผลเมว ปกาสิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Upekkhāsatisaṃsuddhanti catutthajjhānike phale uppannāya upekkhāya ca satiyā ca saṃsuddhaṃ. Dhammatakkapurejavanti dhammatakko vuccati sammāsaṅkappo, so ādito hoti, purato hoti, pubbaṅgamo hoti aññāvimokkhassāti dhammatakkapurejavo. Taṃ dhammatakkapurejavaṃ. Aññāvimokkhanti aññindriyapariyosāne uppannaṃ vimokkhaṃ, aññāya vā vimokkhaṃ aññāvimokkhaṃ, paññāvimuttanti attho. Avijjāya pabhedananti avijjāya pabhedanante uppannattā, avijjāya pabhedanasaṅkhātaṃ vā nibbānaṃ ārabbha uppannattā evaṃladdhanāmaṃ arahattaphalameva. Iti sabbehipi imehi pahānantiādīhi padehi arahattaphalameva pakāsitanti veditabbaṃ.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๓. สาริปุตฺตสุตฺตํ • 3. Sāriputtasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๓. สาริปุตฺตสุตฺตวณฺณนา • 3. Sāriputtasuttavaṇṇanā