Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เนตฺติปฺปกรณ-อฎฺฐกถา • Nettippakaraṇa-aṭṭhakathā

    สาสนปฎฺฐานวารวณฺณนา

    Sāsanapaṭṭhānavāravaṇṇanā

    ๘๙.

    89.

    เอวํ สพฺพถา นยสมุฎฺฐานํ วิภชิตฺวา อิทานิ สาสนปฎฺฐานํ วิภชโนฺต ยสฺมา สงฺคหวาราทีสุ มูลปเทเหว ปฎฺฐานํ สงฺคเหตฺวา สรูปโต น ทสฺสิตํ, ตสฺมา ยถา มูลปเทหิ ปฎฺฐานํ นิทฺธาเรตพฺพํ, เอวํ ปฎฺฐานโตปิ มูลปทานิ นิทฺธาเรตพฺพานีติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘อฎฺฐารส มูลปทา กุหิํ ทฎฺฐพฺพา? สาสนปฎฺฐาเน’’ติ อาหฯ มูลปทสาสนปฎฺฐานานญฺหิ อญฺญมญฺญสงฺคโห ปุเพฺพ ทสฺสิโต เอวาติฯ อถ สาสนปฎฺฐานนฺติ โก วจนโตฺถ? สาสนสฺส ปฎฺฐานนฺติ สาสนปฎฺฐานํ , สาสนํ เทสนา, ตสฺสา เวเนยฺยชฺฌาสยานุรูปํ เตสํ หิตสุขนิปฺผาทนตฺถํ ปกาเรหิ ฐานํ ปวตฺติ สาสนปฎฺฐานํฯ อิธ ปน ตสฺส ตถาภาวทีปนํ ‘‘สาสนปฎฺฐาน’’นฺติ เวทิตพฺพํฯ อถ วา สาสนํ อธิสีลสิกฺขาทโยฯ เตสํ ปวตฺตนุปายภาวโต ปติฎฺฐหนฺติ เอเตหีติ ปฎฺฐานานิ, สํกิเลสาทิธมฺมาฯ เตสํ ปเวทนโต ตทุปจาเรน สุตฺตานิ ปฎฺฐานานิฯ เตสํ ปน สมูหภาวโต อยํ ปกรณปฺปเทโส ปฎฺฐานํ นามฯ

    Evaṃ sabbathā nayasamuṭṭhānaṃ vibhajitvā idāni sāsanapaṭṭhānaṃ vibhajanto yasmā saṅgahavārādīsu mūlapadeheva paṭṭhānaṃ saṅgahetvā sarūpato na dassitaṃ, tasmā yathā mūlapadehi paṭṭhānaṃ niddhāretabbaṃ, evaṃ paṭṭhānatopi mūlapadāni niddhāretabbānīti dassanatthaṃ ‘‘aṭṭhārasa mūlapadā kuhiṃ daṭṭhabbā? Sāsanapaṭṭhāne’’ti āha. Mūlapadasāsanapaṭṭhānānañhi aññamaññasaṅgaho pubbe dassito evāti. Atha sāsanapaṭṭhānanti ko vacanattho? Sāsanassa paṭṭhānanti sāsanapaṭṭhānaṃ , sāsanaṃ desanā, tassā veneyyajjhāsayānurūpaṃ tesaṃ hitasukhanipphādanatthaṃ pakārehi ṭhānaṃ pavatti sāsanapaṭṭhānaṃ. Idha pana tassa tathābhāvadīpanaṃ ‘‘sāsanapaṭṭhāna’’nti veditabbaṃ. Atha vā sāsanaṃ adhisīlasikkhādayo. Tesaṃ pavattanupāyabhāvato patiṭṭhahanti etehīti paṭṭhānāni, saṃkilesādidhammā. Tesaṃ pavedanato tadupacārena suttāni paṭṭhānāni. Tesaṃ pana samūhabhāvato ayaṃ pakaraṇappadeso paṭṭhānaṃ nāma.

    อปโร นโย – เกนเฎฺฐน ปฎฺฐานํ? ปฎฺฐิตเฎฺฐน คมนเฎฺฐนาติ อโตฺถฯ ‘‘เย เต โคฎฺฐา ปฎฺฐิตคาโว’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๕๖) อาคตฎฺฐานสฺมิญฺหิ เยน ปฎฺฐาเนน เต ‘‘โคฎฺฐา ปฎฺฐิตคาโว’’ติ วุตฺตา, ตํ อตฺถโต คมนํ โหติฯ อิติ นาติวิตฺถาริตนเยสุ หารนเยสุ อนิสฺสงฺคคมนสฺส เทสนาญาณสฺส สํกิเลสภาคิยาทิโลกิยาทิเภเทสุ ตทุภยโวมิสฺสกเภเทสุ จ วิตฺถาริตนยลาภโต นิสฺสงฺควเสน ปวตฺตคมนตฺตา เต สํกิเลสภาคิยาทโย โลกิยาทโย จ วิสุํ วิสุํ โวมิสฺสา จ อธิกรณวเสน ปฎฺฐานํ นามฯ เตสํ ปกาสนโต อยํ ปกรณปฺปเทโส ปฎฺฐานนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Aparo nayo – kenaṭṭhena paṭṭhānaṃ? Paṭṭhitaṭṭhena gamanaṭṭhenāti attho. ‘‘Ye te goṭṭhā paṭṭhitagāvo’’ti (ma. ni. 1.156) āgataṭṭhānasmiñhi yena paṭṭhānena te ‘‘goṭṭhā paṭṭhitagāvo’’ti vuttā, taṃ atthato gamanaṃ hoti. Iti nātivitthāritanayesu hāranayesu anissaṅgagamanassa desanāñāṇassa saṃkilesabhāgiyādilokiyādibhedesu tadubhayavomissakabhedesu ca vitthāritanayalābhato nissaṅgavasena pavattagamanattā te saṃkilesabhāgiyādayo lokiyādayo ca visuṃ visuṃ vomissā ca adhikaraṇavasena paṭṭhānaṃ nāma. Tesaṃ pakāsanato ayaṃ pakaraṇappadeso paṭṭhānanti veditabbaṃ.

    ‘‘สํกิเลสภาคิย’’นฺติอาทีสุ สํกิลิสฺสติ เอเตนาติ สํกิเลโสฯ สํกิเลสภาเค สํกิเลสโกฎฺฐาเส ปวตฺตํ สํกิเลสภาคิยํฯ วาสนา ปุญฺญภาวนา, วาสนาภาเค ปวตฺตํ วาสนาภาคิยํ, วาสนํ ภชาเปตีติ วา วาสนาภาคิยํฯ นิพฺพิชฺฌนํ โลภกฺขนฺธาทีนํ ปทาลนํ นิเพฺพโธฯ นิเพฺพธภาเค ปวตฺตํ, นิเพฺพธํ ภชาเปตีติ วา นิเพฺพธภาคิยํฯ ปรินิฎฺฐิตสิกฺขาธมฺมา อเสกฺขา, อเสกฺขภาเว ปวตฺตํ, อเสเกฺข ภชาเปตีติ วา อเสกฺขภาคิยํฯ เตสุ ยตฺถ ตณฺหาทิสํกิเลโส วิภโตฺต, อิทํ สํกิเลสภาคิยํฯ ยตฺถ ทานาทิปุญฺญกิริยวตฺถุ วิภตฺตํ, อิทํ วาสนาภาคิยํฯ ยตฺถ เสกฺขา สีลกฺขนฺธาทโย วิภตฺตา, อิทํ นิเพฺพธภาคิยํฯ ยตฺถ ปน อเสกฺขา สีลกฺขนฺธาทโย วิภตฺตา, อิทํ อเสกฺขภาคิยํฯ อิตรานิ เตสํ โวมิสฺสกนยวเสน วุตฺตานิฯ

    ‘‘Saṃkilesabhāgiya’’ntiādīsu saṃkilissati etenāti saṃkileso. Saṃkilesabhāge saṃkilesakoṭṭhāse pavattaṃ saṃkilesabhāgiyaṃ. Vāsanā puññabhāvanā, vāsanābhāge pavattaṃ vāsanābhāgiyaṃ, vāsanaṃ bhajāpetīti vā vāsanābhāgiyaṃ. Nibbijjhanaṃ lobhakkhandhādīnaṃ padālanaṃ nibbedho. Nibbedhabhāge pavattaṃ, nibbedhaṃ bhajāpetīti vā nibbedhabhāgiyaṃ. Pariniṭṭhitasikkhādhammā asekkhā, asekkhabhāve pavattaṃ, asekkhe bhajāpetīti vā asekkhabhāgiyaṃ. Tesu yattha taṇhādisaṃkileso vibhatto, idaṃ saṃkilesabhāgiyaṃ. Yattha dānādipuññakiriyavatthu vibhattaṃ, idaṃ vāsanābhāgiyaṃ. Yattha sekkhā sīlakkhandhādayo vibhattā, idaṃ nibbedhabhāgiyaṃ. Yattha pana asekkhā sīlakkhandhādayo vibhattā, idaṃ asekkhabhāgiyaṃ. Itarāni tesaṃ vomissakanayavasena vuttāni.

    ตานิ ปน ฉ ทุกา จตฺตาโร ติกา เอกํ จตุกฺกํ อปรมฺปิ เอกํ จตุกฺกนฺติ ทฺวาทส โหนฺติฯ เตสุ จตฺตาโร ทุกา เทฺว จ ติกา อุทฺธฎา, อิตเร น อุทฺธฎา, อนุทฺธรเณ การณํ นตฺถิฯ อิมินา นเยน เตปิ คเหตุํ สกฺกาติ ปาฬิยํ สํขิตฺตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ตถา หิ วกฺขติ – ‘‘อิมานิ จตฺตาริ สุตฺตานิ, สาธารณานิ กตานิ อฎฺฐ ภวนฺตี’’ติอาทิฯ ตตฺถ ยสฺมา กตฺถจิ สุเตฺต ตณฺหาสํกิเลโสว นิทฺทิสียติ, กตฺถจิ ทิฎฺฐิสํกิเลโสว, กตฺถจิ ทุจฺจริตสํกิเลโสว นิทฺทิสียติ, ตสฺมา สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ ติธา วิภชิตฺวา อุทฺทิฎฺฐํ ‘‘ตณฺหาสํกิเลสภาคิยํ สุตฺต’’นฺติอาทินาฯ ตถา โวทานํ นาม สํกิเลเส สติ โหตีติ โวทานภาคิยํ สุตฺตํ สํกิเลสวิภาเคน ติธาว อุทฺทิฎฺฐํ ‘‘ตณฺหาโวทานภาคิยํ สุตฺต’’นฺติอาทินาฯ ตํ ปน อตฺถโต วาสนาภาคิยาทิ เอว โหติฯ อยญฺจ นโย เกสุจิ โปตฺถเกสุ นตฺถิฯ

    Tāni pana cha dukā cattāro tikā ekaṃ catukkaṃ aparampi ekaṃ catukkanti dvādasa honti. Tesu cattāro dukā dve ca tikā uddhaṭā, itare na uddhaṭā, anuddharaṇe kāraṇaṃ natthi. Iminā nayena tepi gahetuṃ sakkāti pāḷiyaṃ saṃkhittāti daṭṭhabbaṃ. Tathā hi vakkhati – ‘‘imāni cattāri suttāni, sādhāraṇāni katāni aṭṭha bhavantī’’tiādi. Tattha yasmā katthaci sutte taṇhāsaṃkilesova niddisīyati, katthaci diṭṭhisaṃkilesova, katthaci duccaritasaṃkilesova niddisīyati, tasmā saṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ tidhā vibhajitvā uddiṭṭhaṃ ‘‘taṇhāsaṃkilesabhāgiyaṃ sutta’’ntiādinā. Tathā vodānaṃ nāma saṃkilese sati hotīti vodānabhāgiyaṃ suttaṃ saṃkilesavibhāgena tidhāva uddiṭṭhaṃ ‘‘taṇhāvodānabhāgiyaṃ sutta’’ntiādinā. Taṃ pana atthato vāsanābhāgiyādi eva hoti. Ayañca nayo kesuci potthakesu natthi.

    ‘‘ตตฺถ สํกิเลโส ติวิโธ’’ติอาทิ สํกิเลสปฎิปกฺขโต สมถาทินิทฺธารณวเสน วาสนาภาคิยาทิสุตฺตานํ วิสยทสฺสนตฺถํ อารทฺธํฯ ตตฺถ ยทิ อาสตฺติ อุปฺปชฺชติ ภเวสูติ ภเวสุ ฉนฺทราคํ ปชหิตุํ อสโกฺกนฺตสฺส ยทิ ภวปตฺถนา อุปฺปชฺชติฯ เอวํ สายนฺติ เอวมสฺส ปุคฺคลสฺส อยํ สมถวิปสฺสนาภาวนามยํ ปุญฺญกิริยวตฺถุ ภวติ ปุชฺชภวผลนิพฺพตฺตนโตฯ ตตฺรูปปตฺติยา สํวตฺตตีติ ตตฺร ตตฺร ภเว อุปปตฺติยา สํวตฺตติฯ อิมานิ จตฺตาริ สุตฺตานีติ อิมานิ สํกิเลสภาคิยาทีนิ จตฺตาริ สุตฺตานิฯ สาธารณานิ กตานีติ สํกิเลสภาคิยญฺจ วาสนาภาคิยญฺจ, สํกิเลสภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ, สํกิเลสภาคิยญฺจ อเสกฺขภาคิยญฺจ, วาสนาภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจาติ เอวํ ปทนฺตรสํโยชนวเสน มิสฺสิตานิ กตานิฯ อฎฺฐ ภวนฺตีติ ปุริมานิ จตฺตาริ อิมานิ จตฺตารีติ เอวํ อฎฺฐ ภวนฺติฯ

    ‘‘Tattha saṃkileso tividho’’tiādi saṃkilesapaṭipakkhato samathādiniddhāraṇavasena vāsanābhāgiyādisuttānaṃ visayadassanatthaṃ āraddhaṃ. Tattha yadi āsatti uppajjati bhavesūti bhavesu chandarāgaṃ pajahituṃ asakkontassa yadi bhavapatthanā uppajjati. Evaṃ sāyanti evamassa puggalassa ayaṃ samathavipassanābhāvanāmayaṃ puññakiriyavatthu bhavati pujjabhavaphalanibbattanato. Tatrūpapattiyā saṃvattatīti tatra tatra bhave upapattiyā saṃvattati. Imāni cattāri suttānīti imāni saṃkilesabhāgiyādīni cattāri suttāni. Sādhāraṇāni katānīti saṃkilesabhāgiyañca vāsanābhāgiyañca, saṃkilesabhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca, saṃkilesabhāgiyañca asekkhabhāgiyañca, vāsanābhāgiyañca nibbedhabhāgiyañcāti evaṃ padantarasaṃyojanavasena missitāni katāni. Aṭṭha bhavantīti purimāni cattāri imāni cattārīti evaṃ aṭṭha bhavanti.

    ตานิเยว อฎฺฐ สุตฺตานิ สาธารณานิ กตานิ โสฬส ภวนฺตีติ ตานิเยว ยถาวุตฺตานิ อฎฺฐ สุตฺตานิ วาสนาภาคิยญฺจ อเสกฺขภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ, อเสกฺขภาคิยญฺจ สํกิเลสภาคิยญฺจ วาสนาภาคิยญฺจ, นิเพฺพธภาคิยญฺจ สํกิเลสภาคิยญฺจ วาสนาภาคิยญฺจ, อเสกฺขภาคิยญฺจ สํกิเลสภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ, อเสกฺขภาคิยญฺจ วาสนาภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ, อเสกฺขภาคิยญฺจ สํกิเลสภาคิยญฺจ วาสนาภาคิยญฺจ, นิเพฺพธภาคิยญฺจ อเสกฺขภาคิยญฺจ เนวสํกิเลสภาคิยญฺจ, นวาสนาภาคิยญฺจ นนิเพฺพธภาคิยญฺจ น อเสกฺขภาคิยญฺจาติ เอวํ สาธารณานิ กตานิ ปุริมานิ อฎฺฐ อิมานิ อฎฺฐาติ โสฬส ภวนฺติฯ เตสุ จตฺตาโร เอกกา, ฉ ทุกา, จตฺตาโร ติกา, เอโก จตุโกฺก, อปโรปิ เอโก จตุโกฺกติ อยมฺปิ วิภาโค เวทิตโพฺพฯ ตตฺถาปิ เทฺว ทุกา, เทฺว ติกา, เทฺว จตุกฺกา จ ปาฬิยํ อนาคตาติ เวทิตพฺพาฯ

    Tāniyeva aṭṭha suttāni sādhāraṇāni katāni soḷasa bhavantīti tāniyeva yathāvuttāni aṭṭha suttāni vāsanābhāgiyañca asekkhabhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca, asekkhabhāgiyañca saṃkilesabhāgiyañca vāsanābhāgiyañca, nibbedhabhāgiyañca saṃkilesabhāgiyañca vāsanābhāgiyañca, asekkhabhāgiyañca saṃkilesabhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca, asekkhabhāgiyañca vāsanābhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca, asekkhabhāgiyañca saṃkilesabhāgiyañca vāsanābhāgiyañca, nibbedhabhāgiyañca asekkhabhāgiyañca nevasaṃkilesabhāgiyañca, navāsanābhāgiyañca nanibbedhabhāgiyañca na asekkhabhāgiyañcāti evaṃ sādhāraṇāni katāni purimāni aṭṭha imāni aṭṭhāti soḷasa bhavanti. Tesu cattāro ekakā, cha dukā, cattāro tikā, eko catukko, aparopi eko catukkoti ayampi vibhāgo veditabbo. Tatthāpi dve dukā, dve tikā, dve catukkā ca pāḷiyaṃ anāgatāti veditabbā.

    อิทานิ อิมสฺส ปฎฺฐานสฺส สกลสาสนสงฺคหิตภาวํ วิภาเวตุํ ‘‘อิเมหิ โสฬสหิ สุเตฺตหิ ภิเนฺนหิ นววิธํ สุตฺตํ ภินฺนํ ภวตี’’ติ วุตฺตํฯ ตสฺสโตฺถ – อิเมหิ สํกิเลสภาคิยาทีหิ โสฬสหิ สุเตฺตหิ ปฎฺฐานนเยน วิภเตฺตหิ สุตฺตเคยฺยาทินววิธํ ปริยตฺติสาสนสงฺขาตํ สุตฺตํ ภินฺนํ โสฬสธา วิภตฺตํ โหติฯ อิมินา โสฬสวิเธน ปฎฺฐาเนน อสงฺคหิโต ปริยตฺติสาสนสฺส ปเทโส นตฺถีติ อธิปฺปาโยฯ กถํ ปน สํกิเลสภาคิยาทิภาโว คเหตโพฺพติ? อาห ‘‘คาถาย คาถา อนุมินิตพฺพา’’ติอาทิฯ ตตฺถ คาถาย คาถา อนุมินิตพฺพาติ อยํ คาถา วิย คาถา สํกิเลสภาคิยาติ วา วาสนาภาคิยาติ วา นิเพฺพธภาคิยาติ วา อเสกฺขภาคิยาติ วา อนุมินิตพฺพา, อนุ อนุ มินิตฺวา ตเกฺกตฺวา ชานิตพฺพาติ อโตฺถฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ เอตฺถ จ คาถาเวยฺยากรณวินิมุตฺตา สพฺพา ปริยตฺติ ‘‘สุเตฺตนา’’ติปเทน สงฺคหิตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ

    Idāni imassa paṭṭhānassa sakalasāsanasaṅgahitabhāvaṃ vibhāvetuṃ ‘‘imehi soḷasahi suttehi bhinnehi navavidhaṃ suttaṃ bhinnaṃ bhavatī’’ti vuttaṃ. Tassattho – imehi saṃkilesabhāgiyādīhi soḷasahi suttehi paṭṭhānanayena vibhattehi suttageyyādinavavidhaṃ pariyattisāsanasaṅkhātaṃ suttaṃ bhinnaṃ soḷasadhā vibhattaṃ hoti. Iminā soḷasavidhena paṭṭhānena asaṅgahito pariyattisāsanassa padeso natthīti adhippāyo. Kathaṃ pana saṃkilesabhāgiyādibhāvo gahetabboti? Āha ‘‘gāthāya gāthā anuminitabbā’’tiādi. Tattha gāthāya gāthā anuminitabbāti ayaṃ gāthā viya gāthā saṃkilesabhāgiyāti vā vāsanābhāgiyāti vā nibbedhabhāgiyāti vā asekkhabhāgiyāti vā anuminitabbā, anu anu minitvā takketvā jānitabbāti attho. Sesapadesupi eseva nayo. Ettha ca gāthāveyyākaraṇavinimuttā sabbā pariyatti ‘‘suttenā’’tipadena saṅgahitāti daṭṭhabbā.

    ๙๐.

    90.

    อิทานิ สํกิเลสภาคิยาทีนิ สุตฺตานิ ยถานิทฺทิฎฺฐานิ อุทาหรณวเสน วิภาเวตุํ ‘‘ตตฺถ กตมํ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺต’’นฺติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ ‘‘กามนฺธา ชาลสญฺฉนฺนา’’ติ คาถาย อโตฺถ เหฎฺฐา วุโตฺตเยวฯ ยถา อิมสฺส, เอวํ อิโต ปรานมฺปิ เหฎฺฐา วุตฺตตฺถานํ อุตฺตานปทานญฺจ อตฺถํ น วณฺณยิสฺสามฯ

    Idāni saṃkilesabhāgiyādīni suttāni yathāniddiṭṭhāni udāharaṇavasena vibhāvetuṃ ‘‘tattha katamaṃ saṃkilesabhāgiyaṃ sutta’’ntiādi āraddhaṃ. Tattha ‘‘kāmandhā jālasañchannā’’ti gāthāya attho heṭṭhā vuttoyeva. Yathā imassa, evaṃ ito parānampi heṭṭhā vuttatthānaṃ uttānapadānañca atthaṃ na vaṇṇayissāma.

    อคติคมนานีติ กายาทีหิ อยุตฺตคมนานิ, อกตฺตพฺพกรณานีติ อโตฺถฯ ฉนฺทาติ ฉนฺทเหตุ อิจฺฉาปจฺจยาฯ อคติํ คจฺฉตีติ อคนฺตพฺพํ คติํ คจฺฉติ, อกตฺตพฺพํ กโรตีติ อโตฺถฯ ธมฺมนฺติ สาธูนํ อริยานํ ธมฺมํฯ อติวตฺตตีติ อติมทฺทิตฺวา วีติกฺกมติฯ นิหียตีติ หายติฯ ยโสติ กิตฺติ จ ปริวาโร จฯ

    Agatigamanānīti kāyādīhi ayuttagamanāni, akattabbakaraṇānīti attho. Chandāti chandahetu icchāpaccayā. Agatiṃ gacchatīti agantabbaṃ gatiṃ gacchati, akattabbaṃ karotīti attho. Dhammanti sādhūnaṃ ariyānaṃ dhammaṃ. Ativattatīti atimadditvā vītikkamati. Nihīyatīti hāyati. Yasoti kitti ca parivāro ca.

    ‘‘มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา’’ติ คาถายํ มโนติ ยทิปิ กามาวจรกุสลาทิเภทํ สพฺพมฺปิ จตุภูมกจิตฺตํ มโน, อิมสฺมิํ ปน ฐาเน จกฺขุปาลเตฺถรสฺส (ธ. ป. ๑-๒; เถรคา. ๙๕) ปุริมชาติยํ เวชฺชภูตสฺส อุปฺปนฺนวเสน นิยมิยมานํ ปฎิฆสมฺปยุตฺตจิตฺตเมว ลพฺภติฯ โส มโน ปุพฺพงฺคโม เอเตสนฺติ มโนปุพฺพงฺคมา, มนสา ปฐมคามินา สมนฺนาคตาติ อโตฺถฯ ธมฺมาติ นิสฺสตฺตนิชฺชีวเฎฺฐน ธมฺมา, เต ปน เวทนาทโย ตโย อรูปิโน ขนฺธาฯ เอเต หิ มโนปุพฺพงฺคมาฯ กถํ ปเนเตหิ สทฺธิํ เอกสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ เอกสฺมิญฺจ อารมฺมเณ เอกกฺขเณ อุปฺปชฺชมาโน มโน ปุพฺพงฺคโม นาม โหตีติ? อุปฺปาทปจฺจยเฎฺฐนฯ ยถา หิ พหูสุ เอกโต คามฆาตาทิกมฺมานิ กโรเนฺตสุ ‘‘โก เอเตสํ ปุพฺพงฺคโม’’ติ วุเตฺต โย เตสํ ปจฺจโย โหติ, ยํ ยํ นิสฺสาย เต ตํ กมฺมํ กโรนฺติ, โส ทโตฺต วา มิโตฺต วา เตสํ ปุพฺพงฺคโมติ วุจฺจติ, เอวํสมฺปทมิทํ ทฎฺฐพฺพํฯ อิติ อุปฺปาทปจฺจยเฎฺฐน มโน ปุพฺพงฺคโม เอเตสนฺติ มโนปุพฺพงฺคมาฯ น หิ เต มเน อนุปฺปชฺชเนฺต อุปฺปชฺชิตุํ สกฺกุณนฺติ, มโน ปน เอกเจฺจสุ เจตสิเกสุ อนุปฺปชฺชเนฺตสุปิ อุปฺปชฺชติ เอวฯ

    ‘‘Manopubbaṅgamā dhammā’’ti gāthāyaṃ manoti yadipi kāmāvacarakusalādibhedaṃ sabbampi catubhūmakacittaṃ mano, imasmiṃ pana ṭhāne cakkhupālattherassa (dha. pa. 1-2; theragā. 95) purimajātiyaṃ vejjabhūtassa uppannavasena niyamiyamānaṃ paṭighasampayuttacittameva labbhati. So mano pubbaṅgamo etesanti manopubbaṅgamā, manasā paṭhamagāminā samannāgatāti attho. Dhammāti nissattanijjīvaṭṭhena dhammā, te pana vedanādayo tayo arūpino khandhā. Ete hi manopubbaṅgamā. Kathaṃ panetehi saddhiṃ ekasmiṃ vatthusmiṃ ekasmiñca ārammaṇe ekakkhaṇe uppajjamāno mano pubbaṅgamo nāma hotīti? Uppādapaccayaṭṭhena. Yathā hi bahūsu ekato gāmaghātādikammāni karontesu ‘‘ko etesaṃ pubbaṅgamo’’ti vutte yo tesaṃ paccayo hoti, yaṃ yaṃ nissāya te taṃ kammaṃ karonti, so datto vā mitto vā tesaṃ pubbaṅgamoti vuccati, evaṃsampadamidaṃ daṭṭhabbaṃ. Iti uppādapaccayaṭṭhena mano pubbaṅgamo etesanti manopubbaṅgamā. Na hi te mane anuppajjante uppajjituṃ sakkuṇanti, mano pana ekaccesu cetasikesu anuppajjantesupi uppajjati eva.

    อธิปติวเสน มโน เสโฎฺฐ เอเตสนฺติ มโนเสฎฺฐาฯ ยถา หิ โจราทีนํ โจรเชฎฺฐกาทโย อธิปติโน เสฎฺฐา, ตถา เตสมฺปิ มโน เสโฎฺฐฯ ยถา ปน ทารุอาทีหิ นิปฺผนฺนานิ ภณฺฑานิ ทารุมยาทีนิ นาม โหนฺติ, ตถา เอเตปิ มนโต นิปฺผนฺนตฺตา มโนมยา นามฯ ปทุเฎฺฐนาติ อภิชฺฌาทีหิ โทเสหิ ปทุเฎฺฐน ทูสิเตน ภาสติ วา กโรติ วาฯ โส หิ ภาสโนฺต จตุพฺพิธํ วจีทุจฺจริตเมว ภาสติ, กโรโนฺตปิ ติวิธํ กายทุจฺจริตเมว กโรติ, อภาสโนฺต อกโรโนฺต เตหิ อภิชฺฌาทีหิ ปทุฎฺฐมนตาย ติวิธํ มโนทุจฺจริตํ ปูเรติฯ เอวมสฺส ทส อกุสลกมฺมปถา ปาริปูริํ คจฺฉนฺติฯ ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวตีติ ตโต ติวิธทุจฺจริตโต ตํ ปุคฺคลํ ทุกฺขํ อเนฺวติ ทุจฺจริตานุภาเวน จตูสุ อปาเยสุ ทุกฺขํ อนุคจฺฉติฯ ยถา กิํ? จกฺกํว วหโต ปทนฺติ, ยถา นาม สกฎํ วหโต พลีพทฺทสฺส ปทํ ปหรนฺตํ จกฺกํ อนุคจฺฉติ, เอวํ นํ ปุคฺคลํ ทุกฺขมนุคจฺฉตีติฯ

    Adhipativasena mano seṭṭho etesanti manoseṭṭhā. Yathā hi corādīnaṃ corajeṭṭhakādayo adhipatino seṭṭhā, tathā tesampi mano seṭṭho. Yathā pana dāruādīhi nipphannāni bhaṇḍāni dārumayādīni nāma honti, tathā etepi manato nipphannattā manomayā nāma. Paduṭṭhenāti abhijjhādīhi dosehi paduṭṭhena dūsitena bhāsati vā karoti vā. So hi bhāsanto catubbidhaṃ vacīduccaritameva bhāsati, karontopi tividhaṃ kāyaduccaritameva karoti, abhāsanto akaronto tehi abhijjhādīhi paduṭṭhamanatāya tividhaṃ manoduccaritaṃ pūreti. Evamassa dasa akusalakammapathā pāripūriṃ gacchanti. Tato naṃ dukkhamanvetīti tato tividhaduccaritato taṃ puggalaṃ dukkhaṃ anveti duccaritānubhāvena catūsu apāyesu dukkhaṃ anugacchati. Yathā kiṃ? Cakkaṃva vahato padanti, yathā nāma sakaṭaṃ vahato balībaddassa padaṃ paharantaṃ cakkaṃ anugacchati, evaṃ naṃ puggalaṃ dukkhamanugacchatīti.

    ‘‘มิทฺธี ยทา โหตี’’ติ คาถายํ มิทฺธีติ ถินมิทฺธาภิภูโตฯ มหคฺฆโสติ มหาโภชโน อาหรหตฺถกอลํสาฎกตตฺรวฎฺฎกกากมาสกภุตฺตวมิตกานํ อญฺญตโร วิยฯ นิทฺทายิตาติ สุปนสีโลฯ สมฺปริวตฺตสายีติ เสยฺยสุขปสฺสสุขานํ อนุยุญฺชนวเสน สมฺปริวตฺตกสยนสีโล ฯ นิวาปปุโฎฺฐติ กุณฺฑกาทินา สูกรภเตฺตน ปุโฎฺฐฯ ฆรสูกโร หิ พาลกาลโต ปฎฺฐาย โปสิยมาโน ถูลสรีรกาเล เคหโต พหิ นิกฺขมิตุํ อลภโนฺต เหฎฺฐามญฺจาทีสุ สมฺปริวตฺติตฺวา สมฺปริวตฺติตฺวา อสฺสสโนฺต ปสฺสสโนฺต สยเตวฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยทา ปุริโส มิทฺธี จ โหติ มหคฺฆโส จ, นิวาปปุโฎฺฐ มหาวราโห วิย อเญฺญน อิริยาปเถน ยาเปตุํ อสโกฺกโนฺต นิทฺทาสีโล สํปริวตฺตสายี, ตทา โส ‘‘อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา’’ติ ตีณิ ลกฺขณานิ มนสิ กาตุํ น สโกฺกติฯ เตสํ อมนสิการา มนฺทปโญฺญ ปุนปฺปุนํ คพฺภํ อุเปติ, คพฺภวาสโต น ปริมุจฺจตีติฯ

    ‘‘Middhī yadā hotī’’ti gāthāyaṃ middhīti thinamiddhābhibhūto. Mahagghasoti mahābhojano āharahatthakaalaṃsāṭakatatravaṭṭakakākamāsakabhuttavamitakānaṃ aññataro viya. Niddāyitāti supanasīlo. Samparivattasāyīti seyyasukhapassasukhānaṃ anuyuñjanavasena samparivattakasayanasīlo . Nivāpapuṭṭhoti kuṇḍakādinā sūkarabhattena puṭṭho. Gharasūkaro hi bālakālato paṭṭhāya posiyamāno thūlasarīrakāle gehato bahi nikkhamituṃ alabhanto heṭṭhāmañcādīsu samparivattitvā samparivattitvā assasanto passasanto sayateva. Idaṃ vuttaṃ hoti – yadā puriso middhī ca hoti mahagghaso ca, nivāpapuṭṭho mahāvarāho viya aññena iriyāpathena yāpetuṃ asakkonto niddāsīlo saṃparivattasāyī, tadā so ‘‘aniccaṃ dukkhaṃ anattā’’ti tīṇi lakkhaṇāni manasi kātuṃ na sakkoti. Tesaṃ amanasikārā mandapañño punappunaṃ gabbhaṃ upeti, gabbhavāsato na parimuccatīti.

    ‘‘อยสาว มล’’นฺติ คาถายํ อยสาติ อยโตฯ สมุฎฺฐิตนฺติ ชาตํฯ ตตุฎฺฐายาติ ตโต อุฎฺฐหิตฺวาฯ อติโธนจารินนฺติ โธนา วุจฺจติ จตฺตาโร ปจฺจเย อิทมตฺถิตาย อลเมเตนาติ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปริภุญฺชนปญฺญา, ตํ อติกฺกมิตฺวา จรโนฺต อติโธนจารี นามฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา อยโต มลํ สมุฎฺฐาย ยโต ตํ สมุฎฺฐิตํ, ตเมว ขาทติ วินาเสติ, เอวเมวํ จตฺตาโร ปจฺจเย อปฺปจฺจเวกฺขิตฺวา ปริภุญฺชนฺตํ อติโธนจารินํ สานิ กมฺมานิ อตฺตโน สนฺตาเน อุฎฺฐิตตฺตา อตฺตโน สนฺตกาเนว ตานิ กมฺมานิ ทุคฺคติํ นยนฺตีติฯ

    ‘‘Ayasāva mala’’nti gāthāyaṃ ayasāti ayato. Samuṭṭhitanti jātaṃ. Tatuṭṭhāyāti tato uṭṭhahitvā. Atidhonacārinanti dhonā vuccati cattāro paccaye idamatthitāya alametenāti paccavekkhitvā paribhuñjanapaññā, taṃ atikkamitvā caranto atidhonacārī nāma. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā ayato malaṃ samuṭṭhāya yato taṃ samuṭṭhitaṃ, tameva khādati vināseti, evamevaṃ cattāro paccaye appaccavekkhitvā paribhuñjantaṃ atidhonacārinaṃ sāni kammāni attano santāne uṭṭhitattā attano santakāneva tāni kammāni duggatiṃ nayantīti.

    ‘‘โจโร ยถา’’ติ คาถายํ โจโร ยถา สนฺธิมุเข คหีโตติ ยถา โจโร ฆรสนฺธิํ ฉินฺทิตฺวา เคหํ ปวิสโนฺต ฆรสนฺธิมุเข เอว ราชปุริเสหิ คหิโตฯ สกมฺมุนา หญฺญติ พชฺฌเต จาติ เตน อตฺตนา กตกเมฺมน กสาภิตาฬนาทินา หญฺญติ เจว อทฺทุพนฺธนาทินา พชฺฌติ จฯ เอวํ อยํ เปจฺจ ปชา ปรตฺถาติ เอวมฺปิ อยํ ปาปการินี ปชา อิโต จวิตฺวา ปรโลเกฯ สกมฺมุนา หญฺญติ พชฺฌเต จาติ อตฺตนาว กเตน ปาปกเมฺมน นิรยาทีสุ นานปฺปกาเรหิ กมฺมการณาทีหิ หญฺญติ เจว ปริพชฺฌติ จาติฯ

    ‘‘Coro yathā’’ti gāthāyaṃ coro yathā sandhimukhe gahītoti yathā coro gharasandhiṃ chinditvā gehaṃ pavisanto gharasandhimukhe eva rājapurisehi gahito. Sakammunā haññati bajjhate cāti tena attanā katakammena kasābhitāḷanādinā haññati ceva addubandhanādinā bajjhati ca. Evaṃ ayaṃ pecca pajā paratthāti evampi ayaṃ pāpakārinī pajā ito cavitvā paraloke. Sakammunā haññati bajjhate cāti attanāva katena pāpakammena nirayādīsu nānappakārehi kammakāraṇādīhi haññati ceva paribajjhati cāti.

    ‘‘สุขกามานี’’ติ คาถายํ โย ทเณฺฑน วิหิํสตีติ โย ปุคฺคโล ทเณฺฑน วา เลฑฺฑุอาทีหิ วา วิพาธติฯ เปจฺจ โส น ลเภ สุขนฺติ โส ปุคฺคโล ปรโลเก มนุสฺสสุขํ วา ทิพฺพสุขํ วา น ลภติ, นิพฺพานสุเข ปน วตฺตพฺพเมว นตฺถิฯ

    ‘‘Sukhakāmānī’’ti gāthāyaṃ yo daṇḍena vihiṃsatīti yo puggalo daṇḍena vā leḍḍuādīhi vā vibādhati. Pecca so na labhe sukhanti so puggalo paraloke manussasukhaṃ vā dibbasukhaṃ vā na labhati, nibbānasukhe pana vattabbameva natthi.

    คุนฺนํ เจ ตรมานานนฺติ คาวีสุ มโหฆํ ตรนฺตีสุฯ ชิมฺหํ คจฺฉติ ปุงฺคโวติ ยทิ ยูถปติ อุสโภ กุฎิลํ คจฺฉติฯ สพฺพา ตา ชิมฺหํ คจฺฉนฺตีติ สพฺพาปิ ตา คาวิโย กุฎิลเมว คจฺฉนฺติฯ กสฺมา? เนเตฺต ชิมฺหํ คเต สตีติ เนตฺตริ กุฎิลํ คเต สติ, เนตฺตสฺส กุฎิลํ คตตฺตาติ อโตฺถฯ โส หิ ตาสํ ปจฺจยิโก อุปทฺทวหโร จฯ

    Gunnaṃce taramānānanti gāvīsu mahoghaṃ tarantīsu. Jimhaṃ gacchati puṅgavoti yadi yūthapati usabho kuṭilaṃ gacchati. Sabbā tā jimhaṃ gacchantīti sabbāpi tā gāviyo kuṭilameva gacchanti. Kasmā? Nette jimhaṃ gate satīti nettari kuṭilaṃ gate sati, nettassa kuṭilaṃ gatattāti attho. So hi tāsaṃ paccayiko upaddavaharo ca.

    ‘‘เอวเมว’’นฺติ คาถายํ ยถา เจตํ, เอวเมวํ โย มนุเสฺสสุ ปธานสมฺมโต, ยทิ โส อธมฺมจารี สิยาฯ เย ตสฺส อนุชีวิโน, สเพฺพปิ อธมฺมิกาว โหนฺติฯ สามิสมฺปทา หิ ปกติสมฺปทํ สมฺปาเทติฯ ยสฺมา จ เอตเทว, ตสฺมา สพฺพํ รฎฺฐํ ทุกฺขํ เสติ, ราชา เจ โหติ อธมฺมิโกฯ สุกิจฺฉรูปา วตาติ สุฎฺฐุ กิจฺฉาปนฺนรูปา วตฯ อุปธีสูติ กามคุณูปธีสุฯ รตฺตาติ ราคาภิภูตาฯ กฎุกนฺติ ทุกฺขํฯ

    ‘‘Evameva’’nti gāthāyaṃ yathā cetaṃ, evamevaṃ yo manussesu padhānasammato, yadi so adhammacārī siyā. Ye tassa anujīvino, sabbepi adhammikāva honti. Sāmisampadā hi pakatisampadaṃ sampādeti. Yasmā ca etadeva, tasmā sabbaṃ raṭṭhaṃ dukkhaṃ seti, rājā ce hoti adhammiko. Sukiccharūpā vatāti suṭṭhu kicchāpannarūpā vata. Upadhīsūti kāmaguṇūpadhīsu. Rattāti rāgābhibhūtā. Kaṭukanti dukkhaṃ.

    กุกฺกุจฺจชนเกเนว ปตฺตวฎฺฎิปฺปภวสฺส อุปจฺฉินฺนตฺตา ผลุปฺปตฺติ กทลิยา ปราภวาย โหตีติ อาห – ‘‘ผลํ เว กทลิํ หนฺตี’’ติฯ ตถา ผลปริโยสานตฺตา โอสธีนํ ‘‘ผลํ เวฬุํ ผลํ นฬ’’นฺติ วุตฺตํฯ วฬวาย กุจฺฉิสฺมิํ คทฺรภสฺส ชาตา อสฺสตรี นาม, สา คพฺภํ คณฺหิตฺวา กาเล สมฺปเตฺต วิชายิตุํ น สโกฺกติฯ ปาเทหิ ภูมิํ ปหรนฺตี ติฎฺฐติ, อถสฺส จตฺตาโร ปาเท จตูสุ ขาณุเกสุ พนฺธิตฺวา กุจฺฉิํ ผาเลตฺวา โปตกํ นีหรนฺติ, สา ตเตฺถว มรติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘คโพฺภ อสฺสตริํ ยถา’’ติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา อตฺตโน ผลํ กทลิเวฬุนเฬปิ วินาเสติ, คโพฺภ จ อสฺสตริํ, เอวํ อตฺตโน กมฺมผลภูโต สกฺกาโร อสปฺปุริสํ วินาเสตีติฯ

    Kukkuccajanakeneva pattavaṭṭippabhavassa upacchinnattā phaluppatti kadaliyā parābhavāya hotīti āha – ‘‘phalaṃ ve kadaliṃ hantī’’ti. Tathā phalapariyosānattā osadhīnaṃ ‘‘phalaṃ veḷuṃ phalaṃ naḷa’’nti vuttaṃ. Vaḷavāya kucchismiṃ gadrabhassa jātā assatarī nāma, sā gabbhaṃ gaṇhitvā kāle sampatte vijāyituṃ na sakkoti. Pādehi bhūmiṃ paharantī tiṭṭhati, athassa cattāro pāde catūsu khāṇukesu bandhitvā kucchiṃ phāletvā potakaṃ nīharanti, sā tattheva marati. Tena vuttaṃ – ‘‘gabbho assatariṃ yathā’’ti. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā attano phalaṃ kadaliveḷunaḷepi vināseti, gabbho ca assatariṃ, evaṃ attano kammaphalabhūto sakkāro asappurisaṃ vināsetīti.

    โกธมกฺขครูติ กุชฺฌนลกฺขณํ โกธํ, ปรคุณมกฺขนลกฺขณํ มกฺขญฺจ ครุํ กตฺวา อุทฺธํ กตฺวา อุกฺขิปิตฺวา จรโนฺตฯ สุเขเตฺตติ สุเขเตฺตปิฯ ปูติพีชํวาติ ปูติภาวํ คตํ พีชํ วิยฯ ฉกณรสาทิปริภาวนสุกฺขาปนสุขสยาทีนิ อกรเณน พีชโทสทุฎฺฐนฺติ อโตฺถฯ

    Kodhamakkhagarūti kujjhanalakkhaṇaṃ kodhaṃ, paraguṇamakkhanalakkhaṇaṃ makkhañca garuṃ katvā uddhaṃ katvā ukkhipitvā caranto. Sukhetteti sukhettepi. Pūtibījaṃvāti pūtibhāvaṃ gataṃ bījaṃ viya. Chakaṇarasādiparibhāvanasukkhāpanasukhasayādīni akaraṇena bījadosaduṭṭhanti attho.

    ๙๑.

    91.

    เจตสาติ อตฺตโน จิเตฺตนฯ เจโตติ ตสฺส ปุคฺคลสฺส จิตฺตํฯ ปริจฺจาติ ปริจฺฉินฺทิตฺวาฯ อิริยตีติ ปวตฺตติฯ ยถาภตนฺติ ยถา กิญฺจิ อาหริตฺวา ฐปิตํฯ

    Cetasāti attano cittena. Cetoti tassa puggalassa cittaṃ. Pariccāti paricchinditvā. Iriyatīti pavattati. Yathābhatanti yathā kiñci āharitvā ṭhapitaṃ.

    มากตฺถาติ มา อกตฺถฯ น ปมุตฺยตฺถีติ ปโมโกฺข นตฺถิฯ อุเปจฺจาปีติ สญฺจิจฺจาปิ, พุทฺธิปุเพฺพนาปีติ อโตฺถฯ

    Mākatthāti mā akattha. Na pamutyatthīti pamokkho natthi. Upeccāpīti sañciccāpi, buddhipubbenāpīti attho.

    ‘‘อธเมฺมนา’’ติ วตฺวาปิ ‘‘มุสาวาเทนา’’ติ วจนํ มุสาวาทสฺส มหาสาวชฺชภาวทสฺสนตฺถํฯ เตเนวาห – ‘‘เอกํ ธมฺมํ อตีตสฺสา’’ติอาทิ (ธ. ป. ๑๗๖), ตถา ‘‘เอวํ ปริตฺตํ โข, ราหุล, เตสํ สามญฺญํ, เยสํ นตฺถิ สมฺปชานมุสาวาเท ลชฺชา’’ติอาทิ (ม. นิ. ๒.๑๐๘)ฯ ตํ กถํ นุ ภวิสฺสตีติ ตํ ธนํ เกน นุ ปกาเรน เตสํ ภวิสฺสติฯ อธเมฺมน เตสํ สมฺภตตฺตา เตสุ นจิรฎฺฐิติกํ โหตีติ อโตฺถฯ อนฺตรายา สุ ภวิสฺสนฺตีติ อธมฺมิยโวหาราทิโต ราชนฺตรายาทโย ภวิสฺสนฺติฯ สูติ นิปาตมตฺตํฯ สมฺภตสฺส วินสฺสตีติ อิมสฺส สมฺภตํ สชฺชิตํ วินสฺสติฯ สคฺคนฺติ สุคติํฯ สา หิ รูปาทีหิ โสภเนหิ อโคฺคติ สโคฺคติ อธิเปฺปตาฯ เอตฺตาวตาติ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกานํ อตฺถานํ หานิยาฯ หตาติ วินฎฺฐาฯ

    ‘‘Adhammenā’’ti vatvāpi ‘‘musāvādenā’’ti vacanaṃ musāvādassa mahāsāvajjabhāvadassanatthaṃ. Tenevāha – ‘‘ekaṃ dhammaṃ atītassā’’tiādi (dha. pa. 176), tathā ‘‘evaṃ parittaṃ kho, rāhula, tesaṃ sāmaññaṃ, yesaṃ natthi sampajānamusāvāde lajjā’’tiādi (ma. ni. 2.108). Taṃ kathaṃ nu bhavissatīti taṃ dhanaṃ kena nu pakārena tesaṃ bhavissati. Adhammena tesaṃ sambhatattā tesu naciraṭṭhitikaṃ hotīti attho. Antarāyā su bhavissantīti adhammiyavohārādito rājantarāyādayo bhavissanti. ti nipātamattaṃ. Sambhatassa vinassatīti imassa sambhataṃ sajjitaṃ vinassati. Sagganti sugatiṃ. Sā hi rūpādīhi sobhanehi aggoti saggoti adhippetā. Ettāvatāti diṭṭhadhammikasamparāyikānaṃ atthānaṃ hāniyā. Hatāti vinaṭṭhā.

    วิวฎฺฎเตติ นิวฎฺฎติฯ โลภา ขณติ อตฺตานนฺติ โลภเหตุ อปุญฺญานิ กโรโนฺต กายวิสมาทิโยเคน อตฺตานํ ขณติ นามฯ มิเตฺตหิ ชีรตีติ มิตฺตภาเวหิ หายติฯ

    Vivaṭṭateti nivaṭṭati. Lobhā khaṇati attānanti lobhahetu apuññāni karonto kāyavisamādiyogena attānaṃ khaṇati nāma. Mittehi jīratīti mittabhāvehi hāyati.

    จรนฺตีติ จตูหิ อิริยาปเถหิ อกุสลเมว กโรนฺตา วิจรนฺติฯ พาลาติ อิธโลกตฺถํ ปรโลกตฺถญฺจ อชานนฺตา อิธ พาลา นามฯ ทุเมฺมธาติ นิปฺปญฺญาฯ น หิ ปญฺญาย ทุฎฺฐตฺตํ นาม อตฺถิฯ อมิเตฺตเนวาติ อมิตฺตภูเตน วิย เวรินา วิย หุตฺวาฯ กฎุกปฺผลนฺติ ติขิณผลํ, ทุกฺขผลนฺติ อโตฺถฯ น ตํ กมฺมํ กตํ สาธุ, ยํ กตฺวา อนุตปฺปตีติ ยํ กมฺมํ นิรยาทีสุ นิพฺพตฺตนสมตฺถํ ทุกฺขุทยํ กตฺวา อนุสฺสริตานุสฺสริตกฺขเณ อนุตปฺปติ อนุโสจติ, ตํ กตํ น สาธุ น สุนฺทรํ น ภทฺทกํฯ ยสฺส อสฺสุมุโขติ ยสฺส อสฺสูหิ ตินฺตมุโข โรทโนฺต วิปากํ ปฎิเสวติ อนุโภติฯ

    Carantīti catūhi iriyāpathehi akusalameva karontā vicaranti. Bālāti idhalokatthaṃ paralokatthañca ajānantā idha bālā nāma. Dummedhāti nippaññā. Na hi paññāya duṭṭhattaṃ nāma atthi. Amittenevāti amittabhūtena viya verinā viya hutvā. Kaṭukapphalanti tikhiṇaphalaṃ, dukkhaphalanti attho. Na taṃ kammaṃ kataṃ sādhu, yaṃ katvā anutappatīti yaṃ kammaṃ nirayādīsu nibbattanasamatthaṃ dukkhudayaṃ katvā anussaritānussaritakkhaṇe anutappati anusocati, taṃ kataṃ na sādhu na sundaraṃ na bhaddakaṃ. Yassa assumukhoti yassa assūhi tintamukho rodanto vipākaṃ paṭisevati anubhoti.

    ทุกฺกรนฺติ วตฺตปฎิวตฺตปูรณาทิวเสน อาภิสมาจาริกสีลสฺส กาตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย ทุกฺกรํฯ สมาทานโต ปฎฺฐาย ขณฺฑํ อกตฺวา วิเสสโต อาทิพฺรหฺมจริยกสฺส จริมกจิตฺตํ ปาเปตพฺพตาย ทุตฺติติกฺขํ, สีลสํวราทโย วา อปริกฺขเต กตฺวา สมฺปาเทตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย ทุกฺกรํฯ อธิวาเสตพฺพานํ ปน ทุสฺสหนโต ขนฺติสํวรํวเสน ทุตฺติติกฺขํฯ อพฺยเตฺตนาติ มนฺทปเญฺญนฯ สามญฺญนฺติ สมณภาโวฯ ตตฺถาติ ตสฺส สามญฺญสฺสฯ สมฺพาธาติ ทุนฺนิวตฺถทุปฺปารุตมาตุคามาทิสมฺมทฺทาฯ ยตฺถาติ สีลสํวราทีนํ ปริพนฺธภูเตสุ สมฺพาธสงฺขาเตสุ วิสภาคารมฺมณาทีสุ ฯ อถ วา ทุกฺกรนฺติปทสฺส อตฺถํ ทเสฺสตุํ ทุตฺติติกฺขนฺติ วุตฺตํฯ ทุตฺติติกฺขนฺติ ทุกฺขมํ ทุรธิวาสิยํฯ อพฺยเตฺตนาติ พาเลนฯ สามญฺญนฺติ สมณธโมฺมฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยํ ปณฺฑิตา กุลปุตฺตา ทสปิ วสฺสานิ วีสติปิ…เป.… สฎฺฐิปิ วสฺสานิ ทเนฺตภิ ทนฺตมาธาย ชิวฺหาย ตาลุํ อาหจฺจ เจตสา จิตฺตํ อภินิคฺคณฺหิตฺวา เอกาสนํ เอกภตฺตํ ปฎิเสวมานา อาปาณโกฎิกํ พฺรหฺมจริยํ จรนฺตา สามญฺญํ กโรนฺติ, ตํ พาลา อพฺยตฺตา กาตุํ น สโกฺกนฺตีติฯ พหูหิ ตตฺถ สมฺพาธาติ ตสฺมิํ สามญฺญสงฺขาเต อริยมเคฺค พหู สมฺพาธา, มคฺคาธิคมาย ปฎิปนฺนสฺส พหู ปริสฺสยาติ อโตฺถฯ

    Dukkaranti vattapaṭivattapūraṇādivasena ābhisamācārikasīlassa kātuṃ asakkuṇeyyatāya dukkaraṃ. Samādānato paṭṭhāya khaṇḍaṃ akatvā visesato ādibrahmacariyakassa carimakacittaṃ pāpetabbatāya duttitikkhaṃ, sīlasaṃvarādayo vā aparikkhate katvā sampādetuṃ asakkuṇeyyatāya dukkaraṃ. Adhivāsetabbānaṃ pana dussahanato khantisaṃvaraṃvasena duttitikkhaṃ. Abyattenāti mandapaññena. Sāmaññanti samaṇabhāvo. Tatthāti tassa sāmaññassa. Sambādhāti dunnivatthaduppārutamātugāmādisammaddā. Yatthāti sīlasaṃvarādīnaṃ paribandhabhūtesu sambādhasaṅkhātesu visabhāgārammaṇādīsu . Atha vā dukkarantipadassa atthaṃ dassetuṃ duttitikkhanti vuttaṃ. Duttitikkhanti dukkhamaṃ duradhivāsiyaṃ. Abyattenāti bālena. Sāmaññanti samaṇadhammo. Idaṃ vuttaṃ hoti – yaṃ paṇḍitā kulaputtā dasapi vassāni vīsatipi…pe… saṭṭhipi vassāni dantebhi dantamādhāya jivhāya tāluṃ āhacca cetasā cittaṃ abhiniggaṇhitvā ekāsanaṃ ekabhattaṃ paṭisevamānā āpāṇakoṭikaṃ brahmacariyaṃ carantā sāmaññaṃ karonti, taṃ bālā abyattā kātuṃ na sakkontīti. Bahūhi tattha sambādhāti tasmiṃ sāmaññasaṅkhāte ariyamagge bahū sambādhā, maggādhigamāya paṭipannassa bahū parissayāti attho.

    อปฺปเมยฺยํ ปมินโนฺตติ อปฺปเมยฺยํ ขีณาสวปุคฺคลํ ‘‘เอตฺตกสีโล อยํ เอตฺตกสมาธิ เอตฺตกปโญฺญ’’ติ เอวํ มินโนฺตฯ โกธ วิทฺวา วิกปฺปเยติ โก อิธ วิทฺวา เมธาวี วิกเปฺปยฺย, ขีณาสโวว ขีณาสวํ มินโนฺต วิกเปฺปยฺยาติ ทีเปติฯ นิวุตํ มเญฺญติ โย ปน ปุถุชฺชโน มิเนตุํ อารภติ, ตํ นิวุตํ อวกุชฺชปญฺญํ มญฺญามิฯ อกิสฺสวนฺติ กิสฺสวา วุจฺจติ ปญฺญา, นิปฺปญฺญนฺติ อโตฺถฯ

    Appameyyaṃ paminantoti appameyyaṃ khīṇāsavapuggalaṃ ‘‘ettakasīlo ayaṃ ettakasamādhi ettakapañño’’ti evaṃ minanto. Kodha vidvā vikappayeti ko idha vidvā medhāvī vikappeyya, khīṇāsavova khīṇāsavaṃ minanto vikappeyyāti dīpeti. Nivutaṃ maññeti yo pana puthujjano minetuṃ ārabhati, taṃ nivutaṃ avakujjapaññaṃ maññāmi. Akissavanti kissavā vuccati paññā, nippaññanti attho.

    กุฐารีติ อตฺตเจฺฉทกเฎฺฐน กุฐาริสทิสี ผรุสวาจาฯ ฉินฺทตีติ กุสลมูลสงฺขาเต มูเลเยว นิกนฺตติฯ วิสํ หลาหลํ อิวาติ หลาหลสงฺขาตํ วิสํ อิวฯ เอวํ วิรทฺธํ ปาเตตีติ วิรทฺธํ อปรทฺธํ ขลิตปุคฺคลํ เอวํ อปาเยสุ วินิปาเตติฯ วาจา ทุพฺภาสิตา ยถาติ ยถา วาจา อริยูปวาทนวเสน ทุพฺภาสิตาฯ

    Kuṭhārīti attacchedakaṭṭhena kuṭhārisadisī pharusavācā. Chindatīti kusalamūlasaṅkhāte mūleyeva nikantati. Visaṃ halāhalaṃ ivāti halāhalasaṅkhātaṃ visaṃ iva. Evaṃ viraddhaṃ pātetīti viraddhaṃ aparaddhaṃ khalitapuggalaṃ evaṃ apāyesu vinipāteti. Vācā dubbhāsitā yathāti yathā vācā ariyūpavādanavasena dubbhāsitā.

    ๙๒.

    92.

    นินฺทิยนฺติ นินฺทนียํฯ ตํ วา นินฺทติ โย ปสํสิโยติ โย คุณวิสิฎฺฐตาย ปสํสารโห ปุคฺคโล, ตํ วา โส ปาปิจฺฉตาทีนิ อาโรเปตฺวา ครหติฯ วิจินาตีติ อุปจินาติฯ กลินฺติ อปราธํฯ อยํ กลีติ อยํ อปราโธฯ อเกฺขสูติ ชูตกีฬนเกฺขสุฯ สพฺพสฺสาปิ สหาปิ อตฺตนาติ สเพฺพน อตฺตโน ธเนนาปิ อตฺตนาปิ สทฺธิํฯ สุคเตสูติ โสภนคมนตฺตา, สุนฺทรํ ฐานํ คตตฺตา, สมฺมา คตตฺตา, สมฺมา จ คทตฺตา สุคตสงฺขาเตสุ พุทฺธาทีสุฯ มนํ ปโทสเยติ โย มนํ ปโทเสยฺย, ตสฺส อยํ มโนปโทโส เอว มหตฺตโร กลีติ วุตฺตํ โหติฯ กสฺมา? ยสฺมา สตํ สหสฺสานํ…เป.… ปาปกนฺติฯ ตตฺถ สตํ สหสฺสานนฺติ นิรพฺพุทคณนาย สตสหสฺสํฯ ฉตฺติํสตีติ อปรานิ ฉตฺติํสติ นิรพฺพุทานิฯ ปญฺจ จาติ อพฺพุทคณนาย ปญฺจ จ อพฺพุทานิฯ ตสฺมา วสฺสคณนาย เอตฺตโก โส กาโล, ยํ กาลํ อริยครหิวาจํ มนญฺจ ปณิธาย ปาปกํ นิรยํ อุเปติ, ตตฺถ ปจฺจตีติ วุตฺตํ โหติฯ อิทญฺจ สเงฺขเปน ปทุมนิรเย อายุปฺปมาณํ, วิตฺถาเรน ปน ปรโต อาคมิสฺสติฯ

    Nindiyanti nindanīyaṃ. Taṃ vā nindati yo pasaṃsiyoti yo guṇavisiṭṭhatāya pasaṃsāraho puggalo, taṃ vā so pāpicchatādīni āropetvā garahati. Vicinātīti upacināti. Kalinti aparādhaṃ. Ayaṃ kalīti ayaṃ aparādho. Akkhesūti jūtakīḷanakkhesu. Sabbassāpi sahāpi attanāti sabbena attano dhanenāpi attanāpi saddhiṃ. Sugatesūti sobhanagamanattā, sundaraṃ ṭhānaṃ gatattā, sammā gatattā, sammā ca gadattā sugatasaṅkhātesu buddhādīsu. Manaṃ padosayeti yo manaṃ padoseyya, tassa ayaṃ manopadoso eva mahattaro kalīti vuttaṃ hoti. Kasmā? Yasmā sataṃ sahassānaṃ…pe… pāpakanti. Tattha sataṃ sahassānanti nirabbudagaṇanāya satasahassaṃ. Chattiṃsatīti aparāni chattiṃsati nirabbudāni. Pañca cāti abbudagaṇanāya pañca ca abbudāni. Tasmā vassagaṇanāya ettako so kālo, yaṃ kālaṃ ariyagarahivācaṃ manañca paṇidhāya pāpakaṃ nirayaṃ upeti, tattha paccatīti vuttaṃ hoti. Idañca saṅkhepena padumaniraye āyuppamāṇaṃ, vitthārena pana parato āgamissati.

    โลภคุเณติ ‘‘คุโณ’’ติ พาเลหิ ทิฎฺฐตฺตา, อเนกกฺขตฺตุํ ปวตฺติตตฺตา จ โลโภเยว โลภคุโณ, ตสฺมิํ โลภคุเณ, ตณฺหายาติ อโตฺถฯ อนุยุโตฺตติ อนุ อนุ ยุโตฺตฯ อวทญฺญูติ อวจนญฺญู, พุทฺธานมฺปิ โอวาทสฺส อคฺคหณโตฯ มจฺฉรีติ ปญฺจวิธมจฺฉริเยน มจฺฉรีฯ เปสุณิยํ อนุยุโตฺตติ เปสุณิยสฺมิํ อนุยุโตฺต อคฺคสาวกานํ เภทเนนฯ โกกาลิกญฺหิ มียมานํ โอวทเนฺตน อายสฺมตา มหาโมคฺคลฺลาเนน ภาสิตา อิมา คาถาติฯ มุขทุคฺคาติ มุขวิสมฯ วิภูตาติ วิคตภูต อลิกวาทิฯ อนริยาติ อสปฺปุริสฯ ภูนหูติ ภูติหนก อตฺตโน พุทฺธิวินาสกฯ ปุริสนฺตาติ ปุริสาธมฯ กลีติ อลกฺขิปุริสฯ อวชาตกปุตฺตาติ พุทฺธสฺส ภควโต อวชาตปุตฺตฯ มา พหุภาณิธ เนรยิโกสีติ อิทานิ พหุภาณี มา โหหิ, เนรยิโก อสิ ชาโตฯ รชมากิรสีติ กิเลสรชํ อตฺตนิ ปกฺขิปสิฯ สเนฺตติ สมิตกิเลเส ขีณาสเวฯ กิพฺพิสการีติ ปาปการิฯ ปปตนฺติ นรกํฯ

    Lobhaguṇeti ‘‘guṇo’’ti bālehi diṭṭhattā, anekakkhattuṃ pavattitattā ca lobhoyeva lobhaguṇo, tasmiṃ lobhaguṇe, taṇhāyāti attho. Anuyuttoti anu anu yutto. Avadaññūti avacanaññū, buddhānampi ovādassa aggahaṇato. Maccharīti pañcavidhamacchariyena maccharī. Pesuṇiyaṃ anuyuttoti pesuṇiyasmiṃ anuyutto aggasāvakānaṃ bhedanena. Kokālikañhi mīyamānaṃ ovadantena āyasmatā mahāmoggallānena bhāsitā imā gāthāti. Mukhaduggāti mukhavisama. Vibhūtāti vigatabhūta alikavādi. Anariyāti asappurisa. Bhūnahūti bhūtihanaka attano buddhivināsaka. Purisantāti purisādhama. Kalīti alakkhipurisa. Avajātakaputtāti buddhassa bhagavato avajātaputta. Mā bahubhāṇidha nerayikosīti idāni bahubhāṇī mā hohi, nerayiko asi jāto. Rajamākirasīti kilesarajaṃ attani pakkhipasi. Santeti samitakilese khīṇāsave. Kibbisakārīti pāpakāri. Papatanti narakaṃ.

    อิทํ สํกิเลสภาคิยนฺติ อิทํ ตณฺหาทีนํ สภาวเภทโต อวตฺถาเภทโต จ อเนกเภทกํ ทเสฺสตุํ อเนเกหิ สุตฺตปเทหิ อุทาหรณวเสน ทสฺสิตํ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Idaṃ saṃkilesabhāgiyanti idaṃ taṇhādīnaṃ sabhāvabhedato avatthābhedato ca anekabhedakaṃ dassetuṃ anekehi suttapadehi udāharaṇavasena dassitaṃ saṃkilesabhāgiyaṃ suttanti veditabbaṃ.

    ปสเนฺนนาติ กมฺมกมฺมผลาทีนิ สทฺทหเนฺตนฯ

    Pasannenāti kammakammaphalādīni saddahantena.

    ๙๓.

    93.

    อิทฺธนฺติ หตฺถูปคสีสูปคาทิอลงฺกาเรหิ มณิกนกาทีหิ จ สมิทฺธํฯ ผีตนฺติ เตลมธุผาณิตาทีหิ จ ธนธญฺญาทีหิ จ วิปุลํฯ อากิณฺณมนุสฺสนฺติ นิรนฺตรมนุสฺสํฯ สมฺพาธพฺยูหนฺติ พฺยูหา วุจฺจนฺติ อนิพฺพิทฺธรจฺฉาโยฯ เยสุ ปวิฎฺฐมเคฺคเนว นิคฺคจฺฉนฺติ, เต สมฺพาธา พฺยูหกา เอตฺถาติ สมฺพาธพฺยูหํฯ อิมินาปิ ตสฺส นครสฺส ฆนวาสเมว ทีเปติฯ ภเนฺตนาติ ทมถํ อนุปคเตน, อิโต จิโต จ ปริพฺภมเนฺตน วาฯ อปาปกนฺติ อลามกํฯ อเวจฺจปฺปสาเทนาติ อจลปฺปสาเทน, สจฺจปฺปฎิเวธโต อาคเตน ปสาเทนฯ

    Iddhanti hatthūpagasīsūpagādialaṅkārehi maṇikanakādīhi ca samiddhaṃ. Phītanti telamadhuphāṇitādīhi ca dhanadhaññādīhi ca vipulaṃ. Ākiṇṇamanussanti nirantaramanussaṃ. Sambādhabyūhanti byūhā vuccanti anibbiddharacchāyo. Yesu paviṭṭhamaggeneva niggacchanti, te sambādhā byūhakā etthāti sambādhabyūhaṃ. Imināpi tassa nagarassa ghanavāsameva dīpeti. Bhantenāti damathaṃ anupagatena, ito cito ca paribbhamantena vā. Apāpakanti alāmakaṃ. Aveccappasādenāti acalappasādena, saccappaṭivedhato āgatena pasādena.

    เปจฺจ โส ลภเตติ โย ภูเต ทเณฺฑน น หิํสติ, โส ปุคฺคโล ปรโลเก มนุสฺสภูโต มนุสฺสสุขํ เทวภูโต ทิพฺพสุขํ อุภยํ อติกฺกโนฺต นิพฺพานสุขํ ลภตีติ อโตฺถฯ

    Peccaso labhateti yo bhūte daṇḍena na hiṃsati, so puggalo paraloke manussabhūto manussasukhaṃ devabhūto dibbasukhaṃ ubhayaṃ atikkanto nibbānasukhaṃ labhatīti attho.

    ๙๔.

    94.

    จาริกํ ปกฺกมิสฺสตีติ ชนปทจาริกํ คมิสฺสติฯ กสฺมา ปน ภควา ชนปทจาริกํ จรตีติ? สตฺตหิ การเณหิ พุทฺธา ภควโนฺต ชนปทจาริกํ จรนฺติ – เทสนฺตรคตานํ เวเนยฺยานํ วินยนตฺตํ, ตตฺร ฐิตานํ อุสฺสุกฺกสมุปฺปาทนํ, ภาวกานํ เอกสฺมิํ ฐาเน นิพทฺธวาสปริหรณํ อตฺตโน จ ตตฺถ อนาสงฺคทสฺสนํ, สมฺพุทฺธวสิตฎฺฐานตาย เทสานํ เจติยภาวสมฺปาทนํ, พหูนํ สตฺตานํ ทสฺสนูปสงฺกมนาทีหิ ปุโญฺญฆปฺปสวนํ, อวุฎฺฐิอาทิอุปทฺทวูปสมนญฺจาติ อิเมหิ สตฺตหิ การเณหิ พุทฺธา ภควโนฺต ชนปทจาริกํ จรนฺตีติ เวทิตพฺพํฯ

    Cārikaṃ pakkamissatīti janapadacārikaṃ gamissati. Kasmā pana bhagavā janapadacārikaṃ caratīti? Sattahi kāraṇehi buddhā bhagavanto janapadacārikaṃ caranti – desantaragatānaṃ veneyyānaṃ vinayanattaṃ, tatra ṭhitānaṃ ussukkasamuppādanaṃ, bhāvakānaṃ ekasmiṃ ṭhāne nibaddhavāsapariharaṇaṃ attano ca tattha anāsaṅgadassanaṃ, sambuddhavasitaṭṭhānatāya desānaṃ cetiyabhāvasampādanaṃ, bahūnaṃ sattānaṃ dassanūpasaṅkamanādīhi puññoghappasavanaṃ, avuṭṭhiādiupaddavūpasamanañcāti imehi sattahi kāraṇehi buddhā bhagavanto janapadacārikaṃ carantīti veditabbaṃ.

    อิสิทตฺตปุราณาติ อิสิทโตฺต จ ปุราโณ จ, เตสุ อิสิทโตฺต สกทาคามีฯ ปุราโณ โสตาปโนฺนฯ สาเกเตติ ‘‘สาเกโต’’ติ ลทฺธนาเม อตฺตโน โภคคามเกฯ มเคฺค ปุริสํ ฐเปสุนฺติ เตสํ กิร คามทฺวาเรน ภควโต คมนมโคฺค, ตสฺมา ‘‘สเจ ภควา อมฺหากํ สุตฺตานํ วา ปมตฺตานํ วา คเจฺฉยฺย, อถ ปสฺสิตุํ น ลเภยฺยามา’’ติ มคฺคมเชฺฌ ปุริสํ ฐเปสุํฯ อนุพนฺธิํสูติ น ทูรโตว, ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต อนุพนฺธิํสุฯ ภควา หิ สกฎมคฺคสฺส มเชฺฌ ชงฺฆมเคฺคน อคมาสิ, อิตเร อุโภสุ ปเสฺสสุ อนุคจฺฉนฺตา อคมํสุฯ มคฺคา โอกฺกมฺมาติ พุทฺธา หิ เกนจิ สทฺธิํ คจฺฉนฺตาว ปฎิสนฺถารํ กโรนฺติ เกนจิ สทฺธิํ ฐิตา เกนจิ สทฺธิํ ทิวสภาคมฺปิ นิสินฺนา, ตสฺมา ภควา จิเนฺตสิ – ‘‘อิเม มยฺหํ สาสเน วลฺลภา อาคตผลา, อิเมหิ สทฺธิํ นิสีทิตฺวา ทิวสภาคํ ปฎิสนฺถารํ กริสฺสามี’’ติฯ มคฺคโต โอกฺกมิตฺวา เยนญฺญตรํ รุกฺขมูลํ เตนุปสงฺกมิฯ ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทีติ เต กิร ฉตฺตุปาหนกตฺตรทณฺฑปาทพฺภญฺชนเตลานิ เจว อฎฺฐวิธญฺจ ปานกํ สรภปาทปลฺลงฺกญฺจ คาหาเปตฺวา อาคมํสุฯ อถ นํ ปลฺลงฺกํ ปญฺญเปตฺวา อทํสุฯ สตฺถา ตตฺถ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสีทิํสูติ ‘‘ฉตฺตุปาหนาทีนิ ภิกฺขุสงฺฆสฺส เทถา’’ติ วตฺวา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ

    Isidattapurāṇāti isidatto ca purāṇo ca, tesu isidatto sakadāgāmī. Purāṇo sotāpanno. Sāketeti ‘‘sāketo’’ti laddhanāme attano bhogagāmake. Magge purisaṃ ṭhapesunti tesaṃ kira gāmadvārena bhagavato gamanamaggo, tasmā ‘‘sace bhagavā amhākaṃ suttānaṃ vā pamattānaṃ vā gaccheyya, atha passituṃ na labheyyāmā’’ti maggamajjhe purisaṃ ṭhapesuṃ. Anubandhiṃsūti na dūratova, piṭṭhito piṭṭhito anubandhiṃsu. Bhagavā hi sakaṭamaggassa majjhe jaṅghamaggena agamāsi, itare ubhosu passesu anugacchantā agamaṃsu. Maggā okkammāti buddhā hi kenaci saddhiṃ gacchantāva paṭisanthāraṃ karonti kenaci saddhiṃ ṭhitā kenaci saddhiṃ divasabhāgampi nisinnā, tasmā bhagavā cintesi – ‘‘ime mayhaṃ sāsane vallabhā āgataphalā, imehi saddhiṃ nisīditvā divasabhāgaṃ paṭisanthāraṃ karissāmī’’ti. Maggato okkamitvā yenaññataraṃ rukkhamūlaṃ tenupasaṅkami. Paññatte āsane nisīdīti te kira chattupāhanakattaradaṇḍapādabbhañjanatelāni ceva aṭṭhavidhañca pānakaṃ sarabhapādapallaṅkañca gāhāpetvā āgamaṃsu. Atha naṃ pallaṅkaṃ paññapetvā adaṃsu. Satthā tattha nisīdi. Ekamantaṃ nisīdiṃsūti ‘‘chattupāhanādīni bhikkhusaṅghassa dethā’’ti vatvā bhagavantaṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdiṃsu.

    สาวตฺถิยา โกสเลสุ จาริกํ ปกฺกมิสฺสตีติอาทิ สพฺพํ มชฺฌิมเทสวเสเนว วุตฺตํฯ กสฺมา? นิยตาจิณฺณตฺตาฯ ภควโต หิ จาริกจรณํ มชฺฌิมเทเสเยวฯ สเจปิ ปจฺจนฺตเทเส คจฺฉติ, มชฺฌิมเทเสเยว อรุณํ อุฎฺฐาเปตีติ นิยตาจิณฺณํ, ตสฺมา มชฺฌิมเทสวเสเนว วุตฺตํฯ กาสีสูติ กาสิรฎฺฐโตฯ ตถา มคเธสูติ มคธรฎฺฐโตฯ อาสเนฺน โน ภควา ภวิสฺสตีติ เอตฺถ น เกวลํ อาสนฺนตฺตา เอว เตสํ โสมนสฺสํ โหติ, อถ โข ‘‘อิทานิ ทานํ ทาตุํ คนฺธมาลาทิปูชํ กาตุํ ธมฺมํ โสตุํ ปญฺหํ ปุจฺฉิตุํ ลภิสฺสามา’’ติ เนสํ โสมนสฺสํ โหติฯ

    Sāvatthiyākosalesu cārikaṃ pakkamissatītiādi sabbaṃ majjhimadesavaseneva vuttaṃ. Kasmā? Niyatāciṇṇattā. Bhagavato hi cārikacaraṇaṃ majjhimadeseyeva. Sacepi paccantadese gacchati, majjhimadeseyeva aruṇaṃ uṭṭhāpetīti niyatāciṇṇaṃ, tasmā majjhimadesavaseneva vuttaṃ. Kāsīsūti kāsiraṭṭhato. Tathā magadhesūti magadharaṭṭhato. Āsanne no bhagavā bhavissatīti ettha na kevalaṃ āsannattā eva tesaṃ somanassaṃ hoti, atha kho ‘‘idāni dānaṃ dātuṃ gandhamālādipūjaṃ kātuṃ dhammaṃ sotuṃ pañhaṃ pucchituṃ labhissāmā’’ti nesaṃ somanassaṃ hoti.

    ตสฺมาติห ถปตโย สมฺพาโธ ฆราวาโสติ ถปตโย ยสฺมา ตุมฺหากํ มยิ ทูรีภูเต อนปฺปกํ โทมนสฺสํ อาสเนฺน อนปฺปกํ โสมนสฺสํ โหติ, ตสฺมาปิ เวทิตพฺพเมตํ ‘‘สมฺพาโธ ฆราวาโส’’ติฯ ฆราวาสสฺส หิ โทเสน ตุมฺหากํ เอวํ โหติฯ สเจ ปน ฆราวาสํ ปหาย ปพฺพชิตา อสฺสถ, เอวํ โว มยา สทฺธิํเยว คจฺฉนฺตานญฺจ อาคจฺฉนฺตานญฺจ ตํ น ภเวยฺยาติ อิมมตฺถํ ทีเปโนฺต เอวมาหฯ ตตฺถ สกิญฺจนสปลิโพธเฎฺฐน สมฺพาธตา เวทิตพฺพาฯ มหาฆเร วสนฺตสฺสาปิ หิ สกิญฺจนสปลิโพธเฎฺฐน ฆราวาโส สมฺพาโธวฯ รโชปโถติ ราคาทิรชานํ อาคมนปโถ, อาคมนฎฺฐานนฺติ อโตฺถฯ อโพฺภกาโส ปพฺพชฺชาติ ปพฺพชฺชา ปน อกิญฺจนอปลิโพธเฎฺฐน อโพฺภกาโสฯ จตุรตนิเกปิ หิ คเพฺภ ทฺวินฺนํ ภิกฺขูนํ ปลฺลเงฺกน ปลฺลงฺกํ ฆเฎฺฎตฺวา นิสินฺนานมฺปิ อกิญฺจนาปลิโพธเฎฺฐน ปพฺพชฺชา อโพฺภกาโส นาม โหติฯ อลญฺจ ปน โว ถปตโย อปฺปมาทายาติ เอวํ สมฺพาธฆราวาเส วสนฺตานํ ตุมฺหากํ อปฺปมาทเมว กาตุํ ยุตฺตนฺติ อโตฺถฯ

    Tasmātiha thapatayo sambādho gharāvāsoti thapatayo yasmā tumhākaṃ mayi dūrībhūte anappakaṃ domanassaṃ āsanne anappakaṃ somanassaṃ hoti, tasmāpi veditabbametaṃ ‘‘sambādho gharāvāso’’ti. Gharāvāsassa hi dosena tumhākaṃ evaṃ hoti. Sace pana gharāvāsaṃ pahāya pabbajitā assatha, evaṃ vo mayā saddhiṃyeva gacchantānañca āgacchantānañca taṃ na bhaveyyāti imamatthaṃ dīpento evamāha. Tattha sakiñcanasapalibodhaṭṭhena sambādhatā veditabbā. Mahāghare vasantassāpi hi sakiñcanasapalibodhaṭṭhena gharāvāso sambādhova. Rajopathoti rāgādirajānaṃ āgamanapatho, āgamanaṭṭhānanti attho. Abbhokāso pabbajjāti pabbajjā pana akiñcanaapalibodhaṭṭhena abbhokāso. Caturatanikepi hi gabbhe dvinnaṃ bhikkhūnaṃ pallaṅkena pallaṅkaṃ ghaṭṭetvā nisinnānampi akiñcanāpalibodhaṭṭhena pabbajjā abbhokāso nāma hoti. Alañca pana vo thapatayo appamādāyāti evaṃ sambādhagharāvāse vasantānaṃ tumhākaṃ appamādameva kātuṃ yuttanti attho.

    นาคาติ หตฺถิโนฯ โอปวยฺหาติ รโญฺญ อาโรหนโยคฺคาฯ เอกํ ปุรโต เอกํ ปจฺฉโต นิสีทาเปมาติ เต กิร เทฺวปิ ชนา สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตา ทฺวีสุ นาเคสุ ตา อิตฺถิโย เอวํ นิสีทาเปตฺวา รโญฺญ นาคํ มเชฺฌ กตฺวา อุโภสุ ปเสฺสสุ คจฺฉนฺติ, ตสฺมา เอวมาหํสุฯ นาโคปิ รกฺขิตโพฺพติ ยถา กิญฺจิ วิเสสิตํ น กโรติ, เอวํ รกฺขิตโพฺพ โหติฯ ตาปิ ภคินิโยติ ยถา ปมาทํ นาปชฺชนฺติ, เอวํ รกฺขิตพฺพา โหนฺติฯ อตฺตาปีติ สิตกถิตวิเกฺขปิตาทีนิ อกโรเนฺตหิ อตฺตาปิ รกฺขิตโพฺพ โหติ ฯ เอวํ กโรโนฺต หิ ‘‘สามิทุพฺภโก เอโส’’ติ นิคฺคเหตโพฺพ โหติฯ

    Nāgāti hatthino. Opavayhāti rañño ārohanayoggā. Ekaṃ purato ekaṃ pacchato nisīdāpemāti te kira dvepi janā sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitā dvīsu nāgesu tā itthiyo evaṃ nisīdāpetvā rañño nāgaṃ majjhe katvā ubhosu passesu gacchanti, tasmā evamāhaṃsu. Nāgopi rakkhitabboti yathā kiñci visesitaṃ na karoti, evaṃ rakkhitabbo hoti. Tāpi bhaginiyoti yathā pamādaṃ nāpajjanti, evaṃ rakkhitabbā honti. Attāpīti sitakathitavikkhepitādīni akarontehi attāpi rakkhitabbo hoti . Evaṃ karonto hi ‘‘sāmidubbhako eso’’ti niggahetabbo hoti.

    ตสฺมาติห ถปตโยติ ยสฺมา ตุเมฺห ราชา นิจฺจํ ราชภณฺฑํ ปฎิจฺฉาเปติ, ตสฺมาปิ สมฺพาโธ ฆราวาโส รโชปโถฯ ยสฺมา ปน ปํสุกูลิกํ ภิกฺขุํ เอวํ ปฎิจฺฉาเปโนฺต นตฺถิ, ตสฺมา อโพฺภกาโส ปพฺพชฺชา, เอวํ สพฺพตฺถาปิฯ อลญฺจ โข ถปตโย อปฺปมาทาย, อปฺปมาทเมว กโรถาติ ทเสฺสติฯ

    Tasmātiha thapatayoti yasmā tumhe rājā niccaṃ rājabhaṇḍaṃ paṭicchāpeti, tasmāpi sambādho gharāvāso rajopatho. Yasmā pana paṃsukūlikaṃ bhikkhuṃ evaṃ paṭicchāpento natthi, tasmā abbhokāso pabbajjā, evaṃ sabbatthāpi. Alañca kho thapatayo appamādāya, appamādameva karothāti dasseti.

    มุตฺตจาโคติ วิสฺสฎฺฐจาโคฯ ปยตปาณีติ อาคตาคตานํ ทานตฺถาย โธตหโตฺถฯ โวสคฺครโตติ โวสคฺคสงฺขาเต จาเค รโตฯ ยาจโยโคติ ยาจิตพฺพยุโตฺตฯ ‘‘ยาชโยโค’’ติปิ ปาโฐ, ทานยุโตฺตติ อโตฺถฯ ทานสํวิภาครโตติ เอเตน อปฺปมตฺตกมฺปิ กิญฺจิ ลภิตฺวา ตโตปิ สํวิภาเค รโตฯ อปฺปฎิวิภตฺตนฺติ ‘‘อิทํ อมฺหากํ ภวิสฺสติ, อิทํ อยฺยาน’’นฺติ เอวํ อกตวิภาคํ, สพฺพํ ทาตพฺพเมว หุตฺวา ฐิตนฺติ อโตฺถฯ อิเมหิ โข ถปตโย จตูหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต อริยสาวโก โสตาปโนฺน โหตีติ โสตาปโนฺน อิเมหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต โหตีติ อโตฺถฯ เอเตน โสตาปเนฺนน อิเมสํ จตุนฺนํ ธมฺมานํ เอกนฺตโต ลพฺภมานตํ ทเสฺสติฯ

    Muttacāgoti vissaṭṭhacāgo. Payatapāṇīti āgatāgatānaṃ dānatthāya dhotahattho. Vosaggaratoti vosaggasaṅkhāte cāge rato. Yācayogoti yācitabbayutto. ‘‘Yājayogo’’tipi pāṭho, dānayuttoti attho. Dānasaṃvibhāgaratoti etena appamattakampi kiñci labhitvā tatopi saṃvibhāge rato. Appaṭivibhattanti ‘‘idaṃ amhākaṃ bhavissati, idaṃ ayyāna’’nti evaṃ akatavibhāgaṃ, sabbaṃ dātabbameva hutvā ṭhitanti attho. Imehi kho thapatayo catūhi dhammehi samannāgato ariyasāvako sotāpanno hotīti sotāpanno imehi dhammehi samannāgato hotīti attho. Etena sotāpannena imesaṃ catunnaṃ dhammānaṃ ekantato labbhamānataṃ dasseti.

    เอวํ เตสํ ถปตีนํ อิเมหิ จตูหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคตํ ปริยาเยน ทเสฺสตฺวา อิทานิ นิปฺปริยาเยน ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตุเมฺห โข ถปตโย’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    Evaṃ tesaṃ thapatīnaṃ imehi catūhi dhammehi samannāgataṃ pariyāyena dassetvā idāni nippariyāyena taṃ dassetuṃ ‘‘tumhe kho thapatayo’’tiādi vuttaṃ.

    ๙๕.

    95.

    สหสฺสํ กปฺปโกฎิโยติ สหสฺสํ อตฺตภาวา อเหสุนฺติ อโตฺถฯ ‘‘อสีติ กปฺปโกฎิโย’’ติปิ ปาโฐ, อสีติอายุกปฺปโกฎิโย อเหสุนฺติ อโตฺถฯ กตฺถ ปน เต อเหสุนฺติ? อาห ‘‘เทเว เจว มนุเสฺส จา’’ติ, เทเวสุ เจว มนุเสฺสสุ จาติ อโตฺถฯ สํวิรุฬฺหมฺหีติ สมนฺตโต ปลฺลวคฺคหเณน วิรุเฬฺหฯ อลภิํหนฺติ อลภิํ อหํฯ อชฺช ติํสํ ตโต กปฺปาติ ตโต กปฺปโต อชฺช สมฺปติ อยํ กโปฺป ติํสติโมฯ ตสฺสา สญฺญาย วาสนาติ ตสฺส พุทฺธคตาย สญฺญาย วาสนโตฯ

    Sahassaṃ kappakoṭiyoti sahassaṃ attabhāvā ahesunti attho. ‘‘Asīti kappakoṭiyo’’tipi pāṭho, asītiāyukappakoṭiyo ahesunti attho. Kattha pana te ahesunti? Āha ‘‘deve ceva manusse cā’’ti, devesu ceva manussesu cāti attho. Saṃviruḷhamhīti samantato pallavaggahaṇena viruḷhe. Alabhiṃhanti alabhiṃ ahaṃ. Ajja tiṃsaṃ tato kappāti tato kappato ajja sampati ayaṃ kappo tiṃsatimo. Tassā saññāya vāsanāti tassa buddhagatāya saññāya vāsanato.

    ตณฺหานิฆาตโกติ ตณฺหาย สมุเจฺฉทโกฯ วฎํสโกติ ปุปฺผมยกณฺณิโกฯ สพฺพปุเปฺผหิลงฺกโตติ นานาปุเปฺผหิ อลงฺกโตฯ ลปนนฺตราติ อุตฺตราธโรฎฺฐานํ อนฺตรโตฯ โอกฺกาติ ปภาฯ มุทฺธนนฺตรธายถาติ มุทฺธนิ อนฺตรธายถฯ กงฺขํ วิตราติ วิมติํ วิโนเทหิฯ ยสฺส ตํ สพฺพธเมฺมสุ , สทา ญาณํ ปวตฺตตีติ นฺติ นิปาตมตฺตํฯ ยสฺส สพฺพธเมฺมสุ อากงฺขปฺปฎิพทฺธตฺตา สทา ญาณํ ปวตฺตติฯ โส สพฺพญฺญู ภควา เถรํ อานนฺทํ เอตทพฺรวีติ สมฺพโนฺธฯ ราชา รเฎฺฐ ภวิสฺสตีติ สพฺพสฺมิํ รเฎฺฐ ราชา ภวิสฺสติฯ จริมนฺติ จริมภวํฯ สจฺฉิกตฺวาติ ปจฺจกฺขํ กตฺวาฯ ธมฺมตนฺติ จตุสจฺจธมฺมํ, ปเจฺจกโพธิํ วาฯ

    Taṇhānighātakoti taṇhāya samucchedako. Vaṭaṃsakoti pupphamayakaṇṇiko. Sabbapupphehilaṅkatoti nānāpupphehi alaṅkato. Lapanantarāti uttarādharoṭṭhānaṃ antarato. Okkāti pabhā. Muddhanantaradhāyathāti muddhani antaradhāyatha. Kaṅkhaṃ vitarāti vimatiṃ vinodehi. Yassa taṃ sabbadhammesu, sadā ñāṇaṃ pavattatīti tanti nipātamattaṃ. Yassa sabbadhammesu ākaṅkhappaṭibaddhattā sadā ñāṇaṃ pavattati. So sabbaññū bhagavā theraṃ ānandaṃ etadabravīti sambandho. Rājā raṭṭhe bhavissatīti sabbasmiṃ raṭṭhe rājā bhavissati. Carimanti carimabhavaṃ. Sacchikatvāti paccakkhaṃ katvā. Dhammatanti catusaccadhammaṃ, paccekabodhiṃ vā.

    ๙๖.

    96.

    สุวณฺณจฺฉทนํ นาวนฺติ อุโภสุ ปเสฺสสุ สุวณฺณาลงฺกาเรหิ ปฎิมณฺฑิตวเสน ฉาทิตํ สุวณฺณนาวํฯ ปญฺหํ ปุฎฺฐา วิยากาสิ, สกฺกสฺส อิติ เม สุตนฺติ ยถา สา เทวตา ปญฺหํ ปุฎฺฐา สกฺกสฺส พฺยากาสิ, เอวํ มยาปิ สุตนฺติ อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน อตฺตนา ยถาสุตํ ตํ ภควโต วทติฯ

    Suvaṇṇacchadanaṃ nāvanti ubhosu passesu suvaṇṇālaṅkārehi paṭimaṇḍitavasena chāditaṃ suvaṇṇanāvaṃ. Pañhaṃ puṭṭhā viyākāsi, sakkassa iti me sutanti yathā sā devatā pañhaṃ puṭṭhā sakkassa byākāsi, evaṃ mayāpi sutanti āyasmā mahāmoggallāno attanā yathāsutaṃ taṃ bhagavato vadati.

    ปํสุถูเปสูติ สรีรธาตุํ อพฺภนฺตเร ฐเปตฺวา ปํสูหิ กตถูเปสุฯ เอวญฺหิ เต ภควนฺตํ อุทฺทิสฺสกตา นาม โหนฺติ, เตเนวาห – ‘‘อุทฺทิสฺสกเตสุ ทสพลธราน’’นฺติฯ

    Paṃsuthūpesūti sarīradhātuṃ abbhantare ṭhapetvā paṃsūhi katathūpesu. Evañhi te bhagavantaṃ uddissakatā nāma honti, tenevāha – ‘‘uddissakatesu dasabaladharāna’’nti.

    ๙๗.

    97.

    เทวปุตฺตสรีรวณฺณาติ เทวปุตฺตสรีรสทิสวณฺณาฯ สุภคสณฺฐิตีติ โสภคฺคยุตฺตสณฺฐานาฯ อุฬารํ วต ตํ อาสีติ ตํ มยา กตํ ปุญฺญํ อุฬารํ วต อโหสิฯ ยาหนฺติ ยา อหํฯ สตสหสฺสํ กเปฺป, มุทิโต ถูปํ อปูเชสีติ ถูปํ ปูเชตฺวา สตสหสฺสํ อายุกเปฺป อหํ มุทิโตติ อโตฺถฯ อนาคนฺตุน วินิปาตนฺติ อปายุปปตฺติํ อนุปคนฺตฺวาฯ ยํ จกฺขุนฺติ ยํ ปญฺญาจกฺขุํฯ ปณิหิตนฺติ ฐปิตํฯ วิมุตฺตจิตฺตมฺหีติ วิมุตฺตจิโตฺต อมฺหิฯ วิธูตลโตติ วิธูตตณฺหาลโต, สมุจฺฉินฺนตโณฺหติ อโตฺถฯ

    Devaputtasarīravaṇṇāti devaputtasarīrasadisavaṇṇā. Subhagasaṇṭhitīti sobhaggayuttasaṇṭhānā. Uḷāraṃ vata taṃ āsīti taṃ mayā kataṃ puññaṃ uḷāraṃ vata ahosi. Yāhanti yā ahaṃ. Satasahassaṃ kappe, mudito thūpaṃ apūjesīti thūpaṃ pūjetvā satasahassaṃ āyukappe ahaṃ muditoti attho. Anāgantuna vinipātanti apāyupapattiṃ anupagantvā. Yaṃ cakkhunti yaṃ paññācakkhuṃ. Paṇihitanti ṭhapitaṃ. Vimuttacittamhīti vimuttacitto amhi. Vidhūtalatoti vidhūtataṇhālato, samucchinnataṇhoti attho.

    ๙๘.

    98.

    สามากปโตฺถทนมตฺตนฺติ สามากติณานํ นาฬิโกทนมตฺตํฯ อขิเลติ ปญฺจนฺนํ เจโตขิลานํ อภาเวน อขิเลฯ ตสฺมิญฺจ โอกปฺปยิ ธมฺมมุตฺตมนฺติ ตสฺมิํ ปเจฺจกพุเทฺธ อุตฺตมธมฺมํ ปเจฺจกโพธิํ ‘‘อุตฺตมธเมฺมน นาม อิมสฺมิํ ภวิตพฺพ’’นฺติ สทฺทหิํฯ ‘‘ตสฺมิญฺจ ธเมฺม ปณิเธสิํ มานส’’นฺติ อิมินา ปฎิลทฺธธมฺมํ อหมฺปิ สจฺฉิกเรยฺยนฺติ จิตฺตํ ปณิทหิํฯ ภเว กุทาสุปิ จ มา อเปกฺขวาติ กตฺถจิ ภเว อเปกฺขวา มา ภเวยฺยนฺติ จ ปณิเธสิํ มานสนฺติ สมฺพโนฺธฯ

    Sāmākapatthodanamattanti sāmākatiṇānaṃ nāḷikodanamattaṃ. Akhileti pañcannaṃ cetokhilānaṃ abhāvena akhile. Tasmiñca okappayi dhammamuttamanti tasmiṃ paccekabuddhe uttamadhammaṃ paccekabodhiṃ ‘‘uttamadhammena nāma imasmiṃ bhavitabba’’nti saddahiṃ. ‘‘Tasmiñca dhamme paṇidhesiṃ mānasa’’nti iminā paṭiladdhadhammaṃ ahampi sacchikareyyanti cittaṃ paṇidahiṃ. Bhave kudāsupi ca mā apekkhavāti katthaci bhave apekkhavā mā bhaveyyanti ca paṇidhesiṃ mānasanti sambandho.

    กุรูสูติ อุตฺตรกุรูสุฯ ทีฆายุเกสูติ เตสํ วสฺสสหสฺสายุกตาย วุตฺตํฯ อมเมสูติ อปริคฺคเหสุฯ ปาณีสูติ สเตฺตสุฯ อหีนคามีสูติ ยถาลทฺธสมฺปตฺตีหิ ยาวตายุกํ อปริหีนสภาเวสุ ฯ ติทโสปปชฺชถาติ ตาวติํโส หุตฺวา อุปปชฺชิํ, ติทเส วา ตาวติํสภวเน อุปปชฺชิํฯ วิสิฎฺฐกายูปคโตติ วิสิฎฺฐกาเยสุ นานาวณฺณกาเยสุ อุปคโตฯ ยสสฺสิสูติ ปริวารวเนฺตสุฯ หิตาหิตาสิหีติ กุสลากุสเล วีติวตฺตีหิฯ ปจฺจกฺขํ ขฺวิมนฺติ ปจฺจกฺขํ โข อิมํ วจนนฺติ อธิปฺปาโยฯ

    Kurūsūti uttarakurūsu. Dīghāyukesūti tesaṃ vassasahassāyukatāya vuttaṃ. Amamesūti apariggahesu. Pāṇīsūti sattesu. Ahīnagāmīsūti yathāladdhasampattīhi yāvatāyukaṃ aparihīnasabhāvesu . Tidasopapajjathāti tāvatiṃso hutvā upapajjiṃ, tidase vā tāvatiṃsabhavane upapajjiṃ. Visiṭṭhakāyūpagatoti visiṭṭhakāyesu nānāvaṇṇakāyesu upagato. Yasassisūti parivāravantesu. Hitāhitāsihīti kusalākusale vītivattīhi. Paccakkhaṃ khvimanti paccakkhaṃ kho imaṃ vacananti adhippāyo.

    สกาสีติ โส อกาสิฯ พลิมาภิหารีติ ปูชาพลิํ อภิหริฯ ปติตสฺส เอกนฺติ ตสฺส หตฺถโต เอกปุปฺผํ ปติตํฯ

    Sakāsīti so akāsi. Balimābhihārīti pūjābaliṃ abhihari. Patitassa ekanti tassa hatthato ekapupphaṃ patitaṃ.

    อุปริฎฺฐนฺติ อุปริ เวหาเส ฐิตํฯ อริฎฺฐนฺติ อริฎฺฐํ นาม ปเจฺจกสมฺพุทฺธํฯ อชฺฌตฺตญฺจ พหิทฺธา จาติ อชฺฌตฺตวิสยา จ พหิทฺธวิสยา จฯ เย เม วิชฺชิํสูติ เย เม ปุเพฺพ วิชฺชมานา อเหสุํฯ ชาติมรณสํสาโร, นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโวติ ปุนปฺปุนํ ชายนมียนภูโต สํสาโร ปุนพฺภโวติ จ วุจฺจติ, โส จ ทานิ นตฺถีติ อโตฺถฯ

    Upariṭṭhanti upari vehāse ṭhitaṃ. Ariṭṭhanti ariṭṭhaṃ nāma paccekasambuddhaṃ. Ajjhattañca bahiddhā cāti ajjhattavisayā ca bahiddhavisayā ca. Ye me vijjiṃsūti ye me pubbe vijjamānā ahesuṃ. Jātimaraṇasaṃsāro, natthi dāni punabbhavoti punappunaṃ jāyanamīyanabhūto saṃsāro punabbhavoti ca vuccati, so ca dāni natthīti attho.

    อิทํ วาสนาภาคิยํ สุตฺตนฺติ อิทํ วาสนาภาคปุญฺญวิภาวนานํ นานาสุตฺตปทานํ อุทาหรณวเสน ทสฺสิตํ วาสนาภาคิยํ สุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Idaṃ vāsanābhāgiyaṃ suttanti idaṃ vāsanābhāgapuññavibhāvanānaṃ nānāsuttapadānaṃ udāharaṇavasena dassitaṃ vāsanābhāgiyaṃ suttanti veditabbaṃ.

    ๙๙.

    99.

    ‘‘อุทฺธํ อโธ…เป.… อปุนพฺภวายา’’ติ อิทํ นิเพฺพธภาคิยํ สุตฺตนฺติ วุตฺตํ โอฆตรณสฺส อริยมคฺคกิจฺจตฺตาฯ น เจตนา กรณียาติ น จิตฺตํ อุปฺปาเทตพฺพํฯ ธมฺมตาติ ธมฺมสภาโวฯ

    ‘‘Uddhaṃ adho…pe… apunabbhavāyā’’ti idaṃ nibbedhabhāgiyaṃ suttanti vuttaṃ oghataraṇassa ariyamaggakiccattā. Na cetanā karaṇīyāti na cittaṃ uppādetabbaṃ. Dhammatāti dhammasabhāvo.

    ๑๐๐.

    100.

    ยทา หเวติ ยสฺมิํ หเว กาเลฯ ปาตุภวนฺตีติ อุปฺปชฺชนฺติฯ ธมฺมาติ อนุโลมปจฺจยาการปฎิเวธสาธกา โพธิปกฺขิยธมฺมาฯ ปาตุภวนฺตีติ วา ปกาเสนฺติ, อภิสมยวเสน ปากฎา โหนฺติฯ ธมฺมาติ จตุอริยสจฺจธมฺมาฯ อาตาโป วุจฺจติ กิเลสสนฺตาปนเฎฺฐน วีริยํฯ อาตาปิโนติ สมฺมปฺปธานวีริยวโตฯ ฌายโตติ อารมฺมณูปนิชฺฌานลกฺขเณน ลกฺขณูปนิชฺฌานลกฺขเณน จ ฌาเนน ฌายนฺตสฺสฯ พฺราหฺมณสฺสาติ พาหิตปาปสฺส ขีณาสวสฺสฯ อถสฺส กงฺขา วปยนฺติ สพฺพาติ อถสฺส เอวํ ปาตุภูตธมฺมสฺส ยา ตา ‘‘โก นุ โข, ภเนฺต, ผุสตีติ? โน กโลฺล ปโญฺหติ ภควา อโวจา’’ติอาทินา (สํ. นิ. ๒.๑๒) นเยน ‘‘กตมํ นุ โข, ภเนฺต, ชรามรณํ, กสฺส ปนิทํ ชรามรณนฺติ? โน กโลฺล ปโญฺหติ ภควา อโวจา’’ติอาทินา (สํ. นิ. ๒.๓๕) จ นเยน ปจฺจยาการกงฺขา วุตฺตาฯ ยา จ ปจฺจยาการเสฺสว อปฺปฎิวิทฺธตฺตา ‘‘อโหสิํ นุ โข อหมตีตมทฺธาน’’นฺติอาทิกา (ม. นิ. ๑.๑๘; สํ. นิ. ๒.๒๐) โสฬสกงฺขา ‘‘พุเทฺธ กงฺขติ ธเมฺม กงฺขตี’’ติอาทิกา (ธ. ส. ๑๐๐๘) อฎฺฐ จ กงฺขา อาคตา, ตา สพฺพา วปยนฺติ อปคจฺฉนฺติ นิรุชฺฌนฺติ, กสฺมา? ยโต ปชานาติ สเหตุธมฺมํ, ยสฺมา อวิชฺชาทิเกน เหตุนา สเหตุกํ อิมํ สงฺขาราทิํ เกวลํ ทุกฺขกฺขนฺธธมฺมํ ปชานาติ อญฺญาสิ ปฎิวิชฺฌติฯ

    Yadā haveti yasmiṃ have kāle. Pātubhavantīti uppajjanti. Dhammāti anulomapaccayākārapaṭivedhasādhakā bodhipakkhiyadhammā. Pātubhavantīti vā pakāsenti, abhisamayavasena pākaṭā honti. Dhammāti catuariyasaccadhammā. Ātāpo vuccati kilesasantāpanaṭṭhena vīriyaṃ. Ātāpinoti sammappadhānavīriyavato. Jhāyatoti ārammaṇūpanijjhānalakkhaṇena lakkhaṇūpanijjhānalakkhaṇena ca jhānena jhāyantassa. Brāhmaṇassāti bāhitapāpassa khīṇāsavassa. Athassa kaṅkhā vapayanti sabbāti athassa evaṃ pātubhūtadhammassa yā tā ‘‘ko nu kho, bhante, phusatīti? No kallo pañhoti bhagavā avocā’’tiādinā (saṃ. ni. 2.12) nayena ‘‘katamaṃ nu kho, bhante, jarāmaraṇaṃ, kassa panidaṃ jarāmaraṇanti? No kallo pañhoti bhagavā avocā’’tiādinā (saṃ. ni. 2.35) ca nayena paccayākārakaṅkhā vuttā. Yā ca paccayākārasseva appaṭividdhattā ‘‘ahosiṃ nu kho ahamatītamaddhāna’’ntiādikā (ma. ni. 1.18; saṃ. ni. 2.20) soḷasakaṅkhā ‘‘buddhe kaṅkhati dhamme kaṅkhatī’’tiādikā (dha. sa. 1008) aṭṭha ca kaṅkhā āgatā, tā sabbā vapayanti apagacchanti nirujjhanti, kasmā? Yato pajānāti sahetudhammaṃ, yasmā avijjādikena hetunā sahetukaṃ imaṃ saṅkhārādiṃ kevalaṃ dukkhakkhandhadhammaṃ pajānāti aññāsi paṭivijjhati.

    ยโต ขยํ ปจฺจยานํ อเวทีหิ ยสฺมา ปจฺจยานํ ขยสงฺขาตํ นิพฺพานํ อเวทิ อญฺญาสิ ปฎิวิชฺฌิ, ตสฺมา ยทาสฺส อาตาปิโน ฌายโต พฺราหฺมณสฺส วุตฺตปฺปการา ธมฺมา ปาตุภวนฺติฯ อถสฺส ยา นิพฺพานสฺส อวิทิตตฺตา กงฺขา อุปฺปเชฺชยฺยุํ, สพฺพาปิ ตา กงฺขา วปยนฺตีติฯ

    Yato khayaṃ paccayānaṃ avedīhi yasmā paccayānaṃ khayasaṅkhātaṃ nibbānaṃ avedi aññāsi paṭivijjhi, tasmā yadāssa ātāpino jhāyato brāhmaṇassa vuttappakārā dhammā pātubhavanti. Athassa yā nibbānassa aviditattā kaṅkhā uppajjeyyuṃ, sabbāpi tā kaṅkhā vapayantīti.

    อารญฺญนฺติ อารญฺญกํฯ อญฺญาตุเญฺฉน ยาเปนฺตนฺติ กุเลสุ อญฺญาโต นิจฺจนโวเยว หุตฺวา อุเญฺฉน ปิณฺฑจริยาย ยาเปนฺตํฯ อถ วา อภิลกฺขิเตสุ อิสฺสรชนเคเหสุ กฎุกภณฺฑสมฺภารํ สุคนฺธโภชนํ ปริเยสนฺตสฺส อุญฺฉนํ ญาตุญฺฉนํ นาม, ฆรปฎิปาฎิยา ปน ทฺวาเร ฐิเตน ลทฺธมิสฺสกโภชนํ อญฺญาตุญฺฉนํ นามฯ อิทํ อิธ อธิเปฺปตํฯ เตน ยาเปนฺตํฯ กาเมสุ อนเปกฺขินนฺติ วตฺถุกามกิเลสกาเมสุ นิรเปกฺขํฯ

    Āraññanti āraññakaṃ. Aññātuñchena yāpentanti kulesu aññāto niccanavoyeva hutvā uñchena piṇḍacariyāya yāpentaṃ. Atha vā abhilakkhitesu issarajanagehesu kaṭukabhaṇḍasambhāraṃ sugandhabhojanaṃ pariyesantassa uñchanaṃ ñātuñchanaṃ nāma, gharapaṭipāṭiyā pana dvāre ṭhitena laddhamissakabhojanaṃ aññātuñchanaṃ nāma. Idaṃ idha adhippetaṃ. Tena yāpentaṃ. Kāmesu anapekkhinanti vatthukāmakilesakāmesu nirapekkhaṃ.

    เฉตฺวาติ วธิตฺวาฯ สุขํ เสตีติ โกธปริฬาเหน อปริทยฺหมานตฺตา สุขํ สยติฯ น โสจตีติ โกธวินาเสน วินฎฺฐโทมนสฺสตฺตา น โสจติฯ วิสมูลสฺสาติ ทุกฺขวิปากสฺสฯ มธุรคฺคสฺสาติ ยํ อกฺกุฎฺฐสฺส ปจฺจโกฺกสิตฺวา ปหฎสฺส ปฎิปฺปหริตฺวา สุขํ อุปฺปชฺชติ, ตํ สนฺธาย โส ‘‘มธุรโคฺค’’ติ วุโตฺตฯ อิมสฺมิญฺหิ ฐาเน ปริโยสานํ ‘‘อคฺค’’นฺติ วุตฺตํฯ อริยาติ พุทฺธาทโยฯ

    Chetvāti vadhitvā. Sukhaṃ setīti kodhapariḷāhena aparidayhamānattā sukhaṃ sayati. Na socatīti kodhavināsena vinaṭṭhadomanassattā na socati. Visamūlassāti dukkhavipākassa. Madhuraggassāti yaṃ akkuṭṭhassa paccakkositvā pahaṭassa paṭippaharitvā sukhaṃ uppajjati, taṃ sandhāya so ‘‘madhuraggo’’ti vutto. Imasmiñhi ṭhāne pariyosānaṃ ‘‘agga’’nti vuttaṃ. Ariyāti buddhādayo.

    หเนติ หเนยฺยฯ อุปฺปติตนฺติ อสมุคฺฆาฎิตํ อวิกฺขมฺภิตุปฺปนฺนวเสน สมุทาจารุปฺปนฺนวเสน สมุทาจรนฺตํฯ วิโนทเยติ อตฺตโน สนฺตานโต นีหเรยฺยฯ

    Haneti haneyya. Uppatitanti asamugghāṭitaṃ avikkhambhituppannavasena samudācāruppannavasena samudācarantaṃ. Vinodayeti attano santānato nīhareyya.

    ๑๐๑.

    101.

    สตฺติยาติ เทสนาสีสเมตํ, เอกโตธาราทินา สเตฺถนาติ อโตฺถฯ โอมโฎฺฐติ ปหโฎฯ จตฺตาโร หิ ปหารา โอมโฎฺฐ อุมฺมโฎฺฐ มโฎฺฐ วิมโฎฺฐติฯ ตตฺถ อุปริ ฐตฺวา อโธมุขํ ทินฺนปฺปหาโร โอมโฎฺฐ นาม, อโธ ฐตฺวา อุทฺธํ มุขํ ทินฺนปฺปหาโร อุมฺมโฎฺฐ นาม, อคฺคฬสูจิ วิย วินิวิชฺฌิตฺวา กโต มโฎฺฐ นาม, เสโส สโพฺพปิ วิมโฎฺฐ นามฯ อิมสฺมิํ ปน ฐาเน โอมโฎฺฐ คหิโตฯ โส หิ สพฺพทารุโณ ทุรุทฺธรณสโลฺล ทุตฺติกิโจฺฉ อโนฺตโทโส อโนฺตปุพฺพโลหิโต จ โหติฯ ปุพฺพโลหิตํ อนิกฺขมิตฺวา วณมุขํ ปริโยนนฺธิตฺวา ติฎฺฐติฯ ปุพฺพโลหิตํ นีหริตุกาเมหิ มเญฺจน สทฺธิํ พนฺธิตฺวา อโธสิโร กาตโพฺพ โหติ, มรณํ วา มรณมตฺตํ วา ทุกฺขํ ปาปุณาติฯ ปริพฺพเชติ วิหเรยฺยฯ

    Sattiyāti desanāsīsametaṃ, ekatodhārādinā satthenāti attho. Omaṭṭhoti pahaṭo. Cattāro hi pahārā omaṭṭho ummaṭṭho maṭṭho vimaṭṭhoti. Tattha upari ṭhatvā adhomukhaṃ dinnappahāro omaṭṭho nāma, adho ṭhatvā uddhaṃ mukhaṃ dinnappahāro ummaṭṭho nāma, aggaḷasūci viya vinivijjhitvā kato maṭṭho nāma, seso sabbopi vimaṭṭho nāma. Imasmiṃ pana ṭhāne omaṭṭho gahito. So hi sabbadāruṇo duruddharaṇasallo duttikiccho antodoso antopubbalohito ca hoti. Pubbalohitaṃ anikkhamitvā vaṇamukhaṃ pariyonandhitvā tiṭṭhati. Pubbalohitaṃ nīharitukāmehi mañcena saddhiṃ bandhitvā adhosiro kātabbo hoti, maraṇaṃ vā maraṇamattaṃ vā dukkhaṃ pāpuṇāti. Paribbajeti vihareyya.

    อิมาย คาถาย กิํ กถิตํ? ยถา สตฺติยา โอมฎฺฐปุริโส สลฺลุพฺพาหนวณติกิจฺฉนานํ อตฺถาย วีริยํ อารภติ ปโยคํ กโรติ ปรกฺกมติฯ ยถา จ ทยฺหมาเน มตฺถเก อาทิตฺตสิโร ตสฺส นิพฺพาปนตฺถาย วีริยํ อารภติ ปโยคํ กโรติ ปรกฺกมติ, เอวเมวํ ภิกฺขุ กามราคปฺปหานาย สโต อปฺปมโตฺต หุตฺวา วิหเรยฺย ภควาติ กเถสิฯ

    Imāya gāthāya kiṃ kathitaṃ? Yathā sattiyā omaṭṭhapuriso sallubbāhanavaṇatikicchanānaṃ atthāya vīriyaṃ ārabhati payogaṃ karoti parakkamati. Yathā ca dayhamāne matthake ādittasiro tassa nibbāpanatthāya vīriyaṃ ārabhati payogaṃ karoti parakkamati, evamevaṃ bhikkhu kāmarāgappahānāya sato appamatto hutvā vihareyya bhagavāti kathesi.

    เอวํ เทวตาย กถิเต อถ ภควา จิเนฺตสิ – ‘‘อิมาย เทวตาย อุปมา ทฬฺหํ กตฺวา อานีตา, อตฺถํ ปน ปริตฺตกํ คเหตฺวา ฐิตาฯ ปุนปฺปุนํ กเถนฺตีปิ หิ เอสา กามราคสฺส วิกฺขมฺภนปฺปหานเมว กเถยฺย, ยาว จ กามราโค มเคฺคน น สมุคฺฆาฎิยฺยติ, ตาว อนุพโนฺธว โหตี’’ติ ตเมว อุปมํ คเหตฺวา ปฐมมคฺควเสน เทวตาย วินิวเฎฺฎตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘‘สตฺติยา วิย โอมโฎฺฐ’’ติ ทุติยคาถมาหฯ ตสฺสโตฺถ ปุริมนยานุสาเรน เวทิตโพฺพฯ

    Evaṃ devatāya kathite atha bhagavā cintesi – ‘‘imāya devatāya upamā daḷhaṃ katvā ānītā, atthaṃ pana parittakaṃ gahetvā ṭhitā. Punappunaṃ kathentīpi hi esā kāmarāgassa vikkhambhanappahānameva katheyya, yāva ca kāmarāgo maggena na samugghāṭiyyati, tāva anubandhova hotī’’ti tameva upamaṃ gahetvā paṭhamamaggavasena devatāya vinivaṭṭetvā dassento ‘‘sattiyā viya omaṭṭho’’ti dutiyagāthamāha. Tassattho purimanayānusārena veditabbo.

    โลกามิสนฺติ กามคุโณฯ สนฺติเปโกฺขติ สพฺพสงฺขารูปสมํ นิพฺพานํ อเปกฺขมาโนฯ ปญฺญวาติ ปญฺญวโนฺตฯ ปหิตโตฺตติ นิพฺพานํ ปติเปสิตจิโตฺตฯ วิรโต กามสญฺญายาติ ยาย กายจิ สพฺพโต กามสญฺญาย จตุตฺถมคฺคสมฺปยุตฺตาย สมุเจฺฉทวิรติยา วิรโตฯ ‘‘วิรโตฺต’’ติปิ ปาโฐฯ กามสญฺญายาติ ปน ภุมฺมวจนํ โหติฯ สคาถาวเคฺค (สํ. นิ. ๑.๙๖) ‘‘กามสญฺญาสู’’ติ ปาโฐฯ จตูหิ มเคฺคหิ ทสนฺนมฺปิ สํโยชนานํ อตีตตฺตา สพฺพสํโยชนาตีโตฯ จตุตฺถมเคฺคเนว วา อุทฺธมฺภาคิยสํโยชนาตีโต ตตฺร ตตฺราภินนฺทนโต นนฺทิสงฺขาตาย ตณฺหาย ติณฺณญฺจ ภวานํ ปริกฺขีณตฺตา นนฺทิภวปริกฺขีโณฯ โส ตาทิโส ขีณาสโว ภิกฺขุ คมฺภีเร สํสารณฺณเว น สีทติ

    Lokāmisanti kāmaguṇo. Santipekkhoti sabbasaṅkhārūpasamaṃ nibbānaṃ apekkhamāno. Paññavāti paññavanto. Pahitattoti nibbānaṃ patipesitacitto. Virato kāmasaññāyāti yāya kāyaci sabbato kāmasaññāya catutthamaggasampayuttāya samucchedaviratiyā virato. ‘‘Viratto’’tipi pāṭho. Kāmasaññāyāti pana bhummavacanaṃ hoti. Sagāthāvagge (saṃ. ni. 1.96) ‘‘kāmasaññāsū’’ti pāṭho. Catūhi maggehi dasannampi saṃyojanānaṃ atītattā sabbasaṃyojanātīto. Catutthamaggeneva vā uddhambhāgiyasaṃyojanātīto tatra tatrābhinandanato nandisaṅkhātāya taṇhāya tiṇṇañca bhavānaṃ parikkhīṇattā nandibhavaparikkhīṇo. So tādiso khīṇāsavo bhikkhu gambhīre saṃsāraṇṇave na sīdati.

    สทฺทหาโนติ เยน ปุพฺพภาเค กายสุจริตาทิเภเทน, อปรภาเค จ สตฺตตฺติํสโพธิปกฺขิยเภเทน ธเมฺมน อรหโนฺต พุทฺธปเจฺจกพุทฺธพุทฺธสาวกา นิพฺพานํ ปตฺตาฯ ตํ สทฺทหาโน อรหตํ ธมฺมํ นิพฺพานปฺปตฺติยา โลกิยโลกุตฺตรปญฺญํ ลภติ, ตญฺจ โข น สทฺธามตฺตเกเนวฯ ยสฺมา ปน สทฺธาชาโต อุปสงฺกมติ, อุปสงฺกมโนฺต ปยิรุปาสติ, ปยิรุปาสโนฺต โสตํ โอทหติ, โอทหิตโสโต ธมฺมํ สุณาติ, ตสฺมา อุปสงฺกมนโต ปฎฺฐาย ยาว ธมฺมสฺสวเนน สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญํ

    Saddahānoti yena pubbabhāge kāyasucaritādibhedena, aparabhāge ca sattattiṃsabodhipakkhiyabhedena dhammena arahanto buddhapaccekabuddhabuddhasāvakā nibbānaṃ pattā. Taṃ saddahāno arahataṃ dhammaṃ nibbānappattiyā lokiyalokuttarapaññaṃ labhati, tañca kho na saddhāmattakeneva. Yasmā pana saddhājāto upasaṅkamati, upasaṅkamanto payirupāsati, payirupāsanto sotaṃ odahati, odahitasoto dhammaṃ suṇāti, tasmā upasaṅkamanato paṭṭhāya yāva dhammassavanena sussūsaṃ labhate paññaṃ.

    กิํ วุตฺตํ โหติ? ตํ ธมฺมํ สทฺทหิตฺวาปิ อาจริยุปชฺฌาเย กาเลน กาลํ อุปสงฺกมิตฺวาปิ วตฺตกรเณน ปยิรุปาสิตฺวา ยทา ปยิรุปาสนาย อาราธิตจิตฺตา กิญฺจิ วตฺตุกามา โหนฺติฯ อถ อธิคตาย โสตุกามตาย โสตํ โอทหิตฺวา สุณโนฺต ลภตีติ เอวํ สุสฺสูสมฺปิ จ สติอวิปฺปวาเสน อปฺปมโตฺต สุภาสิตทุพฺภาสิตญฺญุตาย วิจกฺขโณ เอว ลภติ, น อิตโรฯ เตนาห – ‘‘อปฺปมโตฺต วิจกฺขโณ’’ติฯ

    Kiṃ vuttaṃ hoti? Taṃ dhammaṃ saddahitvāpi ācariyupajjhāye kālena kālaṃ upasaṅkamitvāpi vattakaraṇena payirupāsitvā yadā payirupāsanāya ārādhitacittā kiñci vattukāmā honti. Atha adhigatāya sotukāmatāya sotaṃ odahitvā suṇanto labhatīti evaṃ sussūsampi ca satiavippavāsena appamatto subhāsitadubbhāsitaññutāya vicakkhaṇo eva labhati, na itaro. Tenāha – ‘‘appamatto vicakkhaṇo’’ti.

    ปติรูปการีติ เทสกาลาทีนิ อหาเปตฺวา โลกิยสฺส โลกุตฺตรสฺส ธมฺมสฺส ปติรูปํ อธิคมูปายํ กโรตีติ ปติรูปการีฯ ธุรวาติ เจตสิกวีริยวเสน อนิกฺขิตฺตธุโรฯ อุฎฺฐาตาติ กายิกวีริยวเสน อุฎฺฐานสมฺปโนฺน อสิถิลปรกฺกโมฯ วินฺทเต ธนนฺติ โลกิยโลกุตฺตรธนํ อธิคจฺฉติฯ สเจฺจนาติ วจีสเจฺจน ปรมตฺถสเจฺจน จฯ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธอริยสาวกา นิพฺพุติํ ปาปุณนฺตา กิตฺติมฺปิ ปาปุณนฺติเยวฯ ททนฺติ ปเรสํ ยํ กิญฺจิ อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ เทโนฺต มิตฺตานิ คนฺถติ สมฺปาเทติ กโรตีติ อโตฺถฯ ทุทฺททํ วา ททโนฺต คนฺถติ, ทานมุเขน จตฺตาริปิ สงฺคหวตฺถูนิ คหิตานีติ เวทิตพฺพานิฯ เตหิ มิตฺตานิ กโรนฺติฯ อสฺมา โลกา ปรํ โลกํ, ส เว เปจฺจ น โสจตีติ ยสฺส ปุคฺคลสฺส อิเม สทฺธาทโย ธมฺมา วิชฺชนฺติ, โส อิมสฺมา โลกา ปรํ โลกํ คนฺตฺวา น โสจติ, โสกการณํ ตสฺส นตฺถีติ อโตฺถฯ

    Patirūpakārīti desakālādīni ahāpetvā lokiyassa lokuttarassa dhammassa patirūpaṃ adhigamūpāyaṃ karotīti patirūpakārī. Dhuravāti cetasikavīriyavasena anikkhittadhuro. Uṭṭhātāti kāyikavīriyavasena uṭṭhānasampanno asithilaparakkamo. Vindate dhananti lokiyalokuttaradhanaṃ adhigacchati. Saccenāti vacīsaccena paramatthasaccena ca. Buddhapaccekabuddhaariyasāvakā nibbutiṃ pāpuṇantā kittimpi pāpuṇantiyeva. Dadanti paresaṃ yaṃ kiñci icchitaṃ patthitaṃ dento mittāni ganthati sampādeti karotīti attho. Duddadaṃ vā dadanto ganthati, dānamukhena cattāripi saṅgahavatthūni gahitānīti veditabbāni. Tehi mittāni karonti. Asmā lokā paraṃ lokaṃ, sa ve pecca na socatīti yassa puggalassa ime saddhādayo dhammā vijjanti, so imasmā lokā paraṃ lokaṃ gantvā na socati, sokakāraṇaṃ tassa natthīti attho.

    ‘‘ยเสฺสเต จตุโร ธมฺมา, สทฺธสฺส ฆรเมสิโน;

    ‘‘Yassete caturo dhammā, saddhassa gharamesino;

    สจฺจํ ธโมฺม ธิติ จาโค, ส เว เปจฺจ น โสจตี’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๔๖; สุ. นิ. ๑๙๐) –

    Saccaṃ dhammo dhiti cāgo, sa ve pecca na socatī’’ti. (saṃ. ni. 1.246; su. ni. 190) –

    คาถํ อวเสสํ กตฺวา อุทาหฎํฯ อาฬวกสุเตฺต หิ อิมา คาถา อาฬวเกน ‘‘กถํ สุ ลภเต ปญฺญ’’นฺติอาทินา (สํ. นิ. ๑.๒๔๖; สุ. นิ. ๑๘๗) ปุเฎฺฐน ภควตา ภาสิตาติฯ

    Gāthaṃ avasesaṃ katvā udāhaṭaṃ. Āḷavakasutte hi imā gāthā āḷavakena ‘‘kathaṃ su labhate pañña’’ntiādinā (saṃ. ni. 1.246; su. ni. 187) puṭṭhena bhagavatā bhāsitāti.

    เยน เกนจิ วเณฺณนาติ เยน เกนจิ การเณน, ปกาเรน วาฯ สํวาโสติ เอกสฺมิํ ฐาเน สหวาโส สมาคโมฯ นฺติ ตถา สมาคตํ อนุกมฺปิตพฺพํ ปุริสํฯ มนสา เจ ปสเนฺนนาติ กรุณาสมุสฺสาหิเตน ปสาเทน ปสเนฺนน มนสาฯ น เตน โหติ สํยุโตฺตติ เตน ยถาวุเตฺตน อนุสาสเนน กามจฺฉนฺทาทีนํ สํโยชนวเสน สํยุโตฺต นาม น โหติฯ ยานุกมฺปา อนุทฺทยาติ ยา อริยมคฺคสมฺปาปนวเสน กรุณายนา, เมตฺตายนา จาติ อโตฺถฯ

    Yena kenaci vaṇṇenāti yena kenaci kāraṇena, pakārena vā. Saṃvāsoti ekasmiṃ ṭhāne sahavāso samāgamo. Tanti tathā samāgataṃ anukampitabbaṃ purisaṃ. Manasā ce pasannenāti karuṇāsamussāhitena pasādena pasannena manasā. Na tena hoti saṃyuttoti tena yathāvuttena anusāsanena kāmacchandādīnaṃ saṃyojanavasena saṃyutto nāma na hoti. Yānukampā anuddayāti yā ariyamaggasampāpanavasena karuṇāyanā, mettāyanā cāti attho.

    ๑๐๒.

    102.

    ราโค จ โทโส จาติ ราคโทสา เหฎฺฐา วุตฺตนยาวฯ กุโตนิทานาติ กิํนิทานา กิํเหตุกาฯ ปจฺจตฺตวจนสฺส หิ อยํ โต-อาเทโส, สมาเส จสฺส โลปาภาโว เวทิตโพฺพฯ อรตี รตี โลมหํโส กุโตชาติ ยายํ ปเนฺตสุ เสนาสเนสุ, อธิกุสเลสุ จ ธเมฺมสุ อรติ อุกฺกณฺฐิตา, ยา จ ปญฺจสุ กามคุเณสุ รติ อภิรติ อาสตฺติ กีฬนาทิ, โย จ โลมหํสสมุฎฺฐานโต โลมหํสสงฺขาโต จิตฺตุตฺราโส, อิเม ตโย ธมฺมา กุโต ชาตา กุโต นิพฺพตฺตาติ ปุจฺฉาฯ กุโต สมุฎฺฐายาติ กุโต อุปฺปชฺชิตฺวาฯ มโนติ กุสลจิตฺตํฯ วิตกฺกาติ กามวิตกฺกาทโยฯ กุมารกา ธงฺกมิโวสชนฺตีติ ยถา กุมารกา กีฬนฺตา กากํ สุเตฺตน ปาเท พนฺธิตฺวา โอสชนฺติ ขิปนฺติ, เอวํ กุสลมนํ อกุสลวิตกฺกา กุโต สมุฎฺฐาย โอสชนฺตีติ ปุจฺฉาฯ

    Rāgo ca doso cāti rāgadosā heṭṭhā vuttanayāva. Kutonidānāti kiṃnidānā kiṃhetukā. Paccattavacanassa hi ayaṃ to-ādeso, samāse cassa lopābhāvo veditabbo. Aratī ratī lomahaṃso kutojāti yāyaṃ pantesu senāsanesu, adhikusalesu ca dhammesu arati ukkaṇṭhitā, yā ca pañcasu kāmaguṇesu rati abhirati āsatti kīḷanādi, yo ca lomahaṃsasamuṭṭhānato lomahaṃsasaṅkhāto cittutrāso, ime tayo dhammā kuto jātā kuto nibbattāti pucchā. Kuto samuṭṭhāyāti kuto uppajjitvā. Manoti kusalacittaṃ. Vitakkāti kāmavitakkādayo. Kumārakā dhaṅkamivosajantīti yathā kumārakā kīḷantā kākaṃ suttena pāde bandhitvā osajanti khipanti, evaṃ kusalamanaṃ akusalavitakkā kuto samuṭṭhāya osajantīti pucchā.

    ราโค จาติ ทุติยคาถา ตสฺสา วิสฺสชฺชนํฯ ตตฺถ อิโตติ อตฺตภาวํ สนฺธายาหฯ อตฺตภาวนิทานา หิ ราคโทสา, อรติ รติ โลมหํสา จ อตฺตภาวโต ชาตาฯ กามวิตกฺกาทโย อตฺตภาวโต เอว สมุฎฺฐาย กุสลมนํ โอสชนฺติฯ เตน ตทญฺญํ ปกติอาทิการณํ ปฎิกฺขิปโนฺต อาห – ‘‘อิโตนิทานา อิโต สมุฎฺฐายา’’ติฯ ปุริมคาถาย วุตฺตนเยเนตฺถ สทฺทสิทฺธิ เวทิตพฺพาฯ

    Rāgoti dutiyagāthā tassā vissajjanaṃ. Tattha itoti attabhāvaṃ sandhāyāha. Attabhāvanidānā hi rāgadosā, arati rati lomahaṃsā ca attabhāvato jātā. Kāmavitakkādayo attabhāvato eva samuṭṭhāya kusalamanaṃ osajanti. Tena tadaññaṃ pakatiādikāraṇaṃ paṭikkhipanto āha – ‘‘itonidānā ito samuṭṭhāyā’’ti. Purimagāthāya vuttanayenettha saddasiddhi veditabbā.

    อิทานิ ยฺวายํ ‘‘อิโตนิทานา’’ติอาทีสุ อตฺตภาวนิทานา อตฺตภาวโต ชาตา อตฺตภาวโต สมุฎฺฐายาติ อโตฺถ วุโตฺต, ตํ สาเธโนฺต อาห – ‘‘เสฺนหชา อตฺตสมฺภูตา’’ติฯ เอเต หิ ราคาทโย วิตกฺกปริโยสานา ตณฺหาเสฺนเหน ชาตาฯ ตถา ชายนฺตา จ ปญฺจุปาทานกฺขนฺธเภเท อตฺตภาวสงฺขาเต อตฺตนิ สมฺภูตาฯ เตนาห – ‘‘เสฺนหชา อตฺตสมฺภูตา’’ติฯ อิทานิ ตทตฺถโชติกํ อุปมํ ทเสฺสติ ‘‘นิโคฺรธเสฺสว ขนฺธชา’’ติฯ ตตฺถ ขนฺธชาติ ขเนฺธสุ ชาตา ปาโรหาฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา นิโคฺรธสฺส ขนฺธชสงฺขาตา ปาโรหา อาโปรสสงฺขาเต เสฺนเห สติ ชายนฺติ, ชายนฺตา จ ตสฺมิํเยว นิโคฺรเธ เตสุ เตสุ สาขปฺปเทเสสุ สมฺภวนฺติ, เอวํ เอเต ราคาทโย อชฺฌตฺตํ ตณฺหาเสฺนเห สติ ชายนฺติ, ชายนฺตา จ ตสฺมิํเยว อตฺตภาเว เตสุ เตสุ จกฺขาทิปฺปเทเสสุ อิฎฺฐารมฺมเณสุ สมฺภวนฺติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เสฺนหชา อตฺตสมฺภูตา’’ติฯ ปุถุ วิสตฺตา กาเมสูติ ยสฺมา ราโคปิ ปญฺจกามคุณิกาทิวเสน, โทโสปิ อาฆาตวตฺถุอาทิวเสน อรติอาทโยปิ ตสฺส ตสฺส เภทสฺส วเสนาติ สพฺพถา สเพฺพปิเม กิเลสา ปุถุ อเนกปฺปการา หุตฺวา วตฺถุทฺวารารมฺมณาทิวเสน เตสุ เตสุ กาเมสุ ตถา ตถา วิสตฺตา ลคฺคา สํสิพฺพิตฺวา ฐิตาฯ กิมิว? มาลุวาว วิตตา วเน ยถา วเน วิตตา มาลุวา เตสุ เตสุ รุกฺขสาขปฺปสาขาทิเภเทสุ วิสตฺตา โหติ ลคฺคา สํสิพฺพิตฺวา ฐิตา, เอวํ เอเต กิเลสา ธมฺมา, ตสฺมา เอตฺถ ปุถุปเภเทสุ วตฺถุกาเมสุ วิสตฺตํ กิเลสคหนํฯ

    Idāni yvāyaṃ ‘‘itonidānā’’tiādīsu attabhāvanidānā attabhāvato jātā attabhāvato samuṭṭhāyāti attho vutto, taṃ sādhento āha – ‘‘snehajā attasambhūtā’’ti. Ete hi rāgādayo vitakkapariyosānā taṇhāsnehena jātā. Tathā jāyantā ca pañcupādānakkhandhabhede attabhāvasaṅkhāte attani sambhūtā. Tenāha – ‘‘snehajā attasambhūtā’’ti. Idāni tadatthajotikaṃ upamaṃ dasseti ‘‘nigrodhasseva khandhajā’’ti. Tattha khandhajāti khandhesu jātā pārohā. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā nigrodhassa khandhajasaṅkhātā pārohā āporasasaṅkhāte snehe sati jāyanti, jāyantā ca tasmiṃyeva nigrodhe tesu tesu sākhappadesesu sambhavanti, evaṃ ete rāgādayo ajjhattaṃ taṇhāsnehe sati jāyanti, jāyantā ca tasmiṃyeva attabhāve tesu tesu cakkhādippadesesu iṭṭhārammaṇesu sambhavanti. Tena vuttaṃ – ‘‘snehajā attasambhūtā’’ti. Puthu visattā kāmesūti yasmā rāgopi pañcakāmaguṇikādivasena, dosopi āghātavatthuādivasena aratiādayopi tassa tassa bhedassa vasenāti sabbathā sabbepime kilesā puthu anekappakārā hutvā vatthudvārārammaṇādivasena tesu tesu kāmesu tathā tathā visattā laggā saṃsibbitvā ṭhitā. Kimiva? Māluvāva vitatā vane yathā vane vitatā māluvā tesu tesu rukkhasākhappasākhādibhedesu visattā hoti laggā saṃsibbitvā ṭhitā, evaṃ ete kilesā dhammā, tasmā ettha puthupabhedesu vatthukāmesu visattaṃ kilesagahanaṃ.

    เย นํ ปชานนฺติ ยโตนิทานํ, เต นํ วิโนเทนฺติ สุโณหิ ยกฺขฯ ตสฺสโตฺถ – เย สตฺตา นํ กิเลสคหนํ ‘‘อิโตนิทานํ เอส อุปฺปชฺชตี’’ติ ชานนฺติ, เต นํ ตณฺหาสิเนหสิเนหิเต อตฺตภาเว อุปฺปชฺชตีติ ญตฺวา ตํ ตณฺหาสิเนหํ อาทีนวานุปสฺสนาทิภาวนาญาณคฺคินา วิโสเสนฺตา วิโนเทนฺติ ปชหนฺติ, เอวํ อมฺหากํ ภาสิตํ สุโณหิ ยกฺขาติฯ เต ทุตฺตรํ โอฆมิมํ ตรนฺติ, อติณฺณปุพฺพํ อปุนพฺภวายาติ เย หิ สํกิเลสคหนํ วิโนเทนฺติ, เต เอกเนฺตน มคฺคํ ภาเวนฺติฯ น หิ มคฺคภาวนํ วินา กิเลสวิโนทนํ อตฺถิฯ เอวํ มคฺคํ ภาเวนฺตา เต ปกติญาเณน ทุตฺตรํ กาโมฆาทิํ จตุพฺพิธํ โอฆํ อิมินา ทีเฆน อทฺธุนา สุปินเนฺตนปิ อติณฺณปุพฺพํ อนติกฺกนฺตปุพฺพํ อปุนพฺภวาย นิพฺพานาย ตรนฺติฯ

    Ye naṃ pajānanti yatonidānaṃ, te naṃ vinodenti suṇohi yakkha. Tassattho – ye sattā naṃ kilesagahanaṃ ‘‘itonidānaṃ esa uppajjatī’’ti jānanti, te naṃ taṇhāsinehasinehite attabhāve uppajjatīti ñatvā taṃ taṇhāsinehaṃ ādīnavānupassanādibhāvanāñāṇagginā visosentā vinodenti pajahanti, evaṃ amhākaṃ bhāsitaṃ suṇohi yakkhāti. Te duttaraṃ oghamimaṃ taranti, atiṇṇapubbaṃ apunabbhavāyāti ye hi saṃkilesagahanaṃ vinodenti, te ekantena maggaṃ bhāventi. Na hi maggabhāvanaṃ vinā kilesavinodanaṃ atthi. Evaṃ maggaṃ bhāventā te pakatiñāṇena duttaraṃ kāmoghādiṃ catubbidhaṃ oghaṃ iminā dīghena addhunā supinantenapi atiṇṇapubbaṃ anatikkantapubbaṃ apunabbhavāya nibbānāya taranti.

    ทุกฺกรํ ภควาติ เอโก กิร เทวปุโตฺต ปุพฺพโยคาวจโร พหลกิเลสตาย สปฺปโยเคน กิเลเส วิกฺขเมฺภโนฺต สมณธมฺมํ กตฺวา ปุพฺพเหตุมนฺทตาย อริยภูมิํ อปฺปตฺวาว กาลํ กตฺวา เทวโลเก นิพฺพโตฺต, โส ตถาคตํ อุปสงฺกมิตฺวา ทุกฺกรภาวํ อาโรเจโนฺต เอวมาหฯ ตตฺถ ทุกฺกรนฺติ ทสปิ วสฺสานิ…เป.… สฎฺฐิปิ วสฺสานิ เอกนฺตปริสุทฺธสฺส สมณธมฺมสฺส กรณํ นาเมตํ ทุกฺกรํฯ เสกฺขาติ สตฺต เสกฺขาฯ สีลสมาหิตาติ สีเลน สมาหิตา สมุเปตาฯ ฐิตตฺตาติ ปติฎฺฐิตสภาวาฯ เอวํ ปุจฺฉิตปญฺหํ วิสฺสชฺชิตฺวา อุปริปญฺหํ สมุฎฺฐาปนตฺถํ ‘‘อนคาริยุเปตสฺสา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อนคาริยุเปตสฺสาติ อนคาริยํ นิเคฺคหภาวํ อุปคตสฺส, ปพฺพชิตสฺสาติ อโตฺถฯ ตุฎฺฐีติ จตุปจฺจยสโนฺตโสฯ

    Dukkaraṃ bhagavāti eko kira devaputto pubbayogāvacaro bahalakilesatāya sappayogena kilese vikkhambhento samaṇadhammaṃ katvā pubbahetumandatāya ariyabhūmiṃ appatvāva kālaṃ katvā devaloke nibbatto, so tathāgataṃ upasaṅkamitvā dukkarabhāvaṃ ārocento evamāha. Tattha dukkaranti dasapi vassāni…pe… saṭṭhipi vassāni ekantaparisuddhassa samaṇadhammassa karaṇaṃ nāmetaṃ dukkaraṃ. Sekkhāti satta sekkhā. Sīlasamāhitāti sīlena samāhitā samupetā. Ṭhitattāti patiṭṭhitasabhāvā. Evaṃ pucchitapañhaṃ vissajjitvā uparipañhaṃ samuṭṭhāpanatthaṃ ‘‘anagāriyupetassā’’tiādimāha. Tattha anagāriyupetassāti anagāriyaṃ niggehabhāvaṃ upagatassa, pabbajitassāti attho. Tuṭṭhīti catupaccayasantoso.

    ภาวนายาติ จิตฺตวูปสมภาวนายฯ เต เฉตฺวา มจฺจุโน ชาลนฺติ เย รตฺตินฺทิวํ อินฺทฺริยูปสเม รตา, เต ทุสฺสมาทหํ จิตฺตํ สมาทหนฺติฯ เย สมาหิตจิตฺตา, เต จตุปจฺจยสโนฺตสํ ปูเรนฺตา น กิลมนฺติฯ เย สนฺตุฎฺฐา, เต สีลํ ปูเรนฺตา น กิลมนฺติฯ เย สีเล ปติฎฺฐิตา สตฺต เสกฺขา, เต อริยา มจฺจุโน ชาลสงฺขาตํ กิเลสชาลํ ฉินฺทิตฺวา คจฺฉนฺติฯ

    Bhāvanāyāti cittavūpasamabhāvanāya. Te chetvā maccuno jālanti ye rattindivaṃ indriyūpasame ratā, te dussamādahaṃ cittaṃ samādahanti. Ye samāhitacittā, te catupaccayasantosaṃ pūrentā na kilamanti. Ye santuṭṭhā, te sīlaṃ pūrentā na kilamanti. Ye sīle patiṭṭhitā satta sekkhā, te ariyā maccuno jālasaṅkhātaṃ kilesajālaṃ chinditvā gacchanti.

    ทุคฺคโมติ สจฺจเมตํ, ภเนฺต, เย อินฺทฺริยูปสเม รตา, เต ทุสฺสมาทหํ จิตฺตํ สมาทหนฺติฯ เย สมาหิตจิตฺตา, เต จตุปจฺจยสโนฺตสํ ปูเรนฺตา น กิลมนฺติฯ เย สนฺตุฎฺฐา, เต สีลํ ปูเรนฺตา น กิลมนฺติฯ เย สีเล ปรมคฺคาหิโน สตฺต เสกฺขา, เต อริยา มจฺจุโน ชาลสงฺขาตํ กิเลสชาลํ ฉินฺทิตฺวา คจฺฉนฺติฯ กิํ น คมิสฺสนฺติ, อยํ ปน ทุคฺคโม ‘‘ภควา วิสโม มโคฺค’’ติ อาหฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ อริยมโคฺค เนว ทุคฺคโม น วิสโม, ปุพฺพภาคปฎิปทาย ปนสฺส พหู ปริสฺสยา โหนฺติ, ตสฺมา เอวํ วุโตฺตฯ อวํสิราติ ญาณสิเรน อโธสิรา หุตฺวา ปปตนฺติฯ อริยมคฺคํ อาโรหิตุํ อสมตฺถตาย เอว เต มเคฺค ปปตนฺตีติ วุจฺจนฺติฯ อริยานํ สโม มโคฺคติ เสฺวว มโคฺค อริยานํ สโม โหติฯ วิสเม สมาติ วิสเมปิ สตฺตกาเย สมา เอวฯ

    Duggamoti saccametaṃ, bhante, ye indriyūpasame ratā, te dussamādahaṃ cittaṃ samādahanti. Ye samāhitacittā, te catupaccayasantosaṃ pūrentā na kilamanti. Ye santuṭṭhā, te sīlaṃ pūrentā na kilamanti. Ye sīle paramaggāhino satta sekkhā, te ariyā maccuno jālasaṅkhātaṃ kilesajālaṃ chinditvā gacchanti. Kiṃ na gamissanti, ayaṃ pana duggamo ‘‘bhagavāvisamo maggo’’ti āha. Tattha kiñcāpi ariyamaggo neva duggamo na visamo, pubbabhāgapaṭipadāya panassa bahū parissayā honti, tasmā evaṃ vutto. Avaṃsirāti ñāṇasirena adhosirā hutvā papatanti. Ariyamaggaṃ ārohituṃ asamatthatāya eva te magge papatantīti vuccanti. Ariyānaṃ samo maggoti sveva maggo ariyānaṃ samo hoti. Visame samāti visamepi sattakāye samā eva.

    ๑๐๓.

    103.

    อิทญฺหิ ตํ เชตวนนฺติ อนาถปิณฺฑิโก เทวปุโตฺต เชตวนสฺส เจว พุทฺธาทีนญฺจ วณฺณภณนตฺถํ อาคนฺตฺวา เอวมาหฯ อิสิสงฺฆนิเสวิตนฺติ ภิกฺขุสงฺฆนิเวสิตํฯ เอวํ ปฐมคาถาย เชตวนสฺส วณฺณํ กเถตฺวา อิทานิ อริยมคฺคสฺส วณฺณํ กเถโนฺต ‘‘กมฺมํ วิชฺชา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ กมฺมนฺติ มคฺคเจตนาฯ วิชฺชาติ มคฺคปญฺญาฯ ธโมฺมติ สมาธิ, สมาธิปกฺขิกา วา ธมฺมาฯ สีลํ ชีวิตมุตฺตมนฺติ สีเล ปติฎฺฐิตสฺส ชีวิตญฺจ อุตฺตมนฺติ ทเสฺสติฯ อถ วา วิชฺชาติ ทิฎฺฐิสงฺกปฺปาฯ ธโมฺมติ วายามสติสมาธโยฯ สีลนฺติ วาจากมฺมนฺตาชีวาฯ ชีวิตมุตฺตมนฺติ เอตสฺมิํ สีเล ปติฎฺฐิตสฺส ชีวิตํ นาม อุตฺตมนฺติฯ ‘‘เอเตน มจฺจา สุชฺฌนฺตี’’ติ เอเตน อฎฺฐงฺคิเกน มเคฺคน สตฺตา วิสุชฺฌนฺติฯ

    Idañhi taṃ jetavananti anāthapiṇḍiko devaputto jetavanassa ceva buddhādīnañca vaṇṇabhaṇanatthaṃ āgantvā evamāha. Isisaṅghanisevitanti bhikkhusaṅghanivesitaṃ. Evaṃ paṭhamagāthāya jetavanassa vaṇṇaṃ kathetvā idāni ariyamaggassa vaṇṇaṃ kathento ‘‘kammaṃ vijjā’’tiādimāha. Tattha kammanti maggacetanā. Vijjāti maggapaññā. Dhammoti samādhi, samādhipakkhikā vā dhammā. Sīlaṃ jīvitamuttamanti sīle patiṭṭhitassa jīvitañca uttamanti dasseti. Atha vā vijjāti diṭṭhisaṅkappā. Dhammoti vāyāmasatisamādhayo. Sīlanti vācākammantājīvā. Jīvitamuttamanti etasmiṃ sīle patiṭṭhitassa jīvitaṃ nāma uttamanti. ‘‘Etena maccā sujjhantī’’ti etena aṭṭhaṅgikena maggena sattā visujjhanti.

    ตสฺมาติ ยสฺมา มเคฺคน สุชฺฌนฺติ, น โคตฺตธเนหิ, ตสฺมาฯ โยนิโส วิจิเน ธมฺมนฺติ อุปาเยน โพธิปกฺขิยธมฺมํ วิจิเนยฺยฯ เอวํ ตตฺถ วิสุชฺฌตีติ เอวํ ตสฺมิํ อริยมเคฺค วิสุชฺฌติฯ อถ วา โยนิโส วิจิเน ธมฺมนฺติ อุปาเยน อริยสจฺจธมฺมํ วิจิเนยฺยฯ เอวํ ตตฺถ วิสุชฺฌตีติ เอวํ เตสุ จตูสุ อริยสเจฺจสุ วิสุชฺฌติฯ อิทานิ สาริปุตฺตเตฺถรสฺส วณฺณํ กเถโนฺต ‘‘สาริปุโตฺตวา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สาริปุโตฺตวาติ อวธารณวจนํ, เอเตหิ ปญฺญาทีหิ สาริปุโตฺตว เสโยฺยติ วทติฯ อุปสเมนาติ กิเลสวูปสเมนฯ ปารงฺคโตติ นิพฺพานํ คโต, โย โกจิ นิพฺพานปโตฺต ภิกฺขุ, น ตาทิโสฯ เอตาวปรโม สิยา, น เถรา อุตฺตริตโร นาม สาวโก อตฺถีติ วทติฯ

    Tasmāti yasmā maggena sujjhanti, na gottadhanehi, tasmā. Yoniso vicine dhammanti upāyena bodhipakkhiyadhammaṃ vicineyya. Evaṃ tattha visujjhatīti evaṃ tasmiṃ ariyamagge visujjhati. Atha vā yoniso vicine dhammanti upāyena ariyasaccadhammaṃ vicineyya. Evaṃ tattha visujjhatīti evaṃ tesu catūsu ariyasaccesu visujjhati. Idāni sāriputtattherassa vaṇṇaṃ kathento ‘‘sāriputtovā’’tiādimāha. Tattha sāriputtovāti avadhāraṇavacanaṃ, etehi paññādīhi sāriputtova seyyoti vadati. Upasamenāti kilesavūpasamena. Pāraṅgatoti nibbānaṃ gato, yo koci nibbānapatto bhikkhu, na tādiso. Etāvaparamo siyā, na therā uttaritaro nāma sāvako atthīti vadati.

    อตีตนฺติ อตีเต ปญฺจกฺขเนฺธฯ นานฺวาคเมยฺยาติ ตณฺหาทิฎฺฐีหิ นานุคเจฺฉยฺยฯ นปฺปฎิกเงฺขติ ตณฺหาทิฎฺฐีหิ น ปเตฺถยฺยฯ ยทตีตนฺติ อิทเมตฺถ การณวจนํฯ ยสฺมา ยํ อตีตํ, ตํ ปหีนํ นิรุทฺธํ อตฺถงฺคตํ, ตสฺมา ตํ นานุคเจฺฉยฺยฯ ยสฺมา จ ยํ ตตฺถ อนาคตํ, ตํ อปฺปตฺตํ อชาตํ อนิพฺพตฺตํ, ตสฺมา ตมฺปิ น ปเตฺถยฺยฯ ตตฺถ ตตฺถาติ ปจฺจุปฺปนฺนมฺปิ ธมฺมํ ยตฺถ ยเตฺถว โส อุปฺปโนฺน, ตตฺถ ตเตฺถว นํ อนิจฺจานุปสฺสนาทีหิ สตฺตหิ อนุปสฺสนาหิ วิปสฺสติ, อรญฺญาทีสุ วา ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติฯ อสํหีรํ อสํกุปฺปนฺติ อิทํ วิปสฺสนาปฎิวิปสฺสนาทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ วิปสฺสนา หิ ราคาทีหิ น สํหิรติ น กุปฺปตีติ อสํหีรา อสํกุปฺปา, ตํ อนุพฺรูหเย วเฑฺฒยฺย ปฎิวิปเสฺสยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ อถ วา นิพฺพานํ ราคาทีหิ น สํหิรติ น กุปฺปตีติ อสํหีรํ อสํกุปฺปํ, ตํ วิทฺวา ปณฺฑิโต ภิกฺขุ อนุพฺรูหเย, ปุนปฺปุนํ ตทารมฺมณํ ผลสมาปตฺติํ อเปฺปโนฺต วเฑฺฒยฺยาติ อโตฺถฯ

    Atītanti atīte pañcakkhandhe. Nānvāgameyyāti taṇhādiṭṭhīhi nānugaccheyya. Nappaṭikaṅkheti taṇhādiṭṭhīhi na pattheyya. Yadatītanti idamettha kāraṇavacanaṃ. Yasmā yaṃ atītaṃ, taṃpahīnaṃ niruddhaṃ atthaṅgataṃ, tasmā taṃ nānugaccheyya. Yasmā ca yaṃ tattha anāgataṃ, taṃ appattaṃ ajātaṃ anibbattaṃ, tasmā tampi na pattheyya. Tattha tatthāti paccuppannampi dhammaṃ yattha yattheva so uppanno, tattha tattheva naṃ aniccānupassanādīhi sattahi anupassanāhi vipassati, araññādīsu vā tattha tattha vipassati. Asaṃhīraṃ asaṃkuppanti idaṃ vipassanāpaṭivipassanādassanatthaṃ vuttaṃ. Vipassanā hi rāgādīhi na saṃhirati na kuppatīti asaṃhīrā asaṃkuppā, taṃ anubrūhaye vaḍḍheyya paṭivipasseyyāti vuttaṃ hoti. Atha vā nibbānaṃ rāgādīhi na saṃhirati na kuppatīti asaṃhīraṃ asaṃkuppaṃ, taṃ vidvā paṇḍito bhikkhu anubrūhaye, punappunaṃ tadārammaṇaṃ phalasamāpattiṃ appento vaḍḍheyyāti attho.

    ตสฺส ปน อนุพฺรูหนสฺส อตฺถาย อเชฺชว กิจฺจมาตปฺปนฺติ กิเลสานํ อาตาปนปริตาปเนน ‘‘อาตปฺป’’นฺติ ลทฺธนามํ วีริยํ อเชฺชว กาตพฺพํฯ โก ชญฺญา มรณํ สุเวติ เสฺว ชีวิตํ วา มรณํ วา โก ชานาติฯ อเชฺชว ทานํ ทสฺสามิ, สีลํ วา รกฺขิสฺสามิ, อญฺญตรํ วา ปน กุสลํ กริสฺสามิ, ‘‘อชฺช ตาว ปปโญฺจ อตฺถิ, เสฺว วา ปุนทิวเส วา ชานิสฺสามี’’ติ จิตฺตํ อนุปฺปาเทตฺวา ‘‘อเชฺชว กริสฺสามี’’ติ เอวํ วีริยํ กาตพฺพนฺติ ทเสฺสติฯ มหาเสเนนาติ อหิวิจฺฉิกวิสสตฺถาทีนิ หิ อเนกานิ มรณการณานิ ตสฺส เสนาติ ตาย มหติยา เสนาย วเสน มหาเสเนน เอวรูเปน มจฺจุนา สทฺธิํ ‘‘กติปาหํ ตาว อาคเมหิ, ยาวาหํ พุทฺธปูชาทิํ อตฺตโน อวสฺสยํ กมฺมํ กโรมี’’ติ เอวํ มิตฺตสนฺถวาการสงฺขาโต วา ‘‘อิทํ สตํ วา สหสฺสํ วา คเหตฺวา กติปาหํ อาคเมหี’’ติ เอวํ ลญฺชานุปฺปทานสงฺขาโต วา ‘‘อิมินา พลราสินา ปฎิพาหิสฺสามี’’ติ เอวํ พลราสิสงฺขาโต วา สงฺคโร นตฺถิฯ สงฺคโรติ หิ มิตฺตกรณลญฺชทานพลราสิสงฺกฑฺฒนานํ นามํ, ตสฺมา อยมโตฺถ วุโตฺตฯ อตนฺทิตนฺติ อนลสํ อุฎฺฐาหกํฯ เอวํ ปฎิปนฺนตฺตา ภโทฺท เอกรโตฺต อสฺสาติ ภเทฺทกรโตฺตฯ อิตีติ เอวํ ปฎิปนฺนํ ปุคฺคลํ ‘‘ภเทฺทกรโตฺต อย’’นฺติ ราคาทิสนฺตตาย สโนฺต พุทฺธมุนิ อาจิกฺขติ

    Tassa pana anubrūhanassa atthāya ajjeva kiccamātappanti kilesānaṃ ātāpanaparitāpanena ‘‘ātappa’’nti laddhanāmaṃ vīriyaṃ ajjeva kātabbaṃ. Ko jaññā maraṇaṃ suveti sve jīvitaṃ vā maraṇaṃ vā ko jānāti. Ajjeva dānaṃ dassāmi, sīlaṃ vā rakkhissāmi, aññataraṃ vā pana kusalaṃ karissāmi, ‘‘ajja tāva papañco atthi, sve vā punadivase vā jānissāmī’’ti cittaṃ anuppādetvā ‘‘ajjeva karissāmī’’ti evaṃ vīriyaṃ kātabbanti dasseti. Mahāsenenāti ahivicchikavisasatthādīni hi anekāni maraṇakāraṇāni tassa senāti tāya mahatiyā senāya vasena mahāsenena evarūpena maccunā saddhiṃ ‘‘katipāhaṃ tāva āgamehi, yāvāhaṃ buddhapūjādiṃ attano avassayaṃ kammaṃ karomī’’ti evaṃ mittasanthavākārasaṅkhāto vā ‘‘idaṃ sataṃ vā sahassaṃ vā gahetvā katipāhaṃ āgamehī’’ti evaṃ lañjānuppadānasaṅkhāto vā ‘‘iminā balarāsinā paṭibāhissāmī’’ti evaṃ balarāsisaṅkhāto vā saṅgaro natthi. Saṅgaroti hi mittakaraṇalañjadānabalarāsisaṅkaḍḍhanānaṃ nāmaṃ, tasmā ayamattho vutto. Atanditanti analasaṃ uṭṭhāhakaṃ. Evaṃ paṭipannattā bhaddo ekaratto assāti bhaddekaratto. Itīti evaṃ paṭipannaṃ puggalaṃ ‘‘bhaddekaratto aya’’nti rāgādisantatāya santo buddhamuni ācikkhati.

    จกฺขุนา ปญฺญาย จาติ จกฺขุนา จ ปญฺญาย จฯ จกฺขุภูตาย วา ปญฺญายฯ สติยา ปญฺญาย จาติ สติยา จ ปญฺญาย จ, สติวิสิฎฺฐาย วา ปญฺญายฯ กาเยนาติ นามกาเยนฯ

    Cakkhunā paññāya cāti cakkhunā ca paññāya ca. Cakkhubhūtāya vā paññāya. Satiyā paññāya cāti satiyā ca paññāya ca, sativisiṭṭhāya vā paññāya. Kāyenāti nāmakāyena.

    ทิพฺพจกฺขุ สุวิสุทฺธนฺติ ทิพฺพํ จกฺขุ สุวิสุทฺธํ, ยํ สจฺฉิกโรตีติ อธิปฺปาโยฯ ปุเพฺพนิวาสาติ ปุริมาสุ ชาตีสุ นิวุตฺถกฺขนฺธาฯ อิทฺธิวิธาติ อิทฺธิโกฎฺฐาสาฯ นิโรโธติ นิพฺพานํฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    Dibbacakkhusuvisuddhanti dibbaṃ cakkhu suvisuddhaṃ, yaṃ sacchikarotīti adhippāyo. Pubbenivāsāti purimāsu jātīsu nivutthakkhandhā. Iddhividhāti iddhikoṭṭhāsā. Nirodhoti nibbānaṃ. Sesaṃ suviññeyyameva.

    ๑๐๔.

    104.

    ยสฺส เสลูปมํ จิตฺตนฺติ เอกฆนํ เสลํ วิย ปกติวาเตหิ โลกธมฺมวาเตหิ อกมฺปนียโต ยสฺส จิตฺตํ เสลูปมํฯ เตนาห – ‘‘ฐิตํ นานุปกมฺปตี’’ติฯ รชนีเยสูติ ลาภาทีสุฯ โกปเนเยฺยติ อลาภาทิเกฯ กุโต นํ ทุกฺขเมสฺสตีติ ตํ เอวํ ภาวิตจิตฺตํ วีติกฺกนฺตโลกธมฺมํ อุตฺตมปุริสํ โลกธมฺมเหตุกํ ทุกฺขํ นานุคมิสฺสติฯ

    Yassaselūpamaṃ cittanti ekaghanaṃ selaṃ viya pakativātehi lokadhammavātehi akampanīyato yassa cittaṃ selūpamaṃ. Tenāha – ‘‘ṭhitaṃ nānupakampatī’’ti. Rajanīyesūti lābhādīsu. Kopaneyyeti alābhādike. Kuto naṃ dukkhamessatīti taṃ evaṃ bhāvitacittaṃ vītikkantalokadhammaṃ uttamapurisaṃ lokadhammahetukaṃ dukkhaṃ nānugamissati.

    โย พฺราหฺมโณติ พาหิตปาปธมฺมตาย พฺราหฺมโณ, น ทิฎฺฐมงฺคลิกตาย หุํหุงฺการกสาวาทิปาปธมฺมยุโตฺต หุตฺวา เกวลํ ชาติมเตฺตน พฺราหฺมโณติ ปฎิชานาติฯ โส พฺราหฺมโณ พาหิตปาปธมฺมตฺตา หุํหุงฺการปฺปหาเนน นิหุํหุโงฺกฯ ราคาทิกสาวาภาเวน นิกฺกภาโวฯ สีลสํวเรน สํยตจิตฺตตาย ยตโตฺตฯ จตุมคฺคญาณสงฺขาเตหิ เวเทหิ อนฺตํ นิพฺพานํ, เวทานํ วา อนฺตํ คตตฺตา เวทนฺตคูฯ มคฺคพฺรหฺมจริยสฺส วุสิตตฺตา วูสิตพฺรหฺมจริโยฯ ธเมฺมน โส พฺรหฺมวาทํ วเทยฺยาติ โส ‘‘พฺราหฺมโณ อห’’นฺติ เอตํ วาทํ วเทยฺยฯ ยสฺส สกลโลกสนฺนิวาเส กุหิญฺจิ เอการมฺมเณปิ ราคุสฺสโท โทสุสฺสโท โมหุสฺสโท มานุสฺสโท ทิฎฺฐุสฺสโทติ อิเม อุสฺสทา นตฺถีติ อโตฺถฯ

    Yo brāhmaṇoti bāhitapāpadhammatāya brāhmaṇo, na diṭṭhamaṅgalikatāya huṃhuṅkārakasāvādipāpadhammayutto hutvā kevalaṃ jātimattena brāhmaṇoti paṭijānāti. So brāhmaṇo bāhitapāpadhammattā huṃhuṅkārappahānena nihuṃhuṅko. Rāgādikasāvābhāvena nikkabhāvo. Sīlasaṃvarena saṃyatacittatāya yatatto. Catumaggañāṇasaṅkhātehi vedehi antaṃ nibbānaṃ, vedānaṃ vā antaṃ gatattā vedantagū. Maggabrahmacariyassa vusitattā vūsitabrahmacariyo. Dhammena so brahmavādaṃ vadeyyāti so ‘‘brāhmaṇo aha’’nti etaṃ vādaṃ vadeyya. Yassa sakalalokasannivāse kuhiñci ekārammaṇepi rāgussado dosussado mohussado mānussado diṭṭhussadoti ime ussadā natthīti attho.

    น คาธตีติ น ปติฎฺฐหติฯ สุกฺกาติ สุกฺกสงฺขาตา คหาฯ ยทิ จนฺทิมสูริยาทีนํ ปภา ตตฺถ นตฺถิ, ตโม เอว จ สิยาติ อาสงฺกมาเน สนฺธายาห ‘‘ตโม ตตฺถ น วิชฺชตี’’ติฯ ยทา จ อตฺตนาเวทีติอาทีสุ เอวํวิธํ นิพฺพานํ อตฺตปจฺจเกฺขน ญาเณน ยทา วินฺทติ, อถ รูปารูปธมฺมโต สุขทุกฺขโต จ วิปฺปมุโตฺต โหตีติฯ

    Na gādhatīti na patiṭṭhahati. Sukkāti sukkasaṅkhātā gahā. Yadi candimasūriyādīnaṃ pabhā tattha natthi, tamo eva ca siyāti āsaṅkamāne sandhāyāha ‘‘tamo tattha na vijjatī’’ti. Yadā ca attanāvedītiādīsu evaṃvidhaṃ nibbānaṃ attapaccakkhena ñāṇena yadā vindati, atha rūpārūpadhammato sukhadukkhato ca vippamutto hotīti.

    สเกสุ ธเมฺมสูติ สกอตฺตภาวสงฺขาเตสุ อุปาทานกฺขเนฺธสุฯ เยภุเยฺยน หิ อชฺฌตฺตํ วิปสฺสนาภินิเวโส โหตีติฯ เอตํ ปิสาจนฺติ อชกลาปก, เอตํ ตยา วุตฺตํ ปิสาจํ กิเลสปิสาจญฺจฯ ปกฺกุลนฺติ ตยา กตํ อกฺกุลํ ปกฺกุลกรณญฺจฯ อติวตฺตตีติ อติกฺกมติฯ

    Sakesu dhammesūti sakaattabhāvasaṅkhātesu upādānakkhandhesu. Yebhuyyena hi ajjhattaṃ vipassanābhiniveso hotīti. Etaṃ pisācanti ajakalāpaka, etaṃ tayā vuttaṃ pisācaṃ kilesapisācañca. Pakkulanti tayā kataṃ akkulaṃ pakkulakaraṇañca. Ativattatīti atikkamati.

    นาภินนฺทติ อายนฺตินฺติ ปุราณทุติยิกํ อาคจฺฉนฺติํ อญฺญํ วา น อภินนฺทติ จิเตฺตน น สมฺปฎิจฺฉติฯ ตเมว ปกฺกมนฺติํ น โสจติฯ สงฺคา สงฺคามชิํ มุตฺตนฺติ ปญฺจวิธาปิ สงฺคโต มุตฺตํ สงฺคามชิํ ภิกฺขุํฯ

    Nābhinandatiāyantinti purāṇadutiyikaṃ āgacchantiṃ aññaṃ vā na abhinandati cittena na sampaṭicchati. Tameva pakkamantiṃ na socati. Saṅgā saṅgāmajiṃ muttanti pañcavidhāpi saṅgato muttaṃ saṅgāmajiṃ bhikkhuṃ.

    พเหฺวตฺถาติ พหุ เอตฺถ นฺหายติ ชโน, น เตน โส สุโทฺธ นาม โหตีติ อธิปฺปาโยฯ

    Bahvetthāti bahu ettha nhāyati jano, na tena so suddho nāma hotīti adhippāyo.

    ชาติพลํ นิเสธนฺติ ชาติพลสฺส นิเสธกํฯ สหายา วตาติ สมถวิปสฺสนาภาวนาย สห อยนวเสน สหายา วตฯ กาเลน กาลํ สปฺปายธมฺมสฺส สวนวเสน จิรรตฺตํ สเมติ สมาคโม เอเตสนฺติ จิรรตฺตสเมติกาฯ สิถิลมารพฺภาติ สิถิลํ วีริยํ กตฺวาฯ

    Jātibalaṃnisedhanti jātibalassa nisedhakaṃ. Sahāyā vatāti samathavipassanābhāvanāya saha ayanavasena sahāyā vata. Kālena kālaṃ sappāyadhammassa savanavasena cirarattaṃ sameti samāgamo etesanti cirarattasametikā. Sithilamārabbhāti sithilaṃ vīriyaṃ katvā.

    ๑๐๕.

    105.

    ตตฺร โข, ภิกฺขเว, โก วิเสโสติ สตฺถุ สาวกสฺส จ ปญฺจเสฺวว อุปาทานกฺขเนฺธสุ นิพฺพิทาทโยติ ปุพฺพภาคปฎิปตฺติยํ อนุปาทาวิมุตฺติยญฺจ เหฎฺฐา อุปริ จ วิเสสาภาวํ ทเสฺสติฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘นตฺถิ วิมุตฺติยา นานตฺต’’นฺติ (อ. นิ. ๕.๓๑; กถา. ๓๕๕ อตฺถโต สมานํ)ฯ ตตฺถ วิเสสาภาวํ ปจฺจามสติ ‘‘ตตฺร โก วิเสโส’’ติฯ อธิปฺปยาโสติ อธิกปโยโคฯ นานากรณนฺติ จ วิเสโสเยว วุโตฺตฯ

    Tatra kho, bhikkhave, ko visesoti satthu sāvakassa ca pañcasveva upādānakkhandhesu nibbidādayoti pubbabhāgapaṭipattiyaṃ anupādāvimuttiyañca heṭṭhā upari ca visesābhāvaṃ dasseti. Vuttañhetaṃ – ‘‘natthi vimuttiyā nānatta’’nti (a. ni. 5.31; kathā. 355 atthato samānaṃ). Tattha visesābhāvaṃ paccāmasati ‘‘tatra ko viseso’’ti. Adhippayāsoti adhikapayogo. Nānākaraṇanti ca visesoyeva vutto.

    อยํ โข, ภิกฺขเว, วิเสโสติ ภิกฺขเว, ยทิปิ สาวกสฺส สตฺถุ จ วิมุตฺติยํ วิเสโส นตฺถิ, สยมฺภุญาเณน ปน สวาสนสพฺพกิเลเส เขเปตฺวา สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุชฺฌิตฺวา อนุปฺปนฺนสฺส อริยมคฺคสฺส ปรสนฺตาเน อุปฺปาทนาทิสกลสพฺพญฺญุคุณสมาโยโคฯ อยํ สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปญฺญาวิมุตฺตโต วิเสโสติฯ ตตฺถ อนุปฺปนฺนสฺสาติ อวตฺตมานสฺสฯ อริยมคฺคญฺหิ กสฺสปสมฺมาสมฺพุโทฺธ อุปฺปาเทสิฯ อนฺตรา อโญฺญ สตฺถา อุปฺปาเทตา นาม นาโหสิ, ตสฺมา อยํ ภควา อนุปฺปนฺนสฺส มคฺคสฺส อุปฺปาเทตา นามฯ อสญฺชาตสฺสาติ ตเสฺสว เววจนํฯ อนกฺขาตสฺสาติ อกถิตสฺสฯ มคฺคํ ชานาตีติ มคฺคญฺญูฯ มคฺคํ วิทิตํ ปากฎํ อกาสีติ มคฺควิทูฯ มเคฺค จ อมเคฺค จ โกวิโทติ มคฺคโกวิโทฯ มคฺคานุคาติ มคฺคํ อนุคจฺฉนฺตาฯ ปจฺฉาสมนฺนาคตาติ อหํ ปฐมํ สมนฺนาคโต, สาวกา ปจฺฉา สมนฺนาคตาฯ

    Ayaṃ kho, bhikkhave, visesoti bhikkhave, yadipi sāvakassa satthu ca vimuttiyaṃ viseso natthi, sayambhuñāṇena pana savāsanasabbakilese khepetvā sammāsambodhiṃ abhisambujjhitvā anuppannassa ariyamaggassa parasantāne uppādanādisakalasabbaññuguṇasamāyogo. Ayaṃ sammāsambuddhassa paññāvimuttato visesoti. Tattha anuppannassāti avattamānassa. Ariyamaggañhi kassapasammāsambuddho uppādesi. Antarā añño satthā uppādetā nāma nāhosi, tasmā ayaṃ bhagavā anuppannassa maggassa uppādetā nāma. Asañjātassāti tasseva vevacanaṃ. Anakkhātassāti akathitassa. Maggaṃ jānātīti maggaññū. Maggaṃ viditaṃ pākaṭaṃ akāsīti maggavidū. Magge ca amagge ca kovidoti maggakovido. Maggānugāti maggaṃ anugacchantā. Pacchāsamannāgatāti ahaṃ paṭhamaṃ samannāgato, sāvakā pacchā samannāgatā.

    ๑๐๖.

    106.

    ‘‘นีเจ กุเล ปจฺจาชาโต’’ติอาทินา (อ. นิ. ๔.๘๕; ปุ. ป. ๑๖๘) ตเมน ยุโตฺตติ ตโมฯ กายทุจฺจริตาทีหิ ปุน นิรยตมุปคมนโต ตมปรายโณฯ อิติ อุภเยนปิ ขนฺธตโมว กถิโต โหติฯ ‘‘อเฑฺฒ กุเล ปจฺจาชาโต’’ติอาทินา (อ. นิ. ๔.๘๕; ปุ. ป. ๑๖๘) โชตินา ยุโตฺตติ โชติ, อาโลกภูโตติ วุตฺตํ โหติฯ กายสุจริตาทีหิ ปุน สคฺคูปปตฺติภวูปคมนโต โชติปรายโณฯ อิมินา นเยน อิตเรปิ เทฺว เวทิตพฺพาฯ

    ‘‘Nīce kule paccājāto’’tiādinā (a. ni. 4.85; pu. pa. 168) tamena yuttoti tamo. Kāyaduccaritādīhi puna nirayatamupagamanato tamaparāyaṇo. Iti ubhayenapi khandhatamova kathito hoti. ‘‘Aḍḍhe kule paccājāto’’tiādinā (a. ni. 4.85; pu. pa. 168) jotinā yuttoti joti, ālokabhūtoti vuttaṃ hoti. Kāyasucaritādīhi puna saggūpapattibhavūpagamanato jotiparāyaṇo. Iminā nayena itarepi dve veditabbā.

    น ตํ ทฬฺหํ พนฺธนมาหุ ธีราติ เอตฺถ ธีราติ พุทฺธาทโย ปณฺฑิตปุริสาฯ ยํ สงฺขลิกสงฺขาตํ อเยน นิพฺพตฺตํ อายสํ อทฺทุพนฺธนสงฺขาตํ ทารุมยญฺจ ปพฺพชติเณหิ รชฺชุํ กตฺวา กตรชฺชุพนฺธนญฺจ, ตํ อสิอาทีหิ ฉินฺทิตุํ สกฺกุเณยฺยตาย ‘‘ถิร’’นฺติ น วทนฺตีติ อโตฺถฯ สารตฺตรตฺตาติ รตฺตา หุตฺวา รตฺตาฯ พลวราครตฺตาติ อโตฺถฯ มณิกุณฺฑเลสูติ มณีสุ จ กุณฺฑเลสุ จ, มณิจิเตฺตสุ วา กุณฺฑเลสุฯ เอตํ ทฬฺหนฺติ เย มณิกุณฺฑเลสุ สารตฺตรตฺตา, เตสุ โย ราโค, ยา จ ปุตฺตทาเรสุ อเปกฺขา ตณฺหา, เอตํ กิเลสมยํ พนฺธนํ ปณฺฑิตปุริสา ‘‘ทฬฺห’’นฺติ วทนฺติฯ

    Na taṃ daḷhaṃ bandhanamāhu dhīrāti ettha dhīrāti buddhādayo paṇḍitapurisā. Yaṃ saṅkhalikasaṅkhātaṃ ayena nibbattaṃ āyasaṃ addubandhanasaṅkhātaṃ dārumayañca pabbajatiṇehi rajjuṃ katvā katarajjubandhanañca, taṃ asiādīhi chindituṃ sakkuṇeyyatāya ‘‘thira’’nti na vadantīti attho. Sārattarattāti rattā hutvā rattā. Balavarāgarattāti attho. Maṇikuṇḍalesūti maṇīsu ca kuṇḍalesu ca, maṇicittesu vā kuṇḍalesu. Etaṃ daḷhanti ye maṇikuṇḍalesu sārattarattā, tesu yo rāgo, yā ca puttadāresu apekkhā taṇhā, etaṃ kilesamayaṃ bandhanaṃ paṇḍitapurisā ‘‘daḷha’’nti vadanti.

    โอหารินนฺติ อากฑฺฒิตฺวา จตูสุ อปาเยสุ ปาตนโต อวหรติ เหฎฺฐา หรตีติ โอหารินํฯ สิถิลนฺติ พนฺธนฎฺฐาเน ฉวิอาทีนิ อโกเปตฺวา พนฺธนภาวมฺปิ อชานาเปตฺวา ชลปถถลปถาทีสุ กมฺมํ กาตุํ เทตีติ สิถิลํฯ ทุปฺปมุญฺจนฺติ โลภวเสน หิ เอกวารมฺปิ อุปฺปนฺนํ กิเลสพนฺธนํ ทฎฺฐฎฺฐานโต กจฺฉโป วิย ทุโมฺมจยํ โหตีติ ทุปฺปมุญฺจํฯ เอตมฺปิ เฉตฺวานาติ เอตํ ทฬฺหมฺปิ กิเลสพนฺธนํ ญาณขเคฺคน ฉินฺทิตฺวา อนเปกฺขิโน หุตฺวา กามสุขํ ปหาย ปริพฺพชนฺติ ปกฺกมนฺติ ปพฺพชนฺติ จาติ อโตฺถฯ

    Ohārinanti ākaḍḍhitvā catūsu apāyesu pātanato avaharati heṭṭhā haratīti ohārinaṃ. Sithilanti bandhanaṭṭhāne chaviādīni akopetvā bandhanabhāvampi ajānāpetvā jalapathathalapathādīsu kammaṃ kātuṃ detīti sithilaṃ. Duppamuñcanti lobhavasena hi ekavārampi uppannaṃ kilesabandhanaṃ daṭṭhaṭṭhānato kacchapo viya dummocayaṃ hotīti duppamuñcaṃ. Etampi chetvānāti etaṃ daḷhampi kilesabandhanaṃ ñāṇakhaggena chinditvā anapekkhino hutvā kāmasukhaṃ pahāya paribbajanti pakkamanti pabbajanti cāti attho.

    ๑๐๗.

    107.

    เจเตตีติ อกุสลเจตนาวเสน เจเตติฯ ปกเปฺปตีติ ตเมว อกุสลเจตนํ กายวจีกมฺมภาวํ ปาปนวเสน กเปฺปติฯ อนุเสตีติ ราคาทิอนุสโยว สนฺตาเน อปฺปหีนภาเวน อนุเสติฯ อารมฺมณเมตํ โหติ วิญฺญาณสฺส ฐิติยาติ ยเทตํ เจตนํ ปกปฺปนํ อนุสยนญฺจ, เอตํ อภิสงฺขารวิญฺญาณสฺส ฐิติยา ปวตฺติยา ปจฺจโย โหตีติ อโตฺถฯ อารมฺมเณ สติ ปติฎฺฐา วิญฺญาณสฺส โหตีติ ยถาวุตฺตปจฺจเย สติ อภิสงฺขารวิญฺญาณสฺส กมฺมํ ชวาเปตฺวา ปฎิสนฺธิอากฑฺฒนสมตฺถตาสมฺปาทนโต ปติฎฺฐา โหติฯ อายติํ ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติ โหตีติ อายติํ ปุนพฺภวสงฺขาตา วิญฺญาณาทีนํ อภินิพฺพตฺติ โหติฯ

    Cetetīti akusalacetanāvasena ceteti. Pakappetīti tameva akusalacetanaṃ kāyavacīkammabhāvaṃ pāpanavasena kappeti. Anusetīti rāgādianusayova santāne appahīnabhāvena anuseti. Ārammaṇametaṃ hoti viññāṇassa ṭhitiyāti yadetaṃ cetanaṃ pakappanaṃ anusayanañca, etaṃ abhisaṅkhāraviññāṇassa ṭhitiyā pavattiyā paccayo hotīti attho. Ārammaṇe sati patiṭṭhā viññāṇassa hotīti yathāvuttapaccaye sati abhisaṅkhāraviññāṇassa kammaṃ javāpetvā paṭisandhiākaḍḍhanasamatthatāsampādanato patiṭṭhā hoti. Āyatiṃ punabbhavābhinibbatti hotīti āyatiṃ punabbhavasaṅkhātā viññāṇādīnaṃ abhinibbatti hoti.

    ‘‘โน เจ, ภิกฺขเว, เจเตตี’’ติอาทินา อกุสลกมฺมเมว ปฎิกฺขิปติฯ อยเญฺหตฺถ สเงฺขปโตฺถ, ยทิปิ กทาจิ โยนิโสมนสิการา อกุสลเจตนา นปฺปวตฺตติ, อนุสยา ปน อปฺปหีนาติ, เต กุสลสฺส อภิสงฺขารวิญฺญาณสฺส ปติฎฺฐา โหนฺติ เยวาติฯ สติ จ อภิสงฺขารวิญฺญาเณ อายติํ ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติ โหตีติ วตฺตุํ วฎฺฎติเยวฯ ตติยวาโร วุตฺตปฎิปกฺขนเยน เวทิตโพฺพฯ

    ‘‘No ce, bhikkhave, cetetī’’tiādinā akusalakammameva paṭikkhipati. Ayañhettha saṅkhepattho, yadipi kadāci yonisomanasikārā akusalacetanā nappavattati, anusayā pana appahīnāti, te kusalassa abhisaṅkhāraviññāṇassa patiṭṭhā honti yevāti. Sati ca abhisaṅkhāraviññāṇe āyatiṃ punabbhavābhinibbatti hotīti vattuṃ vaṭṭatiyeva. Tatiyavāro vuttapaṭipakkhanayena veditabbo.

    ๑๐๘.

    108.

    ‘‘เนโส, ภิกฺขเว, อริยสฺส วินเย สมุโทฺท’’ติอาทิ ยทิ ทุปฺปูรณเฎฺฐน สํสีทนเฎฺฐน ทุรติกฺกมนเฎฺฐน สาคโร ‘‘สมุโทฺท’’ติ วุเจฺจยฺย, ตโต สตภาเคนปิ สหสฺสภาเคนปิ จกฺขุอาทีเสฺวว อยํ นโย ลพฺภตีติ ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ เตนาห – ‘‘จกฺขุ, ภิกฺขเว, ปุริสสฺส สมุโทฺท, ตสฺส รูปมโย เวโค’’ติ, รูเปสุ สตฺตานํ อาวิญฺฉนโต รูปายตนเมว เวโค จกฺขุสฺส เวโคติ อโตฺถฯ

    ‘‘Neso, bhikkhave, ariyassa vinaye samuddo’’tiādi yadi duppūraṇaṭṭhena saṃsīdanaṭṭhena duratikkamanaṭṭhena sāgaro ‘‘samuddo’’ti vucceyya, tato satabhāgenapi sahassabhāgenapi cakkhuādīsveva ayaṃ nayo labbhatīti dassetuṃ vuttaṃ. Tenāha – ‘‘cakkhu, bhikkhave, purisassa samuddo, tassa rūpamayo vego’’ti, rūpesu sattānaṃ āviñchanato rūpāyatanameva vego cakkhussa vegoti attho.

    โย ตํ รูปมยํ เวคํ สหตีติ โย ภิกฺขุ สห วิสเยน จกฺขุํ อนิจฺจโต ทุกฺขโต อนตฺตโต สมฺมสโนฺต ตตฺถ จ นิพฺพินฺทโนฺต วิรชฺชโนฺต ตปฺปฎิพทฺธโต กิเลสชาลโต วิมุจฺจโนฺต อภิภวติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, อตริ จกฺขุสมุทฺทนฺติ อยํ ภิกฺขุ จกฺขุสงฺขาตํ สมุทฺทํ ติโณฺณติ วุจฺจติฯ

    Yo taṃ rūpamayaṃ vegaṃ sahatīti yo bhikkhu saha visayena cakkhuṃ aniccato dukkhato anattato sammasanto tattha ca nibbindanto virajjanto tappaṭibaddhato kilesajālato vimuccanto abhibhavati. Ayaṃ vuccati, bhikkhave, atari cakkhusamuddanti ayaṃ bhikkhu cakkhusaṅkhātaṃ samuddaṃ tiṇṇoti vuccati.

    อปโร นโย – จกฺขุ, ภิกฺขเว, อริยสฺส วินเย สมุโทฺทติ ยทิปิ ทุปฺปูรณเฎฺฐน ยทิ วา สมุทนเฎฺฐน สมุโทฺท, จกฺขุเมว สมุโทฺทฯ ตสฺส หิ ปถวิโต ยาว อกนิฎฺฐพฺรหฺมโลกา นีลาทิอารมฺมณํ สโมสรนฺตํ ปริปุณฺณภาวํ กาตุํ น สโกฺกติฯ เอวํ ทุปฺปูรณเฎฺฐนปิ สมุโทฺทฯ จกฺขุ จ เตสุ เตสุ นีลาทิอารมฺมเณสุ สมุเทติ อสํวุตํ หุตฺวา โอสรมานํ กิเลสุปฺปตฺติยา การณภาเวน สโทสภาเวน คจฺฉตีติ สมุทนเฎฺฐนปิ สมุโทฺทฯ ตถา จกฺขุํ ตณฺหาโสตาทีนํ อุปฺปตฺติทฺวารตาย เตหิ สนฺตานสฺส สมุทนเฎฺฐน เตมนเฎฺฐน สมุโทฺทฯ ตสฺส รูปมโย เวโคติ สมุทฺทสฺส อปฺปมาโณ อูมิมโย เวโค วิย ตสฺสาปิ จกฺขุสมุทฺทสฺส สโมสรนฺตสฺส นีลาทิเภทสฺส อารมฺมณสฺส วเสน อปฺปเมโยฺย รูปมโย เวโค เวทิตโพฺพฯ โย ตํ รูปมยํ เวคํ สหตีติ โย ตํ จกฺขุสมุเทฺท สโมสรนฺตํ รูปมยํ เวคํ มนาเป รูเป ราคํ, อมนาเป โทสํ, อสมเปกฺขเน โมหนฺติ เอวํ ราคาทิกิเลเส อนุปฺปาเทโนฺต อุเปกฺขกภาเวน สหติฯ

    Aparo nayo – cakkhu, bhikkhave, ariyassa vinaye samuddoti yadipi duppūraṇaṭṭhena yadi vā samudanaṭṭhena samuddo, cakkhumeva samuddo. Tassa hi pathavito yāva akaniṭṭhabrahmalokā nīlādiārammaṇaṃ samosarantaṃ paripuṇṇabhāvaṃ kātuṃ na sakkoti. Evaṃ duppūraṇaṭṭhenapi samuddo. Cakkhu ca tesu tesu nīlādiārammaṇesu samudeti asaṃvutaṃ hutvā osaramānaṃ kilesuppattiyā kāraṇabhāvena sadosabhāvena gacchatīti samudanaṭṭhenapi samuddo. Tathā cakkhuṃ taṇhāsotādīnaṃ uppattidvāratāya tehi santānassa samudanaṭṭhena temanaṭṭhena samuddo. Tassa rūpamayo vegoti samuddassa appamāṇo ūmimayo vego viya tassāpi cakkhusamuddassa samosarantassa nīlādibhedassa ārammaṇassa vasena appameyyo rūpamayo vego veditabbo. Yo taṃ rūpamayaṃ vegaṃ sahatīti yo taṃ cakkhusamudde samosarantaṃ rūpamayaṃ vegaṃ manāpe rūpe rāgaṃ, amanāpe dosaṃ, asamapekkhane mohanti evaṃ rāgādikilese anuppādento upekkhakabhāvena sahati.

    สอูมินฺติอาทีสุ กิเลสอูมีหิ สอูมิํฯ กิเลสวเฎฺฎหิ สาวฎฺฎํฯ กิเลสคเหหิ สคหํฯ กิเลสรกฺขเสหิ สรกฺขสํฯ โกธุปายาสสฺส วา วเสน สอูมิํฯ กามคุณวเสน สาวฎฺฎํฯ มาตุคามวเสน สคหํ สรกฺขสํฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘อูมิภยนฺติ โข, ภิกฺขเว, โกธุปายาสเสฺสตํ อธิวจนํ (อิติวุ. ๑๐๙; ม. นิ. ๒.๑๖๒; อ. นิ. ๔.๑๒๒)ฯ ตถา อาวฎฺฎนฺติ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจเนฺนตํ กามคุณานํ อธิวจนํ (อิติวุ. ๑๐๙; ม. นิ. ๒.๑๖๔; อ. นิ. ๔.๑๒๒)ฯ คหรกฺขโสติ โข, ภิกฺขเว, มาตุคามเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติ (อิติวุ. ๑๐๙)ฯ เสสทฺวาเรสุปิ เอเสว นโยฯ

    Saūmintiādīsu kilesaūmīhi saūmiṃ. Kilesavaṭṭehi sāvaṭṭaṃ. Kilesagahehi sagahaṃ. Kilesarakkhasehi sarakkhasaṃ. Kodhupāyāsassa vā vasena saūmiṃ. Kāmaguṇavasena sāvaṭṭaṃ. Mātugāmavasena sagahaṃ sarakkhasaṃ. Vuttañhetaṃ – ‘‘ūmibhayanti kho, bhikkhave, kodhupāyāsassetaṃ adhivacanaṃ (itivu. 109; ma. ni. 2.162; a. ni. 4.122). Tathā āvaṭṭanti kho, bhikkhave, pañcannetaṃ kāmaguṇānaṃ adhivacanaṃ (itivu. 109; ma. ni. 2.164; a. ni. 4.122). Gaharakkhasoti kho, bhikkhave, mātugāmassetaṃ adhivacana’’nti (itivu. 109). Sesadvāresupi eseva nayo.

    สอูมิภยํ ทุตฺตรํ อจฺจตรีติ อนิจฺจตาทิอูมิภเยน สภยํ ทุรติกฺกมํ อติกฺกมิฯ โลกนฺตคูติ สํสารโลกสฺส อนฺตํ คโตฯ ปารคโตติ วุจฺจตีติ นิพฺพานํ คโตติ กถียติฯ

    Saūmibhayaṃduttaraṃ accatarīti aniccatādiūmibhayena sabhayaṃ duratikkamaṃ atikkami. Lokantagūti saṃsāralokassa antaṃ gato. Pāragatoti vuccatīti nibbānaṃ gatoti kathīyati.

    พฬิสาติ สตฺตานํ อนตฺถเหตุตาย พฬิสา วิย พฬิสาฯ อนยายาติ อนตฺถายฯ พฺยาพาธายาติ ทุกฺขายฯ อิฎฺฐาติ ปริยิฎฺฐา วา อปริยิฎฺฐา วา สุขารมฺมณตาย อิฎฺฐาฯ กามนียเฎฺฐน กนฺตาฯ มนสฺส วฑฺฒนเฎฺฐน มนาปาฯ ปิยสภาวตาย ปิยรูปาฯ กิเลสกามสหิตตฺตา กามูปสํหิตาฯ ราคชนนเฎฺฐน จิตฺตสฺส รญฺชนโต รชนียาฯ ตเญฺจติ ตํ รูปารมฺมณํ, นีลาทิวเสน อเนกเภทภินฺนมฺปิ หิ รูปายตนํ รูปารมฺมณภาเวน จกฺขุวิเญฺญยฺยภาเวน จ เอกวิธตํ นาติวตฺตตีติ ตํสภาวสามญฺญํ คเหตฺวา ‘‘ตเญฺจ’’ติ วุตฺตํฯ อภินนฺทตีติ อภินนฺทนภูตาย สปฺปีติกตณฺหาย อภิมุโข นนฺทติฯ อภิวทตีติ ‘‘อโห สุขํ, อโห สุข’’นฺติ วทาเปนฺติยา ตณฺหายนวเสน อภิวทติฯ อโชฺฌสาย ติฎฺฐตีติ คิลิตฺวา ปรินิฎฺฐเปตฺวา ติฎฺฐติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ คิลิตพฬิโส มารสฺสาติ อยํ, ภิกฺขุ, กิเลสมารสฺส พฬิสภูตํ รูปตณฺหํ คิลิตฺวา ฐิโตติ วุจฺจติฯ เสสวาเรสุปิ อิมินา นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อเภทีติ ภินฺทิฯ ปริเภทีติ สพฺพภาเคน ภินฺทิฯ เสสํ อุตฺตานเมวฯ

    Baḷisāti sattānaṃ anatthahetutāya baḷisā viya baḷisā. Anayāyāti anatthāya. Byābādhāyāti dukkhāya. Iṭṭhāti pariyiṭṭhā vā apariyiṭṭhā vā sukhārammaṇatāya iṭṭhā. Kāmanīyaṭṭhena kantā. Manassa vaḍḍhanaṭṭhena manāpā. Piyasabhāvatāya piyarūpā. Kilesakāmasahitattā kāmūpasaṃhitā. Rāgajananaṭṭhena cittassa rañjanato rajanīyā. Tañceti taṃ rūpārammaṇaṃ, nīlādivasena anekabhedabhinnampi hi rūpāyatanaṃ rūpārammaṇabhāvena cakkhuviññeyyabhāvena ca ekavidhataṃ nātivattatīti taṃsabhāvasāmaññaṃ gahetvā ‘‘tañce’’ti vuttaṃ. Abhinandatīti abhinandanabhūtāya sappītikataṇhāya abhimukho nandati. Abhivadatīti ‘‘aho sukhaṃ, aho sukha’’nti vadāpentiyā taṇhāyanavasena abhivadati. Ajjhosāya tiṭṭhatīti gilitvā pariniṭṭhapetvā tiṭṭhati. Ayaṃ vuccati, bhikkhave, bhikkhu gilitabaḷiso mārassāti ayaṃ, bhikkhu, kilesamārassa baḷisabhūtaṃ rūpataṇhaṃ gilitvā ṭhitoti vuccati. Sesavāresupi iminā nayena attho veditabbo. Abhedīti bhindi. Paribhedīti sabbabhāgena bhindi. Sesaṃ uttānameva.

    ๑๐๙.

    109.

    อยํ โลโก สนฺตาปชาโตติ อยํ สตฺตโลโก ชาตสนฺตาโป ญาติพฺยสนาทิวเสน อุปฺปนฺนโสกสนฺตาโป จ ราคาทิวเสน อุปฺปนฺนปริฬาหสนฺตาโป จาติ อโตฺถฯ ผสฺสปเรโตติ อเนเกหิ ทุกฺขผเสฺสหิ อภิภูโตฯ โรทํ วทติ อตฺตโตติ ตํ ตํ อตฺตนา ผุฎฺฐํ ทุกฺขํ อภาวิตกายตาย อธิวาเสตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘อโห ทุกฺขํ, อีทิสํ ทุกฺขํ มยฺหํ สตฺตุโนปิ มา โหตู’’ติอาทินา วิลปโนฺต วทติฯ กสฺมา? เยน เยน หิ มญฺญนฺติ, ตโต ตํ โหติ อญฺญถา, ยสฺมา เอเต สตฺตา เยน เยน ปกาเรน อตฺตโน ทุกฺขสฺส ปฎิการํ มญฺญนฺติ อาสีสนฺติ, ตํ ทุกฺขํ ตโต อเญฺญน ปกาเรน ติกิจฺฉิตพฺพํ โหติฯ เยน วา ปกาเรน อตฺตโน วฑฺฒิํ มญฺญนฺติ, ตโต อญฺญถา อวฑฺฒิ เอว ปน โหติฯ เอวํ อญฺญถาภาวิตํ อิจฺฉาวิฆาตํ เอว ปาปุณาติฯ อยํ ภวสโตฺต กามาทิภเวสุ สโตฺต สตฺตโลโก, ตถาปิ ภวเมวาภินนฺทติ, น ตตฺถ นิพฺพินฺทติฯ ยทภินนฺทติ ตํ ภยนฺติ ยํ กามาทิภวํ อภินนฺทติ, ตํ ชรามรณาทิอเนกพฺยสนานุพนฺธตฺตา อติวิย ภยานกเฎฺฐน ภยํฯ ยสฺส ภายตีติ ยโต ชรามรณาทิโต ภายติ, ตํ ทุกฺขสฺส อธิฎฺฐานภาวโต ทุกฺขทุกฺขตาย จ ทุกฺขนฺติฯ

    Ayaṃ loko santāpajātoti ayaṃ sattaloko jātasantāpo ñātibyasanādivasena uppannasokasantāpo ca rāgādivasena uppannapariḷāhasantāpo cāti attho. Phassaparetoti anekehi dukkhaphassehi abhibhūto. Rodaṃ vadati attatoti taṃ taṃ attanā phuṭṭhaṃ dukkhaṃ abhāvitakāyatāya adhivāsetuṃ asakkonto ‘‘aho dukkhaṃ, īdisaṃ dukkhaṃ mayhaṃ sattunopi mā hotū’’tiādinā vilapanto vadati. Kasmā? Yena yena hi maññanti, tato taṃ hoti aññathā, yasmā ete sattā yena yena pakārena attano dukkhassa paṭikāraṃ maññanti āsīsanti, taṃ dukkhaṃ tato aññena pakārena tikicchitabbaṃ hoti. Yena vā pakārena attano vaḍḍhiṃ maññanti, tato aññathā avaḍḍhi eva pana hoti. Evaṃ aññathābhāvitaṃ icchāvighātaṃ eva pāpuṇāti. Ayaṃ bhavasatto kāmādibhavesu satto sattaloko, tathāpi bhavamevābhinandati, na tattha nibbindati. Yadabhinandati taṃ bhayanti yaṃ kāmādibhavaṃ abhinandati, taṃ jarāmaraṇādianekabyasanānubandhattā ativiya bhayānakaṭṭhena bhayaṃ. Yassa bhāyatīti yato jarāmaraṇādito bhāyati, taṃ dukkhassa adhiṭṭhānabhāvato dukkhadukkhatāya ca dukkhanti.

    ภววิปฺปหานายาติ ภวสฺส ปชหนตฺถายฯ โขติ อวธารณเตฺถ นิปาโตฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – เอกเนฺตเนว กามาทิภวสฺส สมุทยปฺปหาเนน ปหานตฺถํ อิทํ มยา อธิคตํ มคฺคพฺรหฺมจริยํ วุสฺสตีติฯ

    Bhavavippahānāyāti bhavassa pajahanatthāya. Khoti avadhāraṇatthe nipāto. Idaṃ vuttaṃ hoti – ekanteneva kāmādibhavassa samudayappahānena pahānatthaṃ idaṃ mayā adhigataṃ maggabrahmacariyaṃ vussatīti.

    เอวํ อริยสฺส มคฺคสฺส เอกํเสเนว นิยฺยานิกภาวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อญฺญมคฺคสฺส นิยฺยานิกภาวํ ปฎิกฺขิปโนฺต ‘‘เย หิ เกจี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ภเวนาติ รูปภเวน วา อรูปภเวน วาฯ ภวสฺสาติ สํสารสฺสฯ วิปฺปโมกฺขนฺติ ภวโต วิมุตฺติํ, สํสารสุทฺธินฺติ อโตฺถฯ กิญฺจาปิ เต สมณพฺราหฺมณา ตตฺถ นิพฺพานสญฺญิโน, ภวคามิกเมฺมน ปน รูปารูปชฺฌาเนน , ตํนิพฺพเตฺตน จ อุปปตฺติภเวน ภววิสุทฺธิํ วทนฺตา ภเวน ภววิปฺปโมกฺขํ วทนฺติ นามฯ เตนาห – ‘‘สเพฺพ เต อวิปฺปมุตฺตา ภวสฺมาติ วทามี’’ติฯ อถ วา ภเวนาติ ภวทิฎฺฐิยา, ภวติ ติฎฺฐติ สสฺสตนฺติ หิ ปวตฺตนโต สสฺสตทิฎฺฐิ ‘‘ภวทิฎฺฐี’’ติ วุจฺจติฯ ภวทิฎฺฐิ เอว อุตฺตรปทโลเปน ‘‘ภโว’’ติ วุตฺตา ภวตณฺหาติอาทีสุ วิยฯ ภวทิฎฺฐิวเสน หิ อิเธกเจฺจ ภววิเสสํเยว ภววิปฺปโมกฺขํ มญฺญนฺติฯ ยถา ตํ พโก พฺรหฺมา อาห – ‘‘อิทํ นิจฺจํ, อิทํ ธุวํ, อิทํ สสฺสตํ, อิทํ อวิปริณามธมฺม’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๕๐๑; สํ. นิ. ๑.๑๗๕)ฯ วิภเวนาติ อุเจฺฉททิฎฺฐิยาฯ วิภวติ วินสฺสติ อุจฺฉิชฺชตีติ หิ ปวตฺตนโต อุเจฺฉททิฎฺฐิ วุตฺตนเยน ‘‘วิภโว’’ติ วุจฺจติฯ ภวสฺส นิสฺสรณมาหํสูติ สํสารสุทฺธิํ วทิํสุฯ อุเจฺฉททิฎฺฐิวเสน หิ อิเธกเจฺจ สํสารสุทฺธิํ วทนฺติฯ ตถา หิ วุตฺตํ –

    Evaṃ ariyassa maggassa ekaṃseneva niyyānikabhāvaṃ dassetvā idāni aññamaggassa niyyānikabhāvaṃ paṭikkhipanto ‘‘ye hi kecī’’tiādimāha. Tattha bhavenāti rūpabhavena vā arūpabhavena vā. Bhavassāti saṃsārassa. Vippamokkhanti bhavato vimuttiṃ, saṃsārasuddhinti attho. Kiñcāpi te samaṇabrāhmaṇā tattha nibbānasaññino, bhavagāmikammena pana rūpārūpajjhānena , taṃnibbattena ca upapattibhavena bhavavisuddhiṃ vadantā bhavena bhavavippamokkhaṃ vadanti nāma. Tenāha – ‘‘sabbe te avippamuttā bhavasmāti vadāmī’’ti. Atha vā bhavenāti bhavadiṭṭhiyā, bhavati tiṭṭhati sassatanti hi pavattanato sassatadiṭṭhi ‘‘bhavadiṭṭhī’’ti vuccati. Bhavadiṭṭhi eva uttarapadalopena ‘‘bhavo’’ti vuttā bhavataṇhātiādīsu viya. Bhavadiṭṭhivasena hi idhekacce bhavavisesaṃyeva bhavavippamokkhaṃ maññanti. Yathā taṃ bako brahmā āha – ‘‘idaṃ niccaṃ, idaṃ dhuvaṃ, idaṃ sassataṃ, idaṃ avipariṇāmadhamma’’nti (ma. ni. 1.501; saṃ. ni. 1.175). Vibhavenāti ucchedadiṭṭhiyā. Vibhavati vinassati ucchijjatīti hi pavattanato ucchedadiṭṭhi vuttanayena ‘‘vibhavo’’ti vuccati. Bhavassa nissaraṇamāhaṃsūti saṃsārasuddhiṃ vadiṃsu. Ucchedadiṭṭhivasena hi idhekacce saṃsārasuddhiṃ vadanti. Tathā hi vuttaṃ –

    ‘‘ยโต โข, โภ, อยํ อตฺตา รูปี จาตุมหาภูติโก…เป.… เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ เอตฺตาวตา โข, โภ, อยํ อตฺตา สมฺมา สมุจฺฉิโนฺน โหตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๙๑)ฯ

    ‘‘Yato kho, bho, ayaṃ attā rūpī cātumahābhūtiko…pe… nevasaññānāsaññāyatanaṃ upasampajja viharati. Ettāvatā kho, bho, ayaṃ attā sammā samucchinno hotī’’ti (dī. ni. 1.91).

    อนิสฺสฎาติ อนิกฺขนฺตาฯ ตตฺถ การณมาห – ‘‘อุปธิญฺหิ ปฎิจฺจ ทุกฺขมิทํ สโมฺภตี’’ติฯ ตตฺถ อุปธินฺติ ขนฺธาทิอุปธิํฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยตฺถ อิเม ทิฎฺฐิคติกา นิพฺพานสญฺญิโน, ตตฺถ ขนฺธูปธิกิเลสูปธิอภิสงฺขารูปธโย อธิคตา ญาตาฯ กุโต ตสฺส ทุกฺขนิสฺสรณตาติฯ ยํ ปน ปรมตฺถโต ทุกฺขนิสฺสรณํ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘สพฺพุปาทานกฺขยา นตฺถิ ทุกฺขสฺส สมฺภโว’’ติ วุตฺตํฯ

    Anissaṭāti anikkhantā. Tattha kāraṇamāha – ‘‘upadhiñhi paṭicca dukkhamidaṃ sambhotī’’ti. Tattha upadhinti khandhādiupadhiṃ. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yattha ime diṭṭhigatikā nibbānasaññino, tattha khandhūpadhikilesūpadhiabhisaṅkhārūpadhayo adhigatā ñātā. Kuto tassa dukkhanissaraṇatāti. Yaṃ pana paramatthato dukkhanissaraṇaṃ, taṃ dassetuṃ ‘‘sabbupādānakkhayā natthi dukkhassa sambhavo’’ti vuttaṃ.

    โลกมิมํ ปสฺสาติ ภควา อตฺตโน จิตฺตํ อาลปติฯ ปุถูติ วิสุํ วิสุํฯ อวิชฺชาย ปเรตนฺติ โมเหน อภิภูตํฯ ภูตนฺติ ขนฺธปญฺจกํฯ ภูตรตนฺติ อิตฺถี ปุริเส, ปุริโส อิตฺถิยาติ เอวํ อญฺญมญฺญํ สเตฺตสุ รตํ, ตโต เอว ภวา อปริมุตฺตาฯ เย หิ เกจิ ภวาติ อิตฺตรขณา วา ทีฆายุกา วา สาตวโนฺต วา อสาตวโนฺต วา ภวาฯ สพฺพธีติ อุทฺธํ อโธ ติริยนฺติ สพฺพตฺถฯ สพฺพตฺถตายาติ สพฺพภาเวนฯ สเพฺพ เต ภวาติอาทีสุ ‘‘สเพฺพปิ ภวา อนิจฺจา’’ติอาทินา วิปสฺสนาสหิตาย มคฺคปญฺญาย อวิปรีตํ ปสฺสโต ภวตณฺหาปิ ปหียติ นิรุชฺฌติ, วิภวํ อุเจฺฉทมฺปิ นาภินนฺทติ น ปเตฺถติ, ตสฺส สพฺพ ตณฺหานํ อนวเสสโต มเคฺคน นิรุชฺฌนโต นิพฺพานํ นิพฺพุติ โหติฯ ตสฺส เอวํ นิพฺพุตสฺส ภิกฺขุโน อนุปาทา กิเลสาภิสงฺขารานํ อนุปาทานโต อคฺคหณโต ปุนพฺภโว น โหติฯ เอวํภูเตน จ อภิภูโต ปญฺจวิโธปิ มาโร วิชิโต อสฺส อเนน มาเรน สงฺคาโม, สเพฺพปิ ภเว สมติกฺกโนฺต อิฎฺฐานิฎฺฐาทีสุ ตาทิลกฺขณปฺปโตฺตติฯ

    Lokamimaṃ passāti bhagavā attano cittaṃ ālapati. Puthūti visuṃ visuṃ. Avijjāya paretanti mohena abhibhūtaṃ. Bhūtanti khandhapañcakaṃ. Bhūtaratanti itthī purise, puriso itthiyāti evaṃ aññamaññaṃ sattesu rataṃ, tato eva bhavā aparimuttā. Ye hi keci bhavāti ittarakhaṇā vā dīghāyukā vā sātavanto vā asātavanto vā bhavā. Sabbadhīti uddhaṃ adho tiriyanti sabbattha. Sabbatthatāyāti sabbabhāvena. Sabbe te bhavātiādīsu ‘‘sabbepi bhavā aniccā’’tiādinā vipassanāsahitāya maggapaññāya aviparītaṃ passato bhavataṇhāpi pahīyati nirujjhati, vibhavaṃ ucchedampi nābhinandati na pattheti, tassa sabba taṇhānaṃ anavasesato maggena nirujjhanato nibbānaṃ nibbuti hoti. Tassa evaṃ nibbutassa bhikkhuno anupādā kilesābhisaṅkhārānaṃ anupādānato aggahaṇato punabbhavo na hoti. Evaṃbhūtena ca abhibhūto pañcavidhopi māro vijito assa anena mārena saṅgāmo, sabbepi bhave samatikkanto iṭṭhāniṭṭhādīsu tādilakkhaṇappattoti.

    อนุโสตคามี อนฺธปุถุชฺชโน ปฎิโสตคามี กลฺยาณปุถุชฺชโนฯ ฐิตโตฺต เสโกฺขฯ อิตโร อเสโกฺขฯ

    Anusotagāmī andhaputhujjano paṭisotagāmī kalyāṇaputhujjano. Ṭhitatto sekkho. Itaro asekkho.

    ๑๑๐.

    110.

    อภิชาติโกติ ชาติโยฯ กณฺหาภิชาติโกติ กเณฺห นีเจ กุเล ชาโตฯ กณฺหํ ธมฺมํ อภิชายตีติ กาฬกํ ทสวิธํ ทุสฺสีลธมฺมํ ปสวติ กโรติ, โส ตํ อภิชายิตฺวา นิรเย นิพฺพตฺตติฯ สุกฺกํ ธมฺมนฺติ ‘‘อหํ ปุเพฺพปิ ปุญฺญานํ อกตตฺตา นีเจ กุเล นิพฺพโตฺต, อิทานิ ปุญฺญํ กริสฺสามี’’ติ ปุญฺญสงฺขาตํ สุกฺกํ ปณฺฑรํ ธมฺมํ อภิชายติ, โส เตน สเคฺค นิพฺพตฺตติฯ อกณฺหํ อสุกฺกํ นิพฺพานนฺติ นิพฺพานญฺหิ สเจ กณฺหํ ภเวยฺย, กณฺหวิปากํ ทเทยฺยฯ สุกฺกํ, สุกฺกวิปากํ ทเทยฺยฯ ทฺวินฺนมฺปิ อปฺปทานโต ปน ‘‘อกณฺหํ อสุกฺก’’นฺติ วุตฺตํฯ นิพฺพานนฺติ เจตฺถ อรหตฺตํ อธิเปฺปตํฯ ตญฺหิ กิเลสนิพฺพานเนฺต ชาตตฺตา นิพฺพานํ นามฯ ตํ เอส อภิชายติ ปสวติ กโรติฯ สุกฺกาภิชาติโกติ สุเกฺก อุเจฺจ กุเล ชาโตฯ เสสํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ ‘‘กณฺหํ กณฺหวิปาก’’นฺติอาทิกสฺส กมฺมจตุกฺกสฺส อโตฺถ เหฎฺฐา หารสมฺปาตวาเร วิภโตฺต เอวฯ

    Abhijātikoti jātiyo. Kaṇhābhijātikoti kaṇhe nīce kule jāto. Kaṇhaṃ dhammaṃ abhijāyatīti kāḷakaṃ dasavidhaṃ dussīladhammaṃ pasavati karoti, so taṃ abhijāyitvā niraye nibbattati. Sukkaṃ dhammanti ‘‘ahaṃ pubbepi puññānaṃ akatattā nīce kule nibbatto, idāni puññaṃ karissāmī’’ti puññasaṅkhātaṃ sukkaṃ paṇḍaraṃ dhammaṃ abhijāyati, so tena sagge nibbattati. Akaṇhaṃ asukkaṃ nibbānanti nibbānañhi sace kaṇhaṃ bhaveyya, kaṇhavipākaṃ dadeyya. Sukkaṃ, sukkavipākaṃ dadeyya. Dvinnampi appadānato pana ‘‘akaṇhaṃ asukka’’nti vuttaṃ. Nibbānanti cettha arahattaṃ adhippetaṃ. Tañhi kilesanibbānante jātattā nibbānaṃ nāma. Taṃ esa abhijāyati pasavati karoti. Sukkābhijātikoti sukke ucce kule jāto. Sesaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ. ‘‘Kaṇhaṃ kaṇhavipāka’’ntiādikassa kammacatukkassa attho heṭṭhā hārasampātavāre vibhatto eva.

    ๑๑๑.

    111.

    มานุสตฺตนฺติ มนุสฺสภาวํ, มนุสฺสโยนินฺติ อโตฺถฯ เทฺวติ กิจฺจํ อกิจฺจเมว จาติ เทฺวฯ กิจฺจานิ เตฺวว กตฺตพฺพานิ, น จากิจฺจํ กิญฺจิ กตฺตพฺพนฺติ ทเสฺสติฯ สุกิจฺจนฺติอาทิ ‘‘กิจฺจ’’นฺติ วุตฺตานํ เตสํ สรูปทสฺสนํฯ

    Mānusattanti manussabhāvaṃ, manussayoninti attho. Dveti kiccaṃ akiccameva cāti dve. Kiccāni tveva kattabbāni, na cākiccaṃ kiñci kattabbanti dasseti. Sukiccantiādi ‘‘kicca’’nti vuttānaṃ tesaṃ sarūpadassanaṃ.

    ปธานานีติ อุตฺตมานิ วิสิฎฺฐานิฯ ปุริมสฺมิํ ปพฺพชิเตสูติ วิสเย ภุมฺมํฯ ทุติเย อธิกรเณฯ ตตฺถ นิพฺพานนฺติ อรหตฺตํ อธิเปฺปตํฯ กสฺมา ปเนตฺถ อามิสปริจฺจาโค อรหเตฺตน สมธุโร นิทฺทิโฎฺฐติ? ทกฺขิเณเยฺยสุ ทกฺขิณาย มหปฺผลภาวทสฺสนตฺถํฯ เยน เยน วา ปน วตฺถุนาติ อุเจฺฉทาทิวตฺถุนาฯ อโชฺฌสิตาติ ภวตณฺหาทิวเสน อโชฺฌสิตาฯ ทุติเย เยน เยน วา ปน วตฺถุนาติ อมราวิเกฺขปวตฺถุอาทินาฯ

    Padhānānīti uttamāni visiṭṭhāni. Purimasmiṃ pabbajitesūti visaye bhummaṃ. Dutiye adhikaraṇe. Tattha nibbānanti arahattaṃ adhippetaṃ. Kasmā panettha āmisapariccāgo arahattena samadhuro niddiṭṭhoti? Dakkhiṇeyyesu dakkhiṇāya mahapphalabhāvadassanatthaṃ. Yena yena vā pana vatthunāti ucchedādivatthunā. Ajjhositāti bhavataṇhādivasena ajjhositā. Dutiye yena yena vā pana vatthunāti amarāvikkhepavatthuādinā.

    อิมินา อสุเภน กมฺมวิปาเกนาติ อสุภสฺส กายทุจฺจริตาทิกมฺมสฺส วิปากตฺตา อสุเภน อสิเวน กมฺมวิปาเกนฯ อิทํ พาลลกฺขณํ นิพฺพตฺตตีติ ปุริมสฺมิํ ภเว ทุจฺจริตสมงฺคิตาย พาโล อยํ ภวตีติ อุปลกฺขณํ ชายติฯ อิทํ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตนฺติ อิทํ เอวํ ปวตฺตํ สํกิเลสภาคิยํ นาม สุตฺตํฯ

    Imināasubhena kammavipākenāti asubhassa kāyaduccaritādikammassa vipākattā asubhena asivena kammavipākena. Idaṃ bālalakkhaṇaṃ nibbattatīti purimasmiṃ bhave duccaritasamaṅgitāya bālo ayaṃ bhavatīti upalakkhaṇaṃ jāyati. Idaṃ saṃkilesabhāgiyaṃ suttanti idaṃ evaṃ pavattaṃ saṃkilesabhāgiyaṃ nāma suttaṃ.

    อิมินา สุเภนาติ เอตฺถ วุตฺตนยานุสาเรน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ มหาปุริสลกฺขณนฺติ ปณฺฑิตลกฺขณํฯ กิเลสภูมีหีติ กิเลสฎฺฐาเนหิ กิเลสาวตฺถาหิ วาฯ สานุสยสฺส ปริยุฎฺฐานํ ชายตีติ อปฺปหีนานุสยสฺส ปจฺจยสมาโยเค ราคาทโย ปริยุฎฺฐานวเสน ปวตฺตนฺติฯ ปริยุฎฺฐิโต สํยุชฺชตีติ โย ราคาทีหิ ปริยุฎฺฐิตจิโตฺต, โส กามราคาทีหิ สํยุชฺชติ นามฯ สํยุชฺชโนฺต อุปาทิยตีติ โย กามราคสํโยชนาทีหิ สํยุโตฺต, โส กามุปาทานาทีนิ อกุสลกมฺมานิ จ อุปาทิยติฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวฯ

    Iminā subhenāti ettha vuttanayānusārena attho veditabbo. Tattha mahāpurisalakkhaṇanti paṇḍitalakkhaṇaṃ. Kilesabhūmīhīti kilesaṭṭhānehi kilesāvatthāhi vā. Sānusayassa pariyuṭṭhānaṃ jāyatīti appahīnānusayassa paccayasamāyoge rāgādayo pariyuṭṭhānavasena pavattanti. Pariyuṭṭhito saṃyujjatīti yo rāgādīhi pariyuṭṭhitacitto, so kāmarāgādīhi saṃyujjati nāma. Saṃyujjanto upādiyatīti yo kāmarāgasaṃyojanādīhi saṃyutto, so kāmupādānādīni akusalakammāni ca upādiyati. Sesaṃ sabbattha uttānameva.

    ๑๑๒.

    112.

    เอวํ โสฬสวิเธน สาสนปฎฺฐานํ นานาสุเตฺตหิ อุทาหรณวเสน วิภชิตฺวา อิทานิ อฎฺฐวีสติวิเธน สาสนปฎฺฐานํ ทเสฺสเนฺตน ยสฺมา อยมฺปิ ปฎฺฐานวิภาโค มูลปเทหิ สงฺคหิโต, น อิมสฺสาปิ เตหิ อสงฺคหิโต ปเทโส อตฺถิ, ตสฺมา มูลปทํ วิภชิตพฺพตญฺจ ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺถ กตเม อฎฺฐารส มูลปทา’’ติ ปุจฺฉาย วเสน มูลปทานิ อุทฺธริตฺวา ‘‘โลกิยํ โลกุตฺตร’’นฺติอาทินา นวติกา, ถโว จาติ อฎฺฐวีสติวิธํ สาสนปฎฺฐานํ อุทฺทิฎฺฐํฯ ตตฺถ โลกิยนฺติ โลเก นิยุโตฺต, โลเก วา วิทิโต โลกิโยฯ อิธ ปน โลกิโย อโตฺถ ยสฺมิํ สุเตฺต วุโตฺต, ตํ สุตฺตํ โลกิยํฯ ตถา โลกุตฺตรํฯ ยสฺมิํ ปน สุเตฺต ปเทเสน โลกิโย, ปเทเสน โลกุตฺตโร วุโตฺต, ตํ โลกิยญฺจ โลกุตฺตรญฺจฯ ยญฺจ สเตฺต อธิฎฺฐาย สตฺตปญฺญตฺติมุเขน เทสิตํ, ตํ สตฺตาธิฎฺฐานํฯ ธมฺมวเสเนว เทสิตํ ธมฺมาธิฎฺฐานํฯ อุภยวเสน เทสิตํ สตฺตาธิฎฺฐานญฺจ ธมฺมาธิฎฺฐานญฺจฯ อิมินา นเยน สพฺพปเทสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ พุทฺธาทีนํ ปน คุณาภิตฺถวนวเสน ปวตฺตํ สุตฺตํ ถโว นามฯ

    Evaṃ soḷasavidhena sāsanapaṭṭhānaṃ nānāsuttehi udāharaṇavasena vibhajitvā idāni aṭṭhavīsatividhena sāsanapaṭṭhānaṃ dassentena yasmā ayampi paṭṭhānavibhāgo mūlapadehi saṅgahito, na imassāpi tehi asaṅgahito padeso atthi, tasmā mūlapadaṃ vibhajitabbatañca dassetuṃ ‘‘tattha katame aṭṭhārasa mūlapadā’’ti pucchāya vasena mūlapadāni uddharitvā ‘‘lokiyaṃ lokuttara’’ntiādinā navatikā, thavo cāti aṭṭhavīsatividhaṃ sāsanapaṭṭhānaṃ uddiṭṭhaṃ. Tattha lokiyanti loke niyutto, loke vā vidito lokiyo. Idha pana lokiyo attho yasmiṃ sutte vutto, taṃ suttaṃ lokiyaṃ. Tathā lokuttaraṃ. Yasmiṃ pana sutte padesena lokiyo, padesena lokuttaro vutto, taṃ lokiyañca lokuttarañca. Yañca satte adhiṭṭhāya sattapaññattimukhena desitaṃ, taṃ sattādhiṭṭhānaṃ. Dhammavaseneva desitaṃ dhammādhiṭṭhānaṃ. Ubhayavasena desitaṃ sattādhiṭṭhānañca dhammādhiṭṭhānañca. Iminā nayena sabbapadesu attho veditabbo. Buddhādīnaṃ pana guṇābhitthavanavasena pavattaṃ suttaṃ thavo nāma.

    ตตฺถ สชฺชุขีรนฺติ ตงฺขณํเยว เธนุยา ถเนหิ นิกฺขนฺตํ อพฺภุณฺหขีรํฯ มุจฺจตีติ ปริณมติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา เธนุยา ถนโต นิกฺขนฺตํ ขีรํ ตงฺขณํเยว น มุจฺจติ น ปริณมติ น ทธิภาวํ คจฺฉติ, ตกฺกาทิอมฺพิลสมาโยคโต ปน ปรโต กาลนฺตเรน ปกติํ ชหติ ทธิภาวํ ปาปุณาติ, เอวเมวํ ปาปกมฺมมฺปิ กิริยกฺขเณเยว น วิปจฺจติฯ ยทิ วิปเจฺจยฺย, นานาคตีนํ สภาวฎฺฐานํ สิยา, น โกจิ ปาปกมฺมํ กาตุํ วิสเหยฺยฯ ยาว ปน กุสลาภินิพฺพตฺตกฺขนฺธา จรนฺติ, ตาว ตํ เต รกฺขนฺติ, เตสํ เภทา อปาเยสุ นิพฺพตฺตาปนวเสน วิปจฺจติฯ วิปจฺจมานญฺจ ฑหนฺตํ พาลมเนฺวติ, กิํ วิย? ภสฺมจฺฉโนฺนว ปาวโกฯ ยถา หิ ฉาริกาย ปฎิจฺฉโนฺน วีตจฺจิตงฺคาโร อกฺกโนฺตปิ ฉาริกาย ปฎิจฺฉนฺนตฺตา น ตาว ฑหติ, ฉาริกํ ปน ตาเปตฺวา จมฺมาทีนิ ฑหนวเสน ยาว มตฺถลุงฺคา ฑหโนฺต คจฺฉติ, เอวเมวํ ปาปกมฺมมฺปิ เยน กตํ, ตํ พาลํ ทุติเย วา ตติเย วา อตฺตภาเว นิรยาทีสุ นิพฺพตฺตํ ฑหนฺตํ อนุคจฺฉตีติฯ

    Tattha sajjukhīranti taṅkhaṇaṃyeva dhenuyā thanehi nikkhantaṃ abbhuṇhakhīraṃ. Muccatīti pariṇamati. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā dhenuyā thanato nikkhantaṃ khīraṃ taṅkhaṇaṃyeva na muccati na pariṇamati na dadhibhāvaṃ gacchati, takkādiambilasamāyogato pana parato kālantarena pakatiṃ jahati dadhibhāvaṃ pāpuṇāti, evamevaṃ pāpakammampi kiriyakkhaṇeyeva na vipaccati. Yadi vipacceyya, nānāgatīnaṃ sabhāvaṭṭhānaṃ siyā, na koci pāpakammaṃ kātuṃ visaheyya. Yāva pana kusalābhinibbattakkhandhā caranti, tāva taṃ te rakkhanti, tesaṃ bhedā apāyesu nibbattāpanavasena vipaccati. Vipaccamānañca ḍahantaṃ bālamanveti, kiṃ viya? Bhasmacchannova pāvako. Yathā hi chārikāya paṭicchanno vītaccitaṅgāro akkantopi chārikāya paṭicchannattā na tāva ḍahati, chārikaṃ pana tāpetvā cammādīni ḍahanavasena yāva matthaluṅgā ḍahanto gacchati, evamevaṃ pāpakammampi yena kataṃ, taṃ bālaṃ dutiye vā tatiye vā attabhāve nirayādīsu nibbattaṃ ḍahantaṃ anugacchatīti.

    ยสฺสินฺทฺริยานีติ ตตฺถายํ สเงฺขปโตฺถ – ยสฺส ภิกฺขุโน เฉเกน สารถินา สุทนฺตา อสฺสา วิย ฉ อินฺทฺริยานิ สมถํ ทนฺตภาวํ นิพฺพิเสวนภาวํ คตานิ, ตสฺส นววิธํ มานํ ปหาย ฐิตตฺตา ปหีนมานสฺส จตุนฺนํ อาสวานํ อภาเวน อนาสวสฺส ตาทิภาเว ฐิตสฺส ตถารูปสฺส เทวาปิ ปิหยนฺติ, มนุสฺสาปิ ทสฺสนญฺจ อาคมนญฺจ ปเตฺถนฺติเยวาติฯ อาหาเร สตีติ อาหารปฎิพเทฺธ ฉนฺทราเค อปฺปหีเน สติฯ

    Yassindriyānīti tatthāyaṃ saṅkhepattho – yassa bhikkhuno chekena sārathinā sudantā assā viya cha indriyāni samathaṃ dantabhāvaṃ nibbisevanabhāvaṃ gatāni, tassa navavidhaṃ mānaṃ pahāya ṭhitattā pahīnamānassa catunnaṃ āsavānaṃ abhāvena anāsavassa tādibhāve ṭhitassa tathārūpassa devāpi pihayanti, manussāpi dassanañca āgamanañca patthentiyevāti. Āhāre satīti āhārapaṭibaddhe chandarāge appahīne sati.

    ๑๑๓.

    113.

    สพฺพา ทิสา อนุปริคมฺม เจตสาติ ปริโต ทสปิ ทิสา จิเตฺตน อนุคนฺตฺวาฯ เนวชฺฌคาติ เนว อธิคเจฺฉยฺยฯ ปิยตรนฺติ อติสเยน ปิยํฯ อตฺตนาติ อตฺตโตฯ เอวํ ปิโย ปุถุ อตฺตา ปเรสนฺติ เอวํ กสฺสจิปิ อตฺตนา ปิยตรสฺส อนุปลพฺภนวเสน วิสุํ วิสุํ ปเรสํ สตฺตานํ อตฺตา ปิโยฯ ยสฺมา จ เอตเทว, ตสฺมา น หิํเส ปรํ อตฺตกาโม อตฺตโน สุขกาโมติฯ

    Sabbā disā anuparigamma cetasāti parito dasapi disā cittena anugantvā. Nevajjhagāti neva adhigaccheyya. Piyataranti atisayena piyaṃ. Attanāti attato. Evaṃ piyo puthu attā paresanti evaṃ kassacipi attanā piyatarassa anupalabbhanavasena visuṃ visuṃ paresaṃ sattānaṃ attā piyo. Yasmā ca etadeva, tasmā na hiṃse paraṃ attakāmo attano sukhakāmoti.

    ภูตาติ ชาตา นิพฺพตฺตาฯ ภวิสฺสนฺตีติ นิพฺพตฺติสฺสนฺติฯ ภูตาติ วา ขีณาสวาฯ เต หิ ปหีนภวตฺตา ภูตา เอวฯ คมิสฺสนฺตีติ ปรโลกํ คมิสฺสนฺติฯ ขีณาสวา ปน อนุปาทิเสสํ นิพฺพานํฯ

    Bhūtāti jātā nibbattā. Bhavissantīti nibbattissanti. Bhūtāti vā khīṇāsavā. Te hi pahīnabhavattā bhūtā eva. Gamissantīti paralokaṃ gamissanti. Khīṇāsavā pana anupādisesaṃ nibbānaṃ.

    ปิโย จ โหตีติ สุปริสุทฺธาย สีลสมฺปตฺติยา, สุปริสุทฺธาย จ ทิฎฺฐิสมฺปตฺติยา สมนฺนาคโต ปิโย ปิยายิตโพฺพ โหติฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Piyoca hotīti suparisuddhāya sīlasampattiyā, suparisuddhāya ca diṭṭhisampattiyā samannāgato piyo piyāyitabbo hoti. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘สีลทสฺสนสมฺปนฺนํ , ธมฺมฎฺฐํ สจฺจวาทินํ;

    ‘‘Sīladassanasampannaṃ , dhammaṭṭhaṃ saccavādinaṃ;

    อตฺตโน กมฺมกุพฺพานํ, ตํ ชโน กุรุเต ปิย’’นฺติฯ (ธ. ป. ๒๑๗);

    Attano kammakubbānaṃ, taṃ jano kurute piya’’nti. (dha. pa. 217);

    ปาสาณจฺฉตฺตํ วิย ครุกาตพฺพตาย ครุฯ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมวเสน สมฺภาเวตพฺพตาย ภาวนีโยฯ สีลคุเณน วา ปิยครุอาทิภาวา เวทิตพฺพาฯ ตถา หิ วุตฺตํ – ‘‘อากเงฺขยฺย เจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ‘สพฺรหฺมจารีนํ ปิโย จ อสฺสํ มนาโป จ ครุ จ ภาวนีโย จา’ติ, สีเลเสฺววสฺส ปริปูรการี’’ติ (ม. นิ. ๑.๖๕)ฯ

    Pāsāṇacchattaṃ viya garukātabbatāya garu. Uttarimanussadhammavasena sambhāvetabbatāya bhāvanīyo. Sīlaguṇena vā piyagaruādibhāvā veditabbā. Tathā hi vuttaṃ – ‘‘ākaṅkheyya ce, bhikkhave, bhikkhu ‘sabrahmacārīnaṃ piyo ca assaṃ manāpo ca garu ca bhāvanīyo cā’ti, sīlesvevassa paripūrakārī’’ti (ma. ni. 1.65).

    วตฺตาติ ‘‘กาเลน วกฺขามี’’ติอาทิปญฺจธเมฺม อตฺตนิ อุปฎฺฐาเปตฺวา สพฺรหฺมจารีนํ อุลฺลุมฺปนภาเว ฐตฺวา วตฺตาฯ วจนกฺขโมติ สพฺรหฺมจารีหิ เยน เกนจิ วุจฺจมาโน สุพฺพโจ หุตฺวา ปทกฺขิณคฺคาหิตาย เตสํ วจนํ ขมตีติ วจนกฺขโมฯ วตฺตาติ วา ธมฺมกถาวเสน วจนสีโลฯ วจนกฺขโมติ ธมฺมํ สํวเณฺณโนฺต ปเรหิ อสํหีโร หุตฺวา เตสํ ปุจฺฉาวจนกฺขมตาย วจนกฺขโมฯ คมฺภีรญฺจ กถํ กตฺตาติ สจฺจปฎิจฺจสมุปฺปาทาทิํ, อญฺญํ วา คมฺภีรกถํ กตฺตาฯ น จฎฺฐาเน นิโยชโกติ ธมฺมวินยาทิํ อธมฺมาวินยาทิวเสน อวตฺวา ธมฺมวินยาทิวเสเนว ทีปนโต น จ อฎฺฐาเน นิโยชโกฯ

    Vattāti ‘‘kālena vakkhāmī’’tiādipañcadhamme attani upaṭṭhāpetvā sabrahmacārīnaṃ ullumpanabhāve ṭhatvā vattā. Vacanakkhamoti sabrahmacārīhi yena kenaci vuccamāno subbaco hutvā padakkhiṇaggāhitāya tesaṃ vacanaṃ khamatīti vacanakkhamo. Vattāti vā dhammakathāvasena vacanasīlo. Vacanakkhamoti dhammaṃ saṃvaṇṇento parehi asaṃhīro hutvā tesaṃ pucchāvacanakkhamatāya vacanakkhamo. Gambhīrañca kathaṃ kattāti saccapaṭiccasamuppādādiṃ, aññaṃ vā gambhīrakathaṃ kattā. Na caṭṭhāne niyojakoti dhammavinayādiṃ adhammāvinayādivasena avatvā dhammavinayādivaseneva dīpanato na ca aṭṭhāne niyojako.

    มาตรํ ปิตรํ หนฺตฺวาติ เอตฺถ ‘‘ตณฺหา ชเนติ ปุริส’’นฺติ (สํ. นิ. ๑.๕๕-๕๗) วจนโต ตีสุ ภเวสุ สตฺตานํ ชนนโต ตณฺหา มาตา นามฯ ‘‘อหํ อสุกสฺส นาม รโญฺญ, ราชมหามตฺตสฺส วา ปุโตฺต’’ติ ปิตรํ นิสฺสาย อสฺมิมานสฺส อุปฺปชฺชนโต อสฺมิมาโน ปิตา นามฯ โลโก วิย ราชานํ ยสฺมา สพฺพทิฎฺฐิคตานิ เทฺว สสฺสตุเจฺฉททิฎฺฐิโย ภชนฺติ, ตสฺมา สสฺสตุเจฺฉททิฎฺฐิโย เทฺว ขตฺติยา ราชาโน นามฯ ทฺวาทสายตนานิ วิตฺถตเฎฺฐน รฎฺฐสทิสตฺตา รฎฺฐํ นามฯ อายสาธโก อายุตฺตกปุริโส วิย ตํนิสฺสิโต นนฺทิราโค อนุจโร นามฯ

    Mātaraṃ pitaraṃ hantvāti ettha ‘‘taṇhā janeti purisa’’nti (saṃ. ni. 1.55-57) vacanato tīsu bhavesu sattānaṃ jananato taṇhā mātā nāma. ‘‘Ahaṃ asukassa nāma rañño, rājamahāmattassa vā putto’’ti pitaraṃ nissāya asmimānassa uppajjanato asmimāno pitā nāma. Loko viya rājānaṃ yasmā sabbadiṭṭhigatāni dve sassatucchedadiṭṭhiyo bhajanti, tasmā sassatucchedadiṭṭhiyo dve khattiyā rājāno nāma. Dvādasāyatanāni vitthataṭṭhena raṭṭhasadisattā raṭṭhaṃ nāma. Āyasādhako āyuttakapuriso viya taṃnissito nandirāgo anucaro nāma.

    อนีโฆติ นิทฺทุโกฺขฯ พฺราหฺมโณติ ขีณาสโวฯ เอเตน หิ ตณฺหาทโย อรหตฺตมคฺคญาณาสินา หตา พาหิตาฯ ยาตีติ โส พฺราหฺมโณ นิทฺทุโกฺข หุตฺวา ยาตีติฯ

    Anīghoti niddukkho. Brāhmaṇoti khīṇāsavo. Etena hi taṇhādayo arahattamaggañāṇāsinā hatā bāhitā. Yātīti so brāhmaṇo niddukkho hutvā yātīti.

    กาเยติ กรชกาเยฯ จิตฺตนฺติ ปาทกชฺฌานจิตฺตํฯ สโมทหตีติ ปกฺขิปติฯ ยทา ทิสฺสมาเนน กาเยน คนฺตุกาโม โหติ, ตทา กายคติกํ ปาทกชฺฌานจิตฺตํ อธิฎฺฐหตีติ อโตฺถฯ จิเตฺตปิ กายํ สโมทหตีติ ยทา สีฆํ คนฺตุกาโม โหติ, ตทา ปาทกชฺฌานจิเตฺต กายํ ปกฺขิปติ, จิตฺตคติกํ กายํ อธิฎฺฐหตีติ อโตฺถฯ กาเย สุขสญฺญญฺจ ลหุสญฺญญฺจ โอกฺกมิตฺวาติ ‘‘เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย, ปสาริตํ วา พาหํ สมิเญฺชยฺยา’’ติ วุตฺตนเยน (มหาว. ๘, ๑๓๗; ที. นิ. ๒.๖๖; ม. นิ. ๑.๒๘๒; ๒.๓๓๘; สํ. นิ. ๑.๑๗๒) อิทฺธิมา กาเย สุขสญฺญญฺจ ลหุสญฺญญฺจ โอกฺกมิตฺวา ปเรสํ ทิสฺสมาเนน กาเยน อารามรามเณยฺยกาทีนิ เปกฺขมาโน จิตฺตกฺขเณเนว อิจฺฉิตฎฺฐานํ คจฺฉติฯ

    Kāyeti karajakāye. Cittanti pādakajjhānacittaṃ. Samodahatīti pakkhipati. Yadā dissamānena kāyena gantukāmo hoti, tadā kāyagatikaṃ pādakajjhānacittaṃ adhiṭṭhahatīti attho. Cittepi kāyaṃ samodahatīti yadā sīghaṃ gantukāmo hoti, tadā pādakajjhānacitte kāyaṃ pakkhipati, cittagatikaṃ kāyaṃ adhiṭṭhahatīti attho. Kāye sukhasaññañca lahusaññañca okkamitvāti ‘‘seyyathāpi nāma balavā puriso samiñjitaṃ vā bāhaṃ pasāreyya, pasāritaṃ vā bāhaṃ samiñjeyyā’’ti vuttanayena (mahāva. 8, 137; dī. ni. 2.66; ma. ni. 1.282; 2.338; saṃ. ni. 1.172) iddhimā kāye sukhasaññañca lahusaññañca okkamitvā paresaṃ dissamānena kāyena ārāmarāmaṇeyyakādīni pekkhamāno cittakkhaṇeneva icchitaṭṭhānaṃ gacchati.

    ๑๑๔.

    114.

    ยํ ตํ โลกุตฺตรํ ญาณนฺติ สพฺพํ โลกํ อุตฺตริตฺวา อภิภวิตฺวา ฐิตตฺตา วุตฺตํ, น ปน โลกุตฺตรภูมิกตฺตาฯ สพฺพกาเล ปวตฺตตีติ อาวชฺชนปฎิพทฺธวุตฺติตฺตา วุตฺตํ, น สตตํ สมิตํ ปวตฺตตีติฯ น หิ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ภควโต สพฺพสฺมิํเยว กาเล อุปฺปชฺชตีติ สกฺกา วตฺตุนฺติฯ

    Yaṃ taṃ lokuttaraṃ ñāṇanti sabbaṃ lokaṃ uttaritvā abhibhavitvā ṭhitattā vuttaṃ, na pana lokuttarabhūmikattā. Sabbakāle pavattatīti āvajjanapaṭibaddhavuttittā vuttaṃ, na satataṃ samitaṃ pavattatīti. Na hi sabbaññutaññāṇaṃ bhagavato sabbasmiṃyeva kāle uppajjatīti sakkā vattunti.

    กิตฺตยิสฺสามิ เต สนฺตินฺติ สพฺพกิเลสวูปสมเหตุตาย สนฺติํ นิพฺพานํ ทเสฺสสฺสามิฯ ทิเฎฺฐ ธเมฺมติ ทิเฎฺฐ ทุกฺขาทิธเมฺม, อิมสฺมิํ เอว วา อตฺตภาเวฯ อนีติหนฺติ อิติหาสาติ เอวํ น อิติกิราย ปวตฺตํ, อตฺตปจฺจกฺขนฺติ อโตฺถฯ ยํ วิทิตฺวา สโต จรนฺติ ‘‘สเพฺพ สงฺขารา อนิจฺจา’’ติอาทินา (ธ. ป. ๒๗๗; เถรคา. ๖๗๖; เนตฺติ. ๕) นเยน สโต หุตฺวา จรโนฺต อริยมเคฺคน ยํ สนฺติํ วิทิตฺวาฯ ตเร โลเก วิสตฺติกนฺติ สงฺขารโลเก วิสปฺปนโต วิสตฺติกสงฺขาตํ ตณฺหํ ตเร ตเรยฺย สมติกฺกเมยฺยาติ อโตฺถฯ

    Kittayissāmi te santinti sabbakilesavūpasamahetutāya santiṃ nibbānaṃ dassessāmi. Diṭṭhe dhammeti diṭṭhe dukkhādidhamme, imasmiṃ eva vā attabhāve. Anītihanti itihāsāti evaṃ na itikirāya pavattaṃ, attapaccakkhanti attho. Yaṃ viditvā sato caranti ‘‘sabbe saṅkhārā aniccā’’tiādinā (dha. pa. 277; theragā. 676; netti. 5) nayena sato hutvā caranto ariyamaggena yaṃ santiṃ viditvā. Tare loke visattikanti saṅkhāraloke visappanato visattikasaṅkhātaṃ taṇhaṃ tare tareyya samatikkameyyāti attho.

    ตญฺจาหํ อภินนฺทามีติ ตํ วุตฺตปฺปการํ สนฺติโชตกํ ตุมฺหากํ วจนํ อหํ ปตฺถยามิ, ตํ เอว วา สนฺติํ อุตฺตมํ อภินนฺทามีติ โธตโก วทติฯ อุทฺธํ อโธ ติริยญฺจาปิ มเชฺฌติ เอตฺถ อุทฺธนฺติ อนาคตํ อุปริ จฯ อโธติ อตีตํ เหฎฺฐา จฯ ติริยญฺจาปิ มเชฺฌติ ปจฺจุปฺปนฺนํ ปริโต จฯ เอตํ วิทิตฺวา สโงฺคตีติ เอตํ อนาคตาทิํ สงฺคชนนฎฺฐานนฺติ ญตฺวาฯ ภวาภวายาติ ขุทฺทกานเญฺจว มหนฺตานญฺจ ภวานํ อตฺถาย, สสฺสตุเจฺฉทาย วาฯ

    Tañcāhaṃ abhinandāmīti taṃ vuttappakāraṃ santijotakaṃ tumhākaṃ vacanaṃ ahaṃ patthayāmi, taṃ eva vā santiṃ uttamaṃ abhinandāmīti dhotako vadati. Uddhaṃ adho tiriyañcāpi majjheti ettha uddhanti anāgataṃ upari ca. Adhoti atītaṃ heṭṭhā ca. Tiriyañcāpi majjheti paccuppannaṃ parito ca. Etaṃ viditvā saṅgotīti etaṃ anāgatādiṃ saṅgajananaṭṭhānanti ñatvā. Bhavābhavāyāti khuddakānañceva mahantānañca bhavānaṃ atthāya, sassatucchedāya vā.

    อริยสจฺจานนฺติ อริยภาวกรานํ สจฺจานํฯ อนนุโพธาติ อพุชฺฌเนน อชานเนนฯ อปฺปฎิเวธาติ อปฺปฎิวิชฺฌเนนฯ สนฺธาวิตนฺติ ภวโต ภวสฺส คมเนน สนฺธาวิตํฯ สํสริตนฺติ ปุนปฺปุนํ คมนวเสน สํสริตํฯ มมเญฺจว ตุมฺหากญฺจาติ มยา เจว ตุเมฺหหิ จฯ อถ วา สนฺธาวิตํ สํสริตนฺติ สนฺธาวนํ สํสรณํ มมเญฺจว ตุมฺหากญฺจ อโหสีติ อโตฺถฯ ภวเนตฺตีติ ภวาภวํ นยนสมตฺถา ตณฺหารชฺชุฯ สํสิตนฺติ สํสริตํฯ สมูหตาติ สุฎฺฐุ หตา ฉินฺนา อปฺปวตฺติกตาฯ

    Ariyasaccānanti ariyabhāvakarānaṃ saccānaṃ. Ananubodhāti abujjhanena ajānanena. Appaṭivedhāti appaṭivijjhanena. Sandhāvitanti bhavato bhavassa gamanena sandhāvitaṃ. Saṃsaritanti punappunaṃ gamanavasena saṃsaritaṃ. Mamañceva tumhākañcāti mayā ceva tumhehi ca. Atha vā sandhāvitaṃ saṃsaritanti sandhāvanaṃ saṃsaraṇaṃ mamañceva tumhākañca ahosīti attho. Bhavanettīti bhavābhavaṃ nayanasamatthā taṇhārajju. Saṃsitanti saṃsaritaṃ. Samūhatāti suṭṭhu hatā chinnā appavattikatā.

    สเพฺพ สงฺขารา อนิจฺจาติ ปจฺจเยหิ สงฺขรียนฺตีติ ‘‘สงฺขารา’’ติ ลทฺธนามา ปญฺจกฺขนฺธาฯ อาทิอนฺตวนฺตโต อนิจฺจนฺติกโต ตาวกาลิกโต ขณปริตฺตโต จ น นิจฺจาติ อนิจฺจาฯ ยทา ปญฺญาย ปสฺสตีติ ยทา วิปสฺสนาปญฺญาย ปสฺสติฯ อถ อิมสฺมิํ วฎฺฎทุเกฺข นิพฺพินฺทติ, นิพฺพินฺทโนฺต ทุกฺขปริชานนาทิวเสน สจฺจานิ ปฎิวิชฺฌติฯ เอส มโคฺค วิสุทฺธิยาติ ยฺวายํ วุตฺตนเยน สจฺจปฺปฎิเวโธ, เอส วิสุทฺธตฺถาย มโคฺคฯ สเพฺพ สงฺขารา ทุกฺขาติ สเพฺพ สงฺขารา อภิณฺหสมฺปฎิปีฬนเฎฺฐน ขยเฎฺฐน จ ทุกฺขาติฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ สเพฺพ ธมฺมา อนตฺตาติ สเพฺพปิ เตภูมกธมฺมา ปรโต ตุจฺฉโต สุญฺญโต อสารโต อวสวตฺตนโต จ อนตฺตาติฯ เสสํ ปุริมสทิสเมวฯ

    Sabbe saṅkhārā aniccāti paccayehi saṅkharīyantīti ‘‘saṅkhārā’’ti laddhanāmā pañcakkhandhā. Ādiantavantato aniccantikato tāvakālikato khaṇaparittato ca na niccāti aniccā. Yadā paññāya passatīti yadā vipassanāpaññāya passati. Atha imasmiṃ vaṭṭadukkhe nibbindati, nibbindanto dukkhaparijānanādivasena saccāni paṭivijjhati. Esa maggo visuddhiyāti yvāyaṃ vuttanayena saccappaṭivedho, esa visuddhatthāya maggo. Sabbe saṅkhārā dukkhāti sabbe saṅkhārā abhiṇhasampaṭipīḷanaṭṭhena khayaṭṭhena ca dukkhāti. Sesaṃ vuttanayameva. Sabbe dhammā anattāti sabbepi tebhūmakadhammā parato tucchato suññato asārato avasavattanato ca anattāti. Sesaṃ purimasadisameva.

    เสโยฺยติ วิสิโฎฺฐ อุตฺตโมฯ สทิโสติ สมาโนฯ หีโนติ ลามโกฯ โอมาโนปิ หิ อตฺตโน อวงฺกรณมุเขนปิ สํปคฺคณฺหนวเสเนว ปวตฺตติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘หีโนหมสฺมี’’ติฯ กิมญฺญตฺร ยถาภูตสฺส อทสฺสนาติ สรสปภงฺคุตาย เอกเนฺตเนว อนวฎฺฐิตสภาเวหิ รูปธเมฺมหิ เสยฺยาทิวเสน อตฺตโน อุกฺขิปนสฺส เตสํ ยถาภูตํ อทสฺสนํ อญฺญาณํ วินา กิํ อญฺญํ การณํ สิยา, อญฺญํ กิญฺจิ การณํ ตสฺส นตฺถีติ อโตฺถฯ เวทนาทีสุปิ เอเสว นโยฯ วุตฺตวิปริยาเยน สุกฺกปโกฺข เวทิตโพฺพฯ

    Seyyoti visiṭṭho uttamo. Sadisoti samāno. Hīnoti lāmako. Omānopi hi attano avaṅkaraṇamukhenapi saṃpaggaṇhanavaseneva pavattati. Tena vuttaṃ ‘‘hīnohamasmī’’ti. Kimaññatra yathābhūtassa adassanāti sarasapabhaṅgutāya ekanteneva anavaṭṭhitasabhāvehi rūpadhammehi seyyādivasena attano ukkhipanassa tesaṃ yathābhūtaṃ adassanaṃ aññāṇaṃ vinā kiṃ aññaṃ kāraṇaṃ siyā, aññaṃ kiñci kāraṇaṃ tassa natthīti attho. Vedanādīsupi eseva nayo. Vuttavipariyāyena sukkapakkho veditabbo.

    ๑๑๕.

    115.

    เย อริยสจฺจานิ วิภาวยนฺตีติ ทุกฺขาทีนิ อริยสจฺจานิ ปญฺญาโอภาเสน สจฺจปฺปฎิจฺฉาทกกิเลสนฺธการํ วิธเมตฺวา อตฺตโน ปกาสานิ ปากฎานิ กโรนฺติฯ คมฺภีรปเญฺญนาติ อปฺปเมยฺยปญฺญตาย สเทวกสฺสปิ โลกสฺส ญาเณน อลพฺภเนยฺยปติฎฺฐปเญฺญน สพฺพญฺญุนาติ วุตฺตํ โหติฯ สุเทสิตานีติ สเงฺขปวิตฺถาราทีหิ เตหิ เตหิ นเยหิ สุฎฺฐุ เทสิตานิฯ กิญฺจาปิ เต โหนฺติ ภุสํ ปมตฺตาติ เต วิภาวิตอริยสจฺจา ปุคฺคลา กามํ เทวรชฺชจกฺกวตฺติรชฺชาทิปมาทฎฺฐานํ อาคมฺม ภุสํ ปมตฺตา โหนฺติ, ตถาปิ โสตาปตฺติมคฺคญาเณน อภิสงฺขารวิญฺญาณสฺส นิโรเธน ฐเปตฺวา สตฺต ภเว อนมตเคฺค สํสาเร เย อุปฺปเชฺชยฺยุํ นามญฺจ รูปญฺจ, เตสํ นิรุทฺธตฺตา น อฎฺฐมํ ภวํ อาทิยนฺติ, สตฺตมภเวเยว ปน วิปสฺสนํ อารภิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณนฺตีติ อโตฺถฯ

    Ye ariyasaccāni vibhāvayantīti dukkhādīni ariyasaccāni paññāobhāsena saccappaṭicchādakakilesandhakāraṃ vidhametvā attano pakāsāni pākaṭāni karonti. Gambhīrapaññenāti appameyyapaññatāya sadevakassapi lokassa ñāṇena alabbhaneyyapatiṭṭhapaññena sabbaññunāti vuttaṃ hoti. Sudesitānīti saṅkhepavitthārādīhi tehi tehi nayehi suṭṭhu desitāni. Kiñcāpi te honti bhusaṃ pamattāti te vibhāvitaariyasaccā puggalā kāmaṃ devarajjacakkavattirajjādipamādaṭṭhānaṃ āgamma bhusaṃ pamattā honti, tathāpi sotāpattimaggañāṇena abhisaṅkhāraviññāṇassa nirodhena ṭhapetvā satta bhave anamatagge saṃsāre ye uppajjeyyuṃ nāmañca rūpañca, tesaṃ niruddhattā na aṭṭhamaṃ bhavaṃ ādiyanti, sattamabhaveyeva pana vipassanaṃ ārabhitvā arahattaṃ pāpuṇantīti attho.

    ยถินฺทขีโลติ เอตฺถ ยถาติ อุปมาวจนํฯ อินฺทขีโลติ นครทฺวารถิรกรณตฺถํ อุมฺมารพฺภนฺตเร อฎฺฐ วา ทส วา หเตฺถ ปถวิํ ขณิตฺวา อาโกฎิตสฺส สารทารุมยสฺส ถมฺภเสฺสตํ อธิวจนํฯ ปถวิสฺสิโต สิยาติ คมฺภีรเนมิตาย อโนฺต ปวิสิตฺวา ภูมินิสฺสิโต สิยา ภเวยฺยฯ จตุพฺภิ วาเตหีติ จตูหิ ทิสาหิ อาคตวาเตหิฯ อสมฺปกมฺปิโยติ กเมฺปตุํ วา จาเลตุํ วา อสกฺกุเณโยฺยฯ ตถูปมํ…เป.… ปสฺสตีติ โย จตฺตาริ อริยสจฺจานิ ปญฺญาย อโชฺฌคาเหตฺวา ปสฺสติ, ตํ สปฺปุริสํ อุตฺตมปุริสํ ตถา ทสฺสนโต สพฺพติตฺถิยวาทวาเตหิ อสมฺปกมฺปิยตาย ตถูปมํ ยถาวุตฺตอินฺทขีลูปมํ วทามีติ อโตฺถฯ

    Yathindakhīloti ettha yathāti upamāvacanaṃ. Indakhīloti nagaradvārathirakaraṇatthaṃ ummārabbhantare aṭṭha vā dasa vā hatthe pathaviṃ khaṇitvā ākoṭitassa sāradārumayassa thambhassetaṃ adhivacanaṃ. Pathavissito siyāti gambhīranemitāya anto pavisitvā bhūminissito siyā bhaveyya. Catubbhi vātehīti catūhi disāhi āgatavātehi. Asampakampiyoti kampetuṃ vā cāletuṃ vā asakkuṇeyyo. Tathūpamaṃ…pe… passatīti yo cattāri ariyasaccāni paññāya ajjhogāhetvā passati, taṃ sappurisaṃ uttamapurisaṃ tathā dassanato sabbatitthiyavādavātehi asampakampiyatāya tathūpamaṃ yathāvuttaindakhīlūpamaṃ vadāmīti attho.

    โสตาปตฺติยเงฺคหีติ อริยโสตาปชฺชนสฺส องฺคภูเตหิฯ อริยสาวโกติ อริยสฺส พุทฺธสฺส ภควโต สทฺธมฺมสฺสวนเนฺต ชาตตฺตา อริยสาวโกฯ ขีณนิรโยมฺหีติ ขีณนิรโย อมฺหิฯ ขีณาปายทุคฺคติวินิปาโตติ อิทํ นิรยาทีนํเยว เววจนวเสน วุตฺตํฯ นิรยาทโย หิ วฑฺฒิสงฺขาตโต อยโต อเปตตฺตา อปายาฯ ทุกฺขสฺส คติ ปฎิสรณนฺติ ทุคฺคติโยฯ ทุกฺกฎการิโน วิวสา เอตฺถ นิปตนฺตีติ วินิปาตาฯ โสตํ อริยมคฺคํ อาทิโต ปโตฺต อธิคโตติ โสตาปโนฺนฯ อกุปฺปธมฺมตาย มคฺคผลานํ ปุถุชฺชนภาวสงฺขาเต วิรูเป น นิปตนสภาโวติ อวินิปาตธโมฺมฯ ตโต เอว ธมฺมนิยาเมน นิยตตาย นิยโตฯ อุปริมคฺคตฺตยสงฺขาตา สโมฺพธิ อวสฺสํ ปตฺตพฺพตาย อสฺส ปรํ อยนํ คติ ปฎิสรณนฺติ สโมฺพธิปรายโณ

    Sotāpattiyaṅgehīti ariyasotāpajjanassa aṅgabhūtehi. Ariyasāvakoti ariyassa buddhassa bhagavato saddhammassavanante jātattā ariyasāvako. Khīṇanirayomhīti khīṇanirayo amhi. Khīṇāpāyaduggativinipātoti idaṃ nirayādīnaṃyeva vevacanavasena vuttaṃ. Nirayādayo hi vaḍḍhisaṅkhātato ayato apetattā apāyā. Dukkhassa gati paṭisaraṇanti duggatiyo. Dukkaṭakārino vivasā ettha nipatantīti vinipātā. Sotaṃ ariyamaggaṃ ādito patto adhigatoti sotāpanno. Akuppadhammatāya maggaphalānaṃ puthujjanabhāvasaṅkhāte virūpe na nipatanasabhāvoti avinipātadhammo. Tato eva dhammaniyāmena niyatatāya niyato. Uparimaggattayasaṅkhātā sambodhi avassaṃ pattabbatāya assa paraṃ ayanaṃ gati paṭisaraṇanti sambodhiparāyaṇo.

    นิวิฎฺฐาติอาทีนิ ปทานิ อญฺญมญฺญเววจนาเนวฯ สหธมฺมิยาติ สพฺรหฺมจาริโนฯ อริยกเนฺตหีติ อริยานํ กเนฺตหิ ปิเยหิ มนาเปหิฯ ปญฺจ สีลานิ หิ อริยสาวกานํ กนฺตานิ โหนฺติ, ภวนฺตเรปิ อวิชหนโตฯ ตานิ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ สโพฺพปิ ปเนตฺถ สํวโร ลพฺภติเยวฯ โสตาปโนฺนหมสฺมีติ อิทํ เทสนาสีสเมวฯ สกทาคามิอาทโยปิ ‘‘สกทาคามีหมสฺมี’’ติอาทินา นเยน พฺยากโรนฺติเยวฯ ยโต สเพฺพสมฺปิ สิกฺขาปทาวิโรเธน ยุตฺตฎฺฐาเน พฺยากรณํ อนุญฺญาตเมวาติฯ

    Niviṭṭhātiādīni padāni aññamaññavevacanāneva. Sahadhammiyāti sabrahmacārino. Ariyakantehīti ariyānaṃ kantehi piyehi manāpehi. Pañca sīlāni hi ariyasāvakānaṃ kantāni honti, bhavantarepi avijahanato. Tāni sandhāyetaṃ vuttaṃ. Sabbopi panettha saṃvaro labbhatiyeva. Sotāpannohamasmīti idaṃ desanāsīsameva. Sakadāgāmiādayopi ‘‘sakadāgāmīhamasmī’’tiādinā nayena byākarontiyeva. Yato sabbesampi sikkhāpadāvirodhena yuttaṭṭhāne byākaraṇaṃ anuññātamevāti.

    ยสฺสินฺทฺริยานีติ ยสฺส อริยปุคฺคลสฺส สทฺธาทีนิ อินฺทฺริยานิฯ สุภาวิตานีติ อริยมคฺคภาวนาวเสน สุฎฺฐุ ภาวิตานิฯ อชฺฌตฺตํ พหิทฺธา จาติ โอรมฺภาคิยานํ อุทฺธมฺภาคิยานญฺจ สํโยชนานํ ปชหนวเสนฯ เตนาห ‘‘สพฺพโลเก’’ติฯ นิพฺพิชฺฌาติ นิพฺพิชฺฌิตฺวา ปฎิวิชฺฌิตฺวาฯ

    Yassindriyānīti yassa ariyapuggalassa saddhādīni indriyāni. Subhāvitānīti ariyamaggabhāvanāvasena suṭṭhu bhāvitāni. Ajjhattaṃ bahiddhā cāti orambhāgiyānaṃ uddhambhāgiyānañca saṃyojanānaṃ pajahanavasena. Tenāha ‘‘sabbaloke’’ti. Nibbijjhāti nibbijjhitvā paṭivijjhitvā.

    ธมฺมปทานีติ ธมฺมโกฎฺฐาสานิฯ อนภิชฺฌา ธมฺมปทํ นาม อโลโภ วา อโลภสีเสน อธิคตฌานวิปสฺสนามคฺคผลนิพฺพานานิ วา ทสอสุภวเสน วา อธิคตฌานาทีนิ อนภิชฺฌา ธมฺมปทํฯ จตุพฺรหฺมวิหารวเสน อธิคตานิ อพฺยาปาโท ธมฺมปทํฯ ทสานุสฺสติอาหาเรปฎิกฺกูลสญฺญาวเสน อธิคตานิ สมฺมาสติ ธมฺมปทํฯ ทสกสิณอานาปานวเสน อธิคตานิ สมฺมาสมาธิ ธมฺมปทํฯ

    Dhammapadānīti dhammakoṭṭhāsāni. Anabhijjhā dhammapadaṃ nāma alobho vā alobhasīsena adhigatajhānavipassanāmaggaphalanibbānāni vā dasaasubhavasena vā adhigatajhānādīni anabhijjhā dhammapadaṃ. Catubrahmavihāravasena adhigatāni abyāpādo dhammapadaṃ. Dasānussatiāhārepaṭikkūlasaññāvasena adhigatāni sammāsati dhammapadaṃ. Dasakasiṇaānāpānavasena adhigatāni sammāsamādhi dhammapadaṃ.

    ปญฺจ ฉิเนฺทติ เหฎฺฐา อปายุปปตฺติสํวตฺตนิกานิ ปญฺจ โอรมฺภาคิยสํโยชนานิ ปาเท พทฺธรชฺชุํ วิย ปุริโส สเตฺถน เหฎฺฐา มคฺคตฺตเยน ฉิเนฺทยฺยฯ ปญฺจ ชเหติ อุปริเทวโลกสมฺปาปกานิ ปญฺจ อุทฺธมฺภาคิยสํโยชนานิ ปุริโส คีวาย พทฺธรชฺชุํ วิย อรหตฺตมเคฺคน ชเหยฺย ฉิเนฺทเยฺยวาติ อโตฺถฯ ปญฺจ จุตฺตริ ภาวเยติ อุทฺธมฺภาคิยสํโยชนานํ ปหานตฺถาย สทฺธาทีนิ ปญฺจินฺทฺริยานิ อุตฺตริ ภาเวยฺยฯ ปญฺจ สงฺคาติโคติ เอวํ สเนฺต ปญฺจนฺนํ ราคโทสโมหมานทิฎฺฐิสงฺคานํ อติกฺกมเนน ปญฺจสงฺคาติโค หุตฺวา ภิกฺขุ ‘‘โอฆติโณฺณ’’ติ วุจฺจติ, นิตฺติณฺณจตุโรโฆติ วุจฺจตีติ อโตฺถฯ

    Pañca chindeti heṭṭhā apāyupapattisaṃvattanikāni pañca orambhāgiyasaṃyojanāni pāde baddharajjuṃ viya puriso satthena heṭṭhā maggattayena chindeyya. Pañca jaheti uparidevalokasampāpakāni pañca uddhambhāgiyasaṃyojanāni puriso gīvāya baddharajjuṃ viya arahattamaggena jaheyya chindeyyevāti attho. Pañca cuttari bhāvayeti uddhambhāgiyasaṃyojanānaṃ pahānatthāya saddhādīni pañcindriyāni uttari bhāveyya. Pañca saṅgātigoti evaṃ sante pañcannaṃ rāgadosamohamānadiṭṭhisaṅgānaṃ atikkamanena pañcasaṅgātigo hutvā bhikkhu ‘‘oghatiṇṇo’’ti vuccati, nittiṇṇacaturoghoti vuccatīti attho.

    อนญฺญาตํ อปฺปฎิวิทฺธํ จตุสจฺจธมฺมํ, อมตปทํเยว วา ญสฺสามิ ชานิสฺสามีติ ปฎิปนฺนสฺส ปฐมมคฺคฎฺฐสฺส อินฺทฺริยนฺติ อนญฺญาตญฺญสฺสามีตินฺทฺริยํฯ ปฐมมคฺคญาณญฺหิ ตํปุพฺพภาควเสน เอวํ วุตฺตํฯ อาชานาติ ปฐมมเคฺคน ญาตมริยาทํ อนติกฺกมิตฺวา ชานาตีติ อโญฺญ, ตสฺส อินฺทฺริยนฺติ อญฺญินฺทฺริยํ, เหฎฺฐา ตีสุ ผเลสุ, อุปริ ตีสุ มเคฺคสุ จ ญาณเสฺสตํ อธิวจนํฯ อญฺญาตาวิโน จตูสุ สเจฺจสุ นิฎฺฐิตกิจฺจสฺส อรหโต อินฺทฺริยนฺติ อญฺญาตาวินฺทฺริยํ, อคฺคผลญาณเสฺสตํ อธิวจนํฯ อนภิสเมตสฺสาติ อปฺปฎิวิทฺธสฺสฯ อภิสมยายาติ ปฎิเวธายฯ

    Anaññātaṃ appaṭividdhaṃ catusaccadhammaṃ, amatapadaṃyeva vā ñassāmi jānissāmīti paṭipannassa paṭhamamaggaṭṭhassa indriyanti anaññātaññassāmītindriyaṃ. Paṭhamamaggañāṇañhi taṃpubbabhāgavasena evaṃ vuttaṃ. Ājānāti paṭhamamaggena ñātamariyādaṃ anatikkamitvā jānātīti añño, tassa indriyanti aññindriyaṃ, heṭṭhā tīsu phalesu, upari tīsu maggesu ca ñāṇassetaṃ adhivacanaṃ. Aññātāvino catūsu saccesu niṭṭhitakiccassa arahato indriyanti aññātāvindriyaṃ, aggaphalañāṇassetaṃ adhivacanaṃ. Anabhisametassāti appaṭividdhassa. Abhisamayāyāti paṭivedhāya.

    ๑๑๖.

    116.

    พาลลกฺขณานีติ พาลสฺส อุปลกฺขณการณานิฯ พาลนิมิตฺตานีติ ‘‘พาโล อย’’นฺติ คเหตุํ นิมิตฺตานิ การณานิฯ พาลาปทานานีติ พาลสฺส โปราณานิ วิรุฬฺหานิ กมฺมานิฯ ‘‘ทุจฺจินฺติตจินฺตี’’ติอาทีสุ ทุจฺจินฺติตํ อภิชฺฌํ พฺยาปาทํ มิจฺฉาทสฺสนญฺจ จิเนฺตตีติ ทุจฺจินฺติตจินฺตีฯ ทุพฺภาสิตํ มุสาวาทาทิํ ภาสตีติ ทุพฺภาสิตภาสีฯ ทุกฺกฎํ ปาณาติปาตาทิกมฺมํ กโรตีติ ทุกฺกฎกมฺมการีฯ วุตฺตวิปริยาเยน สุกฺกปโกฺข เวทิตโพฺพฯ

    Bālalakkhaṇānīti bālassa upalakkhaṇakāraṇāni. Bālanimittānīti ‘‘bālo aya’’nti gahetuṃ nimittāni kāraṇāni. Bālāpadānānīti bālassa porāṇāni viruḷhāni kammāni. ‘‘Duccintitacintī’’tiādīsu duccintitaṃ abhijjhaṃ byāpādaṃ micchādassanañca cintetīti duccintitacintī. Dubbhāsitaṃ musāvādādiṃ bhāsatīti dubbhāsitabhāsī. Dukkaṭaṃ pāṇātipātādikammaṃ karotīti dukkaṭakammakārī. Vuttavipariyāyena sukkapakkho veditabbo.

    ภิโยฺยติ อุปรูปริฯ ปกุเชฺฌยฺยุนฺติ วิรุเชฺฌยฺยุํฯ ‘‘ปกุเปฺปยฺยุ’’นฺติปิ ปาโฐฯ ภุเสนาติ ทเฬฺหนฯ ทเณฺฑนาติ ทณฺฑทาเนนฯ ธีโรติ ปณฺฑิโต สปฺปญฺญชาติโกฯ นิเสธเยติ ปฎิพาเหยฺยฯ ปุน กิญฺจิ กาตุํ วตฺตุํ วา อสมตฺถํ กเรยฺยาติ อโตฺถฯ

    Bhiyyoti uparūpari. Pakujjheyyunti virujjheyyuṃ. ‘‘Pakuppeyyu’’ntipi pāṭho. Bhusenāti daḷhena. Daṇḍenāti daṇḍadānena. Dhīroti paṇḍito sappaññajātiko. Nisedhayeti paṭibāheyya. Puna kiñci kātuṃ vattuṃ vā asamatthaṃ kareyyāti attho.

    ปรนฺติ ปจฺจตฺถิกํฯ โย สโต อุปสมฺมตีติ โย สติมา หุตฺวา อุปสมฺมติ, ตสฺส อุปสมํเยวาหํ พาลสฺส ปฎิเสธนํ มญฺญามีติ อโตฺถฯ

    Paranti paccatthikaṃ. Yo sato upasammatīti yo satimā hutvā upasammati, tassa upasamaṃyevāhaṃ bālassa paṭisedhanaṃ maññāmīti attho.

    วชฺชนฺติ โทสํฯ ยทา นํ มญฺญตีติ ยสฺมา นํ มญฺญติฯ อชฺฌารุหตีติ อโชฺฌตฺถรติฯ โคว ภิโยฺย ปลายินนฺติ ยถา โคยูเถ ตาวเทว เทฺว คาโว ยุชฺฌเนฺต โคคโณ โอโลเกโนฺต ติฎฺฐติ ยาว น เอโก ปลายติ, ยทา ปน ปลายติ, อถ ตํ ปลายีนํ สโพฺพ โคคโณ ภิโยฺย อโชฺฌตฺถรติ, เอวํ ทุเมฺมโธ ขมนฺตํ ภิโยฺย อโชฺฌตฺถรตีติ อโตฺถฯ

    Vajjanti dosaṃ. Yadā naṃ maññatīti yasmā naṃ maññati. Ajjhāruhatīti ajjhottharati. Gova bhiyyo palāyinanti yathā goyūthe tāvadeva dve gāvo yujjhante gogaṇo olokento tiṭṭhati yāva na eko palāyati, yadā pana palāyati, atha taṃ palāyīnaṃ sabbo gogaṇo bhiyyo ajjhottharati, evaṃ dummedho khamantaṃ bhiyyo ajjhottharatīti attho.

    สทตฺถปรมาติ สกตฺถปรมาฯ ขนฺตฺยา ภิโยฺย น วิชฺชตีติ เตสุ สกตฺถปรเมสุ อเตฺถสุ ขนฺติโต อุตฺตริตโร อโญฺญ อโตฺถ น วิชฺชติฯ ตมาหุ ปรมํ ขนฺตินฺติ โย พลวา ติติกฺขติ, ตสฺส ตํ ขนฺติํ ปรมํ อาหุฯ พาลพลํ นาม อญฺญาณพลํฯ ตํ ยสฺส พลํ, อพลเมว ตํ, น ตํ พลนฺติ อาหุ กเถนฺติ ทีเปนฺติฯ ธมฺมคุตฺตสฺสาติ ธเมฺมน รกฺขิตสฺส ธมฺมํ วา รกฺขนฺตสฺสฯ ปฎิวตฺตาติ ปฎิปฺผริตฺวา วตฺตา, ปฎิปฺปริตฺวา วา ยํ วา ตํ วา วเทยฺยาสิฯ ธมฺมฎฺฐํ ปน จาเลตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิฯ ตเสฺสว เตน ปาปิโยติ เตน โกเธน ตเสฺสว ปุคฺคลสฺส ปาปํ โหติฯ กตรสฺสาติ ? โย กุทฺธํ ปฎิกุชฺฌติ, ตสฺสฯ ตตฺถ กุทฺธนฺติ สมฺปทาเน อุปโยควจนํ, กุทฺธสฺสาติ อโตฺถฯ ติกิจฺฉนฺตานนฺติ เอกวจเน พหุวจนํ, ติกิจฺฉนฺตนฺติ อโตฺถฯ ชนา มญฺญนฺตีติ เอวรูปํ อตฺตโน จ ปรสฺส จาติ อุภินฺนํ อตฺถํ ติกิจฺฉนฺตํ นิปฺผาเทนฺตํ ปุคฺคลํ ‘‘พาโล อย’’นฺติ อนฺธพาลปุถุชฺชนา เอวํ มญฺญนฺติฯ เย ธมฺมสฺส อโกวิทาติ เย จตุสจฺจธเมฺม อโกวิทา อเจฺฉกา, เต เอวํ มญฺญนฺตีติ อโตฺถฯ

    Sadatthaparamāti sakatthaparamā. Khantyā bhiyyo na vijjatīti tesu sakatthaparamesu atthesu khantito uttaritaro añño attho na vijjati. Tamāhu paramaṃ khantinti yo balavā titikkhati, tassa taṃ khantiṃ paramaṃ āhu. Bālabalaṃ nāma aññāṇabalaṃ. Taṃ yassa balaṃ, abalameva taṃ, na taṃ balanti āhu kathenti dīpenti. Dhammaguttassāti dhammena rakkhitassa dhammaṃ vā rakkhantassa. Paṭivattāti paṭippharitvā vattā, paṭipparitvā vā yaṃ vā taṃ vā vadeyyāsi. Dhammaṭṭhaṃ pana cāletuṃ samattho nāma natthi. Tasseva tena pāpiyoti tena kodhena tasseva puggalassa pāpaṃ hoti. Katarassāti ? Yo kuddhaṃ paṭikujjhati, tassa. Tattha kuddhanti sampadāne upayogavacanaṃ, kuddhassāti attho. Tikicchantānanti ekavacane bahuvacanaṃ, tikicchantanti attho. Janā maññantīti evarūpaṃ attano ca parassa cāti ubhinnaṃ atthaṃ tikicchantaṃ nipphādentaṃ puggalaṃ ‘‘bālo aya’’nti andhabālaputhujjanā evaṃ maññanti. Ye dhammassa akovidāti ye catusaccadhamme akovidā acchekā, te evaṃ maññantīti attho.

    ๑๑๗.

    117.

    ปตฺตนฺติ อธิคตํ เอตรหิ อนุภุยฺยมานํ กามูปกรณํ ปตฺตพฺพนฺติ ตเทว อนาคเต อธิคนฺตพฺพํ อนุภวิตพฺพํ, อุภยเมตํ รชานุกิณฺณนฺติ ตทุภยมฺปิ ราครชาทีหิ อวกิณฺณํ ฯ อาตุรสฺสาติ ราคาทิกิเลสาตุรสฺสฯ อนุสิกฺขโตติ กิเลสพหุลปุคฺคเล อนุสิกฺขโตฯ เย จ สิกฺขาสาราติ เย ยถาสมาทินฺนํ สีลวตาทิสงฺขาตํ สิกฺขํ สารโต คเหตฺวา ฐิตาฯ เตนาห – ‘‘สีลํ วตํ ชีวิตํ พฺรหฺมจริย’’นฺติฯ ตตฺถ ยํ ‘‘น กโรมี’’ติ โอรมติ, ตํ สีลํฯ ยํ เวสโภชนกิจฺจจรณาทิ, ตํ วตํฯ ชีวิตนฺติ อาชีโวฯ พฺรหฺมจริยนฺติ เมถุนวิรติฯ อุปฎฺฐานสาราติ เอเตสํ สีลาทีนํ อนุฎฺฐานสาราฯ เอเตหิ เอว สํสารสุทฺธีติ ตานิ สารโต คเหตฺวา ฐิตาติ อโตฺถฯ

    Pattanti adhigataṃ etarahi anubhuyyamānaṃ kāmūpakaraṇaṃ pattabbanti tadeva anāgate adhigantabbaṃ anubhavitabbaṃ, ubhayametaṃ rajānukiṇṇanti tadubhayampi rāgarajādīhi avakiṇṇaṃ . Āturassāti rāgādikilesāturassa. Anusikkhatoti kilesabahulapuggale anusikkhato. Ye ca sikkhāsārāti ye yathāsamādinnaṃ sīlavatādisaṅkhātaṃ sikkhaṃ sārato gahetvā ṭhitā. Tenāha – ‘‘sīlaṃ vataṃ jīvitaṃ brahmacariya’’nti. Tattha yaṃ ‘‘na karomī’’ti oramati, taṃ sīlaṃ. Yaṃ vesabhojanakiccacaraṇādi, taṃ vataṃ. Jīvitanti ājīvo. Brahmacariyanti methunavirati. Upaṭṭhānasārāti etesaṃ sīlādīnaṃ anuṭṭhānasārā. Etehi eva saṃsārasuddhīti tāni sārato gahetvā ṭhitāti attho.

    อิเจฺจเต อุโภ อนฺตาติ อิติ สีลพฺพตปรามาสมุเขน อตฺตกิลมถานุโยโค, กาเมสุ อนวชฺชสญฺญิตามุเขน กามสุขลฺลิกานุโยโค จาติ เอเต อุโภ อนฺตาฯ เต จ โข ยถากฺกมํ อายติํ ปตฺตเพฺพ, เอตรหิ ปเตฺต จ ราครชาทิโอกิเณฺณ กามคุเณ อลฺลีเนหิ กิเลสาตุรานํ อนุสิกฺขเนฺตหิ, สยญฺจ กิเลสาตุเรเหว ปฎิปชฺชิตพฺพา, ตโต เอว จ เต กฎสิวฑฺฒนา อปราปรํ ชรามรเณหิ สิวถิกาย วฑฺฒนสีลา เอกเนฺตเนว กฎสิํ วเฑฺฒนฺติ, สยํ วฑฺฒนฺตา ปเร จ อนฺตทฺวเย สมาทเปนฺตา วฑฺฒาเปนฺติ จาติ อโตฺถฯ

    Iccete ubho antāti iti sīlabbataparāmāsamukhena attakilamathānuyogo, kāmesu anavajjasaññitāmukhena kāmasukhallikānuyogo cāti ete ubho antā. Te ca kho yathākkamaṃ āyatiṃ pattabbe, etarahi patte ca rāgarajādiokiṇṇe kāmaguṇe allīnehi kilesāturānaṃ anusikkhantehi, sayañca kilesātureheva paṭipajjitabbā, tato eva ca te kaṭasivaḍḍhanā aparāparaṃ jarāmaraṇehi sivathikāya vaḍḍhanasīlā ekanteneva kaṭasiṃ vaḍḍhenti, sayaṃ vaḍḍhantā pare ca antadvaye samādapentā vaḍḍhāpenti cāti attho.

    อุโภ อเนฺต อนภิญฺญายาติ ยถาวุเตฺต อุโภ อเนฺต อชานิตฺวาฯ โอลียนฺติ เอเกติ ‘‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จา’’ติ โอลียนตณฺหาภินิเวสวเสน อวลียนฺติ เอกเจฺจฯ อติธาวนฺติ เอเกติ เอกเจฺจ – ‘‘อุจฺฉิชฺชติ วินสฺสติ อตฺตา จ โลโก จา’’ติ อติธาวนาภินิเวสวเสน อติกฺกมนฺติฯ

    Ubho ante anabhiññāyāti yathāvutte ubho ante ajānitvā. Olīyanti eketi ‘‘sassato attā ca loko cā’’ti olīyanataṇhābhinivesavasena avalīyanti ekacce. Atidhāvanti eketi ekacce – ‘‘ucchijjati vinassati attā ca loko cā’’ti atidhāvanābhinivesavasena atikkamanti.

    อมญฺญิํสุ เตสญฺจ ตณฺหาทิมญฺญนานํ ปหีนตฺตาฯ ตโต เอว อนุปาทาปรินิพฺพานโต ติวิธมฺปิ วฎฺฎํ เตสํ ปญฺญาปนาย นตฺถีติฯ

    Naamaññiṃsu tesañca taṇhādimaññanānaṃ pahīnattā. Tato eva anupādāparinibbānato tividhampi vaṭṭaṃ tesaṃ paññāpanāya natthīti.

    ชญฺญาติ ชาเนยฺยฯ สํยุเชติ สํโยเชยฺยฯ มานุสนฺติ มนุสฺสานํ อิทนฺติ มานุสํ, มนุสฺสภวปริยาปนฺนํฯ กิญฺหิ ตสฺส สกํ โหตีติ ตสฺส มจฺจุมุขํ ปวิสนฺตสฺส สตฺตสฺส กิํ อญฺญํ สกํ นาม อญฺญตฺร กลฺยาณกมฺมโตฯ กมฺมสฺสกา หิ สตฺตาฯ เตนาห – ‘‘ตสฺมา กเรยฺย กลฺยาณ’’นฺติอาทิฯ ตตฺถ สมฺปรายิกนฺติ สมฺปรายผลนิพฺพตฺตกํฯ

    Jaññāti jāneyya. Saṃyujeti saṃyojeyya. Mānusanti manussānaṃ idanti mānusaṃ, manussabhavapariyāpannaṃ. Kiñhi tassa sakaṃ hotīti tassa maccumukhaṃ pavisantassa sattassa kiṃ aññaṃ sakaṃ nāma aññatra kalyāṇakammato. Kammassakā hi sattā. Tenāha – ‘‘tasmā kareyya kalyāṇa’’ntiādi. Tattha samparāyikanti samparāyaphalanibbattakaṃ.

    ๑๑๘.

    118.

    อิเม ธมฺมาติ อิเม กุสลา วา อกุสลา วา ธมฺมาฯ เอวํคหิตาติ เอวํ สมาทินฺนา อุปฺปาทิตาฯ อิทํ ผลนฺติ อิทํ อิฎฺฐวิปากํ อนิฎฺฐวิปากญฺจ ผลํฯ อยมโตฺถติ อยํ วุฑฺฒิ, อยํ หานีติ อโตฺถฯ อญฺญมฺปิ เอวํชาติยนฺติ เอกํสพฺยากรณียํ วทติฯ

    Ime dhammāti ime kusalā vā akusalā vā dhammā. Evaṃgahitāti evaṃ samādinnā uppāditā. Idaṃ phalanti idaṃ iṭṭhavipākaṃ aniṭṭhavipākañca phalaṃ. Ayamatthoti ayaṃ vuḍḍhi, ayaṃ hānīti attho. Aññampi evaṃjātiyanti ekaṃsabyākaraṇīyaṃ vadati.

    อากงฺขโต น ชาเนยฺยุนฺติ ตตฺถ เยน เหตุนา ภควโต ยา อากงฺขา, สา อเญฺญสํ อวิสโยติ อาห – ‘‘กินฺตํ ภควา อากงฺขตีติฯ อิทํ อวิสชฺชนีย’’นฺติฯ

    Ākaṅkhato na jāneyyunti tattha yena hetunā bhagavato yā ākaṅkhā, sā aññesaṃ avisayoti āha – ‘‘kintaṃ bhagavā ākaṅkhatīti. Idaṃ avisajjanīya’’nti.

    เอตฺตโกติ เอตปริมาโณฯ สีลกฺขเนฺธติ สีลกฺขนฺธเหตุฯ ‘‘สีลกฺขเนฺธนา’’ติปิ ปาโฐฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ อิริยายนฺติ กายวจีสมาจาเรฯ ปภาเวติ อานุภาเวฯ หิเตสิตายนฺติ เมตฺตายฯ อิทฺธิยนฺติ อิทฺธิวิธายฯ เอตฺตกา พุทฺธคุณา, เต จ ปเจฺจกํ เอวํปภาวาฯ ตถา มคฺคผลนิพฺพานานิ เอวมานุภาวานิฯ อริยสโงฺฆ เอวํวิธคุเณหิ ยุโตฺตติฯ

    Ettakoti etaparimāṇo. Sīlakkhandheti sīlakkhandhahetu. ‘‘Sīlakkhandhenā’’tipi pāṭho. Sesapadesupi eseva nayo. Iriyāyanti kāyavacīsamācāre. Pabhāveti ānubhāve. Hitesitāyanti mettāya. Iddhiyanti iddhividhāya. Ettakā buddhaguṇā, te ca paccekaṃ evaṃpabhāvā. Tathā maggaphalanibbānāni evamānubhāvāni. Ariyasaṅgho evaṃvidhaguṇehi yuttoti.

    ติณฺณํ รตนานํ มหานุภาวตา น สพฺพถา อเญฺญสํ วิสโย, ภควโต เอว วิสโยติ อาห – ‘‘พุทฺธวิสโย อวิสชฺชนีโย’’ติฯ เตน โย อโญฺญปิ อโตฺถ พุทฺธวิสโย, โส อวิสชฺชนีโยติ ทเสฺสติฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา – ‘‘พุทฺธวิสโย อจิเนฺตโยฺย น จิเนฺตตโพฺพ, ยํ จิเนฺตโนฺต อุมฺมาทสฺส วิฆาตสฺส ภาคี อสฺสา’’ติ (อ. นิ. ๔.๗๗)ฯ กตมา ปุพฺพา โกฎีติ อวิสชฺชนียนฺติ ‘‘กตมา ปุพฺพา โกฎี’’ติ เกนจิ กตํ ปุจฺฉนํ อวิสชฺชนียํฯ กสฺมา? สํสารสฺส ปุริมาย โกฎิยา อภาวโตฯ เตเนวาห – ‘‘ปุริมา, ภิกฺขเว, โกฎิ น ปญฺญายตี’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๖๑)ฯ ตตฺถ น ปญฺญายตีติ น ทิสฺสติ, น อุปลพฺภตีติ อโตฺถฯ น ปญฺญายตีติ อญฺญสฺส ญาณวิสโย น โหตีติ ปน อตฺถํ สนฺธาย ‘‘น ปญฺญายตีติ สาวกานํ ญาณเวกเลฺลนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อตฺตูปนายิกาติ อตฺตา อุปเนตโพฺพ เอติสฺสาติ อตฺตูปนายิกาฯ นตฺถิ พุทฺธานํ ภควนฺตานํ อวิชานนาติ เอเตน ปุริมาย โกฎิยา อภาวโต เอว น ปญฺญายติ, น ตตฺถ ญาณสฺส ปฎิฆาโตติ ทเสฺสติฯ

    Tiṇṇaṃ ratanānaṃ mahānubhāvatā na sabbathā aññesaṃ visayo, bhagavato eva visayoti āha – ‘‘buddhavisayo avisajjanīyo’’ti. Tena yo aññopi attho buddhavisayo, so avisajjanīyoti dasseti. Vuttañhetaṃ bhagavatā – ‘‘buddhavisayo acinteyyo na cintetabbo, yaṃ cintento ummādassa vighātassa bhāgī assā’’ti (a. ni. 4.77). Katamā pubbā koṭīti avisajjanīyanti ‘‘katamā pubbā koṭī’’ti kenaci kataṃ pucchanaṃ avisajjanīyaṃ. Kasmā? Saṃsārassa purimāya koṭiyā abhāvato. Tenevāha – ‘‘purimā, bhikkhave, koṭi na paññāyatī’’ti (a. ni. 10.61). Tattha na paññāyatīti na dissati, na upalabbhatīti attho. Na paññāyatīti aññassa ñāṇavisayo na hotīti pana atthaṃ sandhāya ‘‘na paññāyatīti sāvakānaṃ ñāṇavekallenā’’tiādi vuttaṃ. Tattha attūpanāyikāti attā upanetabbo etissāti attūpanāyikā. Natthi buddhānaṃ bhagavantānaṃ avijānanāti etena purimāya koṭiyā abhāvato eva na paññāyati, na tattha ñāṇassa paṭighātoti dasseti.

    ยํ ปน อตฺถิ, ตํ อเญฺญสํ อปฺปเมยฺยมฺปิ ภควโต น อปฺปเมยฺยนฺติ ภควโต สพฺพตฺถ อปฺปฎิหตญฺญาณตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ยถา ภควา โกกาลิกํ ภิกฺขุํ อารพฺภา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อญฺญตรํ ภิกฺขุนฺติ นามโคเตฺตน อปากฎํฯ ‘‘กีว ทีฆํ นุ โข, ภเนฺต, ปทุเม นิรเย อายุปฺปมาณ’’นฺติ ปญฺหํ ปุจฺฉิตฺวา นิสินฺนํ เอกํ ภิกฺขุํ เอวมาหาติฯ เอตฺถายํ ปาฐเสโส – ทีฆํ โข, ภิกฺขุ, ปทุเม นิรเย อายุปฺปมาณํ, ตํ น สุกรํ สงฺขาตุํ ‘‘เอตฺตกานิ วสฺสานี’’ติ วา ‘‘เอตฺตกานิ วสฺสสตานี’’ติ วา ‘‘เอตฺตกานิ วสฺสสหสฺสานี’’ติ วา ‘‘เอตฺตกานิ วสฺสสตสหสฺสานี’’ติ วาติฯ สกฺกา ปน, ภเนฺต, อุปมา กาตุนฺติฯ ‘‘สกฺกา ภิกฺขู’’ติ ภควา อโวจฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขุ, วีสติขาริโก โกสลโก ติลวาโหฯ ตโต ปุริโส วสฺสสตสฺส วสฺสสตสฺส อจฺจเยน เอกเมกํ ติลํ อุทฺธเรยฺยฯ ขิปฺปตรํ โข โส, ภิกฺขุ, วีสติขาริโก โกสลโก ติลวาโห อิมินา อุปกฺกเมน ปริกฺขยํ ปริยาทานํ คเจฺฉยฺย, น เตฺวว เอโก อพฺพุโท นิรโยฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขุ, วีสติ อพฺพุทา นิรยา, เอวเมโก นิรพฺพุโท นิรโยติอาทิ (สํ. นิ. ๑.๑๘๑; อ. นิ. ๑๐.๘๙; สุ. นิ. โกกาลิกสุตฺต)ฯ

    Yaṃ pana atthi, taṃ aññesaṃ appameyyampi bhagavato na appameyyanti bhagavato sabbattha appaṭihataññāṇataṃ dassetuṃ ‘‘yathā bhagavā kokālikaṃ bhikkhuṃ ārabbhā’’tiādimāha. Tattha aññataraṃ bhikkhunti nāmagottena apākaṭaṃ. ‘‘Kīva dīghaṃ nu kho, bhante, padume niraye āyuppamāṇa’’nti pañhaṃ pucchitvā nisinnaṃ ekaṃ bhikkhuṃ evamāhāti. Etthāyaṃ pāṭhaseso – dīghaṃ kho, bhikkhu, padume niraye āyuppamāṇaṃ, taṃ na sukaraṃ saṅkhātuṃ ‘‘ettakāni vassānī’’ti vā ‘‘ettakāni vassasatānī’’ti vā ‘‘ettakāni vassasahassānī’’ti vā ‘‘ettakāni vassasatasahassānī’’ti vāti. Sakkā pana, bhante, upamā kātunti. ‘‘Sakkā bhikkhū’’ti bhagavā avoca. Seyyathāpi, bhikkhu, vīsatikhāriko kosalako tilavāho. Tato puriso vassasatassa vassasatassa accayena ekamekaṃ tilaṃ uddhareyya. Khippataraṃ kho so, bhikkhu, vīsatikhāriko kosalako tilavāho iminā upakkamena parikkhayaṃ pariyādānaṃ gaccheyya, na tveva eko abbudo nirayo. Seyyathāpi, bhikkhu, vīsati abbudā nirayā, evameko nirabbudo nirayotiādi (saṃ. ni. 1.181; a. ni. 10.89; su. ni. kokālikasutta).

    ตตฺถ วีสติขาริโกติ มาคธเกน ปเตฺถน จตฺตาโร ปตฺถา โกสลรเฎฺฐ เอโก ปโตฺถ โหติฯ เตน ปเตฺถน จตฺตาโร ปตฺถา อาฬฺหกํ, จตฺตาริ อาฬฺหกานิ โทณํ, จตุโทณา มานิกา, จตุมานิกา ขารีฯ ตาย ขาริยา วีสติขาริโก ติลวาโหฯ ติลวาโหติ ติลสกฎํฯ อพฺพุโท นิรโยติ อพฺพุโท นาม เอโก ปเจฺจกนิรโย นตฺถิ, อวีจิมฺหิ เอว ปน อพฺพุทคณนาย ปจฺจโนกาโส ‘‘อพฺพุโท นิรโย’’ติ วุโตฺตฯ เอส นโย นิรพฺพุทาทีสุปิฯ

    Tattha vīsatikhārikoti māgadhakena patthena cattāro patthā kosalaraṭṭhe eko pattho hoti. Tena patthena cattāro patthā āḷhakaṃ, cattāri āḷhakāni doṇaṃ, catudoṇā mānikā, catumānikā khārī. Tāya khāriyā vīsatikhāriko tilavāho. Tilavāhoti tilasakaṭaṃ. Abbudo nirayoti abbudo nāma eko paccekanirayo natthi, avīcimhi eva pana abbudagaṇanāya paccanokāso ‘‘abbudo nirayo’’ti vutto. Esa nayo nirabbudādīsupi.

    ตตฺถ วสฺสคณนาปิ เอวํ เวทิตพฺพา – ยถา หิ สตํสตสหสฺสานิ โกฎิ โหติฯ เอวํ สตํสตสหสฺสโกฎิโย ปโกฎิ นามฯ สตํสตสหสฺสปโกฎิโย โกฎิปโกฎิ นามฯ สตํสตสหสฺสโกฎิปโกฎิโย นหุตํฯ สตํสตสหสฺสนหุตานิ นินฺนหุตํฯ สตํสตสหสฺสานิ นินฺนหุตานิ เอโก อพฺพุโทฯ ตโต วีสติคุโณ นิรพฺพุโทฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ อยญฺจ คณนา อปริจิตานํ ทุกฺกราติ วุตฺตํ – ‘‘ตํ น สุกรํ สงฺขาตุ’’นฺติฯ เกจิ ปน ‘‘ตตฺถ ตตฺถ ปริเทวนานเตฺตน กมฺมการณนานเตฺตนปิ อิมานิ นามานิ ลทฺธานี’’ติ วทนฺติฯ อปเร ‘‘สีตนรกา เอเต’’ติฯ จิตฺตํ อาฆาเตตฺวาติ จิตฺตํ ปทูเสตฺวาฯ

    Tattha vassagaṇanāpi evaṃ veditabbā – yathā hi sataṃsatasahassāni koṭi hoti. Evaṃ sataṃsatasahassakoṭiyo pakoṭi nāma. Sataṃsatasahassapakoṭiyo koṭipakoṭi nāma. Sataṃsatasahassakoṭipakoṭiyo nahutaṃ. Sataṃsatasahassanahutāni ninnahutaṃ. Sataṃsatasahassāni ninnahutāni eko abbudo. Tato vīsatiguṇo nirabbudo. Esa nayo sabbattha. Ayañca gaṇanā aparicitānaṃ dukkarāti vuttaṃ – ‘‘taṃ na sukaraṃ saṅkhātu’’nti. Keci pana ‘‘tattha tattha paridevanānattena kammakāraṇanānattenapi imāni nāmāni laddhānī’’ti vadanti. Apare ‘‘sītanarakā ete’’ti. Cittaṃ āghātetvāti cittaṃ padūsetvā.

    ๑๑๙.

    119.

    กถํ ชิโนติ ปการปุจฺฉาฯ เกน ชิโนติ การณปุจฺฉาฯ เกน การเณน เกน เหตุนา กาย ปฎิปตฺติยา ชิโนติ ปุจฺฉติฯ กถนฺติ ปน เกน ปกาเรน กิํ อตีตานํ, อุทาหุ อนาคตานํ ปจฺจุปฺปนฺนานํ กิเลสานํ ปหาเนน ชิโนติ ปุจฺฉติ, ตสฺมา ตํ ‘‘วิสชฺชนีย’’นฺติ วุตฺตํฯ กตโม ชิโนติ กิํ รูปํ ชิโน, อุทาหุ เวทนา สญฺญา สงฺขารา วิญฺญาณํ ชิโนฯ รูปาทิวินิมุโตฺต วา อโญฺญ ชิโน, โย ‘‘อตฺตา’’ติ วุจฺจตีติ อิมมตฺถํ สนฺธายาห ‘‘อวิสชฺชนีย’’นฺติฯ กิตฺตโกติ ปมาณโต กิํปริมาโณฯ

    Kathaṃ jinoti pakārapucchā. Kena jinoti kāraṇapucchā. Kena kāraṇena kena hetunā kāya paṭipattiyā jinoti pucchati. Kathanti pana kena pakārena kiṃ atītānaṃ, udāhu anāgatānaṃ paccuppannānaṃ kilesānaṃ pahānena jinoti pucchati, tasmā taṃ ‘‘visajjanīya’’nti vuttaṃ. Katamo jinoti kiṃ rūpaṃ jino, udāhu vedanā saññā saṅkhārā viññāṇaṃ jino. Rūpādivinimutto vā añño jino, yo ‘‘attā’’ti vuccatīti imamatthaṃ sandhāyāha ‘‘avisajjanīya’’nti. Kittakoti pamāṇato kiṃparimāṇo.

    อตฺถิ ตถาคโตติ อตฺถิ สโตฺตฯ ยฺวายมายสฺมา ‘‘เอวํนาโม เอวํโคโตฺต’’ติ ปญฺจกฺขเนฺธ อุปาทาย ปญฺญปียติ, ตสฺส ปุคฺคลสฺส อธิเปฺปตตฺตา วุตฺตํ ‘‘วิสชฺชนีย’’นฺติฯ รูปํ ตถาคโตติ รูปํ อตฺตาติ สกฺกายทิฎฺฐิวเสน ปุจฺฉตีติ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘อวิสชฺชนีย’’นฺติฯ อิมินา นเยน สพฺพปเทสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Atthitathāgatoti atthi satto. Yvāyamāyasmā ‘‘evaṃnāmo evaṃgotto’’ti pañcakkhandhe upādāya paññapīyati, tassa puggalassa adhippetattā vuttaṃ ‘‘visajjanīya’’nti. Rūpaṃ tathāgatoti rūpaṃ attāti sakkāyadiṭṭhivasena pucchatīti katvā vuttaṃ ‘‘avisajjanīya’’nti. Iminā nayena sabbapadesu attho veditabbo.

    ๑๒๐.

    120.

    พาลํ ปีฐสมารุฬฺหนฺติอาทีนิ สามิอเตฺถ อุปโยควจนานิฯ กาเยน ทุจฺจริตานีติ กาเยน ทุฎฺฐุ กตานิฯ โอลพฺภนฺตีติ อวลมฺพนฺติ อวตฺถริยนฺติฯ เสสปททฺวยํ ตเสฺสว เววจนํฯ โอลมฺพนาทิอากาเรน หิ ตานิ อุปฎฺฐหนฺติ, ตสฺมา เอวํ วุตฺตํฯ มหตนฺติ มหนฺตานํฯ ปถวิยํ โอลมฺพนฺตีติ ปถวิตเล ปตฺถรนฺติฯ เสสปททฺวยํ ตเสฺสว เววจนํฯ ปตฺถรณากาโรเยว เหสฯ ตตฺร, ภิกฺขเว, พาลสฺสาติ ตสฺมิํ อุปฎฺฐหนากาเร พาลสฺส เอวํ โหติฯ

    Bālaṃ pīṭhasamāruḷhantiādīni sāmiatthe upayogavacanāni. Kāyena duccaritānīti kāyena duṭṭhu katāni. Olabbhantīti avalambanti avatthariyanti. Sesapadadvayaṃ tasseva vevacanaṃ. Olambanādiākārena hi tāni upaṭṭhahanti, tasmā evaṃ vuttaṃ. Mahatanti mahantānaṃ. Pathaviyaṃ olambantīti pathavitale pattharanti. Sesapadadvayaṃ tasseva vevacanaṃ. Pattharaṇākāroyeva hesa. Tatra, bhikkhave, bālassāti tasmiṃ upaṭṭhahanākāre bālassa evaṃ hoti.

    ลาภา โว, ภิกฺขเวติ ภิกฺขเว, เย อิเม ตุเมฺหหิ ปฎิลทฺธา มนุสฺสตฺตสทฺธาปฎิลาภาทโย, ลาภา โว ตุมฺหากํ ลาภา เอวฯ สุลทฺธนฺติ ยมฺปิทํ ปพฺพชิตฺวา จตุปาริสุทฺธิสีลาทิสมฺปาทนํ ลทฺธํ, ตมฺปิ สุลทฺธํฯ ขโณ โว ปฎิลโทฺธติ อฎฺฐอกฺขณวชฺชิโต นวโมยํ ขโณ ปฎิลโทฺธ มคฺคพฺรหฺมจริยวาสายฯ ‘‘ทิฎฺฐา มยา’’ติอาทินา เอกเทสนิทสฺสเนน อฎฺฐ อกฺขเณ วิภาเวติฯ

    Lābhāvo, bhikkhaveti bhikkhave, ye ime tumhehi paṭiladdhā manussattasaddhāpaṭilābhādayo, lābhā vo tumhākaṃ lābhā eva. Suladdhanti yampidaṃ pabbajitvā catupārisuddhisīlādisampādanaṃ laddhaṃ, tampi suladdhaṃ. Khaṇo vo paṭiladdhoti aṭṭhaakkhaṇavajjito navamoyaṃ khaṇo paṭiladdho maggabrahmacariyavāsāya. ‘‘Diṭṭhā mayā’’tiādinā ekadesanidassanena aṭṭha akkhaṇe vibhāveti.

    ๑๒๑.

    121.

    ยหิํ ยหินฺติ ยํ ยํ ทุคฺคติํ โย คจฺฉติฯ โส นํ อธโมฺมติ โย อธโมฺม เตน จริโต, โส นํ อธมฺมจาริํ ปุคฺคลํฯ หนาตีติ พาธติฯ

    Yahiṃ yahinti yaṃ yaṃ duggatiṃ yo gacchati. So naṃ adhammoti yo adhammo tena carito, so naṃ adhammacāriṃ puggalaṃ. Hanātīti bādhati.

    อเปฺปสกฺขตาติ อปฺปานุภาวตาฯ ทุพฺพณฺณตาติ วิรูปตา พีภจฺฉตาฯ ทุปฺปญฺญตาติ นิปฺปญฺญตา อเหตุกปฎิสนฺธิวเสน เอฬมูคตาฯ

    Appesakkhatāti appānubhāvatā. Dubbaṇṇatāti virūpatā bībhacchatā. Duppaññatāti nippaññatā ahetukapaṭisandhivasena eḷamūgatā.

    ๑๒๒.

    122.

    วาจานุรกฺขีติ จตุนฺนํ วจีทุจฺจริตานํ ปริวชฺชเนน วาจานุรกฺขีฯ อภิชฺฌาทีนํ อนุปฺปาทเนน มนสา สุฎฺฐุ สํวุโตฯ ปาณาติปาตาทโย ปชหโนฺต กาเยน จ อกุสลํ น กยิรา, เอเต ตโย กมฺมปเถ วิโสธเยฯ เอวํ วิโสเธโนฺต หิ สีลกฺขนฺธาทีนํ เอสเกหิ พุทฺธาทีหิ อิสีหิ ปเวทิตํ อริยํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ อาราเธยฺยาติฯ ทุกฺกฎนฺติ กาเยน วาจาย มนสา จ ทุกฺกฎํ สาวชฺชํ ทุกฺขุทฺรยํ ทุคฺคติสํวตฺตนิยํ กมฺมํ ยสฺส นตฺถิฯ สํวุตํ ตีหิ ฐาเนหีติ เอเตหิ ตีหิ การเณหิ กายทุจฺจริตาทีนํ ปเวสนิวารณโต ปิหิตํ, ตํ อหํ ‘‘พฺราหฺมณ’’นฺติ วทามีติฯ

    Vācānurakkhīti catunnaṃ vacīduccaritānaṃ parivajjanena vācānurakkhī. Abhijjhādīnaṃ anuppādanena manasā suṭṭhu saṃvuto. Pāṇātipātādayo pajahanto kāyena ca akusalaṃ na kayirā, ete tayo kammapathe visodhaye. Evaṃ visodhento hi sīlakkhandhādīnaṃ esakehi buddhādīhi isīhi paveditaṃ ariyaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ ārādheyyāti. Dukkaṭanti kāyena vācāya manasā ca dukkaṭaṃ sāvajjaṃ dukkhudrayaṃ duggatisaṃvattaniyaṃ kammaṃ yassa natthi. Saṃvutaṃ tīhiṭhānehīti etehi tīhi kāraṇehi kāyaduccaritādīnaṃ pavesanivāraṇato pihitaṃ, taṃ ahaṃ ‘‘brāhmaṇa’’nti vadāmīti.

    อจฺจนฺตทุสฺสีลฺยนฺติ เอกนฺตทุสฺสีลภาโวฯ คิหี วาปิ ชาติโต ปฎฺฐาย ทส อกุสลกมฺมปเถ กโรโนฺต, ปพฺพชิโต วาปิ อุปสมฺปนฺนทิวสโต ปฎฺฐาย ครุกาปตฺติํ อาปชฺชมาโน อจฺจนฺตทุสฺสีโล นามฯ อิธ ปน โย ทฺวีสุ ตีสุ อตฺตภาเวสุ ทุสฺสีโล, ตสฺส คติยา อาคตํ ทุสฺสีลภาวํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ ทุสฺสีลภาโวติ เจตฺถ ทุสฺสีลสฺส ฉ ทฺวารานิ นิสฺสาย อุปฺปนฺนา ตณฺหา เวทิตพฺพาฯ มาลุวา สาลมิโวตฺถตนฺติ ยสฺส ปุคฺคลสฺส ตํ ตณฺหาสงฺขาตํ ทุสฺสีลฺยํฯ ยถา นาม มาลุวา สาลํ โอตฺถตํ เทเว วสฺสเนฺต ปเตฺตหิ อุทกํ ปฎิจฺฉิตฺวา สํภญฺชนวเสน สพฺพตฺถกเมว ปริโยนนฺธติ, เอวํ อตฺตภาวํ โอตฺถตํ ปริโยนนฺธิตฺวา ฐิตํ โส มาลุวาย สํภญฺชิตฺวา ภูมิยํ ปาติยมาโน รุโกฺข วิย ตาย ทุสฺสีลฺยสงฺขาตาย ตณฺหาย สํภญฺชิตฺวา อปาเยสุ ปาติยมาโน, ยถา นํ อนตฺถกาโม ทิโส อิจฺฉติ, ตถา อตฺตานํ กโรติ นามาติ อโตฺถฯ

    Accantadussīlyanti ekantadussīlabhāvo. Gihī vāpi jātito paṭṭhāya dasa akusalakammapathe karonto, pabbajito vāpi upasampannadivasato paṭṭhāya garukāpattiṃ āpajjamāno accantadussīlo nāma. Idha pana yo dvīsu tīsu attabhāvesu dussīlo, tassa gatiyā āgataṃ dussīlabhāvaṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Dussīlabhāvoti cettha dussīlassa cha dvārāni nissāya uppannā taṇhā veditabbā. Māluvā sālamivotthatanti yassa puggalassa taṃ taṇhāsaṅkhātaṃ dussīlyaṃ. Yathā nāma māluvā sālaṃ otthataṃ deve vassante pattehi udakaṃ paṭicchitvā saṃbhañjanavasena sabbatthakameva pariyonandhati, evaṃ attabhāvaṃ otthataṃ pariyonandhitvā ṭhitaṃ so māluvāya saṃbhañjitvā bhūmiyaṃ pātiyamāno rukkho viya tāya dussīlyasaṅkhātāya taṇhāya saṃbhañjitvā apāyesu pātiyamāno, yathā naṃ anatthakāmo diso icchati, tathā attānaṃ karoti nāmāti attho.

    ‘‘อตฺตนา หิ กต’’นฺติ คาถาย อยํ สเงฺขปโตฺถ – ยถา ปาสาณมยํ ปาสาณสมฺภวํ วชิรํ ตเมว อสฺมมยํ มณิํ อตฺตโน อุฎฺฐานฎฺฐานสงฺขาตํ ปาสาณมณิํ ขายิตฺวา ฉิทฺทาฉิทฺทํ ขณฺฑาขณฺฑํ กตฺวา อปริโภคํ กโรติ, เอวเมวํ อตฺตนา กตํ อตฺตนิ ชาตํ อตฺตสมฺภวํ ปาปํ ทุเมฺมธํ นิปฺปญฺญํ ปุคฺคลํ จตูสุ อปาเยสุ อภิมตฺถติ กนฺตติ วิทฺธํเสตีติฯ

    ‘‘Attanā hi kata’’nti gāthāya ayaṃ saṅkhepattho – yathā pāsāṇamayaṃ pāsāṇasambhavaṃ vajiraṃ tameva asmamayaṃ maṇiṃ attano uṭṭhānaṭṭhānasaṅkhātaṃ pāsāṇamaṇiṃ khāyitvā chiddāchiddaṃ khaṇḍākhaṇḍaṃ katvā aparibhogaṃ karoti, evamevaṃ attanā kataṃ attani jātaṃ attasambhavaṃ pāpaṃ dummedhaṃ nippaññaṃ puggalaṃ catūsu apāyesu abhimatthati kantati viddhaṃsetīti.

    นิเสวิยาติ กตฺวาฯ ครหาติ คารยฺหาฯ พาลมตีติ มนฺทพุทฺธิโนฯ ขยา จ กมฺมสฺสาติ กมฺมกฺขยกรญาเณน กมฺมสฺส เขปนโตฯ วิมุตฺตเจตโสติ สมุเจฺฉทวิมุตฺติยา ปฎิปฺปสฺสทฺธิวิมุตฺติยา จ วิมุตฺตจิโตฺตฯ นิพฺพนฺติ เต โชติริวินฺธนกฺขยาติ ยถา นาม อนุปาทาโน ชาตเวโท นิพฺพายติ, เอวเมวํ อภิสงฺขารสฺส วิญฺญาณสฺส อนวเสสกฺขยา นิพฺพายติฯ

    Niseviyāti katvā. Garahāti gārayhā. Bālamatīti mandabuddhino. Khayā ca kammassāti kammakkhayakarañāṇena kammassa khepanato. Vimuttacetasoti samucchedavimuttiyā paṭippassaddhivimuttiyā ca vimuttacitto. Nibbanti te jotirivindhanakkhayāti yathā nāma anupādāno jātavedo nibbāyati, evamevaṃ abhisaṅkhārassa viññāṇassa anavasesakkhayā nibbāyati.

    ๑๒๓.

    123.

    ‘‘ยถาปิ ภมโร’’ติ คาถายํ ภมโรติ ยา กาจิ มธุกรชาติฯ ปุปฺผนฺติ ปุปฺผาราเม จรโนฺต ปุปฺผญฺจ ตสฺส วณฺณญฺจ คนฺธญฺจ อเหฐยํ อเหฐยโนฺต อวินาเสโนฺต จรตีติ อโตฺถฯ เอวํ จริตฺวา จ ปเลติ รสมาทายาติ ยาวทตฺถํ รสํ ปิวิตฺวา อปรมฺปิ มธุกรณตฺถาย รสํ คเหตฺวา เฑติฯ โส เอกํ วนคหนํ อโชฺฌคาเหตฺวา รุกฺขสุสิราทีสุ ตํ รชมิสฺสกํ รสํ ฐเปตฺวา อนุปุเพฺพน มธุรรสํ มธุํ กโรติ, น ตสฺส ปุปฺผาราเม จริตปจฺจยา ปุปฺผํ วา ตสฺส วโณฺณ วา คโนฺธ วา วินสฺสติ, อถ โข ปุปฺผํ ปากติกเมว โหติฯ เอวํ คาเม มุนี จเรติ เอวํ เสโกฺข อเสโกฺข วา อนคาริยมุนิ กุลปฎิปาฎิยา คาเม ภิกฺขํ คณฺหโนฺต จเรยฺยาติ อโตฺถฯ น หิ ตสฺส คาเม จรณปจฺจยา สทฺธาหานิ วา โภคหานิ วา โหติ, สทฺธาปิ โภคาปิ ปากติกาว โหนฺติฯ เอวํ จริตฺวา จ ปน คามโต นิกฺขมิตฺวา พหิคาเม อุทกผาสุกฎฺฐาเน สงฺฆาฎิํ ปญฺญเปตฺวา นิสิโนฺน อกฺขภญฺชน- (มิ. ป. ๖.๑.๒) วณเลปนปุตฺตมํสูปมวเสน (มิ. ป. ๖.๑.๒; สํ. นิ. ๒.๖๓) ปจฺจเวกฺขโนฺต ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิตฺวา ตถารูปํ วนสณฺฑํ อนุปวิสิตฺวา อชฺฌตฺติกกมฺมฎฺฐานํ สมฺมสโนฺต มคฺคผลานิ หตฺถคตาเนว กโรติฯ อเสกฺขมุนิ ปน ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารมนุยุญฺชติฯ อยมสฺส ภมเรน มธุกเรน สริกฺขตาฯ ขีณาสโว ปเนตฺถ อธิเปฺปโตติฯ

    ‘‘Yathāpi bhamaro’’ti gāthāyaṃ bhamaroti yā kāci madhukarajāti. Pupphanti pupphārāme caranto pupphañca tassa vaṇṇañca gandhañca aheṭhayaṃ aheṭhayanto avināsento caratīti attho. Evaṃ caritvā ca paleti rasamādāyāti yāvadatthaṃ rasaṃ pivitvā aparampi madhukaraṇatthāya rasaṃ gahetvā ḍeti. So ekaṃ vanagahanaṃ ajjhogāhetvā rukkhasusirādīsu taṃ rajamissakaṃ rasaṃ ṭhapetvā anupubbena madhurarasaṃ madhuṃ karoti, na tassa pupphārāme caritapaccayā pupphaṃ vā tassa vaṇṇo vā gandho vā vinassati, atha kho pupphaṃ pākatikameva hoti. Evaṃ gāme munī careti evaṃ sekkho asekkho vā anagāriyamuni kulapaṭipāṭiyā gāme bhikkhaṃ gaṇhanto careyyāti attho. Na hi tassa gāme caraṇapaccayā saddhāhāni vā bhogahāni vā hoti, saddhāpi bhogāpi pākatikāva honti. Evaṃ caritvā ca pana gāmato nikkhamitvā bahigāme udakaphāsukaṭṭhāne saṅghāṭiṃ paññapetvā nisinno akkhabhañjana- (mi. pa. 6.1.2) vaṇalepanaputtamaṃsūpamavasena (mi. pa. 6.1.2; saṃ. ni. 2.63) paccavekkhanto piṇḍapātaṃ paribhuñjitvā tathārūpaṃ vanasaṇḍaṃ anupavisitvā ajjhattikakammaṭṭhānaṃ sammasanto maggaphalāni hatthagatāneva karoti. Asekkhamuni pana diṭṭhadhammasukhavihāramanuyuñjati. Ayamassa bhamarena madhukarena sarikkhatā. Khīṇāsavo panettha adhippetoti.

    ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต วิหรตีติ โย นํ ปาติ รกฺขติ, ตํ โมเกฺขติ โมเจติ อาปายิกาทีหิ ทุเกฺขหีติ ปาติโมโกฺขฯ โส เอว กายิกวาจสิกสฺส วีติกฺกมสฺส สํวรณโต ปิทหนโต สํวโรฯ เตน ปาติโมกฺขสํวเรน สํวุโต สมนฺนาคโต หุตฺวา สพฺพิริยาปเถสุ จรติฯ อาจารโคจรสมฺปโนฺนติ อาจาเรน จ โคจเรน จ สมฺปโนฺนฯ อณุมเตฺตสูติ อปฺปมตฺตเกสุฯ วเชฺชสูติ อกุสลธเมฺมสุฯ ภยทสฺสาวีติ ภยํ ทสฺสีฯ สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสูติ สิกฺขาปเทสุ ยํ กิญฺจิ สิกฺขิตพฺพํ, ตํ สพฺพํ สมฺมา อาทิยิตฺวา สิกฺขติฯ

    Pātimokkhasaṃvarasaṃvuto viharatīti yo naṃ pāti rakkhati, taṃ mokkheti moceti āpāyikādīhi dukkhehīti pātimokkho. So eva kāyikavācasikassa vītikkamassa saṃvaraṇato pidahanato saṃvaro. Tena pātimokkhasaṃvarena saṃvuto samannāgato hutvā sabbiriyāpathesu carati. Ācāragocarasampannoti ācārena ca gocarena ca sampanno. Aṇumattesūti appamattakesu. Vajjesūti akusaladhammesu. Bhayadassāvīti bhayaṃ dassī. Samādāya sikkhati sikkhāpadesūti sikkhāpadesu yaṃ kiñci sikkhitabbaṃ, taṃ sabbaṃ sammā ādiyitvā sikkhati.

    กายกมฺมวจีกเมฺมน สมนฺนาคโต, กุสเลน ปริสุทฺธาชีโวติ เอตฺถ อาจารโคจรคฺคหเณเนว กุสเล กายกเมฺม วจีกเมฺม จ คหิเตปิ ยสฺมา อิทํ อาชีวปาริสุทฺธิสีลํ น อากาสาทีสุ อุปฺปชฺชติ, กายวจีทฺวาเรสุ เอว ปน อุปฺปชฺชติ, ตสฺมา ตสฺส อุปฺปตฺติทฺวารทสฺสนตฺถํ ‘‘กายวจีกเมฺมน สมนฺนาคโต, กุสเลนา’’ติ วุตฺตํฯ ยสฺมา ปน เตน สมนฺนาคโต, ตสฺมา ปริสุทฺธาชีโว, อาชีวปาริสุทฺธิปิ สีลเมวาติ ทสฺสนตฺถํ เอตํ วุตฺตํฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘กตเม จ ถปติ กุสลา สีลา? กุสลํ กายกมฺมํ กุสลํ วจีกมฺมํ, ปริสุทฺธํ อาชีวมฺปิ โข อหํ ถปติ สีลสฺมิํ วทามี’’ติ (ม. นิ. ๒.๒๖๕)ฯ อารทฺธวีริโยติ ยสฺส กายิกํ เจตสิกญฺจ วีริยํ อารทฺธํ โหติ, โส ‘‘อารทฺธวีริโย’’ติ วุจฺจติฯ ตตฺถ โย คณสงฺคณิกํ วิโนเทตฺวา จตูสุ อิริยาปเถสุ อฎฺฐอารมฺภวตฺถุวเสน เอกโก โหติ, ตสฺส กายิกํ วีริยํ อารทฺธํ นาม โหติฯ โย จิตฺตสงฺคณิกํ วิโนเทตฺวา อฎฺฐสมาปตฺติวเสน เอกโก โหติ, คมนาทีสุ อุปฺปนฺนกิเลสํ อุปฺปนฺนฎฺฐาเนเยว นิคฺคณฺหิตฺวา ฌานํ นิพฺพเตฺตติ, ตสฺส เจตสิกํ วีริยํ อารทฺธํ นาม โหติฯ เอวํ อารทฺธวีริโยฯ ถามวาติ ฐิติมาฯ ทฬฺหปรกฺกโมติ ถิรปรกฺกโมฯ อนิกฺขิตฺตธุโร…เป.… สจฺฉิกิริยายาติ สํกิเลสธมฺมานํ ปหานตฺถํ โวทานธมฺมานํ สมฺปาทนตฺถํ , ปจฺจกฺขกรณตฺถญฺจ ธุรํ อนิกฺขิปิตฺวา วีริยํ อุสฺสุกฺกาเปโนฺต วิหรติฯ ปญฺญวาติ ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ อุทยพฺพยปริคฺคาหิกาย ปญฺญาย สมนฺนาคโตฯ เตนาห ‘‘อุทยตฺถคามินิยา’’ติฯ

    Kāyakammavacīkammena samannāgato, kusalena parisuddhājīvoti ettha ācāragocaraggahaṇeneva kusale kāyakamme vacīkamme ca gahitepi yasmā idaṃ ājīvapārisuddhisīlaṃ na ākāsādīsu uppajjati, kāyavacīdvāresu eva pana uppajjati, tasmā tassa uppattidvāradassanatthaṃ ‘‘kāyavacīkammena samannāgato, kusalenā’’ti vuttaṃ. Yasmā pana tena samannāgato, tasmā parisuddhājīvo, ājīvapārisuddhipi sīlamevāti dassanatthaṃ etaṃ vuttaṃ. Vuttañhetaṃ – ‘‘katame ca thapati kusalā sīlā? Kusalaṃ kāyakammaṃ kusalaṃ vacīkammaṃ, parisuddhaṃ ājīvampi kho ahaṃ thapati sīlasmiṃ vadāmī’’ti (ma. ni. 2.265). Āraddhavīriyoti yassa kāyikaṃ cetasikañca vīriyaṃ āraddhaṃ hoti, so ‘‘āraddhavīriyo’’ti vuccati. Tattha yo gaṇasaṅgaṇikaṃ vinodetvā catūsu iriyāpathesu aṭṭhaārambhavatthuvasena ekako hoti, tassa kāyikaṃ vīriyaṃ āraddhaṃ nāma hoti. Yo cittasaṅgaṇikaṃ vinodetvā aṭṭhasamāpattivasena ekako hoti, gamanādīsu uppannakilesaṃ uppannaṭṭhāneyeva niggaṇhitvā jhānaṃ nibbatteti, tassa cetasikaṃ vīriyaṃ āraddhaṃ nāma hoti. Evaṃ āraddhavīriyo. Thāmavāti ṭhitimā. Daḷhaparakkamoti thiraparakkamo. Anikkhittadhuro…pe… sacchikiriyāyāti saṃkilesadhammānaṃ pahānatthaṃ vodānadhammānaṃ sampādanatthaṃ , paccakkhakaraṇatthañca dhuraṃ anikkhipitvā vīriyaṃ ussukkāpento viharati. Paññavāti pañcannaṃ khandhānaṃ udayabbayapariggāhikāya paññāya samannāgato. Tenāha ‘‘udayatthagāminiyā’’ti.

    นตฺถิ ปุตฺตสมํ เปมนฺติ มาตาปิตโร วิรูเปปิ อตฺตโน ปุตฺตเก สุวณฺณพิมฺพกํ วิย มญฺญนฺติ มาลาคุเฬ วิย สีสาทีสุ กตฺวา ปริหรมานาฯ เตหิ อุหทิตาปิ โอมุตฺติตาปิ คนฺธวิเลปนํ ปฎิจฺฉนฺตา วิย โสมนสฺสํ อาปชฺชนฺติฯ เตนาห – ‘‘นตฺถิ ปุตฺตสมํ เปม’’นฺติฯ ปุตฺตเปเมน สมํ เปมํ นาม นตฺถีติ วุตฺตํ โหติฯ โคสมิตนฺติ โคหิ สมํ โคธนสทิสํ อญฺญํ ธนํ นาม นตฺถิฯ สูริยสมา อาภาติ สูริยาภาย สมา อญฺญา อาภา นาม นตฺถิฯ สมุทฺทปรมาติ เย เกจิ อเญฺญ สรา นาม, สเพฺพ เต สมุทฺทปรมาฯ สมุโทฺท เตสํ อุตฺตโม, สมุทฺทสทิสํ อญฺญํ อุทกํ นิทานํ นาม นตฺถิ ภควาติ วทติฯ

    Natthi puttasamaṃ pemanti mātāpitaro virūpepi attano puttake suvaṇṇabimbakaṃ viya maññanti mālāguḷe viya sīsādīsu katvā pariharamānā. Tehi uhaditāpi omuttitāpi gandhavilepanaṃ paṭicchantā viya somanassaṃ āpajjanti. Tenāha – ‘‘natthi puttasamaṃ pema’’nti. Puttapemena samaṃ pemaṃ nāma natthīti vuttaṃ hoti. Gosamitanti gohi samaṃ godhanasadisaṃ aññaṃ dhanaṃ nāma natthi. Sūriyasamā ābhāti sūriyābhāya samā aññā ābhā nāma natthi. Samuddaparamāti ye keci aññe sarā nāma, sabbe te samuddaparamā. Samuddo tesaṃ uttamo, samuddasadisaṃ aññaṃ udakaṃ nidānaṃ nāma natthi bhagavāti vadati.

    ยสฺมา ปน อตฺตเปเมน สมํ เปมํ นตฺถิฯ มาตาปิตโร หิ ฉเฑฺฑตฺวาปิ ปุตฺตธีตโร อโปเสตฺวา อตฺตานเมว โปเสนฺติฯ ธเญฺญน จ สมํ ธนํ นาม นตฺถิฯ ตถารูเป หิ กาเล หิรญฺญสุวณฺณาทีนิปิ โคมหิํสาทีนิปิ ธญฺญคฺคหณตฺถํ ธญฺญสามิกานเมว สนฺติกํ คเหตฺวา คจฺฉนฺติฯ ปญฺญาย จ สมา อาภา นาม นตฺถิฯ สูริยาทโย หิ เอกเทสํเยว โอภาเสนฺติ, ปจฺจุปฺปนฺนเมว จ ตมํ วิโนเทนฺติ, ปญฺญา ปน ทสสหสฺสิมฺปิ โลกธาตุํ เอกปโชฺชตํ กาตุํ สโกฺกติ, อตีตํสาทิปฎิจฺฉาทกญฺจ ตมํ วิธมติฯ เมฆวุฎฺฐิยา จ สโม สโร นาม นตฺถิฯ นที วา หิ โหตุ ตฬากาทีนิ วา, วุฎฺฐิสโม สโร นาม นตฺถิฯ เมฆวุฎฺฐิยา หิ ปจฺฉินฺนาย มหาสมุเทฺท องฺคุลิปพฺพเตมนมตฺตมฺปิ อุทกํ น โหติ, วุฎฺฐิยา ปน ปวตฺตมานาย ยาว อาภสฺสรภวนาปิ เอโกทกํ โหติฯ ตสฺมา ภควา เทวตาวจนํ ปฎิกฺขิปนวเสน ปฎิคาถํ วทโนฺต ‘‘นตฺถิ อตฺตสมํ เปม’’นฺติอาทิมาหฯ

    Yasmā pana attapemena samaṃ pemaṃ natthi. Mātāpitaro hi chaḍḍetvāpi puttadhītaro aposetvā attānameva posenti. Dhaññena ca samaṃ dhanaṃ nāma natthi. Tathārūpe hi kāle hiraññasuvaṇṇādīnipi gomahiṃsādīnipi dhaññaggahaṇatthaṃ dhaññasāmikānameva santikaṃ gahetvā gacchanti. Paññāya ca samā ābhā nāma natthi. Sūriyādayo hi ekadesaṃyeva obhāsenti, paccuppannameva ca tamaṃ vinodenti, paññā pana dasasahassimpi lokadhātuṃ ekapajjotaṃ kātuṃ sakkoti, atītaṃsādipaṭicchādakañca tamaṃ vidhamati. Meghavuṭṭhiyā ca samo saro nāma natthi. Nadī vā hi hotu taḷākādīni vā, vuṭṭhisamo saro nāma natthi. Meghavuṭṭhiyā hi pacchinnāya mahāsamudde aṅgulipabbatemanamattampi udakaṃ na hoti, vuṭṭhiyā pana pavattamānāya yāva ābhassarabhavanāpi ekodakaṃ hoti. Tasmā bhagavā devatāvacanaṃ paṭikkhipanavasena paṭigāthaṃ vadanto ‘‘natthi attasamaṃ pema’’ntiādimāha.

    ๑๒๔.

    124.

    กิํสูธ ภีตาติ กิํ นุ ภีตาฯ มโคฺค จเนกายตโน ปวุโตฺตติ อฎฺฐติํสารมฺมณวเสน อเนเกหิ การเณหิ มโคฺค กถิโต, เอวํ สเนฺต กิสฺส ภีตา หุตฺวา อยํ ชนตา ทฺวาสฎฺฐิ ทิฎฺฐิโย อคฺคเหสีติ วทติฯ ภูริปญฺญาติ พหุปญฺญ อุสฺสนฺนปญฺญฯ ปรโลกํ น ภาเยติ อิมสฺมา โลกา ปรโลกํ คจฺฉโนฺต น ภาเยยฺยฯ

    Kiṃsūdha bhītāti kiṃ nu bhītā. Maggo canekāyatano pavuttoti aṭṭhatiṃsārammaṇavasena anekehi kāraṇehi maggo kathito, evaṃ sante kissa bhītā hutvā ayaṃ janatā dvāsaṭṭhi diṭṭhiyo aggahesīti vadati. Bhūripaññāti bahupañña ussannapañña. Paralokaṃ na bhāyeti imasmā lokā paralokaṃ gacchanto na bhāyeyya.

    ปณิธายาติ ฐเปตฺวาฯ ฆรมาวสโนฺตติ อนาถปิณฺฑิกาทโย วิย พหฺวนฺนปาเน ฆเร วสโนฺตฯ สํวิภาคีติ อจฺฉราย คหิตมฺปิ นเขน ผาเลตฺวา ปรสฺส ทตฺวาว ภุญฺชนสีโลฯ วทญฺญูติ ยาจกานํ ยาจนวเสน วุตฺตวจนญฺญู, วจนีโย วาฯ เอตฺถ จ วาจนฺติ จตฺตาริ วจีสุจริตานิ คหิตานิฯ มนนฺติ ตีณิ มโนสุจริตานิฯ กาเยนาติ ตีณิ กายสุจริตานิฯ อิเม ทส กุสลกมฺมปถา ปุพฺพสุทฺธิองฺคํ นามฯ ‘‘พหฺวนฺนปานํ ฆรมาวสโนฺต’’ติ อิมินา ยญฺญอุปกฺขโร คหิโตฯ สโทฺธติ เอกํ องฺคํ, มุทูติ เอกํ, สํวิภาคีติ เอกํ, วทญฺญูติ เอกนฺติ อิมานิ จตฺตาริ องฺคานิ สนฺธาย ‘‘เอเตสุ ธเมฺมสุ ฐิโต จตูสู’’ติ อาหฯ

    Paṇidhāyāti ṭhapetvā. Gharamāvasantoti anāthapiṇḍikādayo viya bahvannapāne ghare vasanto. Saṃvibhāgīti accharāya gahitampi nakhena phāletvā parassa datvāva bhuñjanasīlo. Vadaññūti yācakānaṃ yācanavasena vuttavacanaññū, vacanīyo vā. Ettha ca vācanti cattāri vacīsucaritāni gahitāni. Mananti tīṇi manosucaritāni. Kāyenāti tīṇi kāyasucaritāni. Ime dasa kusalakammapathā pubbasuddhiaṅgaṃ nāma. ‘‘Bahvannapānaṃ gharamāvasanto’’ti iminā yaññaupakkharo gahito. Saddhoti ekaṃ aṅgaṃ, mudūti ekaṃ, saṃvibhāgīti ekaṃ, vadaññūti ekanti imāni cattāri aṅgāni sandhāya ‘‘etesu dhammesu ṭhito catūsū’’ti āha.

    อปโร นโย – ‘‘วาจ’’นฺติอาทีนิ ตีณิ องฺคานิ, ‘‘พหฺวนฺนปาน’’นฺติ อิมินา ยญฺญอุปกฺขโรว คหิโต, ‘‘สโทฺธ มุทุ สํวิภาคี วทญฺญู’’ติ เอกํ องฺคํฯ

    Aparo nayo – ‘‘vāca’’ntiādīni tīṇi aṅgāni, ‘‘bahvannapāna’’nti iminā yaññaupakkharova gahito, ‘‘saddho mudu saṃvibhāgī vadaññū’’ti ekaṃ aṅgaṃ.

    อปโร ทุกนโย นาม โหติ – ‘‘วาจํ มนญฺจา’’ติ เอกํ องฺคํ, ‘‘กาเยน ปาปานิ อกุพฺพมาโน พหฺวนฺนปานํ ฆรมาวสโนฺต’’ติ เอกํ, ‘‘สโทฺธ มุทู’’ติ เอกํ, ‘‘สํวิภาคี วทญฺญู’’ติ เอกนฺติ เอเตสุ จตูสุ ธเมฺมสุ ฐิโต ธเมฺม ฐิโต นาม โหติฯ โส อิโต ปรโลกํ คจฺฉโนฺตน ภายติฯ

    Aparo dukanayo nāma hoti – ‘‘vācaṃ manañcā’’ti ekaṃ aṅgaṃ, ‘‘kāyena pāpāni akubbamāno bahvannapānaṃ gharamāvasanto’’ti ekaṃ, ‘‘saddho mudū’’ti ekaṃ, ‘‘saṃvibhāgī vadaññū’’ti ekanti etesu catūsu dhammesu ṭhito dhamme ṭhito nāma hoti. So ito paralokaṃ gacchantona bhāyati.

    กายสมาจารมฺปีติอาทิ ปาติโมกฺขสํวรทสฺสนํฯ ตตฺถ ทุวิเธนาติ ทฺวิวิเธน, ทฺวีหิ โกฎฺฐาเสหีติ อโตฺถฯ ชญฺญาติ ชาเนยฺยฯ สีลกถา จ นาเมสา กมฺมปถวเสน วา ปณฺณตฺติวเสน วา กเถตพฺพาฯ ตตฺถ กมฺมปถวเสน ตาว กเถเนฺตน อเสวิตพฺพกายสมาจาโร ปาณาติปาตาทินฺนาทานมิจฺฉาจาเรหิ กเถตโพฺพฯ ปณฺณตฺติวเสน กายทฺวาเร ปญฺญตฺตสิกฺขาปทวีติกฺกมวเสนฯ เสวิตพฺพกายสมาจาโร ปาณาติปาตาทิเวรมณีหิ เจว กายทฺวาเร ปญฺญตฺตสิกฺขาปทอวีติกฺกเมน จ กเถตโพฺพฯ

    Kāyasamācārampītiādi pātimokkhasaṃvaradassanaṃ. Tattha duvidhenāti dvividhena, dvīhi koṭṭhāsehīti attho. Jaññāti jāneyya. Sīlakathā ca nāmesā kammapathavasena vā paṇṇattivasena vā kathetabbā. Tattha kammapathavasena tāva kathentena asevitabbakāyasamācāro pāṇātipātādinnādānamicchācārehi kathetabbo. Paṇṇattivasena kāyadvāre paññattasikkhāpadavītikkamavasena. Sevitabbakāyasamācāro pāṇātipātādiveramaṇīhi ceva kāyadvāre paññattasikkhāpadaavītikkamena ca kathetabbo.

    อเสวิตพฺพวจีสมาจาโร มุสาวาทาทิวจีทุจฺจริเตน เจว วจีทฺวาเร ปญฺญตฺตสิกฺขาปทวีติกฺกเมน จ กเถตโพฺพฯ เสวิตพฺพวจีสมาจาโร มุสาวาทาทิเวรมณีหิ เจว วจีทฺวาเร ปญฺญตฺตสิกฺขาปทอวีติกฺกเมน จ กเถตโพฺพฯ

    Asevitabbavacīsamācāro musāvādādivacīduccaritena ceva vacīdvāre paññattasikkhāpadavītikkamena ca kathetabbo. Sevitabbavacīsamācāro musāvādādiveramaṇīhi ceva vacīdvāre paññattasikkhāpadaavītikkamena ca kathetabbo.

    ปริเยสนา ปน กายวาจาหิ ปริเยสนา เอว, สา กายวจีสมาจารคฺคหเณน คหิตาปิ ยสฺมา อาชีวฎฺฐมกสีลํ นาม เอตสฺมิํเยว ทฺวารทฺวเย อุปฺปชฺชติ, น อากาเส, ตสฺมา อาชีวฎฺฐมกสีลทสฺสนตฺถํ วิสุํ วุตฺตาฯ ตตฺถ นเสวิตพฺพปริเยสนา อนริยปริเยสนาย กเถตพฺพา, เสวิตพฺพปริเยสนา อริยปริเยสนายฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘กตมา จ, ภิกฺขเว, อนริยปริเยสนา? อิธ, ภิกฺขเว, เอกโจฺจ อตฺตนา ชาติธโมฺม สมาโน ชาติธมฺมํเยว ปริเยสตี’’ติอาทิ (ม. นิ. ๑.๒๗๔)ฯ ตถา ‘‘กตมา จ, ภิกฺขเว, อริยปริเยสนา? อิธ, ภิกฺขเว, เอกโจฺจ อตฺตนา ชาติธโมฺม สมาโน ชาติธเมฺม อาทีนวํ วิทิตฺวา อชาตํ อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ นิพฺพานํ ปริเยสตี’’ติอาทิ (ม. นิ. ๑.๒๗๕)ฯ

    Pariyesanā pana kāyavācāhi pariyesanā eva, sā kāyavacīsamācāraggahaṇena gahitāpi yasmā ājīvaṭṭhamakasīlaṃ nāma etasmiṃyeva dvāradvaye uppajjati, na ākāse, tasmā ājīvaṭṭhamakasīladassanatthaṃ visuṃ vuttā. Tattha nasevitabbapariyesanā anariyapariyesanāya kathetabbā, sevitabbapariyesanā ariyapariyesanāya. Vuttañhetaṃ – ‘‘katamā ca, bhikkhave, anariyapariyesanā? Idha, bhikkhave, ekacco attanā jātidhammo samāno jātidhammaṃyeva pariyesatī’’tiādi (ma. ni. 1.274). Tathā ‘‘katamā ca, bhikkhave, ariyapariyesanā? Idha, bhikkhave, ekacco attanā jātidhammo samāno jātidhamme ādīnavaṃ viditvā ajātaṃ anuttaraṃ yogakkhemaṃ nibbānaṃ pariyesatī’’tiādi (ma. ni. 1.275).

    ๑๗๐.

    170.

    มคฺคานฎฺฐงฺคิโกติ ชงฺฆมคฺคาทโย วา โหนฺตุ ทฺวาสฎฺฐิทิฎฺฐิคตมคฺคา วา, สเพฺพสมฺปิ มคฺคานํ สมฺมาทิฎฺฐิอาทีหิ อฎฺฐหิ อเงฺคหิ มิจฺฉาทิฎฺฐิอาทีนํ อฎฺฐนฺนํ ปาปธมฺมานํ ปหานกโร นิโรธํ อารมฺมณํ กตฺวา จตูสุปิ สเจฺจสุ ทุกฺขปริชานนาทิกิจฺจํ สาธยมาโน อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค เสโฎฺฐ อุตฺตโมฯ สจฺจานํ จตุโร ปทาติ ‘‘สจฺจํ ภเณ น กุเชฺฌยฺยา’’ติ (ธ. ป. ๒๒๔) อาคตํ วจีสจฺจํ วา โหตุ, ‘‘สโจฺจ พฺราหฺมโณ, สโจฺจ ขตฺติโย’’ติอาทิเภทํ สมฺมุติสจฺจํ วา, ‘‘อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญ’’นฺติ (ม. นิ. ๓.๓๓๑; อุทา. ๕๔; มหานิ. ๒๐) ทิฎฺฐิสจฺจํ วา, ‘‘เอกญฺหิ สจฺจํ น ทุติยมตฺถี’’ติ (สุ. นิ. ๘๙๐; มหานิ. ๑๑๙) วุตฺตํ ปรมตฺถสจฺจํ วา โหตุฯ สเพฺพสมฺปิ อิเมสํ สจฺจานํ ปริชานิตพฺพเฎฺฐน ปหาตพฺพเฎฺฐน สจฺฉิกาตพฺพเฎฺฐน ภาเวตพฺพเฎฺฐน เอกปฎิเวธเฎฺฐน ตถปฎิเวธเฎฺฐน จ ‘‘ทุกฺขํ อริยสจฺจ’’นฺติอาทโย (มหาว. ๑๔; ที. นิ. ๒.๓๘๗; ม. นิ. ๑.๑๒๐) จตุโร ปทา เสฎฺฐา นามฯ วิราโค เสโฎฺฐ ธมฺมานนฺติ ‘‘ยาวตา, ภิกฺขเว, ธมฺมา สงฺขตา วา อสงฺขตา วา, วิราโค เตสํ ธมฺมานํ อคฺคมกฺขายตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๓๔; ๕.๓๒; อิติวุ. ๙๐) วจนโต นิพฺพานสงฺขาโต วิราโค สพฺพธมฺมานํ เสโฎฺฐฯ ทฺวิปทานญฺจ จกฺขุมาติ สเพฺพสมฺปิ เทวมนุสฺสาทิเภทานํ ทฺวิปทานํ ปญฺจหิ จกฺขูหิ จกฺขุมา ภควาว เสโฎฺฐติฯ

    Maggānaṭṭhaṅgikoti jaṅghamaggādayo vā hontu dvāsaṭṭhidiṭṭhigatamaggā vā, sabbesampi maggānaṃ sammādiṭṭhiādīhi aṭṭhahi aṅgehi micchādiṭṭhiādīnaṃ aṭṭhannaṃ pāpadhammānaṃ pahānakaro nirodhaṃ ārammaṇaṃ katvā catūsupi saccesu dukkhaparijānanādikiccaṃ sādhayamāno aṭṭhaṅgiko maggo seṭṭho uttamo. Saccānaṃ caturo padāti ‘‘saccaṃ bhaṇe na kujjheyyā’’ti (dha. pa. 224) āgataṃ vacīsaccaṃ vā hotu, ‘‘sacco brāhmaṇo, sacco khattiyo’’tiādibhedaṃ sammutisaccaṃ vā, ‘‘idameva saccaṃ moghamañña’’nti (ma. ni. 3.331; udā. 54; mahāni. 20) diṭṭhisaccaṃ vā, ‘‘ekañhi saccaṃ na dutiyamatthī’’ti (su. ni. 890; mahāni. 119) vuttaṃ paramatthasaccaṃ vā hotu. Sabbesampi imesaṃ saccānaṃ parijānitabbaṭṭhena pahātabbaṭṭhena sacchikātabbaṭṭhena bhāvetabbaṭṭhena ekapaṭivedhaṭṭhena tathapaṭivedhaṭṭhena ca ‘‘dukkhaṃ ariyasacca’’ntiādayo (mahāva. 14; dī. ni. 2.387; ma. ni. 1.120) caturo padā seṭṭhā nāma. Virāgo seṭṭho dhammānanti ‘‘yāvatā, bhikkhave, dhammā saṅkhatā vā asaṅkhatā vā, virāgo tesaṃ dhammānaṃ aggamakkhāyatī’’ti (a. ni. 4.34; 5.32; itivu. 90) vacanato nibbānasaṅkhāto virāgo sabbadhammānaṃ seṭṭho. Dvipadānañca cakkhumāti sabbesampi devamanussādibhedānaṃ dvipadānaṃ pañcahi cakkhūhi cakkhumā bhagavāva seṭṭhoti.

    อคฺคานีติ อุตฺตมานิฯ ยาวตาติ ยตฺตกาฯ อปทาติ นิปฺปทา อหิมจฺฉาทโยฯ ทฺวิปทาติ มนุสฺสปกฺขิชาตาทโยฯ จตุปฺปทาติ หตฺถิอสฺสาทโย ฯ พหุปฺปทาติ สตปทิอาทโยฯ รูปิโนติ กามาวจรรูปาวจรสตฺตาฯ อสญฺญิโนติ อสญฺญีภเว นิพฺพตฺตสตฺตาฯ เนวสญฺญีนาสญฺญิโนติ ภวเคฺค นิพฺพตฺตสตฺตาฯ อคฺคมกฺขายตีติ คุเณหิ อโคฺค อุตฺตโม เสโฎฺฐ อกฺขายติฯ

    Aggānīti uttamāni. Yāvatāti yattakā. Apadāti nippadā ahimacchādayo. Dvipadāti manussapakkhijātādayo. Catuppadāti hatthiassādayo . Bahuppadāti satapadiādayo. Rūpinoti kāmāvacararūpāvacarasattā. Asaññinoti asaññībhave nibbattasattā. Nevasaññīnāsaññinoti bhavagge nibbattasattā. Aggamakkhāyatīti guṇehi aggo uttamo seṭṭho akkhāyati.

    อสงฺขตานนฺติ นิพฺพานเมว วุตฺตํฯ วิราโคติอาทีนิ จ นิพฺพานเสฺสว นามานิฯ ตญฺหิ อาคมฺม สเพฺพ กิเลสา วิรชฺชนฺติ, สเพฺพ ราคมทาทโย มทา นิมฺมทา โหนฺติ อภาวํ คจฺฉนฺติ , สพฺพา ปิปาสา วินยํ อุเปนฺติ, สเพฺพ อาลยา สมุคฺฆาตํ คจฺฉนฺติ, วฎฺฎานิ อุปจฺฉิชฺชนฺติ, ตณฺหา ขียติ, สพฺพปริฬาหา วูปสมฺมนฺติ, วฎฺฎทุกฺขํ นิรุชฺฌติ นิพฺพายติฯ ตสฺมา ตํ เอตานิ นามานิ ลภตีติฯ

    Asaṅkhatānanti nibbānameva vuttaṃ. Virāgotiādīni ca nibbānasseva nāmāni. Tañhi āgamma sabbe kilesā virajjanti, sabbe rāgamadādayo madā nimmadā honti abhāvaṃ gacchanti , sabbā pipāsā vinayaṃ upenti, sabbe ālayā samugghātaṃ gacchanti, vaṭṭāni upacchijjanti, taṇhā khīyati, sabbapariḷāhā vūpasammanti, vaṭṭadukkhaṃ nirujjhati nibbāyati. Tasmā taṃ etāni nāmāni labhatīti.

    ธโมฺม จ กุสลกฺขโตติ ตสฺส สตฺถุโน ธโมฺม จ กุสโล อนวโชฺช, อนวชฺชตฺตา เอว ปฎิปเกฺขหิ ราคาทีหิ กิเลเสหิ สพฺพติตฺถิยวาเทหิ จ อปริกฺขโตฯ ตานิ ตีณิ วิสิสฺสเรติ เอตานิ ตีณิ รตนานิ โลเก สพฺพรตเนหิ วิสิสฺสนฺติ คุณวเสน สพฺพโลกํ อติเสนฺตีติ อโตฺถฯ

    Dhammo ca kusalakkhatoti tassa satthuno dhammo ca kusalo anavajjo, anavajjattā eva paṭipakkhehi rāgādīhi kilesehi sabbatitthiyavādehi ca aparikkhato. Tāni tīṇi visissareti etāni tīṇi ratanāni loke sabbaratanehi visissanti guṇavasena sabbalokaṃ atisentīti attho.

    สมณปทุมสญฺจโย คโณติ ปทุมสทิสานํ อริยสมณานํ สมูหสงฺขาโต คโณฯ ปทุมนฺติ หิ ปริปุณฺณสตปตฺตสฺส สโรรุหสฺส นามํฯ อริยปุคฺคลา จ สพฺพถาปิ ปริปุณฺณคุณาติ ปทุมสทิสา วุตฺตาฯ วิทูนํ สกฺกโตติ วิทูหิ ปณฺฑิเตหิ สกฺกโตฯ นรวรทมโกติ นรวโร จ ปุริสานํ ทมโก นายโก จาติ อโตฺถฯ โลกสฺส อุตฺตรีติ โลกสฺส อุปริ ฐิตานิ, สพฺพโลเก อุตฺตมานีติ อโตฺถฯ

    Samaṇapadumasañcayo gaṇoti padumasadisānaṃ ariyasamaṇānaṃ samūhasaṅkhāto gaṇo. Padumanti hi paripuṇṇasatapattassa saroruhassa nāmaṃ. Ariyapuggalā ca sabbathāpi paripuṇṇaguṇāti padumasadisā vuttā. Vidūnaṃ sakkatoti vidūhi paṇḍitehi sakkato. Naravaradamakoti naravaro ca purisānaṃ damako nāyako cāti attho. Lokassa uttarīti lokassa upari ṭhitāni, sabbaloke uttamānīti attho.

    นิรุปทาโหติ ราคปริฬาหาทีหิ อนุปทาโหฯ สจฺจนาโมติ อวิตถนาโม ยถาภุจฺจคุเณหิ อาคตนาโมฯ สพฺพาภิภูติ สพฺพโลกํ อตฺตโน คุเณหิ อภิภวิตฺวา ฐิโตฯ สจฺจธโมฺมติ วฎฺฎโต เอกนฺตนิสฺสรณภาเวน อวิตโถ สห ปริยตฺติยา นววิโธปิ โลกุตฺตรธโมฺม, ตโต เอว นตฺถโญฺญ ตสฺส อุตฺตรีติ ตสฺส อุตฺตริ อธิกคุโณ อโญฺญ จ ธโมฺม นตฺถีติ อโตฺถฯ อริยสโงฺฆว นิจฺจํ สพฺพกาลํ วิทูหิ สพฺพปณฺฑิเตหิ ปูชิโต

    Nirupadāhoti rāgapariḷāhādīhi anupadāho. Saccanāmoti avitathanāmo yathābhuccaguṇehi āgatanāmo. Sabbābhibhūti sabbalokaṃ attano guṇehi abhibhavitvā ṭhito. Saccadhammoti vaṭṭato ekantanissaraṇabhāvena avitatho saha pariyattiyā navavidhopi lokuttaradhammo, tato eva natthañño tassa uttarīti tassa uttari adhikaguṇo añño ca dhammo natthīti attho. Ariyasaṅghova niccaṃ sabbakālaṃ vidūhi sabbapaṇḍitehi pūjito.

    ‘‘เอกายน’’นฺติ คาถาย เอกายนนฺติ เอกํ มคฺคํฯ มคฺคสฺส หิ –

    ‘‘Ekāyana’’nti gāthāya ekāyananti ekaṃ maggaṃ. Maggassa hi –

    ‘‘มโคฺค ปโนฺถ ปโถ ปโชฺช, อญฺชสํ วฎุมายนํ;

    ‘‘Maggo pantho patho pajjo, añjasaṃ vaṭumāyanaṃ;

    นาวา อุตฺตรเสตุ จ, กุโลฺล จ ภิสิ สงฺคโม’’ติฯ (จูฬนิ. ปารายนตฺถุติคาถานิเทฺทส ๑๐๑) –

    Nāvā uttarasetu ca, kullo ca bhisi saṅgamo’’ti. (cūḷani. pārāyanatthutigāthāniddesa 101) –

    พหูนิ นามานิ, สฺวายํ อิธ อยนนาเมน วุโตฺตฯ ตสฺมา เอกายนนฺติ เอกมคฺคํ, น เทฺวธาปถภูตนฺติ อโตฺถฯ อถ วา เอเกน อยิตพฺพนฺติ เอกายนํฯ คณสงฺคณิกํ ปหาย วิเวกเฎฺฐน ปวิวิเตฺตน ปฎิปชฺชิตพฺพนฺติ อโตฺถฯ อยนฺติ วา เอเตนาติ อยโน, สํสารโต นิพฺพานํ คจฺฉนฺตีติ อโตฺถฯ เอกสฺส วา สพฺพสตฺตเสฎฺฐสฺส ภควโต อยโนติ เอกายโนฯ กิญฺจาปิ หิ เตน อเญฺญปิ อยนฺติ, ตถาปิ ภควโตว โส อยโน, เตน อุปฺปาทิตตฺตาฯ ยถาห – ‘‘โส หิ, พฺราหฺมณ, ภควา อนุปฺปนฺนสฺส มคฺคสฺส อุปฺปาเทตา’’ติอาทิ (ม. นิ. ๓.๗๙)ฯ อยตีติ วา อยโน, คจฺฉติ ปวตฺตตีติ อโตฺถฯ เอกสฺมิํ อิมสฺมิํเยว ธมฺมวินเย อยโน, น อญฺญตฺถาติ เอกายโนฯ ยถาห – ‘‘อิมสฺมิํ โข, สุภทฺท, ธมฺมวินเย อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค อุปลพฺภตี’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๑๔)ฯ อปิ จ ปุพฺพภาเค นานามุขภาวนาย ปวโตฺตปิ อปรภาเค เอกํ นิพฺพานเมว อยติ คจฺฉตีติ เอกายโน, ตํ เอกายนํฯ

    Bahūni nāmāni, svāyaṃ idha ayananāmena vutto. Tasmā ekāyananti ekamaggaṃ, na dvedhāpathabhūtanti attho. Atha vā ekena ayitabbanti ekāyanaṃ. Gaṇasaṅgaṇikaṃ pahāya vivekaṭṭhena pavivittena paṭipajjitabbanti attho. Ayanti vā etenāti ayano, saṃsārato nibbānaṃ gacchantīti attho. Ekassa vā sabbasattaseṭṭhassa bhagavato ayanoti ekāyano. Kiñcāpi hi tena aññepi ayanti, tathāpi bhagavatova so ayano, tena uppāditattā. Yathāha – ‘‘so hi, brāhmaṇa, bhagavā anuppannassa maggassa uppādetā’’tiādi (ma. ni. 3.79). Ayatīti vā ayano, gacchati pavattatīti attho. Ekasmiṃ imasmiṃyeva dhammavinaye ayano, na aññatthāti ekāyano. Yathāha – ‘‘imasmiṃ kho, subhadda, dhammavinaye ariyo aṭṭhaṅgiko maggo upalabbhatī’’ti (dī. ni. 2.214). Api ca pubbabhāge nānāmukhabhāvanāya pavattopi aparabhāge ekaṃ nibbānameva ayati gacchatīti ekāyano, taṃ ekāyanaṃ.

    ชาติขยนฺตทสฺสีติ ชาติยา ขยสงฺขาโต อโนฺต ชาติขยโนฺตฯ ชาติยา อจฺจนฺตขยโนฺต นิพฺพานํ, ตํ ปสฺสีติ ชาติขยนฺตทสฺสีฯ ‘‘มคฺคํ ปชานาติ หิตานุกมฺปี’’ติปิ ปาโฐฯ ตสฺสโตฺถ – วุตฺตปฺปการํ เอกายนสงฺขาตํ มคฺคํ สยมฺภุญาเณน ภควา ปชานาติ, ชานโนฺต จ เตน เตน หิเตน สเตฺต อนุกมฺปตีติฯ อิทานิ ตสฺส มคฺคสฺส เอกายนภาวํ, ตีสุปิ กาเลสุ เอกนฺตนิยฺยานตญฺจ วิภาเวตุํ ‘‘เอเตน มเคฺคน ตริํสุ ปุเพฺพ, ตริสฺสนฺติ เย จ ตรนฺติ โอฆ’’นฺติ อาหฯ ตสฺสโตฺถ – เย อตีตมทฺธานํ กาโมฆาทิจตุพฺพิธํ โอฆํ ตริํสุ, เย ตํ อนาคตมทฺธานํ ตริสฺสนฺติ, เอตรหิ จ ตรนฺติ, เต สเพฺพ เอเตเนว มเคฺคน, น อเญฺญนาติฯ วิสุทฺธิเปกฺขาติ จตุโรฆนิตฺถรเณน อจฺจนฺตวิสุทฺธิํ นิพฺพานํ อเปกฺขนฺตา, ปรินิพฺพายิตุกามาติ อโตฺถฯ

    Jātikhayantadassīti jātiyā khayasaṅkhāto anto jātikhayanto. Jātiyā accantakhayanto nibbānaṃ, taṃ passīti jātikhayantadassī. ‘‘Maggaṃ pajānāti hitānukampī’’tipi pāṭho. Tassattho – vuttappakāraṃ ekāyanasaṅkhātaṃ maggaṃ sayambhuñāṇena bhagavā pajānāti, jānanto ca tena tena hitena satte anukampatīti. Idāni tassa maggassa ekāyanabhāvaṃ, tīsupi kālesu ekantaniyyānatañca vibhāvetuṃ ‘‘etena maggena tariṃsu pubbe, tarissanti ye ca taranti ogha’’nti āha. Tassattho – ye atītamaddhānaṃ kāmoghādicatubbidhaṃ oghaṃ tariṃsu, ye taṃ anāgatamaddhānaṃ tarissanti, etarahi ca taranti, te sabbe eteneva maggena, na aññenāti. Visuddhipekkhāti caturoghanittharaṇena accantavisuddhiṃ nibbānaṃ apekkhantā, parinibbāyitukāmāti attho.

    เอวํ ทุวิธมฺปิ สาสนปฎฺฐานํ นานาสุตฺตปทานิ อุทาหรเนฺตน วิภชิตฺวา อิทานิ สํกิเลสภาคิยาทีหิ สํสนฺทิตฺวา ทเสฺสตุํ ปุน ‘‘โลกิยํ สุตฺต’’นฺติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ ทสฺสนภาคิเยน จ ภาวนาภาคิเยน จาติ นิเพฺพธภาคิเยนฯ นิเพฺพธภาคิยเมว หิ ทสฺสนภาคิยํ ภาวนาภาคิยนฺติ ทฺวิธา ภินฺทิตฺวา ทสฺสิตํฯ โลกิยญฺจ โลกุตฺตรญฺจาติ โลกิยํ โลกุตฺตรญฺจ สุตฺตํ, สํกิเลสภาคิยาทีหิ ทสฺสนภาคิยาทีหิ จาติ อุภเยหิ นิทฺทิสิตพฺพนฺติ อธิปฺปาโยฯ ยสฺมิํ สุเตฺตติอาทิ นิทฺทิสนาการทสฺสนํฯ ตตฺถ สํกิเลสภาคิยนฺติ สํกิเลสโกฎฺฐาสสหิตํ, สํกิเลสตฺถทีปนนฺติ อโตฺถฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ

    Evaṃ duvidhampi sāsanapaṭṭhānaṃ nānāsuttapadāni udāharantena vibhajitvā idāni saṃkilesabhāgiyādīhi saṃsanditvā dassetuṃ puna ‘‘lokiyaṃ sutta’’ntiādi āraddhaṃ. Tattha dassanabhāgiyena ca bhāvanābhāgiyena cāti nibbedhabhāgiyena. Nibbedhabhāgiyameva hi dassanabhāgiyaṃ bhāvanābhāgiyanti dvidhā bhinditvā dassitaṃ. Lokiyañca lokuttarañcāti lokiyaṃ lokuttarañca suttaṃ, saṃkilesabhāgiyādīhi dassanabhāgiyādīhi cāti ubhayehi niddisitabbanti adhippāyo. Yasmiṃ suttetiādi niddisanākāradassanaṃ. Tattha saṃkilesabhāgiyanti saṃkilesakoṭṭhāsasahitaṃ, saṃkilesatthadīpananti attho. Esa nayo sesesupi.

    เอวํ โลกิยตฺติกสฺส สํกิเลสภาคิยาทีหิ จตูหิ ปเทหิ สํสนฺทนํ ทเสฺสตฺวา อิมินา นเยน เสสติกานํ เสสปทานญฺจ สํสนฺทนํ สุวิเญฺญยฺยนฺติ ตํ อนุทฺธริตฺวา สํกิเลสภาคิยาทีนํ สมติกฺกมนํ ทเสฺสตุํ ‘‘วาสนาภาคิยํ สุตฺต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ยทิปิ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ, วาสนาภาคิยญฺจ สุตฺตํ โลกิยเมวฯ ตถาปิ โลกุตฺตรสุตฺตานิ วิย โลกิยสุตฺตานํ วาสนาภาคิยํ สุตฺตํ สํกิเลสภาคิยสฺส สมติกฺกมาย โหตีติ อิมมตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘วาสนาภาคิยํ สุตฺตํ สํกิเลสภาคิยสฺส สุตฺตสฺส นิคฺฆาตายา’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ นิคฺฆาตายาติ ปหานายฯ สุตฺตสีเสน เจตฺถ สุตฺตโตฺถ คหิโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ ยสฺมา จ โวทานธมฺมา วิย สํกิเลสธมฺมานํ ทสฺสนภูมิสมติกฺกมเนเนว ภาวนาภูมิ อธิคนฺตพฺพา, ตสฺมา ‘‘ภาวนาภาคิยํ สุตฺตํ ทสฺสนภาคิยสฺส สุตฺตสฺส ปฎินิสฺสคฺคายา’’ติ วุตฺตํฯ ยสฺมา ปน อเสกฺขธเมฺมสุ อุปฺปเนฺนสุ มคฺคภาวนากิจฺจํ นาม นตฺถิฯ ฌานภาวนาปิ ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารตฺถา เอว โหติ, ตสฺมา ‘‘อเสกฺขภาคิยํ สุตฺตํ ภาวนาภาคิยสฺส สุตฺตสฺส ปฎินิสฺสคฺคาย, อเสกฺขภาคิยํ สุตฺตํ ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารตฺถ’’นฺติ จ วุตฺตํฯ

    Evaṃ lokiyattikassa saṃkilesabhāgiyādīhi catūhi padehi saṃsandanaṃ dassetvā iminā nayena sesatikānaṃ sesapadānañca saṃsandanaṃ suviññeyyanti taṃ anuddharitvā saṃkilesabhāgiyādīnaṃ samatikkamanaṃ dassetuṃ ‘‘vāsanābhāgiyaṃ sutta’’ntiādi vuttaṃ. Tattha yadipi saṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ, vāsanābhāgiyañca suttaṃ lokiyameva. Tathāpi lokuttarasuttāni viya lokiyasuttānaṃ vāsanābhāgiyaṃ suttaṃ saṃkilesabhāgiyassa samatikkamāya hotīti imamatthaṃ dassetuṃ ‘‘vāsanābhāgiyaṃ suttaṃ saṃkilesabhāgiyassa suttassa nigghātāyā’’ti vuttaṃ. Tattha nigghātāyāti pahānāya. Suttasīsena cettha suttattho gahitoti daṭṭhabbaṃ. Yasmā ca vodānadhammā viya saṃkilesadhammānaṃ dassanabhūmisamatikkamaneneva bhāvanābhūmi adhigantabbā, tasmā ‘‘bhāvanābhāgiyaṃ suttaṃ dassanabhāgiyassa suttassa paṭinissaggāyā’’ti vuttaṃ. Yasmā pana asekkhadhammesu uppannesu maggabhāvanākiccaṃ nāma natthi. Jhānabhāvanāpi diṭṭhadhammasukhavihāratthā eva hoti, tasmā ‘‘asekkhabhāgiyaṃ suttaṃ bhāvanābhāgiyassa suttassa paṭinissaggāya, asekkhabhāgiyaṃ suttaṃ diṭṭhadhammasukhavihārattha’’nti ca vuttaṃ.

    อิทานิ ติกปเทเหว สํสนฺทิตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘โลกุตฺตร’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ เอกพีชินาติอาทีสุ โย โสตาปโนฺน หุตฺวา เอกเมว อตฺตภาวํ ชเนตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติ, อยํ เอกพีชี นามฯ ยถาห –

    Idāni tikapadeheva saṃsanditvā dassetuṃ ‘‘lokuttara’’ntiādi vuttaṃ. Ekabījinātiādīsu yo sotāpanno hutvā ekameva attabhāvaṃ janetvā arahattaṃ pāpuṇāti, ayaṃ ekabījī nāma. Yathāha –

    ‘‘กตโม จ ปุคฺคโล เอกพีชี? อิเธกโจฺจ ปุคฺคโล ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โสตาปโนฺน โหติ อวินิปาตธโมฺม นิยโต สโมฺพธิปรายโณฯ โส เอกํเยว มานุสกํ ภวํ นิพฺพเตฺตตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กโรติฯ อยํ วุจฺจติ ปุคฺคโล เอกพีชี’’ติ (ปุ. ป. ๓๓)ฯ

    ‘‘Katamo ca puggalo ekabījī? Idhekacco puggalo tiṇṇaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā sotāpanno hoti avinipātadhammo niyato sambodhiparāyaṇo. So ekaṃyeva mānusakaṃ bhavaṃ nibbattetvā dukkhassantaṃ karoti. Ayaṃ vuccati puggalo ekabījī’’ti (pu. pa. 33).

    โย ปน เทฺว วา ตีณิ วา กุลานิ สนฺธาวิตฺวา สํสริตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กโรติ, อยํ โกลํโกโล นามฯ ยถาห –

    Yo pana dve vā tīṇi vā kulāni sandhāvitvā saṃsaritvā dukkhassantaṃ karoti, ayaṃ kolaṃkolo nāma. Yathāha –

    ‘‘กตโม จ ปุคฺคโล โกลํโกโล? อิเธกโจฺจ ปุคฺคโล ติณฺณํ…เป.… ปรายโณฯ โส เทฺว วา ตีณิ วา กุลานิ สนฺธาวิตฺวา สํสริตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กโรติฯ อยํ วุจฺจติ ปุคฺคโล โกลํโกโล’’ติ (ปุ. ป. ๓๒)ฯ

    ‘‘Katamo ca puggalo kolaṃkolo? Idhekacco puggalo tiṇṇaṃ…pe… parāyaṇo. So dve vā tīṇi vā kulāni sandhāvitvā saṃsaritvā dukkhassantaṃ karoti. Ayaṃ vuccati puggalo kolaṃkolo’’ti (pu. pa. 32).

    ตตฺถ กุลานีติ ภเวฯ เทฺว วา ตีณิ วาติ อิทเมตฺถ เทสนามตฺตเมวฯ ยาว ฉฎฺฐภวา สํสรโนฺตปิ โกลํโกโล โหติ เอวฯ

    Tattha kulānīti bhave. Dve vā tīṇi vāti idamettha desanāmattameva. Yāva chaṭṭhabhavā saṃsarantopi kolaṃkolo hoti eva.

    โย ปน สตฺต ภเว สํสริตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กโรติ, อยํ สตฺตกฺขตฺตุปรโม นามฯ ยถาห –

    Yo pana satta bhave saṃsaritvā dukkhassantaṃ karoti, ayaṃ sattakkhattuparamo nāma. Yathāha –

    ‘‘กตโม จ ปุคฺคโล สตฺตกฺขตฺตุปรโม? อิเธกโจฺจ…เป.… ปรายโณฯ โส สตฺตกฺขตฺตุํ เทเว เจว มานุเส จ สนฺธาวิตฺวา สํสริตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กโรติฯ อยํ วุจฺจติ ปุคฺคโล สตฺตกฺขตฺตุปรโม’’ติ (ปุ. ป. ๓๑)ฯ

    ‘‘Katamo ca puggalo sattakkhattuparamo? Idhekacco…pe… parāyaṇo. So sattakkhattuṃ deve ceva mānuse ca sandhāvitvā saṃsaritvā dukkhassantaṃ karoti. Ayaṃ vuccati puggalo sattakkhattuparamo’’ti (pu. pa. 31).

    โก ปน เตสํ เอตํ ปเภทํ นิยเมตีติ? เกจิ ตาว ‘‘ปุพฺพเหตุ นิยเมตี’’ติ วทนฺติฯ เกจิ ‘‘ปฐมมโคฺค’’, เกจิ ‘‘อุปริ ตโย มคฺคา’’ฯ เกจิ ‘‘ติณฺณํ มคฺคานํ วิปสฺสนา’’ติฯ ตตฺถ ปุพฺพเหตุ นิยเมตีติ วาเท ปฐมมคฺคสฺส อุปนิสฺสโย กโต นาม โหติฯ อุปริ ตโย มคฺคา นิรุปนิสฺสยา อุปฺปนฺนาติ อาปชฺชติฯ ปฐมมโคฺค นิยเมตีติ วาเท อุปริ ติณฺณํ มคฺคานํ นิรตฺถกตา อาปชฺชติฯ อุปริ ตโย มคฺคา นิยเมนฺตีติ วาเท ‘‘ปฐมมเคฺค อนุปฺปเนฺน เอว อุปริ ตโย มคฺคา อุปฺปนฺนา’’ติ อาปชฺชติฯ วิปสฺสนา นิยเมตีติ วาโท ปน ยุชฺชติฯ สเจ หิ อุปริ ติณฺณํ มคฺคานํ วิปสฺสนา พลวตี โหติ, เอกพีชี นาม โหติฯ ตโต มนฺทตรา โกลํโกโลฯ ตโต มนฺทตรา สตฺตกฺขตฺตุปรโมติฯ เอตฺถ จ โย มนุเสฺสสุ เอว สตฺตกฺขตฺตุํ สํสริตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติ, โย จ เทเวสุเยว สตฺตกฺขตฺตุํ สํสริตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติ, อิเม น อิธาธิเปฺปตาฯ โย ปน กาเลน เทเวสุ, กาเลน มนุเสฺสสูติ โวมิสฺสกนเยน สํสริตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติ, โส อิธาธิเปฺปโตฯ ตสฺมา ‘‘สตฺตกฺขตฺตุปรโม’’ติ อิทํ อิธฎฺฐกโวกิณฺณวฎฺฎชฺฌาสยสฺส วเสน เวทิตพฺพํฯ วฎฺฎชฺฌาสโย หิ อาทิโต ปฎฺฐาย ฉ เทวโลเก โสเธตฺวา อกนิเฎฺฐ ฐตฺวา ปรินิพฺพายิสฺสติฯ

    Ko pana tesaṃ etaṃ pabhedaṃ niyametīti? Keci tāva ‘‘pubbahetu niyametī’’ti vadanti. Keci ‘‘paṭhamamaggo’’, keci ‘‘upari tayo maggā’’. Keci ‘‘tiṇṇaṃ maggānaṃ vipassanā’’ti. Tattha pubbahetu niyametīti vāde paṭhamamaggassa upanissayo kato nāma hoti. Upari tayo maggā nirupanissayā uppannāti āpajjati. Paṭhamamaggo niyametīti vāde upari tiṇṇaṃ maggānaṃ niratthakatā āpajjati. Upari tayo maggā niyamentīti vāde ‘‘paṭhamamagge anuppanne eva upari tayo maggā uppannā’’ti āpajjati. Vipassanā niyametīti vādo pana yujjati. Sace hi upari tiṇṇaṃ maggānaṃ vipassanā balavatī hoti, ekabījī nāma hoti. Tato mandatarā kolaṃkolo. Tato mandatarā sattakkhattuparamoti. Ettha ca yo manussesu eva sattakkhattuṃ saṃsaritvā arahattaṃ pāpuṇāti, yo ca devesuyeva sattakkhattuṃ saṃsaritvā arahattaṃ pāpuṇāti, ime na idhādhippetā. Yo pana kālena devesu, kālena manussesūti vomissakanayena saṃsaritvā arahattaṃ pāpuṇāti, so idhādhippeto. Tasmā ‘‘sattakkhattuparamo’’ti idaṃ idhaṭṭhakavokiṇṇavaṭṭajjhāsayassa vasena veditabbaṃ. Vaṭṭajjhāsayo hi ādito paṭṭhāya cha devaloke sodhetvā akaniṭṭhe ṭhatvā parinibbāyissati.

    ตตฺถ โย สทฺธํ ธุรํ กตฺวา โสตาปตฺติมคฺคํ นิพฺพเตฺตติ, โส มคฺคกฺขเณ สทฺธานุสารี นาม โหติฯ ผลกฺขเณ ปน สทฺธาวิมุโตฺต นาม หุตฺวา วุตฺตนเยน เอกพีชิอาทิเภโท โหติฯ โย ปน ปญฺญํ ธุรํ กตฺวา โสตาปตฺติมคฺคํ นิพฺพเตฺตติ, โส มคฺคกฺขเณ ธมฺมานุสารี นามฯ ผลกฺขเณ ปน ทิฎฺฐิปฺปโตฺต นาม หุตฺวา เอกพีชิอาทิเภโท โหติฯ อิทญฺจ อฎฺฐนฺนํ วิโมกฺขานํ อลาภิโน วเสน วุตฺตํฯ ลาภี ปน ผลกฺขเณ กายสกฺขี นาม โหติฯ ตตฺถ เย สทฺธาวิมุตฺตทิฎฺฐิปฺปตฺตกายสกฺขินามกา ตโย โสตาปนฺนา, เต เอกพีชิอาทีหิ ตีเหว สงฺคเหตฺวา วุตฺตํ – ‘‘ปญฺจหิ ปุคฺคเลหิ นิทฺทิสิตพฺพํ เอกพีชินา…เป.… ธมฺมานุสารินา’’ติ, เอวํ ปญฺจหิฯ

    Tattha yo saddhaṃ dhuraṃ katvā sotāpattimaggaṃ nibbatteti, so maggakkhaṇe saddhānusārī nāma hoti. Phalakkhaṇe pana saddhāvimutto nāma hutvā vuttanayena ekabījiādibhedo hoti. Yo pana paññaṃ dhuraṃ katvā sotāpattimaggaṃ nibbatteti, so maggakkhaṇe dhammānusārī nāma. Phalakkhaṇe pana diṭṭhippatto nāma hutvā ekabījiādibhedo hoti. Idañca aṭṭhannaṃ vimokkhānaṃ alābhino vasena vuttaṃ. Lābhī pana phalakkhaṇe kāyasakkhī nāma hoti. Tattha ye saddhāvimuttadiṭṭhippattakāyasakkhināmakā tayo sotāpannā, te ekabījiādīhi tīheva saṅgahetvā vuttaṃ – ‘‘pañcahi puggalehi niddisitabbaṃ ekabījinā…pe… dhammānusārinā’’ti, evaṃ pañcahi.

    ทฺวาทสหิ ปุคฺคเลหีติ สกทาคามิมคฺคโฎฺฐ, สกทาคามี, อนาคามิมคฺคโฎฺฐ, อเภเทน อนาคามี, อนฺตราปรินิพฺพายิอาทโย ปญฺจ, สทฺธาวิมุตฺตทิฎฺฐิปฺปตฺตกายสกฺขิโน ตโยติ เภเทน อฎฺฐาติ, เอวํ ทฺวาทสหิฯ ตตฺถ หิ โย อวิหาทีสุ ตตฺถ ตตฺถ อายุเวมชฺฌํ อปฺปตฺวา ปรินิพฺพายติ, อยํ อนฺตราปรินิพฺพายีฯ โย ปน อายุเวมชฺฌํ อติกฺกมิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติ, อยํ อุปหจฺจปรินิพฺพายีฯ ตถา โย อวิหาทีสุ อุปปโนฺน อสงฺขาเรน อปฺปโยเคน อรหตฺตํ อธิคจฺฉติ, อยํ อสงฺขารปรินิพฺพายีฯ โย ปน สสงฺขาเรน สปฺปโยเคน อรหตฺตํ อธิคจฺฉติ, อยํ สสงฺขารปรินิพฺพายีฯ อุทฺธํ อุปรูปริ พฺรหฺมโลเก อุปปตฺติโสโต เอตสฺสาติ อุทฺธํโสโตฯ ปฎิสนฺธิวเสน อกนิเฎฺฐ คจฺฉตีติ อกนิฎฺฐคามี

    Dvādasahipuggalehīti sakadāgāmimaggaṭṭho, sakadāgāmī, anāgāmimaggaṭṭho, abhedena anāgāmī, antarāparinibbāyiādayo pañca, saddhāvimuttadiṭṭhippattakāyasakkhino tayoti bhedena aṭṭhāti, evaṃ dvādasahi. Tattha hi yo avihādīsu tattha tattha āyuvemajjhaṃ appatvā parinibbāyati, ayaṃ antarāparinibbāyī. Yo pana āyuvemajjhaṃ atikkamitvā arahattaṃ pāpuṇāti, ayaṃ upahaccaparinibbāyī. Tathā yo avihādīsu upapanno asaṅkhārena appayogena arahattaṃ adhigacchati, ayaṃ asaṅkhāraparinibbāyī. Yo pana sasaṅkhārena sappayogena arahattaṃ adhigacchati, ayaṃ sasaṅkhāraparinibbāyī. Uddhaṃ uparūpari brahmaloke upapattisoto etassāti uddhaṃsoto. Paṭisandhivasena akaniṭṭhe gacchatīti akaniṭṭhagāmī.

    ตตฺถ อตฺถิ อุทฺธํโสโต อกนิฎฺฐคามี อตฺถิ อุทฺธํโสโต น อกนิฎฺฐคามี, อตฺถิ น อุทฺธํโสโต อกนิฎฺฐคามี อตฺถิ น อุทฺธํโสโต น อกนิฎฺฐคามีติฯ ตตฺถ โย อิธ อนาคามิผลํ ปตฺวา อวิหาทีสุ นิพฺพโตฺต ตตฺถ ยาวตายุกํ ฐตฺวา อุปรูปริ นิพฺพตฺติตฺวา อกนิฎฺฐํ ปาปุณาติ, อยํ อุทฺธํโสโต อกนิฎฺฐคามี นามฯ โย ปน อวิหาทีสุ นิพฺพโตฺต ตเตฺถว อปรินิพฺพายิตฺวา อกนิฎฺฐมฺปิ อปฺปตฺวา อุปรูปริ พฺรหฺมโลเก ปรินิพฺพายติ, อยํ อุทฺธํโสโต น อกนิฎฺฐคามี นามฯ โย อิโต จวิตฺวา อกนิเฎฺฐเยว นิพฺพตฺตติ, อยํ น อุทฺธํโสโต อกนิฎฺฐคามี นามฯ โย ปน อวิหาทีสุ จตูสุ อญฺญตรสฺมิํ นิพฺพตฺติตฺวา ตเตฺถว ปรินิพฺพายติ, อยํ น อุทฺธํโสโต น อกนิฎฺฐคามี นามฯ สทฺธาวิมุตฺตาทโย วุตฺตวิภาคาเยวฯ

    Tattha atthi uddhaṃsoto akaniṭṭhagāmī atthi uddhaṃsoto na akaniṭṭhagāmī, atthi na uddhaṃsoto akaniṭṭhagāmī atthi na uddhaṃsoto na akaniṭṭhagāmīti. Tattha yo idha anāgāmiphalaṃ patvā avihādīsu nibbatto tattha yāvatāyukaṃ ṭhatvā uparūpari nibbattitvā akaniṭṭhaṃ pāpuṇāti, ayaṃ uddhaṃsoto akaniṭṭhagāmī nāma. Yo pana avihādīsu nibbatto tattheva aparinibbāyitvā akaniṭṭhampi appatvā uparūpari brahmaloke parinibbāyati, ayaṃ uddhaṃsoto na akaniṭṭhagāmī nāma. Yo ito cavitvā akaniṭṭheyeva nibbattati, ayaṃ na uddhaṃsoto akaniṭṭhagāmī nāma. Yo pana avihādīsu catūsu aññatarasmiṃ nibbattitvā tattheva parinibbāyati, ayaṃ na uddhaṃsoto na akaniṭṭhagāmī nāma. Saddhāvimuttādayo vuttavibhāgāyeva.

    นวหิ ปุคฺคเลหีติ เอตฺถ อฎฺฐนฺนํ วิโมกฺขานํ อลาภี อรหา ปญฺญาวิมุโตฺต นามฯ เตสํ ปน ลาภี วิกฺขมฺภนสมุเจฺฉทวิโมกฺขวเสน อุโภหิ ภาเคหิ รูปกายนามกายสงฺขาตโต อุภโต ภาคโต วิมุตฺตตฺตา อุภโตภาควิมุโตฺต นามฯ สมสีสินาติ เอตฺถ ติวิโธ สมสีสี – อิริยาปถสมสีสี, โรคสมสีสี, ชีวิตสมสีสีติฯ

    Navahi puggalehīti ettha aṭṭhannaṃ vimokkhānaṃ alābhī arahā paññāvimutto nāma. Tesaṃ pana lābhī vikkhambhanasamucchedavimokkhavasena ubhohi bhāgehi rūpakāyanāmakāyasaṅkhātato ubhato bhāgato vimuttattā ubhatobhāgavimutto nāma. Samasīsināti ettha tividho samasīsī – iriyāpathasamasīsī, rogasamasīsī, jīvitasamasīsīti.

    ตตฺร โย ฐานาทีสุ อิริยาปเถสุ เยเนว อิริยาปเถน สมนฺนาคโต หุตฺวา วิปสฺสนํ อารภติ, เตเนว อิริยาปเถน อรหตฺตํ ปตฺวา ปรินิพฺพายติ, อยํ อิริยาปถสมสีสี นามฯ โย ปน เอกํ โรคํ ปตฺวา อโนฺตโรเค เอว วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา เตเนว โรเคน ปรินิพฺพายติ, อยํ โรคสมสีสี นามฯ ปลิโพธสีสํ ตณฺหา, พนฺธนสีสํ มาโน, ปรามาสสีสํ ทิฎฺฐิ, วิเกฺขปสีสํ อุทฺธจฺจํ, กิเลสสีสํ อวิชฺชา, อธิโมกฺขสีสํ สทฺธา, ปคฺคหสีสํ วีริยํ, อุปฎฺฐานสีสํ สติ, อวิเกฺขปสีสํ สมาธิ, ทสฺสนสีสํ ปญฺญา, ปวตฺตสีสํ ชีวิตินฺทฺริยํ, โคจรสีสํ วิโมโกฺข, สงฺขารสีสํ นิโรโธติ เตรสสุ สีเสสุ กิเลสสีสํ อวิชฺชํ อรหตฺตมโคฺค ปริยาทิยติ, ปวตฺตสีสํ ชีวิตินฺทฺริยํ จุติจิตฺตํ ปริยาทิยติฯ ตตฺถ อวิชฺชาปริยาทายกํ จิตฺตํ ชีวิตินฺทฺริยํ ปริยาทาตุํ น สโกฺกติฯ ชีวิตินฺทฺริยปริยาทายกํ อวิชฺชํ ปริยาทาตุํ น สโกฺกติฯ อญฺญํ อวิชฺชาปริยาทายกํ จิตฺตํ, อญฺญํ ชีวิตินฺทฺริยปริยาทายกํฯ ยสฺส เจตํ สีสทฺวยํ สมํ ปริยาทานํ คจฺฉติ, โส ชีวิตสมสีสี นามฯ

    Tatra yo ṭhānādīsu iriyāpathesu yeneva iriyāpathena samannāgato hutvā vipassanaṃ ārabhati, teneva iriyāpathena arahattaṃ patvā parinibbāyati, ayaṃ iriyāpathasamasīsī nāma. Yo pana ekaṃ rogaṃ patvā antoroge eva vipassanaṃ paṭṭhapetvā arahattaṃ patvā teneva rogena parinibbāyati, ayaṃ rogasamasīsī nāma. Palibodhasīsaṃ taṇhā, bandhanasīsaṃ māno, parāmāsasīsaṃ diṭṭhi, vikkhepasīsaṃ uddhaccaṃ, kilesasīsaṃ avijjā, adhimokkhasīsaṃ saddhā, paggahasīsaṃ vīriyaṃ, upaṭṭhānasīsaṃ sati, avikkhepasīsaṃ samādhi, dassanasīsaṃ paññā, pavattasīsaṃ jīvitindriyaṃ, gocarasīsaṃ vimokkho, saṅkhārasīsaṃ nirodhoti terasasu sīsesu kilesasīsaṃ avijjaṃ arahattamaggo pariyādiyati, pavattasīsaṃ jīvitindriyaṃ cuticittaṃ pariyādiyati. Tattha avijjāpariyādāyakaṃ cittaṃ jīvitindriyaṃ pariyādātuṃ na sakkoti. Jīvitindriyapariyādāyakaṃ avijjaṃ pariyādātuṃ na sakkoti. Aññaṃ avijjāpariyādāyakaṃ cittaṃ, aññaṃ jīvitindriyapariyādāyakaṃ. Yassa cetaṃ sīsadvayaṃ samaṃ pariyādānaṃ gacchati, so jīvitasamasīsī nāma.

    กถํ ปนิทํ สมํ โหตีติ? วารสมตายฯ ยสฺมิญฺหิ วาเร มคฺควุฎฺฐานํ โหติ, โสตาปตฺติมเคฺค ปญฺจ ปจฺจเวกฺขณานิ, สกทาคามิมเคฺค ปญฺจ, อนาคามิมเคฺค ปญฺจ, อรหตฺตมเคฺค จตฺตารีติ เอกูนวีสติเม ปจฺจเวกฺขณญาเณ ปติฎฺฐาย ภวงฺคํ โอตริตฺวา ปรินิพฺพายโต อิมาย วารสมตาย อิทํ อุภยสีสปริยาทานมฺปิ สมํ โหติ นามฯ เตนายํ ปุคฺคโล ‘‘ชีวิตสมสีสี’’ติ วุจฺจติ, อยเมว อิธาธิเปฺปโตฯ เอวํ สุญฺญตวิมุตฺตาทโย ตโย สทฺธาวิมุโตฺต ปญฺญาวิมุโตฺต อุภโตภาควิมุโตฺต สมสีสีติ สตฺต สาวกา อรหโนฺต, ปเจฺจกพุโทฺธ, สมฺมาสมฺพุโทฺธติ อิเมหิ นวหิ ปุคฺคเลหิ อเสกฺขภาคิยํ สุตฺตํ นิทฺทิสิตพฺพํฯ

    Kathaṃ panidaṃ samaṃ hotīti? Vārasamatāya. Yasmiñhi vāre maggavuṭṭhānaṃ hoti, sotāpattimagge pañca paccavekkhaṇāni, sakadāgāmimagge pañca, anāgāmimagge pañca, arahattamagge cattārīti ekūnavīsatime paccavekkhaṇañāṇe patiṭṭhāya bhavaṅgaṃ otaritvā parinibbāyato imāya vārasamatāya idaṃ ubhayasīsapariyādānampi samaṃ hoti nāma. Tenāyaṃ puggalo ‘‘jīvitasamasīsī’’ti vuccati, ayameva idhādhippeto. Evaṃ suññatavimuttādayo tayo saddhāvimutto paññāvimutto ubhatobhāgavimutto samasīsīti satta sāvakā arahanto, paccekabuddho, sammāsambuddhoti imehi navahi puggalehi asekkhabhāgiyaṃ suttaṃ niddisitabbaṃ.

    ราคจริโตติ ราคสหิตํ จริตํ เอตสฺสาติ ราคจริโตฯ ราเคน วา จริโต ปวตฺติโต ราคจริโต, ราคชฺฌาสโย ราคาธิโกติ อโตฺถฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ ราคมุเข ฐิโตติ ราคปริยุฎฺฐาเน ฐิโต, ปริยุฎฺฐิตราโคติ อโตฺถฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ

    Rāgacaritoti rāgasahitaṃ caritaṃ etassāti rāgacarito. Rāgena vā carito pavattito rāgacarito, rāgajjhāsayo rāgādhikoti attho. Esa nayo sesesupi. Rāgamukhe ṭhitoti rāgapariyuṭṭhāne ṭhito, pariyuṭṭhitarāgoti attho. Sesapadesupi eseva nayo.

    วาสนาภาคิยํ สุตฺตนฺติ โลกิยํ สตฺตาธิฎฺฐานํ วาสนาภาคิยํ สุตฺตํฯ โลกิยํ สตฺตาธิฎฺฐานํ สํกิเลสภาคิยญฺหิ สุตฺตํ ราคจริเตหิ ปุคฺคเลหิ นิทฺทิฎฺฐํฯ ตตฺถ ‘‘โลกิยํ, สตฺตาธิฎฺฐาน’’นฺติ ปททฺวยํ อนุวตฺตมานํ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘วาสนาภาคิย’’นฺติฯ สีลวเนฺตหีติ สีลวนฺตาทีหิ ปุคฺคเลหิฯ ปกติสีลนฺติอาทิ เยหิ สมนฺนาคตา, เต ปุคฺคลาฯ เตสํ ทสฺสเนน ปุคฺคลานํ อุปลกฺขณํฯ อถ วา ธมฺมาธิฎฺฐานํ ปกติสีลาทิวเสน, สตฺตาธิฎฺฐานํ ปกติสีลวนฺตาทิวเสน เวทิตพฺพนฺติ อิมสฺส นยสฺส ทสฺสนตฺถํ ‘‘สีลวเนฺตหิ นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วตฺวา ‘‘ปกติสีล’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตํ ปกติสีลาทีนํ ปญฺจนฺนํ เอว คหณํ นิทสฺสนมตฺตํ, ปตฺติทานอพฺภนุโมทนธมฺมสฺสวนเทสนาทิฎฺฐิชุกมฺมาทีนมฺปิ เจตฺถ สมฺภวโตฯ เตสมฺปิ วา เอเตฺถว สงฺคเหตฺวา ทสฺสนตฺถํ ‘‘ปญฺจา’’ติ วุตฺตํฯ

    Vāsanābhāgiyaṃ suttanti lokiyaṃ sattādhiṭṭhānaṃ vāsanābhāgiyaṃ suttaṃ. Lokiyaṃ sattādhiṭṭhānaṃ saṃkilesabhāgiyañhi suttaṃ rāgacaritehi puggalehi niddiṭṭhaṃ. Tattha ‘‘lokiyaṃ, sattādhiṭṭhāna’’nti padadvayaṃ anuvattamānaṃ katvā vuttaṃ ‘‘vāsanābhāgiya’’nti. Sīlavantehīti sīlavantādīhi puggalehi. Pakatisīlantiādi yehi samannāgatā, te puggalā. Tesaṃ dassanena puggalānaṃ upalakkhaṇaṃ. Atha vā dhammādhiṭṭhānaṃ pakatisīlādivasena, sattādhiṭṭhānaṃ pakatisīlavantādivasena veditabbanti imassa nayassa dassanatthaṃ ‘‘sīlavantehi niddisitabba’’nti vatvā ‘‘pakatisīla’’ntiādi vuttaṃ. Taṃ pakatisīlādīnaṃ pañcannaṃ eva gahaṇaṃ nidassanamattaṃ, pattidānaabbhanumodanadhammassavanadesanādiṭṭhijukammādīnampi cettha sambhavato. Tesampi vā ettheva saṅgahetvā dassanatthaṃ ‘‘pañcā’’ti vuttaṃ.

    ตตฺถ ปกติสีลนฺติ สมฺปตฺตวิรติสีลํฯ จิตฺตปฺปสาโทติ กมฺมผลสทฺธา รตนตฺตยสทฺธา จฯ ญาณํ ปญฺญาย นิทฺทิสิตพฺพนฺติ ยสฺมิํ สุเตฺต ปญฺญา อาคตา, ตํ สุตฺตํ ญาณนฺติ นิทฺทิสิตพฺพํฯ น เกวลํ ปญฺญาปริยาเยเนว, อถ โข ปญฺญินฺทฺริยาทิปริยาเยนปิ ยตฺถ ปญฺญา อาคตา, ตํ สุตฺตํ ญาณนฺติ นิทฺทิสิตพฺพนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘ปญฺญินฺทฺริเยนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตสฺสโตฺถ – เหฎฺฐา วุโตฺต เอวฯ ยํ วา ปนาติอาทีสุ ยํ วา อญฺญํ กิญฺจิ ปญฺญาย อธิวจนํฯ สพฺพํ ตํ ยตฺถ กตฺถจิ สุเตฺต อาคตํ, ตํ สุตฺตํ ญาณนฺติ นิทฺทิสิตพฺพนฺติ อโตฺถฯ

    Tattha pakatisīlanti sampattaviratisīlaṃ. Cittappasādoti kammaphalasaddhā ratanattayasaddhā ca. Ñāṇaṃ paññāya niddisitabbanti yasmiṃ sutte paññā āgatā, taṃ suttaṃ ñāṇanti niddisitabbaṃ. Na kevalaṃ paññāpariyāyeneva, atha kho paññindriyādipariyāyenapi yattha paññā āgatā, taṃ suttaṃ ñāṇanti niddisitabbanti dassetuṃ ‘‘paññindriyenā’’tiādi vuttaṃ. Tassattho – heṭṭhā vutto eva. Yaṃ vā panātiādīsu yaṃ vā aññaṃ kiñci paññāya adhivacanaṃ. Sabbaṃ taṃ yattha katthaci sutte āgataṃ, taṃ suttaṃ ñāṇanti niddisitabbanti attho.

    อชฺฌตฺติกพาหิเรหีติ ยสฺมิํ สุเตฺต อชฺฌตฺติกานิ อายตนานิ, พาหิรานิ จ อายตนานิ อาคตานิ, ตํ สุตฺตํ เตหิ อายตเนหิ ญาณํ เญยฺยนฺติ นิทฺทิสิตพฺพํฯ ปญฺญาปิ อารมฺมณภูตา เญยฺยนฺติ เญยฺยโต วิสุํ กตฺวา ปญฺญา วุตฺตาฯ ตถา หิ ปญฺญา ญาณนฺตรสฺส อารมฺมณนฺติ กตฺถจิ สุเตฺต เญยฺยภาเวนปิ วุจฺจติฯ ยํ กิญฺจิ อารมฺมณภูตนฺติ ยํ กิญฺจิ ญาณสฺส วิสยภูตํ รูปาทิฯ อชฺฌตฺติกํ วา พาหิรํ วาติ วา-สเทฺทน โอฬาริกาทิํ สงฺคณฺหาติฯ สพฺพํ ตํ สงฺขเตน อสงฺขเตน จาติ สพฺพํ ตํ ยถาสมฺภวํ สงฺขตภาเวน อสงฺขตภาเวน จ เญยฺยนฺติ นิทฺทิสิตพฺพํฯ เญยฺยธมฺมวเสน หิ เญยฺยสุตฺตํ เญยฺยนฺติ วุจฺจตีติฯ

    Ajjhattikabāhirehīti yasmiṃ sutte ajjhattikāni āyatanāni, bāhirāni ca āyatanāni āgatāni, taṃ suttaṃ tehi āyatanehi ñāṇaṃ ñeyyanti niddisitabbaṃ. Paññāpi ārammaṇabhūtā ñeyyanti ñeyyato visuṃ katvā paññā vuttā. Tathā hi paññā ñāṇantarassa ārammaṇanti katthaci sutte ñeyyabhāvenapi vuccati. Yaṃ kiñci ārammaṇabhūtanti yaṃ kiñci ñāṇassa visayabhūtaṃ rūpādi. Ajjhattikaṃ vā bāhiraṃ vāti -saddena oḷārikādiṃ saṅgaṇhāti. Sabbaṃ taṃ saṅkhatena asaṅkhatena cāti sabbaṃ taṃ yathāsambhavaṃ saṅkhatabhāvena asaṅkhatabhāvena ca ñeyyanti niddisitabbaṃ. Ñeyyadhammavasena hi ñeyyasuttaṃ ñeyyanti vuccatīti.

    ยํ วา ปน กิญฺจิ ภควา อญฺญตรวจนํ ภาสตีติ โลกิยโลกุตฺตราทิสุเตฺตสุ เอกสฺมิํ สุเตฺต เทฺวฯ เตสุ ยํ วา ปน กิญฺจิ อญฺญตรวจนํ เอกเสฺสว กถนํ ภาสติ นิทฺทิสติฯ สพฺพํ ตํ ยถานิทฺทิฎฺฐํ ธารยิตพฺพนฺติ ตํ ยถา สพฺพํ สุตฺตํ โลกิยาทีสุ ยทิ อญฺญตรวเสน, อถ อุภยวเสน ยถา ยถา นิทฺทิฎฺฐํ, ตถา ตถา คเหตพฺพํ, ตํ ตํ ปธานภาเวน นิทฺทิสิตพฺพนฺติ อโตฺถฯ

    Yaṃ vā pana kiñci bhagavā aññataravacanaṃ bhāsatīti lokiyalokuttarādisuttesu ekasmiṃ sutte dve. Tesu yaṃ vā pana kiñci aññataravacanaṃ ekasseva kathanaṃ bhāsati niddisati. Sabbaṃ taṃ yathāniddiṭṭhaṃ dhārayitabbanti taṃ yathā sabbaṃ suttaṃ lokiyādīsu yadi aññataravasena, atha ubhayavasena yathā yathā niddiṭṭhaṃ, tathā tathā gahetabbaṃ, taṃ taṃ padhānabhāvena niddisitabbanti attho.

    กิเลสสหิตเญฺญว กมฺมํ วิปากสฺส เหตุ, น อิตรนฺติ วุตฺตํ ‘‘ทุวิโธ เหตุ ยญฺจ กมฺมํ เย จ กิเลสา’’ติฯ สมุทโย กิเลสาติ เอตฺถ ‘‘สมุทโย’’ติ เอเตน สมุทยปกฺขิยา วุตฺตาฯ ‘‘กิเลสา’’ติ จ กิเลสวโนฺต, สํกิลิฎฺฐาติ อโตฺถฯ ยํ ทิสฺสตีติ ยํ ยํ ทิสฺสติฯ ตาสุ ตาสุ ภูมีสูติ ปุถุชฺชนภูมิอาทีสุฯ กปฺปิยานุโลเมนาติ กปฺปิเยน จ กปฺปิยานุโลเมน จฯ ตตฺถ กปฺปิยํ ปาฬิยํ สรูปโต วุตฺตํ, กปฺปิยานุโลมํ มหาปเทสวเสน นยโต ทสฺสิตํฯ ปฎิกฺขิตฺตการเณนาติ เยน การเณน ภควตา ยํ ปฎิกฺขิตฺตํ, เตน การเณน ตํ นิทฺทิสิตพฺพํฯ เอกเนฺตน สราคาทิสํวตฺตนเมว หิ ภควตา ปฎิกฺขิตฺตํ, ตํ สราคาย สํวตฺตนาทิการเณน นิทฺทิสิตพฺพํ ฯ ธมฺมสฺสาติ อสงฺขตธมฺมสฺสฯ อริยธมฺมานนฺติ มคฺคผลธมฺมานํฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    Kilesasahitaññeva kammaṃ vipākassa hetu, na itaranti vuttaṃ ‘‘duvidho hetu yañca kammaṃ ye ca kilesā’’ti. Samudayo kilesāti ettha ‘‘samudayo’’ti etena samudayapakkhiyā vuttā. ‘‘Kilesā’’ti ca kilesavanto, saṃkiliṭṭhāti attho. Yaṃ dissatīti yaṃ yaṃ dissati. Tāsu tāsu bhūmīsūti puthujjanabhūmiādīsu. Kappiyānulomenāti kappiyena ca kappiyānulomena ca. Tattha kappiyaṃ pāḷiyaṃ sarūpato vuttaṃ, kappiyānulomaṃ mahāpadesavasena nayato dassitaṃ. Paṭikkhittakāraṇenāti yena kāraṇena bhagavatā yaṃ paṭikkhittaṃ, tena kāraṇena taṃ niddisitabbaṃ. Ekantena sarāgādisaṃvattanameva hi bhagavatā paṭikkhittaṃ, taṃ sarāgāya saṃvattanādikāraṇena niddisitabbaṃ . Dhammassāti asaṅkhatadhammassa. Ariyadhammānanti maggaphaladhammānaṃ. Sesaṃ suviññeyyameva.

    เอตฺถ จ ยถา สํกิเลสภาคิยาทีนํ อญฺญมญฺญํ สํสคฺคโต อเนกวิโธ ปฎฺฐานเภโท อิจฺฉิโต, เอวํ โลกิยสตฺตาธิฎฺฐานาทิสํสคฺคโตปิ อเนกวิโธ ปฎฺฐานเภโท สมฺภวติฯ ปาฬิยํ ปน อุภยตฺถาปิ เอกเทสทสฺสนวเสน อาคตตฺตา นยทสฺสนนฺติ เวทิตพฺพํฯ สกฺกา หิ อิมินา นเยน วิญฺญุนา เต นิทฺธาเรตุนฺติฯ ยถา จ สํกิเลสภาคิยาทีนํ โลกิยาทีนญฺจ วิสุํ วิสุํ สํสคฺคเภทวเสน อยํ ปฎฺฐานเภโท อเนกวิโธ ลพฺภติ, เอวํ อุภเยสมฺปิ สํสคฺควเสน อยํ นโย ยถารหํ ลพฺภเตวฯ ลพฺภติ หิ โลกิยํ สุตฺตํ กิญฺจิ สํกิเลสภาคิยํ, กิญฺจิ วาสนาภาคิยํฯ ตถา โลกุตฺตรํ สุตฺตํ กิญฺจิ นิเพฺพธภาคิยํ, กิญฺจิ อเสกฺขภาคิยนฺติฯ เสเสสุปิ เอเสว นโยฯ

    Ettha ca yathā saṃkilesabhāgiyādīnaṃ aññamaññaṃ saṃsaggato anekavidho paṭṭhānabhedo icchito, evaṃ lokiyasattādhiṭṭhānādisaṃsaggatopi anekavidho paṭṭhānabhedo sambhavati. Pāḷiyaṃ pana ubhayatthāpi ekadesadassanavasena āgatattā nayadassananti veditabbaṃ. Sakkā hi iminā nayena viññunā te niddhāretunti. Yathā ca saṃkilesabhāgiyādīnaṃ lokiyādīnañca visuṃ visuṃ saṃsaggabhedavasena ayaṃ paṭṭhānabhedo anekavidho labbhati, evaṃ ubhayesampi saṃsaggavasena ayaṃ nayo yathārahaṃ labbhateva. Labbhati hi lokiyaṃ suttaṃ kiñci saṃkilesabhāgiyaṃ, kiñci vāsanābhāgiyaṃ. Tathā lokuttaraṃ suttaṃ kiñci nibbedhabhāgiyaṃ, kiñci asekkhabhāgiyanti. Sesesupi eseva nayo.

    เอวํ โสฬสวิเธ ปฎฺฐาเน อฎฺฐวีสติวิธํ ปฎฺฐานํ ปกฺขิปิตฺวา, อฎฺฐวีสติวิเธ จ ปฎฺฐาเน โสฬสวิธํ ปกฺขิปิตฺวา ยถารหํ ทุกติกาทิเภเทน สมฺภวโต ปฎฺฐานวิภาโค เวทิตโพฺพ, โส จ โข ตีสุ ปิฎเกสุ ลพฺภมานสฺส สุตฺตปทสฺส วเสนฯ ยสฺมา ปน ตานิ ตานิ สุตฺตปทานิ อุทาหรณวเสน นิทฺธาเรตฺวา อิมสฺมิํ อเตฺถ วิตฺถาริยมาเน อติปปโญฺจ โหติ, อติภาริยา จ เนตฺติสํวณฺณนา, สกฺกา จ อิมินา นเยน วิญฺญุนา อยมโตฺถ วิญฺญาตุํ, ตสฺมา น ตํ วิตฺถารยิมฺหฯ เตเนว หิ ปาฬิยํ อญฺญมญฺญสํสคฺควเสน ปฎฺฐานวิภาโค เอกเทเสเนว ทสฺสิโต, น นิปฺปเทสโตติฯ

    Evaṃ soḷasavidhe paṭṭhāne aṭṭhavīsatividhaṃ paṭṭhānaṃ pakkhipitvā, aṭṭhavīsatividhe ca paṭṭhāne soḷasavidhaṃ pakkhipitvā yathārahaṃ dukatikādibhedena sambhavato paṭṭhānavibhāgo veditabbo, so ca kho tīsu piṭakesu labbhamānassa suttapadassa vasena. Yasmā pana tāni tāni suttapadāni udāharaṇavasena niddhāretvā imasmiṃ atthe vitthāriyamāne atipapañco hoti, atibhāriyā ca nettisaṃvaṇṇanā, sakkā ca iminā nayena viññunā ayamattho viññātuṃ, tasmā na taṃ vitthārayimha. Teneva hi pāḷiyaṃ aññamaññasaṃsaggavasena paṭṭhānavibhāgo ekadeseneva dassito, na nippadesatoti.

    สาสนปฎฺฐานวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Sāsanapaṭṭhānavāravaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เนตฺติปฺปกรณปาฬิ • Nettippakaraṇapāḷi / สาสนปฎฺฐานํ • Sāsanapaṭṭhānaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ขุทฺทกนิกาย (ฎีกา) • Khuddakanikāya (ṭīkā) / เนตฺติปฺปกรณ-ฎีกา • Nettippakaraṇa-ṭīkā / สาสนปฎฺฐานวารวณฺณนา • Sāsanapaṭṭhānavāravaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ขุทฺทกนิกาย (ฎีกา) • Khuddakanikāya (ṭīkā) / เนตฺติวิภาวินี • Nettivibhāvinī / สาสนปฎฺฐานวิภาวนา • Sāsanapaṭṭhānavibhāvanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact