Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เนตฺติปฺปกรณ-ฎีกา • Nettippakaraṇa-ṭīkā

    สาสนปฎฺฐานวารวณฺณนา

    Sāsanapaṭṭhānavāravaṇṇanā

    ๘๙. สงฺคหวาราทีสูติ สงฺคหวารอุเทฺทสนิเทฺทสวาเรสุฯ สรูปโต น ทสฺสิตํ, อตฺถโต ปน ทสฺสิตเมวาติ อธิปฺปาโยฯ ตเมว หิ อตฺถโต ทสฺสนตฺถํ อุทาหรณภาเวน นิกฺขิปติ, ยถา มูลปเทหิ ปฎฺฐานํ นิทฺธาเรตพฺพนฺติฯ ‘‘อญฺญมญฺญสงฺคโห’’ติ อิทํ มูลปทปฎฺฐานานํ อญฺญมญฺญโต นิทฺธาเรตพฺพตาย การณวจนํ ‘‘สติ อนุปฺปเวเส ตโต วินิคฺคาโม สิยา’’ติฯ ปฎฺฐานนฺติ เอตฺถ -อิติ อุปสคฺคปทํ, ตํ ปน ‘‘วิภเตฺตสุ ธเมฺมสุ ยํ เสฎฺฐํ, ตทุปาคมุ’’นฺติอาทีสุ วิย ปการตฺถโชตกนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ปกาเรหิ ฐาน’’นฺติอาทีสุ วิย ปการตฺถโชตกนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ปกาเรหิ ฐาน’’นฺติ อาหฯ อิธาติ อิมสฺมิํ เนตฺติปฺปกรเณฯ ตสฺสาติ เทสนาสงฺขาตสฺส ปริยตฺติสาสนสฺสฯ ตถาภาวทีปนนฺติ เวเนยฺยชฺฌาสยานุรูเปน ปวตฺติตตฺตา สํกิเลสภาคิยตาทิปฺปกาเรหิ ฐิตภาเวน ทีเปตพฺพตฺตา ‘‘ทีปิสฺสตีติ ทีปน’’นฺติ กตฺวาฯ ปติฎฺฐหนฺติ อธิสีลสิกฺขาทโย สมุทายรูเปน คหิตาฯ เอเตหิ สํกิเลสธมฺมาทีหิ, สํกิเลสธมฺมาทีนํ อธิสีลสิกฺขาทีนํ ปวตฺตนุปายตา อนุปุพฺพิกถาย สามุกฺกํสิกาย ธมฺมเทสนาย ทีเปตพฺพาฯ เตสนฺติ สํกิเลสธมฺมาทีนํฯ ปุน เตสนฺติ สุตฺตานิ สนฺธายาหฯ

    89.Saṅgahavārādīsūti saṅgahavārauddesaniddesavāresu. Sarūpato na dassitaṃ, atthato pana dassitamevāti adhippāyo. Tameva hi atthato dassanatthaṃ udāharaṇabhāvena nikkhipati, yathā mūlapadehi paṭṭhānaṃ niddhāretabbanti. ‘‘Aññamaññasaṅgaho’’ti idaṃ mūlapadapaṭṭhānānaṃ aññamaññato niddhāretabbatāya kāraṇavacanaṃ ‘‘sati anuppavese tato viniggāmo siyā’’ti. Paṭṭhānanti ettha pa-iti upasaggapadaṃ, taṃ pana ‘‘vibhattesu dhammesu yaṃ seṭṭhaṃ, tadupāgamu’’ntiādīsu viya pakāratthajotakanti dassento ‘‘pakārehi ṭhāna’’ntiādīsu viya pakāratthajotakanti dassento ‘‘pakārehi ṭhāna’’nti āha. Idhāti imasmiṃ nettippakaraṇe. Tassāti desanāsaṅkhātassa pariyattisāsanassa. Tathābhāvadīpananti veneyyajjhāsayānurūpena pavattitattā saṃkilesabhāgiyatādippakārehi ṭhitabhāvena dīpetabbattā ‘‘dīpissatīti dīpana’’nti katvā. Patiṭṭhahanti adhisīlasikkhādayo samudāyarūpena gahitā. Etehi saṃkilesadhammādīhi, saṃkilesadhammādīnaṃ adhisīlasikkhādīnaṃ pavattanupāyatā anupubbikathāya sāmukkaṃsikāya dhammadesanāya dīpetabbā. Tesanti saṃkilesadhammādīnaṃ. Puna tesanti suttāni sandhāyāha.

    โคฎฺฐาติ วชาฯ ปฎฺฐิตคาโวติ คตคาโวฯ อาคตฎฺฐานสฺมินฺติ สีหนาทสุตฺตํ (ม. นิ. ๑.๑๕๖) วทติฯ ปวตฺตคมนตฺตา เอตฺถาติ วจนเสโสฯ อถ วา คจฺฉติ เอตฺถาติ คมนํ, เทสนาญาณสฺส นิสฺสงฺควเสน ปวตฺตคมนเทสภาวโต ปฎฺฐานํ นามาติ อโตฺถฯ โวมิสฺสาติ ‘‘สํกิเลสภาคิยญฺจ วาสนาภาคิยญฺจา’’ติอาทินา ทุกติกจตุกฺกภาเวน มิสฺสิตาฯ

    Goṭṭhāti vajā. Paṭṭhitagāvoti gatagāvo. Āgataṭṭhānasminti sīhanādasuttaṃ (ma. ni. 1.156) vadati. Pavattagamanattā etthāti vacanaseso. Atha vā gacchati etthāti gamanaṃ, desanāñāṇassa nissaṅgavasena pavattagamanadesabhāvato paṭṭhānaṃ nāmāti attho. Vomissāti ‘‘saṃkilesabhāgiyañca vāsanābhāgiyañcā’’tiādinā dukatikacatukkabhāvena missitā.

    สํกิเลสภาเว ญาเปตเพฺพ ปวตฺตํ, ตํ วิสยํ กตฺวา เทสิตนฺติ อโตฺถ, อตฺถมตฺตวจนเญฺจตํ , สํกิเลสภาเค ภวนฺติ สทฺทนเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ‘‘สํกิเลสภาคิก’’นฺติปิ ปาโฐ, ตสฺส สํกิเลสภาโค เอตสฺส อตฺถิ, สํกิเลสภาเค วา นิยุตฺตํ, สํกิเลสภาคสฺส วา ปโพธนสีลํ สํกิเลสภาคิกํ, ตเทว สํกิเลสภาคิยนฺติ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ปทาลนํ สมุจฺฉินฺทนํ, ปทาลนสนฺนิสฺสยตา เจตฺถ ปทาลนคฺคหเณน คหิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ อเสเกฺขติ อเสกฺขธเมฺมฯ เตสํ โวมิสฺสกนยวเสนาติ เตสํ สํกิเลสภาคิยาทีนํ จตุนฺนํ ปฎิเกฺขปาปฎิเกฺขปโวมิสฺสกนยวเสนฯ

    Saṃkilesabhāve ñāpetabbe pavattaṃ, taṃ visayaṃ katvā desitanti attho, atthamattavacanañcetaṃ , saṃkilesabhāge bhavanti saddanayena attho veditabbo. ‘‘Saṃkilesabhāgika’’ntipi pāṭho, tassa saṃkilesabhāgo etassa atthi, saṃkilesabhāge vā niyuttaṃ, saṃkilesabhāgassa vā pabodhanasīlaṃ saṃkilesabhāgikaṃ, tadeva saṃkilesabhāgiyanti attho veditabbo. Padālanaṃ samucchindanaṃ, padālanasannissayatā cettha padālanaggahaṇena gahitāti daṭṭhabbaṃ. Asekkheti asekkhadhamme. Tesaṃ vomissakanayavasenāti tesaṃ saṃkilesabhāgiyādīnaṃ catunnaṃ paṭikkhepāpaṭikkhepavomissakanayavasena.

    ‘‘ตานิ ปน ฉ ทุกา’’ติอาทินา ปทานํ คหณปริเจฺฉทโต ววตฺถาปนตํ วตฺวา ปรโต ‘‘สาธารณานิ กตานี’’ติ ปทสฺส อตฺถสํวณฺณนาย สยเมว สรูปโต ทเสฺสสฺสติฯ ‘‘อนุทฺธรเณ การณํ นตฺถี’ติ วตฺวา อุทฺธรเณ ปน การณํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตถา หิ วกฺขตี’’ติอาทินา ปาฬิมาหริฯ โวทานํ นาม สํกิเลสโต โหติ สํกิลิฎฺฐเสฺสว โวทานสฺส อิจฺฉิตตฺตาฯ ยสฺมา โวทานํ ตทงฺคาทิวเสน สํกิเลสโต วิสุชฺฌนํ, ตสฺมา ‘‘ตํ ปน อตฺถโต วาสนาภาคิยาทิ เอว โหตี’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ ตทงฺควิกฺขมฺภเนหิ โวทานํ วาสนาภาคิยาทิวเสน โหติ, สมุเจฺฉทปฎิปฺปสฺสทฺธีหิ โวทานํ นิเพฺพธภาคิยวเสน, อเสกฺขภาคิยวเสน โวทานํ ปฎิปฺปสฺสทฺธิยา เอว เวทิตพฺพํฯ ยายํ เทสนา ราคาทิภาคินี สิยา, สา สํกิเลสภาคิยาฯ ยายํ เทสนา จาคาทิภาคินี สิยา, สา วาสนาภาคิยาฯ ยา ปน อาปตฺติวิเจฺฉทนี สาวเสสํ, อนวเสสญฺจ, สา นิเพฺพธภาคิยา, อเสกฺขภาคิยา จ

    ‘‘Tāni pana cha dukā’’tiādinā padānaṃ gahaṇaparicchedato vavatthāpanataṃ vatvā parato ‘‘sādhāraṇāni katānī’’ti padassa atthasaṃvaṇṇanāya sayameva sarūpato dassessati. ‘‘Anuddharaṇe kāraṇaṃ natthī’ti vatvā uddharaṇe pana kāraṇaṃ dassento ‘‘tathā hi vakkhatī’’tiādinā pāḷimāhari. Vodānaṃ nāma saṃkilesato hoti saṃkiliṭṭhasseva vodānassa icchitattā. Yasmā vodānaṃ tadaṅgādivasena saṃkilesato visujjhanaṃ, tasmā ‘‘taṃ pana atthato vāsanābhāgiyādi eva hotī’’ti vuttaṃ. Tattha tadaṅgavikkhambhanehi vodānaṃ vāsanābhāgiyādivasena hoti, samucchedapaṭippassaddhīhi vodānaṃ nibbedhabhāgiyavasena, asekkhabhāgiyavasena vodānaṃ paṭippassaddhiyā eva veditabbaṃ. Yāyaṃ desanā rāgādibhāginī siyā, sā saṃkilesabhāgiyā. Yāyaṃ desanā cāgādibhāginī siyā, sā vāsanābhāgiyā. Yā pana āpattivicchedanī sāvasesaṃ, anavasesañca, sā nibbedhabhāgiyā, asekkhabhāgiyā ca.

    ‘‘ตณฺหาสํกิเลสภาคิยํ สุตฺต’’นฺติอาทินา ปฐมเมว สํกิเลสภาคสฺส ทสฺสิตตฺตา วุตฺตํ ‘‘สํกิเลโส ติวิโธ…เป.… วิสยทสฺสนตฺถํ อารทฺธ’’นฺติฯ ภวราโค ภวปตฺถนาฯ อุปฺปชฺชตีติ น วิคจฺฉติฯ ตตฺร ตตฺร ภเวติ ยทิ วา กามภเว, ยทิ วา รูปภเว, ยทิ วา อรูปภเวฯ ปทนฺตรสํโยชนวเสนาติ ทุกนเยเนว ปทนฺตเรน โยชนวเสนฯ มิสฺสิตานิ กตานีติ สํสฎฺฐานิ กตานิฯ

    ‘‘Taṇhāsaṃkilesabhāgiyaṃ sutta’’ntiādinā paṭhamameva saṃkilesabhāgassa dassitattā vuttaṃ ‘‘saṃkileso tividho…pe… visayadassanatthaṃ āraddha’’nti. Bhavarāgo bhavapatthanā. Uppajjatīti na vigacchati. Tatra tatra bhaveti yadi vā kāmabhave, yadi vā rūpabhave, yadi vā arūpabhave. Padantarasaṃyojanavasenāti dukanayeneva padantarena yojanavasena. Missitāni katānīti saṃsaṭṭhāni katāni.

    เอกกจตุกฺกวเสน ทสฺสิตพฺพานิ ปทานิ เอว คเหตฺวา อาวุตฺตินยทสฺสนวเสน มิเสฺสตฺวา อวสิฎฺฐทุกวเสน, ติกจตุกฺกวเสน จ อิตเร อฎฺฐ ปฎฺฐานภาคา ทสฺสิตาติ อาห ‘‘ตานิเยว ยถาวุตฺตานิ อฎฺฐ สุตฺตานี’’ติอาทิ ฯ จตฺตาโร เอกกาเยว ปาฬิยํ อาทิโต ทสฺสิตาฯ ฉทุกา ปาฬิยํ อาคตา จตฺตาโร, อฎฺฐกถายํ เทฺวติฯ จตฺตาโร ติกา ปาฬิยํ อาคตา เทฺว, อฎฺฐกถายํ เทฺวติฯ เทฺว จตุกฺกา ปน อฎฺฐกถายเมว อาคตาฯ ‘‘ปาฬิยํ อนาคตา’’ติ อิทํ สรูปโต อนาคมนํ สนฺธาย วุตฺตํ, นยโต ปน อาคตภาโว ทสฺสิโต เอวฯ เย ปเนตฺถ ปาฬิยํ อนาคตา, เตสํ อุทาหรณานิ ปรโต ทสฺสยิสฺสามฯ

    Ekakacatukkavasena dassitabbāni padāni eva gahetvā āvuttinayadassanavasena missetvā avasiṭṭhadukavasena, tikacatukkavasena ca itare aṭṭha paṭṭhānabhāgā dassitāti āha ‘‘tāniyeva yathāvuttāni aṭṭha suttānī’’tiādi . Cattāro ekakāyeva pāḷiyaṃ ādito dassitā. Chadukā pāḷiyaṃ āgatā cattāro, aṭṭhakathāyaṃ dveti. Cattāro tikā pāḷiyaṃ āgatā dve, aṭṭhakathāyaṃ dveti. Dve catukkā pana aṭṭhakathāyameva āgatā. ‘‘Pāḷiyaṃ anāgatā’’ti idaṃ sarūpato anāgamanaṃ sandhāya vuttaṃ, nayato pana āgatabhāvo dassito eva. Ye panettha pāḷiyaṃ anāgatā, tesaṃ udāharaṇāni parato dassayissāma.

    โสฬสหีติ โสฬสวิเธหิฯ น หิ ตานิ สุตฺตานิ โสฬเสว, อถ โข โสฬสปฺปการานีติ มูลคณนํ ฐเปตฺวา การณสุตฺตลเทฺธน สงฺขารคเพฺภน ตทนุรูโป โย คณนวิตฺถาโร, ตสฺส ปตฺถรณวิธิ ปฎฺฐานนโยฯ อิมินา…เป.… นตฺถีติ ยถาวุตฺตปฎฺฐานวินิมุโตฺต ปริยตฺติสาสนปฺปเทโส น วิชฺชติ ยถารหํ ตํตํปฎฺฐานภาเวน ปวตฺตตฺตาติ ทเสฺสติฯ ยทิ สุตฺตเคยฺยาทิ นววิธํ ปริยตฺติสาสนํ ยถาวุตฺตปฎฺฐานวเสเนว ปวตฺตํ, ตตฺถ กถมิธ อนิทสฺสิตานํ คาถาทีนํ สํกิเลสภาคิยาทิภาโว คเหตโพฺพติ ปญฺหํ สนฺธาย ‘‘คาถาย คาถา อนุมินิตพฺพา’’ติอาทิปาฬิ ปวตฺตาติ ทเสฺสตุํ ‘‘กถํ ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    Soḷasahīti soḷasavidhehi. Na hi tāni suttāni soḷaseva, atha kho soḷasappakārānīti mūlagaṇanaṃ ṭhapetvā kāraṇasuttaladdhena saṅkhāragabbhena tadanurūpo yo gaṇanavitthāro, tassa pattharaṇavidhi paṭṭhānanayo. Iminā…pe… natthīti yathāvuttapaṭṭhānavinimutto pariyattisāsanappadeso na vijjati yathārahaṃ taṃtaṃpaṭṭhānabhāvena pavattattāti dasseti. Yadi suttageyyādi navavidhaṃ pariyattisāsanaṃ yathāvuttapaṭṭhānavaseneva pavattaṃ, tattha kathamidha anidassitānaṃ gāthādīnaṃ saṃkilesabhāgiyādibhāvo gahetabboti pañhaṃ sandhāya ‘‘gāthāya gāthā anuminitabbā’’tiādipāḷi pavattāti dassetuṃ ‘‘kathaṃ panā’’tiādi vuttaṃ.

    ตตฺถ อยํ คาถา วิยาติ ‘‘กามนฺธา ชาลสญฺฉนฺนา, มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา, อุทฺธํ อโธ สพฺพธิ วิปฺปมุโตฺต, ยสฺส เสลูปมํ จิตฺต’’นฺติอาทินา อิธ อุทาหฎคาถา วิยฯ คาถาติ อญฺญาปิ เตปิฎเก พุทฺธวจเน อาคตา อิธ อนุทาหฎาฯ สํวณฺณนากาเล สมฺมุขีภาเวน ‘‘อยํ คาถา วิยา’’ติ วุตฺตา ยา กาจิ คาถา ‘‘สํกิเลสภาคิยา’’ติ วา ‘‘สํกิเลสวาสนานิเพฺพธอเสกฺขภาคิยา’’ติ วา อนุมินิตพฺพา นยคฺคาเหน ญาเปตพฺพาติ ทเสฺสตุํ วุตฺตํ ‘‘สํกิเลส…เป.… ชานิตพฺพาติ อโตฺถ’’ติฯ วา-สโทฺท หิ อิธ อวุตฺตวิกปฺปนโตฺถฯ เสสปเทสูติ เวยฺยากรณสุตฺตปเทสุฯ

    Tattha ayaṃ gāthā viyāti ‘‘kāmandhā jālasañchannā, manopubbaṅgamā dhammā, uddhaṃ adho sabbadhi vippamutto, yassa selūpamaṃ citta’’ntiādinā idha udāhaṭagāthā viya. Gāthāti aññāpi tepiṭake buddhavacane āgatā idha anudāhaṭā. Saṃvaṇṇanākāle sammukhībhāvena ‘‘ayaṃ gāthā viyā’’ti vuttā yā kāci gāthā ‘‘saṃkilesabhāgiyā’’ti vā ‘‘saṃkilesavāsanānibbedhaasekkhabhāgiyā’’ti vā anuminitabbā nayaggāhena ñāpetabbāti dassetuṃ vuttaṃ ‘‘saṃkilesa…pe… jānitabbāti attho’’ti. -saddo hi idha avuttavikappanattho. Sesapadesūti veyyākaraṇasuttapadesu.

    ๙๐. อริยานํ ธมฺมนฺติ จาริตฺตวาริตฺตเภทํ สีลาจารํฯ เอกนฺตกรณียสฺส อกรณมฺปิ วีติกฺกโม เอวฯ

    90.Ariyānaṃ dhammanti cārittavārittabhedaṃ sīlācāraṃ. Ekantakaraṇīyassa akaraṇampi vītikkamo eva.

    อวิชฺชาทิเก สํกิเลสธเมฺม ตทงฺคาทิวเสน ธุนาตีติ โธนา วุจฺจติ ปญฺญาฯ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปริภุญฺชนปญฺญาติ ปน ปกรเณน อวจฺฉินฺนตฺตา วุตฺตํฯ ตํ อติกฺกมิตฺวา จรโนฺตติ ปจฺจยานํ อปจฺจเวกฺขิตฺวา ปจฺจยปริโภเค อาทีนวํ อปสฺสโนฺต อิณปริโภควเสน ปริภุญฺชโนฺต น ปริมุจฺจติ นิรยาทิทุกฺขโต, วฎฺฎทุกฺขโต จฯ

    Avijjādike saṃkilesadhamme tadaṅgādivasena dhunātīti dhonā vuccati paññā. Paccavekkhitvā paribhuñjanapaññāti pana pakaraṇena avacchinnattā vuttaṃ. Taṃ atikkamitvā carantoti paccayānaṃ apaccavekkhitvā paccayaparibhoge ādīnavaṃ apassanto iṇaparibhogavasena paribhuñjanto na parimuccati nirayādidukkhato, vaṭṭadukkhato ca.

    กุกฺกุชนกํ นาม กทลิยา ปุปฺผนาฬิฯ ปราภวายาติ วินาสายฯ ตถาติ ยถา ผลปากนฺตา กทลี, เอวํ เวฬุนฬาปิ โอสธิชาติกตฺตาติ อุปสํหารโตฺถ ตถา-สโทฺทฯ เตนาห ‘‘ผลํ เวฬุํ ผลํ นฬ’’นฺติฯ

    Kukkujanakaṃ nāma kadaliyā pupphanāḷi. Parābhavāyāti vināsāya. Tathāti yathā phalapākantā kadalī, evaṃ veḷunaḷāpi osadhijātikattāti upasaṃhārattho tathā-saddo. Tenāha ‘‘phalaṃ veḷuṃ phalaṃ naḷa’’nti.

    สุเขเตฺตปีติ ปิ-สเทฺทน โก ปน วาโท อูสราทิโทสทุเฎฺฐสุ เขเตฺตสูติ ทเสฺสติฯ ‘‘ฉกณ…เป.… อโตฺถ’’ติ เอเตน ยถาวุตฺตอภิสงฺขรณาภาเวน พีชโทสทุฎฺฐนฺติ ทเสฺสติฯ

    Sukhettepīti pi-saddena ko pana vādo ūsarādidosaduṭṭhesu khettesūti dasseti. ‘‘Chakaṇa…pe… attho’’ti etena yathāvuttaabhisaṅkharaṇābhāvena bījadosaduṭṭhanti dasseti.

    ๙๑. สชฺชิตนฺติ สญฺชิตํฯ อปริกฺขเตติ ปฎิปเกฺขหิ ธเมฺมหิ อวิกฺขมฺภิเต อโรเคฯ

    91.Sajjitanti sañjitaṃ. Aparikkhateti paṭipakkhehi dhammehi avikkhambhite aroge.

    ยาย สมนฺนาคโต ปุคฺคโล ‘‘กิํ สุตํ มยา, กิํ วา สุณามี’’ติ กุสลํ คเวสี จรติ, สา ธโมฺมชปญฺญา กิสฺสวา นามฯ ทุพฺภาสิตาติ ทุฎฺฐุ ภาสิตา, อิสฺสามจฺฉริยโทสาทีหิ ทุฎฺฐา วา ภาสิตาฯ

    Yāya samannāgato puggalo ‘‘kiṃ sutaṃ mayā, kiṃ vā suṇāmī’’ti kusalaṃ gavesī carati, sā dhammojapaññā kissavā nāma. Dubbhāsitāti duṭṭhu bhāsitā, issāmacchariyadosādīhi duṭṭhā vā bhāsitā.

    ๙๒. วิจินาตีติ วิเสสโต จินาติ ปสวติฯ

    92.Vicinātīti visesato cināti pasavati.

    วิคตภูตาติ วิคตสจฺจฯ เตนาห ‘‘อลีกวาที’’ติฯ

    Vigatabhūtāti vigatasacca. Tenāha ‘‘alīkavādī’’ti.

    อวชาตปุตฺตาติ ลามกปุตฺตฯ ภควโต สาสเน ปพฺพชิตฺวา นิหีนวุตฺติตํ สนฺธาย วทติฯ เนรยิโกติ นิรเย นิพฺพตฺตนโกฯ ปาปกมฺมิโน ปปตนฺติ เอตฺถาติ ปปตํ, นรกํฯ

    Avajātaputtāti lāmakaputta. Bhagavato sāsane pabbajitvā nihīnavuttitaṃ sandhāya vadati. Nerayikoti niraye nibbattanako. Pāpakammino papatanti etthāti papataṃ, narakaṃ.

    ตณฺหาทีนํ สภาวเภทโตติ ตณฺหาทิฎฺฐิทุจฺจริตานํ ตณฺหายนวิปรีตทสฺสนทุฎฺฐจริตตาสงฺขาตสภาววิภาคโตฯ อวตฺถาเภทโตติ ตณฺหาย ฉนฺทเปมโลภราคนนฺทีปิปาสามุจฺฉาทโย, ทิฎฺฐิยา คาหปรามาสมิจฺฉาภินิเวสวิสุกวิปฺผนฺทิตวิปรีตทสฺสนาทโย, ทุจฺจริตสฺส ติรจฺฉานเปตฺติวิสยอสุรโยนิคามิตาทโย อวตฺถาวิเสสาฯ -สเทฺทน เตสํ กามตณฺหาทิรูปตณฺหาทิอตฺตานุทิฎฺฐาทิสสฺสตคาหาทิกายทุจฺจริตาทิ- ปาณาติปาตาทิปฺปการเภโท สงฺคยฺหติฯ

    Taṇhādīnaṃ sabhāvabhedatoti taṇhādiṭṭhiduccaritānaṃ taṇhāyanaviparītadassanaduṭṭhacaritatāsaṅkhātasabhāvavibhāgato. Avatthābhedatoti taṇhāya chandapemalobharāganandīpipāsāmucchādayo, diṭṭhiyā gāhaparāmāsamicchābhinivesavisukavipphanditaviparītadassanādayo, duccaritassa tiracchānapettivisayaasurayonigāmitādayo avatthāvisesā. Ca-saddena tesaṃ kāmataṇhādirūpataṇhādiattānudiṭṭhādisassatagāhādikāyaduccaritādi- pāṇātipātādippakārabhedo saṅgayhati.

    ๙๓. วิปุลนฺติ อุฬารํ, เตลาทีหิ เจว ธนธญฺญาทีหิ จ ปหูตสนฺนิจยนฺติ อโตฺถฯ สมฺพาธาติ ชนสํมทฺทสงฺฆฎาฯ

    93.Vipulanti uḷāraṃ, telādīhi ceva dhanadhaññādīhi ca pahūtasannicayanti attho. Sambādhāti janasaṃmaddasaṅghaṭā.

    ทเณฺฑน น หิํสตีติ เอตฺถ วุตฺตํ ยํ ทณฺฑนิธานํ, ตํ วฎฺฎวิวฎฺฎนิสฺสิตํฯ ตทุภยสฺสาปิ ผลํ ทเสฺสโนฺต ‘‘โส ปุคฺคโล’’ติอาทิมาหฯ

    Daṇḍena na hiṃsatīti ettha vuttaṃ yaṃ daṇḍanidhānaṃ, taṃ vaṭṭavivaṭṭanissitaṃ. Tadubhayassāpi phalaṃ dassento ‘‘so puggalo’’tiādimāha.

    ๙๔. กิญฺจติ ตํสมงฺคินํ วิมทฺทตีติ กิญฺจนํ, ราคาทิ, ปลิพุนฺธติ กุสลปฺปวตฺติํ นิวาเรตีติ ปลิโพโธ, ราคาทิเยว, กิญฺจนเมว ปลิโพโธ กิญฺจนปลิโพโธฯ อถ วา กิญฺจนญฺจ ปลิโพโธ จ กิญฺจนปลิโพโธ, อามิสกิญฺจิกฺขญฺจ ราคาทิสํกิเลโส จาติ อโตฺถฯ

    94. Kiñcati taṃsamaṅginaṃ vimaddatīti kiñcanaṃ, rāgādi, palibundhati kusalappavattiṃ nivāretīti palibodho, rāgādiyeva, kiñcanameva palibodho kiñcanapalibodho. Atha vā kiñcanañca palibodho ca kiñcanapalibodho, āmisakiñcikkhañca rāgādisaṃkileso cāti attho.

    วิเสสิตนฺติ วิโลมํ, วิสมํ กิริยนฺติ อโตฺถฯ ราชภณฺฑนฺติ โอโรเธ สนฺธาย วทนฺติฯ

    Visesitanti vilomaṃ, visamaṃ kiriyanti attho. Rājabhaṇḍanti orodhe sandhāya vadanti.

    ยาจโยโคติ ยาจนโยโค, ยาจกานํ มโนรถปริปูรณโตฯ เตนาห ‘‘ยาจิตพฺพยุโตฺต’’ติฯ ทานยุโตฺตติ สตตํ ทานกิริยาสมงฺคีฯ ทานสํวิภาครโตติ เอตฺถ ทานํ นาม อตฺถิกานํ ยถาธิปฺปายปฎิยตฺตปริจฺจาโค, สํวิภาโค อตฺตนา ปริภุญฺชิตพฺพโต อปฺปมตฺตกโตปิ สํวิภชนํฯ อิเมหิ โข…เป.… โหตีติ เอตฺถ โหติสเทฺทน ‘‘สมนฺนาคโต’’ติ ปทํ สมฺพนฺธิตพฺพํ, น ‘‘โสตาปโนฺน’’ติ ทเสฺสตุํ ‘‘โสตาปโนฺน…เป.… โหตี’’ติ วุตฺตํฯ เตหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคโม หิ อิธ วิธียติ, น โสตาปนฺนภาโว, เตน โสตาปนฺนลกฺขณเมเต ธมฺมา, น โสตาปนฺนภาวลกฺขณนฺติ ทเสฺสติฯ ตถา หิ ‘‘โสตาปเนฺนน…เป.… ลพฺภมานตํ ทเสฺสตี’’ติ วุตฺตํฯ

    Yācayogoti yācanayogo, yācakānaṃ manorathaparipūraṇato. Tenāha ‘‘yācitabbayutto’’ti. Dānayuttoti satataṃ dānakiriyāsamaṅgī. Dānasaṃvibhāgaratoti ettha dānaṃ nāma atthikānaṃ yathādhippāyapaṭiyattapariccāgo, saṃvibhāgo attanā paribhuñjitabbato appamattakatopi saṃvibhajanaṃ. Imehi kho…pe… hotīti ettha hotisaddena ‘‘samannāgato’’ti padaṃ sambandhitabbaṃ, na ‘‘sotāpanno’’ti dassetuṃ ‘‘sotāpanno…pe… hotī’’ti vuttaṃ. Tehi dhammehi samannāgamo hi idha vidhīyati, na sotāpannabhāvo, tena sotāpannalakkhaṇamete dhammā, na sotāpannabhāvalakkhaṇanti dasseti. Tathā hi ‘‘sotāpannena…pe… labbhamānataṃ dassetī’’ti vuttaṃ.

    ๙๕. ลปติ กเถติ เอเตนาติ ลปนํ, โอฎฺฐํฯ

    95. Lapati katheti etenāti lapanaṃ, oṭṭhaṃ.

    ๙๗. มุทิโตติ ทิพฺพสมฺปตฺติยา ปมุทิโตฯ

    97.Muditoti dibbasampattiyā pamudito.

    ๙๙. กิญฺจาปิ อุทตารีติ ตรณกิริยา อตีตภาเวน วุตฺตา, ตรณเมว ปน คเหตฺวา อาห ‘‘โอฆตรณสฺส อริยมคฺคกิจฺจตฺตา’’ติฯ เอวํ วิปฺปมุโตฺต, วิมุโตฺตติ จ เอตฺถ มุจฺจนกิริยายปิ วตฺตพฺพํฯ

    99. Kiñcāpi udatārīti taraṇakiriyā atītabhāvena vuttā, taraṇameva pana gahetvā āha ‘‘oghataraṇassa ariyamaggakiccattā’’ti. Evaṃ vippamutto, vimuttoti ca ettha muccanakiriyāyapi vattabbaṃ.

    ๑๐๐. ปาตุ-สทฺทปุพฺพโก ภวนฺติ-สโทฺท สิยา อุปฺปาทปริยาโย สิยา อาวิภาวปริยาโยติ ‘‘ปาตุภวนฺตี’’ติ ปทสฺส ‘‘อุปฺปชฺชนฺติ, ปกาเสนฺติ จา’’ติ อโตฺถ วุโตฺตฯ ปาตุภูตธมฺมสฺสาติ อุปฺปนฺนโพธิปกฺขิยธมฺมสฺส, วิภูตจตุสจฺจธมฺมสฺส วาฯ โน กโลฺลติ น ยุโตฺตฯ สเหตุธมฺมนฺติ เอตฺถ ปจฺจยุปฺปนฺนธมฺมาว คหิตา, น ปจฺจยธมฺมาติ? นยิทเมวํ ทฎฺฐพฺพํ ปจฺจยธมฺมานมฺปิ ปจฺจยุปฺปนฺนภาวานติวตฺตนโตฯ อถ วา สเหตุธมฺมนฺติ ปจฺจยุปฺปนฺนธโมฺม ปธานภาเวน วุโตฺต, ปจฺจยธโมฺม ปน คุณภาเวนาติ เอวเมตฺถ อุภเยสํ วุตฺตภาโว เวทิตโพฺพฯ

    100.Pātu-saddapubbako bhavanti-saddo siyā uppādapariyāyo siyā āvibhāvapariyāyoti ‘‘pātubhavantī’’ti padassa ‘‘uppajjanti, pakāsenti cā’’ti attho vutto. Pātubhūtadhammassāti uppannabodhipakkhiyadhammassa, vibhūtacatusaccadhammassa vā. No kalloti na yutto. Sahetudhammanti ettha paccayuppannadhammāva gahitā, na paccayadhammāti? Nayidamevaṃ daṭṭhabbaṃ paccayadhammānampi paccayuppannabhāvānativattanato. Atha vā sahetudhammanti paccayuppannadhammo padhānabhāvena vutto, paccayadhammo pana guṇabhāvenāti evamettha ubhayesaṃ vuttabhāvo veditabbo.

    อารญฺญกนฺติ อารญฺญกงฺคสมนฺนาคตํฯ อญฺญาโตติ ปริจยวเสน น ญาโต, อสํสโฎฺฐติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘นิจฺจนโว’’ติฯ

    Āraññakanti āraññakaṅgasamannāgataṃ. Aññātoti paricayavasena na ñāto, asaṃsaṭṭhoti attho. Tenāha ‘‘niccanavo’’ti.

    พฺยาปาทวิหิํสาวิตกฺกวิรเห เวริปริสงฺกาย อภาเว อกิตฺติปริมุตฺตีติ เอวมาทีหิปิ การเณหิ โกธปฺปหาเนน สุขํ สุปติฯ โกธปริฬาหาภาโว ปน ปากฎตโรติ อาห ‘‘โกธ…เป.… สยตี’’ติฯ วิสมูลสฺสาติ เอตฺถ วิสสริกฺขตาย ‘‘วิส’’นฺติ ทุกฺขํ อธิเปฺปตนฺติ อาห ‘‘ทุกฺขวิปากสฺสา’’ติฯ สุขนฺติ เจตสิกสุขํฯ อกฺกุฎฺฐสฺส ปจฺจโกฺกสิตฺวา จ ปจฺจโกฺกสนเหตุ อุปฺปชฺชตีติ โยชนาฯ

    Byāpādavihiṃsāvitakkavirahe veriparisaṅkāya abhāve akittiparimuttīti evamādīhipi kāraṇehi kodhappahānena sukhaṃ supati. Kodhapariḷāhābhāvo pana pākaṭataroti āha ‘‘kodha…pe… sayatī’’ti. Visamūlassāti ettha visasarikkhatāya ‘‘visa’’nti dukkhaṃ adhippetanti āha ‘‘dukkhavipākassā’’ti. Sukhanti cetasikasukhaṃ. Akkuṭṭhassa paccakkositvā ca paccakkosanahetu uppajjatīti yojanā.

    ๑๐๑. สลฺลุพฺพาหนํ สลฺลุทฺธรณํฯ

    101.Sallubbāhanaṃ salluddharaṇaṃ.

    วิสยเภเทน, ปวตฺติอาการเภเทน จ อเนกเภทตฺตา กามสญฺญาย วุตฺตํ ‘‘ยาย กายจี’’ติฯ

    Visayabhedena, pavattiākārabhedena ca anekabhedattā kāmasaññāya vuttaṃ ‘‘yāya kāyacī’’ti.

    ทานมุเขนาติ ทาเนน มุขภูเตน, ทานํ ปมุขํ กตฺวาติ อโตฺถฯ

    Dānamukhenāti dānena mukhabhūtena, dānaṃ pamukhaṃ katvāti attho.

    ‘‘อริยมคฺคสมฺปาปนวเสนา’’ติ อิมินา อนุกมฺปานุทฺทยานํ เอกนฺตานวชฺชตเมว วิภาเวติฯ ‘‘อนุกมฺปา’’ติ ปทสฺสตฺถวิวรณํ ‘‘กรุณายนา’’ติ, อิตรสฺส ‘‘เมตฺตายนา’’ติฯ

    ‘‘Ariyamaggasampāpanavasenā’’ti iminā anukampānuddayānaṃ ekantānavajjatameva vibhāveti. ‘‘Anukampā’’ti padassatthavivaraṇaṃ ‘‘karuṇāyanā’’ti, itarassa ‘‘mettāyanā’’ti.

    ๑๐๒. ปกติอาทีติ อาทิสเทฺทน อณุอิสฺสรปชาปติปุริสกาลาธิฎฺฐายการิอาทิเก สงฺคณฺหาติฯ

    102.Pakatiādīti ādisaddena aṇuissarapajāpatipurisakālādhiṭṭhāyakāriādike saṅgaṇhāti.

    กาเมสูติ กามคุเณสุ รูปาทิวิสเยสุฯ

    Kāmesūti kāmaguṇesu rūpādivisayesu.

    พหลกิเลสตายาติ พหุลกิเลสภาเวนฯ ปุพฺพเหตุมนฺทตายาติ วิวฎฺฎูปนิสฺสยสฺส กุสลสฺส อกตตฺตาฯ

    Bahalakilesatāyāti bahulakilesabhāvena. Pubbahetumandatāyāti vivaṭṭūpanissayassa kusalassa akatattā.

    จิตฺตวูปสมภาวนายาติ จิตฺตวูปสมกรภาวนาย สมถวิปสฺสนายฯ

    Cittavūpasamabhāvanāyāti cittavūpasamakarabhāvanāya samathavipassanāya.

    ปริสฺสยา สีลาทิปริปูรณสฺส ปริพนฺธภูตา กิเลสา เอวฯ อนริยา ปญฺญาสีสํ อุกฺขิปิตฺวา ฐาตุเมว น สโกฺกนฺตีติ วุตฺตํ ‘‘ญาณสิเรน อโธสิรา หุตฺวา’’ติฯ

    Parissayā sīlādiparipūraṇassa paribandhabhūtā kilesā eva. Anariyā paññāsīsaṃ ukkhipitvā ṭhātumeva na sakkontīti vuttaṃ ‘‘ñāṇasirena adhosirā hutvā’’ti.

    ๑๐๓. ภควโต, ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ วสนโยคฺยภาโว, เตหิ นิวุตฺถภาโว จ ตสฺส สาติสโย วโณฺณติ วุตฺตํ ‘‘ปฐมคาถาย เชตวนสฺส วณฺณํ กเถตฺวา’’ติฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    103. Bhagavato, bhikkhusaṅghassa ca vasanayogyabhāvo, tehi nivutthabhāvo ca tassa sātisayo vaṇṇoti vuttaṃ ‘‘paṭhamagāthāya jetavanassa vaṇṇaṃ kathetvā’’ti. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘คาเม วา ยทิ วารเญฺญ, นิเนฺน วา ยทิ วา ถเล;

    ‘‘Gāme vā yadi vāraññe, ninne vā yadi vā thale;

    ยตฺถ อรหโนฺต วิหรนฺติ, ตํ ภูมิรามเณยฺยก’’นฺติฯ (ธ. ป. ๙๘; เถรคา. ๙๙๑);

    Yattha arahanto viharanti, taṃ bhūmirāmaṇeyyaka’’nti. (dha. pa. 98; theragā. 991);

    อิธ ธมฺมสโทฺท สมาธิปริยาโย ‘‘เอวํธมฺมา เต ภควโนฺต’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๑๓; ม. นิ. ๓.๑๙๘; สํ. นิ. ๕.๓๗๘) วิยาติ อาห ‘‘ธโมฺมติ สมาธี’’ติ สมาธิปกฺขิกา ธมฺมา สติวายามาฯ

    Idha dhammasaddo samādhipariyāyo ‘‘evaṃdhammā te bhagavanto’’tiādīsu (dī. ni. 2.13; ma. ni. 3.198; saṃ. ni. 5.378) viyāti āha ‘‘dhammoti samādhī’’ti samādhipakkhikā dhammā sativāyāmā.

    นานุคเจฺฉยฺยาติ นานุตเสยฺยฯ อนุตสนเมว หิ ตณฺหาทิฎฺฐีหิ อนุคมนํฯ ปฎิวิปเสฺสยฺยาติ วิปสฺสนาสมฺมสนมาหฯ ยมกโต, หิ ขณิกโต, ปฎิปาฎิโต จ สมฺมสนํ วิปสฺสนายปิ สมฺมสนโต ปฎิวิปสฺสนา นามฯ สา หิ วิปสฺสนาย ทิฎฺฐิอุคฺฆาฎนมานสมุคฺฆาฎนนิกนฺติปริยาทานเหตุตาย วิเสสโต ปฎิปเกฺขน อสํหีรอสํกุปฺปนเหตุภูตา ปริพฺรูหนา โหติฯ ‘‘ปุนปฺปุนํ…เป.… อเปฺปโนฺต’’ติ เอเตน นิพฺพานารมฺมณธมฺมานุพฺรูหนํ ยถา ‘‘พฺรูเหตา สุญฺญาคาราน’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๖๔) ทเสฺสติฯ

    Nānugaccheyyāti nānutaseyya. Anutasanameva hi taṇhādiṭṭhīhi anugamanaṃ. Paṭivipasseyyāti vipassanāsammasanamāha. Yamakato, hi khaṇikato, paṭipāṭito ca sammasanaṃ vipassanāyapi sammasanato paṭivipassanā nāma. Sā hi vipassanāya diṭṭhiugghāṭanamānasamugghāṭananikantipariyādānahetutāya visesato paṭipakkhena asaṃhīraasaṃkuppanahetubhūtā paribrūhanā hoti. ‘‘Punappunaṃ…pe… appento’’ti etena nibbānārammaṇadhammānubrūhanaṃ yathā ‘‘brūhetā suññāgārāna’’nti (ma. ni. 1.64) dasseti.

    ยํ กิญฺจิ อปทิสิตฺวา ปฎิญฺญาทานํ สงฺคโรฯ โส ปน อตฺตโน กิจฺจวิเสสํ อปทิสิตฺวา มิตฺตสนฺถววเสน วา กาลาคมนํ อปทิสิตฺวา กิญฺจิกฺขานุปฺปทาเนน วา ปฎิพาหกรณํ อปทิสิตฺวา พลคฺคโพธวเสน วา สิยาติ ตสฺส มิตฺตกรณาทิปริยายตํ สนฺธายาห ‘‘สงฺคโรติ…เป.… นาม’’นฺติฯ เอวํ ปฎิปนฺนตฺตาติ เอวํ อนิจฺจสญฺญามุเขน ติยทฺธเกสุ สงฺขาเรสุ อปฺปมาทปฺปฎิปตฺติยา ปฎิปนฺนตฺตาฯ

    Yaṃ kiñci apadisitvā paṭiññādānaṃ saṅgaro. So pana attano kiccavisesaṃ apadisitvā mittasanthavavasena vā kālāgamanaṃ apadisitvā kiñcikkhānuppadānena vā paṭibāhakaraṇaṃ apadisitvā balaggabodhavasena vā siyāti tassa mittakaraṇādipariyāyataṃ sandhāyāha ‘‘saṅgaroti…pe… nāma’’nti. Evaṃ paṭipannattāti evaṃ aniccasaññāmukhena tiyaddhakesu saṅkhāresu appamādappaṭipattiyā paṭipannattā.

    ทิพฺพจกฺขุ สุวิสุทฺธนฺติ สาวเสสา เทสนาติ อาห ‘‘ยํ สจฺฉิกโรตี’’ติฯ รูปายตนเญฺหตฺถ อธิเปฺปตํฯ

    Dibbacakkhu suvisuddhanti sāvasesā desanāti āha ‘‘yaṃ sacchikarotī’’ti. Rūpāyatanañhettha adhippetaṃ.

    ๑๐๔. อนฺตนฺติ สงฺขารานํ ปาริมนฺตภูตํฯ เวทานนฺติ มคฺคญาณเวทานเมวฯ อรหตฺตาธิคเมน อนฺตํ ปริโยสานํ คตตฺตาฯ กมฺมวิปากวฎฺฎานํ, กิเลสวฎฺฎสฺสาปิ จ อุสฺสเทน อุปจเยน อุสฺสทา, ราคาทโยฯ

    104.Antanti saṅkhārānaṃ pārimantabhūtaṃ. Vedānanti maggañāṇavedānameva. Arahattādhigamena antaṃ pariyosānaṃ gatattā. Kammavipākavaṭṭānaṃ, kilesavaṭṭassāpi ca ussadena upacayena ussadā, rāgādayo.

    สุโกฺกภาสตาย สุกฺกา, อภิวิสิฎฺฐคฺคหาฯ สพฺพานิ วา ตารกรูปานิ สุกฺกาฯ วินฺทตีติ อุปลภติ, ปฎิวิชฺฌตีติ อโตฺถฯ

    Sukkobhāsatāya sukkā, abhivisiṭṭhaggahā. Sabbāni vā tārakarūpāni sukkā. Vindatīti upalabhati, paṭivijjhatīti attho.

    ‘‘อชฺฌตฺตํ วิปสฺสนาภินิเวโส โหตี’’ติ อิทํ ‘‘สเกสุ ธเมฺมสู’’ติ ปารคุภาวสฺส วิเสสิตตฺตา วุตฺตํ, ตญฺจ โข อภินิเวเสเนว เทสิตํฯ ‘‘สพฺพํ , ภิกฺขเว, อภิเญฺญยฺย’’นฺติ (สํ. นิ. ๔.๔๖; ปฎิ. ม. ๑.๓) วุตฺตํฯ ปารคุตา จ เตสํ ขนฺธานํ ปริญฺญาภิสมยวเสน โหติฯ ตโต จ เนสํ เหตุภูตสมุทเย, ตทปฺปวตฺติลกฺขเณ นิโรเธ, นิโรธคามินิยา ปฎิปทาย จ ปหานสจฺฉิกิริยาภาวนาภิสมยปาริปูริวเสน อิตรสเจฺจสุปิ ปารคุภาโว วุโตฺต เอว โหติฯ สพฺพโส หิ สกอตฺตภาวโพเธนปิ จตุสจฺจาภิสมโย โหติเยวฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘อิมสฺมิํเยว พฺยามมเตฺต กเฬวเร สสญฺญิมฺหิ สมนเก โลกญฺจ ปญฺญเปมิ, โลกสมุทยญฺจา’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๑.๑๐๗; อ. นิ. ๔.๔๕)ฯ อถ วา สเกสุ ธเมฺมสูติ อตฺตโน ธเมฺมสุฯ อตฺตธมฺมา นาม อตฺถกามสฺส กุลปุตฺตสฺส สีลาทิธมฺมาฯ สีลสมาธิปญฺญาทโย หิ โวทานธมฺมา เอกนฺตหิตสุขสมฺปาทนโต ปุริสสฺส สกธมฺมา นาม, น อนตฺถาวหา สํกิเลสธมฺมา วิย ปรธมฺมาฯ เตสํ สีลาทีนํ ปาริปูริยา ปารํ ปริยนฺตํ คโตติ ปารคูฯ ‘‘อกฺกุล ปกฺกุล’’อิติ เอวํ วิหิํสนกปโยคํฯ อชกลาเปน (อุทา. ๗) หิ ตทา ภควนฺตํ ภีสาเปตุกาเมน กตํ ยกฺขคชฺชิตํ ‘‘อกฺกุล ปกฺกุล’’ อิติ อิมินา อากาเรน สตฺตานํ โสตปถํ อคมาสิ, ตสฺมา ตํ ‘‘อกฺกุลํ ปกฺกุลกรณ’’นฺติ วุตฺตํฯ

    ‘‘Ajjhattaṃ vipassanābhiniveso hotī’’ti idaṃ ‘‘sakesu dhammesū’’ti pāragubhāvassa visesitattā vuttaṃ, tañca kho abhiniveseneva desitaṃ. ‘‘Sabbaṃ , bhikkhave, abhiññeyya’’nti (saṃ. ni. 4.46; paṭi. ma. 1.3) vuttaṃ. Pāragutā ca tesaṃ khandhānaṃ pariññābhisamayavasena hoti. Tato ca nesaṃ hetubhūtasamudaye, tadappavattilakkhaṇe nirodhe, nirodhagāminiyā paṭipadāya ca pahānasacchikiriyābhāvanābhisamayapāripūrivasena itarasaccesupi pāragubhāvo vutto eva hoti. Sabbaso hi sakaattabhāvabodhenapi catusaccābhisamayo hotiyeva. Vuttañhetaṃ ‘‘imasmiṃyeva byāmamatte kaḷevare sasaññimhi samanake lokañca paññapemi, lokasamudayañcā’’tiādi (saṃ. ni. 1.107; a. ni. 4.45). Atha vā sakesu dhammesūti attano dhammesu. Attadhammā nāma atthakāmassa kulaputtassa sīlādidhammā. Sīlasamādhipaññādayo hi vodānadhammā ekantahitasukhasampādanato purisassa sakadhammā nāma, na anatthāvahā saṃkilesadhammā viya paradhammā. Tesaṃ sīlādīnaṃ pāripūriyā pāraṃ pariyantaṃ gatoti pāragū. ‘‘Akkula pakkula’’iti evaṃ vihiṃsanakapayogaṃ. Ajakalāpena (udā. 7) hi tadā bhagavantaṃ bhīsāpetukāmena kataṃ yakkhagajjitaṃ ‘‘akkula pakkula’’ iti iminā ākārena sattānaṃ sotapathaṃ agamāsi, tasmā taṃ ‘‘akkulaṃ pakkulakaraṇa’’nti vuttaṃ.

    นาภินนฺทตีติ ‘‘อยํ มํ ทฎฺฐุํ อาคตา’’ติ น ตุสฺสติฯ ยสฺมา ปน ‘‘ภควโต ภาสิตํ อภินนฺที’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๘๘) วิย สมฺปฎิจฺฉนโตฺถปิ อภินนฺทสโทฺท โหติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘จิเตฺตน น สมฺปฎิจฺฉตี’’ติฯ น โสจตีติ ‘‘มยา อสโมฺมทิตา คจฺฉตี’’ติ น จิตฺตสนฺตาปํ อาปชฺชติฯ ‘‘สงฺคา สงฺคามชิํ มุตฺต’’นฺติ อิทํ อภินนฺทโสจนานํ อภาวสฺส การณวจนํฯ

    Nābhinandatīti ‘‘ayaṃ maṃ daṭṭhuṃ āgatā’’ti na tussati. Yasmā pana ‘‘bhagavato bhāsitaṃ abhinandī’’tiādīsu (ma. ni. 1.88) viya sampaṭicchanatthopi abhinandasaddo hoti, tasmā vuttaṃ ‘‘cittena na sampaṭicchatī’’ti. Na socatīti ‘‘mayā asammoditā gacchatī’’ti na cittasantāpaṃ āpajjati. ‘‘Saṅgā saṅgāmajiṃ mutta’’nti idaṃ abhinandasocanānaṃ abhāvassa kāraṇavacanaṃ.

    เตนาติ อุทเก นฺหาเนนฯ เตเนวาห ‘‘น อุทเกน สุจี โหตี’’ติฯ ตสฺสโตฺถ – อุทกุมฺมุชฺชนาทินา เนว สตฺตานํ สุจิ ปาปโต สุทฺธิ นาม โหตีติฯ อุทกุมฺมุชฺชนาทีนิ หิ อิธ อุตฺตรปทโลเปน ‘‘อุทก’’นฺติ วุตฺตํฯ อุทเกนาติ วา อุมฺมุชฺชนาทิกิริยาสาธนภูเตน อุทเกน สตฺตานํ สุจิ ปาปสุทฺธิ น โหตีติฯ อถ วา สุจิเตน ยถาวุเตฺตน อุทเกน ปาปมลโต สุโทฺธ นาม สโตฺต น โหตีติฯ ยทิ สิยา, สเพฺพสเมว มจฺฉพนฺธานํ ปาปสุทฺธิ สิยาฯ เตนาห ‘‘พเหฺวตฺถ นฺหายตี ชโน’’ติฯ มาตุฆาตาทิปาปกมฺมการีนํ, อเญฺญสญฺจ โคมหิํสาทีนํ อุทกํ โอโรหนฺตานํ อนฺตมโส มจฺฉกจฺฉเป อุปาทาย สเพฺพสมฺปิ ปาปสุทฺธิ สิยา , น ปเนวํ โหติฯ กสฺมา? นฺหานียปาปเหตูนํ อปฺปฎิปกฺขภาวโตฯ ยญฺหิ ยํ วินาเสติ, โส ตสฺส ปฎิปโกฺขฯ ยถา อาโลโก อนฺธการสฺส, วิชฺชา อวิชฺชาย, น เอวํ นฺหานํ ปาปสฺส, ตสฺมา นิฎฺฐเมตฺถ คนฺตพฺพํ ‘‘น อุทเกน สุจี โหตี’’ติฯ เยน ปน สุจิ โหติ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ยมฺหิ สจฺจญฺจา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ สจฺจนฺติ วจีสจฺจญฺจ วิรติสจฺจญฺจฯ อถ วา สจฺจนฺติ ญาณสจฺจเญฺจว ปรมตฺถสจฺจญฺจฯ ธโมฺมติ เสโส อริยธโมฺมฯ สจฺจสฺส ปเนตฺถ วิสุํ คหณํ ตสฺส พหุการตาทสฺสนตฺถํฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    Tenāti udake nhānena. Tenevāha ‘‘na udakena sucī hotī’’ti. Tassattho – udakummujjanādinā neva sattānaṃ suci pāpato suddhi nāma hotīti. Udakummujjanādīni hi idha uttarapadalopena ‘‘udaka’’nti vuttaṃ. Udakenāti vā ummujjanādikiriyāsādhanabhūtena udakena sattānaṃ suci pāpasuddhi na hotīti. Atha vā sucitena yathāvuttena udakena pāpamalato suddho nāma satto na hotīti. Yadi siyā, sabbesameva macchabandhānaṃ pāpasuddhi siyā. Tenāha ‘‘bahvettha nhāyatī jano’’ti. Mātughātādipāpakammakārīnaṃ, aññesañca gomahiṃsādīnaṃ udakaṃ orohantānaṃ antamaso macchakacchape upādāya sabbesampi pāpasuddhi siyā , na panevaṃ hoti. Kasmā? Nhānīyapāpahetūnaṃ appaṭipakkhabhāvato. Yañhi yaṃ vināseti, so tassa paṭipakkho. Yathā āloko andhakārassa, vijjā avijjāya, na evaṃ nhānaṃ pāpassa, tasmā niṭṭhamettha gantabbaṃ ‘‘na udakena sucī hotī’’ti. Yena pana suci hoti, taṃ dassetuṃ ‘‘yamhi saccañcā’’tiādi vuttaṃ. Tattha saccanti vacīsaccañca viratisaccañca. Atha vā saccanti ñāṇasaccañceva paramatthasaccañca. Dhammoti seso ariyadhammo. Saccassa panettha visuṃ gahaṇaṃ tassa bahukāratādassanatthaṃ. Sesaṃ suviññeyyameva.

    ชาติพลนิเสธกนฺติ ชาติมตฺตพฺราหฺมณานํ โภวาทิกานํ ปฎิเสธกํฯ ชาติวาทสฺส วา นิเสธกํ, ‘‘น ชจฺจา พฺราหฺมโณ โหตี’’ติ (สุ. นิ. ๖๕๕) หิ วุตฺตํฯ เถโร หิ ตถาวาเทน เต อนิคฺคณฺหโนฺตปิ นิคฺคณฺหโนฺต วิย โหตีติ กตฺวา วุตฺตํฯ

    Jātibalanisedhakanti jātimattabrāhmaṇānaṃ bhovādikānaṃ paṭisedhakaṃ. Jātivādassa vā nisedhakaṃ, ‘‘na jaccā brāhmaṇo hotī’’ti (su. ni. 655) hi vuttaṃ. Thero hi tathāvādena te aniggaṇhantopi niggaṇhanto viya hotīti katvā vuttaṃ.

    ๑๐๕. วิมุตฺติยนฺติ อนุปาทิเสสนิพฺพานธาตุยํฯ

    105.Vimuttiyanti anupādisesanibbānadhātuyaṃ.

    สวาสนนฺติ เอตฺถ ขีณาสวสฺสาปิ อขีณาสวสทิสกายวจีปโยคเหตุภูตา สนฺตาเน กิเลสภาวนา วาสนา นาม อายสฺมโต ปิลินฺทวจฺฉสฺส (อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๒๑๕; ธ. ป. อฎฺฐ. ๒.ปิลินฺทวจฺฉเตฺถรวตฺถุ) วสลโวหาโร วิย, สห วาสนายาติ สวาสนํ, ภาวนปุํสกเญฺจตํ ‘‘วิสมํ จนฺทิมสูริยา ปริวตฺตนฺตี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๗๐) วิยฯ ยถาวุตฺตวาสนมฺปิ อเสเสตฺวาติ อโตฺถฯ กุมฺมคฺคปริหรณวเสน มคฺคสมฺปฎิปตฺตีติ มเคฺค กุสโล อมเคฺคปิ กุสโล เอว โหติฯ ภควา ปน สพฺพญฺญุตาย สพฺพเตฺถว กุสโลติ อาห ‘‘มเคฺค จ อมเคฺค จ โกวิโท’’ติฯ

    Savāsananti ettha khīṇāsavassāpi akhīṇāsavasadisakāyavacīpayogahetubhūtā santāne kilesabhāvanā vāsanā nāma āyasmato pilindavacchassa (a. ni. aṭṭha. 1.1.215; dha. pa. aṭṭha. 2.pilindavacchattheravatthu) vasalavohāro viya, saha vāsanāyāti savāsanaṃ, bhāvanapuṃsakañcetaṃ ‘‘visamaṃ candimasūriyā parivattantī’’tiādīsu (a. ni. 4.70) viya. Yathāvuttavāsanampi asesetvāti attho. Kummaggapariharaṇavasena maggasampaṭipattīti magge kusalo amaggepi kusalo eva hoti. Bhagavā pana sabbaññutāya sabbattheva kusaloti āha ‘‘magge ca amagge ca kovido’’ti.

    ๑๐๖. ตเมน ยุโตฺตติ ยถาวุตฺตตโม ตสฺส อตฺถีติ ตโม, ปุคฺคโลฯ อปฺปกาสภาเวน ฐิตา ขนฺธาว ตโมฯ อาโลกภูโตติ ชาติคุณาโลโก, ปากฎคุโณติ อโตฺถฯ

    106.Tamena yuttoti yathāvuttatamo tassa atthīti tamo, puggalo. Appakāsabhāvena ṭhitā khandhāva tamo. Ālokabhūtoti jātiguṇāloko, pākaṭaguṇoti attho.

    กิเลสมยํ พนฺธนํ ‘‘ทฬฺห’’นฺติ วทนฺติฯ ยโต สจฺจานิ ปฎิวิชฺฌนฺตา พุทฺธาว นํ ฉินฺทนฺติ, น อเญฺญฯ

    Kilesamayaṃ bandhanaṃ ‘‘daḷha’’nti vadanti. Yato saccāni paṭivijjhantā buddhāva naṃ chindanti, na aññe.

    ทุเจฺฉทนเตฺถน สติปิ ทฬฺหภาเว สิถิลวุตฺติตํ ตสฺส ทีเปตุํ ‘‘พนฺธนภาวมฺปี’’ติอาทิมาหฯ เตน ‘‘อโห สุขุมตรํ โข, ภิกฺขเว, มารพนฺธน’’นฺติ วุตฺตํฯ

    Ducchedanatthena satipi daḷhabhāve sithilavuttitaṃ tassa dīpetuṃ ‘‘bandhanabhāvampī’’tiādimāha. Tena ‘‘aho sukhumataraṃ kho, bhikkhave, mārabandhana’’nti vuttaṃ.

    ๑๐๗. ยทิปิ เจตนา กุสลากุสลสาธารณา, อปุญฺญาภิสงฺขาโร อิธาธิเปฺปโตติ ตสฺส วเสน อตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อกุสลเจตนาวเสน เจเตตี’’ติ อาหฯ เจตนํ อภิสนฺทหนํ, จิตฺตสฺส พฺยาปาราปตฺติภาเวน ปวตฺตีติ อโตฺถฯ ยสฺมา ปน เจตนา ยทา วิญฺญตฺติํ สมุฎฺฐาเปติ, ตทา ทิคุณุสฺสาหาทิคุณวายามา วิย หุตฺวา ปากฎํ ปโยคํ นิปฺผาเทติ, ตสฺมา ‘‘ปกเปฺปตี’’ติ วุตฺตาฯ ปากฎปฺปโยคกปฺปนเญฺหตฺถ ปกปฺปนํ อธิเปฺปตํฯ เตนาห ‘‘ตเมว ปกเปฺปตี’’ติฯ ปจฺจยโฎฺฐ อิธ อารมฺมณโตฺถติ วุตฺตํ ‘‘ปวตฺติยา ปจฺจโย โหตี’’ติฯ

    107. Yadipi cetanā kusalākusalasādhāraṇā, apuññābhisaṅkhāro idhādhippetoti tassa vasena atthaṃ dassento ‘‘akusalacetanāvasena cetetī’’ti āha. Cetanaṃ abhisandahanaṃ, cittassa byāpārāpattibhāvena pavattīti attho. Yasmā pana cetanā yadā viññattiṃ samuṭṭhāpeti, tadā diguṇussāhādiguṇavāyāmā viya hutvā pākaṭaṃ payogaṃ nipphādeti, tasmā ‘‘pakappetī’’ti vuttā. Pākaṭappayogakappanañhettha pakappanaṃ adhippetaṃ. Tenāha ‘‘tameva pakappetī’’ti. Paccayaṭṭho idha ārammaṇatthoti vuttaṃ ‘‘pavattiyā paccayo hotī’’ti.

    ๑๐๘. ยถา ชลสมุทฺทสฺส วีจิสมุฎฺฐานวเสน ลพฺภมาโน เวโค ‘‘วีจิมโย’’ติ วุจฺจติ, เอวํ จกฺขุสมุทฺทสฺสาปิ รูปาวภาสนวเสน ลพฺภมาโน เวโค ‘‘รูปมโย’’ติ วุโตฺตฯ เอเสว นโย เสเสสุปิฯ อาวิญฺฉนโตติ อากฑฺฒนโต, อากฑฺฒนเญฺจตฺถ สนฺตานสฺส ตนฺนินฺนภาวเหตุตาย ทฎฺฐพฺพํฯ

    108. Yathā jalasamuddassa vīcisamuṭṭhānavasena labbhamāno vego ‘‘vīcimayo’’ti vuccati, evaṃ cakkhusamuddassāpi rūpāvabhāsanavasena labbhamāno vego ‘‘rūpamayo’’ti vutto. Eseva nayo sesesupi. Āviñchanatoti ākaḍḍhanato, ākaḍḍhanañcettha santānassa tanninnabhāvahetutāya daṭṭhabbaṃ.

    สมุทนํ กิเลสเตมนํ, อวสฺสวเหตุตา, กิเลสานํ อูมิอาทิสทิสตา สมาวฎฺฎเนน สตฺตานํ อนตฺถาวหตาย เวทิตพฺพาฯ อุปรูปริเวคุปฺปตฺติยา อุปคตสฺส อุฎฺฐาตุํ อปฺปทาเนน, คุณสารวินาสเนน จ โกธุปนาหาทีนํ อูมิอาทิสทิสตา ทฎฺฐพฺพาฯ

    Samudanaṃ kilesatemanaṃ, avassavahetutā, kilesānaṃ ūmiādisadisatā samāvaṭṭanena sattānaṃ anatthāvahatāya veditabbā. Uparūpariveguppattiyā upagatassa uṭṭhātuṃ appadānena, guṇasāravināsanena ca kodhupanāhādīnaṃ ūmiādisadisatā daṭṭhabbā.

    อภิมุโข นนฺทตีติ ตทารมฺมณํ สุขํ โสมนสฺสํ สาทิยโนฺต สมฺปฎิจฺฉติฯ อภิวทตีติ ตณฺหาภินิเวสวเสน อภินิวิสฺส วทติฯ ตญฺหิสฺส อภินิเวสํ ทีเปตุํ ‘‘อโห สุข’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ อโชฺฌสานํ อธิมุจฺจนภูตาย ตณฺหาย ตณฺหาวตฺถุกสฺส อนุปวิสิตฺวา อาเวณิกตากรณนฺติ อาห ‘‘อโชฺฌสาย ติฎฺฐตีติ คิลิตฺวา ปรินิฎฺฐเปตฺวา’’ติฯ

    Abhimukho nandatīti tadārammaṇaṃ sukhaṃ somanassaṃ sādiyanto sampaṭicchati. Abhivadatīti taṇhābhinivesavasena abhinivissa vadati. Tañhissa abhinivesaṃ dīpetuṃ ‘‘aho sukha’’ntiādi vuttaṃ. Ajjhosānaṃ adhimuccanabhūtāya taṇhāya taṇhāvatthukassa anupavisitvā āveṇikatākaraṇanti āha ‘‘ajjhosāya tiṭṭhatīti gilitvā pariniṭṭhapetvā’’ti.

    ๑๐๙. ‘‘กสฺมา’’ติอาทินา สนฺตาปทุกฺขานํ อสุปฺปติการตํ อาห ‘‘เยน วา ปกาเรนา’’ติฯ เยนาติ เยน วา กามโชฺฌสานทิฎฺฐิโชฺฌสานภูเตน มิจฺฉาภินิเวสปฺปกาเรนฯ คหฎฺฐปพฺพชิตา ตถารูปํ กตฺวา อตฺตโน วฑฺฒิญฺจ มญฺญนฺติฯ อวฑฺฒิ เอว ปน โหติ ตสฺส ปการสฺส วฑฺฒิยํ อนุปายภาวโต จ อุปายภาวโต จ อวฑฺฒิยํฯ ตถาปีติ ตตฺถ ตตฺถ อิจฺฉาวิฆาตํ ปาปุณโนฺตปิฯ ยสฺมา อิโต พาหิรกา สเพฺพน สพฺพํ ภวนิสฺสรณํ อปฺปชานโนฺต มนฺทกิเลสํ ทีฆายุกํ สุขพหุลํ เอกจฺจํ ภวํ เตเนว มนฺทกิเลสาทิภาเวน ‘‘นิพฺพาน’’นฺติ สมนุปสฺสนฺติ, ตสฺมา ภเวน ภววิปฺปโมกฺขํ วทนฺตีติฯ

    109.‘‘Kasmā’’tiādinā santāpadukkhānaṃ asuppatikārataṃ āha ‘‘yena vā pakārenā’’ti. Yenāti yena vā kāmajjhosānadiṭṭhijjhosānabhūtena micchābhinivesappakārena. Gahaṭṭhapabbajitā tathārūpaṃ katvā attano vaḍḍhiñca maññanti. Avaḍḍhi eva pana hoti tassa pakārassa vaḍḍhiyaṃ anupāyabhāvato ca upāyabhāvato ca avaḍḍhiyaṃ. Tathāpīti tattha tattha icchāvighātaṃ pāpuṇantopi. Yasmā ito bāhirakā sabbena sabbaṃ bhavanissaraṇaṃ appajānanto mandakilesaṃ dīghāyukaṃ sukhabahulaṃ ekaccaṃ bhavaṃ teneva mandakilesādibhāvena ‘‘nibbāna’’nti samanupassanti, tasmā bhavena bhavavippamokkhaṃ vadantīti.

    ภวทิฎฺฐิสหคตา ตณฺหา ปุริมปเท อุตฺตรปทโลเปน ภวตณฺหาติ วุตฺตาติ อาห ‘‘ภวตณฺหาติอาทีสุ วิยา’’ติฯ

    Bhavadiṭṭhisahagatā taṇhā purimapade uttarapadalopena bhavataṇhāti vuttāti āha ‘‘bhavataṇhātiādīsu viyā’’ti.

    ยตฺถาติ ยสฺมิํ ภเวฯ

    Yatthāti yasmiṃ bhave.

    ตโต เอวาติ ภูตรติยา เอวฯ อญฺญมญฺญญฺหิ สตฺตานํ ฉนฺทราโค พลวา โหติฯ อนวเสสโตติ อนวเสเสน, น กิญฺจิ เสเสตฺวาฯ

    Tato evāti bhūtaratiyā eva. Aññamaññañhi sattānaṃ chandarāgo balavā hoti. Anavasesatoti anavasesena, na kiñci sesetvā.

    สํสารโสตสฺส อนุกูลภาเวน คจฺฉตีติ อนุโสตคามีฯ ตเสฺสว ปฎิกฺกูลวเสน นิพฺพิทานุปสฺสนาทีหิ ปวตฺตตีติ ปฎิโสตคามี, อจลปฺปสาทาทิสมนฺนาคเมน ฐิตสภาโวติ อโตฺถฯ

    Saṃsārasotassa anukūlabhāvena gacchatīti anusotagāmī. Tasseva paṭikkūlavasena nibbidānupassanādīhi pavattatīti paṭisotagāmī, acalappasādādisamannāgamena ṭhitasabhāvoti attho.

    ๑๑๐. ‘‘ปลพฺภติ, นิขชฺชตี’’ติอาทีสุ วิย อุปสโคฺค ปทวฑฺฒนมตฺตนฺติ อาห ‘‘อภิชาติโกติ ชาติโย’’ติฯ กณฺหธมฺมสมนฺนาคตตฺตา วา กโณฺหฯ ปฐมวเยปิ มชฺฌิมวเยปิ ปาปสมงฺคี หุตฺวา ฐิโต กณฺหธเมฺม อภิชายติ, ปจฺฉาปิ ปาปํ ปสวตีติ อโตฺถฯ สุโกฺกติ วา เอตฺถ วุตฺตวิปริยาเยเนว อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    110. ‘‘Palabbhati, nikhajjatī’’tiādīsu viya upasaggo padavaḍḍhanamattanti āha ‘‘abhijātikoti jātiyo’’ti. Kaṇhadhammasamannāgatattā vā kaṇho. Paṭhamavayepi majjhimavayepi pāpasamaṅgī hutvā ṭhito kaṇhadhamme abhijāyati, pacchāpi pāpaṃ pasavatīti attho. Sukkoti vā ettha vuttavipariyāyeneva attho veditabbo.

    ๑๑๑. ปุริมสฺมินฺติ ปุริมสฺมิํ ปเทฯ วิสเย ภุมฺมํ ตตฺถ เทยฺยธมฺมสฺส ปติฎฺฐาปนโตฯ ทุติเย อธิกรเณ, ตทธิกรณญฺหิ นิพฺพานนฺติฯ คหฎฺฐปพฺพชิตกิเจฺจสุ วา วิสิฎฺฐธมฺมทสฺสนตฺถํ ปจฺจยทานารหตฺตานํ สมธุรตานิเทฺทโสฯ อถ วา เยน เยน ปน วตฺถุนาติ รูปารูปนิโรธาทินา ตณฺหาวตฺถุนาฯ อมราวิเกฺขปวตฺถุอาทินาติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน สุภสุขาทิมิจฺฉาภินิเวสวตฺถุํ สงฺคณฺหาติฯ ยถา วา ตณฺหาทิฎฺฐิทุจฺจริตานํ วเสน สํกิเลสภาคิยสฺส สุตฺตสฺส วิภาโค, เอวํ สมถวิปสฺสนาสุจริตวเสน ตณฺหาโวทานภาคิยาทิสุตฺตวิภาโคติ ทเสฺสตุํ ปาฬิยํ ‘‘ตณฺหา…เป.… นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํฯ

    111.Purimasminti purimasmiṃ pade. Visaye bhummaṃ tattha deyyadhammassa patiṭṭhāpanato. Dutiye adhikaraṇe, tadadhikaraṇañhi nibbānanti. Gahaṭṭhapabbajitakiccesu vā visiṭṭhadhammadassanatthaṃ paccayadānārahattānaṃ samadhuratāniddeso. Atha vā yena yena pana vatthunāti rūpārūpanirodhādinā taṇhāvatthunā. Amarāvikkhepavatthuādināti ettha ādi-saddena subhasukhādimicchābhinivesavatthuṃ saṅgaṇhāti. Yathā vā taṇhādiṭṭhiduccaritānaṃ vasena saṃkilesabhāgiyassa suttassa vibhāgo, evaṃ samathavipassanāsucaritavasena taṇhāvodānabhāgiyādisuttavibhāgoti dassetuṃ pāḷiyaṃ ‘‘taṇhā…pe… niddisitabba’’nti vuttaṃ.

    อิทํ เอวํ ปวตฺตนฺติ ยถา ทุจินฺติตาทิวเสน พาโล โหติ ปุคฺคโล, เอวํ ตสฺส ทุจินฺติตจินฺติตาทิภาวนาวเสน ปวตฺตํ อิทํ สํกิเลสภาคิยํ นาม สุตฺตนฺติ ปุเพฺพ สํกิเลสธมฺมวิภาเคน วุตฺตํ อิทานิ สามญฺญโต สงฺคเหตฺวา วทติฯ อิทํ วาสนาภาคิยํ สุตฺตนฺติ เอตฺถาปิ อิมินา นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Idaṃevaṃ pavattanti yathā ducintitādivasena bālo hoti puggalo, evaṃ tassa ducintitacintitādibhāvanāvasena pavattaṃ idaṃ saṃkilesabhāgiyaṃ nāma suttanti pubbe saṃkilesadhammavibhāgena vuttaṃ idāni sāmaññato saṅgahetvā vadati. Idaṃ vāsanābhāgiyaṃ suttanti etthāpi iminā nayena attho veditabbo.

    กิเลสฎฺฐาเนหีติ กิเลสานํ ปวตฺติฎฺฐาเนหิฯ กิเลสาวตฺถาหีติ กิเลสานํ ปวตฺติอาการวิเสเสหิฯ กามราคาทีหิ สํยุชฺชติ กามราคาทิเหตุ กมฺมวิปากาทินาฯ สติปิ เตสํ กาลนฺตรวุตฺติยํ สํยุโตฺต นาม โหติ, ยโต กามราคาทโย ‘‘สํโยชน’’นฺติ วุจฺจนฺติฯ อุปาทิยตีติ ทฬฺหํ คณฺหาติ ปวเตฺตติฯ เสสํ วุตฺตนยตฺตา, อุตฺตานตฺตา จ สํวณฺณิตํฯ

    Kilesaṭṭhānehīti kilesānaṃ pavattiṭṭhānehi. Kilesāvatthāhīti kilesānaṃ pavattiākāravisesehi. Kāmarāgādīhi saṃyujjati kāmarāgādihetu kammavipākādinā. Satipi tesaṃ kālantaravuttiyaṃ saṃyutto nāma hoti, yato kāmarāgādayo ‘‘saṃyojana’’nti vuccanti. Upādiyatīti daḷhaṃ gaṇhāti pavatteti. Sesaṃ vuttanayattā, uttānattā ca saṃvaṇṇitaṃ.

    ๑๑๒. อุทาหรณวเสนาติ นิทสฺสนวเสน, เอกเทสทสฺสนวเสนาติ อโตฺถฯ สกลสฺส หิ ปริยตฺติสาสนสฺส โสฬสหิ ปฎฺฐานภาเคหิ คหิตตฺตาฯ ยถา ตเทกเทสานํ โสฬสนฺนมฺปิ ปฎฺฐานภาคานํ คหณํ อุทาหรณมตฺตํ, เตสํ ปน โสฬสนฺนํ เอกเทสคฺคหณํ อุทาหรณนฺติ กิเมตฺถ วตฺตพฺพํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เอกเทสทสฺสนวเสนาติ อโตฺถ’’ติฯ กสฺมา ปเนตฺถ ปาฬิยํ ปฎฺฐานสฺส เอกเทโสว อุทาหโฎ, น อวเสโสติ? นยนิทสฺสนตฺถํฯ อิมินา นเยน อวเสโสปิ ปฎฺฐานภาโว เวทิตโพฺพติฯ

    112.Udāharaṇavasenāti nidassanavasena, ekadesadassanavasenāti attho. Sakalassa hi pariyattisāsanassa soḷasahi paṭṭhānabhāgehi gahitattā. Yathā tadekadesānaṃ soḷasannampi paṭṭhānabhāgānaṃ gahaṇaṃ udāharaṇamattaṃ, tesaṃ pana soḷasannaṃ ekadesaggahaṇaṃ udāharaṇanti kimettha vattabbaṃ. Tena vuttaṃ ‘‘ekadesadassanavasenāti attho’’ti. Kasmā panettha pāḷiyaṃ paṭṭhānassa ekadesova udāhaṭo, na avasesoti? Nayanidassanatthaṃ. Iminā nayena avasesopi paṭṭhānabhāvo veditabboti.

    ตตฺถ ‘‘อปฺปมฺปิ เจ สํหิต ภาสมาโน…เป.… ส ภาควา สามญฺญสฺส โหตี’’ติ (ธ. ป. ๒๐) อิทํ วาสนาภาคิยญฺจ อเสกฺขภาคิยญฺจฯ เอตฺถ หิ ‘‘อปฺปมฺปิ เจ สํหิต ภาสมาโน’’ติ อิทํ วาสนาภาคิยํ, ‘‘ส ภาควา สามญฺญสฺส โหตี’’ติ อิทํ อเสกฺขภาคิยํฯ

    Tattha ‘‘appampi ce saṃhita bhāsamāno…pe… sa bhāgavā sāmaññassa hotī’’ti (dha. pa. 20) idaṃ vāsanābhāgiyañca asekkhabhāgiyañca. Ettha hi ‘‘appampi ce saṃhita bhāsamāno’’ti idaṃ vāsanābhāgiyaṃ, ‘‘sa bhāgavā sāmaññassa hotī’’ti idaṃ asekkhabhāgiyaṃ.

    ตถา มฆเทวสุตฺตํฯ ตตฺถ หิ ‘‘ภูตปุพฺพํ, อานนฺท, อิมิสฺสาเยว มิถิลายํ มฆเทโว นาม ราชา อโหสิ ธมฺมิโก ธมฺมราชา ธเมฺม ฐิโต มหาธมฺมราชา, ธมฺมํ จรติ พฺราหฺมณคหปติเกสุ เนคเมสุ เจว ชนปเทสุ จ, อุโปสถญฺจ อุปวสติ จาตุทฺทสิํ, ปญฺจทสิํ, อฎฺฐมิญฺจ ปกฺขสฺสา’’ติอาทิ (ม. นิ. ๒.๓๐๘), อิทํ วาสนาภาคิยํฯ ‘‘อิทํ โข ปนานนฺท, เอตรหิ มยา กลฺยาณํ วตฺตํ นีหริตํ เอกนฺตนิพฺพิทาย วิราคาย นิโรธาย อุปสมาย อภิญฺญาย สโมฺพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๑๘๙) อิทํ อเสกฺขภาคิยํฯ ‘‘ปมาทํ อปฺปมาเทน, ยทา นุทติ ปณฺฑิโต’’ติ (ธ. ป. ๒๘) อิทํ นิเพฺพธภาคิยํฯ ‘‘ปญฺญาปาสาท…เป.… อเวกฺขตี’’ติ (ธ. ป. ๒๘) อิทํ อเสกฺขภาคิยนฺติ อิทํ นิเพฺพธภาคิยญฺจ อเสกฺขภาคิยญฺจฯ

    Tathā maghadevasuttaṃ. Tattha hi ‘‘bhūtapubbaṃ, ānanda, imissāyeva mithilāyaṃ maghadevo nāma rājā ahosi dhammiko dhammarājā dhamme ṭhito mahādhammarājā, dhammaṃ carati brāhmaṇagahapatikesu negamesu ceva janapadesu ca, uposathañca upavasati cātuddasiṃ, pañcadasiṃ, aṭṭhamiñca pakkhassā’’tiādi (ma. ni. 2.308), idaṃ vāsanābhāgiyaṃ. ‘‘Idaṃ kho panānanda, etarahi mayā kalyāṇaṃ vattaṃ nīharitaṃ ekantanibbidāya virāgāya nirodhāya upasamāya abhiññāya sambodhāya nibbānāya saṃvattatī’’ti (ma. ni. 3.189) idaṃ asekkhabhāgiyaṃ. ‘‘Pamādaṃ appamādena, yadā nudati paṇḍito’’ti (dha. pa. 28) idaṃ nibbedhabhāgiyaṃ. ‘‘Paññāpāsāda…pe… avekkhatī’’ti (dha. pa. 28) idaṃ asekkhabhāgiyanti idaṃ nibbedhabhāgiyañca asekkhabhāgiyañca.

    ตถา ‘‘ตีณิมานิ, ภิกฺขเว, อินฺทฺริยานี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๔๙๓) สุตฺตํฯ ตตฺถ ‘‘ตีณิมานิ, ภิกฺขเว, อินฺทฺริยานิฯ กตมานิ ตีณีติ? อนญฺญาตญฺญสฺสามีตินฺทฺริยํ อญฺญินฺทฺริย’’นฺติ อิทํ นิเพฺพธภาคิยํ, ‘‘อญฺญาตาวินฺทฺริย’’นฺติ (สํ. นิ. ๕.๔๙๓) อิทํ อเสกฺขภาคิยํฯ

    Tathā ‘‘tīṇimāni, bhikkhave, indriyānī’’ti (saṃ. ni. 5.493) suttaṃ. Tattha ‘‘tīṇimāni, bhikkhave, indriyāni. Katamāni tīṇīti? Anaññātaññassāmītindriyaṃ aññindriya’’nti idaṃ nibbedhabhāgiyaṃ, ‘‘aññātāvindriya’’nti (saṃ. ni. 5.493) idaṃ asekkhabhāgiyaṃ.

    รฎฺฐปาลสุตฺตํ (ม. นิ. ๒.๒๙๓ อาทโย) สํกิเลสภาคิยญฺจ วาสนาภาคิยญฺจ อเสกฺขภาคิยญฺจฯ ตตฺถ หิ ‘‘อูโน โลโก อติโตฺต ตณฺหาทาโส’’ติอาทินา (ม. นิ. ๒.๓๐๖) สํกิเลโส วิภโตฺต, ‘‘เอโก วูปกโฎฺฐ’’ติอาทินา (ม. นิ. ๒.๒๙๙) อเสกฺขธมฺมา, อิตเรน วาสนาธมฺมาติฯ

    Raṭṭhapālasuttaṃ (ma. ni. 2.293 ādayo) saṃkilesabhāgiyañca vāsanābhāgiyañca asekkhabhāgiyañca. Tattha hi ‘‘ūno loko atitto taṇhādāso’’tiādinā (ma. ni. 2.306) saṃkileso vibhatto, ‘‘eko vūpakaṭṭho’’tiādinā (ma. ni. 2.299) asekkhadhammā, itarena vāsanādhammāti.

    ‘‘ธเมฺม จ เย อริยปเวทิเต รตา, อนุตฺตโร เต วจสา มนสา กมฺมุนา จ;

    ‘‘Dhamme ca ye ariyapavedite ratā, anuttaro te vacasā manasā kammunā ca;

    เต สนฺติโสรจฺจสมาธิสณฺฐิตา, สุตสฺส ปญฺญาย จ สารมชฺฌคู’’ติฯ (สุ. นิ. ๓๓๒);

    Te santisoraccasamādhisaṇṭhitā, sutassa paññāya ca sāramajjhagū’’ti. (su. ni. 332);

    อิทํ วาสนาภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ อเสกฺขภาคิยญฺจฯ เอตฺถ หิ ‘‘ธเมฺม จ เย อริยปเวทิเต รตา’’ติ อยํ วาสนา, ‘‘อนุตฺตรา…เป.… สณฺฐิตา’’ติ อยํ นิเพฺพโธ, ‘‘สุตสฺส ปญฺญาย จ สารมชฺฌคู’’ติ อเสกฺขธมฺมาฯ

    Idaṃ vāsanābhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca asekkhabhāgiyañca. Ettha hi ‘‘dhamme ca ye ariyapavedite ratā’’ti ayaṃ vāsanā, ‘‘anuttarā…pe… saṇṭhitā’’ti ayaṃ nibbedho, ‘‘sutassa paññāya ca sāramajjhagū’’ti asekkhadhammā.

    ตถา ‘‘สโทฺธ สุตวา นิยามทสฺสี’’ติ คาถา (สุ. นิ. ๓๗๓)ฯ ตตฺถ หิ ‘‘สโทฺธ สุตวา’’ติ วาสนา, ‘‘นิยามทสฺสี วคฺคคเตสุ น วคฺคสาริ ธีโร, โลภํ โทสํ วิเนยฺย ปฎิฆ’’นฺติ นิเพฺพโธ, ‘‘สมฺมา โส โลเก ปริพฺพเชยฺยา’’ติ อเสกฺขธมฺมาฯ

    Tathā ‘‘saddho sutavā niyāmadassī’’ti gāthā (su. ni. 373). Tattha hi ‘‘saddho sutavā’’ti vāsanā, ‘‘niyāmadassī vaggagatesu na vaggasāri dhīro, lobhaṃ dosaṃ vineyya paṭigha’’nti nibbedho, ‘‘sammā so loke paribbajeyyā’’ti asekkhadhammā.

    สพฺพาสวสํวโร ปริสฺสยาทีนํ วเสน สพฺพภาคิยํ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ หิ สํกิเลสธมฺมา, โลกิยสุจริตธมฺมา, เสกฺขธมฺมา, อเสกฺขธมฺมา จ วิภตฺตาฯ อสพฺพภาคิยํ ปน ‘‘ปสฺสํ ปสฺสตี’’ติอาทิกํ (ม. นิ. ๑.๒๐๓) อุทกาทิอนุวาทนวจนํ เวทิตพฺพํฯ เอวเมตสฺมิํ โสฬสวิเธ สาสนปฎฺฐาเน เอเต ตณฺหาทิวเสน ตโย สํกิเลสภาคา, โวทานาทิวเสน ตโย วาสนาภาคา, เสกฺขานํ สีลกฺขนฺธาทีนํ วเสน ตโย นิเพฺพธภาคา, อเสกฺขานํ สีลกฺขนฺธาทีนํ เอว วเสน ตโย อเสกฺขภาคา, เตสํ วเสน มูลปฎฺฐานานิ เอว ทฺวาทส โหนฺติฯ ตานิ ปน วิตฺถารนเยน วิภชิยมานานิ ฉนฺนวุตาธิกานิ จตฺตาริ สหสฺสานิ โหนฺติฯ ยถาทสฺสนํ ปเนตานิ อุทฺธริตพฺพานิฯ ตานิ ปน ยสฺมา สงฺคหโต กามตณฺหาทิวเสน ตโย ตณฺหาสํกิเลสภาคา, สสฺสตุเจฺฉทวเสน เทฺว ทิฎฺฐิสํกิเลสภาคา, กายทุจฺจริตาทิวเสน ตโย ทุจฺจริตสํกิเลสภาคาติ อฎฺฐ สํกิเลสภาคาฯ ธมฺมามิสาภยทานวเสน ติวิธํ ทานมยํ ปุญฺญกิริยวตฺถุ, กายสุจริตาทิวเสน ติวิธํ สีลมยํ ปุญฺญกิริยวตฺถุ, สมถวิปสฺสนาวเสน ทุวิธํ ภาวนามยํ ปุญฺญกิริยวตฺถูติ อเฎฺฐว วาสนาภาคาฯ

    Sabbāsavasaṃvaro parissayādīnaṃ vasena sabbabhāgiyaṃ veditabbaṃ. Tattha hi saṃkilesadhammā, lokiyasucaritadhammā, sekkhadhammā, asekkhadhammā ca vibhattā. Asabbabhāgiyaṃ pana ‘‘passaṃ passatī’’tiādikaṃ (ma. ni. 1.203) udakādianuvādanavacanaṃ veditabbaṃ. Evametasmiṃ soḷasavidhe sāsanapaṭṭhāne ete taṇhādivasena tayo saṃkilesabhāgā, vodānādivasena tayo vāsanābhāgā, sekkhānaṃ sīlakkhandhādīnaṃ vasena tayo nibbedhabhāgā, asekkhānaṃ sīlakkhandhādīnaṃ eva vasena tayo asekkhabhāgā, tesaṃ vasena mūlapaṭṭhānāni eva dvādasa honti. Tāni pana vitthāranayena vibhajiyamānāni channavutādhikāni cattāri sahassāni honti. Yathādassanaṃ panetāni uddharitabbāni. Tāni pana yasmā saṅgahato kāmataṇhādivasena tayo taṇhāsaṃkilesabhāgā, sassatucchedavasena dve diṭṭhisaṃkilesabhāgā, kāyaduccaritādivasena tayo duccaritasaṃkilesabhāgāti aṭṭha saṃkilesabhāgā. Dhammāmisābhayadānavasena tividhaṃ dānamayaṃ puññakiriyavatthu, kāyasucaritādivasena tividhaṃ sīlamayaṃ puññakiriyavatthu, samathavipassanāvasena duvidhaṃ bhāvanāmayaṃ puññakiriyavatthūti aṭṭheva vāsanābhāgā.

    สทฺธานุสารี สทฺธาวิมุโตฺต ธมฺมานุสารี ทิฎฺฐิปฺปโตฺต กายสกฺขีติ (ปุ. ป. มาติกา ๗.๓๒-๓๖; ปุ. ป. ๒๖-๓๐) ปญฺจนฺนํ เสกฺขานํ ปเจฺจกํ ตโย สีลาทิกฺขนฺธาติ ปนฺนรส นิเพฺพธภาคา, สุญฺญตานิมิตฺตาปณิหิตเภทา ปญฺญาวิมุตฺตานํ ตโย อคฺคผลธมฺมา, เตสุ ปเจฺจกํ ตโย ตโย สีลาทิกฺขนฺธา, ตถา อุภโตภาควิมุตฺตานนฺติ อฎฺฐารส, สิกฺขิตพฺพาภาวสามเญฺญน อสงฺขตธาตุํ ปกฺขิปิตฺวา เอกูนวีสติ อเสกฺขภาคา, อิติ ปุริมานิ เอกติํส, อิมานิ เอกูนวีสตีติ สมปญฺญาส สํกิเลสภาคิยาทิธมฺมา โหนฺติฯ ตสฺมา อิเมสํ สมปญฺญาสาย สํกิเลสภาคิยาทิธมฺมานํ วเสน สมปญฺญาส สุตฺตานิ โหนฺติฯ

    Saddhānusārī saddhāvimutto dhammānusārī diṭṭhippatto kāyasakkhīti (pu. pa. mātikā 7.32-36; pu. pa. 26-30) pañcannaṃ sekkhānaṃ paccekaṃ tayo sīlādikkhandhāti pannarasa nibbedhabhāgā, suññatānimittāpaṇihitabhedā paññāvimuttānaṃ tayo aggaphaladhammā, tesu paccekaṃ tayo tayo sīlādikkhandhā, tathā ubhatobhāgavimuttānanti aṭṭhārasa, sikkhitabbābhāvasāmaññena asaṅkhatadhātuṃ pakkhipitvā ekūnavīsati asekkhabhāgā, iti purimāni ekatiṃsa, imāni ekūnavīsatīti samapaññāsa saṃkilesabhāgiyādidhammā honti. Tasmā imesaṃ samapaññāsāya saṃkilesabhāgiyādidhammānaṃ vasena samapaññāsa suttāni honti.

    ยสฺมา จ เต ปญฺญาวิมุตฺตา อุภโตภาควิมุตฺตวิภาคํ อกตฺวา อสงฺขตาย ธาตุยา อคฺคหเณน นิปฺปริยาเยน อเสกฺขภาคาภาวโต นเวว อเสกฺขภาคาติ สมจตฺตาลีส โหนฺติ, ตสฺมา เปฎเก ‘‘จตฺตารีสาย อากาเรหิ ปริเยสิตพฺพํ, ปญฺญาสาย อากาเรหิ สาสนปฎฺฐานํ นิทฺทิฎฺฐ’’นฺติ (เปฎโก. ๒๑) จ วุตฺตํฯ สงฺคหโต เอว ปน ปุเพฺพ วุตฺตวิตฺถารนเยน โสฬส โหนฺติ, ปุน ติวิธสํกิเลสภาคิยาทิวเสน ทฺวาทส โหนฺติ, ปุน ตณฺหาทิฎฺฐิทุจฺจริตสํกิเลสตณฺหาทิฎฺฐิทุจฺจริตโวทานภาเวน ฉ โหนฺติ, ปุน สํกิเลสภาคิยํ วาสนาภาคิยํ ทสฺสนภาคิยํ วาสนาภาคิยํ อเสกฺขภาคิยนฺติ ปญฺจ โหนฺติ, ปุน มูลปฎฺฐานวเสน จตฺตาริ โหนฺติ, ปุถุชฺชนภาคิยเสกฺขภาคิยอเสกฺขภาคิยภาเวน ตีณิ โหนฺติ, ปุน สํกิเลสภาคิยโวทานภาคิยภาเวน เทฺว เอว โหนฺติฯ ปฎฺฐานภาเวน ปน เอกวิธเมว, อิติ ปฎฺฐานภาเวน เอกวิธมฺปิ สํกิเลสโวทานภาคิยภาเวน ทุวิธนฺติ วิภาคโต ยาว ฉนฺนวุตาธิกํ จตุสหสฺสปฺปเภทํ โหติ, ตาว เนตพฺพํฯ เอวเมตํ ปฎฺฐานํ สงฺคหโต, วิภาคโต จ เวทิตพฺพํฯ

    Yasmā ca te paññāvimuttā ubhatobhāgavimuttavibhāgaṃ akatvā asaṅkhatāya dhātuyā aggahaṇena nippariyāyena asekkhabhāgābhāvato naveva asekkhabhāgāti samacattālīsa honti, tasmā peṭake ‘‘cattārīsāya ākārehi pariyesitabbaṃ, paññāsāya ākārehi sāsanapaṭṭhānaṃ niddiṭṭha’’nti (peṭako. 21) ca vuttaṃ. Saṅgahato eva pana pubbe vuttavitthāranayena soḷasa honti, puna tividhasaṃkilesabhāgiyādivasena dvādasa honti, puna taṇhādiṭṭhiduccaritasaṃkilesataṇhādiṭṭhiduccaritavodānabhāvena cha honti, puna saṃkilesabhāgiyaṃ vāsanābhāgiyaṃ dassanabhāgiyaṃ vāsanābhāgiyaṃ asekkhabhāgiyanti pañca honti, puna mūlapaṭṭhānavasena cattāri honti, puthujjanabhāgiyasekkhabhāgiyaasekkhabhāgiyabhāvena tīṇi honti, puna saṃkilesabhāgiyavodānabhāgiyabhāvena dve eva honti. Paṭṭhānabhāvena pana ekavidhameva, iti paṭṭhānabhāvena ekavidhampi saṃkilesavodānabhāgiyabhāvena duvidhanti vibhāgato yāva channavutādhikaṃ catusahassappabhedaṃ hoti, tāva netabbaṃ. Evametaṃ paṭṭhānaṃ saṅgahato, vibhāgato ca veditabbaṃ.

    อิมสฺสาปิ ปฎฺฐานวิภาคสฺส, น ปุริมเสฺสวาติ อธิปฺปาโยฯ โลกิกํ อสฺสตฺถีติ, โลกิกสหจรณโต วา โลกิยํ, สุตฺตํ ปเทเสนาติ เอกเทเสนฯ สพฺพปเทสูติ ตํตํติกานํ ตติยปเทสุฯ พุทฺธาทีนนฺติ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธพุทฺธสาวกานํฯ ธโมฺม ปเนตฺถ พุทฺธาทิคฺคหเณน เวทิตโพฺพ, อาทิสเทฺทน วาฯ

    Imassāpi paṭṭhānavibhāgassa, na purimassevāti adhippāyo. Lokikaṃ assatthīti, lokikasahacaraṇato vā lokiyaṃ, suttaṃ padesenāti ekadesena. Sabbapadesūti taṃtaṃtikānaṃ tatiyapadesu. Buddhādīnanti buddhapaccekabuddhabuddhasāvakānaṃ. Dhammo panettha buddhādiggahaṇena veditabbo, ādisaddena vā.

    ปริณมตีติ ปริปจฺจติฯ ธรนฺตีติ ปพนฺธวเสน ปวตฺตนฺติฯ นฺติ ปาปกมฺมํฯ เตติ กุสลาภินิพฺพตฺตกฺขนฺธาฯ รกฺขนฺติ วิปากทานโต วิปจฺจิตุํ โอกาสํ น เทนฺตีติ อโตฺถฯ อยญฺจ อโตฺถ อุปปชฺชเวทนีเยสุ ยุชฺชติ, อิตรสฺมิมฺปิ ยถารหํ ลพฺภเตวฯ เตนาห ‘‘ทุติเย วา ตติเย วา อตฺตภาเว’’ติฯ

    Pariṇamatīti paripaccati. Dharantīti pabandhavasena pavattanti. Nti pāpakammaṃ. Teti kusalābhinibbattakkhandhā. Rakkhanti vipākadānato vipaccituṃ okāsaṃ na dentīti attho. Ayañca attho upapajjavedanīyesu yujjati, itarasmimpi yathārahaṃ labbhateva. Tenāha ‘‘dutiye vā tatiye vā attabhāve’’ti.

    ๑๑๓. อตฺตโน อนวชฺชสุขาวหํ ปฎิปตฺติํ ปฎิปชฺชโนฺต ปรมตฺถโต อตฺตกาโม นามาติ อาห ‘‘อตฺตโน สุขกาโม’’ติฯ สุขานุพนฺธญฺหิ สุขํ กาเมโนฺต สุขเมว กาเมตีติ จ สุขกาโมติฯ

    113. Attano anavajjasukhāvahaṃ paṭipattiṃ paṭipajjanto paramatthato attakāmo nāmāti āha ‘‘attano sukhakāmo’’ti. Sukhānubandhañhi sukhaṃ kāmento sukhameva kāmetīti ca sukhakāmoti.

    วิตฺถตเฎฺฐนาติ สุวิปฺผารทิฎฺฐีนํ ปวตฺตนฎฺฐานตาสงฺขาเตน วิตฺถารเฎฺฐนฯ

    Vitthataṭṭhenāti suvipphāradiṭṭhīnaṃ pavattanaṭṭhānatāsaṅkhātena vitthāraṭṭhena.

    ๑๑๔. ทิเฎฺฐ ทุกฺขาทิธเมฺมติ ภาเวนภาวลกฺขเณ ภุมฺมํ, ทุกฺขาทิธเมฺม ทิเฎฺฐ ญาเตติ อโตฺถฯ

    114.Diṭṭhe dukkhādidhammeti bhāvenabhāvalakkhaṇe bhummaṃ, dukkhādidhamme diṭṭhe ñāteti attho.

    ‘‘อุทฺธ’’นฺติอาทิ กาลเทสานํ อนวเสสปริยาทานนฺติ อาห ‘‘อุทฺธนฺติ อนาคตํ, อุปริ จา’’ติอาทิฯ คมเนนาติ จุตูปปาตคมเนนฯ

    ‘‘Uddha’’ntiādi kāladesānaṃ anavasesapariyādānanti āha ‘‘uddhanti anāgataṃ, upari cā’’tiādi. Gamanenāti cutūpapātagamanena.

    ๑๑๕. นครทฺวารถิรกรณตฺถนฺติ นครสฺส ทฺวารพาหถิรกรณตฺถํฯ คมฺภีรเนมตายาติ ‘‘เนมํ’’วุจฺจติ นิขาตถมฺภาทีนํ ปถวิํ อนุปวิสิตฺวา ฐิตปฺปเทโส , คมฺภีรํ เนมํ เอตสฺสาติ คมฺภีรเนโม, ตสฺส ภาโว คมฺภีรเนมตา, ตายฯ กมฺปนํ ยถาฐิตสฺส อิโต จิโต จ สโญฺจปนํ, จาลนํ ฐิตฎฺฐานโต จาวนํฯ อโชฺฌคาเหตฺวาติ อวิปรีตสภาวาภิสมยวเสน อนุปวิสิตฺวา, อนุปวิโฎฺฐ วิย หุตฺวาติ อโตฺถฯ

    115.Nagaradvārathirakaraṇatthanti nagarassa dvārabāhathirakaraṇatthaṃ. Gambhīranematāyāti ‘‘nemaṃ’’vuccati nikhātathambhādīnaṃ pathaviṃ anupavisitvā ṭhitappadeso , gambhīraṃ nemaṃ etassāti gambhīranemo, tassa bhāvo gambhīranematā, tāya. Kampanaṃ yathāṭhitassa ito cito ca sañcopanaṃ, cālanaṃ ṭhitaṭṭhānato cāvanaṃ. Ajjhogāhetvāti aviparītasabhāvābhisamayavasena anupavisitvā, anupaviṭṭho viya hutvāti attho.

    สํโยชนานํ ปชหนวเสนาติ คาถาย วจนเสสํ อาเนตฺวา ทเสฺสติฯ อถ วา ปหาตพฺพสฺส ปหาเนน วินา น ภาวนาสิทฺธีติ อตฺถสิทฺธํ ปหาตพฺพปหานํ อชฺฌตฺตํ, พหิทฺธาติ ปททฺวเยน โยเชตฺวา ทเสฺสตุํ อชฺฌตฺตํ พหิทฺธาติ โอรมฺภาคิยอุทฺธมฺภาคิยสํโยชนานํ วิสํโยคคหิโตติ อิมมตฺถํ ปาฬิยา สมเตฺถตุํ ‘‘เตนาห สพฺพโลเก’’ติ วุตฺตํฯ

    Saṃyojanānaṃ pajahanavasenāti gāthāya vacanasesaṃ ānetvā dasseti. Atha vā pahātabbassa pahānena vinā na bhāvanāsiddhīti atthasiddhaṃ pahātabbapahānaṃ ajjhattaṃ, bahiddhāti padadvayena yojetvā dassetuṃ ajjhattaṃ bahiddhāti orambhāgiyauddhambhāgiyasaṃyojanānaṃ visaṃyogagahitoti imamatthaṃ pāḷiyā samatthetuṃ ‘‘tenāha sabbaloke’’ti vuttaṃ.

    อโลภสีเสนาติ อโลเภน ปุพฺพงฺคเมน, ยโต โยคาวจโร ‘‘เนกฺขมฺมจฺฉโนฺท’’ติ วุจฺจติฯ อสุภสญฺญา ราคปฺปฎิปกฺขตาย ‘‘วิเสสโต อโลภปฺปธานา’’ติ วุตฺตา, ทสาสุภวเสน วาฯ อธิคตชฺฌานาทีนีติ อาทิสเทฺทน วิปสฺสนาทีนิ สงฺคณฺหาติฯ วิหิํสารติราคานํ พฺยาปาทเหตุกโต จตฺตาโรปิ พฺรหฺมวิหารา อพฺยาปาทปธานาติ อาห ‘‘จตุ…เป.… อพฺยาปาโท ธมฺมปท’’นฺติฯ อธิคตานิ ฌานาทีนีติ โยชนาฯ ทสานุสฺสติ…เป.… อธิคตานิ สมฺมาสติ ธมฺมปทํ สติสีเสน เตสํ อธิคนฺตพฺพตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ อานาปานภาวนายํ สมาธิปิ ปธาโน, น สติ เอวาติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘ทสกสิณ…เป.… สมฺมาสมาธิ ธมฺมปท’’นฺติ วุตฺตํฯ จตุธาตุววตฺถานวเสน อธิคตานมฺปิ เอเตฺถว สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ

    Alobhasīsenāti alobhena pubbaṅgamena, yato yogāvacaro ‘‘nekkhammacchando’’ti vuccati. Asubhasaññā rāgappaṭipakkhatāya ‘‘visesato alobhappadhānā’’ti vuttā, dasāsubhavasena vā. Adhigatajjhānādīnīti ādisaddena vipassanādīni saṅgaṇhāti. Vihiṃsāratirāgānaṃ byāpādahetukato cattāropi brahmavihārā abyāpādapadhānāti āha ‘‘catu…pe… abyāpādo dhammapada’’nti. Adhigatāni jhānādīnīti yojanā. Dasānussati…pe… adhigatāni sammāsati dhammapadaṃ satisīsena tesaṃ adhigantabbattāti adhippāyo. Ānāpānabhāvanāyaṃ samādhipi padhāno, na sati evāti dassanatthaṃ ‘‘dasakasiṇa…pe… sammāsamādhi dhammapada’’nti vuttaṃ. Catudhātuvavatthānavasena adhigatānampi ettheva saṅgaho daṭṭhabbo.

    ๑๑๖. อุปลกฺขณการณานีติ สญฺชานนนิมิตฺตานิฯ

    116.Upalakkhaṇakāraṇānīti sañjānananimittāni.

    ปาปเมว ปาปิโยติ อาห ‘‘ปาปํ โหตี’’ติ, ‘‘ปาปิโย’’ติ จ ลิงฺควิปลฺลาสวเสน วุตฺตํฯ เอกวจเน พหุวจนนฺติ เอกวจเน วตฺตเพฺพ พหุวจนํ วุตฺตํฯ

    Pāpameva pāpiyoti āha ‘‘pāpaṃ hotī’’ti, ‘‘pāpiyo’’ti ca liṅgavipallāsavasena vuttaṃ. Ekavacane bahuvacananti ekavacane vattabbe bahuvacanaṃ vuttaṃ.

    ๑๑๗. โอลียนตณฺหาภินิเวสวเสนาติ ภวตณฺหาภวทิฎฺฐิวเสนฯ ตา หิ ภเวสุ สเตฺต อลฺลียาเปนฺติฯ อติธาวนาภินิเวสวเสนาติ อุเจฺฉททิฎฺฐิวเสนฯ สา หิ อวฎฺฎุปเจฺฉทเมว วฎฺฎุปเจฺฉทํ กตฺวา อภินิวิสนโต อติธาวนาภินิเวโส นามฯ โอลียนฺตีติ สมฺมาปฎิปตฺติโต สโงฺกจํ อาปชฺชนฺติฯ อภิธาวนฺตีติ สมฺมาปฎิปตฺติํ อติกฺกมนฺติฯ

    117.Olīyanataṇhābhinivesavasenāti bhavataṇhābhavadiṭṭhivasena. Tā hi bhavesu satte allīyāpenti. Atidhāvanābhinivesavasenāti ucchedadiṭṭhivasena. Sā hi avaṭṭupacchedameva vaṭṭupacchedaṃ katvā abhinivisanato atidhāvanābhiniveso nāma. Olīyantīti sammāpaṭipattito saṅkocaṃ āpajjanti. Abhidhāvantīti sammāpaṭipattiṃ atikkamanti.

    เตสญฺจาติ เตสํ อุภินฺนํ อภินิเวสานํ, ตทเญฺญสญฺจ สพฺพมญฺญิตานํฯ

    Tesañcāti tesaṃ ubhinnaṃ abhinivesānaṃ, tadaññesañca sabbamaññitānaṃ.

    ๑๑๘. อิทํ อิฎฺฐวิปากํ อนิฎฺฐวิปากนฺติ อิทํ อิฎฺฐวิปากสงฺขาตํ อนิฎฺฐวิปากสงฺขาตํ ผลํฯ

    118.Idaṃ iṭṭhavipākaṃ aniṭṭhavipākanti idaṃ iṭṭhavipākasaṅkhātaṃ aniṭṭhavipākasaṅkhātaṃ phalaṃ.

    ‘‘อกงฺขโต น ชาเนยฺยุ’’นฺติ เอเตน ‘‘อากงฺขโต’’ติ อิมินา ปเทน สทฺธิํ สมฺพนฺธทสฺสนมุเขน ‘‘น ชญฺญา’’ติ ปทสฺส อตฺถํ ทเสฺสติฯ

    ‘‘Akaṅkhato na jāneyyu’’nti etena ‘‘ākaṅkhato’’ti iminā padena saddhiṃ sambandhadassanamukhena ‘‘na jaññā’’ti padassa atthaṃ dasseti.

    น อุปลพฺภตีติ นตฺถีติ อโตฺถฯ

    Na upalabbhatīti natthīti attho.

    ๑๒๐. ตานีติ กมฺมกมฺมนิมิตฺตคตินิมิตฺตานิฯ ปตฺถรณากาโรเยว เหส, ยทิทํ ฉายานํ โวลมฺพนํฯ เอวํ โหตีติ ‘‘อกตํ วต เม กลฺยาณ’’นฺติอาทิปฺปกาเรน วิปฺปฎิสาโร โหติฯ

    120.Tānīti kammakammanimittagatinimittāni. Pattharaṇākāroyeva hesa, yadidaṃ chāyānaṃ volambanaṃ. Evaṃ hotīti ‘‘akataṃ vata me kalyāṇa’’ntiādippakārena vippaṭisāro hoti.

    ๑๒๒. เอสเกหีติ คเวสเกหิ สปรสนฺตาเน สมฺปาทเกหิฯ ทุกฺขุทฺรยนฺติ ทุกฺขผลํฯ ตีหิ การเณหีติ กายวาจาจิเตฺตหิฯ ตานิ หิ ตํตํสํวรานํ ทฺวารภาเวน การณานีติ วุตฺตานิฯ ตีหิ ฐาเนหีติ วา ตีหิ อุปฺปตฺติฎฺฐาเนหิฯ ปิหิตนฺติ ปิธายกํฯ

    122.Esakehīti gavesakehi saparasantāne sampādakehi. Dukkhudrayanti dukkhaphalaṃ. Tīhi kāraṇehīti kāyavācācittehi. Tāni hi taṃtaṃsaṃvarānaṃ dvārabhāvena kāraṇānīti vuttāni. Tīhi ṭhānehīti vā tīhi uppattiṭṭhānehi. Pihitanti pidhāyakaṃ.

    ‘‘อุฎฺฐานฎฺฐานสงฺขาต’’นฺติ อิทํ ปาสาณภาวสามญฺญํ คเหตฺวา วุตฺตํฯ

    ‘‘Uṭṭhānaṭṭhānasaṅkhāta’’nti idaṃ pāsāṇabhāvasāmaññaṃ gahetvā vuttaṃ.

    ๑๒๓. รชมิสฺสกนฺติ ปุปฺผรชมิสฺสกํฯ ตสฺสาติ ตสฺส เสกฺขาเสกฺขมุนิโนฯ มหิจฺฉาทีนํ วิย คาเม จรณปฺปจฺจยา คามวาสีนํ สทฺธาหานิ วา โภคหานิ วา น โหติ, อถ โข อุปรูปริ วุทฺธิเยว โหตีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ปากติกเมว โหตี’’ติ อาหฯ อชฺฌตฺติกกมฺมฎฺฐานนฺติ จตุสจฺจกมฺมฎฺฐานํฯ

    123.Rajamissakanti puppharajamissakaṃ. Tassāti tassa sekkhāsekkhamunino. Mahicchādīnaṃ viya gāme caraṇappaccayā gāmavāsīnaṃ saddhāhāni vā bhogahāni vā na hoti, atha kho uparūpari vuddhiyeva hotīti dassento ‘‘pākatikameva hotī’’ti āha. Ajjhattikakammaṭṭhānanti catusaccakammaṭṭhānaṃ.

    เตนาติ กุสเลน กายวจีกเมฺมนฯ ถิรภาโว ถามํ นามาติ ตสฺส อตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ถามวาติ ฐิติมา’’ติ อาหฯ

    Tenāti kusalena kāyavacīkammena. Thirabhāvo thāmaṃ nāmāti tassa atthaṃ dassento ‘‘thāmavāti ṭhitimā’’ti āha.

    อตฺตสํนิสฺสยํ เปมํ อตฺตาติ คเหตฺวา ‘‘อตฺตสม’’นฺติ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘อตฺตเปเมน สมํ เปมํ นตฺถี’’ติฯ ภควโต วิปสฺสนาญาโณภาสปฺปวตฺติํ สนฺธายาห ‘‘ปญฺญา ปน…เป.… สโกฺกตี’’ติฯ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ, ปน อภิญฺญาญาณานิ จ อนนฺตาปริมาณํ โลกธาตุํ โอภาเสนฺติฯ

    Attasaṃnissayaṃ pemaṃ attāti gahetvā ‘‘attasama’’nti vuttanti āha ‘‘attapemena samaṃ pemaṃ natthī’’ti. Bhagavato vipassanāñāṇobhāsappavattiṃ sandhāyāha ‘‘paññā pana…pe… sakkotī’’ti. Sabbaññutaññāṇaṃ, pana abhiññāñāṇāni ca anantāparimāṇaṃ lokadhātuṃ obhāsenti.

    ๑๒๔. กิสฺส ภีตาติ เกน การเณน ภีตาฯ

    124.Kissa bhītāti kena kāraṇena bhītā.

    ฐเปตฺวาติ ปวเตฺตตฺวาฯ วจนีโย ยาจกานนฺติ โยชนา, ยาจิตพฺพยุโตฺตติ อโตฺถฯ ยญฺญอุปกฺขโรติ ยโญฺญปกรณํฯ ‘‘เอเตสุ ธเมฺมสุ ฐิโต จตูสู’’ติ วุตฺตํ จตุกฺกํ ววตฺถเปตุํ ‘‘สโทฺธติ เอกํ องฺค’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ

    Ṭhapetvāti pavattetvā. Vacanīyo yācakānanti yojanā, yācitabbayuttoti attho. Yaññaupakkharoti yaññopakaraṇaṃ. ‘‘Etesu dhammesu ṭhito catūsū’’ti vuttaṃ catukkaṃ vavatthapetuṃ ‘‘saddhoti ekaṃ aṅga’’ntiādi vuttaṃ.

    คาถายํ วุตฺตธเมฺม เทฺว เทฺว เอกํ กตฺวา องฺคกรณํ ทุกนโย

    Gāthāyaṃ vuttadhamme dve dve ekaṃ katvā aṅgakaraṇaṃ dukanayo.

    ชาติธมฺมนฺติ ปวตฺติธมฺมํ สนฺธาย วทติฯ

    Jātidhammanti pavattidhammaṃ sandhāya vadati.

    ๑๒๕. สเจฺจกเทสโต สจฺจสมุทาโย อนวเสสปริยาทานโต วิสิโฎฺฐติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ปรมตฺถสจฺจํ วา โหตู’’ติ อาหฯ จตุโร ปทาติ จตฺตาริ ปทานิ, ลิงฺควิปลฺลาเสน วุตฺตํ, จตฺตาโร ธมฺมโกฎฺฐาสาติ อโตฺถฯ เกวลํ สตฺตวิภาคทสฺสนตฺถเมว จตุปทคฺคหณํ, น อธิคตธมฺมานุรูปตายฯ

    125. Saccekadesato saccasamudāyo anavasesapariyādānato visiṭṭhoti dassento ‘‘paramatthasaccaṃ vā hotū’’ti āha. Caturo padāti cattāri padāni, liṅgavipallāsena vuttaṃ, cattāro dhammakoṭṭhāsāti attho. Kevalaṃ sattavibhāgadassanatthameva catupadaggahaṇaṃ, na adhigatadhammānurūpatāya.

    นิมฺมทาติ น มทาฯ

    Nimmadāti na madā.

    ‘‘สจฺจวาที ชิโน โรโม’’ติปิ ปาโฐฯ ตตฺถ โรโมติ ทิฎฺฐิราครตฺตานํ ติตฺถิยานํ, ติตฺถกรานญฺจ อธมฺมวาทีนํ ราควิปรีตธมฺมเทสนโต ภยชนโก, อธมฺมวาทีนํ วา ตตฺถ อาทีนวทสฺสเนน ภายิตโพฺพ, อปฺปหีนาสํวรานํ วา ทุรุปสงฺกมนโต ทุราสโทติ อโตฺถฯ

    ‘‘Saccavādī jino romo’’tipi pāṭho. Tattha romoti diṭṭhirāgarattānaṃ titthiyānaṃ, titthakarānañca adhammavādīnaṃ rāgaviparītadhammadesanato bhayajanako, adhammavādīnaṃ vā tattha ādīnavadassanena bhāyitabbo, appahīnāsaṃvarānaṃ vā durupasaṅkamanato durāsadoti attho.

    สโจฺจ จ โส ธโมฺม จาติ สจฺจธโมฺมฯ เตนาห ‘‘เอกนฺตนิสฺสรณภาเวนา’’ติอาทิฯ

    Sacco ca so dhammo cāti saccadhammo. Tenāha ‘‘ekantanissaraṇabhāvenā’’tiādi.

    เอกายนภาวนฺติ เอกมคฺคภาวํ, อญฺญมคฺคภาวนฺติ อโตฺถฯ

    Ekāyanabhāvanti ekamaggabhāvaṃ, aññamaggabhāvanti attho.

    ทสฺสนภาคิยํ ภาวนาภาคิยนฺติ นิเพฺพธภาคิยเมว ทฺวิธา วิภชิตฺวา วุตฺตนฺติ อาห ‘‘สํกิเลสภาคิยาทีหิ จตูหิ ปเทหี’’ติฯ เสสตฺติกานนฺติ สตฺตาธิฎฺฐานตฺติกาทีนํ อฎฺฐนฺนํ ติกานํฯ เสสปทานญฺจาติ สํกิเลสภาคิยญฺจ วาสนาภาคิยญฺจาติอาทิมิสฺสกปทานญฺจฯ -สเทฺทน สํกิเลสภาคิยาทิปทานิ จ สงฺคณฺหาติฯ โลกิยตฺติกเสฺสว หิ ‘‘เสสปทานี’’ติ วุเตฺตหิ มิสฺสกปเทหิ เอวํ สํสนฺทเน นยทสฺสนํ, อิตเรสํ ปน ติกานํ สํกิเลสภาคิยาทิปเทหิ เจว เสสปเทหิ จ สํสนฺทเน อิทํ นยทสฺสนนฺติ ‘‘วุตฺตนยานุสาเรน สุวิเญฺญยฺย’’นฺติ วุตฺตํฯ สมติกฺกมนนฺติ ปหานํฯ สติปิ วาสนาภาคิยสํกิเลสภาคิยธมฺมานํ โลกิยภาเว ปุริเมหิ ปน ปจฺฉิมา ปหาตพฺพา ตทงฺควเสน, วิกฺขมฺภนวเสน จฯ เอวํ ปชหนสมตฺถตาย ปหานนฺติ วุตฺตํ ‘‘วาสนาภาคิยํ สุตฺตํ สํกิเลสภาคิยสฺส สมติกฺกมาย โหตี’’ติฯ สํกิเลสธมฺมานํ สมติกฺกเมน อธิคนฺตพฺพา โวทานธมฺมา วิยาติ โยชนาฯ ภาวนา นาม ติวิธา ฌานภาวนา, วิปสฺสนาภาวนา, มคฺคภาวนาติฯ ตาสุ มคฺคภาวนาย คหิตาย วิปสฺสนาภาวนา คหิตา เอว โหตีติ ตํ อนามสิตฺวา อิตรา เทฺว เอว คหิตาฯ ตถาปิ ‘‘ภาวนาภาคิยสฺส สุตฺตสฺส ปฎินิสฺสคฺคายา’’ติ วุเตฺต กิํ สเพฺพน สพฺพํ อเสกฺขสฺส ฌานภาวนาปิ ปฎินิสฺสฎฺฐาติ โจทนํ มนสิ กตฺวา ปาฬิยํ ‘‘อเสกฺขภาคิยํ สุตฺตํ ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารตฺถ’’นฺติ วุตฺตนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อเสกฺขธเมฺมสุ อุปฺปเนฺนสุ มคฺคภาวนากิจฺจํ นาม นตฺถี’’ติ วตฺวา ‘‘ฌานภาวนาปิ ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารตฺถา เอวา’’ติ อาหฯ

    Dassanabhāgiyaṃ bhāvanābhāgiyanti nibbedhabhāgiyameva dvidhā vibhajitvā vuttanti āha ‘‘saṃkilesabhāgiyādīhi catūhi padehī’’ti. Sesattikānanti sattādhiṭṭhānattikādīnaṃ aṭṭhannaṃ tikānaṃ. Sesapadānañcāti saṃkilesabhāgiyañca vāsanābhāgiyañcātiādimissakapadānañca. Ca-saddena saṃkilesabhāgiyādipadāni ca saṅgaṇhāti. Lokiyattikasseva hi ‘‘sesapadānī’’ti vuttehi missakapadehi evaṃ saṃsandane nayadassanaṃ, itaresaṃ pana tikānaṃ saṃkilesabhāgiyādipadehi ceva sesapadehi ca saṃsandane idaṃ nayadassananti ‘‘vuttanayānusārena suviññeyya’’nti vuttaṃ. Samatikkamananti pahānaṃ. Satipi vāsanābhāgiyasaṃkilesabhāgiyadhammānaṃ lokiyabhāve purimehi pana pacchimā pahātabbā tadaṅgavasena, vikkhambhanavasena ca. Evaṃ pajahanasamatthatāya pahānanti vuttaṃ ‘‘vāsanābhāgiyaṃ suttaṃ saṃkilesabhāgiyassa samatikkamāya hotī’’ti. Saṃkilesadhammānaṃ samatikkamena adhigantabbā vodānadhammā viyāti yojanā. Bhāvanā nāma tividhā jhānabhāvanā, vipassanābhāvanā, maggabhāvanāti. Tāsu maggabhāvanāya gahitāya vipassanābhāvanā gahitā eva hotīti taṃ anāmasitvā itarā dve eva gahitā. Tathāpi ‘‘bhāvanābhāgiyassa suttassa paṭinissaggāyā’’ti vutte kiṃ sabbena sabbaṃ asekkhassa jhānabhāvanāpi paṭinissaṭṭhāti codanaṃ manasi katvā pāḷiyaṃ ‘‘asekkhabhāgiyaṃ suttaṃ diṭṭhadhammasukhavihārattha’’nti vuttanti dassento ‘‘asekkhadhammesu uppannesu maggabhāvanākiccaṃ nāma natthī’’ti vatvā ‘‘jhānabhāvanāpi diṭṭhadhammasukhavihāratthā evā’’ti āha.

    เอกํ เอว ภวพีชํ ปฎิสนฺธิวิญฺญาณํ เอกพีชํ, ตํ อสฺส อตฺถีติ เอกพีชีฯ สนฺธาวิตฺวา สมาคนฺตฺวา, นิพฺพตฺตนวเสน อุปคนฺตฺวาติ อโตฺถฯ สํสริตฺวาติ ตเสฺสว เววจนํฯ กุลํ กุลํ คจฺฉตีติ โกลํโกโลฯ ปุริมปเท อนุนาสิกโลปํ อกตฺวา นิเทฺทโสฯ

    Ekaṃ eva bhavabījaṃ paṭisandhiviññāṇaṃ ekabījaṃ, taṃ assa atthīti ekabījī. Sandhāvitvā samāgantvā, nibbattanavasena upagantvāti attho. Saṃsaritvāti tasseva vevacanaṃ. Kulaṃ kulaṃ gacchatīti kolaṃkolo. Purimapade anunāsikalopaṃ akatvā niddeso.

    เตสํ โสตาปนฺนานํฯ เอตํ ปเภทนฺติ เอกพีชิอาทิวิภาคํฯ ปุริมภวสิทฺธํ วิวฎฺฎูปนิสฺสยปุญฺญกมฺมํ อิธ ปุพฺพเหตุ นามฯ โย ‘‘กตปุญฺญตา’’ติ วุจฺจติ, โส ปฐมมเคฺค สาธิเต จริตตฺถตาย วิปกฺกวิปากํ วิย กมฺมํ อุปริมมคฺคานํ อุปนิสฺสโย น สิยาติ อธิปฺปาเยนาห ‘‘อุปริ…เป.… อาปชฺชตี’’ติฯ ติณฺณํ มคฺคานํ นิรตฺถกตา อาปชฺชติ ปฐมมเคฺคเนว เตหิ กาตพฺพกิจฺจสฺส สาธิตตฺตาฯ ปฐมมเคฺค…เป.… อาปชฺชตีติ อนุปฺปนฺนสฺส อตฺถกิริยาสมฺภวโตฯ เอวํ ติณฺณํ วาทานํ ยุตฺติอภาวํ ทเสฺสตฺวา จตุตฺถวาโท เอเวตฺถ ยุโตฺตติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘วิปสฺสนา…เป.… ยุชฺชตี’’ติฯ ‘‘สเจ หี’’ติอาทินา ตํ ยุตฺติํ วิภาเวติฯ วิมุตฺติปริปาจนียานํ ธมฺมานํ ปริปกฺกตาย อินฺทฺริยานํ ติกฺขตาย ญาณสฺส วิสทตาย วิปสฺสนาย พลวภาโว เวทิตโพฺพฯ โส หิ โวมิสฺสกนเยน สํสรณโก อิธาธิเปฺปโต ‘‘เทเว เจว มานุเส จ สนฺธาวิตฺวา’’ติ วุตฺตตฺตาฯ อิธ กามภเว ฐิโต อิธฎฺฐโกฯ มนุสฺสเทวโลกูปปชฺชนโต โอกาเรน โวกิโณฺณฯ อริยสาวกสฺส ตํตํสตฺตนิกายุปปตฺติ ตสฺส ตสฺส โสธนสทิสํ กิเลสมลาทิอนตฺถาปนยนโตติ อาห ‘‘ฉ เทวโลเก โสเธตฺวา’’ติฯ ‘‘อกนิเฎฺฐ ฐตฺวา’’ติ เอเตน เหฎฺฐาพฺรหฺมโลกโสธนํ วุตฺตเมวาติ เวทิตพฺพํฯ

    Tesaṃ sotāpannānaṃ. Etaṃ pabhedanti ekabījiādivibhāgaṃ. Purimabhavasiddhaṃ vivaṭṭūpanissayapuññakammaṃ idha pubbahetu nāma. Yo ‘‘katapuññatā’’ti vuccati, so paṭhamamagge sādhite caritatthatāya vipakkavipākaṃ viya kammaṃ uparimamaggānaṃ upanissayo na siyāti adhippāyenāha ‘‘upari…pe… āpajjatī’’ti. Tiṇṇaṃ maggānaṃ niratthakatā āpajjati paṭhamamaggeneva tehi kātabbakiccassa sādhitattā. Paṭhamamagge…pe… āpajjatīti anuppannassa atthakiriyāsambhavato. Evaṃ tiṇṇaṃ vādānaṃ yuttiabhāvaṃ dassetvā catutthavādo evettha yuttoti dassento āha ‘‘vipassanā…pe… yujjatī’’ti. ‘‘Sace hī’’tiādinā taṃ yuttiṃ vibhāveti. Vimuttiparipācanīyānaṃ dhammānaṃ paripakkatāya indriyānaṃ tikkhatāya ñāṇassa visadatāya vipassanāya balavabhāvo veditabbo. So hi vomissakanayena saṃsaraṇako idhādhippeto ‘‘deve ceva mānuse ca sandhāvitvā’’ti vuttattā. Idha kāmabhave ṭhito idhaṭṭhako. Manussadevalokūpapajjanato okārena vokiṇṇo. Ariyasāvakassa taṃtaṃsattanikāyupapatti tassa tassa sodhanasadisaṃ kilesamalādianatthāpanayanatoti āha ‘‘cha devaloke sodhetvā’’ti. ‘‘Akaniṭṭhe ṭhatvā’’ti etena heṭṭhābrahmalokasodhanaṃ vuttamevāti veditabbaṃ.

    สทฺธํ ธุรํ กตฺวาติ สทฺธํ ธุรํ เชฎฺฐกํ ปุพฺพงฺคมํ กตฺวาฯ สทฺธาย อนุสฺสติ ปฎิปตฺติ, สทฺธํ วา ปุพฺพภาคิยํ อนุสฺสติ, สทฺธาย วา อนุสรณสีโลติ สทฺธานุสารีฯ ธมฺมานุสารีติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ธโมฺมติ ปเนตฺถ ปญฺญา เวทิตพฺพาฯ สทฺทหโนฺต วิมุโตฺตติ สทฺธาวิมุโตฺตฯ ยทิปิ สพฺพถา อวิมุโตฺต, สทฺธามเตฺตน ปน วิมุโตฺตติ อโตฺถฯ สทฺธาย วา อธิมุโตฺตติ สทฺธาวิมุโตฺตฯ วุตฺตนเยนาติ อุปริมคฺควิปสฺสนาย พลวมนฺทมนฺทตรภาเวนฯ ทิฎฺฐิยา ปโตฺตติ ทิฎฺฐิปฺปโตฺต, จตุสจฺจทสฺสนสงฺขาตาย ทิฎฺฐิยา นิโรธปฺปโตฺตติ อโตฺถฯ ทิฎฺฐนฺตํ วา ปโตฺตติ ทิฎฺฐิปฺปโตฺต, ทสฺสนสงฺขาตสฺส โสตาปตฺติมคฺคญาณสฺส อนนฺตรปฺปวโตฺตติ วุตฺตํ โหติฯ ปฐมผลโต ปฎฺฐาย หิ ยาว อคฺคมคฺคา ทิฎฺฐิปฺปตฺตาติฯ อิทนฺติ ยถาวุตฺตโสตาปนฺนานํ สทฺธาวิมุตฺตทิฎฺฐิปฺปตฺตตาวจนํ ฯ อฎฺฐนฺนํ วิโมกฺขานนฺติ จตโสฺส รูปาวจรสมาปตฺติโย, จตโสฺส อรูปาวจรสมาปตฺติโยติ อฎฺฐ วิโมกฺขา, เตสํฯ

    Saddhaṃ dhuraṃ katvāti saddhaṃ dhuraṃ jeṭṭhakaṃ pubbaṅgamaṃ katvā. Saddhāya anussati paṭipatti, saddhaṃ vā pubbabhāgiyaṃ anussati, saddhāya vā anusaraṇasīloti saddhānusārī. Dhammānusārīti etthāpi eseva nayo. Dhammoti panettha paññā veditabbā. Saddahanto vimuttoti saddhāvimutto. Yadipi sabbathā avimutto, saddhāmattena pana vimuttoti attho. Saddhāya vā adhimuttoti saddhāvimutto. Vuttanayenāti uparimaggavipassanāya balavamandamandatarabhāvena. Diṭṭhiyā pattoti diṭṭhippatto, catusaccadassanasaṅkhātāya diṭṭhiyā nirodhappattoti attho. Diṭṭhantaṃ vā pattoti diṭṭhippatto, dassanasaṅkhātassa sotāpattimaggañāṇassa anantarappavattoti vuttaṃ hoti. Paṭhamaphalato paṭṭhāya hi yāva aggamaggā diṭṭhippattāti. Idanti yathāvuttasotāpannānaṃ saddhāvimuttadiṭṭhippattatāvacanaṃ . Aṭṭhannaṃ vimokkhānanti catasso rūpāvacarasamāpattiyo, catasso arūpāvacarasamāpattiyoti aṭṭha vimokkhā, tesaṃ.

    ผุฎฺฐนฺตํ สจฺฉิกโรตีติ กายสกฺขี, ผุฎฺฐานํ อโนฺต ผุฎฺฐโนฺต, ผุฎฺฐานํ อรูปชฺฌานานํ อนนฺตโร กาโลติ อธิปฺปาโยฯ อจฺจนฺตสํโยเค เจตํ อุปโยควจนํ, ผุฎฺฐานนฺตรกาลเมว สจฺฉิกาตพฺพํ สจฺฉิกโรตีติ วุตฺตํ โหติ, ‘‘วิสมํ จนฺทิมสูริยา ปริวตฺตนฺตี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๗๐) วิย วา ภาวนปุํสกนฺติ เอตํ ทฎฺฐพฺพํฯ โย หิ อรูปชฺฌาเนน รูปกายโต, นามกาเยกเทสโต จ วิกฺขมฺภนวิโมเกฺขน วิมุโตฺต, เตน นิโรธสงฺขาโต วิโมโกฺข อาโลจิโต ปกาสิโต วิย โหติ, น กาเยน สจฺฉิกโต, นิโรธํ ปน อารมฺมณํ กตฺวา เอกเจฺจสุ อาสเวสุ เขปิเตสุ เตน โส สจฺฉิกโต โหติฯ ตสฺมา โส สจฺฉิกาตพฺพํ นิโรธํ ยถาอาโลจิตํ นามกาเยน สจฺฉิกโรตีติ ‘‘กายสกฺขี’’ติ วุจฺจติ, น ตุ วิมุโตฺต เอกจฺจานํ เอว อาสวานํ อปริกฺขีณตฺตาฯ

    Phuṭṭhantaṃ sacchikarotīti kāyasakkhī, phuṭṭhānaṃ anto phuṭṭhanto, phuṭṭhānaṃ arūpajjhānānaṃ anantaro kāloti adhippāyo. Accantasaṃyoge cetaṃ upayogavacanaṃ, phuṭṭhānantarakālameva sacchikātabbaṃ sacchikarotīti vuttaṃ hoti, ‘‘visamaṃ candimasūriyā parivattantī’’tiādīsu (a. ni. 4.70) viya vā bhāvanapuṃsakanti etaṃ daṭṭhabbaṃ. Yo hi arūpajjhānena rūpakāyato, nāmakāyekadesato ca vikkhambhanavimokkhena vimutto, tena nirodhasaṅkhāto vimokkho ālocito pakāsito viya hoti, na kāyena sacchikato, nirodhaṃ pana ārammaṇaṃ katvā ekaccesu āsavesu khepitesu tena so sacchikato hoti. Tasmā so sacchikātabbaṃ nirodhaṃ yathāālocitaṃ nāmakāyena sacchikarotīti ‘‘kāyasakkhī’’ti vuccati, na tu vimutto ekaccānaṃ eva āsavānaṃ aparikkhīṇattā.

    อเภเทนาติ อนฺตราปรินิพฺพายิอาทิเภเทน วินาฯ ‘‘อเภเทนา’’ติ จ อิทํ ‘‘สทฺธาวิมุตฺตทิฎฺฐิปฺปตฺตกายสกฺขิโน’’ติ อิธาปิ อาเนตฺวา โยเชตพฺพํฯ ยเถว หิ อนฺตราปรินิพฺพายิอาทิเภทานามสเนเนว เอโก อนาคามี โหติ, เอวํ ยถาวุตฺตเภทอามสเนเนว สทฺธาวิมุโตฺต, ทิฎฺฐิปฺปโตฺต, กายสกฺขีติ ตโย อนาคามิโน โหนฺติฯ อยญฺจ อนาคามิโน ตาทิสมวตฺถาเภทํ คเหตฺวา คณนา กตาติ เวทิตพฺพํฯ ‘‘อวิหาทีสู’’ติอาทิ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    Abhedenāti antarāparinibbāyiādibhedena vinā. ‘‘Abhedenā’’ti ca idaṃ ‘‘saddhāvimuttadiṭṭhippattakāyasakkhino’’ti idhāpi ānetvā yojetabbaṃ. Yatheva hi antarāparinibbāyiādibhedānāmasaneneva eko anāgāmī hoti, evaṃ yathāvuttabhedaāmasaneneva saddhāvimutto, diṭṭhippatto, kāyasakkhīti tayo anāgāmino honti. Ayañca anāgāmino tādisamavatthābhedaṃ gahetvā gaṇanā katāti veditabbaṃ. ‘‘Avihādīsū’’tiādi suviññeyyameva.

    ปญฺญาย เอว วิมุโตฺต, น เจโตวิมุตฺติภูเตน สาติสเยน สมาธินาปีติ ปญฺญาวิมุโตฺตฯ อุภโตภาควิมุโตฺตติ อุโภหิ ภาเคหิ อุภโตภาคโต วิมุโตฺตฯ กิเลสานํ วิกฺขมฺภนสมุจฺฉิเนฺนหิ รูปกายนามกายโต วิมุโตฺตติ อิมมตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘วิกฺขมฺภน…เป.… วิมุโตฺต นามา’’ติ อาหฯ อรูปสมาปตฺติยา รูปกายโต, อคฺคมเคฺคน อรูปกายโต วิมุตฺตํฯ ยถาห –

    Paññāya eva vimutto, na cetovimuttibhūtena sātisayena samādhināpīti paññāvimutto. Ubhatobhāgavimuttoti ubhohi bhāgehi ubhatobhāgato vimutto. Kilesānaṃ vikkhambhanasamucchinnehi rūpakāyanāmakāyato vimuttoti imamatthaṃ dassento ‘‘vikkhambhana…pe… vimutto nāmā’’ti āha. Arūpasamāpattiyā rūpakāyato, aggamaggena arūpakāyato vimuttaṃ. Yathāha –

    ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, เอกโจฺจ ปุคฺคโล เย เต สนฺตา วิโมกฺขา อติกฺกมฺม รูเป อารุปฺปา, เต กาเยน ผุสิตฺวา วิหรติ, ปญฺญาย จสฺส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติ, อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ปุคฺคโล อุภโตภาควิมุโตฺต’’ติ (ม. นิ. ๒.๑๘๒)ฯ

    ‘‘Idha, bhikkhave, ekacco puggalo ye te santā vimokkhā atikkamma rūpe āruppā, te kāyena phusitvā viharati, paññāya cassa disvā āsavā parikkhīṇā honti, ayaṃ vuccati, bhikkhave, puggalo ubhatobhāgavimutto’’ti (ma. ni. 2.182).

    ยํ ปน มหานิทานสุเตฺต ‘‘รูปี รูปานิ ปสฺสตี’’ติอาทิเก (ที. นิ. ๒.๑๒๙) นิโรธสมาปตฺติอเนฺต อฎฺฐ วิโมเกฺข วตฺวา –

    Yaṃ pana mahānidānasutte ‘‘rūpī rūpāni passatī’’tiādike (dī. ni. 2.129) nirodhasamāpattiante aṭṭha vimokkhe vatvā –

    ‘‘ยโต โข, อานนฺท, ภิกฺขุ อิเม อฎฺฐ วิโมเกฺข อนุโลมมฺปิ สมาปชฺชติ…เป.… อยํ วุจฺจตานนฺท, ภิกฺขุ อุภโตภาควิมุโตฺต, อิมาย จ, อานนฺท, อุภโตภาควิมุตฺติยา อญฺญา อุภโตภาควิมุตฺติ อุตฺตริตรา วา ปณีตตรา วา นตฺถี’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๓๐) –

    ‘‘Yato kho, ānanda, bhikkhu ime aṭṭha vimokkhe anulomampi samāpajjati…pe… ayaṃ vuccatānanda, bhikkhu ubhatobhāgavimutto, imāya ca, ānanda, ubhatobhāgavimuttiyā aññā ubhatobhāgavimutti uttaritarā vā paṇītatarā vā natthī’’ti (dī. ni. 2.130) –

    วุตฺตํ, ตํ อุภโตภาควิมุตฺตเสฎฺฐวเสน วุตฺตํฯ ตตฺถ ยสฺมา อารุปฺปสมาปตฺตีสุ เอกายปิ รูปกาโย วิกฺขมฺภิโต เอว นาม โหติ, ตสฺมา จตุนฺนํ อารุปฺปสมาปตฺตีนํ, นิโรธสมาปตฺติยา จ ลาภีนํ วเสน ปญฺจ อุภโตภาควิมุตฺตา เวทิตพฺพาฯ เอส นโย กายสกฺขิมฺหิปิฯ อฎฺฐวิโมเกฺขกเทเสปิ หิ อฎฺฐวิโมกฺขสมญฺญา ยถา ‘‘โลเก สตฺตา’’ติฯ

    Vuttaṃ, taṃ ubhatobhāgavimuttaseṭṭhavasena vuttaṃ. Tattha yasmā āruppasamāpattīsu ekāyapi rūpakāyo vikkhambhito eva nāma hoti, tasmā catunnaṃ āruppasamāpattīnaṃ, nirodhasamāpattiyā ca lābhīnaṃ vasena pañca ubhatobhāgavimuttā veditabbā. Esa nayo kāyasakkhimhipi. Aṭṭhavimokkhekadesepi hi aṭṭhavimokkhasamaññā yathā ‘‘loke sattā’’ti.

    เตรสสุ สีเสสุ ปลิโพธสีสาทีนิ, ปวตฺตสีสญฺจ ปริยาทิยิตพฺพานิ, อธิโมกฺขสีสาทีนิ ปริยาทกานิ, โคจรสีสํ ปริยาทกผลํฯ ตญฺหิ วิสยชฺฌตฺตํ ผลํ, วิโมโกฺข ปริยาทกสฺส มคฺคสฺส, ผลสฺส จ อารมฺมณํฯ สงฺขารสีสํ สงฺขารวิเวกภูโต นิโรโธติ ปริยาทิยิตพฺพานํ, ปริยาทกผลานญฺจ สห วิสยสํสิทฺธิทสฺสเนน สมสีสิภาวํ ทเสฺสตุํ ปฎิสมฺภิทายํ (ปฎิ. ม. ๑.๘๗) เตรส สีสานิ วุตฺตานิฯ อิธ ปน ‘‘ยสฺส ปุคฺคลสฺส อปุพฺพํ อจริมํ อาสวปริยาทานญฺจ โหติ ชีวิตปริยาทานญฺจา’’ติ (ปุ. ป. ๑๖) ปุคฺคลปญฺญตฺติยํ อาคตตฺตา เตสุ กิเลสปวตฺตสีสานํ เอว วเสน โยชนํ กโรโนฺต ‘‘กิเลสสีส’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปวตฺตสีสมฺปิ มโคฺค ปวตฺติโต วุฎฺฐหโนฺต จุติโต อุทฺธํ อปฺปวตฺติกรเณน ยทิปิ ปริยาทิยติ, ยาว ปน จุติ, ตาว ปวตฺติสมฺภวโต ‘‘ปวตฺตสีสํ ชีวิตินฺทฺริยํ จุติจิตฺตํ ปริยาทิยตี’’ติ อาหฯ

    Terasasu sīsesu palibodhasīsādīni, pavattasīsañca pariyādiyitabbāni, adhimokkhasīsādīni pariyādakāni, gocarasīsaṃ pariyādakaphalaṃ. Tañhi visayajjhattaṃ phalaṃ, vimokkho pariyādakassa maggassa, phalassa ca ārammaṇaṃ. Saṅkhārasīsaṃ saṅkhāravivekabhūto nirodhoti pariyādiyitabbānaṃ, pariyādakaphalānañca saha visayasaṃsiddhidassanena samasīsibhāvaṃ dassetuṃ paṭisambhidāyaṃ (paṭi. ma. 1.87) terasa sīsāni vuttāni. Idha pana ‘‘yassa puggalassa apubbaṃ acarimaṃ āsavapariyādānañca hoti jīvitapariyādānañcā’’ti (pu. pa. 16) puggalapaññattiyaṃ āgatattā tesu kilesapavattasīsānaṃ eva vasena yojanaṃ karonto ‘‘kilesasīsa’’ntiādimāha. Tattha pavattasīsampi maggo pavattito vuṭṭhahanto cutito uddhaṃ appavattikaraṇena yadipi pariyādiyati, yāva pana cuti, tāva pavattisambhavato ‘‘pavattasīsaṃ jīvitindriyaṃ cuticittaṃ pariyādiyatī’’ti āha.

    กิเลสปริยาทาเนน อตฺตโน อนนฺตรํ วิย นิปฺผาเทตพฺพา, ปจฺจเวกฺขณวารา จ กิเลสปริยาทานเสฺสว วาราติ วตฺตพฺพตํ อรหนฺติฯ ‘‘วิมุตฺตสฺมิํ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๗๘; สํ. นิ. ๓.๑๒, ๑๔) หิ วจนโต ปจฺจเวกฺขณปริสมาปเนน กิเลสปริยาทานํ สมาปิตํ นาม โหติฯ ตํ ปน ปริสมาปนํ ยทิ จุติจิเตฺตน โหติ, เตเนว ชีวิตปริสมาปนญฺจ โหตีติ อิมาย วารจุติสมตาย กิเลสปริยาทานชีวิตปริยาทานานํ อปุพฺพาจริมตา โหตีติ อาห ‘‘วารสมตายา’’ติฯ ภวงฺคํ โอตริตฺวา ปรินิพฺพายโตติ เอตฺถ ปรินิพฺพานจิตฺตเมว ภโงฺคตฺตรณภาเวน วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Kilesapariyādānena attano anantaraṃ viya nipphādetabbā, paccavekkhaṇavārā ca kilesapariyādānasseva vārāti vattabbataṃ arahanti. ‘‘Vimuttasmiṃ vimuttamiti ñāṇaṃ hotī’’ti (ma. ni. 1.78; saṃ. ni. 3.12, 14) hi vacanato paccavekkhaṇaparisamāpanena kilesapariyādānaṃ samāpitaṃ nāma hoti. Taṃ pana parisamāpanaṃ yadi cuticittena hoti, teneva jīvitaparisamāpanañca hotīti imāya vāracutisamatāya kilesapariyādānajīvitapariyādānānaṃ apubbācarimatā hotīti āha ‘‘vārasamatāyā’’ti. Bhavaṅgaṃ otaritvā parinibbāyatoti ettha parinibbānacittameva bhaṅgottaraṇabhāvena vuttanti daṭṭhabbaṃ.

    จริตนฺติ จริตา กายวจีมนปฺปวตฺติฯ เอตฺถ จ เยน ราคาธิกภาเวน ปุคฺคโล ‘‘ราคจริโต’’ติ ลกฺขียติ, ตยิทํ ลกฺขณํฯ เตนาห ‘‘ราคชฺฌาสโย ราคาธิโกติ อโตฺถ’’ติ, เตน อปฺปหีนภาเวน สนฺตาเน ถามคตสฺส ราคสฺส พลภาโว ลกฺขียตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ เอเสว นโย เสเสสุปิฯ

    Caritanti caritā kāyavacīmanappavatti. Ettha ca yena rāgādhikabhāvena puggalo ‘‘rāgacarito’’ti lakkhīyati, tayidaṃ lakkhaṇaṃ. Tenāha ‘‘rāgajjhāsayo rāgādhikoti attho’’ti, tena appahīnabhāvena santāne thāmagatassa rāgassa balabhāvo lakkhīyatīti daṭṭhabbaṃ. Eseva nayo sesesupi.

    สีลวเนฺตหีติ อาทิสทฺทสฺส โลปํ กตฺวา นิเทฺทโส กโตติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘สีลวนฺตาทีหี’’ติฯ อาทิสเทฺทน ทายกาทีนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ

    Sīlavantehīti ādisaddassa lopaṃ katvā niddeso katoti dassento āha ‘‘sīlavantādīhī’’ti. Ādisaddena dāyakādīnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo.

    อารมฺมณภูตา เญยฺยนฺติ อารมฺมณภูตาว เญยฺยํฯ

    Ārammaṇabhūtāñeyyanti ārammaṇabhūtāva ñeyyaṃ.

    ปุถุชฺชนภูมิอาทีสูติ ปุถุชฺชนเสกฺขาเสกฺขภูมีสุฯ ตตฺถ ปุถุชฺชนภูมิวเสน สํวโร, เสกฺขภูมิวเสน ปหานภาวนา, อเสกฺขภูมิวเสน สจฺฉิกิริยา, ปุถุชฺชนภูมิเสกฺขภูมิวเสน วา ยถารหํ สํวรปหานภาวนาฯ ปุพฺพภาคิยา หิ สํวรปหานภาวนา ปุถุชฺชนสฺส สมฺภวนฺติ, อิตรา เสกฺขสฺส, อเสกฺขภูมิวเสน สจฺฉิกิริยาฯ นยโต ทสฺสิตนฺติ ‘‘ยํ, ภิกฺขเว, มยา ‘อิทํ น กปฺปตี’ติ อปฺปฎิกฺขิตฺตํ, ตํ เจ กปฺปิยํ อนุโลเมติ, อกปฺปิยํ ปฎิพาหติ, ตํ โว กปฺปตี’’ติอาทินา (มหาว. ๓๐๕) นยทสฺสนวเสน ปกาสิตํฯ สราคาทิสํวตฺตนนฺติ สราคาทิภาวาย สํวตฺตนํฯ

    Puthujjanabhūmiādīsūti puthujjanasekkhāsekkhabhūmīsu. Tattha puthujjanabhūmivasena saṃvaro, sekkhabhūmivasena pahānabhāvanā, asekkhabhūmivasena sacchikiriyā, puthujjanabhūmisekkhabhūmivasena vā yathārahaṃ saṃvarapahānabhāvanā. Pubbabhāgiyā hi saṃvarapahānabhāvanā puthujjanassa sambhavanti, itarā sekkhassa, asekkhabhūmivasena sacchikiriyā. Nayato dassitanti ‘‘yaṃ, bhikkhave, mayā ‘idaṃ na kappatī’ti appaṭikkhittaṃ, taṃ ce kappiyaṃ anulometi, akappiyaṃ paṭibāhati, taṃ vo kappatī’’tiādinā (mahāva. 305) nayadassanavasena pakāsitaṃ. Sarāgādisaṃvattananti sarāgādibhāvāya saṃvattanaṃ.

    อญฺญมญฺญํ สํสคฺคโตติ ‘‘สํกิเลสภาคิยญฺจ วาสนาภาคิยญฺจา’’ติอาทินา สํกิเลสภาคิยาทีนํ ปทานํ อญฺญมญฺญสํสคฺคโตฯ อเนกวิโธติ ทฺวาทสวิโธ ยาว ทฺวานวุตาธิกจตุสหสฺสวิโธปิ อเนกปฺปกาโรฯ โลกิยสตฺตาธิฎฺฐานาทิสํสคฺคโตติ อาทิสเทฺทน โลกิยํ ญาณํ, โลกุตฺตรํ ญาณํ, โลกิยญฺจ โลกุตฺตรญฺจ ญาณํ, โลกิยํ เญยฺยํ, โลกุตฺตรํ เญยฺยํ, โลกิยญฺจ โลกุตฺตรญฺจ เญยฺยํ, โลกิยํ ญาณญฺจ เญยฺยญฺจ, โลกุตฺตรํ ญาณญฺจ เญยฺยญฺจ, โลกิยญฺจ โลกุตฺตรญฺจ ญาณญฺจ เญยฺยญฺจาติอาทิโก สมฺภวโนฺต ปฎฺฐานเภโท สงฺคหิโตฯ อุภยตฺถาติ สํกิเลสภาคิยาทิเก, โลกิยาทิเก จฯ ยถารหนฺติ โย โย สํสคฺควเสน โยชนํ อรหติ, โส โส ธโมฺมฯ สมฺภวาวิโรเธเนว หิ โยชนาฯ น หิ ‘‘โลกิยํ นิเพฺพธภาคิย’’นฺติอาทินา โยชนา สมฺภวติฯ

    Aññamaññaṃ saṃsaggatoti ‘‘saṃkilesabhāgiyañca vāsanābhāgiyañcā’’tiādinā saṃkilesabhāgiyādīnaṃ padānaṃ aññamaññasaṃsaggato. Anekavidhoti dvādasavidho yāva dvānavutādhikacatusahassavidhopi anekappakāro. Lokiyasattādhiṭṭhānādisaṃsaggatoti ādisaddena lokiyaṃ ñāṇaṃ, lokuttaraṃ ñāṇaṃ, lokiyañca lokuttarañca ñāṇaṃ, lokiyaṃ ñeyyaṃ, lokuttaraṃ ñeyyaṃ, lokiyañca lokuttarañca ñeyyaṃ, lokiyaṃ ñāṇañca ñeyyañca, lokuttaraṃ ñāṇañca ñeyyañca, lokiyañca lokuttarañca ñāṇañca ñeyyañcātiādiko sambhavanto paṭṭhānabhedo saṅgahito. Ubhayatthāti saṃkilesabhāgiyādike, lokiyādike ca. Yathārahanti yo yo saṃsaggavasena yojanaṃ arahati, so so dhammo. Sambhavāvirodheneva hi yojanā. Na hi ‘‘lokiyaṃ nibbedhabhāgiya’’ntiādinā yojanā sambhavati.

    ตีสุ ปิฎเกสุ ลพฺภมานสฺสาติ ติโสฺส สงฺคีติโย อารุเฬฺห เตปิฎเก พุทฺธวจเน อุปลพฺภมานสฺส วิชฺชมานสฺส, เอเตน น เกวลํ สงฺคโห เอว ยถาวุตฺตเภทานํ ปฎฺฐานภาคานํ นิทฺธารณาย การณํ, อถ โข ปาฬิยํ ทสฺสนญฺจาติ วิภาเวติฯ เตนาห ‘‘ยํ ทิสฺสติ ตาสุ ตาสุ ภูมีสู’’ติฯ ‘‘เตเนว หี’’ติอาทินา ยถาวุตฺตสฺส อตฺถสฺส ปาฐานุคมํ ทเสฺสติฯ

    Tīsupiṭakesu labbhamānassāti tisso saṅgītiyo āruḷhe tepiṭake buddhavacane upalabbhamānassa vijjamānassa, etena na kevalaṃ saṅgaho eva yathāvuttabhedānaṃ paṭṭhānabhāgānaṃ niddhāraṇāya kāraṇaṃ, atha kho pāḷiyaṃ dassanañcāti vibhāveti. Tenāha ‘‘yaṃ dissati tāsu tāsu bhūmīsū’’ti. ‘‘Teneva hī’’tiādinā yathāvuttassa atthassa pāṭhānugamaṃ dasseti.

    สาสนปฎฺฐานวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Sāsanapaṭṭhānavāravaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เนตฺติปฺปกรณปาฬิ • Nettippakaraṇapāḷi / สาสนปฎฺฐานํ • Sāsanapaṭṭhānaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / ขุทฺทกนิกาย (อฎฺฐกถา) • Khuddakanikāya (aṭṭhakathā) / เนตฺติปฺปกรณ-อฎฺฐกถา • Nettippakaraṇa-aṭṭhakathā / สาสนปฎฺฐานวารวณฺณนา • Sāsanapaṭṭhānavāravaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ขุทฺทกนิกาย (ฎีกา) • Khuddakanikāya (ṭīkā) / เนตฺติวิภาวินี • Nettivibhāvinī / สาสนปฎฺฐานวิภาวนา • Sāsanapaṭṭhānavibhāvanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact