Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เนตฺติวิภาวินี • Nettivibhāvinī |
สาสนปฎฺฐานวิภาวนา
Sāsanapaṭṭhānavibhāvanā
๘๙. ‘‘ตตฺถ กตมํ นยสมุฎฺฐาน’’นฺติอาทินา อาจริเยน สพฺพถา นยสมุฎฺฐานํ ฐปิตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘โสฬสหารปญฺจนยอฎฺฐารสมูลปเทสุ อฎฺฐารส มูลปทา กถํ วิภตฺตา, กุหิํ อเมฺหหิ ทฎฺฐพฺพา’’ติ วตฺตพฺพภาวโต ‘‘ตตฺถ อฎฺฐารส มูลปทา กุหิํ ทฎฺฐพฺพา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถาติ เตสุ โสฬสหารปญฺจนยอฎฺฐารสมูลปเทสุ อฎฺฐารส มูลปทา เกน ปเทน อาจริเยน วิภตฺตา, กุหิํ อเมฺหหิ วิตฺถารโต ทฎฺฐพฺพาติ ปุจฺฉติฯ อฎฺฐารส มูลปทา สาสนปฎฺฐาเน มยา วิภตฺตา, ตุเมฺหหิ จ วิตฺถารโต สาสนปฎฺฐาเน ทฎฺฐพฺพาติ วิสฺสเชฺชติฯ วิภตฺตาเยว หิ อฎฺฐารส มูลปทา ทฎฺฐพฺพา ภวนฺติฯ อฎฺฐกถายํ (เนตฺติ. อฎฺฐ. ๘๙) ปน –
89. ‘‘Tattha katamaṃ nayasamuṭṭhāna’’ntiādinā ācariyena sabbathā nayasamuṭṭhānaṃ ṭhapitaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘soḷasahārapañcanayaaṭṭhārasamūlapadesu aṭṭhārasa mūlapadā kathaṃ vibhattā, kuhiṃ amhehi daṭṭhabbā’’ti vattabbabhāvato ‘‘tattha aṭṭhārasa mūlapadā kuhiṃ daṭṭhabbā’’tiādi vuttaṃ. Tatthāti tesu soḷasahārapañcanayaaṭṭhārasamūlapadesu aṭṭhārasa mūlapadā kena padena ācariyena vibhattā, kuhiṃ amhehi vitthārato daṭṭhabbāti pucchati. Aṭṭhārasa mūlapadā sāsanapaṭṭhāne mayā vibhattā, tumhehi ca vitthārato sāsanapaṭṭhāne daṭṭhabbāti vissajjeti. Vibhattāyeva hi aṭṭhārasa mūlapadā daṭṭhabbā bhavanti. Aṭṭhakathāyaṃ (netti. aṭṭha. 89) pana –
‘‘เอวํ สพฺพถา นยสมุฎฺฐานํ วิภชิตฺวา อิทานิ สาสนปฎฺฐานํ วิภชโนฺต ยสฺมา สงฺคหวาราทีสุ มูลปเทเหว ปฎฺฐานํ สงฺคเหตฺวา สรูปโต น ทสฺสิตํ, ตสฺมา ยถา มูลปเทหิ ปฎฺฐานํ นิทฺธาเรตพฺพํ, เอวํ ปฎฺฐานโตปิ มูลปทานิ นิทฺธาเรตพฺพานีติ ทสฺสนตฺถํ ‘อฎฺฐารส มูลปทา กุหิํ ทฎฺฐพฺพา? สาสนปฎฺฐาเน’ติ อาหา’’ติ –
‘‘Evaṃ sabbathā nayasamuṭṭhānaṃ vibhajitvā idāni sāsanapaṭṭhānaṃ vibhajanto yasmā saṅgahavārādīsu mūlapadeheva paṭṭhānaṃ saṅgahetvā sarūpato na dassitaṃ, tasmā yathā mūlapadehi paṭṭhānaṃ niddhāretabbaṃ, evaṃ paṭṭhānatopi mūlapadāni niddhāretabbānīti dassanatthaṃ ‘aṭṭhārasa mūlapadā kuhiṃ daṭṭhabbā? Sāsanapaṭṭhāne’ti āhā’’ti –
วุตฺตํฯ สาสนปฎฺฐาเน อฎฺฐารส มูลปทา ทฎฺฐพฺพาติ อาจริเยน วุตฺตา, ‘‘กตมํ ตํ สาสนปฎฺฐาน’’นฺติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ กตมํ สาสนปฎฺฐาน’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถาติ เตสุ อฎฺฐารสมูลปทสาสนปฎฺฐาเนสุ กตมํ ตํ สาสนปฎฺฐานนฺติ อิทานิ มยา นิทฺธาริยมานํ ภควตา เทสิตํ สํกิเลสภาคิยาทิสุตฺตํ สาสนปฎฺฐานํ นามาติ วิสฺสเชฺชติฯ สาสนนฺติ ปริยตฺติสาสนํฯ ปฎฺฐานนฺติ ตสฺส ปริยตฺติสาสนสฺส สํกิเลสภาคิยตาทีหิ ปกาเรหิ ฐานํ ปวตฺตนํ ปฎฺฐานํ, ตํทีปนสุตฺตํ ปน อิธ ปฎฺฐานํ นามฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สํกิเลสภาคิยํ สุตฺต’’นฺติอาทิฯ อถ วา สาสนนฺติ อธิสีลอธิจิตฺตอธิปญฺญาสิกฺขตฺตยํ สาสนํ นาม, ตํ สิกฺขตฺตยํ ปติฎฺฐหติ เอเตน สํกิเลสาทินาติ ปฎฺฐานํ, สิกฺขตฺตยสฺส สาสนสฺส ปฎฺฐานนฺติ สาสนปฎฺฐานํฯ ตทาธารภูตํ สุตฺตมฺปิ ฐานฺยูปจารโต สาสนปฎฺฐานํ นามฯ ตํ สาสนปฎฺฐานสุตฺตํ สรูปโต ทเสฺสตุํ –
Vuttaṃ. Sāsanapaṭṭhāne aṭṭhārasa mūlapadā daṭṭhabbāti ācariyena vuttā, ‘‘katamaṃ taṃ sāsanapaṭṭhāna’’nti pucchitabbattā ‘‘tattha katamaṃ sāsanapaṭṭhāna’’ntiādi vuttaṃ. Tatthāti tesu aṭṭhārasamūlapadasāsanapaṭṭhānesu katamaṃ taṃ sāsanapaṭṭhānanti idāni mayā niddhāriyamānaṃ bhagavatā desitaṃ saṃkilesabhāgiyādisuttaṃ sāsanapaṭṭhānaṃ nāmāti vissajjeti. Sāsananti pariyattisāsanaṃ. Paṭṭhānanti tassa pariyattisāsanassa saṃkilesabhāgiyatādīhi pakārehi ṭhānaṃ pavattanaṃ paṭṭhānaṃ, taṃdīpanasuttaṃ pana idha paṭṭhānaṃ nāma. Tena vuttaṃ – ‘‘saṃkilesabhāgiyaṃ sutta’’ntiādi. Atha vā sāsananti adhisīlaadhicittaadhipaññāsikkhattayaṃ sāsanaṃ nāma, taṃ sikkhattayaṃ patiṭṭhahati etena saṃkilesādināti paṭṭhānaṃ, sikkhattayassa sāsanassa paṭṭhānanti sāsanapaṭṭhānaṃ. Tadādhārabhūtaṃ suttampi ṭhānyūpacārato sāsanapaṭṭhānaṃ nāma. Taṃ sāsanapaṭṭhānasuttaṃ sarūpato dassetuṃ –
‘‘สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ, วาสนาภาคิยํ สุตฺตํ, นิเพฺพธภาคิยํ สุตฺตํ, อเสกฺขภาคิยํ สุตฺตํ, สํกิเลสภาคิยญฺจ วาสนาภาคิยญฺจ สุตฺตํ, สํกิเลสภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ สุตฺตํ, สํกิเลสภาคิยญฺจ อเสกฺขภาคิยญฺจ สุตฺตํ, สํกิเลสภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ อเสกฺขภาคิยญฺจ สุตฺตํ, สํกิเลสภาคิยญฺจ วาสนาภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ สุตฺตํ, วาสนาภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ สุตฺตํ, ตณฺหาสํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ, ทิฎฺฐิสํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ, ทุจฺจริตสํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ, ตณฺหาโวทานภาคิยํ สุตฺตํ, ทิฎฺฐิโวทานภาคิยํ สุตฺตํ, ทุจฺจริตโวทานภาคิยํ สุตฺต’’นฺติ –
‘‘Saṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ, vāsanābhāgiyaṃ suttaṃ, nibbedhabhāgiyaṃ suttaṃ, asekkhabhāgiyaṃ suttaṃ, saṃkilesabhāgiyañca vāsanābhāgiyañca suttaṃ, saṃkilesabhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca suttaṃ, saṃkilesabhāgiyañca asekkhabhāgiyañca suttaṃ, saṃkilesabhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca asekkhabhāgiyañca suttaṃ, saṃkilesabhāgiyañca vāsanābhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca suttaṃ, vāsanābhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca suttaṃ, taṇhāsaṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ, diṭṭhisaṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ, duccaritasaṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ, taṇhāvodānabhāgiyaṃ suttaṃ, diṭṭhivodānabhāgiyaṃ suttaṃ, duccaritavodānabhāgiyaṃ sutta’’nti –
วุตฺตํฯ ‘‘เตสุ สุเตฺตสุ เย สํกิเลสาทโย ภควตา วุตฺตา, เตสุ สํกิเลสาทีสุ สํกิเลโส กิตฺตโก’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ สํกิเลโส ติวิโธ ตณฺหาสํกิเลโส ทิฎฺฐิสํกิเลโส ทุจฺจริตสํกิเลโส’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถาติ เตสุ สุตฺตเนฺตสุ สํกิเลสาทีสุ ธเมฺมสุฯ ‘‘ติวิเธ ตสฺมิํ สํกิเลเส ตณฺหาสํกิเลโส กตเมน กุสเลน วิสุชฺฌตี’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ ตณฺหาสํกิเลโส สมเถน วิสุชฺฌตี’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ ติวิเธ ตณฺหาสํกิเลสาทิเกฯ ‘‘โส สมโถ ขเนฺธสุ กตโม ขโนฺธ’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘โส สมโถ สมาธิกฺขโนฺธ’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘ทิฎฺฐิสํกิเลโส เกน วิสุชฺฌตี’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ทิฎฺฐิสํกิเลโส วิปสฺสนาย วิสุชฺฌตี’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘สา วิปสฺสนา กตโม ขโนฺธ’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘สา วิปสฺสนา ปญฺญากฺขโนฺธ’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘ทุจฺจริตสํกิเลโส เกน วิสุชฺฌตี’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ทุจฺจริตสํกิเลโส สุจริเตน วิสุชฺฌตี’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘ตํ สุจริตํ กตโม ขโนฺธ’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ตํ สุจริตํ สีลกฺขโนฺธ’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘ตสฺมิํ สีเล ฐิตสฺส ปุคฺคลสฺส กิํ ภวตี’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ตสฺส สีเล ปติฎฺฐิตสฺสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สีเล สุจริตสงฺขาเต สีลกฺขเนฺธ ปติฎฺฐิตสฺส ตสฺส สีลวนฺตสฺส ปุคฺคลสฺส ภเวสุ กามภวรูปารูปภเวสุ อาสตฺติ ภวปตฺถนา ยทิ อุปฺปชฺชติ, เอวํสายนฺติ เอวํ อสฺส อยนฺติ ปทเจฺฉโทฯ เอวํ สติ อสฺส สีเล ปติฎฺฐิตสฺส อยํ อาสตฺติ ภวปตฺถนา สมถวิปสฺสนาภาวนามยปุญฺญกิริยวตฺถุ จ ภวติ, จ-สเทฺทน ทานมยสีลมยปุญฺญกิริยวตฺถุ จ ภวตีติ อโตฺถ สงฺคหิโตฯ ตตฺราติ เตสุ กามภวรูปารูปภเวสุ อุปปตฺติยา สํวตฺตตีติฯ
Vuttaṃ. ‘‘Tesu suttesu ye saṃkilesādayo bhagavatā vuttā, tesu saṃkilesādīsu saṃkileso kittako’’ti pucchitabbattā ‘‘tattha saṃkileso tividho taṇhāsaṃkileso diṭṭhisaṃkileso duccaritasaṃkileso’’ti vuttaṃ. Tatthāti tesu suttantesu saṃkilesādīsu dhammesu. ‘‘Tividhe tasmiṃ saṃkilese taṇhāsaṃkileso katamena kusalena visujjhatī’’ti pucchitabbattā ‘‘tattha taṇhāsaṃkileso samathena visujjhatī’’ti vuttaṃ. Tatthāti tasmiṃ tividhe taṇhāsaṃkilesādike. ‘‘So samatho khandhesu katamo khandho’’ti pucchitabbattā ‘‘so samatho samādhikkhandho’’ti vuttaṃ. ‘‘Diṭṭhisaṃkileso kena visujjhatī’’ti pucchitabbattā ‘‘diṭṭhisaṃkileso vipassanāya visujjhatī’’ti vuttaṃ. ‘‘Sā vipassanā katamo khandho’’ti vattabbattā ‘‘sā vipassanā paññākkhandho’’ti vuttaṃ. ‘‘Duccaritasaṃkileso kena visujjhatī’’ti vattabbattā ‘‘duccaritasaṃkileso sucaritena visujjhatī’’ti vuttaṃ. ‘‘Taṃ sucaritaṃ katamo khandho’’ti vattabbattā ‘‘taṃ sucaritaṃ sīlakkhandho’’ti vuttaṃ. ‘‘Tasmiṃ sīle ṭhitassa puggalassa kiṃ bhavatī’’ti vattabbattā ‘‘tassa sīle patiṭṭhitassā’’tiādi vuttaṃ. Sīle sucaritasaṅkhāte sīlakkhandhe patiṭṭhitassa tassa sīlavantassa puggalassa bhavesu kāmabhavarūpārūpabhavesu āsatti bhavapatthanā yadi uppajjati, evaṃsāyanti evaṃ assa ayanti padacchedo. Evaṃ sati assa sīle patiṭṭhitassa ayaṃ āsatti bhavapatthanā samathavipassanābhāvanāmayapuññakiriyavatthu ca bhavati, ca-saddena dānamayasīlamayapuññakiriyavatthu ca bhavatīti attho saṅgahito. Tatrāti tesu kāmabhavarūpārūpabhavesu upapattiyā saṃvattatīti.
‘‘สํกิเลสาทโย เยหิ สุเตฺตหิ ทสฺสิตา, ตานิ สุตฺตานิ กิตฺตกานี’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘อิมานิ จตฺตาริ สุตฺตานี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อสาธารณานิ สํกิเลสภาคิยสุตฺตวาสนาภาคิยสุตฺตนิเพฺพธภาคิยสุตฺตอเสกฺขภาคิยสุตฺตานิ จตฺตาริ สุตฺตานิ ภวนฺติ, สาธารณานิ สํกิเลสภาคิยวาสนาภาคิยสุตฺต, สํกิเลสภาคิยนิเพฺพธภาคิยสุตฺต, สํกิเลสภาคิยอเสกฺขภาคิยสุตฺต, วาสนาภาคิยนิเพฺพธภาคิยสุตฺตานิ กตานิ มิสฺสิตานิ จตฺตาริ ภวนฺติฯ อิติ อฎฺฐ สุตฺตานิ ภวนฺติฯ ตานิเยว วุตฺตปฺปการานิ อฎฺฐ สุตฺตานิ ภวนฺติฯ สาธารณานิ วาสนาภาคิยอเสกฺขภาคิยสุตฺตนิเพฺพธภาคิยอเสกฺขภาคิยสุตฺต- สํกิเลสภาคิยวาสนาภาคิยนิเพฺพธภาคิยสุตฺตสํกิเลส- ภาคิยวาสนาภาคิยอเสกฺขภาคิยสุตฺต- สํกิเลสภาคิยนิเพฺพธภาคิยอเสกฺขภาคิยสุตฺต- วาสนาภาคิยนิเพฺพธภาคิยอเสกฺขภาคิยสุตฺต- สํกิเลสภาคิยวาสนาภาคิยนิเพฺพธภาคิยอเสกฺขภาคิยสุตฺต- เนวสํกิเลสภาคิยนวาสนา- ภาคิยนนิเพฺพธภาคิยนอเสกฺขภาคิยสุตฺตานิ กตานิ มิสฺสิตานิ อฎฺฐ สุตฺตานิ ภวนฺตีติ โสฬส สุตฺตานิ ภวนฺติฯ เตสุ โสฬสสุเตฺตสุ จตฺตาริ เอกกานิ สุตฺตานิ จ จตฺตาริ ทุกานิ สุตฺตานิ จ เทฺว ติกานิ จ ปาฬิยํ อาคตานิ, เทฺว ทุกานิ สุตฺตานิ จ เทฺว ติกานิ จ เทฺว จตุกฺกานิ สุตฺตานิ จ อฎฺฐกถายํ (เนตฺติ. อฎฺฐ. ๘๙) อาคตานิฯ
‘‘Saṃkilesādayo yehi suttehi dassitā, tāni suttāni kittakānī’’ti vattabbattā ‘‘imāni cattāri suttānī’’tiādi vuttaṃ. Asādhāraṇāni saṃkilesabhāgiyasuttavāsanābhāgiyasuttanibbedhabhāgiyasuttaasekkhabhāgiyasuttāni cattāri suttāni bhavanti, sādhāraṇāni saṃkilesabhāgiyavāsanābhāgiyasutta, saṃkilesabhāgiyanibbedhabhāgiyasutta, saṃkilesabhāgiyaasekkhabhāgiyasutta, vāsanābhāgiyanibbedhabhāgiyasuttāni katāni missitāni cattāri bhavanti. Iti aṭṭha suttāni bhavanti. Tāniyeva vuttappakārāni aṭṭha suttāni bhavanti. Sādhāraṇāni vāsanābhāgiyaasekkhabhāgiyasuttanibbedhabhāgiyaasekkhabhāgiyasutta- saṃkilesabhāgiyavāsanābhāgiyanibbedhabhāgiyasuttasaṃkilesa- bhāgiyavāsanābhāgiyaasekkhabhāgiyasutta- saṃkilesabhāgiyanibbedhabhāgiyaasekkhabhāgiyasutta- vāsanābhāgiyanibbedhabhāgiyaasekkhabhāgiyasutta- saṃkilesabhāgiyavāsanābhāgiyanibbedhabhāgiyaasekkhabhāgiyasutta- nevasaṃkilesabhāgiyanavāsanā- bhāgiyananibbedhabhāgiyanaasekkhabhāgiyasuttāni katāni missitāni aṭṭha suttāni bhavantīti soḷasa suttāni bhavanti. Tesu soḷasasuttesu cattāri ekakāni suttāni ca cattāri dukāni suttāni ca dve tikāni ca pāḷiyaṃ āgatāni, dve dukāni suttāni ca dve tikāni ca dve catukkāni suttāni ca aṭṭhakathāyaṃ (netti. aṭṭha. 89) āgatāni.
‘‘ยทิ ปฎฺฐานนเยน วุตฺตปฺปการานิ โสฬส สุตฺตานิเยว วิภตฺตานิ, เอวํ สติ สุตฺตเคยฺยาทินววิธํ สกลํ ปริยตฺติสาสนํ ปฎฺฐานนเยน อวิภตฺตํ ภเวยฺยา’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘อิเมหิ โสฬสหิ สุเตฺตหี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ปฎฺฐานนเยน วิภเตฺตหิ โสฬสหิ อิเมหิ สุเตฺตหิ นววิธํ สกลํ ปริยตฺติสุตฺตํ ปฎฺฐานนเยน วิภตฺตํเยว หุตฺวา ภินฺนํ ภวติฯ สํกิเลสภาคิยาทิปเภทาย คาถาย คาถา อนุมินิตพฺพา, สํกิเลสภาคิยาทิปเภเทน เวยฺยากรเณน เวยฺยากรณํ อนุมินิตพฺพํฯ สํกิเลสภาคิยาทิปเภเทน สุเตฺตน สุตฺตํ อนุมินิตพฺพํ ภวติเยวาติฯ
‘‘Yadi paṭṭhānanayena vuttappakārāni soḷasa suttāniyeva vibhattāni, evaṃ sati suttageyyādinavavidhaṃ sakalaṃ pariyattisāsanaṃ paṭṭhānanayena avibhattaṃ bhaveyyā’’ti vattabbattā ‘‘imehi soḷasahi suttehī’’tiādi vuttaṃ. Paṭṭhānanayena vibhattehi soḷasahi imehi suttehi navavidhaṃ sakalaṃ pariyattisuttaṃ paṭṭhānanayena vibhattaṃyeva hutvā bhinnaṃ bhavati. Saṃkilesabhāgiyādipabhedāya gāthāya gāthā anuminitabbā, saṃkilesabhāgiyādipabhedena veyyākaraṇena veyyākaraṇaṃ anuminitabbaṃ. Saṃkilesabhāgiyādipabhedena suttena suttaṃ anuminitabbaṃ bhavatiyevāti.
๙๐. ‘‘เตสุ โสฬสสุ สํกิเลสภาคิยาทีสุ สุเตฺตสุ กตมํ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺต’’นฺติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ กตมํ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถาติ เตสุ โสฬสสุ สํกิเลสภาคิยาทีสุ สุเตฺตสุ กตมํ สุตฺตํ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ นามาติ ปุจฺฉติฯ
90. ‘‘Tesu soḷasasu saṃkilesabhāgiyādīsu suttesu katamaṃ saṃkilesabhāgiyaṃ sutta’’nti pucchitabbattā ‘‘tattha katamaṃ saṃkilesabhāgiyaṃ sutta’’ntiādi vuttaṃ. Tatthāti tesu soḷasasu saṃkilesabhāgiyādīsu suttesu katamaṃ suttaṃ saṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ nāmāti pucchati.
‘‘กามนฺธา ชาลสญฺฉนฺนา, ตณฺหาฉทนฉาทิตา;
‘‘Kāmandhā jālasañchannā, taṇhāchadanachāditā;
ปมตฺตพนฺธนาพทฺธา, มจฺฉาว กุมินามุเข;
Pamattabandhanābaddhā, macchāva kumināmukhe;
ชรามรณมเนฺวนฺติ, วโจฺฉ ขีรปโกว มาตร’’นฺติฯ –
Jarāmaraṇamanventi, vaccho khīrapakova mātara’’nti. –
อิทํ สุตฺตํ สํกิเลสภาเค วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ เย สตฺตา กามนฺธา กาเมน อนฺธา ชาลสญฺฉนฺนา ตณฺหาฉทเนน ฉาทิตา, ปมตฺตพนฺธนาย พทฺธา พนฺธิตพฺพา, เต สเตฺต ชรามรณํ อเนฺวติ, ยถา ตํ กุมินามุเข เย มจฺฉา คหิตา, เต มเจฺฉ ชรามรณํ อเนฺวติ อิว, เอวํ เต สเตฺต ชรามรณํ อเนฺวติฯ ขีรปโก วโจฺฉ มาตรํ อเนฺวติ อิว, เอวํ เต สเตฺต ชรามรณํ อเนฺวตีติ โยชนา กาตพฺพาฯ อถ วา ขีรปโก วโจฺฉ มาตรํ อเนฺวติ อิว, กุมินามุเข คหิตา มจฺฉา ชรามรณํ อเนฺวนฺติ อิว จ, เอวํ เย สตฺตา กามนฺธา ปมตฺตพนฺธนาย พนฺธิตพฺพา, เต สตฺตา ชรามรณํ อเนฺวนฺตีติ โยชนาฯ
Idaṃ suttaṃ saṃkilesabhāge vācakañāpakabhāvena pavattanato saṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Ye sattā kāmandhā kāmena andhā jālasañchannā taṇhāchadanena chāditā, pamattabandhanāya baddhā bandhitabbā, te satte jarāmaraṇaṃ anveti, yathā taṃ kumināmukhe ye macchā gahitā, te macche jarāmaraṇaṃ anveti iva, evaṃ te satte jarāmaraṇaṃ anveti. Khīrapako vaccho mātaraṃ anveti iva, evaṃ te satte jarāmaraṇaṃ anvetīti yojanā kātabbā. Atha vā khīrapako vaccho mātaraṃ anveti iva, kumināmukhe gahitā macchā jarāmaraṇaṃ anventi iva ca, evaṃ ye sattā kāmandhā pamattabandhanāya bandhitabbā, te sattā jarāmaraṇaṃ anventīti yojanā.
‘‘อิทํ สุตฺตํเยวา’’ติ วตฺตพฺพตฺตา –
‘‘Idaṃ suttaṃyevā’’ti vattabbattā –
‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, อคติคมนานิฯ กตมานิ จตฺตาริ? ฉนฺทาคติํ คจฺฉติ, โทสาคติํ คจฺฉติ, โมหาคติํ คจฺฉติ, ภยาคติํ คจฺฉติ, อิมานิ โข, ภิกฺขเว, จตฺตาริ อคติคมนานิฯ อิทมโวจ ภควา, อิทํ วตฺวาน สุคโต, อถาปรํ เอตทโวจ สตฺถา –
‘‘Cattārimāni, bhikkhave, agatigamanāni. Katamāni cattāri? Chandāgatiṃ gacchati, dosāgatiṃ gacchati, mohāgatiṃ gacchati, bhayāgatiṃ gacchati, imāni kho, bhikkhave, cattāri agatigamanāni. Idamavoca bhagavā, idaṃ vatvāna sugato, athāparaṃ etadavoca satthā –
‘‘ฉนฺทา โทสา ภยา โมหา, โย ธมฺมํ อติวตฺตติ;
‘‘Chandā dosā bhayā mohā, yo dhammaṃ ativattati;
นิหียติ ตสฺส ยโส, กาฬปเกฺขว จนฺทิมา’’ติฯ –
Nihīyati tassa yaso, kāḷapakkheva candimā’’ti. –
อิทํ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตนฺติ –
Idaṃ saṃkilesabhāgiyaṃ suttanti –
วุตฺตํฯ ฉนฺทา ฉนฺทเหตุนา โทสา โทสเหตุนา ภยา ภยเหตุนา โมหา โมหเหตุนา โย ราชาทิโก โย วินยธราทิโก วา ธมฺมํ สปฺปุริสธมฺมํ อติวตฺตติ อติกฺกมิตฺวา วตฺตติ, ตสฺส ราชาทิโน วา ตสฺส วินยธราทิโน วา ยโส กิตฺติ จ ปริวาโร จ โภโค จ นิหียติฯ จนฺทิมา กาฬปเกฺข ปภาย นิหียติ อิว, เอวํ นิหียตีติ โยชนาฯ
Vuttaṃ. Chandā chandahetunā dosā dosahetunā bhayā bhayahetunā mohā mohahetunā yo rājādiko yo vinayadharādiko vā dhammaṃ sappurisadhammaṃ ativattati atikkamitvā vattati, tassa rājādino vā tassa vinayadharādino vā yaso kitti ca parivāro ca bhogo ca nihīyati. Candimā kāḷapakkhe pabhāya nihīyati iva, evaṃ nihīyatīti yojanā.
‘‘เอตฺตกํเยวา’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา…เป.… จกฺกํว วหโต ปทนฺติ อิทํ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ อโตฺถ ปากโฎฯ อฎฺฐกถายมฺปิ วิภโตฺตฯ
‘‘Ettakaṃyevā’’ti vattabbattā ‘‘manopubbaṅgamā dhammā…pe… cakkaṃva vahato padanti idaṃ saṃkilesabhāgiyaṃ sutta’’nti vuttaṃ. Attho pākaṭo. Aṭṭhakathāyampi vibhatto.
‘‘มิทฺธี ยทา โหติ มหคฺฆโส จ, นิทฺทายิตา สมฺปริวตฺตสายี;
‘‘Middhī yadā hoti mahagghaso ca, niddāyitā samparivattasāyī;
มหาวราโหว นิวาปปุโฎฺฐ, ปุนปฺปุนํ คพฺภมุเปติ มโนฺท’’ติฯ –
Mahāvarāhova nivāpapuṭṭho, punappunaṃ gabbhamupeti mando’’ti. –
อิทํ สุตฺตมฺปิ สํกิเลสภาเค วิสเย วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ นิวาปปุโฎฺฐ มหาวราโห คามสูกโร นิทฺทายิตา สุปนสีโล สมฺปริวตฺตสายี โหติ อิว, เอวํ โย มโนฺท สโตฺต ยทา มหคฺฆโส โหติ, โส มโนฺท สโตฺต มิทฺธี ถินมิทฺธาภิภูโต หุตฺวา นิทฺทายิตา มุทุผสฺสสยเน มุทุหเตฺถหิ ปรามสิโต สมฺปริวตฺตสายี ปุนปฺปุนํ คพฺภํ อุเปตีติ โยชนาฯ
Idaṃ suttampi saṃkilesabhāge visaye vācakañāpakabhāvena pavattanato saṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Nivāpapuṭṭho mahāvarāho gāmasūkaro niddāyitā supanasīlo samparivattasāyī hoti iva, evaṃ yo mando satto yadā mahagghaso hoti, so mando satto middhī thinamiddhābhibhūto hutvā niddāyitā muduphassasayane muduhatthehi parāmasito samparivattasāyī punappunaṃ gabbhaṃ upetīti yojanā.
‘‘อยสาว มลํ สมุฎฺฐิตํ, ตตุฎฺฐาย ตเมว ขาทติ;
‘‘Ayasāva malaṃ samuṭṭhitaṃ, tatuṭṭhāya tameva khādati;
เอวํ อติโธนจารินํ, สานิ กมฺมานิ นยนฺติ ทุคฺคติ’’นฺติฯ –
Evaṃ atidhonacārinaṃ, sāni kammāni nayanti duggati’’nti. –
อิทํ สุตฺตมฺปิ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ อยสา อยโต สมุฎฺฐิตํ ชาตมลํ ตตุฎฺฐาย ตโต อยโต อุฎฺฐหิตฺวา ตเมว อยํ ขาทติ อิว, เอวํ อติโธนจารินํ อติกฺกมิตฺวา โธนจาริปุคฺคลํ สานิ สยํ กตานิ อกุสลกมฺมานิ ทุคฺคติํ นยนฺตีติ โยชนาฯ
Idaṃ suttampi saṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Ayasā ayato samuṭṭhitaṃ jātamalaṃ tatuṭṭhāya tato ayato uṭṭhahitvā tameva ayaṃ khādati iva, evaṃ atidhonacārinaṃ atikkamitvā dhonacāripuggalaṃ sāni sayaṃ katāni akusalakammāni duggatiṃ nayantīti yojanā.
‘‘โจโร ยถา สนฺธิมุเข คหีโต, สกมฺมุนา หญฺญติ พชฺฌเต จ;
‘‘Coro yathā sandhimukhe gahīto, sakammunā haññati bajjhate ca;
เอวํ อยํ เปจฺจ ปชา ปรตฺถ, สกมฺมุนา หญฺญติ พชฺฌเต จา’’ติฯ –
Evaṃ ayaṃ pecca pajā parattha, sakammunā haññati bajjhate cā’’ti. –
อิทํ สุตฺตมฺปิ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ สนฺธิมุเข ราชปุริสาทีหิ คหิโต โจโร สกมฺมุนา อตฺตนา กเตน โจรกเมฺมน หญฺญติ จ พชฺฌเต จ ยถา, เอวํ อยํ ปาปการินี ปชา ปรตฺถ ปรโลเก เปจฺจ สกมฺมุนา สยํ กเตน อกุสลกมฺมุนา สตฺถาทีหิ หญฺญติ จ อทฺทุพนฺธนาทีหิ พชฺฌเต จาติ โยชนาฯ
Idaṃ suttampi saṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Sandhimukhe rājapurisādīhi gahito coro sakammunā attanā katena corakammena haññati ca bajjhate ca yathā, evaṃ ayaṃ pāpakārinī pajā parattha paraloke pecca sakammunā sayaṃ katena akusalakammunā satthādīhi haññati ca addubandhanādīhi bajjhate cāti yojanā.
‘‘สุขกามานิ ภูตานิ, โย ทเณฺฑน วิหิํสติ;
‘‘Sukhakāmāni bhūtāni, yo daṇḍena vihiṃsati;
อตฺตโน สุขเมสาโน, เปจฺจ โส น ลภเต สุข’’นฺติฯ –
Attano sukhamesāno, pecca so na labhate sukha’’nti. –
อิทํ สุตฺตมฺปิ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ อตฺตโน สุขํ เอสาโน เอสมาโน โย สโตฺต อญฺญานิ สุขกามานิ ภูตานิ ทเณฺฑน วิหิํสติ, โส หิํสโก สโตฺต ปรโลเก เปจฺจ สุขํ น ลภตีติ โยชนาฯ
Idaṃ suttampi saṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Attano sukhaṃ esāno esamāno yo satto aññāni sukhakāmāni bhūtāni daṇḍena vihiṃsati, so hiṃsako satto paraloke pecca sukhaṃ na labhatīti yojanā.
‘‘คุนฺนํ เจ ตรมานานํ, ชิมฺหํ คจฺฉติ ปุงฺคโว;
‘‘Gunnaṃ ce taramānānaṃ, jimhaṃ gacchati puṅgavo;
สพฺพา ตา ชิมฺหํ คจฺฉนฺติ, เนเตฺต ชิมฺหํ คเต สติฯ
Sabbā tā jimhaṃ gacchanti, nette jimhaṃ gate sati.
‘‘เอวเมว มนุเสฺสสุ, โย โหติ เสฎฺฐสมฺมโต;
‘‘Evameva manussesu, yo hoti seṭṭhasammato;
โส เจ อธมฺมํ จรติ, ปเคว อิตรา ปชา;
So ce adhammaṃ carati, pageva itarā pajā;
สพฺพํ รฎฺฐํ ทุกฺขํ เสติ, ราชา เจ โหติ อธมฺมิโก’’ติฯ –
Sabbaṃ raṭṭhaṃ dukkhaṃ seti, rājā ce hoti adhammiko’’ti. –
อิทํ สุตฺตมฺปิ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ นทิํ ตรมานานํ คุนฺนํ ปุงฺคโว ชิมฺหํ เจ คจฺฉติ, เอวํ เนเตฺต ชิมฺหํ คเต สติ สพฺพา ตา คาวิโย ชิมฺหํ คจฺฉนฺติ ยถา, เอวเมว มนุเสฺสสุ โย ราชา เสฎฺฐสมฺมโต, โส ราชา อธมฺมํ จรติ, เอวํ รเญฺญ อธมฺมํ จรเนฺต สติ อิตรา ปชา ปเคว ปฐมเมว อธมฺมํ จรติฯ ราชา อธมฺมิโก เจ โหติ, เอวํ รเญฺญ อธมฺมิเก สติ สพฺพํ รฎฺฐํ ทุกฺขํ เสตีติ โยชนาฯ
Idaṃ suttampi saṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Nadiṃ taramānānaṃ gunnaṃ puṅgavo jimhaṃ ce gacchati, evaṃ nette jimhaṃ gate sati sabbā tā gāviyo jimhaṃ gacchanti yathā, evameva manussesu yo rājā seṭṭhasammato, so rājā adhammaṃ carati, evaṃ raññe adhammaṃ carante sati itarā pajā pageva paṭhamameva adhammaṃ carati. Rājā adhammiko ce hoti, evaṃ raññe adhammike sati sabbaṃ raṭṭhaṃ dukkhaṃ setīti yojanā.
‘‘สุกิจฺฉรูปา วติเม มนุสฺสา, กโรนฺติ ปาปํ อุปธีสุ รตฺตา;
‘‘Sukiccharūpā vatime manussā, karonti pāpaṃ upadhīsu rattā;
คจฺฉนฺติ เต พหุชนสนฺนิวาสํ, นิรยํ อวีจิํ กฎุกํ ภยานก’’นฺติฯ –
Gacchanti te bahujanasannivāsaṃ, nirayaṃ avīciṃ kaṭukaṃ bhayānaka’’nti. –
อิทํ สุตฺตมฺปิ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ เย มนุสฺสา อุปธีสุ กามคุณูปธีสุ รตฺตา ราคาภิภูตา หุตฺวา ปาปํ อกุสลกมฺมํ กโรนฺติ, อิเม ปาปกมฺมกรา มนุสฺสา สุกิจฺฉรูปา วต สุฎฺฐุ กิจฺฉาปนฺนรูปา วต ภวนฺติ, เต ปาปกมฺมกรา มนุสฺสา กฎุกํ ภยานกํ พหุชนสนฺนิวาสํ นิรยํ อวีจิํ คจฺฉนฺตีติ โยชนาฯ
Idaṃ suttampi saṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Ye manussā upadhīsu kāmaguṇūpadhīsu rattā rāgābhibhūtā hutvā pāpaṃ akusalakammaṃ karonti, ime pāpakammakarā manussā sukiccharūpā vata suṭṭhu kicchāpannarūpā vata bhavanti, te pāpakammakarā manussā kaṭukaṃ bhayānakaṃ bahujanasannivāsaṃ nirayaṃ avīciṃ gacchantīti yojanā.
‘‘ผลํ เว กทลิํ หนฺติ, ผลํ เวฬุํ ผลํ นฬํ;
‘‘Phalaṃ ve kadaliṃ hanti, phalaṃ veḷuṃ phalaṃ naḷaṃ;
สกฺกาโร กาปุริสํ หนฺติ, คโพฺภ อสฺสตริํ ยถา’’ติฯ –
Sakkāro kāpurisaṃ hanti, gabbho assatariṃ yathā’’ti. –
อิทํ สุตฺตมฺปิ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ ผลํ กทลิยา ผลํ กทลิํ เว เอกเนฺตน หนฺติ ยถา, ผลํ เวฬุํ เว เอกเนฺตน หนฺติ ยถา, ผลํ นฬํ เว เอกเนฺตน หนฺติ ยถา, คโพฺภ อสฺสตริํ มาตรํ เว เอกเนฺตน หนฺติ ยถา, เอวํ สกฺกาโร กาปุริสํ เว เอกเนฺตน หนฺตีติ โยชนาฯ
Idaṃ suttampi saṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Phalaṃ kadaliyā phalaṃ kadaliṃ ve ekantena hanti yathā, phalaṃ veḷuṃ ve ekantena hanti yathā, phalaṃ naḷaṃ ve ekantena hanti yathā, gabbho assatariṃ mātaraṃ ve ekantena hanti yathā, evaṃ sakkāro kāpurisaṃ ve ekantena hantīti yojanā.
‘‘โกธมกฺขครุ ภิกฺขุ, ลาภสกฺการคารโว;
‘‘Kodhamakkhagaru bhikkhu, lābhasakkāragāravo;
สุเขเตฺต ปูติพีชํว, สทฺธเมฺม น วิรูหตี’’ติฯ –
Sukhette pūtibījaṃva, saddhamme na virūhatī’’ti. –
อิทํ สุตฺตมฺปิ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ สุเขเตฺต สุนฺทเร เขเตฺตปิ ขิตฺตํ ปูติพีชํ น รุหติ อิว, เอวํ โย ภิกฺขุ ลาภสกฺการคารโว โกธํ กุชฺฌนลกฺขณํ โกธํ, มกฺขํ ปรคุณสีลมกฺขนลกฺขณํ มกฺขญฺจ ครุํ กตฺวา จรติ, โส จรโนฺต ภิกฺขุ สทฺธมฺมสฺมิํ น รุหตีติ โยชนาฯ
Idaṃ suttampi saṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Sukhette sundare khettepi khittaṃ pūtibījaṃ na ruhati iva, evaṃ yo bhikkhu lābhasakkāragāravo kodhaṃ kujjhanalakkhaṇaṃ kodhaṃ, makkhaṃ paraguṇasīlamakkhanalakkhaṇaṃ makkhañca garuṃ katvā carati, so caranto bhikkhu saddhammasmiṃ na ruhatīti yojanā.
๙๑. ‘‘อิธาหํ, ภิกฺขเว, เอกจฺจํ ปุคฺคลํ ปทุฎฺฐจิตฺตํ เอวํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานามิ…เป.… อิติ เม สุต’’นฺติ อิทํ สุตฺตมฺปิ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ ภิกฺขเว อิธ สาสเน, โลเก วา อหํ เอกจฺจํ ปุคฺคลํ ปทุฎฺฐจิตฺตํ มม เจตสา ตสฺส เจโต จิตฺตํ ปริจฺจ ปริจฺฉินฺทิตฺวา พุทฺธจกฺขุนา เอวํ ปชานามิฯ ‘‘กถํ ปชานามี’’ติ เจ ปุเจฺฉยฺย, ยญฺจ ปฎิปทํ ปฎิปโนฺน, ยญฺจ มคฺคํ สมารุโฬฺห อยํ ปุคฺคโล ยถา ยาย ทุปฺปฎิปทาย เยน ทุมฺมเคฺคน อิริยติ ปวตฺตติ, ตาย ทุปฺปฎิปทาย เตน ทุมฺมเคฺคน อิมมฺหิ อิมสฺมิํ สมเย ทุปฺปฎิปชฺชนกาเล อยํ ทุปฺปฎิปนฺนํ ปฎิปโนฺน ทุมฺมคฺคสมารุโฬฺห ปุคฺคโล เจ กาลํ กเรยฺย, เอวํ สติ อาภตํ วตฺถุ นิกฺขิตฺตํ ยถา, เอวํ นิรเย นิกฺขิโตฺตฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ภิกฺขเว อสฺส ปุคฺคลสฺส จิตฺตํ ปทุฎฺฐํ ปโทสิตํ หิ ยสฺมา โหติ, ตสฺมา นิกฺขิโตฺตฯ เอวํ อิธ สาสเน, โลเก วา เจโตปโทสเหตุ จ ปน เอกเจฺจ สตฺตา ปุคฺคลา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ อุปปชฺชนฺตีติ ปชานามีติฯ เอตมตฺถํ ภควา อโวจฯ ตตฺถ ตสฺมิํ สุเตฺต เอตํ ‘‘ปทุฎฺฐจิตฺตํ ญตฺวาน…เป.… นิรยํ โส อุปปชฺชตี’’ติ คาถาวจนํ อิติ เอวํ วุจฺจติฯ
91. ‘‘Idhāhaṃ, bhikkhave, ekaccaṃ puggalaṃ paduṭṭhacittaṃ evaṃ cetasā ceto paricca pajānāmi…pe… iti me suta’’nti idaṃ suttampi saṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Bhikkhave idha sāsane, loke vā ahaṃ ekaccaṃ puggalaṃ paduṭṭhacittaṃ mama cetasā tassa ceto cittaṃ paricca paricchinditvā buddhacakkhunā evaṃ pajānāmi. ‘‘Kathaṃ pajānāmī’’ti ce puccheyya, yañca paṭipadaṃ paṭipanno, yañca maggaṃ samāruḷho ayaṃ puggalo yathā yāya duppaṭipadāya yena dummaggena iriyati pavattati, tāya duppaṭipadāya tena dummaggena imamhi imasmiṃ samaye duppaṭipajjanakāle ayaṃ duppaṭipannaṃ paṭipanno dummaggasamāruḷho puggalo ce kālaṃ kareyya, evaṃ sati ābhataṃ vatthu nikkhittaṃ yathā, evaṃ niraye nikkhitto. Taṃ kissa hetu? Bhikkhave assa puggalassa cittaṃ paduṭṭhaṃ padositaṃ hi yasmā hoti, tasmā nikkhitto. Evaṃ idha sāsane, loke vā cetopadosahetu ca pana ekacce sattā puggalā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ upapajjantīti pajānāmīti. Etamatthaṃ bhagavā avoca. Tattha tasmiṃ sutte etaṃ ‘‘paduṭṭhacittaṃ ñatvāna…pe… nirayaṃ so upapajjatī’’ti gāthāvacanaṃ iti evaṃ vuccati.
สตฺถา อิธ สาสเน, โลเก วา ปทุฎฺฐจิตฺตํ เอกจฺจํ ปุคฺคลํ ญตฺวาน ภิกฺขูนํ สนฺติเก เอตมตฺถํ พฺยากาสิฯ อิมมฺหิ อิมสฺมิํ สมเย อยํ ปุคฺคโล เจ กาลํ กยิราถ, เอวํ สติ ปทุฎฺฐจิตฺตสมงฺคี หิ นิรยสฺมิํ อุปปเชฺชยฺย, ปุคฺคลสฺส จิตฺตํ ปทูสิตํ หิ ยสฺมา โหติ, ตสฺมา อุปปเชฺชยฺย, เจโตปโทสเหตุ สตฺตา ทุคฺคติํ คจฺฉนฺติ อาภตํ วตฺถุํ นิกฺขิเปยฺย ยถา, เอวเมวํ ตถาวิโธ ทุปฺปโญฺญ โส ปโทสจิโตฺต ปุคฺคโล กายสฺส เภทา ปรํ มรณา นิรยํ อุปปชฺชตีติ อยมฺปิ อโตฺถ ภควตา วุโตฺต, อิติ เม มยา สุตนฺติ โยชนาฯ
Satthā idha sāsane, loke vā paduṭṭhacittaṃ ekaccaṃ puggalaṃ ñatvāna bhikkhūnaṃ santike etamatthaṃ byākāsi. Imamhi imasmiṃ samaye ayaṃ puggalo ce kālaṃ kayirātha, evaṃ sati paduṭṭhacittasamaṅgī hi nirayasmiṃ upapajjeyya, puggalassa cittaṃ padūsitaṃ hi yasmā hoti, tasmā upapajjeyya, cetopadosahetu sattā duggatiṃ gacchanti ābhataṃ vatthuṃ nikkhipeyya yathā, evamevaṃ tathāvidho duppañño so padosacitto puggalo kāyassa bhedā paraṃ maraṇā nirayaṃ upapajjatīti ayampi attho bhagavatā vutto, iti me mayā sutanti yojanā.
‘‘สเจ ภายถ ทุกฺขสฺส, สเจ โว ทุกฺขมปฺปิยํ;
‘‘Sace bhāyatha dukkhassa, sace vo dukkhamappiyaṃ;
มากตฺถ ปาปกํ กมฺมํ, อาวิ วา ยทิ วา รโหฯ
Mākattha pāpakaṃ kammaṃ, āvi vā yadi vā raho.
‘‘สเจ จ ปาปกํ กมฺมํ, กริสฺสถ กโรถ วา;
‘‘Sace ca pāpakaṃ kammaṃ, karissatha karotha vā;
น โว ทุกฺขา ปมุตฺยตฺถิ, อุเปจฺจปิ ปลายต’’นฺติฯ –
Na vo dukkhā pamutyatthi, upeccapi palāyata’’nti. –
อิทํ สุตฺตมฺปิ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ สปฺปุริสา ตุเมฺห ทุกฺขสฺส ชาติทุกฺขชราทุกฺขพฺยาธิทุกฺขมรณทุกฺขอปายทุกฺข- อตีตวฎฺฎมูลกทุกฺขอนาคตวฎฺฎมูลกทุกฺขปจฺจุปฺปนฺนาหารมูลกทุกฺขาติ อฎฺฐวิธสฺส ทุกฺขสฺส สเจ ภายถ, โว ตุเมฺหหิ ทุกฺขํ ตถา อฎฺฐวิธํ ทุกฺขํ สเจ อปฺปิยํ, เอวํ สติ อาวิ วา ยทิ รโห วา ปาปกํ กมฺมํ มากตฺถ มา อกตฺถฯ สปฺปุริสา ตุเมฺห อาวิ วา ยทิ รโห วา ปาปกํ กมฺมํ สเจ กริสฺสถ วา สเจ กโรถ วา, เอวํ สติ อุเปจฺจปิ สญฺจิจฺจาปิ ปลายตํ ปลายนฺตานํ โว ตุมฺหากํ ทุกฺขา อฎฺฐวิธา ทุกฺขโต ปมุตฺติ มุจฺจนํ นเตฺถวาติ โยชนาฯ
Idaṃ suttampi saṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Sappurisā tumhe dukkhassa jātidukkhajarādukkhabyādhidukkhamaraṇadukkhaapāyadukkha- atītavaṭṭamūlakadukkhaanāgatavaṭṭamūlakadukkhapaccuppannāhāramūlakadukkhāti aṭṭhavidhassa dukkhassa sace bhāyatha, vo tumhehi dukkhaṃ tathā aṭṭhavidhaṃ dukkhaṃ sace appiyaṃ, evaṃ sati āvi vā yadi raho vā pāpakaṃ kammaṃ mākattha mā akattha. Sappurisā tumhe āvi vā yadi raho vā pāpakaṃ kammaṃ sace karissatha vā sace karotha vā, evaṃ sati upeccapi sañciccāpi palāyataṃ palāyantānaṃ vo tumhākaṃ dukkhā aṭṭhavidhā dukkhato pamutti muccanaṃ natthevāti yojanā.
‘‘อธเมฺมน ธนํ ลทฺธา, มุสาวาเทน จูภยํ;
‘‘Adhammena dhanaṃ laddhā, musāvādena cūbhayaṃ;
มเมติ พาลา มญฺญนฺติ, ตํ กถํ นุ ภวิสฺสติฯ
Mameti bālā maññanti, taṃ kathaṃ nu bhavissati.
‘‘อนฺตรายา สุ ภวิสฺสนฺติ, สมฺภตสฺส วินสฺสติ;
‘‘Antarāyā su bhavissanti, sambhatassa vinassati;
มตา สคฺคํ น คจฺฉนฺติ, นนุ เอตฺตาวตา หตา’’ติฯ –
Matā saggaṃ na gacchanti, nanu ettāvatā hatā’’ti. –
อิทํ สุตฺตมฺปิ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ เย พาลา อธเมฺมน จ มุสาวาเทน จ ธนํ สวิญฺญาณาวิญฺญาณํ สพฺพํ ลภิตพฺพํ ธนํ ลทฺธา อุภยํ ธนํ ‘‘มม ธน’’นฺติ มญฺญนฺติ, เตสํ พาลานํ ตํ อุภยํ ธนํ กถํ เกน นุ ปกาเรน ภวิสฺสติ, อธเมฺมน สมฺภตตฺตา จิรฎฺฐิติกํ น โหติฯ อนฺตรายา ราชนฺตรายาทโย อนฺตรายา เตสํ พาลานํ ภวิสฺสนฺติฯ เยน อธมฺมโวหาราทิเกน ยํ ธนํ สมฺภตํ, อสฺส อธมฺมโวหาราทิกสฺส ตํ สมฺภตํ ธนํ วินสฺสติฯ มตา มรนฺตา เต พาลา สคฺคํ สุคติํ น คจฺฉนฺติฯ สุคติ หิ โสภเนหิ โภเคหิ อโคฺคติ ‘‘สโคฺค’’ติ อธิเปฺปตา ฯ เอตฺตาวตา เอตฺตเกน ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกานํ อตฺตหิตานํ หายเนน เต พาลา หตา วินฎฺฐา ภวนฺติ นนูติ โยชนาฯ
Idaṃ suttampi saṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Ye bālā adhammena ca musāvādena ca dhanaṃ saviññāṇāviññāṇaṃ sabbaṃ labhitabbaṃ dhanaṃ laddhā ubhayaṃ dhanaṃ ‘‘mama dhana’’nti maññanti, tesaṃ bālānaṃ taṃ ubhayaṃ dhanaṃ kathaṃ kena nu pakārena bhavissati, adhammena sambhatattā ciraṭṭhitikaṃ na hoti. Antarāyā rājantarāyādayo antarāyā tesaṃ bālānaṃ bhavissanti. Yena adhammavohārādikena yaṃ dhanaṃ sambhataṃ, assa adhammavohārādikassa taṃ sambhataṃ dhanaṃ vinassati. Matā marantā te bālā saggaṃ sugatiṃ na gacchanti. Sugati hi sobhanehi bhogehi aggoti ‘‘saggo’’ti adhippetā . Ettāvatā ettakena diṭṭhadhammikasamparāyikānaṃ attahitānaṃ hāyanena te bālā hatā vinaṭṭhā bhavanti nanūti yojanā.
‘‘กถํ ขณติ อตฺตานํ, กถํ มิเตฺตหิ ชีรติ;
‘‘Kathaṃ khaṇati attānaṃ, kathaṃ mittehi jīrati;
กถํ วิวฎฺฎเต ธมฺมา, กถํ สคฺคํ น คจฺฉติ’’ฯ
Kathaṃ vivaṭṭate dhammā, kathaṃ saggaṃ na gacchati’’.
‘‘โลภา ขณติ อตฺตานํ, ลุโทฺธ มิเตฺตหิ ชีรติ;
‘‘Lobhā khaṇati attānaṃ, luddho mittehi jīrati;
โลภา วิวฎฺฎเต ธมฺมา, โลภา สคฺคํ น คจฺฉตี’’ติฯ –
Lobhā vivaṭṭate dhammā, lobhā saggaṃ na gacchatī’’ti. –
อิทํ สุตฺตมฺปิ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ โยชนโตฺถ ปากโฎฯ
Idaṃ suttampi saṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Yojanattho pākaṭo.
‘‘จรนฺติ พาลา ทุเมฺมธา, อมิเตฺตเนว อตฺตนา;
‘‘Caranti bālā dummedhā, amitteneva attanā;
กโรนฺตา ปาปกํ กมฺมํ, ยํ โหติ กฎุกปฺผลํฯ
Karontā pāpakaṃ kammaṃ, yaṃ hoti kaṭukapphalaṃ.
‘‘น ตํ กมฺมํ กตํ สาธุ, ยํ กตฺวา อนุตปฺปติ;
‘‘Na taṃ kammaṃ kataṃ sādhu, yaṃ katvā anutappati;
ยสฺส อสฺสุมุโข โรทํ, วิปากํ ปฎิเสวตี’’ติฯ –
Yassa assumukho rodaṃ, vipākaṃ paṭisevatī’’ti. –
อิทํ สุตฺตมฺปิ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ ทุเมฺมธา นิปฺปญฺญา พาลา อมิเตฺตน ปาปกํ กมฺมํ กตํ อิว, เอวํ อตฺตนา กฎุกปฺผลํ ยํ กมฺมํ กตํ โหติ, ตํ ปาปกํ กตํ กมฺมํ กโรนฺตา จรนฺติฯ ยํ กมฺมํ กตฺวา กโรโนฺต ปจฺฉา อนุตปฺปติ, ตํ กตํ กมฺมํ น สาธุฯ ยสฺส กมฺมสฺส วิปากํ โรทํ รุทโนฺต อสฺสุมุโข ปฎิเสวติ, ตํ กตํ กมฺมํ น สาธูติ โยชนาฯ
Idaṃ suttampi saṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Dummedhā nippaññā bālā amittena pāpakaṃ kammaṃ kataṃ iva, evaṃ attanā kaṭukapphalaṃ yaṃ kammaṃ kataṃ hoti, taṃ pāpakaṃ kataṃ kammaṃ karontā caranti. Yaṃ kammaṃ katvā karonto pacchā anutappati, taṃ kataṃ kammaṃ na sādhu. Yassa kammassa vipākaṃ rodaṃ rudanto assumukho paṭisevati, taṃ kataṃ kammaṃ na sādhūti yojanā.
‘‘ทุกฺกรํ ทุตฺติติกฺขญฺจ…เป.… อวีตราโค’’ติ อิทํ สุตฺตมฺปิ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ สุตฺตโตฺถ อฎฺฐกถายํ วิตฺถารโต วุโตฺตฯ
‘‘Dukkaraṃ duttitikkhañca…pe… avītarāgo’’ti idaṃ suttampi saṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Suttattho aṭṭhakathāyaṃ vitthārato vutto.
‘‘อปฺปเมยฺยํ ปมินโนฺต, โกธ วิทฺวา วิกปฺปเย;
‘‘Appameyyaṃ paminanto, kodha vidvā vikappaye;
อปฺปเมยฺยํ ปมายินํ, นิวุตํ ตํ มเญฺญ อกิสฺสว’’นฺติฯ –
Appameyyaṃ pamāyinaṃ, nivutaṃ taṃ maññe akissava’’nti. –
อิทํ สุตฺตมฺปิ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ อิธ สาสเน อปฺปเมยฺยํ อปฺปเมยฺยคุณํ ขีณาสวํ ปุคฺคลํ ‘‘อยํ ขีณาสโว ปุคฺคโล เอตฺตกสีโล เอตฺตกสมาธิ เอตฺตกปโญฺญ’’ติ ปมินโนฺต โก ปุถุชฺชโน วิกปฺปเยฯ อปฺปเมยฺยํ ขีณาสวปุคฺคลํ ปมายินํ ปมายนฺตํ ตํ ปุถุชฺชนํ อยํ นิวุตํ อวกุชฺชปญฺญํ อกิสฺสวํ อปญฺญนฺติ มเญฺญ มญฺญามีติ โยชนาฯ
Idaṃ suttampi saṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Idha sāsane appameyyaṃ appameyyaguṇaṃ khīṇāsavaṃ puggalaṃ ‘‘ayaṃ khīṇāsavo puggalo ettakasīlo ettakasamādhi ettakapañño’’ti paminanto ko puthujjano vikappaye. Appameyyaṃ khīṇāsavapuggalaṃ pamāyinaṃ pamāyantaṃ taṃ puthujjanaṃ ayaṃ nivutaṃ avakujjapaññaṃ akissavaṃ apaññanti maññe maññāmīti yojanā.
‘‘ปุริสสฺส หิ ชาตสฺส, กุฐารี ชายเต มุเข;
‘‘Purisassa hi jātassa, kuṭhārī jāyate mukhe;
ยาย ฉินฺทติ อตฺตานํ, พาโล ทุพฺภาสิตํ ภณํฯ
Yāya chindati attānaṃ, bālo dubbhāsitaṃ bhaṇaṃ.
‘‘น หิ สตฺถํ สุนิสิตํ, วิสํ หลาหลํ อิว;
‘‘Na hi satthaṃ sunisitaṃ, visaṃ halāhalaṃ iva;
เอวํ วิรทฺธํ ปาเตติ, วาจา ทุพฺภาสิตา ยถา’’ติฯ –
Evaṃ viraddhaṃ pāteti, vācā dubbhāsitā yathā’’ti. –
อิทํ สุตฺตมฺปิ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ ทุพฺภาสิตํ อริยูปวาทสงฺขาตํ ผรุสวาจํ ภณํ ภณโนฺต พาโล ทุโฎฺฐ ปุริโส ยาย กุฐารีสทิสิยา ทุพฺภาสิตวาจาย อตฺตานํ ฉินฺทติ, สา กุฐารีสทิสี ทุพฺภาสิตวาจา ชาตสฺส ปุริสสฺส มุเข ชายเต ชายติ, สา ทุพฺภาสิตวาจา มุเข ชายติ อิว, เอวํ สุนิสิตํ สตฺถํ มุเข น ชายติ, ยถา หลาหลํ วิสํ มุเข น ชายติ, ทุพฺภาสิตา วาจา อปาเยสุ วิรทฺธํ ปุคฺคลํ ปาเตติ ยถา, เอวํ สุนิสิตํ สตฺถํ อปาเยสุ น ปาเตติ, หลาหลํ วิสํ อปาเยสุ น ปาเตตีติ โยชนาฯ
Idaṃ suttampi saṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Dubbhāsitaṃ ariyūpavādasaṅkhātaṃ pharusavācaṃ bhaṇaṃ bhaṇanto bālo duṭṭho puriso yāya kuṭhārīsadisiyā dubbhāsitavācāya attānaṃ chindati, sā kuṭhārīsadisī dubbhāsitavācā jātassa purisassa mukhe jāyate jāyati, sā dubbhāsitavācā mukhe jāyati iva, evaṃ sunisitaṃ satthaṃ mukhe na jāyati, yathā halāhalaṃ visaṃ mukhe na jāyati, dubbhāsitā vācā apāyesu viraddhaṃ puggalaṃ pāteti yathā, evaṃ sunisitaṃ satthaṃ apāyesu na pāteti, halāhalaṃ visaṃ apāyesu na pātetīti yojanā.
๙๒.
92.
‘‘โย นินฺทิยํ ปสํสติ, ตํ วา นินฺทติ โย ปสํสิโย;
‘‘Yo nindiyaṃ pasaṃsati, taṃ vā nindati yo pasaṃsiyo;
วิจินาติ มุเขน โส กลิํ, กลินา เตน สุขํ น วินฺทติฯ
Vicināti mukhena so kaliṃ, kalinā tena sukhaṃ na vindati.
‘‘อปฺปมโตฺต อยํ กลิ, โย อเกฺขสุ ธนปราชโย;
‘‘Appamatto ayaṃ kali, yo akkhesu dhanaparājayo;
สพฺพสฺสาปิ สหาปิ อตฺตนา, อยเมว มหนฺตตโร กลิ;
Sabbassāpi sahāpi attanā, ayameva mahantataro kali;
โย สุคเตสุ มนํ ปโทสเยฯ
Yo sugatesu manaṃ padosaye.
‘‘สตํ สหสฺสานํ นิรพฺพุทานํ, ฉตฺติํสตี ปญฺจ จ อพฺพุทานิ;
‘‘Sataṃ sahassānaṃ nirabbudānaṃ, chattiṃsatī pañca ca abbudāni;
ยมริยครหี นิรยํ อุเปติ, วาจํ มนญฺจ ปณิธาย ปาปก’’นฺติฯ –
Yamariyagarahī nirayaṃ upeti, vācaṃ manañca paṇidhāya pāpaka’’nti. –
อิทํ สุตฺตมฺปิ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ โย ปุคฺคโล นินฺทิยํ ทุจฺจรํ ทุสฺสีลํ ปุคฺคลํ ปสํสติ, โส ปสํสโก ปุคฺคโล มุเขน กลิํ วิจินาติ อุปจินาติ, เตน กลินา สุขํ น วินฺทติฯ โย สุจารี สีลวา ปุคฺคโล ปสํสิโย โหติ, ตํ วา สุจาริํ วา สีลวนฺตํ ปุคฺคลํ โย ปุคฺคโล นินฺทติ, โส นินฺทโนฺต ปุคฺคโล มุเขน กลิํ วิจินาติ อุปจินาติ, เตน กลินา สุขํ น วินฺทติฯ
Idaṃ suttampi saṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Yo puggalo nindiyaṃ duccaraṃ dussīlaṃ puggalaṃ pasaṃsati, so pasaṃsako puggalo mukhena kaliṃ vicināti upacināti, tena kalinā sukhaṃ na vindati. Yo sucārī sīlavā puggalo pasaṃsiyo hoti, taṃ vā sucāriṃ vā sīlavantaṃ puggalaṃ yo puggalo nindati, so nindanto puggalo mukhena kaliṃ vicināti upacināti, tena kalinā sukhaṃ na vindati.
อตฺตนา สหาปิ สพฺพสฺส ธนสฺส วเสนปิ อเกฺขสุ โย ธนปราชโย ภวติ, อยํ กลิ อยํ ธนปราชโย อปฺปมโตฺต โหติฯ โย ปุคฺคโล สุคเตสุ มนํ ปโทสเย, ตสฺส ปุคฺคลสฺส โย กลิ ภวติ, อยเมว กลิ มหนฺตตโร โหติฯ
Attanā sahāpi sabbassa dhanassa vasenapi akkhesu yo dhanaparājayo bhavati, ayaṃ kali ayaṃ dhanaparājayo appamatto hoti. Yo puggalo sugatesu manaṃ padosaye, tassa puggalassa yo kali bhavati, ayameva kali mahantataro hoti.
กสฺมา? วาจญฺจ มนญฺจ ปณิธาย อริยครหี ปุคฺคโล ยํ กาลํ ปาปกํ นิรยํ อุเปติ, โส กาโล ‘‘สตํ สหสฺสานํ นิรพฺพุทานญฺจ ฉตฺติํส นิรพฺพุทานิ จ ปญฺจ อพฺพุทานิ จ ยสฺมิํ กาเล คณียนฺตี’’ติ เตน กาเลน สโม โหติ, ตสฺมา มหนฺตตโร โหตีติ โยชนาฯ
Kasmā? Vācañca manañca paṇidhāya ariyagarahī puggalo yaṃ kālaṃ pāpakaṃ nirayaṃ upeti, so kālo ‘‘sataṃ sahassānaṃ nirabbudānañca chattiṃsa nirabbudāni ca pañca abbudāni ca yasmiṃ kāle gaṇīyantī’’ti tena kālena samo hoti, tasmā mahantataro hotīti yojanā.
‘‘โย โลภคุเณ อนุยุโตฺต…เป.…
‘‘Yo lobhaguṇe anuyutto…pe…
คจฺฉสิ โข ปปตํ จิรรตฺต’’นฺติฯ –
Gacchasi kho papataṃ ciraratta’’nti. –
อิทํ สุตฺตมฺปิ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ โย ปุคฺคโล โลภคุเณ อนุยุโตฺต อนุ ปุนปฺปุนํ ยุโตฺต โหติ, โส ปุคฺคโล อเญฺญ ปุคฺคเล วจสา ปริภาสติ, อสฺสโทฺธ กทริโย อวทญฺญู พุทฺธานํ โอวาทญฺญู น โหติ, มจฺฉรี เปสุณิยํ เปสุณิยสฺมิํ อนุยุโตฺต โหติฯ
Idaṃ suttampi saṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Yo puggalo lobhaguṇe anuyutto anu punappunaṃ yutto hoti, so puggalo aññe puggale vacasā paribhāsati, assaddho kadariyo avadaññū buddhānaṃ ovādaññū na hoti, maccharī pesuṇiyaṃ pesuṇiyasmiṃ anuyutto hoti.
มุขทุคฺค มุขวิสม วิภูต วิคตภูต อนริย ภูนหุ พุทฺธิวินาสก ปาปก ทุกฺกฎการิ ปุริสนฺต ปุริสลามก กลิ อลกฺขิ อวชาตปุตฺต ตฺวํ เนรยิโก อสิฯ อิธ อิทานิ พหุภาณี มา โหหิฯ
Mukhadugga mukhavisama vibhūta vigatabhūta anariya bhūnahu buddhivināsaka pāpaka dukkaṭakāri purisanta purisalāmaka kali alakkhi avajātaputta tvaṃ nerayiko asi. Idha idāni bahubhāṇī mā hohi.
อหิตาย รชํ อตฺตนิ มา อากิรสิ มา ปกฺขิปสิฯ กิพฺพิสการิ ตฺวํ สเนฺต ขีณาสเว ปุคฺคเล ครหสิ, พหูนิ ทุจฺจริตานิ กมฺมานิ จรสิ, จริตฺวา ตฺวํ จิรรตฺตํ รจนวิรหิตํ ปปตํ นรกํ นิรยํ คจฺฉสิ โข เอกํเสนาติ โยชนาฯ
Ahitāya rajaṃ attani mā ākirasi mā pakkhipasi. Kibbisakāri tvaṃ sante khīṇāsave puggale garahasi, bahūni duccaritāni kammāni carasi, caritvā tvaṃ cirarattaṃ racanavirahitaṃ papataṃ narakaṃ nirayaṃ gacchasi kho ekaṃsenāti yojanā.
นานาวิธํ สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ อาจริเยน นิทฺธาริตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘กตมํ วาสนาภาคิยํ สุตฺต’’นฺติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ กตมํ วาสนาภาคิยํ สุตฺต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถาติ เตสุ โสฬสสุ สํกิเลสภาคิยาทีสุ สุเตฺตสุ กตมํ สุตฺตํ วาสนาภาคิยํ สุตฺตํ นามาติ ปุจฺฉติฯ ‘‘มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา…เป.… ฉายาว อนปายินี’’ติ อิทํ วาสนาภาเค ปุญฺญภาเค วิสเย วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต วาสนาภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ อโตฺถ ปากโฎฯ
Nānāvidhaṃ saṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ ācariyena niddhāritaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘katamaṃ vāsanābhāgiyaṃ sutta’’nti pucchitabbattā ‘‘tattha katamaṃ vāsanābhāgiyaṃ sutta’’ntiādi vuttaṃ. Tatthāti tesu soḷasasu saṃkilesabhāgiyādīsu suttesu katamaṃ suttaṃ vāsanābhāgiyaṃ suttaṃ nāmāti pucchati. ‘‘Manopubbaṅgamā dhammā…pe… chāyāva anapāyinī’’ti idaṃ vāsanābhāge puññabhāge visaye vācakañāpakabhāvena pavattanato vāsanābhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Attho pākaṭo.
๙๓. ‘‘มหานาโม สโกฺก ภควนฺตํ เอตทโวจ…เป.… อปาปิกา กาลงฺกิริยา’’ติ อิทํ สุตฺตมฺปิ วาสนาภาเค ปุญฺญภาเค วิสเย วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต วาสนาภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ อโตฺถ ปากโฎฯ
93. ‘‘Mahānāmo sakko bhagavantaṃ etadavoca…pe… apāpikā kālaṅkiriyā’’ti idaṃ suttampi vāsanābhāge puññabhāge visaye vācakañāpakabhāvena pavattanato vāsanābhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Attho pākaṭo.
‘‘สุขกามานิ ภูตานิ, โย ทเณฺฑน น หิํสติ;
‘‘Sukhakāmāni bhūtāni, yo daṇḍena na hiṃsati;
อตฺตโน สุขเมสาโน, เปจฺจ โส ลภเต สุข’’นฺติฯ –
Attano sukhamesāno, pecca so labhate sukha’’nti. –
อิทํ สุตฺตมฺปิ วาสนาภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ อโตฺถ ปากโฎฯ
Idaṃ suttampi vāsanābhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Attho pākaṭo.
‘‘คุนฺนํ เจ ตรมานานํ…เป.… ราชา เจ โหติ ธมฺมิโก’’ติ อิทํ สุตฺตมฺปิ วาสนาภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ อโตฺถ ปากโฎฯ
‘‘Gunnaṃ ce taramānānaṃ…pe… rājā ce hoti dhammiko’’ti idaṃ suttampi vāsanābhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Attho pākaṭo.
๙๔. ‘‘ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ…เป.… เอวํ ปชานาตี’’ติ อิทํ สุตฺตมฺปิ วาสนา…เป.… สุตฺตํ นามฯ อโตฺถ ปากโฎฯ
94. ‘‘Bhagavā sāvatthiyaṃ viharati…pe… evaṃ pajānātī’’ti idaṃ suttampi vāsanā…pe… suttaṃ nāma. Attho pākaṭo.
‘‘กสฺมา ภควา ชนปทจาริกํ จรตี’’ติ ปุเจฺฉยฺย, สตฺตหิ การเณหิ พุทฺธา ภควโนฺต ชนปทจาริกํ จรนฺติฯ กตเมหิ สตฺตหิ? เทสนฺตรคตานํ เวเนยฺยานํ วินยนตฺถํ, ตตฺร ฐิตานํ อุสฺสุกฺกสมุปฺปาทนตฺถํ, สาวกานํ เอกสฺมิํ ฐาเน นิพทฺธวาสนิวารณตฺถํ, อตฺตโน จ ตตฺถ นิพทฺธวาเส อนาสงฺคทสฺสนตฺถํ, สมฺพุทฺธวสิตฎฺฐานตาย เทสานํ เจติยภาวสมฺปาทนตฺถํ, พหูนํ สตฺตานํ ทสฺสนูปสงฺกมนาทีหิ ปุโญฺญฆปฺปสวนตฺถํ, อวุฎฺฐิอาทิอุปทฺทวูปสมนตฺถญฺจาติ อิเมหิ สตฺตหิ การเณหิ พุทฺธา ภควโนฺต ชนปทจาริกํ จรนฺตีติ ชนปทจรณการณํ เวทิตพฺพํฯ
‘‘Kasmā bhagavā janapadacārikaṃ caratī’’ti puccheyya, sattahi kāraṇehi buddhā bhagavanto janapadacārikaṃ caranti. Katamehi sattahi? Desantaragatānaṃ veneyyānaṃ vinayanatthaṃ, tatra ṭhitānaṃ ussukkasamuppādanatthaṃ, sāvakānaṃ ekasmiṃ ṭhāne nibaddhavāsanivāraṇatthaṃ, attano ca tattha nibaddhavāse anāsaṅgadassanatthaṃ, sambuddhavasitaṭṭhānatāya desānaṃ cetiyabhāvasampādanatthaṃ, bahūnaṃ sattānaṃ dassanūpasaṅkamanādīhi puññoghappasavanatthaṃ, avuṭṭhiādiupaddavūpasamanatthañcāti imehi sattahi kāraṇehi buddhā bhagavanto janapadacārikaṃ carantīti janapadacaraṇakāraṇaṃ veditabbaṃ.
‘‘เอกปุปฺผํ จชิตฺวาน, สหสฺสํ กปฺปโกฎิโย;
‘‘Ekapupphaṃ cajitvāna, sahassaṃ kappakoṭiyo;
เทเว เจว มนุเสฺส จ, เสเสน ปรินิพฺพุโต’’ติฯ –
Deve ceva manusse ca, sesena parinibbuto’’ti. –
อิทํ สุตฺตมฺปิ วาสนาภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ สหสฺสํ กปฺปโกฎิโยติ สหสฺสํ อตฺตภาวโต โกฎิโยฯ
Idaṃ suttampi vāsanābhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Sahassaṃ kappakoṭiyoti sahassaṃ attabhāvato koṭiyo.
‘‘อสฺสเตฺถ หริโตภาเส, สํวิรูฬฺหมฺหิ ปาทเป;
‘‘Assatthe haritobhāse, saṃvirūḷhamhi pādape;
เอกํ พุทฺธคตํ สญฺญํ, อลภิํหํ ปติสฺสโตฯ
Ekaṃ buddhagataṃ saññaṃ, alabhiṃhaṃ patissato.
‘‘อชฺช ติํสํ ตโต กปฺปา, นาภิชานามิ ทุคฺคติํ;
‘‘Ajja tiṃsaṃ tato kappā, nābhijānāmi duggatiṃ;
ติโสฺส วิชฺชา สจฺฉิกตา, ตสฺสา สญฺญาย วาสนา’’ติฯ –
Tisso vijjā sacchikatā, tassā saññāya vāsanā’’ti. –
อิทํ สุตฺตมฺปิ วาสนาภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ หริโตภาเสติ หริตโอภาเสฯ อลภิํหนฺติ อหํ อลภิํฯ
Idaṃ suttampi vāsanābhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Haritobhāseti haritaobhāse. Alabhiṃhanti ahaṃ alabhiṃ.
‘‘ปิณฺฑาย โกสลํ ปุรํ…เป.… วิปาโก โหติ อจินฺติโย’’ติ อิทํ สุตฺตมฺปิ วาสนาภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ อคฺคปุคฺคโล อนุกมฺปโก ตณฺหานิฆาตโก มุนิ สมฺพุโทฺธ ปุเรภตฺตํ ปิณฺฑาย ปิณฺฑํ ปฎิคฺคณฺหิตุํ โกสลํ ปุรํ ปาวิสิฯ
‘‘Piṇḍāya kosalaṃ puraṃ…pe… vipāko hoti acintiyo’’ti idaṃ suttampi vāsanābhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Aggapuggalo anukampako taṇhānighātako muni sambuddho purebhattaṃ piṇḍāya piṇḍaṃ paṭiggaṇhituṃ kosalaṃ puraṃ pāvisi.
ยสฺส ปุริสสฺส หเตฺถ สพฺพปุเปฺผหิ อลงฺกโต วฎํสโก ปุปฺผวฎํสโกว อตฺถิ, โส อยํ ปุริโส ราชมเคฺคน โกสลปุรํ ปวิสนฺตํ ภิกฺขุสงฺฆปุรกฺขตํ เทวมานุสปูชิตํ สมฺพุทฺธํ อทฺทส, ทิสฺวา หโฎฺฐ จิตฺตํ ปสาเทสิ; ปสาเทตฺวา สมฺพุทฺธํ อุปสงฺกมิฯ
Yassa purisassa hatthe sabbapupphehi alaṅkato vaṭaṃsako pupphavaṭaṃsakova atthi, so ayaṃ puriso rājamaggena kosalapuraṃ pavisantaṃ bhikkhusaṅghapurakkhataṃ devamānusapūjitaṃ sambuddhaṃ addasa, disvā haṭṭho cittaṃ pasādesi; pasādetvā sambuddhaṃ upasaṅkami.
อุปสงฺกมิตฺวา โส อยํ ปสโนฺน หุตฺวา สุรภิํ วณฺณวนฺตํ มโนรมํ ตํ วฎํสกํ สมฺพุทฺธสฺส เสหิ ปาณีภิ อุปนาเมสิฯ
Upasaṅkamitvā so ayaṃ pasanno hutvā surabhiṃ vaṇṇavantaṃ manoramaṃ taṃ vaṭaṃsakaṃ sambuddhassa sehi pāṇībhi upanāmesi.
ตโต พุทฺธสฺส ลปนนฺตรา ลปนสฺส วทนสฺส อนฺตรา อคฺคิสิขา วณฺณา สหสฺสรํสิ โอกฺกา ปภา นิกฺขมิ, อพฺภา วิชฺชุ นิกฺขมติ อิว, เอวํ อานนา สหสฺสรํสิ นิกฺขมิตฺวา อาทิจฺจพนฺธุโน สีเส ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กริตฺวาน ปริวเฎฺฎตฺวา มุทฺธนิ อนฺตรธายถฯ
Tato buddhassa lapanantarā lapanassa vadanassa antarā aggisikhā vaṇṇā sahassaraṃsi okkā pabhā nikkhami, abbhā vijju nikkhamati iva, evaṃ ānanā sahassaraṃsi nikkhamitvā ādiccabandhuno sīse tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ karitvāna parivaṭṭetvā muddhani antaradhāyatha.
อานโนฺท อจฺฉริยํ อพฺภุตํ โลมหํสนํ อิทํ ปาฎิหาริยํ ทิสฺวา จีวรํ เอกํสํ กริตฺวา เอตํ อพฺรวิ – ‘‘มหามุนิ, สิตกมฺมสฺส เหตุ โก? ตํ เหตุํ พฺยากโรหิ, ธมฺมาโลโก ภวิสฺสตี’’ติฯ
Ānando acchariyaṃ abbhutaṃ lomahaṃsanaṃ idaṃ pāṭihāriyaṃ disvā cīvaraṃ ekaṃsaṃ karitvā etaṃ abravi – ‘‘mahāmuni, sitakammassa hetu ko? Taṃ hetuṃ byākarohi, dhammāloko bhavissatī’’ti.
ยสฺส ภควโต สพฺพธเมฺมสุ ญาณํ สทา ปวตฺตติ, กงฺขาวิตรโณ มุนิ โส ภควา กงฺขิํ เวมติกํ อานนฺทํ เถรํ เอตํ อพฺรวิฯ อานนฺท, โย โสปุริโส มยิ จิตฺตํ ปสาทยิ, โส ปุริโส จตุราสีติกปฺปานิ ทุคฺคติํ น คมิสฺสติ, เทเวสุ เทวโสภคฺคํ ทิพฺพํ รชฺชํ ปสาสิตฺวา มนุเชสุ รเฎฺฐ สกลรเฎฺฐ มนุชิโนฺท ราชา ภวิสฺสติฯ โส ปุริโส จริมํ ปพฺพชิตฺวา, ธมฺมตํ สจฺฉิกตฺวา จ ธุตราโค วฎํสโก นาม ปเจฺจกพุโทฺธ ภวิสฺสติฯ
Yassa bhagavato sabbadhammesu ñāṇaṃ sadā pavattati, kaṅkhāvitaraṇo muni so bhagavā kaṅkhiṃ vematikaṃ ānandaṃ theraṃ etaṃ abravi. Ānanda, yo sopuriso mayi cittaṃ pasādayi, so puriso caturāsītikappāni duggatiṃ na gamissati, devesu devasobhaggaṃ dibbaṃ rajjaṃ pasāsitvā manujesu raṭṭhe sakalaraṭṭhe manujindo rājā bhavissati. So puriso carimaṃ pabbajitvā, dhammataṃ sacchikatvā ca dhutarāgo vaṭaṃsako nāma paccekabuddho bhavissati.
ตถาคเต วา สมฺมาสมฺพุเทฺธ วา ปเจฺจกสมฺพุเทฺธ วา ตสฺส ตถาคตสฺส สาวเก วา จิเตฺต ปสนฺนมฺหิ ทกฺขิณา อปฺปกา นาม นตฺถิฯ
Tathāgate vā sammāsambuddhe vā paccekasambuddhe vā tassa tathāgatassa sāvake vā citte pasannamhi dakkhiṇā appakā nāma natthi.
พุทฺธา เอวํ เอตฺตกาติ อจินฺติยา ภวนฺติฯ พุทฺธธมฺมา พุทฺธคุณา เอวํ เอตฺตกาติ อจินฺติยา ภวนฺติ, อจินฺติเย ปสนฺนานํ วิปาโก ปุญฺญวิปาโก เอวํ เอตฺตโกติ อจินฺติโย โหตีติ เอตํ อพฺรวีติ โยชนาฯ
Buddhā evaṃ ettakāti acintiyā bhavanti. Buddhadhammā buddhaguṇā evaṃ ettakāti acintiyā bhavanti, acintiye pasannānaṃ vipāko puññavipāko evaṃ ettakoti acintiyo hotīti etaṃ abravīti yojanā.
๙๖. ‘‘อิธาหํ , ภิกฺขเว, เอกจฺจํ ปุคฺคลํ…เป.… อยมฺปิ อโตฺถ วุโตฺต ภควตา อิติ เม สุต’’นฺติ อิทํ สุตฺตมฺปิ วาสนาภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ ภิกฺขเว, อิธ อิมสฺมิํ สาสเน อหํ เอกจฺจํ ปุคฺคลํ เอวํ มม เจตสา เอกจฺจสฺส ปุคฺคลสฺส เจโต จิตฺตํ ปริจฺจ พุทฺธจกฺขุนา เอวํ ปชานามิ, ยถา เยน ปกาเรน อยํ ปุคฺคโล ยญฺจ ทานาทิปฎิปทํ ปฎิปโนฺน, ยญฺจ ทสฺสนาทิมคฺคํ สมารุโฬฺห หุตฺวา ตํ ปฎิปทํ, มคฺคญฺจ อิริยติ ปวเตฺตติ, อิมมฺหิ อิมสฺมิญฺจ สมเย อยํ ปุคฺคโล เจ กาลํ กเรยฺย, เอวํ สติ อาภตํ วตฺถุํ นิกฺขิปติ ยถา, เอวํ ตาย ปฎิปทาย เตน มเคฺคน สเคฺค อตฺตนิกฺขิโตฺต ภเวฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ภิกฺขเว, อสฺส ปุคฺคลสฺส จิตฺตํ หิ ยสฺมา ปสนฺนํ ปสาทิตํ, ตสฺมา นิกฺขิโตฺต ภเวฯ อิธ สาสเน, โลเก วา เอกเจฺจ สตฺตา ปุคฺคลา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ เจโตปสาทเหตุ โข ปน อุปปชฺชนฺตีติ เอวํ อหํ ปชานามีติ ภควา เอตมตฺถํ อโวจฯ ตตฺถ ตสฺมิํ อเตฺถ สงฺคหวเสน ปวตฺตํ เอตํ ‘‘ปสนฺนจิตฺตํ ญตฺวาน…เป.… สคฺคํ โส อุปปชฺชตี’’ติ คาถาวจนํ วุจฺจติฯ อยมฺปิ อโตฺถ ภควตา วุโตฺต, อิติ เม มยา สุตนฺติ โยชนาฯ
96. ‘‘Idhāhaṃ , bhikkhave, ekaccaṃ puggalaṃ…pe… ayampi attho vutto bhagavatā iti me suta’’nti idaṃ suttampi vāsanābhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Bhikkhave, idha imasmiṃ sāsane ahaṃ ekaccaṃ puggalaṃ evaṃ mama cetasā ekaccassa puggalassa ceto cittaṃ paricca buddhacakkhunā evaṃ pajānāmi, yathā yena pakārena ayaṃ puggalo yañca dānādipaṭipadaṃ paṭipanno, yañca dassanādimaggaṃ samāruḷho hutvā taṃ paṭipadaṃ, maggañca iriyati pavatteti, imamhi imasmiñca samaye ayaṃ puggalo ce kālaṃ kareyya, evaṃ sati ābhataṃ vatthuṃ nikkhipati yathā, evaṃ tāya paṭipadāya tena maggena sagge attanikkhitto bhave. Taṃ kissa hetu? Bhikkhave, assa puggalassa cittaṃ hi yasmā pasannaṃ pasāditaṃ, tasmā nikkhitto bhave. Idha sāsane, loke vā ekacce sattā puggalā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ cetopasādahetu kho pana upapajjantīti evaṃ ahaṃ pajānāmīti bhagavā etamatthaṃ avoca. Tattha tasmiṃ atthe saṅgahavasena pavattaṃ etaṃ ‘‘pasannacittaṃ ñatvāna…pe… saggaṃ so upapajjatī’’ti gāthāvacanaṃ vuccati. Ayampi attho bhagavatā vutto, iti me mayā sutanti yojanā.
‘‘สุวณฺณจฺฉทนํ นาวํ…เป.… เอตาทิสํ กตปุญฺญา ลภิ’’นฺติ อิทํ สุตฺตมฺปิ วาสนาภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ นาริ เทวธีตา สุวณฺณจฺฉทนํ สุวณฺณาลงฺกาเรหิ ฉาทิตํ นาวํ อารุยฺห ติฎฺฐสิ, โปกฺขรณิํ เทวโปกฺขรณิํ โอคาหสิ, ปทุมํ ปาณินา ฉินฺทสิฯ
‘‘Suvaṇṇacchadanaṃ nāvaṃ…pe… etādisaṃ katapuññā labhi’’nti idaṃ suttampi vāsanābhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Nāri devadhītā suvaṇṇacchadanaṃ suvaṇṇālaṅkārehi chāditaṃ nāvaṃ āruyha tiṭṭhasi, pokkharaṇiṃ devapokkharaṇiṃ ogāhasi, padumaṃ pāṇinā chindasi.
เทวเต เกน กเมฺมน เต ตว ตาทิโส วโณฺณ ตาทิโส อานุภาโว ตาทิสี ชุติ ภวติ, เทวเต เต ตว เย เกจิ โภคา มนสา อิจฺฉิตา ภวนฺติ, เต โภคา จ เกน กเมฺมน อุปฺปชฺชนฺติฯ เทวเต เม ปุจฺฉิตา ตฺวํ สํส สํสาหิ อิทํ สพฺพํ กิสฺส กมฺมสฺส จ ผลนฺติ สโกฺก ปุจฺฉติฯ
Devate kena kammena te tava tādiso vaṇṇo tādiso ānubhāvo tādisī juti bhavati, devate te tava ye keci bhogā manasā icchitā bhavanti, te bhogā ca kena kammena uppajjanti. Devate me pucchitā tvaṃ saṃsa saṃsāhi idaṃ sabbaṃ kissa kammassa ca phalanti sakko pucchati.
เทวราเชน ปุจฺฉิตา สา เทวธีตา อตฺตมนา หุตฺวา ปญฺหํ ปุฎฺฐา สกฺกสฺส พฺยากาสิฯ เทวราชา อทฺธานํ ทีฆมคฺคํ ปฎิปนฺนา อหํ ยสสฺสิโน กสฺสปสฺส ภควโต มโนรมํ ถูปํ อทฺทสฺสํ, ทิสฺวา ตตฺถ ถูเป จิตฺตํ ปสาเทสิํฯ ปสนฺนาหํ เสหิ ปาณีหิ ปทุมปุเปฺผหิ ปูเชสิํฯ ตเสฺสว กมฺมสฺส อิทํ สพฺพํ ผลํ วิปาโก ภเวฯ กตปุญฺญาหํ เอตาทิสํ ผลํ อลภินฺติ สกฺกสฺส พฺยากาสิฯ อิติ เม สุตนฺติ มหาโมคฺคลฺลาโน วทตีติ โยชนาฯ
Devarājena pucchitā sā devadhītā attamanā hutvā pañhaṃ puṭṭhā sakkassa byākāsi. Devarājā addhānaṃ dīghamaggaṃ paṭipannā ahaṃ yasassino kassapassa bhagavato manoramaṃ thūpaṃ addassaṃ, disvā tattha thūpe cittaṃ pasādesiṃ. Pasannāhaṃ sehi pāṇīhi padumapupphehi pūjesiṃ. Tasseva kammassa idaṃ sabbaṃ phalaṃ vipāko bhave. Katapuññāhaṃ etādisaṃ phalaṃ alabhinti sakkassa byākāsi. Iti me sutanti mahāmoggallāno vadatīti yojanā.
‘‘ยถานิทฺธาริตสุตฺตานิเยว วาสนาภาคิยสุตฺตานิ ปริปุณฺณานี’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ทานกถา สีลกถา สคฺคกถา ปุญฺญกถา ปุญฺญวิปากกถาติ อิทํ วาสนาภาคิย’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ยาย เทสนาย ทานญฺจ ทานผลญฺจ ทสฺสิตํ, สา เทสนา ทานกถา นามฯ ยาย เทสนาย สีลญฺจ สีลผลญฺจ ทสฺสิตํ, สา เทสนา สีลกถา นามฯ ยาย เทสนาย สคฺคา จ สเคฺคสุ นิพฺพตฺตาปกญฺจ กมฺมํ ทสฺสิตํ, สา สคฺคกถา นามฯ ยาย เทสนาย ทานสีลภาวนาทิวเสน ทสวิธํ ปุญฺญกมฺมํ ทสฺสิตํ, สา ปุญฺญกถา นามฯ ยาย เทสนาย ตาทิสสฺส ปุญฺญกมฺมสฺส วิวิโธ อยํ วิปาโก อิมสฺส ปุญฺญสฺส วิปาโกติ นิยเมตฺวา ทสฺสิโต, สา ปุญฺญวิปากกถา นามฯ
‘‘Yathāniddhāritasuttāniyeva vāsanābhāgiyasuttāni paripuṇṇānī’’ti vattabbattā ‘‘dānakathā sīlakathā saggakathā puññakathā puññavipākakathāti idaṃ vāsanābhāgiya’’ntiādi vuttaṃ. Tattha yāya desanāya dānañca dānaphalañca dassitaṃ, sā desanā dānakathā nāma. Yāya desanāya sīlañca sīlaphalañca dassitaṃ, sā desanā sīlakathā nāma. Yāya desanāya saggā ca saggesu nibbattāpakañca kammaṃ dassitaṃ, sā saggakathā nāma. Yāya desanāya dānasīlabhāvanādivasena dasavidhaṃ puññakammaṃ dassitaṃ, sā puññakathā nāma. Yāya desanāya tādisassa puññakammassa vividho ayaṃ vipāko imassa puññassa vipākoti niyametvā dassito, sā puññavipākakathā nāma.
ทสพลธรานํ สมฺมาสมฺพุทฺธานํ อุทฺทิสฺสกเตสุ สรีรธาตุํ อพฺภนฺตเร ฐเปตฺวา ปํสูหิ กเตสุ ถูเปสุ เย นรา ปสนฺนา, เต นรา ตตฺถ ถูเป การํ ปุญฺญํ กตฺวา สเคฺคสุ อุปฺปชฺชิตฺวา ปโมทนฺตีติ โยชนาฯ อิทํ สุตฺตํ วา…เป.… สุตฺตํฯ
Dasabaladharānaṃ sammāsambuddhānaṃ uddissakatesu sarīradhātuṃ abbhantare ṭhapetvā paṃsūhi katesu thūpesu ye narā pasannā, te narā tattha thūpe kāraṃ puññaṃ katvā saggesu uppajjitvā pamodantīti yojanā. Idaṃ suttaṃ vā…pe… suttaṃ.
๙๗. เทวปุตฺตสรีรวณฺณา เทวปุตฺตสรีรสทิสวณฺณา สุภคสณฺฐิติ โสภคฺคยุตฺตสณฺฐานา สเพฺพ ชนา อุทเกน ปํสุํ เตเมตฺวา ถูปํ วเฑฺฒถ, โส อยํ ถูโป กสฺส ปุคฺคลสฺส ถูโปติ ปุจฺฉติฯ
97.Devaputtasarīravaṇṇā devaputtasarīrasadisavaṇṇā subhagasaṇṭhiti sobhaggayuttasaṇṭhānā sabbe janā udakena paṃsuṃ temetvā thūpaṃ vaḍḍhetha, so ayaṃ thūpo kassa puggalassa thūpoti pucchati.
สุคเตฺต สุนฺทรคเตฺต เทวเต ตสฺมิํ ถูเป ปสนฺนา อิเม เทวมนุชา การํ ปุญฺญํ กโรนฺตา หุตฺวา ชรามรณโต ปมุจฺจเรฯ โส อยํ ถูโป มเหสิโน ทสพลธมฺมธาริโน สุคตสฺส ถูโปติ เวทิตโพฺพติ อาหาติ โยชนาฯ อิทํ สุตฺตํ วา…เป.… สุตฺตํฯ
Sugatte sundaragatte devate tasmiṃ thūpe pasannā ime devamanujā kāraṃ puññaṃ karontā hutvā jarāmaraṇato pamuccare. So ayaṃ thūpo mahesino dasabaladhammadhārino sugatassa thūpoti veditabboti āhāti yojanā. Idaṃ suttaṃ vā…pe… suttaṃ.
ยาหํ ยา อหํ มเหสิโน ถูปํ จตฺตาริ อุปฺปลานิ จ มาลญฺจ อภิโรปยิํ, เตน มยา กตํ ตํ ปุญฺญํ อุฬารํ วต อาสิ อโหสิฯ ตโต กปฺปโต อชฺช กปฺปา ติํสํ ธรนฺติ สตฺถุโน ถูปํ ปูเชตฺวา ตตฺตกานิ ทุคฺคติํ น ชานามิ, วินิปาตํ น คจฺฉามีติ โยชนาฯ อิทํ สุตฺตํ วา…เป.… สุตฺตํฯ
Yāhaṃ yā ahaṃ mahesino thūpaṃ cattāri uppalāni ca mālañca abhiropayiṃ, tena mayā kataṃ taṃ puññaṃ uḷāraṃ vata āsi ahosi. Tato kappato ajja kappā tiṃsaṃ dharanti satthuno thūpaṃ pūjetvā tattakāni duggatiṃ na jānāmi, vinipātaṃ na gacchāmīti yojanā. Idaṃ suttaṃ vā…pe… suttaṃ.
อหํ พาตฺติํสลกฺขณธรสฺส พาตฺติํสลกฺขณธเรน สมฺปนฺนสฺส วิชิตวิชยสฺส โลกนาถสฺส ถูปํ อปูเชสิํ, ปูเชตฺวา สตสหสฺสํ กเปฺป อายุกเปฺป ปมุทิโต อาสิํฯ มยา ยํ ปุญฺญํ ปสุตํ, เตน ปุเญฺญน วินิปาตํ อนาคนฺตุน อนาคนฺตฺวา เทวโสภคฺคํ สมฺปตฺติํ จ เทวรชฺชานิ จ ตานิ อการิํ ฯ อถ วา เทวโสภคฺคญฺจ มยา การิตํ, รชฺชานิ จ มยา การิตานิฯ
Ahaṃ bāttiṃsalakkhaṇadharassa bāttiṃsalakkhaṇadharena sampannassa vijitavijayassa lokanāthassa thūpaṃ apūjesiṃ, pūjetvā satasahassaṃ kappe āyukappe pamudito āsiṃ. Mayā yaṃ puññaṃ pasutaṃ, tena puññena vinipātaṃ anāgantuna anāgantvā devasobhaggaṃ sampattiṃ ca devarajjāni ca tāni akāriṃ . Atha vā devasobhaggañca mayā kāritaṃ, rajjāni ca mayā kāritāni.
อทนฺตทมกสฺส สาสเน ยํ จกฺขุ ปญฺญาจกฺขุ ปณิหิตํ, ตถา จิตฺตํ ยํ วิมุตฺตจิตฺตํ ปณิหิตํ, ตํ สพฺพํ ปญฺญาจกฺขุ วิมุตฺตจิตฺตํ เม มยา ลทฺธํ, อหํ วิธุตลตาสงฺขาตตณฺหา หุตฺวา วิมุตฺตจิตฺตา ผลวิมุตฺตจิตฺตสมฺปนฺนา อมฺหีติ อโวจาติ โยชนาฯ อิทํ สุตฺตํ วา…เป.… สุตฺตํฯ
Adantadamakassa sāsane yaṃ cakkhu paññācakkhu paṇihitaṃ, tathā cittaṃ yaṃ vimuttacittaṃ paṇihitaṃ, taṃ sabbaṃ paññācakkhu vimuttacittaṃ me mayā laddhaṃ, ahaṃ vidhutalatāsaṅkhātataṇhā hutvā vimuttacittā phalavimuttacittasampannā amhīti avocāti yojanā. Idaṃ suttaṃ vā…pe… suttaṃ.
๙๘. วิมุตฺตจิเตฺต ผลวิมุตฺตจิตฺตสมฺปเนฺน อขิเล ปญฺจเจโตขีลรหิเต อนาสเว อรณวิหาริมฺหิ อรณวิหารสีเล อสงฺคมานเส อลคฺคมานเส ปเจฺจกพุทฺธสฺมิํ สามากปโตฺถทนมตฺตเมว ทกฺขิณํ อทาสิํฯ
98.Vimuttacitte phalavimuttacittasampanne akhile pañcacetokhīlarahite anāsave araṇavihārimhi araṇavihārasīle asaṅgamānase alaggamānase paccekabuddhasmiṃ sāmākapatthodanamattameva dakkhiṇaṃ adāsiṃ.
ตสฺมิํ ปเจฺจกพุเทฺธ อุตฺตมํ ธมฺมํ ปเจฺจกโพธิธมฺมํ โอกปฺปยิํ ‘‘โส อุตฺตโม ธโมฺม อตฺถี’’ติ สทฺทหิํฯ เอวํ อริยวิหาเรน วิหารีหิ ปเจฺจกพุเทฺธหิ เม มม สงฺคโม กโต สิยา ภเว, กุทาสุปิ จ อหํ อเปกฺขวา มา ภเวยฺยนฺติ มานสํ ตสฺมิญฺจ ธเมฺม ปณิเธสิํ ‘‘อิมินา ปเจฺจกพุเทฺธน ลทฺธธมฺมํ อหมฺปิ สจฺฉิกเรยฺย’’นฺติ จิตฺตํ ปณิทหิํฯ
Tasmiṃ paccekabuddhe uttamaṃ dhammaṃ paccekabodhidhammaṃ okappayiṃ ‘‘so uttamo dhammo atthī’’ti saddahiṃ. Evaṃ ariyavihārena vihārīhi paccekabuddhehi me mama saṅgamo kato siyā bhave, kudāsupi ca ahaṃ apekkhavā mā bhaveyyanti mānasaṃ tasmiñca dhamme paṇidhesiṃ ‘‘iminā paccekabuddhena laddhadhammaṃ ahampi sacchikareyya’’nti cittaṃ paṇidahiṃ.
ตเสฺสว ปเจฺจกพุเทฺธ กตเสฺสว กมฺมสฺส วิปากโต อหํ ทีฆายุเกสุ อมเมสุ ‘‘มม ปริคฺคโห’’ติ ปริคฺคหาภาเวน อปริคฺคเหสุ วิเสสคามีสุ อหีนคามีสุ กุรูสุ อุตฺตรกุรูสุ ปาณีสุ สเตฺตสุ สหสฺสกฺขตฺตุํ อุปปชฺชถ อุปปชฺชิํฯ
Tasseva paccekabuddhe katasseva kammassa vipākato ahaṃ dīghāyukesu amamesu ‘‘mama pariggaho’’ti pariggahābhāvena apariggahesu visesagāmīsu ahīnagāmīsu kurūsu uttarakurūsu pāṇīsu sattesu sahassakkhattuṃ upapajjatha upapajjiṃ.
ตเสฺสว กมฺมสฺส วิปากโต วิจิตฺรมาลาภรณานุเลปีสุ ยสสฺสีสุ ปริวารวเนฺตสุ ติทโส เทโว อหํ วิสิฎฺฐกายูปคโต หุตฺวา สหสฺสกฺขตฺตุํ อุปปชฺชถฯ
Tasseva kammassa vipākato vicitramālābharaṇānulepīsu yasassīsu parivāravantesu tidaso devo ahaṃ visiṭṭhakāyūpagato hutvā sahassakkhattuṃ upapajjatha.
ตเสฺสว กมฺมสฺส วิปากโต อหํ วิมุตฺตจิโตฺต อขีโล อนาสโว หุตฺวา หิตาหิตาสีหิ กุสลากุสลวีติวเตฺตหิ อนฺติมเทหธาริภิ อิเมหิ ปเจฺจกพุเทฺธหิ, พุทฺธสาวเกหิ วา เม มม สมาคโม อาสิฯ
Tasseva kammassa vipākato ahaṃ vimuttacitto akhīlo anāsavo hutvā hitāhitāsīhi kusalākusalavītivattehi antimadehadhāribhi imehi paccekabuddhehi, buddhasāvakehi vā me mama samāgamo āsi.
‘‘สีลวโต ยํ อิจฺฉิตํ, ตํ สมิชฺฌเต’’ติ อิมํ วจนํ ตถาคโต ชิโน ปจฺจกฺขํ กตฺวา อวจ โข, ยถา ยถา เยน เยน ปกาเรน เม มนสา วิจินฺติตํ, ตถา ตถา เตน เตน ปกาเรน สมิทฺธํ ภวติฯ อยํ ภโว อนฺติโม ภโวติ โยชนาฯ อิทํ สุตฺตํ วา…เป.… สุตฺตํฯ
‘‘Sīlavato yaṃ icchitaṃ, taṃ samijjhate’’ti imaṃ vacanaṃ tathāgato jino paccakkhaṃ katvā avaca kho, yathā yathā yena yena pakārena me manasā vicintitaṃ, tathā tathā tena tena pakārena samiddhaṃ bhavati. Ayaṃ bhavo antimo bhavoti yojanā. Idaṃ suttaṃ vā…pe… suttaṃ.
เอกติํสมฺหิ กปฺปมฺหิ ชิโน อเนโช อนนฺตทสฺสี ‘‘สิขี’’ติ อิตินามโก อุปฺปชฺชิฯ ตสฺสาปิ ภควโต ราชา ภาตา สิขิเทฺธ จ สิขี อิตินามเก พุเทฺธ จ ตสฺส ภควโต ธเมฺม จ อภิปฺปสโนฺน โลกวินายกมฺหิ ปรินิพฺพุเต สติ เทวาติเทวสฺส นรุตฺตมสฺส มเหสิโน วิปุลํ มหนฺตํ สมนฺตโต คาวุติกํ ถูปํ อกาสิํฯ
Ekatiṃsamhi kappamhi jino anejo anantadassī ‘‘sikhī’’ti itināmako uppajji. Tassāpi bhagavato rājā bhātā sikhiddhe ca sikhī itināmake buddhe ca tassa bhagavato dhamme ca abhippasanno lokavināyakamhi parinibbute sati devātidevassa naruttamassa mahesino vipulaṃ mahantaṃ samantato gāvutikaṃ thūpaṃ akāsiṃ.
ตสฺมิํ ถูเป พลิํ ปูชาพลิํ อภิหารี มนุโสฺส ชาติสุมนํ ปคฺคยฺห ปหโฎฺฐ ปูเชสิฯ อสฺส มนุสฺสสฺส เอกํ ปุปฺผํ วาเตน ปหริตํ หุตฺวา ปติตํฯ อหํ ตํ ปติตํ เอกํ ปุปฺผํ คเหตฺวา ตเสฺสว ปุปฺผสามิกสฺส อทาสิํฯ
Tasmiṃ thūpe baliṃ pūjābaliṃ abhihārī manusso jātisumanaṃ paggayha pahaṭṭho pūjesi. Assa manussassa ekaṃ pupphaṃ vātena paharitaṃ hutvā patitaṃ. Ahaṃ taṃ patitaṃ ekaṃ pupphaṃ gahetvā tasseva pupphasāmikassa adāsiṃ.
โส มนุโสฺส ปุปฺผสามิโก อภิปฺปสนฺนจิโตฺต หุตฺวา มํ ‘‘ตฺวเมว เอตํ เอกํ ปุปฺผํ ปูชา’’ติ อทาสิฯ ททาสีติ เอตฺถ ท-กาโร อาคโมฯ อหํ ตํ เอกํ ปุปฺผํ คเหตฺวา พุทฺธํ พุทฺธคุณํ ปุนปฺปุนํ อนุสฺสรโนฺต ยสฺมิํ กเปฺป อภิโรปยิํ, ตโต กปฺปโต อชฺช กปฺปา ติํสํ อเหสุํฯ เตสุ กเปฺปสุ ทุคฺคติํ นาภิชานามิ, วินิปาตญฺจ น คจฺฉามิ, อิทํ ผลํ ถูปปูชาย ผลนฺติ อโวจาติ โยชนาฯ อิทํ สุตฺตํ วา…เป.… สุตฺตํฯ
So manusso pupphasāmiko abhippasannacitto hutvā maṃ ‘‘tvameva etaṃ ekaṃ pupphaṃ pūjā’’ti adāsi. Dadāsīti ettha da-kāro āgamo. Ahaṃ taṃ ekaṃ pupphaṃ gahetvā buddhaṃ buddhaguṇaṃ punappunaṃ anussaranto yasmiṃ kappe abhiropayiṃ, tato kappato ajja kappā tiṃsaṃ ahesuṃ. Tesu kappesu duggatiṃ nābhijānāmi, vinipātañca na gacchāmi, idaṃ phalaṃ thūpapūjāya phalanti avocāti yojanā. Idaṃ suttaṃ vā…pe… suttaṃ.
พฺรหฺมทตฺตสฺส พฺรหฺมทตฺตนามกสฺส ราชิโน กปิลํ นาม นครํ สุวิภตฺตํ ภาคโต สุฎฺฐุ วิภตฺตํ, มหาปถํ มหาปถสมฺปนฺนํ อากิณฺณํ, นานาชาติเกหิ มนุเสฺสหิ ปริปุณฺณํ, อิทฺธํ ผีตญฺจ อาสิฯ
Brahmadattassa brahmadattanāmakassa rājino kapilaṃ nāma nagaraṃ suvibhattaṃ bhāgato suṭṭhu vibhattaṃ, mahāpathaṃ mahāpathasampannaṃ ākiṇṇaṃ, nānājātikehi manussehi paripuṇṇaṃ, iddhaṃ phītañca āsi.
ปญฺจาลานํ ตตฺถ ปุรุตฺตเม อหํ กุมฺมาสํ วิกฺกิณิํ, โส อหํ ยสสฺสินํ อุปริฎฺฐํ อุปสมีเป ฐิตํ อริฎฺฐํ นาม สมฺพุทฺธํ ปเจฺจกพุทฺธํ อทฺทสิํ, ทิสฺวา หโฎฺฐ จิตฺตํ ปสาเทตฺวา นรุตฺตมํ อริฎฺฐํ เม เคหสฺมิํ ยํ ธุวภตฺตํ วิชฺชถ วิชฺชิ, เตน ธุวภเตฺตน นิมเนฺตสิํฯ
Pañcālānaṃ tattha puruttame ahaṃ kummāsaṃ vikkiṇiṃ, so ahaṃ yasassinaṃ upariṭṭhaṃ upasamīpe ṭhitaṃ ariṭṭhaṃ nāma sambuddhaṃ paccekabuddhaṃ addasiṃ, disvā haṭṭho cittaṃ pasādetvā naruttamaṃ ariṭṭhaṃ me gehasmiṃ yaṃ dhuvabhattaṃ vijjatha vijji, tena dhuvabhattena nimantesiṃ.
ยโต จ ยสฺมิํ กาเล จ กตฺติโก ยสฺสํ ปนฺนรสีปุโณฺณ, สา ปุณฺณมาสี ปนฺนรสี อุปฎฺฐิตา, ตโต จ ตสฺมิํ กาเล จ อหํ นวํ ทุสฺสยุคํ คยฺห อริฎฺฐสฺส อริฎฺฐนามกสฺส ปเจฺจกพุทฺธสฺส อุปนาเมสิํฯ
Yato ca yasmiṃ kāle ca kattiko yassaṃ pannarasīpuṇṇo, sā puṇṇamāsī pannarasī upaṭṭhitā, tato ca tasmiṃ kāle ca ahaṃ navaṃ dussayugaṃ gayha ariṭṭhassa ariṭṭhanāmakassa paccekabuddhassa upanāmesiṃ.
นรุตฺตโม อนุกมฺปโก การุณิโก ตณฺหานิฆาตโก มุนิ ปเจฺจกพุโทฺธ ปสนฺนจิตฺตํ มํ ญตฺวาน ปฎิคฺคณฺหิฯ
Naruttamo anukampako kāruṇiko taṇhānighātako muni paccekabuddho pasannacittaṃ maṃ ñatvāna paṭiggaṇhi.
อหํ กลฺยาณํ พุทฺธวณฺณิตํ กมฺมํ กริตฺวาน เทเว จ มนุเสฺส จ สนฺธาวิตฺวา ตโต จุโต พาราณสิยํ นคเร อเฑฺฒ กุลสฺมิํ เสฎฺฐิสฺส เอกปุตฺตโก อุปฺปชฺชิํ, ปาเณหิ จ ปิยตโร อาสิํฯ
Ahaṃ kalyāṇaṃ buddhavaṇṇitaṃ kammaṃ karitvāna deve ca manusse ca sandhāvitvā tato cuto bārāṇasiyaṃ nagare aḍḍhe kulasmiṃ seṭṭhissa ekaputtako uppajjiṃ, pāṇehi ca piyataro āsiṃ.
ตโต จ ตสฺมิํ กาเล วิญฺญุตํ ปโตฺต หุตฺวา เทวปุเตฺตน โจทิโต อหํ ปาสาทา โอรุหิตฺวาน สมฺพุทฺธํ ภควนฺตํ โคตมํ อุปสงฺกมิํฯ
Tato ca tasmiṃ kāle viññutaṃ patto hutvā devaputtena codito ahaṃ pāsādā oruhitvāna sambuddhaṃ bhagavantaṃ gotamaṃ upasaṅkamiṃ.
โส สมฺพุโทฺธ ภควา โคตโม อนุกมฺปาย เม ธมฺมํ อเทเสสิฯ ทุกฺขํ ทุกฺขสจฺจญฺจ ทุกฺขสมุปฺปาทํ สมุทยสจฺจญฺจ ทุกฺขสฺส อติกฺกมํ นิโรธสจฺจญฺจ อริยํ อฎฺฐงฺคิกํ ทุกฺขูปสมคามินํ มคฺคํ มคฺคสจฺจญฺจ อิติ จตฺตาริ สจฺจานิ เทสิตานิ, ตทุปฺปาทกํ ธมฺมํ มุนิ ภควา โคตโม อเทสยิฯ
So sambuddho bhagavā gotamo anukampāya me dhammaṃ adesesi. Dukkhaṃ dukkhasaccañca dukkhasamuppādaṃ samudayasaccañca dukkhassa atikkamaṃ nirodhasaccañca ariyaṃ aṭṭhaṅgikaṃ dukkhūpasamagāminaṃ maggaṃ maggasaccañca iti cattāri saccāni desitāni, taduppādakaṃ dhammaṃ muni bhagavā gotamo adesayi.
อหํ ตสฺส ภควโต โคตมสฺส วจนํ สุตฺวา สาสเน รโต หุตฺวา วิหริํ, อหํ รตฺตินฺทิวํ อตนฺทิโต หุตฺวา สมถํ ปฎิวิชฺฌิํฯ
Ahaṃ tassa bhagavato gotamassa vacanaṃ sutvā sāsane rato hutvā vihariṃ, ahaṃ rattindivaṃ atandito hutvā samathaṃ paṭivijjhiṃ.
อชฺฌตฺตญฺจ เย อาสวา, พหิทฺธา จ เย อาสวา มเคฺคน สมุจฺฉินฺนา อาสุํ, สเพฺพ เต อาสวา เม มม วิชฺชิํสุ, ปุน น จ อุปฺปชฺชเรฯ
Ajjhattañca ye āsavā, bahiddhā ca ye āsavā maggena samucchinnā āsuṃ, sabbe te āsavā me mama vijjiṃsu, puna na ca uppajjare.
ทุกฺขํ ‘‘ปริยนฺตกตํ ยสฺส ทุกฺขสฺสา’’ติ ปริยนฺตกตํ อาสิ, อยํ สมุสฺสโย ชาติมรณสํสาโร จริโม อนฺติโม อาสิ, อิทานิ อิมสฺส อตฺตภาวสฺส อนนฺตรํ ปุนพฺภโว มม นตฺถีติ อโวจาติ โยชนาฯ ยํ นานาวิธํ วาสนาภาคิยํ สุตฺตํ อุทาหรณวเสน นิทฺธาริตํ, อิทํ นานาวิธํ สุตฺตํ วาสนาภาเค ปุญฺญโกฎฺฐาเส วิสเย วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต วาสนาภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ
Dukkhaṃ ‘‘pariyantakataṃ yassa dukkhassā’’ti pariyantakataṃ āsi, ayaṃ samussayo jātimaraṇasaṃsāro carimo antimo āsi, idāni imassa attabhāvassa anantaraṃ punabbhavo mama natthīti avocāti yojanā. Yaṃ nānāvidhaṃ vāsanābhāgiyaṃ suttaṃ udāharaṇavasena niddhāritaṃ, idaṃ nānāvidhaṃ suttaṃ vāsanābhāge puññakoṭṭhāse visaye vācakañāpakabhāvena pavattanato vāsanābhāgiyaṃ suttaṃ nāma.
นานาวิธํ วาสนาภาคิยํ สุตฺตํ อาจริเยน นิทฺธาริตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘กตมํ นิเพฺพธภาคิยํ สุตฺต’’นฺติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ กตมํ นิเพฺพธภาคิยํ สุตฺต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ เตสุ โสฬสสุ สํกิเลสภาคิยาทีสุ สุเตฺตสุ กตมํ สุตฺตํ นิเพฺพธภาคิยํ สุตฺตํ นามาติ ปุจฺฉติฯ
Nānāvidhaṃ vāsanābhāgiyaṃ suttaṃ ācariyena niddhāritaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘katamaṃ nibbedhabhāgiyaṃ sutta’’nti pucchitabbattā ‘‘tattha katamaṃ nibbedhabhāgiyaṃ sutta’’ntiādi vuttaṃ. Tattha tesu soḷasasu saṃkilesabhāgiyādīsu suttesu katamaṃ suttaṃ nibbedhabhāgiyaṃ suttaṃ nāmāti pucchati.
อุทฺธํ พฺรหฺมโลเก อโธ กามาวจเร ภเว สพฺพธิ สเพฺพสุ ภเวสุ วิปฺปมุโตฺต อรหา ‘‘อยํ นาม ธโมฺม อหํ อสฺมี’’ติ อนานุปสฺสี, เอวํ วิมุโตฺต อรหา อติณฺณปุพฺพํ โอฆํ อปุนพฺภวาย อุทตาริ อุตฺติโณฺณติ โยชนาฯ อิทํ สุตฺตํ นิเพฺพธภาเค เสกฺขธเมฺม วิสเย วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต นิเพฺพธภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ
Uddhaṃ brahmaloke adho kāmāvacare bhave sabbadhi sabbesu bhavesu vippamutto arahā ‘‘ayaṃ nāma dhammo ahaṃ asmī’’ti anānupassī, evaṃ vimutto arahā atiṇṇapubbaṃ oghaṃ apunabbhavāya udatāri uttiṇṇoti yojanā. Idaṃ suttaṃ nibbedhabhāge sekkhadhamme visaye vācakañāpakabhāvena pavattanato nibbedhabhāgiyaṃ suttaṃ nāma.
‘‘เอตฺตกเมวา’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘สีลวโต’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อานนฺท, สีลวโต ปุคฺคลสฺส ‘‘กินฺติ เม มม อวิปฺปฎิสาโร ชาเยยฺย ปวเตฺตยฺยา’’ติ เจตนา น กรณียา น กาตพฺพาฯ อานนฺท, สีลวโต อวิปฺปฎิสาโร ยํ ชาเยยฺย ปวเตฺตยฺย, เอสา อวิปฺปฎิสารสฺส ชายนา ปวตฺตนา ธมฺมตา ภวติฯ อานนฺท, อวิปฺปฎิสารินา ปุคฺคเลน ‘‘กินฺติ เม มม ปาโมชฺชํ ชาเยยฺย ปวเตฺตยฺยา’’ติ เจตนา น กรณียา, อานนฺท, อวิปฺปฎิสาริโน ปุคฺคลสฺส ปาโมชฺชํ ยํ ชาเยยฺย ปวเตฺตยฺย, เอสา ปาโมชฺชสฺส ชายนา ปวตฺตนา ธมฺมตาฯ เสเสสุปิ อิมสฺส โยชนานยานุสาเรน โยชนานโย คเหตโพฺพฯ อิทํ สุตฺตมฺปิ นิเพฺพธภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ
‘‘Ettakamevā’’ti vattabbattā ‘‘sīlavato’’tiādi vuttaṃ. Ānanda, sīlavato puggalassa ‘‘kinti me mama avippaṭisāro jāyeyya pavatteyyā’’ti cetanā na karaṇīyā na kātabbā. Ānanda, sīlavato avippaṭisāro yaṃ jāyeyya pavatteyya, esā avippaṭisārassa jāyanā pavattanā dhammatā bhavati. Ānanda, avippaṭisārinā puggalena ‘‘kinti me mama pāmojjaṃ jāyeyya pavatteyyā’’ti cetanā na karaṇīyā, ānanda, avippaṭisārino puggalassa pāmojjaṃ yaṃ jāyeyya pavatteyya, esā pāmojjassa jāyanā pavattanā dhammatā. Sesesupi imassa yojanānayānusārena yojanānayo gahetabbo. Idaṃ suttampi nibbedhabhāgiyaṃ suttaṃ nāma.
อาตาปิโน กิเลสานํ อาตาเปน สมฺมปฺปธาเนน สมนฺนาคตสฺส ฌายโต ฌายนฺตสฺส พฺราหฺมณสฺส พาหิตปาปสฺส ขีณาสวสฺส ธมฺมา อนุโลมปจฺจยาการปฎิเวธสาธกา โพธิปกฺขิยธมฺมา ยทา ยสฺมิํ กาเล หเว เอกเนฺตน ปาตุภวนฺติ อุปฺปชฺชนฺติฯ อถ วา ธมฺมา จตุอริยสจฺจธมฺมา ปาตุภวนฺติ ปกาสยนฺติ อภิสมยวเสน ปากฎา โหนฺติฯ อถ วา ปาตุภวนกาเล อสฺส อาตาปิโน ฌายโต พฺราหฺมณสฺส ขีณาสวสฺส สพฺพา กงฺขา วปยนฺติ อปคจฺฉนฺติ นิรุชฺฌนฺติฯ กสฺมา? สเหตุธมฺมํ อวิชฺชาทิเกน เหตุนา สห ปวตฺตํ สงฺขาราทิกํ สุเขน อสมฺมิสฺสํ ทุกฺขกฺขนฺธธมฺมํ ยโต ยสฺมา ปชานาติ อญฺญาสิ ปฎิวิชฺฌติ , ตโต ตสฺมา วปยนฺติ อปคจฺฉนฺติ นิรุชฺฌนฺตีติ โยชนาฯ อิทํ สุตฺตํ นิเพฺพธภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ
Ātāpino kilesānaṃ ātāpena sammappadhānena samannāgatassa jhāyato jhāyantassa brāhmaṇassa bāhitapāpassa khīṇāsavassa dhammā anulomapaccayākārapaṭivedhasādhakā bodhipakkhiyadhammā yadā yasmiṃ kāle have ekantena pātubhavanti uppajjanti. Atha vā dhammā catuariyasaccadhammā pātubhavanti pakāsayanti abhisamayavasena pākaṭā honti. Atha vā pātubhavanakāle assa ātāpino jhāyato brāhmaṇassa khīṇāsavassa sabbā kaṅkhā vapayanti apagacchanti nirujjhanti. Kasmā? Sahetudhammaṃ avijjādikena hetunā saha pavattaṃ saṅkhārādikaṃ sukhena asammissaṃ dukkhakkhandhadhammaṃ yato yasmā pajānāti aññāsi paṭivijjhati , tato tasmā vapayanti apagacchanti nirujjhantīti yojanā. Idaṃ suttaṃ nibbedhabhāgiyaṃ suttaṃ nāma.
ทุติยคาถายํ ปน ปจฺจยานํ ขยํ ขยสงฺขาตํ นิพฺพานํ ยโต ยสฺมา อเวทิ อญฺญาสิ ปฎิวิชฺฌิ, ตโต ตสฺมา สพฺพาปิ กงฺขา วปยนฺตีติ โยชนาฯ อิทํ สุตฺตํ นิเพฺพธภาคิยํ สุตฺตํฯ
Dutiyagāthāyaṃ pana paccayānaṃ khayaṃ khayasaṅkhātaṃ nibbānaṃ yato yasmā avedi aññāsi paṭivijjhi, tato tasmā sabbāpi kaṅkhā vapayantīti yojanā. Idaṃ suttaṃ nibbedhabhāgiyaṃ suttaṃ.
ติสฺส, ตฺวํ กิํ นุ กุชฺฌสิ? มา กุชฺฌิ, ติสฺส, เต ตว อโกฺกโธ อกุชฺฌนํ วรํ อุตฺตมํ, หิ สจฺจํ, ติสฺส, ตยา โกธมานมกฺขวินยตฺถํ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสติ นูติ ภควา อโวจาติ โยชนาฯ
Tissa, tvaṃ kiṃ nu kujjhasi? Mā kujjhi, tissa, te tava akkodho akujjhanaṃ varaṃ uttamaṃ, hi saccaṃ, tissa, tayā kodhamānamakkhavinayatthaṃ brahmacariyaṃ vussati nūti bhagavā avocāti yojanā.
อารญฺญํ อารญฺญกํ ปํสุกูลิกํ อญฺญาตุเญฺฉน อญฺญาตอนภิลกฺขิตฆรปฎิปาฎิยา ฐตฺวา อุเญฺฉน ปิณฺฑปาตจรณวีริเยน ลเทฺธน มิสฺสกโภชเนน ยาเปนฺตํ นนฺทํ กทา กาเล อหํ ปเสฺสยฺยนฺติ อโวจาติ โยชนาฯ อิทํ สุตฺตํ นิเพฺพธภาคิยํ สุตฺตํฯ
Āraññaṃ āraññakaṃ paṃsukūlikaṃ aññātuñchena aññātaanabhilakkhitagharapaṭipāṭiyā ṭhatvā uñchena piṇḍapātacaraṇavīriyena laddhena missakabhojanena yāpentaṃ nandaṃ kadā kāle ahaṃ passeyyanti avocāti yojanā. Idaṃ suttaṃ nibbedhabhāgiyaṃ suttaṃ.
โคตม , กิํสุ กตมํ เฉตฺวา วธิตฺวา วธโนฺต โกธปริฬาเหน อปริทยฺหมาโน หุตฺวา สุขํ เสติ สยติ, กิํสุ กตมํ เฉตฺวา วธิตฺวา วธโนฺต โกธวินาเสน วินฎฺฐโทมนโสฺส หุตฺวา น โสจติ, โคตม, ตฺวํ กิสฺส เอกธมฺมสฺส วธํ วธนํ โรเจสีติ พฺราหฺมโณ ปุจฺฉติฯ
Gotama , kiṃsu katamaṃ chetvā vadhitvā vadhanto kodhapariḷāhena aparidayhamāno hutvā sukhaṃ seti sayati, kiṃsu katamaṃ chetvā vadhitvā vadhanto kodhavināsena vinaṭṭhadomanasso hutvā na socati, gotama, tvaṃ kissa ekadhammassa vadhaṃ vadhanaṃ rocesīti brāhmaṇo pucchati.
พฺราหฺมณ, โกธํ กุชฺฌนํ เฉตฺวา วธิตฺวา วธโนฺต โกธปริฬาเหน อปริทยฺหมาโน หุตฺวา สุขํ เสติ สยติ, โกธํ กุชฺฌนํ เฉตฺวา วธิตฺวา วธโนฺต โกธวินาเสน วินฎฺฐโทมนโสฺส หุตฺวา น โสจติ, วิสมูลสฺส วิสสทิสสฺส ทุกฺขสฺส มูลภูตสฺส มธุรคฺคสฺส มธุรสงฺขาตสฺส สุขปริโยสานสฺส โกธสฺส กุชฺฌนสฺส วธํ วธนํ อริยา พุทฺธาทโย ปุคฺคลา ปสํสนฺติฯ หิ สจฺจํ ตํ โกธํ กุชฺฌนํ เฉตฺวา วธิตฺวา วธโนฺต โกธวินาเสน วินฎฺฐโทมนโสฺส หุตฺวา เสติ สยตีติ โยชนาฯ มธุรคฺคสฺสาติ จ มธุรํ เจตสิกสุขํ อสฺสาทอคฺคํ ปริโยสานํ อสฺส โกธสฺสาติ มธุรโคฺคติ สมาโส เวทิตโพฺพฯ กุชฺฌนฺตสฺส หิ อโกฺกสิตฺวา ปริภาสิตฺวา ปหริตฺวา ปริโยสาเน เจตสิกสุขสฺสาโท อุปฺปชฺชตีติฯ อิทํ สุตฺตํ นิเพฺพธภาคิยํ สุตฺตํฯ
Brāhmaṇa, kodhaṃ kujjhanaṃ chetvā vadhitvā vadhanto kodhapariḷāhena aparidayhamāno hutvā sukhaṃ seti sayati, kodhaṃ kujjhanaṃ chetvā vadhitvā vadhanto kodhavināsena vinaṭṭhadomanasso hutvā na socati, visamūlassa visasadisassa dukkhassa mūlabhūtassa madhuraggassa madhurasaṅkhātassa sukhapariyosānassa kodhassa kujjhanassa vadhaṃ vadhanaṃ ariyā buddhādayo puggalā pasaṃsanti. Hi saccaṃ taṃ kodhaṃ kujjhanaṃ chetvā vadhitvā vadhanto kodhavināsena vinaṭṭhadomanasso hutvā seti sayatīti yojanā. Madhuraggassāti ca madhuraṃ cetasikasukhaṃ assādaaggaṃ pariyosānaṃ assa kodhassāti madhuraggoti samāso veditabbo. Kujjhantassa hi akkositvā paribhāsitvā paharitvā pariyosāne cetasikasukhassādo uppajjatīti. Idaṃ suttaṃ nibbedhabhāgiyaṃ suttaṃ.
โคตม, หนโนฺต ธีโร อุปฺปติตํ กิํสุ กตมํ หเน หเนยฺยฯ วิโนเทโนฺต ธีโร ชาตํ กิํสุ กตมํ วิโนทเย วิโนทเยยฺยฯ ปชหโนฺต ธีโร กิํ จ กตมํ ปชเห ปชเหยฺยฯ ธีรสฺส กิสฺส ธมฺมสฺส อภิสมโย สุโขติ เทวตา ปุจฺฉติฯ
Gotama, hananto dhīro uppatitaṃ kiṃsu katamaṃ hane haneyya. Vinodento dhīro jātaṃ kiṃsu katamaṃ vinodaye vinodayeyya. Pajahanto dhīro kiṃ ca katamaṃ pajahe pajaheyya. Dhīrassa kissa dhammassa abhisamayo sukhoti devatā pucchati.
เทวปุตฺต, หนโนฺต ธีโร อุปฺปติตํ โกธํ กุชฺฌนํ หเน หเนยฺยฯ วิโนเทโนฺต ธีโร ชาตํ ราคํ วิโนทเย วิโนทเยยฺยฯ ปชหโนฺต ธีโร อวิชฺชํ ปชเห ปชเหยฺยฯ สจฺจธมฺมสฺส อภิสมโย สุโขติ ภควา อโวจาติ โยชนาฯ อิทํ สุตฺตํ นิเพฺพธภาคิยํ สุตฺตํฯ
Devaputta, hananto dhīro uppatitaṃ kodhaṃ kujjhanaṃ hane haneyya. Vinodento dhīro jātaṃ rāgaṃ vinodaye vinodayeyya. Pajahanto dhīro avijjaṃ pajahe pajaheyya. Saccadhammassa abhisamayo sukhoti bhagavā avocāti yojanā. Idaṃ suttaṃ nibbedhabhāgiyaṃ suttaṃ.
๑๐๑. ภควา สตฺติยา โอมโฎฺฐ อุปริโต ยาว เหฎฺฐา วิโทฺธ ปุริโส สตฺติปฺปหานาย วีริยํ อารภติ วิย, อคฺคินา มตฺถเก ฑยฺหมาโน อาทิตฺตสิโร ปุริโส อคฺคินิพฺพาปนตฺถาย วีริยํ อารภติ อิว, เอวํ กามราเคน ฑยฺหมาโน ภิกฺขุ กามราคปฺปหานาย กามราควิกฺขมฺภนาย อปฺปมโตฺต วายมมาโน สโต สติสมฺปโนฺน หุตฺวา ปริพฺพเช วิหเรยฺยาติ เทวตา กเถสิฯ
101. Bhagavā sattiyā omaṭṭho uparito yāva heṭṭhā viddho puriso sattippahānāya vīriyaṃ ārabhati viya, agginā matthake ḍayhamāno ādittasiro puriso agginibbāpanatthāya vīriyaṃ ārabhati iva, evaṃ kāmarāgena ḍayhamāno bhikkhu kāmarāgappahānāya kāmarāgavikkhambhanāya appamatto vāyamamāno sato satisampanno hutvā paribbaje vihareyyāti devatā kathesi.
ภควา ปน ‘‘สมุเจฺฉทปฺปหานาย วีริยํ อารภียตี’’ติ ทเสฺสตุํ ‘‘สตฺติยา วิย โอมโฎฺฐ’’ติอาทิมาหฯ เทวปุตฺต, สตฺติยา โอมโฎฺฐ ปุริโส สตฺติปฺปหานาย วีริยํ อารภติ วิย, อคฺคินา มตฺถเก ฑยฺหมาโน อาทิตฺตสิโร ปุริโส อคฺคินิพฺพาปนตฺถาย วีริยํ อารภติ อิว, เอวํ สกฺกายทิฎฺฐิยา อภิภูโต ภิกฺขุ สกฺกายทิฎฺฐิยา ปหานาย มเคฺคน สมุเจฺฉทปฺปหานาย อปฺปมโตฺต วายมมาโน สโต สติสมฺปโนฺน หุตฺวา ปริพฺพเช วิหเรยฺยาติ ภควา อโวจาติ โยชนาฯ อิทํ สุตฺตํ นิเพฺพธภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ
Bhagavā pana ‘‘samucchedappahānāya vīriyaṃ ārabhīyatī’’ti dassetuṃ ‘‘sattiyā viya omaṭṭho’’tiādimāha. Devaputta, sattiyā omaṭṭho puriso sattippahānāya vīriyaṃ ārabhati viya, agginā matthake ḍayhamāno ādittasiro puriso agginibbāpanatthāya vīriyaṃ ārabhati iva, evaṃ sakkāyadiṭṭhiyā abhibhūto bhikkhu sakkāyadiṭṭhiyā pahānāya maggena samucchedappahānāya appamatto vāyamamāno sato satisampanno hutvā paribbaje vihareyyāti bhagavā avocāti yojanā. Idaṃ suttaṃ nibbedhabhāgiyaṃ suttaṃ nāma.
สเพฺพ นิจยา โภคา ขยนฺตา ขยปริโยสานา ภวนฺติ, สเพฺพ สมุสฺสยา ธมฺมา ปตนนฺตา ปตนปริโยสานา ภวนฺติ, สเพฺพสํ สตฺตานํ มรณมาคมฺม สเพฺพสํ สตฺตานํ ชีวิตํ อทฺธุวํ ภวติ, อิติ เอตํ วุตฺตปฺปการํ ภยํ ภยเหตุํ มรณํ สมฺมุติมรณํ อเปกฺขมาโน ปณฺฑิโต สุขาวหานิ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกสุขาวหานิ ปุญฺญานิ ทานสีลภาวนามยปุญฺญานิ กยิราถาติ เทวตา อโวจฯ
Sabbe nicayā bhogā khayantā khayapariyosānā bhavanti, sabbe samussayā dhammā patanantā patanapariyosānā bhavanti, sabbesaṃ sattānaṃ maraṇamāgamma sabbesaṃ sattānaṃ jīvitaṃ addhuvaṃ bhavati, iti etaṃ vuttappakāraṃ bhayaṃ bhayahetuṃ maraṇaṃ sammutimaraṇaṃ apekkhamāno paṇḍito sukhāvahāni diṭṭhadhammikasamparāyikasukhāvahāni puññāni dānasīlabhāvanāmayapuññāni kayirāthāti devatā avoca.
เทวปุตฺต, สเพฺพ นิจยา โภคา ขยนฺตา ขยปริโยสานา, สเพฺพ สมุสฺสยา ธมฺมา ปตนนฺตา ปตนปริโยสานา, สเพฺพสํ สตฺตานํ มรณมาคมฺม สเพฺพสํ สตฺตานํ ชีวิตํ อทฺธุวํ, อิติ เอตํ วุตฺตปฺปการํ ภยํ ภยเหตุํ มรณํ อเปกฺขมาโน สนฺติเปโกฺข สพฺพสงฺขารุปสมํ นิพฺพานํ อเปกฺขมาโน ปณฺฑิโต โลกามิสํ กามคุณํ ปชเห ปชเหยฺยาติ ภควา อโวจาติ โยชนาฯ อิทํ สุตฺตํ นิเพฺพธภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ
Devaputta, sabbe nicayā bhogā khayantā khayapariyosānā, sabbe samussayā dhammā patanantā patanapariyosānā, sabbesaṃ sattānaṃ maraṇamāgamma sabbesaṃ sattānaṃ jīvitaṃ addhuvaṃ, iti etaṃ vuttappakāraṃ bhayaṃ bhayahetuṃ maraṇaṃ apekkhamāno santipekkho sabbasaṅkhārupasamaṃ nibbānaṃ apekkhamāno paṇḍito lokāmisaṃ kāmaguṇaṃ pajahe pajaheyyāti bhagavā avocāti yojanā. Idaṃ suttaṃ nibbedhabhāgiyaṃ suttaṃ nāma.
มาวิธ เยสํ มุนีนํ จิตฺตํ ฌานรตํ ฌาเน รตํ โหติ, เต มุนโย สุขํ สยนฺติ น โสจนฺติฯ ปญฺญวา มคฺคปญฺญวา สุสมาหิโต อารทฺธวีริโย ปหิตโตฺต นิพฺพานํ เปสิตจิโตฺต ปุคฺคโล ทุตฺตรํ โอฆํ สํสาโรฆํ ตรติฯ
Māvidha yesaṃ munīnaṃ cittaṃ jhānarataṃ jhāne rataṃ hoti, te munayo sukhaṃ sayanti na socanti. Paññavā maggapaññavā susamāhito āraddhavīriyo pahitatto nibbānaṃ pesitacitto puggalo duttaraṃ oghaṃ saṃsāroghaṃ tarati.
กามสญฺญาย วิรโต วิคตจิโตฺต โย ขีณาสโว สพฺพสํโยชนาตีโต อรหตฺตมเคฺคน สเพฺพ สํโยชเน อตีโต นนฺทิภวปริกฺขีโณ อโหสิ, โส ขีณาสโว คมฺภีเร สํสารณฺณเว น สีทตีติ โยชนาฯ นนฺทิสงฺขาตา ตณฺหา จ กามภวรูปภวอรูปภวา จ นนฺทิภวา, นนฺทิภวา ปริกฺขีณา ยสฺส ขีณาสวสฺสาติ นนฺทิภวปริกฺขีโณติ สมาโส เวทิตโพฺพฯ อิทํ สุตฺตํ นิเพฺพธภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ
Kāmasaññāya virato vigatacitto yo khīṇāsavo sabbasaṃyojanātīto arahattamaggena sabbe saṃyojane atīto nandibhavaparikkhīṇo ahosi, so khīṇāsavo gambhīre saṃsāraṇṇave na sīdatīti yojanā. Nandisaṅkhātā taṇhā ca kāmabhavarūpabhavaarūpabhavā ca nandibhavā, nandibhavā parikkhīṇā yassa khīṇāsavassāti nandibhavaparikkhīṇoti samāso veditabbo. Idaṃ suttaṃ nibbedhabhāgiyaṃ suttaṃ nāma.
อรหตํ อรหนฺตานํ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธสาวกานํ ธมฺมํ สุจริตาทิเภทญฺจ สตฺตติํสโพธิปกฺขิยเภทญฺจ ธมฺมํ โย ปณฺฑิโต สทฺทหาโน สทฺทหโนฺต หุตฺวา นิพฺพานปฺปตฺติยา อปฺปมโตฺต วิจกฺขโณ หุตฺวา สุสฺสูสํ สุสฺสูสโนฺต ภเว, โส ปณฺฑิโต ปญฺญํ โลกิยโลกุตฺตรปญฺญํ ลภเต ลภติฯ
Arahataṃ arahantānaṃ buddhapaccekabuddhasāvakānaṃ dhammaṃ sucaritādibhedañca sattatiṃsabodhipakkhiyabhedañca dhammaṃ yo paṇḍito saddahāno saddahanto hutvā nibbānappattiyā appamatto vicakkhaṇo hutvā sussūsaṃ sussūsanto bhave, so paṇḍito paññaṃ lokiyalokuttarapaññaṃ labhate labhati.
โย วีริยวา ปุคฺคโล ปติรูปเทสการี เทสกาลาทีนิ อหาเปตฺวา โลกิยโลกุตฺตรธมฺมปติรูปํ อธิคมูปายํ กโรติ, ธุรวา เจตสิกวีริเยน อนิกฺขิตฺตธุโร อุฎฺฐาตา กายิกวีริยวเสน อุฎฺฐานสมฺปโนฺน โหติ, โส วีริยวา ปุคฺคโล ธนํ โลกิยโลกุตฺตรธนํ วินฺทเต อธิคจฺฉติฯ สเจฺจน วจีสเจฺจน จ ปรมตฺถสเจฺจน จ พุทฺธาทิโก สจฺจธเมฺม ฐิโต สปฺปุริโส กิตฺติํ ปโปฺปติฯ ททํ ททโนฺต ยํ กิญฺจิ อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ จตุสงฺคหวตฺถุํ ททโนฺต สงฺคหโนฺต สปฺปุริโส มิตฺตานิ เอกนฺตมิตฺตานิ คนฺถติ สมฺปาเทติ, เอวํ จตูหิ สจฺจธมฺมธิติจาเคหิ สมนฺนาคโต โส สปฺปุริโส อสฺมา โลกา ปรํ โลกํ เปจฺจ คนฺตฺวา เอกเนฺตน โสกการณสฺส อภาวโต น โสจตีติ โยชนาฯ
Yo vīriyavā puggalo patirūpadesakārī desakālādīni ahāpetvā lokiyalokuttaradhammapatirūpaṃ adhigamūpāyaṃ karoti, dhuravā cetasikavīriyena anikkhittadhuro uṭṭhātā kāyikavīriyavasena uṭṭhānasampanno hoti, so vīriyavā puggalo dhanaṃ lokiyalokuttaradhanaṃ vindate adhigacchati. Saccena vacīsaccena ca paramatthasaccena ca buddhādiko saccadhamme ṭhito sappuriso kittiṃ pappoti. Dadaṃ dadanto yaṃ kiñci icchitaṃ patthitaṃ catusaṅgahavatthuṃ dadanto saṅgahanto sappuriso mittāni ekantamittāni ganthati sampādeti, evaṃ catūhi saccadhammadhiticāgehi samannāgato so sappuriso asmā lokā paraṃ lokaṃ pecca gantvā ekantena sokakāraṇassa abhāvato na socatīti yojanā.
โคตม, สพฺพคนฺถปฺปหีโน ตีหิ ภเวหิ วิปฺปมุโตฺต สโต สติสมฺปโนฺน ตฺวํ, สมโณ, อญฺญํ เทวมนุสฺสาทิกํ ยํ อนุสาสสิ ยํ อนุสาสนํ กโรสิ, ตํ อนุสาสนํ สพฺพคนฺถปฺปหีนสฺส ตีหิ ภเวหิ วิปฺปมุตฺตสฺส สมณสฺส เต ตว น สาธูติ สกฺกนามโก มารปกฺขิโก ยโกฺข คาถาย อชฺฌภาสิฯ
Gotama, sabbaganthappahīno tīhi bhavehi vippamutto sato satisampanno tvaṃ, samaṇo, aññaṃ devamanussādikaṃ yaṃ anusāsasi yaṃ anusāsanaṃ karosi, taṃ anusāsanaṃ sabbaganthappahīnassa tīhi bhavehi vippamuttassa samaṇassa te tava na sādhūti sakkanāmako mārapakkhiko yakkho gāthāya ajjhabhāsi.
‘‘สกฺก สกฺกนามก ยกฺข อนุกมฺปิเตน ปุริเสน สทฺธิํ เยน เกนจิ วเณฺณน การเณน สํวาโส เอกสฺมิํ ฐาเน สหวาโส ชายติ, ตํ อนุกมฺปิตพฺพํ สหวาสคตํ ปุริสํ สปฺปโญฺญ มนสา อนุกมฺปิตุํ น อรหติ อนุกมฺปิตุํเยว อรหติฯ ยา อนุกมฺปา กรุณา, ยา อนุทฺทยา เมตฺตา, มุทิตา จ อุปฺปนฺนา, ตาย อนุกมฺปาย กรุณาย, ตาย อนุทฺทยาย เมตฺตาย มุทิตาย จ สมุสฺสาหิเตน ปสเนฺนน มนสา โย สปฺปโญฺญ สปฺปุริโส อญฺญํ เทวมนุสฺสาทิกํ ยํ อนุสาสติ ยํ อนุสาสนํ กโรติ, โส สปฺปโญฺญ สปฺปุริโส เตน อนุสาสเนน สํยุโตฺต กามจฺฉนฺทาทีนํ สํโยชนานํ วเสน อนนุโลมสํโยเคน สํยุโตฺต น โหตีติ ภควา อโวจาติ โยชนาฯ
‘‘Sakka sakkanāmaka yakkha anukampitena purisena saddhiṃ yena kenaci vaṇṇena kāraṇena saṃvāso ekasmiṃ ṭhāne sahavāso jāyati, taṃ anukampitabbaṃ sahavāsagataṃ purisaṃ sappañño manasā anukampituṃ na arahati anukampituṃyeva arahati. Yā anukampā karuṇā, yā anuddayā mettā, muditā ca uppannā, tāya anukampāya karuṇāya, tāya anuddayāya mettāya muditāya ca samussāhitena pasannena manasā yo sappañño sappuriso aññaṃ devamanussādikaṃ yaṃ anusāsati yaṃ anusāsanaṃ karoti, so sappañño sappuriso tena anusāsanena saṃyutto kāmacchandādīnaṃ saṃyojanānaṃ vasena ananulomasaṃyogena saṃyutto na hotīti bhagavā avocāti yojanā.
๑๐๒. สมณ , ราโค จ โทโส จ อิเม เทฺว ธมฺมา กุโตนิทานา, กิํนิทานา, กิํปจฺจยา ภวนฺติ, อรติ จ รติ จ โลมหํโส จ อิเม ตโย กุโตชา กุโต ภวนฺติ? กุมารกา ธงฺกํ กากํ คเหตฺวา ปาเท ทีฆสุตฺตเกน พนฺธิตฺวา สุตฺตโกฎิํ องฺคุลิยํ เวเฐตฺวา โอสชนฺติ อิว, เอวํ มโนวิตกฺกา กุโต สมุฎฺฐาย จิตฺตํ โอสชนฺตีติ สูจิโลมยโกฺข ภควนฺตํ ปุจฺฉิฯ
102. Samaṇa , rāgo ca doso ca ime dve dhammā kutonidānā, kiṃnidānā, kiṃpaccayā bhavanti, arati ca rati ca lomahaṃso ca ime tayo kutojā kuto bhavanti? Kumārakā dhaṅkaṃ kākaṃ gahetvā pāde dīghasuttakena bandhitvā suttakoṭiṃ aṅguliyaṃ veṭhetvā osajanti iva, evaṃ manovitakkā kuto samuṭṭhāya cittaṃ osajantīti sūcilomayakkho bhagavantaṃ pucchi.
ราโค จ โทโส จ อิเม เทฺว ธมฺมา อิโตนิทานา อิโต อตฺตภาวโต นิทานา ชายนฺติ; อรติ จ รติ จ โลมหํโส จ อิเม ตโย อิโตชา อิโต อตฺตโต ภวนฺติ; กุมารกา ธงฺกํ กากํ คเหตฺวา ปาเท ทีฆสุตฺตเกน พนฺธิตฺวา สุตฺตโกฎิํ องฺคุลิยํ เวเฐตฺวา โอสชนฺติ อิว, เอวํ มโนวิตกฺกา อิโต อตฺตภาวโต สมุฎฺฐาย จิตฺตํ โอสชนฺติฯ
Rāgo ca doso ca ime dve dhammā itonidānā ito attabhāvato nidānā jāyanti; arati ca rati ca lomahaṃso ca ime tayo itojā ito attato bhavanti; kumārakā dhaṅkaṃ kākaṃ gahetvā pāde dīghasuttakena bandhitvā suttakoṭiṃ aṅguliyaṃ veṭhetvā osajanti iva, evaṃ manovitakkā ito attabhāvato samuṭṭhāya cittaṃ osajanti.
นิโคฺรธสฺส ขนฺธชา ปาโรหา สาขาสุ ชายนฺติ อิว, วเน รุกฺขํ นิสฺสาย ชาตา มาลุวา ลตา ตํ รุกฺขํ อโชฺฌตฺถริตฺวา วิตตา โอตตวิตตา ติฎฺฐติ อิว, เอวํ, ยกฺข, ตฺวํ สุโณหิ เสฺนหชา ตณฺหาเสฺนหโต ชาตา อตฺตสมฺภูตา อตฺตนิ สมฺภูตา ปุน อเนกปฺปการา มโนวิตกฺกา ปาปมโนวิตกฺกา เจว ตํสมฺปยุตฺตกิเลสา จ กาเมสุ วตฺถุกาเมสุ วิสตฺตา ลคฺคา สํสิพฺพิตา ฐิตาฯ
Nigrodhassa khandhajā pārohā sākhāsu jāyanti iva, vane rukkhaṃ nissāya jātā māluvā latā taṃ rukkhaṃ ajjhottharitvā vitatā otatavitatā tiṭṭhati iva, evaṃ, yakkha, tvaṃ suṇohi snehajā taṇhāsnehato jātā attasambhūtā attani sambhūtā puna anekappakārā manovitakkā pāpamanovitakkā ceva taṃsampayuttakilesā ca kāmesu vatthukāmesu visattā laggā saṃsibbitā ṭhitā.
เย ปณฺฑิตา ‘‘ยํ นิทานํ อสฺส อตฺตภาวสฺสา’’ติ ยโตนิทานํ นํ กิเลสคหนํ สมุทยสจฺจํ ปชานนฺติ, เต ปณฺฑิตา อตฺตภาวสงฺขาตสฺส ทุกฺขสจฺจสฺส นิทานภูตํ นํ กิเลสคหนํ สมุทยสจฺจํ มคฺคสเจฺจน วิโนเทนฺติฯ อปุนพฺภวาย อปุนภวสงฺขาตาย นิโรธสจฺจตฺถาย อติณฺณปุพฺพํ อนมตเคฺค สํสาเร สุปิเนนาปิ อติณฺณปุพฺพํ ทุตฺตรํ อิมํ โอฆํ จตุพฺพิธํ สํกิเลโสฆํ ตรนฺตีติ ภควา อโวจาติ โยชนาฯ
Ye paṇḍitā ‘‘yaṃ nidānaṃ assa attabhāvassā’’ti yatonidānaṃ naṃ kilesagahanaṃ samudayasaccaṃ pajānanti, te paṇḍitā attabhāvasaṅkhātassa dukkhasaccassa nidānabhūtaṃ naṃ kilesagahanaṃ samudayasaccaṃ maggasaccena vinodenti. Apunabbhavāya apunabhavasaṅkhātāya nirodhasaccatthāya atiṇṇapubbaṃ anamatagge saṃsāre supinenāpi atiṇṇapubbaṃ duttaraṃ imaṃ oghaṃ catubbidhaṃ saṃkilesoghaṃ tarantīti bhagavā avocāti yojanā.
‘‘ภควา, สมณธมฺมสฺส กรณํ นาม ทุกฺกรํ, ภควา, สมณธมฺมสฺส กรณํ นาม สุทุกฺกรํ สุฎฺฐุตรํ ทุกฺกร’’นฺติ เอโก กุลปุโตฺต ปพฺพชิตฺวา สมณธมฺมํ กตฺวา อริยภูมิํ อปฺปตฺวา กาลํ กตฺวา เทวโลเก นิพฺพโตฺต, โส เทวปุโตฺต ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา อาหฯ กามท, สีลสมาหิตา ฐิตตฺตา ฐิตสภาวา สตฺต เสกฺขา ปุคฺคลา ทุกฺกรํ วาปิ สมณธมฺมํ กโรนฺติฯ อนคาริยุเปตสฺส อนคาริยํ นิเคฺคหภาวํ อุปคตสฺส ปพฺพชิตสฺส ตุฎฺฐิ จตุปจฺจยสโนฺตโส สุขาวหา โหตี’’ติ ภควา อโวจฯ
‘‘Bhagavā, samaṇadhammassa karaṇaṃ nāma dukkaraṃ, bhagavā, samaṇadhammassa karaṇaṃ nāma sudukkaraṃ suṭṭhutaraṃ dukkara’’nti eko kulaputto pabbajitvā samaṇadhammaṃ katvā ariyabhūmiṃ appatvā kālaṃ katvā devaloke nibbatto, so devaputto bhagavantaṃ upasaṅkamitvā āha. Kāmada, sīlasamāhitā ṭhitattā ṭhitasabhāvā satta sekkhā puggalā dukkaraṃ vāpi samaṇadhammaṃ karonti. Anagāriyupetassa anagāriyaṃ niggehabhāvaṃ upagatassa pabbajitassa tuṭṭhi catupaccayasantoso sukhāvahā hotī’’ti bhagavā avoca.
‘‘ภควา, ยทิทํ ยา เอสา ตุฎฺฐิ สุขาวหา, เอสา ตุฎฺฐิ ทุลฺลภา’’ติ โส เทวปุโตฺต อาหฯ ‘‘กามท, เยสํ เสกฺขานํ มโน ทิวา จ รโตฺต จ ภาวนาย รโต จิตฺตวูปสเม รโต, เต เสกฺขา ทุลฺลภํ วาปิ ตุสฺสนํ ลภนฺตี’’ติ ภควา อโวจฯ
‘‘Bhagavā, yadidaṃ yā esā tuṭṭhi sukhāvahā, esā tuṭṭhi dullabhā’’ti so devaputto āha. ‘‘Kāmada, yesaṃ sekkhānaṃ mano divā ca ratto ca bhāvanāya rato cittavūpasame rato, te sekkhā dullabhaṃ vāpi tussanaṃ labhantī’’ti bhagavā avoca.
‘‘ภควา, ยทิทํ ยํ อิทํ จิตฺตํ ภาวนาย รตํ, ตํ จิตฺตํ ทุสฺสมาทห’’นฺติ โส เทวปุโตฺต อาหฯ ‘‘กามท, เย อริยา อินฺทฺริยูปสเม รตฺตินฺทิวํ รตา, เต อริยา ทุสฺสมาทหํ วาปิ จิตฺตํ สมาทหนฺติ, กามท, เต อริยา มจฺจุโน ชาลํ กิเลสชาลํ เฉตฺวา มคฺคํ คจฺฉนฺตี’’ติ ภควา อโวจฯ
‘‘Bhagavā, yadidaṃ yaṃ idaṃ cittaṃ bhāvanāya rataṃ, taṃ cittaṃ dussamādaha’’nti so devaputto āha. ‘‘Kāmada, ye ariyā indriyūpasame rattindivaṃ ratā, te ariyā dussamādahaṃ vāpi cittaṃ samādahanti, kāmada, te ariyā maccuno jālaṃ kilesajālaṃ chetvā maggaṃ gacchantī’’ti bhagavā avoca.
‘‘ภควา, โย มโคฺค ปุพฺพภาคปฎิปทาวเสน วิสโม, โส มโคฺค ทุคฺคโม’’ติ โส เทวปุโตฺต อาหฯ ‘‘กามท, อริยา ทุคฺคเม วิสเม วาปิ มคฺคํ คจฺฉนฺติ, อนริยา วิสเม มเคฺค อวํสิรา ปปตนฺติ, อริยานํ โส มโคฺค สโมว ภเว, น อสโมฯ หิ สจฺจํ วิสเม วิสตฺตกาเย อริยา สมา ภวนฺตี’’ติ ภควา อโวจาติ โยชนาฯ
‘‘Bhagavā, yo maggo pubbabhāgapaṭipadāvasena visamo, so maggo duggamo’’ti so devaputto āha. ‘‘Kāmada, ariyā duggame visame vāpi maggaṃ gacchanti, anariyā visame magge avaṃsirā papatanti, ariyānaṃ so maggo samova bhave, na asamo. Hi saccaṃ visame visattakāye ariyā samā bhavantī’’ti bhagavā avocāti yojanā.
๑๐๓. ยํ เชตวนํ อิสิสงฺฆนิเสวิตํ ธมฺมราเชน อาวุตฺถํ, อิทํ ตํ เชตวนํ มม ปีติสญฺชนนํ ปีติยา สญฺชนนํ กรํ หิ กรํ เอวฯ
103. Yaṃ jetavanaṃ isisaṅghanisevitaṃ dhammarājena āvutthaṃ, idaṃ taṃ jetavanaṃ mama pītisañjananaṃ pītiyā sañjananaṃ karaṃ hi karaṃ eva.
กมฺมํ มคฺคเจตนากมฺมญฺจ วิชฺชา มคฺคปญฺญา จ ธโมฺม สมาธิ เจว สมาธิปกฺขิโก จ ธโมฺม สีลํ, สีเล ฐิตสฺส ชีวิตํ อุตฺตมํ, เอเตน อฎฺฐงฺคิเกน มเคฺคน สตฺตา สุชฺฌนฺติ, โคเตฺตน วา ธเนน วา สตฺตา น สุชฺฌนฺติฯ
Kammaṃ maggacetanākammañca vijjā maggapaññā ca dhammo samādhi ceva samādhipakkhiko ca dhammo sīlaṃ, sīle ṭhitassa jīvitaṃ uttamaṃ, etena aṭṭhaṅgikena maggena sattā sujjhanti, gottena vā dhanena vā sattā na sujjhanti.
ตสฺมา มเคฺคเนว สตฺตานํ วิสุชฺฌนโต อตฺตโน อตฺถํ สมฺปสฺสํ ปสฺสโนฺต ปณฺฑิโต โปโส โยนิโส อุปาเยน ธมฺมํ โพธิปกฺขิยธมฺมํ วิจิเน วิจิเนยฺย, เอวํ วิจินเน สติ ตตฺถ อริยมเคฺค วิจินโนฺต ปุคฺคโล สุชฺฌติฯ
Tasmā maggeneva sattānaṃ visujjhanato attano atthaṃ sampassaṃ passanto paṇḍito poso yoniso upāyena dhammaṃ bodhipakkhiyadhammaṃ vicine vicineyya, evaṃ vicinane sati tattha ariyamagge vicinanto puggalo sujjhati.
สาริปุโตฺต สีเลน จ อุปสเมน จ ปารงฺคโต อิว, เอวํ โยปิ ภิกฺขุ สีเลน จ อุปสเมน จ ปารงฺคโต, โส ภิกฺขุ เอตาว ปรโม สาริปุตฺตสทิโสว สิยาติ อนาถปิณฺฑิกนาโม เทวปุโตฺต ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา อาหาติ โยชนาฯ อิทํ สุตฺตํ นิเพฺพธภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ
Sāriputto sīlena ca upasamena ca pāraṅgato iva, evaṃ yopi bhikkhu sīlena ca upasamena ca pāraṅgato, so bhikkhu etāva paramo sāriputtasadisova siyāti anāthapiṇḍikanāmo devaputto bhagavantaṃ upasaṅkamitvā āhāti yojanā. Idaṃ suttaṃ nibbedhabhāgiyaṃ suttaṃ nāma.
อตีตํ อตีตกฺขนฺธปญฺจกํ ตณฺหาทิฎฺฐีหิ นานฺวาคเมยฺย, อนาคตํ อนาคตกฺขนฺธปญฺจกํ ตณฺหาทิฎฺฐีหิ นปฺปฎิกเงฺข น ปเตฺถยฺยฯ ยํ ยสฺมา อตีตํ ปหีนํ นิรุทฺธํ อตฺถงฺคตํ, ตสฺมา อตีตสฺส ปหีนตฺตา นิรุทฺธตฺตา อตฺถงฺคตตฺตา นานฺวาคเมยฺยฯ ยํ ยสฺมา อนาคตํ อปฺปตฺตํ, ตสฺมา น ปฎิกเงฺขฯ
Atītaṃ atītakkhandhapañcakaṃ taṇhādiṭṭhīhi nānvāgameyya, anāgataṃ anāgatakkhandhapañcakaṃ taṇhādiṭṭhīhi nappaṭikaṅkhe na pattheyya. Yaṃ yasmā atītaṃ pahīnaṃ niruddhaṃ atthaṅgataṃ, tasmā atītassa pahīnattā niruddhattā atthaṅgatattā nānvāgameyya. Yaṃ yasmā anāgataṃ appattaṃ, tasmā na paṭikaṅkhe.
ปจฺจุปฺปนฺนํ ขนฺธปญฺจกํ วยธมฺมํ ยตฺถ ยตฺถ สนฺตาเน วา, ยตฺถ ยตฺถ อรญฺญาทีสุ วา อุปฺปนฺนํ, ตตฺถ ตตฺถ สนฺตาเน วา, ตตฺถ ตตฺถ อรญฺญาทีสุ วา นํ ปจฺจุปฺปนฺนธมฺมํ ยาหิ อนิจฺจานุปสฺสนาทีหิ วิปสฺสติ, ตาหิ อนิจฺจานุปสฺสนาทีหิ นิพฺพานํ ราคาทีหิ อสํหีรํ อสํกุปฺปํ ภวติ, ตํ นิพฺพานํ วิปสฺสโก ปุคฺคโล วิทฺวา นิพฺพานารมฺมณํ ผลสมาปตฺติํ อเปฺปโนฺต หุตฺวา อนุพฺรูหเย วเฑฺฒยฺยฯ
Paccuppannaṃ khandhapañcakaṃ vayadhammaṃ yattha yattha santāne vā, yattha yattha araññādīsu vā uppannaṃ, tattha tattha santāne vā, tattha tattha araññādīsu vā naṃ paccuppannadhammaṃ yāhi aniccānupassanādīhi vipassati, tāhi aniccānupassanādīhi nibbānaṃ rāgādīhi asaṃhīraṃ asaṃkuppaṃ bhavati, taṃ nibbānaṃ vipassako puggalo vidvā nibbānārammaṇaṃ phalasamāpattiṃ appento hutvā anubrūhaye vaḍḍheyya.
อาตปฺปํ สํกิเลสานํ อาตปนฺตํ วีริยํ อเชฺชว กิจฺจํ กาตพฺพํ, สุเว ชีวิตํ วา มรณํ วา โก ชญฺญา ชาเนยฺย, ‘‘สุเว วา ทานาทิปุญฺญํ ชานิสฺสามี’’ติ จิตฺตํ อนุปฺปาเทตฺวา ‘‘อเชฺชว กริสฺสามี’’ติ เอวํ วีริยํ กาตพฺพํฯ หิ สจฺจํ มรณการณภาวตาย อหิวิจฺฉิกวิสสตฺถาทิอเนกาย เสนาย วเสน มหาเสเนน เตน มจฺจุนา สทฺธิํ มิตฺตสนฺถวากาเรน วา ลญฺชทาเนน วา สงฺครํ นตฺถีติฯ
Ātappaṃ saṃkilesānaṃ ātapantaṃ vīriyaṃ ajjeva kiccaṃ kātabbaṃ, suve jīvitaṃ vā maraṇaṃ vā ko jaññā jāneyya, ‘‘suve vā dānādipuññaṃ jānissāmī’’ti cittaṃ anuppādetvā ‘‘ajjeva karissāmī’’ti evaṃ vīriyaṃ kātabbaṃ. Hi saccaṃ maraṇakāraṇabhāvatāya ahivicchikavisasatthādianekāya senāya vasena mahāsenena tena maccunā saddhiṃ mittasanthavākārena vā lañjadānena vā saṅgaraṃ natthīti.
เอวํ มนสิ กตฺวา วิหาริํ วิหรนฺตํ อาตาปิํ อโหรตฺตํ อตนฺทิตํ อนลสํ อุฎฺฐาหกํ สปฺปุริสํ ‘‘ภเทฺทกรโตฺต’’ติ สโนฺต มุนิ เว เอกเนฺตน อาจิกฺขเต อาจิกฺขติเยวาติ โยชนาฯ
Evaṃ manasi katvā vihāriṃ viharantaṃ ātāpiṃ ahorattaṃ atanditaṃ analasaṃ uṭṭhāhakaṃ sappurisaṃ ‘‘bhaddekaratto’’ti santo muni ve ekantena ācikkhate ācikkhatiyevāti yojanā.
‘‘จตฺตาริมานิ ภิกฺขเว’’ตฺยาทิสุตฺตํ ปาฬิโต จ อฎฺฐกถาโต จ ปากฎํฯ
‘‘Cattārimāni bhikkhave’’tyādisuttaṃ pāḷito ca aṭṭhakathāto ca pākaṭaṃ.
๑๐๔. นานาวิธํ นิเพฺพธภาคิยํ สุตฺตํ อาจริเยน นิทฺธาริตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘กตมํ อเสกฺขภาคิยํ สุตฺต’’นฺติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ กตมํ อเสกฺขภาคิยํ สุตฺต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถาติ เตสุ โสฬสสุ สํกิเลสภาคิยาทีสุ สุเตฺตสุ กตมํ สุตฺตํ อเสกฺขภาคิยํ สุตฺตํ นามาติ ปุจฺฉติฯ
104. Nānāvidhaṃ nibbedhabhāgiyaṃ suttaṃ ācariyena niddhāritaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘katamaṃ asekkhabhāgiyaṃ sutta’’nti pucchitabbattā ‘‘tattha katamaṃ asekkhabhāgiyaṃ sutta’’ntiādi vuttaṃ. Tatthāti tesu soḷasasu saṃkilesabhāgiyādīsu suttesu katamaṃ suttaṃ asekkhabhāgiyaṃ suttaṃ nāmāti pucchati.
ยสฺส อุตฺตมปุริสสฺส จิตฺตํ เสลูปมํ ฐิตํ โลกธมฺมวาเตหิ นานุกมฺปติ, รชนีเยสุ ลาภาทีสุ วิรตฺตํ ภเว, โส อุตฺตมปุริโส โกปเนเยฺย อลาภาทิเก น กุปฺปติ, ตสฺส อุตฺตมปุริสสฺส จิตฺตํ เอวํ อนิจฺจตาทินา ภาวิตํ, นํ ภาวิตจิตฺตํ อุตฺตมปุริสํ วีติกฺกนฺตโลกธมฺมเหตุกํ ทุกฺขํ กุโต เอสฺสตีติ โยชนาฯ อิทํ สุตฺตํ อเสกฺขภาเค วิสเย วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต อเสกฺขภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ เอส นโย อิโต ปเรสุปิ เวทิตโพฺพฯ
Yassa uttamapurisassa cittaṃ selūpamaṃ ṭhitaṃ lokadhammavātehi nānukampati, rajanīyesu lābhādīsu virattaṃ bhave, so uttamapuriso kopaneyye alābhādike na kuppati, tassa uttamapurisassa cittaṃ evaṃ aniccatādinā bhāvitaṃ, naṃ bhāvitacittaṃ uttamapurisaṃ vītikkantalokadhammahetukaṃ dukkhaṃ kuto essatīti yojanā. Idaṃ suttaṃ asekkhabhāge visaye vācakañāpakabhāvena pavattanato asekkhabhāgiyaṃ suttaṃ nāma. Esa nayo ito paresupi veditabbo.
‘‘อเสกฺขภาคิยํ สุตฺตํ อิทเมวา’’ติ วตฺตพฺพภาวโต ‘‘อายสฺมโต จา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
‘‘Asekkhabhāgiyaṃ suttaṃ idamevā’’ti vattabbabhāvato ‘‘āyasmato cā’’tiādi vuttaṃ.
โย พฺราหฺมโณ พาหิตปาปธมฺมตฺตา พาหิตปาปธโมฺม ภเว, โส พฺราหฺมโณ นิคฺคตหุํหุํกตฺตา นิหุํหุโงฺก ภเว, นิคฺคตกิเลสกสาวตฺตา นิกฺกสาโว ภเว, สีลสํวเรน สํยตจิตฺตตาย ยตโตฺต ภเว, โย พฺราหฺมโณ จตุมคฺคญาณเวเทหิ อนฺตํ นิพฺพานํ คตตฺตา เวทนฺตคู ภเว, ธเมฺมน วุสิตพฺรหฺมจริยตฺตา วุสิตพฺรหฺมจริโย ภเวฯ ยสฺส พฺราหฺมณสฺส กุหิญฺจิ โลเก อุสฺสทา ราคุสฺสโท โทสุสฺสโท โมหุสฺสโท มานุสฺสโท ทิฎฺฐุสฺสโท นตฺถิ, โส พฺราหฺมโณ พฺรหฺมวาทํ ‘‘อหํ พฺราหฺมโณมฺหี’’ติ วาจํ วเทยฺยาติ ภควา อโวจาติ โยชนาฯ
Yo brāhmaṇo bāhitapāpadhammattā bāhitapāpadhammo bhave, so brāhmaṇo niggatahuṃhuṃkattā nihuṃhuṅko bhave, niggatakilesakasāvattā nikkasāvo bhave, sīlasaṃvarena saṃyatacittatāya yatatto bhave, yo brāhmaṇo catumaggañāṇavedehi antaṃ nibbānaṃ gatattā vedantagū bhave, dhammena vusitabrahmacariyattā vusitabrahmacariyo bhave. Yassa brāhmaṇassa kuhiñci loke ussadā rāgussado dosussado mohussado mānussado diṭṭhussado natthi, so brāhmaṇo brahmavādaṃ ‘‘ahaṃ brāhmaṇomhī’’ti vācaṃ vadeyyāti bhagavā avocāti yojanā.
เย พุทฺธา ปาปเก อกุสเล ธเมฺม พาหิตฺวา สทา จรนฺติ สตา สติสมฺปนฺนา ขีณสํโยชนา, เต พุทฺธา โลกสฺมิํ พฺราหฺมณาติ เว เอกเนฺตน กถียนฺตีติ อโวจาติ โยชนาฯ
Ye buddhā pāpake akusale dhamme bāhitvā sadā caranti satā satisampannā khīṇasaṃyojanā, te buddhā lokasmiṃ brāhmaṇāti ve ekantena kathīyantīti avocāti yojanā.
ยตฺถ นิพฺพาเน อาโป จ ปถวี จ เตโช จ วาโย จ น คาธติ น ปติฎฺฐหติ, ตตฺถ นิพฺพาเน สุกฺกา คหา เจว ตารกา จ น โชตนฺติ, ตตฺถ นิพฺพาเน อาทิโจฺจ นปฺปกาสติ, ตตฺถ นิพฺพาเน จนฺทิมา น ภาติ, ตตฺถ นิพฺพาเน ตโม น วิชฺชติฯ
Yattha nibbāne āpo ca pathavī ca tejo ca vāyo ca na gādhati na patiṭṭhahati, tattha nibbāne sukkā gahā ceva tārakā ca na jotanti, tattha nibbāne ādicco nappakāsati, tattha nibbāne candimā na bhāti, tattha nibbāne tamo na vijjati.
โย พฺราหฺมโณ อตฺตนา สยํ มุนิ โมเนน ยทา ตํ นิพฺพานํ อเวทิ วินฺทติ ปฎิลภติ ปฎิวิชฺฌติ, อถ ปฎิวิชฺฌนกฺขเณ โส พฺราหฺมโณ รูปา รูปธมฺมโต จ อรูปา อรูปธมฺมโต จ สุขทุกฺขา สุขทุกฺขโต จ ปมุจฺจตีติ อโวจาติ โยชนาฯ
Yo brāhmaṇo attanā sayaṃ muni monena yadā taṃ nibbānaṃ avedi vindati paṭilabhati paṭivijjhati, atha paṭivijjhanakkhaṇe so brāhmaṇo rūpā rūpadhammato ca arūpā arūpadhammato ca sukhadukkhā sukhadukkhato ca pamuccatīti avocāti yojanā.
ยกฺข, โย พฺราหฺมโณ สเกสุ สกอตฺตภาเวสุ ธเมฺมสุ อุปาทานกฺขเนฺธสุ สเจฺจสุ, ธเมฺมสุ จ ปารคู โหติ, อถ ปารคมนกฺขเณ โส พฺราหฺมโณ เอตํ อชกลาปกํ ตยา วุตฺตํ เอตํ ปิสาจํ กิเลสปิสาจญฺจ , ตยา กตํ อกฺกุลญฺจ อกฺกุลํ, ปกฺกุลกรณํ อติวตฺตตีติ อโวจาติ โยชนาฯ
Yakkha, yo brāhmaṇo sakesu sakaattabhāvesu dhammesu upādānakkhandhesu saccesu, dhammesu ca pāragū hoti, atha pāragamanakkhaṇe so brāhmaṇo etaṃ ajakalāpakaṃ tayā vuttaṃ etaṃ pisācaṃ kilesapisācañca , tayā kataṃ akkulañca akkulaṃ, pakkulakaraṇaṃ ativattatīti avocāti yojanā.
โย ภิกฺขุ อายนฺติํ อาคจฺฉนฺติํ ปุราณทุติยิกํ ภริยํ วา, อญฺญํ อาคจฺฉนฺติํ อิตฺถิํ วา จิเตฺตน น อภินนฺทติ, ปกฺกมนฺติํ ปุราณทุติยิกํ ภริยํ วา, อญฺญํ ปกฺกมนฺติํ อิตฺถิํ วา จิเตฺตน น โสจติ, สงฺคา ปญฺจวิธโตปิ สงฺคโต มุตฺตํ สงฺคามชิํ ตํ ภิกฺขุํ ‘‘พฺราหฺมณ’’นฺติ อหํ วทามีติ อโวจาติ โยชนาฯ
Yo bhikkhu āyantiṃ āgacchantiṃ purāṇadutiyikaṃ bhariyaṃ vā, aññaṃ āgacchantiṃ itthiṃ vā cittena na abhinandati, pakkamantiṃ purāṇadutiyikaṃ bhariyaṃ vā, aññaṃ pakkamantiṃ itthiṃ vā cittena na socati, saṅgā pañcavidhatopi saṅgato muttaṃ saṅgāmajiṃ taṃ bhikkhuṃ ‘‘brāhmaṇa’’nti ahaṃ vadāmīti avocāti yojanā.
เอตฺถ นทิยํ พหุชโน นฺหายติ, โส พหุชโน นฺหายโก อุทเกน อุทกนฺหาเนน สุจี น โหติฯ ยมฺหิ ปุคฺคเล สจฺจํ, สจฺจโต เสสธโมฺม จ อตฺถิ, โส ปุคฺคโล สุจี จ โหติ, โส ปุคฺคโล พฺราหฺมโณ จ โหตีติ อโวจาติ โยชนา; สุจิอสุจิภาโว ฎีกายํ วิตฺถารโต วุโตฺตวฯ
Ettha nadiyaṃ bahujano nhāyati, so bahujano nhāyako udakena udakanhānena sucī na hoti. Yamhi puggale saccaṃ, saccato sesadhammo ca atthi, so puggalo sucī ca hoti, so puggalo brāhmaṇo ca hotīti avocāti yojanā; suciasucibhāvo ṭīkāyaṃ vitthārato vuttova.
อาตาปิโน ฌายโต ยสฺส พฺราหฺมณสฺส ธมฺมา สจฺจธมฺมา ยทา หเว เอกเนฺตน ปาตุภวนฺติ, ตทา ธมฺมานํ ปาตุภวนกฺขเณ โส พฺราหฺมโณ มารเสนํ วิธูปยํ วิธูปยโนฺต ติฎฺฐติฯ ‘‘กิมิวา’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘สูริโยว โอภาสยมนฺตลิกฺข’’นฺติ วุตฺตํฯ สูริโย อนฺตลิกฺขํ โอภาสยโนฺต ติฎฺฐติ อิว, เอวํ ติฎฺฐตีติ โยชนาฯ
Ātāpino jhāyato yassa brāhmaṇassa dhammā saccadhammā yadā have ekantena pātubhavanti, tadā dhammānaṃ pātubhavanakkhaṇe so brāhmaṇo mārasenaṃ vidhūpayaṃ vidhūpayanto tiṭṭhati. ‘‘Kimivā’’ti vattabbattā ‘‘sūriyova obhāsayamantalikkha’’nti vuttaṃ. Sūriyo antalikkhaṃ obhāsayanto tiṭṭhati iva, evaṃ tiṭṭhatīti yojanā.
โย ปํสุกูลิโก ภิกฺขุ สพฺพานิ จตฺตาริ โยคานิ อุปาติวโตฺต สกิญฺจเน โลเก อกิญฺจโน อิริยติ จตุพฺพิธอิริยาปถํ วเตฺตติฯ อปหานธมฺมํ เกนจิ มเคฺคน อปฺปหานสภาวํ อปฺปตฺตกาเยน อปฺปตฺตํ เตวิชฺชปตฺตํ, อิริยมานํ สนฺตินฺทฺริยํ ตํ ปํสุกูลิกํ ภิกฺขุํ ตุเมฺห ปสฺสถฯ
Yo paṃsukūliko bhikkhu sabbāni cattāri yogāni upātivatto sakiñcane loke akiñcano iriyati catubbidhairiyāpathaṃ vatteti. Apahānadhammaṃ kenaci maggena appahānasabhāvaṃ appattakāyena appattaṃ tevijjapattaṃ, iriyamānaṃ santindriyaṃ taṃ paṃsukūlikaṃ bhikkhuṃ tumhe passatha.
อาชานิยํ ปุริสอาชานียํ ชาติพลนิเสธํ ‘‘อหํ ชาติพฺราหฺมโณ’’ติ ชาติมตฺตเกน ปวตฺตมานพลนิเสธกํ ตํ ปํสุกูลิกํ ภิกฺขุํ สมฺพหุลา อุฬารา เทวตา พฺรหฺมํ วิมานํ อุปสงฺกมิตฺวา อิธ สาสเน, พฺรหฺมวิมาเน วา ปสนฺนจิตฺตา หุตฺวา นมสฺสนฺติฯ นิธาติ จ เอตฺถ น-กาโร อาคโมฯ
Ājāniyaṃ purisaājānīyaṃ jātibalanisedhaṃ ‘‘ahaṃ jātibrāhmaṇo’’ti jātimattakena pavattamānabalanisedhakaṃ taṃ paṃsukūlikaṃ bhikkhuṃ sambahulā uḷārā devatā brahmaṃ vimānaṃ upasaṅkamitvā idha sāsane, brahmavimāne vā pasannacittā hutvā namassanti. Nidhāti ca ettha na-kāro āgamo.
ปุริสาชญฺญ เต ตว อมฺหากํ นโม อตฺถุ, ปุริสุตฺตม เต ตว อมฺหากํ นโม อตฺถุ, ยสฺส เต ตว นิสฺสยํ มยํ นาภิชานาม, โส ตฺวํ กิํ ปุคฺคลํ นิสฺสาย ฌายสีติ อโวจุนฺติ โยชนาฯ
Purisājañña te tava amhākaṃ namo atthu, purisuttama te tava amhākaṃ namo atthu, yassa te tava nissayaṃ mayaṃ nābhijānāma, so tvaṃ kiṃ puggalaṃ nissāya jhāyasīti avocunti yojanā.
เย ภิกฺขู กาเลน กาลํ ธมฺมสฺสวนวเสน จิรรตฺตํ สเมติกา ภวนฺติ, อิเม ภิกฺขู สหายา โหนฺติ วตฯ เนสํ สหายานํ ภิกฺขูนํ ธเมฺม พุทฺธปฺปเวทิเต ธเมฺม สทฺธโมฺม สเมติฯ
Ye bhikkhū kālena kālaṃ dhammassavanavasena cirarattaṃ sametikā bhavanti, ime bhikkhū sahāyā honti vata. Nesaṃ sahāyānaṃ bhikkhūnaṃ dhamme buddhappavedite dhamme saddhammo sameti.
กปฺปิเนน อริยปฺปเวทิเต ธเมฺม สุวินีตา เต สหายกา ภิกฺขู สวาหินิํ มารํ เชตฺวา อนฺติมํ เทหํ อตฺตภาวํ ธาเรนฺตีติ อโวจาติ โยชนาฯ
Kappinena ariyappavedite dhamme suvinītā te sahāyakā bhikkhū savāhiniṃ māraṃ jetvā antimaṃ dehaṃ attabhāvaṃ dhārentīti avocāti yojanā.
สิถิลํ วีริยํ อารพฺภ สพฺพทุกฺขปฺปโมจนํ อิทํ นิพฺพานํ โยคาวจเรน น อธิคนฺตพฺพํ, อเปฺปน อปฺปเกน ถามสา อิทํ นิพฺพานํ น อธิคนฺตพฺพํฯ
Sithilaṃ vīriyaṃ ārabbha sabbadukkhappamocanaṃ idaṃ nibbānaṃ yogāvacarena na adhigantabbaṃ, appena appakena thāmasā idaṃ nibbānaṃ na adhigantabbaṃ.
อยญฺจ โยคาวจโร ภิกฺขุ ทหโร, โย ปุริโส สวาหินิํ มารํ เชตฺวา อนฺติมํ เทหํ อตฺตภาวํ ธาเรติ, โส อยํ ปุริโส โส อุตฺตมปุริโสวาติ อโวจาติ โยชนาฯ ‘‘ปุริโส’’ติ วตฺตเพฺพ ฉนฺทานุรกฺขณวเสน ‘‘โปริโส’’ติ วุตฺตํฯ
Ayañca yogāvacaro bhikkhu daharo, yo puriso savāhiniṃ māraṃ jetvā antimaṃ dehaṃ attabhāvaṃ dhāreti, so ayaṃ puriso so uttamapurisovāti avocāti yojanā. ‘‘Puriso’’ti vattabbe chandānurakkhaṇavasena ‘‘poriso’’ti vuttaṃ.
โมฆราช, ทุพฺพณฺณโก ลูขจีวโร สทา สโต สติสมฺปโนฺน ขีณาสโว จ วิสํยุโตฺต จ กตกิโจฺจ จ อนาสโว จ เตวิโชฺช จ อิทฺธิปฺปโตฺต จ เจโตปริยายโกวิโท จ โส ภิกฺขุ สวาหินิํ มารํ เชตฺวา อนฺติมํ เทหํ ธาเรตีติ อโวจาติ โยชนาฯ
Mogharāja, dubbaṇṇako lūkhacīvaro sadā sato satisampanno khīṇāsavo ca visaṃyutto ca katakicco ca anāsavo ca tevijjo ca iddhippatto ca cetopariyāyakovido ca so bhikkhu savāhiniṃ māraṃ jetvā antimaṃ dehaṃ dhāretīti avocāti yojanā.
๑๐๕. ‘‘ตถาคโต’’ติอาทีสุ โยชนา ปากฎาฯ อิทํ สุตฺตํ อเสกฺขภาเค วิสเย วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต อเสกฺขภาคิยํ สุตฺตํ นามฯ
105.‘‘Tathāgato’’tiādīsu yojanā pākaṭā. Idaṃ suttaṃ asekkhabhāge visaye vācakañāpakabhāvena pavattanato asekkhabhāgiyaṃ suttaṃ nāma.
๑๐๖. นานาวิธํ อเสกฺขภาคิยํ สุตฺตํ อาจริเยน นิทฺธาริตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘กตมํ สํกิเลสภาคิยญฺจ วาสนาภาคิยญฺจ สุตฺต’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ กตมํ สํกิเลสภาคิยญฺจ วาสนาภาคิยญฺจ สุตฺต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถาติ เตสุ โสฬสสุ สํกิเลสภาคิยาทีสุ สุเตฺตสุ กตมํ สุตฺตํ สํกิเลสภาคิยญฺจ วาสนาภาคิยญฺจ สุตฺตํ นามาติ ปุจฺฉติฯ
106. Nānāvidhaṃ asekkhabhāgiyaṃ suttaṃ ācariyena niddhāritaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘katamaṃ saṃkilesabhāgiyañca vāsanābhāgiyañca sutta’’nti vattabbattā ‘‘tattha katamaṃ saṃkilesabhāgiyañca vāsanābhāgiyañca sutta’’ntiādi vuttaṃ. Tatthāti tesu soḷasasu saṃkilesabhāgiyādīsu suttesu katamaṃ suttaṃ saṃkilesabhāgiyañca vāsanābhāgiyañca suttaṃ nāmāti pucchati.
ฉนฺนํ อาปตฺติํ อาปชฺชิตฺวา ฉนฺนํ ฉาเทนฺตํ ภิกฺขุํ ทุกฺกฎาทิวโสฺส อติวสฺสติ, วิวฎํ อาปตฺติํ อาปชฺชิตฺวา วิวฎํ เทเสนฺตํ อาจิกฺขนฺตํ ภิกฺขุํ ทุกฺกฎาทิวโสฺส นาติวสฺสติ, ตสฺมา ฉนฺนสฺส อติวสฺสนโต จ วิวฎสฺส นาติวสฺสนโต จ ฉนฺนํ ฉาทิตพฺพํ อาปตฺติํ วิวเรถ เทเสถ อาโรเจถ , เอวํ วิวรเณ สติ ตํ วิวรนฺตํ ภิกฺขุํ ทุกฺกฎาทิวโสฺส นาติวสฺสตีติ โยชนาฯ
Channaṃ āpattiṃ āpajjitvā channaṃ chādentaṃ bhikkhuṃ dukkaṭādivasso ativassati, vivaṭaṃ āpattiṃ āpajjitvā vivaṭaṃ desentaṃ ācikkhantaṃ bhikkhuṃ dukkaṭādivasso nātivassati, tasmā channassa ativassanato ca vivaṭassa nātivassanato ca channaṃ chāditabbaṃ āpattiṃ vivaretha desetha ārocetha , evaṃ vivaraṇe sati taṃ vivarantaṃ bhikkhuṃ dukkaṭādivasso nātivassatīti yojanā.
‘‘อิมสฺมิํ สุเตฺต กิตฺตเกน สํกิเลโส ทสฺสิโต, กิตฺตเกน วาสนา ทสฺสิตา’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ฉนฺนมติวสฺสตี’’ติ สํกิเลโส, ‘วิวฎํ นาติวสฺสตี’ติ วาสนา, ‘ตสฺมา ฉนฺนํ วิวเรถ, เอวํ ตํ นาติวสฺสตี’ติ อยํ สํกิเลโส จ วาสนา จา’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘ฉนฺนมติวสฺสตี’’ติ เอตฺตเกน สํกิเลโส ทสฺสิโตฯ ‘‘วิวฎํ นาติวสฺสตี’’ติ เอตฺตเกน วาสนา ทสฺสิตาฯ ‘‘ตสฺมา ฉนฺนํ วิวเรถ, เอวํ ตํ นาติวสฺสตี’’ติ เอตฺตเกน อยํ สํกิเลโส จ ทสฺสิโต, อยํ วาสนา จ ทสฺสิตาฯ อิทํ ‘‘ฉนฺนํ…เป... วสฺสตี’’ติ สุตฺตํ สํกิเลสภาเค วิสเย จ วาสนาภาเค วิสเย จ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต สํกิเลสภาคิยญฺจ วาสนาภาคิยญฺจ สุตฺตํ นามฯ
‘‘Imasmiṃ sutte kittakena saṃkileso dassito, kittakena vāsanā dassitā’’ti pucchitabbattā ‘‘channamativassatī’’ti saṃkileso, ‘vivaṭaṃ nātivassatī’ti vāsanā, ‘tasmā channaṃ vivaretha, evaṃ taṃ nātivassatī’ti ayaṃ saṃkileso ca vāsanā cā’’ti vuttaṃ. ‘‘Channamativassatī’’ti ettakena saṃkileso dassito. ‘‘Vivaṭaṃ nātivassatī’’ti ettakena vāsanā dassitā. ‘‘Tasmā channaṃ vivaretha, evaṃ taṃ nātivassatī’’ti ettakena ayaṃ saṃkileso ca dassito, ayaṃ vāsanā ca dassitā. Idaṃ ‘‘channaṃ…pe... vassatī’’ti suttaṃ saṃkilesabhāge visaye ca vāsanābhāge visaye ca vācakañāpakabhāvena pavattanato saṃkilesabhāgiyañca vāsanābhāgiyañca suttaṃ nāma.
‘‘สํกิเลสภาคิยญฺจ วาสนาภาคิยญฺจ สุตฺตํ เอตฺตกเมวา’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘จตฺตาโรเม มหาราชา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ‘‘เตสุ จตูสุ ปุคฺคเลสุ กตเม ปุคฺคลา สํกิเลสภาคิยา, กตเม ปุคฺคลา วาสนาภาคิยา’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ โย จ ปุคฺคโล’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถาติ เตสุ จตูสุ ตโมตมปรายณาทีสุ ปุคฺคเลสุฯ ตสฺสโตฺถ ปากโฎฯ อิทํ ‘‘จตฺตาโรเม’’ติอาทิกํ สุตฺตํ สํกิเลสภาคิเยสุ ทฺวีสุ ปุคฺคเลสุ จ วาสนาภาคิเยสุ ทฺวีสุ ปุคฺคเลสุ จ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต สํกิเลสภาคิยญฺจ วาสนาภาคิยญฺจ สุตฺตํ นามฯ
‘‘Saṃkilesabhāgiyañca vāsanābhāgiyañca suttaṃ ettakamevā’’ti vattabbattā ‘‘cattārome mahārājā’’tiādi vuttaṃ. ‘‘Tesu catūsu puggalesu katame puggalā saṃkilesabhāgiyā, katame puggalā vāsanābhāgiyā’’ti pucchitabbattā ‘‘tattha yo ca puggalo’’tiādi vuttaṃ. Tatthāti tesu catūsu tamotamaparāyaṇādīsu puggalesu. Tassattho pākaṭo. Idaṃ ‘‘cattārome’’tiādikaṃ suttaṃ saṃkilesabhāgiyesu dvīsu puggalesu ca vāsanābhāgiyesu dvīsu puggalesu ca vācakañāpakabhāvena pavattanato saṃkilesabhāgiyañca vāsanābhāgiyañca suttaṃ nāma.
นานาวิธํ สํกิเลสภาคิยญฺจ วาสนาภาคิยญฺจ สุตฺตํ อาจริเยน นิทฺธาริตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘กตมํ สํกิเลสภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ สุตฺตํ นามา’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ตตฺถ กตมํ สํกิเลสภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ สุตฺต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตสฺสโตฺถ วุตฺตนเยน เวทิตโพฺพฯ
Nānāvidhaṃ saṃkilesabhāgiyañca vāsanābhāgiyañca suttaṃ ācariyena niddhāritaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘katamaṃ saṃkilesabhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca suttaṃ nāmā’’ti pucchitabbattā tattha katamaṃsaṃkilesabhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca sutta’’ntiādi vuttaṃ. Tassattho vuttanayena veditabbo.
อยสํ ยํ พนฺธนญฺจ ทารุชํ ยํ พนฺธนญฺจ ปพฺพชํ ยํ พนฺธนญฺจ โลเก อตฺถิ, ตํ อยสาทิพนฺธนํ ‘‘ทฬฺหํ พนฺธน’’นฺติ ธีรา พุทฺธาทโย ปณฺฑิตปุริสา น อาหุฯ มณิกุณฺฑเลสุ จ ปุเตฺตสุ จ ทาเรสุ จ ยา สารตฺตรตฺตา พลวราครตฺตา อเปกฺขา โลเก วิชฺชติ, ตํ สารตฺตรตฺตอเปกฺขาสงฺขาตํ ราคพนฺธนํ ‘‘ทฬฺหํ พนฺธน’’นฺติ ธีรา ปณฺฑิตปุริสา อาหุฯ อิมินา สุตฺตปฺปเทเสน อยํ สารตฺตรตฺตอเปกฺขาสงฺขาโต อกุสลธโมฺม สํกิเลโส ทสฺสิโตฯ
Ayasaṃ yaṃ bandhanañca dārujaṃ yaṃ bandhanañca pabbajaṃ yaṃ bandhanañca loke atthi, taṃ ayasādibandhanaṃ ‘‘daḷhaṃ bandhana’’nti dhīrā buddhādayo paṇḍitapurisā na āhu. Maṇikuṇḍalesu ca puttesu ca dāresu ca yā sārattarattā balavarāgarattā apekkhā loke vijjati, taṃ sārattarattaapekkhāsaṅkhātaṃ rāgabandhanaṃ ‘‘daḷhaṃ bandhana’’nti dhīrā paṇḍitapurisā āhu. Iminā suttappadesena ayaṃ sārattarattaapekkhāsaṅkhāto akusaladhammo saṃkileso dassito.
‘‘เกน นิเพฺพโธ ทสฺสิโต’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘เอต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ธีรา ปณฺฑิตปุริสา เอตํ ราคพนฺธนํ ‘‘ทฬฺหํ พนฺธน’’นฺติ อาหุฯ เอตํ ราคพนฺธนํ โอหารินํ เหฎฺฐา อปายํ อวหรณํ โหติ, สิถิลํ พนฺธนฎฺฐาเน ฉวิอาทีนิ อโกเปตตฺตา สิถิลํ โหติ, ทุปฺปมุญฺจํ โลภวเสน เอกวารมฺปิ อุปฺปนฺนสฺส ราคพนฺธนสฺส ทุโมฺมจยตฺตา ทุปฺปมุญฺจํ โหติ, ปณฺฑิตปุริสา เอตมฺปิ วุตฺตปฺปการํ ราคพนฺธนมฺปิ มเคฺคน เฉตฺวาน อนเปกฺขิโน หุตฺวา กามสุขํ ปหาย ปริพฺพชนฺติฯ อิติ อิมินา สุตฺตปฺปเทเสน อยํ มโคฺค นิเพฺพโธ ทสฺสิโตฯ อิทํ ‘‘อยส’’นฺติอาทิกํ สุตฺตํ ราคาทิสํกิเลสภาเค วิสเย จ วาสนาภาเค วิสเย จ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต สํกิเลสภาคิยญฺจ วาสนาภาคิยญฺจ สุตฺตํ นามฯ
‘‘Kena nibbedho dassito’’ti vattabbattā ‘‘eta’’ntiādi vuttaṃ. Dhīrā paṇḍitapurisā etaṃ rāgabandhanaṃ ‘‘daḷhaṃ bandhana’’nti āhu. Etaṃ rāgabandhanaṃ ohārinaṃ heṭṭhā apāyaṃ avaharaṇaṃ hoti, sithilaṃ bandhanaṭṭhāne chaviādīni akopetattā sithilaṃ hoti, duppamuñcaṃ lobhavasena ekavārampi uppannassa rāgabandhanassa dummocayattā duppamuñcaṃ hoti, paṇḍitapurisā etampi vuttappakāraṃ rāgabandhanampi maggena chetvāna anapekkhino hutvā kāmasukhaṃ pahāya paribbajanti. Iti iminā suttappadesena ayaṃ maggo nibbedho dassito. Idaṃ ‘‘ayasa’’ntiādikaṃ suttaṃ rāgādisaṃkilesabhāge visaye ca vāsanābhāge visaye ca vācakañāpakabhāvena pavattanato saṃkilesabhāgiyañca vāsanābhāgiyañca suttaṃ nāma.
๑๐๗. ภิกฺขเว, ยญฺจ เจเตติ ยญฺจ เจตนํ นิพฺพเตฺตติ, ยญฺจ ปกเปฺปติ ยญฺจ ปกปฺปนํ กโรติ, ยญฺจ อนุเสติ ยญฺจ อนุสยนํ ภวติ, เอตํ เจตนํ เอตํ ปกปฺปนํ เอตํ อนุสยนํ วิญฺญาณสฺส ฐิติยา อารมฺมณํ ปจฺจโย โหติฯ อารมฺมเณ ปจฺจเย สติ ตสฺส อภิสงฺขาร วิญฺญาณสฺส ปติฎฺฐา โหติฯ ตสฺมิํ อภิสงฺขารวิญฺญาเณ ปติฎฺฐิเต วิรุเฬฺห สติ อายติํ ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติ วิญฺญาณาทินิพฺพตฺติ โหติฯ อายติํ ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติยา สติ อายติํ ชาติชรามรณํ สมฺภวติฯ อายติํ โสก…เป.… สมุทโย โหติฯ
107. Bhikkhave, yañca ceteti yañca cetanaṃ nibbatteti, yañca pakappeti yañca pakappanaṃ karoti, yañca anuseti yañca anusayanaṃ bhavati, etaṃ cetanaṃ etaṃ pakappanaṃ etaṃ anusayanaṃ viññāṇassa ṭhitiyā ārammaṇaṃ paccayo hoti. Ārammaṇe paccaye sati tassa abhisaṅkhāra viññāṇassa patiṭṭhā hoti. Tasmiṃ abhisaṅkhāraviññāṇe patiṭṭhite viruḷhe sati āyatiṃ punabbhavābhinibbatti viññāṇādinibbatti hoti. Āyatiṃ punabbhavābhinibbattiyā sati āyatiṃ jātijarāmaraṇaṃ sambhavati. Āyatiṃ soka…pe… samudayo hoti.
ภิกฺขเว, เจ โน เจเตติ, เจ โน ปกเปฺปติ, อถ ตถาปิ เจ อนุเสติ อนุสยนํ ภวติ, เอวํ สติ เอตํ อนุสยนํ วิญฺญาณสฺส อภิสงฺขารวิญฺญาณสฺส อารมฺมณํ ปจฺจโย โหติ…เป.… สมุทโย โหติฯ อิติ อิมินา สุตฺตปฺปเทเสน อยํ วุตฺตปฺปกาโร เจตยนาทิโก อกุสลธโมฺม สํกิเลโส ทสฺสิโตฯ
Bhikkhave, ce no ceteti, ce no pakappeti, atha tathāpi ce anuseti anusayanaṃ bhavati, evaṃ sati etaṃ anusayanaṃ viññāṇassa abhisaṅkhāraviññāṇassa ārammaṇaṃ paccayo hoti…pe… samudayo hoti. Iti iminā suttappadesena ayaṃ vuttappakāro cetayanādiko akusaladhammo saṃkileso dassito.
‘‘เกน นิเพฺพโธ ทสฺสิโต’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ยโต จา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ภิกฺขเว, ยโต จ อริยมคฺคิโก เนว เจเตติ, โน จ ปกเปฺปติ, โน จ อนุเสติ, เอตํ อเจตยนํ เอตํ อกปฺปนํ เอตํ อนนุสยนํ วิญฺญาณสฺส อภิสงฺขารวิญฺญาณสฺส อารมฺมณํ ปจฺจโย น โหติ…เป.… อายติํ ชาติชรามรณํ นิรุชฺฌติ, อายติํ โสก…เป.… ยาสา นิรุชฺฌนฺติ…เป.… นิโรโธ โหติฯ อิติ อิมินา สุตฺตปฺปเทเสน อยํ อริยมโคฺค นิเพฺพโธ ทสฺสิโตฯ อิทํ ‘‘ยญฺจ ภิกฺขเว’’ติอาทิกํ สุตฺตํ สํกิเลสภาเค วิสเย จ นิเพฺพธภาเค วิสเย จ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต สํกิเลสภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ สุตฺตํ นามฯ
‘‘Kena nibbedho dassito’’ti vattabbattā ‘‘yato cā’’tiādi vuttaṃ. Bhikkhave, yato ca ariyamaggiko neva ceteti, no ca pakappeti, no ca anuseti, etaṃ acetayanaṃ etaṃ akappanaṃ etaṃ ananusayanaṃ viññāṇassa abhisaṅkhāraviññāṇassa ārammaṇaṃ paccayo na hoti…pe… āyatiṃ jātijarāmaraṇaṃ nirujjhati, āyatiṃ soka…pe… yāsā nirujjhanti…pe… nirodho hoti. Iti iminā suttappadesena ayaṃ ariyamaggo nibbedho dassito. Idaṃ ‘‘yañca bhikkhave’’tiādikaṃ suttaṃ saṃkilesabhāge visaye ca nibbedhabhāge visaye ca vācakañāpakabhāvena pavattanato saṃkilesabhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca suttaṃ nāma.
๑๐๘. นานาวิธํ สํกิเลสภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ สุตฺตํ อาจริเยน นิทฺธาริตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘กตมํ สํกิเลสภาคิยญฺจ อเสกฺขภาคิยญฺจ สุตฺต’’นฺติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ กตมํ สํกิเลสภาคิยญฺจ อเสกฺขภาคิยญฺจ สุตฺต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตสฺสโตฺถ วุตฺตนเยน เวทิตโพฺพฯ
108. Nānāvidhaṃ saṃkilesabhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca suttaṃ ācariyena niddhāritaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘katamaṃ saṃkilesabhāgiyañca asekkhabhāgiyañca sutta’’nti pucchitabbattā ‘‘tattha katamaṃ saṃkilesabhāgiyañca asekkhabhāgiyañca sutta’’ntiādi vuttaṃ. Tassattho vuttanayena veditabbo.
ภิกฺขเว, อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน สมุโทฺท ชลสาครสมุโทฺท ‘‘สมุโทฺท สมุโทฺท’’ติ ภาสติฯ เกนเฎฺฐน ภาสติ? ทุปฺปูรณเฎฺฐน จ สํสรณเฎฺฐน จ ทุรติกฺกมนเฎฺฐน จ สมุโทฺทติ ภาสติฯ เอวํ สติ, ภิกฺขเว, เอโส ชลสาครสมุโทฺท อริยสฺส ภควโต วินเย วุตฺตปฺปการเฎฺฐน สมุโทฺท น โหติฯ ภิกฺขเว, เอโส ชลสาครสมุโทฺท มหา อุทกราสิ มหา อุทกณฺณโว โหติฯ ภิกฺขเว, จกฺขุ ปุริสสฺส สมุโทฺท โหติ, ตสฺส จกฺขุสฺส รูปมโย รูปายตนมโย เวโคฯ เกนเฎฺฐน? ปถวิโต ยาว อกนิฎฺฐพฺรหฺมโลกา นีลาทิรูปารมฺมณํ สโมสรนฺตมฺปิ ทุปฺปูรณเฎฺฐน จ อนมตเคฺค สํสาเร สํสรณเฎฺฐน จ ทุรติกฺกมนเฎฺฐน จ จกฺขุเมว สมุโทฺท โหติฯ นีลาทิรูปายตนสฺส อปฺปเมยฺยสฺส อปฺปเมเยฺยน อูมิมเยน เวเคน สํสรณเฎฺฐน นีลาทิรูปเมว เวโค โหติฯ อิติ อิมินา สุตฺตปฺปเทเสน อยํ จกฺขุ สมุโทฺท รูปมโย เวโค จ สํกิเลโส สํกิเลสเหตุ ทสฺสิโตฯ
Bhikkhave, assutavā puthujjano samuddo jalasāgarasamuddo ‘‘samuddo samuddo’’ti bhāsati. Kenaṭṭhena bhāsati? Duppūraṇaṭṭhena ca saṃsaraṇaṭṭhena ca duratikkamanaṭṭhena ca samuddoti bhāsati. Evaṃ sati, bhikkhave, eso jalasāgarasamuddo ariyassa bhagavato vinaye vuttappakāraṭṭhena samuddo na hoti. Bhikkhave, eso jalasāgarasamuddo mahā udakarāsi mahā udakaṇṇavo hoti. Bhikkhave, cakkhu purisassa samuddo hoti, tassa cakkhussa rūpamayo rūpāyatanamayo vego. Kenaṭṭhena? Pathavito yāva akaniṭṭhabrahmalokā nīlādirūpārammaṇaṃ samosarantampi duppūraṇaṭṭhena ca anamatagge saṃsāre saṃsaraṇaṭṭhena ca duratikkamanaṭṭhena ca cakkhumeva samuddo hoti. Nīlādirūpāyatanassa appameyyassa appameyyena ūmimayena vegena saṃsaraṇaṭṭhena nīlādirūpameva vego hoti. Iti iminā suttappadesena ayaṃ cakkhu samuddo rūpamayo vego ca saṃkileso saṃkilesahetu dassito.
‘‘เกน อเสโกฺข ทสฺสิโต’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘โย ต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ยสฺมิํ อรหตฺตผเล ฐิโต โย อรหา รูปมยํ ตํ เวคํ สหติ มนาเป รูเป ราคํ, อมนาเป รูเป โทสํ, อสมเปกฺขเน โมหํ อนุปฺปาเทโนฺต หุตฺวา อุเปกฺขกภาเวน สหติ, อยํ อรหา, ภิกฺขเว, สอูมิํ สาวฎฺฎํ สคหํ สรกฺขสํ จกฺขุสมุทฺทํ อตรีติ วุจฺจติ, ติโณฺณ ปารงฺคโต ถเล ติฎฺฐติ พฺราหฺมโณติ วุจฺจติฯ อิติ อิมินา สุตฺตปฺปเทเสน อยํ อรหตฺตผลภูโต อเสโกฺข ทสฺสิโตฯ
‘‘Kena asekkho dassito’’ti vattabbattā ‘‘yo ta’’ntiādi vuttaṃ. Yasmiṃ arahattaphale ṭhito yo arahā rūpamayaṃ taṃ vegaṃ sahati manāpe rūpe rāgaṃ, amanāpe rūpe dosaṃ, asamapekkhane mohaṃ anuppādento hutvā upekkhakabhāvena sahati, ayaṃ arahā, bhikkhave, saūmiṃ sāvaṭṭaṃ sagahaṃ sarakkhasaṃ cakkhusamuddaṃ atarīti vuccati, tiṇṇo pāraṅgato thale tiṭṭhati brāhmaṇoti vuccati. Iti iminā suttappadesena ayaṃ arahattaphalabhūto asekkho dassito.
‘‘โสตํ ภิกฺขเว’’ติอาทีสุปิ อิมินา นเยน ยถาสมฺภวํ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อิทํ ‘‘สมุโทฺท’’ติอาทิกํ สุตฺตํ สํกิเลสภาเค วิสเย จ อเสกฺขภาเค วิสเย จ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต สํกิเลสภาคิยญฺจ อเสกฺขภาคิยญฺจ สุตฺตํ นามฯ
‘‘Sotaṃbhikkhave’’tiādīsupi iminā nayena yathāsambhavaṃ attho veditabbo. Idaṃ ‘‘samuddo’’tiādikaṃ suttaṃ saṃkilesabhāge visaye ca asekkhabhāge visaye ca vācakañāpakabhāvena pavattanato saṃkilesabhāgiyañca asekkhabhāgiyañca suttaṃ nāma.
‘‘เอตฺตกเมวา’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ฉยิเม’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ภิกฺขเว, โลกสฺมิํ สตฺตานํ อนยาย อนตฺถาย ปาณีนํ พฺยาพาธาย อิเม มยา วุจฺจมานา พฬิสา ฉ ภวนฺติฯ กตเม ฉ? ภิกฺขเว, จกฺขุวิเญฺญยฺยา จกฺขุวิญฺญาเณน วิเญฺญยฺยา อิฎฺฐา กนฺตา กามนียา มนาปา มนวฑฺฒกา ปิยรูปา ปิยสภาวา กามูปสํหิตา กิเลสกามสหิตา รชนียา รูปา นีลาทิรูปารมฺมณา สนฺติ, ตํ วุตฺตปฺปการํ รูปํ ภิกฺขุ เจ อภินนฺทติ สปฺปีติกตณฺหาย อภิมุโข นนฺทติ, เจ อภิวทติ ‘‘อโห สุขํ อโห สุข’’นฺติ วทาเปนฺติยา ตณฺหายนวเสน อภิวทติ, เจ อโชฺฌสาย ติฎฺฐติ คิลิตฺวา วิย ปรินิฎฺฐเปตฺวา ติฎฺฐติ, เอวํ สติ, ภิกฺขเว, อยํ ภิกฺขุ ‘‘คิลิตพฬิโส…เป.… ปาปิมโต’’ติ วุจฺจติฯ เอตฺถ จ นีลาทิเภเทน อเนกวิธตฺตา ‘‘รูปา อิฎฺฐา…เป.… รชนียา’’ติ พหุวจนนิเทฺทโส กโตปิ รูปายตนรูปารมฺมณภาเวน จ จกฺขุวิเญฺญยฺยภาเวน จ เอกวิธตํ อนติวตฺตนโต ‘‘ต’’นฺติ เอกวจนนิเทฺทโส กโตติ เวทิตโพฺพฯ ‘‘สนฺติ, ภิกฺขเว, โสตวิเญฺญยฺยา’’ติอาทีสุปิ อิมินา นเยน ยถาสมฺภวํ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อิติ อิมินา สุตฺตปฺปเทเสน อยํ จกฺขุวิเญฺญยฺยาทิโก ฉพฺพิโธ พฬิโส สํกิเลโส กิเลสเหตุ ทสฺสิโตฯ
‘‘Ettakamevā’’ti vattabbattā ‘‘chayime’’tiādi vuttaṃ. Bhikkhave, lokasmiṃ sattānaṃ anayāya anatthāya pāṇīnaṃ byābādhāya ime mayā vuccamānā baḷisā cha bhavanti. Katame cha? Bhikkhave, cakkhuviññeyyā cakkhuviññāṇena viññeyyā iṭṭhā kantā kāmanīyā manāpā manavaḍḍhakā piyarūpā piyasabhāvā kāmūpasaṃhitā kilesakāmasahitā rajanīyā rūpā nīlādirūpārammaṇā santi, taṃ vuttappakāraṃ rūpaṃ bhikkhu ce abhinandati sappītikataṇhāya abhimukho nandati, ce abhivadati ‘‘aho sukhaṃ aho sukha’’nti vadāpentiyā taṇhāyanavasena abhivadati, ce ajjhosāya tiṭṭhati gilitvā viya pariniṭṭhapetvā tiṭṭhati, evaṃ sati, bhikkhave, ayaṃ bhikkhu ‘‘gilitabaḷiso…pe… pāpimato’’ti vuccati. Ettha ca nīlādibhedena anekavidhattā ‘‘rūpā iṭṭhā…pe… rajanīyā’’ti bahuvacananiddeso katopi rūpāyatanarūpārammaṇabhāvena ca cakkhuviññeyyabhāvena ca ekavidhataṃ anativattanato ‘‘ta’’nti ekavacananiddeso katoti veditabbo. ‘‘Santi, bhikkhave, sotaviññeyyā’’tiādīsupi iminā nayena yathāsambhavaṃ attho veditabbo. Iti iminā suttappadesena ayaṃ cakkhuviññeyyādiko chabbidho baḷiso saṃkileso kilesahetu dassito.
‘‘เกน อเสโกฺข ทสฺสิโต’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘สนฺติ จา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
‘‘Kena asekkho dassito’’ti vattabbattā ‘‘santi cā’’tiādi vuttaṃ.
อเภทิ ภินฺทิ, ปริเภทิ ปริสมนฺตโต ภินฺทิฯ อิติ อิมินา สุตฺตปฺปเทเสน อยํ อรหตฺตผลภูโต อเสโกฺข ทสฺสิโตฯ อิทํ ‘‘ฉยิเม’’ติอาทิกํ สุตฺตํ วุตฺตนเยน สํกิเลสภาคิยญฺจ อเสกฺขภาคิยญฺจ สุตฺตํ นามฯ
Abhedi bhindi, paribhedi parisamantato bhindi. Iti iminā suttappadesena ayaṃ arahattaphalabhūto asekkho dassito. Idaṃ ‘‘chayime’’tiādikaṃ suttaṃ vuttanayena saṃkilesabhāgiyañca asekkhabhāgiyañca suttaṃ nāma.
๑๐๙. นานาวิธํ สํกิเลสภาคิยญฺจ อเสกฺขภาคิยญฺจ สุตฺตํ อาจริเยน นิทฺธาริตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘กตมํ สํกิเลสภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ อเสกฺขภาคิยญฺจ สุตฺต’’นฺติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ กตมํ สํกิเลสภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ อเสกฺขภาคิยญฺจ สุตฺต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ
109. Nānāvidhaṃ saṃkilesabhāgiyañca asekkhabhāgiyañca suttaṃ ācariyena niddhāritaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘katamaṃ saṃkilesabhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca asekkhabhāgiyañca sutta’’nti pucchitabbattā ‘‘tattha katamaṃ saṃkilesabhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca asekkhabhāgiyañca sutta’’ntiādi vuttaṃ.
อยํ โลโก สตฺตโลโก สนฺตาปชาโต ญาติพฺยสนาทิวเสน ชาตโสกสนฺตาโป เจว ราคาทิวเสน ชาตปริฬาหสนฺตาโป จ ผสฺสปเรโต อเนเกหิ ทุกฺขสมฺผเสฺสหิ อภิภูโต โรทํ โรทโนฺต วทติฯ กินฺติ วทติ? อตฺตนา ผุฎฺฐํ ทุกฺขํ อภาวิตกายตาย อธิวาเสตุํ อสโกฺกโนฺต หุตฺวา ‘‘อโห ทุกฺขํ, อีทิสํ ทุกฺขํ มยฺหํ สตฺตุโนปิ มา โหตู’’ติอาทินา โรทโนฺต วิลปโนฺต วทติ, ‘‘กสฺมา เอวํ วทตี’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘อตฺตโต เยน เยน หิ มญฺญนฺตี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เอเต สตฺตา เยน เยน กามโชฺฌสาทินา ปกาเรน อตฺตโต ทุกฺขสฺส ปฎิการํ มญฺญนฺติ, ตโต ปการโต อญฺญถา อเญฺญน ปกาเรน ตํ ทุกฺขํ ติกิจฺฉิตพฺพํ หิ ยสฺมา โหติฯ
Ayaṃloko sattaloko santāpajāto ñātibyasanādivasena jātasokasantāpo ceva rāgādivasena jātapariḷāhasantāpo ca phassapareto anekehi dukkhasamphassehi abhibhūto rodaṃ rodanto vadati. Kinti vadati? Attanā phuṭṭhaṃ dukkhaṃ abhāvitakāyatāya adhivāsetuṃ asakkonto hutvā ‘‘aho dukkhaṃ, īdisaṃ dukkhaṃ mayhaṃ sattunopi mā hotū’’tiādinā rodanto vilapanto vadati, ‘‘kasmā evaṃ vadatī’’ti vattabbattā ‘‘attato yena yena hi maññantī’’tiādi vuttaṃ. Ete sattā yena yena kāmajjhosādinā pakārena attato dukkhassa paṭikāraṃ maññanti, tato pakārato aññathā aññena pakārena taṃ dukkhaṃ tikicchitabbaṃ hi yasmā hoti.
อญฺญถาภาวีติ ยสฺมา โรทํ โรทโนฺต วทติ, เยน เยน วา ปรวิหิํสาทิปกาเรน อตฺตโน วฑฺฒิํ มญฺญนฺติ อาสีสนฺติ, ตโต ปการโต อญฺญถา อวฑฺฒิ เอว โหติฯ ตํ อาสีสิตพฺพํ อญฺญถาภาวิ อวฑฺฒิตภาวิ เอว หิ ยสฺมา โหติ, ตสฺมา มญฺญิตพฺพสฺส อาสีสิตพฺพสฺส อญฺญถา ภวนสีลตฺตา โรทํ โรทโนฺต วทติ, อยํ สตฺตโลโก โรทโนฺต จ หุตฺวา วทติฯ ‘‘กิ’’นฺติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ภวสโตฺต’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ภวสโตฺต กามภวาทีสุ สโตฺต วิสโตฺต โลโก ภวเมว กามภวาทิภวเมว อภินนฺทติฯ ยํ ภวํ อภินนฺทติ, ตํ ชรามรณาทิอเนกพฺยสนานุพนฺธตฺตา ภยานกเฎฺฐน ภยํ โหติฯ ยสฺส ยโต ชรามรณาทิโต ภายติ, ตํ ชรามรณาทิทุกฺขสฺส อธิฎฺฐานภาวโต ทุกฺขํ ทุกฺขาธิฎฺฐานํ โหติฯ อิติ อิมินา สุตฺตปฺปเทเสน อยํ สนฺตาปาทิโก สํกิเลโส สํกิเลสเหตุ ทสฺสิโตฯ
Aññathābhāvīti yasmā rodaṃ rodanto vadati, yena yena vā paravihiṃsādipakārena attano vaḍḍhiṃ maññanti āsīsanti, tato pakārato aññathā avaḍḍhi eva hoti. Taṃ āsīsitabbaṃ aññathābhāvi avaḍḍhitabhāvi eva hi yasmā hoti, tasmā maññitabbassa āsīsitabbassa aññathā bhavanasīlattā rodaṃ rodanto vadati, ayaṃ sattaloko rodanto ca hutvā vadati. ‘‘Ki’’nti pucchitabbattā ‘‘bhavasatto’’tiādi vuttaṃ. Bhavasatto kāmabhavādīsu satto visatto loko bhavameva kāmabhavādibhavameva abhinandati. Yaṃ bhavaṃ abhinandati, taṃ jarāmaraṇādianekabyasanānubandhattā bhayānakaṭṭhena bhayaṃ hoti. Yassa yato jarāmaraṇādito bhāyati, taṃ jarāmaraṇādidukkhassa adhiṭṭhānabhāvato dukkhaṃ dukkhādhiṭṭhānaṃ hoti. Iti iminā suttappadesena ayaṃ santāpādiko saṃkileso saṃkilesahetu dassito.
สํกิเลโส ทสฺสิโต, ‘‘เกน นิเพฺพโธ ทสฺสิโต’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ภววิปฺปหานาย โข’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ภววิปฺปหานาย โข ปน กามภวาทิกสฺส ภวสฺส ปชหนตฺถาย เอว อิทํ มยา อธิคตํ มคฺคพฺรหฺมจริยํ วุสฺสติฯ อิติ อิมินา สุตฺตปฺปเทเสน อยํ พฺรหฺมจริยภูโต มโคฺค นิเพฺพโธ ทสฺสิโตฯ
Saṃkileso dassito, ‘‘kena nibbedho dassito’’ti vattabbattā ‘‘bhavavippahānāya kho’’tiādi vuttaṃ. Bhavavippahānāya kho pana kāmabhavādikassa bhavassa pajahanatthāya eva idaṃ mayā adhigataṃ maggabrahmacariyaṃ vussati. Iti iminā suttappadesena ayaṃ brahmacariyabhūto maggo nibbedho dassito.
‘‘ภววิปฺปหานายา’’ติอาทินา เอกเนฺตน นิยฺยานิกมโคฺค นิเพฺพโธ อาจริเยน ทสฺสิโต, อเมฺหหิ จ ญาโต, ‘‘กตโม อนิยฺยานิกมโคฺค’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘เย หิ เกจิ สมณา วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ หิ-สโทฺท วาจาสิลิฎฺฐโตฺถฯ เย เกจิ สมณา วา เย เกจิ พฺราหฺมณา วา ภเวน รูปภเวน ภวสฺส กามภวสฺส วิปฺปโมกฺขํ อาหํสุ, ภเวน อรูปภเวน ภวสฺส กามภวสฺส เจว รูปภวสฺส จ วิปฺปโมกฺขํ อาหํสุ, สเพฺพ เต สมณา วา สเพฺพ เต พฺราหฺมณา วา ภวสฺมา วุตฺตปฺปการภวโต อวิปฺปมุตฺตา ภวนฺตีติ อหํ วทามิฯ
‘‘Bhavavippahānāyā’’tiādinā ekantena niyyānikamaggo nibbedho ācariyena dassito, amhehi ca ñāto, ‘‘katamo aniyyānikamaggo’’ti pucchitabbattā ‘‘ye hi keci samaṇā vā’’tiādi vuttaṃ. Hi-saddo vācāsiliṭṭhattho. Ye keci samaṇā vā ye keci brāhmaṇā vā bhavena rūpabhavena bhavassa kāmabhavassa vippamokkhaṃ āhaṃsu, bhavena arūpabhavena bhavassa kāmabhavassa ceva rūpabhavassa ca vippamokkhaṃ āhaṃsu, sabbe te samaṇā vā sabbe te brāhmaṇā vā bhavasmā vuttappakārabhavato avippamuttā bhavantīti ahaṃ vadāmi.
‘‘รูปภวาทินา เย จ กามภวาทิภวสฺส วิปฺปโมกฺขํ อาหํสู’’ติ วตฺตพฺพตฺตา วิภเวน ภวสฺส นิสฺสรณํ อาหํสูติ ทเสฺสตุํ ‘‘เย วา ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เย วา ปน เกจิ สมณา วา เย วา ปน เกจิ พฺราหฺมณา วา วิภเวน อุเจฺฉททิฎฺฐิยา ภวสฺส สํสารภวสฺส นิสฺสรณํ อาหํสุ, สเพฺพ เต สมณา วา สเพฺพ เต พฺราหฺมณา วา ภวสฺมา สํสารภวโต อนิสฺสฎาว โหนฺตีติ อหํ วทามิฯ ‘‘กสฺมา อนิสฺสฎา’’ติ วตฺตพฺพตฺตา อนิสฺสฎการณํ ทเสฺสตุํ ‘‘อุปธิํ หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อิทํ ทุกฺขํ สํสารทุกฺขํ อุปธิํ ขนฺธูปธิกิเลสูปธิอภิสงฺขารูปธโย ปฎิจฺจ หิ ยสฺมา สโมฺภติ, ตสฺมา อนิสฺสฎา โหนฺติฯ อิติ อิมินา สุตฺตปฺปเทเสน อยํ มิจฺฉาทิฎฺฐิสงฺขาโต สํกิเลโส ทสฺสิโตฯ
‘‘Rūpabhavādinā ye ca kāmabhavādibhavassa vippamokkhaṃ āhaṃsū’’ti vattabbattā vibhavena bhavassa nissaraṇaṃ āhaṃsūti dassetuṃ ‘‘ye vā panā’’tiādi vuttaṃ. Ye vā pana keci samaṇā vā ye vā pana keci brāhmaṇā vā vibhavena ucchedadiṭṭhiyā bhavassa saṃsārabhavassa nissaraṇaṃ āhaṃsu, sabbe te samaṇā vā sabbe te brāhmaṇā vā bhavasmā saṃsārabhavato anissaṭāva hontīti ahaṃ vadāmi. ‘‘Kasmā anissaṭā’’ti vattabbattā anissaṭakāraṇaṃ dassetuṃ ‘‘upadhiṃ hī’’tiādi vuttaṃ. Idaṃ dukkhaṃ saṃsāradukkhaṃ upadhiṃ khandhūpadhikilesūpadhiabhisaṅkhārūpadhayo paṭicca hi yasmā sambhoti, tasmā anissaṭā honti. Iti iminā suttappadesena ayaṃ micchādiṭṭhisaṅkhāto saṃkileso dassito.
เย หิ ‘‘เกจี’’ติอาทินา สํกิเลโส ทสฺสิโต, ‘‘เกน นิเพฺพโธ ทสฺสิโต’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘สพฺพุปาทานกฺขยา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สพฺพุปาทานกฺขยา อริยมคฺคโต ทุกฺขสฺส สํสารทุกฺขสฺส สมฺภโว นตฺถิฯ อิติ อิมินา สุตฺตปฺปเทเสน อยํ อริยมโคฺค นิเพฺพโธ ทสฺสิโตฯ
Ye hi ‘‘kecī’’tiādinā saṃkileso dassito, ‘‘kena nibbedho dassito’’ti vattabbattā ‘‘sabbupādānakkhayā’’tiādi vuttaṃ. Sabbupādānakkhayā ariyamaggato dukkhassa saṃsāradukkhassa sambhavo natthi. Iti iminā suttappadesena ayaṃ ariyamaggo nibbedho dassito.
‘‘วุตฺตปฺปการา อญฺญสุตฺตปฺปเทเสนปิ ทสฺสิโต’’ติ ทเสฺสตุํ ‘‘โลกมิม’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ปุถู วิสุํ วิสุํ อวิชฺชาย ปเรตํ อภิภูตํ ภูตรตํ ภูเตสุ อิตฺถิปุริเสสุ อญฺญมญฺญรตํ ภูตํ ขนฺธปญฺจกํ ภเวหิ อปริมุตฺตํ อิมํ โลกํ มม จิตฺต ตฺวํ ปสฺสฯ เย เกจิ ภวา อิตฺตรขณา วา ภวา, ทีฆายุกา วา ภวา, สาตวโนฺต วา ภวา, อสาตวโนฺต วา ภวา ปญฺจกฺขนฺธา สพฺพธิ ‘‘อุทฺธํ อโธ ติริย’’นฺติ อิเมสุ สเพฺพสุ สพฺพตฺถตาย สพฺพตฺถภาเวน อเหสุํ, สเพฺพ เต วุตฺตปฺปการา ภวา นิจฺจธุวรหิตตฺตา อนิจฺจา สมฺปีฬิตตฺตา ทุกฺขา วิปริณามภาวโต วิปริณามธมฺมา อเหสุํฯ อิติ อิมินา สุตฺตปฺปเทเสน อยํ อวิชฺชาทิโก สํกิเลโส ทสฺสิโตฯ
‘‘Vuttappakārā aññasuttappadesenapi dassito’’ti dassetuṃ ‘‘lokamima’’ntiādi vuttaṃ. Puthū visuṃ visuṃ avijjāya paretaṃ abhibhūtaṃ bhūtarataṃ bhūtesu itthipurisesu aññamaññarataṃ bhūtaṃ khandhapañcakaṃ bhavehi aparimuttaṃ imaṃ lokaṃ mama citta tvaṃ passa. Ye keci bhavā ittarakhaṇā vā bhavā, dīghāyukā vā bhavā, sātavanto vā bhavā, asātavanto vā bhavā pañcakkhandhā sabbadhi ‘‘uddhaṃ adho tiriya’’nti imesu sabbesu sabbatthatāya sabbatthabhāvena ahesuṃ, sabbe te vuttappakārā bhavā niccadhuvarahitattā aniccā sampīḷitattā dukkhā vipariṇāmabhāvato vipariṇāmadhammā ahesuṃ. Iti iminā suttappadesena ayaṃ avijjādiko saṃkileso dassito.
‘‘โลกมิม’’นฺติอาทินา สํกิเลโส ทสฺสิโต, ‘‘เกน นิเพฺพโธ ทสฺสิโต’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘เอวเมต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ เอวํ วุตฺตปฺปกาเรน เอตํ ขนฺธปญฺจกํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย สสฺส อตฺตโน มคฺคปญฺญาย, วิปสฺสนาปญฺญาย วา ปสฺสโต ปสฺสนฺตสฺส ปุคฺคลสฺส ภวตณฺหา ปหียติ, สมฺมปฺปญฺญาย ยถาภูตํ ขนฺธปญฺจกํ ปสฺสโนฺต วิภวํ อุเจฺฉททิฎฺฐิํ นาภินนฺทติ น ปเตฺถติฯ ตสฺส ปุคฺคลสฺส สพฺพโส ตณฺหานํ ขยา อเสสวิราคนิโรโธ อเสสวิราคสงฺขาเตน มเคฺคน นิโรโธ นิรุชฺฌนํ นิพฺพานํ นิพฺพุติ โหติฯ อิติ อิมินา สุตฺตปฺปเทเสน อยํ มโคฺค นิเพฺพโธ ทสฺสิโตฯ
‘‘Lokamima’’ntiādinā saṃkileso dassito, ‘‘kena nibbedho dassito’’ti vattabbattā ‘‘evameta’’ntiādi vuttaṃ. Evaṃ vuttappakārena etaṃ khandhapañcakaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya sassa attano maggapaññāya, vipassanāpaññāya vā passato passantassa puggalassa bhavataṇhā pahīyati, sammappaññāya yathābhūtaṃ khandhapañcakaṃ passanto vibhavaṃ ucchedadiṭṭhiṃ nābhinandati na pattheti. Tassa puggalassa sabbaso taṇhānaṃ khayā asesavirāganirodho asesavirāgasaṅkhātena maggena nirodho nirujjhanaṃ nibbānaṃ nibbuti hoti. Iti iminā suttappadesena ayaṃ maggo nibbedho dassito.
‘‘เอวเมต’’นฺติอาทินา นิเพฺพโธ ทสฺสิโต, ‘‘เกน อเสโกฺข ทสฺสิโต’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ตสฺส นิพฺพุตสฺสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตณฺหาทิฎฺฐินิพฺพุตสฺส ตสฺส ภิกฺขุโน อนุปาทา กิเลสาภิสงฺขารานํ อนุปฺปาทนโต อคฺคหณโต ปุนพฺภโว น โหติ, เอวํภูเตน อริยปุคฺคเลน ปุเพฺพ อตฺตานํ อภิภูโต ปญฺจวิโธ มาโร วิชิโต อโหสิ, อเนน อริยปุคฺคเลน ปญฺจหิ มาเรหิ สงฺคาโม วิชิโต, สงฺคาเม, อิฎฺฐานิฎฺฐาทีสุ วา ตาที ตาทิลกฺขณปฺปโตฺต อริยปุคฺคโล สพฺพภวานิ อุปจฺจคา อติกฺกโนฺตว ชาโตฯ อิติ อิมินา สุตฺตปฺปเทเสน อยํ อเสโกฺข ทสฺสิโตฯ อิทํ วุตฺตปฺปการํ ‘‘อยํ โลโก’’ติอาทิกํ สุตฺตํ สํกิเลสภาเค วิสเย จ นิเพฺพธภาเค วิสเย จ อเสกฺขภาเค วิสเย จ วาจกญาปกภาเวน เอกเทสวเสน ปวตฺตนโต สํกิเลสภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ อเสกฺขภาคิยญฺจ สุตฺตํ นามฯ
‘‘Evameta’’ntiādinā nibbedho dassito, ‘‘kena asekkho dassito’’ti vattabbattā ‘‘tassa nibbutassā’’tiādi vuttaṃ. Taṇhādiṭṭhinibbutassa tassa bhikkhuno anupādā kilesābhisaṅkhārānaṃ anuppādanato aggahaṇato punabbhavo na hoti, evaṃbhūtena ariyapuggalena pubbe attānaṃ abhibhūto pañcavidho māro vijito ahosi, anena ariyapuggalena pañcahi mārehi saṅgāmo vijito, saṅgāme, iṭṭhāniṭṭhādīsu vā tādī tādilakkhaṇappatto ariyapuggalo sabbabhavāni upaccagā atikkantova jāto. Iti iminā suttappadesena ayaṃ asekkho dassito. Idaṃ vuttappakāraṃ ‘‘ayaṃ loko’’tiādikaṃ suttaṃ saṃkilesabhāge visaye ca nibbedhabhāge visaye ca asekkhabhāge visaye ca vācakañāpakabhāvena ekadesavasena pavattanato saṃkilesabhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca asekkhabhāgiyañca suttaṃ nāma.
‘‘เอตฺตกเมวา’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘จตฺตาโรเม’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อนฺธปุถุชฺชโน สํสารโสตสฺส อนุกูลภาเวน คจฺฉนโต อนุโสตคามี นาม, กลฺยาณปุถุชฺชโน สํสารโสตสฺส นิพฺพิทานุปสฺสนาทีหิ ปฎิกฺกูลวเสน ปวตฺตนโต ปฎิโสตคามี นาม, เสโกฺข อจลปฺปสาทาทิสมนฺนาคเมน ฐิตสภาวตฺตา ฐิตโตฺต นาม, อเสโกฺข สํสารปารงฺคตวเสน ติฎฺฐนโต ‘‘ถเล ติฎฺฐตี’’ติ วุจฺจติฯ
‘‘Ettakamevā’’ti vattabbattā ‘‘cattārome’’tiādi vuttaṃ. Andhaputhujjano saṃsārasotassa anukūlabhāvena gacchanato anusotagāmī nāma, kalyāṇaputhujjano saṃsārasotassa nibbidānupassanādīhi paṭikkūlavasena pavattanato paṭisotagāmī nāma, sekkho acalappasādādisamannāgamena ṭhitasabhāvattā ṭhitatto nāma, asekkho saṃsārapāraṅgatavasena tiṭṭhanato ‘‘thale tiṭṭhatī’’ti vuccati.
‘‘เตสุ จตูสุ ปุคฺคเลสุ กตโม ปุคฺคโล สํกิเลสภาคิยาที’’ติ วตฺตพฺพภาวโต ‘‘ตตฺถ โยย’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ
‘‘Tesu catūsu puggalesu katamo puggalo saṃkilesabhāgiyādī’’ti vattabbabhāvato ‘‘tattha yoya’’ntiādi vuttaṃ.
๑๑๐. นานาวิธํ สํกิเลสภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ อเสกฺขภาคิยญฺจ สุตฺตํ อาจริเยน นิทฺธาริตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘กตมํ สํกิเลสภาคิยญฺจ วาสนาภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ สุตฺต’’นฺติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ กตม’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ
110. Nānāvidhaṃ saṃkilesabhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca asekkhabhāgiyañca suttaṃ ācariyena niddhāritaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘katamaṃ saṃkilesabhāgiyañca vāsanābhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca sutta’’nti pucchitabbattā ‘‘tattha katama’’ntiādi vuttaṃ.
อภิชาติโย ปุคฺคลา ฉ สํวิชฺชนฺติ โลกสฺมิํ, กเณฺห นีเจ กุเล นิพฺพโตฺต กณฺหาภิชาติโก, กณฺหธมฺมสมนฺนาคตตฺตา วา กโณฺห กณฺหาภิชาติโก หุตฺวา กณฺหํ กาฬกํ ทสวิธํ ทุสฺสีลฺยธมฺมํ อภิชายติ ปสวติ, เอโส ปุคฺคโล อตฺถิฯ วุตฺตปฺปกาเรน กโณฺห กณฺหาภิชาติโก หุตฺวา สุกฺกํ ทสวิธํ กุสลธมฺมํ อภิชายติ, เอโส ปุคฺคโล อตฺถิฯ กโณฺห กณฺหาภิชาติโก หุตฺวา อกณฺหํ อสุกฺกํ อกณฺหอสุกฺกวิปากํ อจฺจนฺตทิฎฺฐํ นิพฺพานํ อาราเธติ, เอโส ปุคฺคโล อตฺถิฯ วุตฺตวิปริยาเยน ตโย ปุคฺคลา ชานิตพฺพาฯ
Abhijātiyo puggalā cha saṃvijjanti lokasmiṃ, kaṇhe nīce kule nibbatto kaṇhābhijātiko, kaṇhadhammasamannāgatattā vā kaṇho kaṇhābhijātiko hutvā kaṇhaṃ kāḷakaṃ dasavidhaṃ dussīlyadhammaṃ abhijāyati pasavati, eso puggalo atthi. Vuttappakārena kaṇho kaṇhābhijātiko hutvā sukkaṃ dasavidhaṃ kusaladhammaṃ abhijāyati, eso puggalo atthi. Kaṇho kaṇhābhijātiko hutvā akaṇhaṃ asukkaṃ akaṇhaasukkavipākaṃ accantadiṭṭhaṃ nibbānaṃ ārādheti, eso puggalo atthi. Vuttavipariyāyena tayo puggalā jānitabbā.
‘‘เตสุ กตเม ปุคฺคลา สํกิเลสภาคิยา’’ติอาทินา วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ โย จา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
‘‘Tesu katame puggalā saṃkilesabhāgiyā’’tiādinā vattabbattā ‘‘tattha yo cā’’tiādi vuttaṃ.
‘‘เอตฺตกเมวา’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘จตฺตาริมานี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
‘‘Ettakamevā’’ti vattabbattā ‘‘cattārimānī’’tiādi vuttaṃ.
๑๑๑. นานาวิธํ สํกิเลสภาคิยญฺจ วาสนาภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ สุตฺตํ อาจริเยน นิทฺธาริตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘กตมํ วาสนาภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ สุตฺต’’นฺติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ กตมํ วาสนาภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
111. Nānāvidhaṃ saṃkilesabhāgiyañca vāsanābhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca suttaṃ ācariyena niddhāritaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘katamaṃ vāsanābhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca sutta’’nti pucchitabbattā ‘‘tattha katamaṃ vāsanābhāgiyañca nibbedhabhāgiyañcā’’tiādi vuttaṃ.
มานุสตฺตํ มนุสฺสภาวํ ลทฺธาน กิจฺจํ, อกิจฺจญฺจ เทฺว ภวนฺติ, เทฺว กิจฺจานิเยว กตฺตพฺพานิฯ เตนาห อฎฺฐกถาจริโย (เนตฺติ. อฎฺฐ. ๑๑๑) ‘‘กตฺตพฺพ’’นฺติ ทเสฺสติฯ ‘‘กตมํ กตฺตพฺพํ กิจฺจ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา กตฺตพฺพกิจฺจํ ทเสฺสตุํ ‘‘สุกิจฺจํ เจวา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ปุญฺญานิ จ กตฺตพฺพตฺตา สุกิจฺจํ เอว, สํโยชนวิปฺปหานํ วา กตฺตพฺพตฺตา สุกิจฺจํ นามาติ โยชนาฯ
Mānusattaṃ manussabhāvaṃ laddhāna kiccaṃ, akiccañca dve bhavanti, dve kiccāniyeva kattabbāni. Tenāha aṭṭhakathācariyo (netti. aṭṭha. 111) ‘‘kattabba’’nti dasseti. ‘‘Katamaṃ kattabbaṃ kicca’’nti vattabbattā kattabbakiccaṃ dassetuṃ ‘‘sukiccaṃ cevā’’tiādi vuttaṃ. Puññāni ca kattabbattā sukiccaṃ eva, saṃyojanavippahānaṃ vā kattabbattā sukiccaṃ nāmāti yojanā.
‘‘ตตฺถ สุเตฺต กตเมน กตโม ทสฺสิโต’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘สุกิจฺจํเจว ปุญฺญานีติ วาสนา, สํโยชนวิปฺปหานํ วาติ นิเพฺพโธ’’ติ วุโตฺตฯ
‘‘Tattha sutte katamena katamo dassito’’ti vattabbattā ‘‘sukiccaṃceva puññānīti vāsanā, saṃyojanavippahānaṃ vāti nibbedho’’ti vutto.
‘‘เอตฺตกเมวา’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ปุญฺญานิ กริตฺวานา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ปุญฺญานิ กริตฺวาน กตปุญฺญา ปุคฺคลา สคฺคา สคฺคโต สคฺคํเยว วชนฺติฯ สํโยชนปฺปหานา อริยา ชรามรณา ชรามรณโต วิปฺปมุจฺจนฺติฯ
‘‘Ettakamevā’’ti vattabbattā ‘‘puññāni karitvānā’’tiādi vuttaṃ. Puññāni karitvāna katapuññā puggalā saggā saggato saggaṃyeva vajanti. Saṃyojanappahānā ariyā jarāmaraṇā jarāmaraṇato vippamuccanti.
‘‘ตตฺถ สุเตฺต กตเมน กตโม ทสฺสิโต’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ปุญฺญานิ กริตฺวาน, สคฺคา สคฺคํ วชนฺติ กตปุญฺญา’ติ วาสนา, ‘สํโยชนปฺปหานา, ชรามรณา วิปฺปมุจฺจนฺตี’ติ นิเพฺพโธ’’ติ วุตฺตํฯ
‘‘Tattha sutte katamena katamo dassito’’ti vattabbattā ‘‘puññāni karitvāna, saggā saggaṃ vajanti katapuññā’ti vāsanā, ‘saṃyojanappahānā, jarāmaraṇā vippamuccantī’ti nibbedho’’ti vuttaṃ.
‘‘เอตฺตกเมวา’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘เทฺวมานี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ‘‘กตเมน กตโม ทสฺสิโต’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ โย…เป.… อยํ นิเพฺพโธ’’ติ วุตฺตํฯ
‘‘Ettakamevā’’ti vattabbattā ‘‘dvemānī’’tiādi vuttaṃ. ‘‘Katamena katamo dassito’’ti vattabbattā ‘‘tattha yo…pe… ayaṃ nibbedho’’ti vuttaṃ.
นานาวิธํ วาสนาภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ สุตฺตํ อาจริเยน นิทฺธาริตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ , ‘‘กตมํ ตณฺหาสํกิเลสภาคิยํ สุตฺต’’นฺติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ ตณฺหาสํกิเลสภาคิย’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถาติ เตสุ โสฬสสุ สํกิเลสภาคิยาทีสุ สุเตฺตสุ ตณฺหาสํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ ตณฺหาปเกฺขเนว นิทฺทิสิตพฺพํ, พหุวิสยตฺตา นิยเมตฺวาน นิทฺธาเรสฺสามีติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘เกน ปกาเรน นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ตีหิ ตณฺหาหี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ภวตณฺหายาติ รูปภวตณฺหายฯ วิภวตณฺหายาติ อรูปภวตณฺหายฯ เยน เยน วา ปน วตฺถุนา ตณฺหาปเภทอุเจฺฉทาทิวตฺถุนา อโชฺฌสิตา ภวตณฺหาทิวเสน อโชฺฌสิตา, เตน เตน ปกาเรน ตณฺหาทินา วา ตณฺหาปเภทอุเจฺฉทาทิวตฺถุนา วา ตณฺหาสํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ นิทฺทิสิตพฺพํฯ
Nānāvidhaṃ vāsanābhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca suttaṃ ācariyena niddhāritaṃ, amhehi ca ñātaṃ , ‘‘katamaṃ taṇhāsaṃkilesabhāgiyaṃ sutta’’nti pucchitabbattā ‘‘tattha taṇhāsaṃkilesabhāgiya’’ntiādi vuttaṃ. Tatthāti tesu soḷasasu saṃkilesabhāgiyādīsu suttesu taṇhāsaṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ taṇhāpakkheneva niddisitabbaṃ, bahuvisayattā niyametvāna niddhāressāmīti vuttaṃ hoti. ‘‘Kena pakārena niddisitabba’’nti vattabbattā ‘‘tīhi taṇhāhī’’tiādi vuttaṃ. Bhavataṇhāyāti rūpabhavataṇhāya. Vibhavataṇhāyāti arūpabhavataṇhāya. Yena yena vā pana vatthunā taṇhāpabhedaucchedādivatthunā ajjhositā bhavataṇhādivasena ajjhositā, tena tena pakārena taṇhādinā vā taṇhāpabhedaucchedādivatthunā vā taṇhāsaṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ niddisitabbaṃ.
ตณฺหาสํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ ตณฺหาปเกฺขเนว นิทฺทิสิตพฺพนฺติ อาจริเยน วุตฺตํ, อเมฺหหิ จ ลกฺขิตํ, ‘‘ทิฎฺฐิสํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ เกน ปเกฺขน นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ ทิฎฺฐิสํกิเลสภาคิย’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ เยน เยน วา ปน วตฺถุนาติ ทิฎฺฐิปฺปเภทอมราวิเกฺขปาทิวตฺถุนาฯ
Taṇhāsaṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ taṇhāpakkheneva niddisitabbanti ācariyena vuttaṃ, amhehi ca lakkhitaṃ, ‘‘diṭṭhisaṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ kena pakkhena niddisitabba’’nti vattabbattā ‘‘tattha diṭṭhisaṃkilesabhāgiya’’ntiādi vuttaṃ. Yena yena vā pana vatthunāti diṭṭhippabhedaamarāvikkhepādivatthunā.
ทิฎฺฐิสํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ ทิฎฺฐิปเกฺขเนว นิทฺทิสิตพฺพนฺติ อาจริเยน วุตฺตํ, อเมฺหหิ จ ลกฺขิตํ, ‘‘ทุจฺจริตสํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ เกน ปกาเรน นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ ทุจฺจริตสํกิเลสภาคิย’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตเถว วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ ตณฺหาโวทานภาคิย’’นฺติอาทิ วุตฺตํ, ‘‘ทิฎฺฐิโวทานภาคิย’’นฺติอาทิ วุตฺตํ, ‘‘ทุจฺจริตโวทานภาคิย’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ
Diṭṭhisaṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ diṭṭhipakkheneva niddisitabbanti ācariyena vuttaṃ, amhehi ca lakkhitaṃ, ‘‘duccaritasaṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ kena pakārena niddisitabba’’nti vattabbattā ‘‘tattha duccaritasaṃkilesabhāgiya’’ntiādi vuttaṃ. Tatheva vattabbattā ‘‘tattha taṇhāvodānabhāgiya’’ntiādi vuttaṃ, ‘‘diṭṭhivodānabhāgiya’’ntiādi vuttaṃ, ‘‘duccaritavodānabhāgiya’’ntiādi vuttaṃ.
๑๑๒. ยสฺมิํ สาสนปฎฺฐาเน อฎฺฐารส มูลปทา ทฎฺฐพฺพา, ตํ สาสนปฎฺฐานํ โสฬสหิ สํกิเลสภาคิยาทีหิ สุเตฺตหิ เอกเทสนิทฺธารณวเสน วิภชิตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘กิํ ปน ตํ สาสนปฎฺฐานํ เตหิ โสฬสหิ เอว สํกิเลสภาคิยาทีหิ วิภชิตพฺพํ, อุทาหุ อเญฺญหิ สุเตฺตหิปิ วิภชิตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา อเญฺญหิ อฎฺฐวีสสุเตฺตหิปิ วิภชิตุํ ‘‘ตตฺถ กตเม อฎฺฐารส มูลปทา? โลกิยํ โลกุตฺตร’’นฺติอาทิ วุตฺตํ ฯ ‘‘ยทิ อเญฺญหิปิ อฎฺฐวีสสุเตฺตหิ วิภชิตพฺพํ, เอวํ สติ ‘โลกิย’นฺติอาทิวจนเมว วตฺตพฺพํ, กสฺมา ‘ตตฺถ กตเม อฎฺฐารส มูลปทา’ติ วุตฺตา’’ติ เจ? ตสฺส สาสนปฎฺฐานวิภาโค อฎฺฐารสหิ มูลปเทหิ สงฺคหิโต, อฎฺฐารส มูลปทาปิ วิภชิเต สาสนปฎฺฐาเน ทฎฺฐพฺพา, ตสฺมา มูลปทา วิภตฺตาเยวฯ ตานิ มูลปทานิ วิภชิตุํ ‘‘ตตฺถ กตเม อฎฺฐารส มูลปทา’’ติ วุตฺตํฯ อฎฺฐกถายํ (เนตฺติ. อฎฺฐ. ๑๑๒) ปน –
112. Yasmiṃ sāsanapaṭṭhāne aṭṭhārasa mūlapadā daṭṭhabbā, taṃ sāsanapaṭṭhānaṃ soḷasahi saṃkilesabhāgiyādīhi suttehi ekadesaniddhāraṇavasena vibhajitaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘kiṃ pana taṃ sāsanapaṭṭhānaṃ tehi soḷasahi eva saṃkilesabhāgiyādīhi vibhajitabbaṃ, udāhu aññehi suttehipi vibhajitabba’’nti vattabbattā aññehi aṭṭhavīsasuttehipi vibhajituṃ ‘‘tattha katame aṭṭhārasa mūlapadā? Lokiyaṃ lokuttara’’ntiādi vuttaṃ . ‘‘Yadi aññehipi aṭṭhavīsasuttehi vibhajitabbaṃ, evaṃ sati ‘lokiya’ntiādivacanameva vattabbaṃ, kasmā ‘tattha katame aṭṭhārasa mūlapadā’ti vuttā’’ti ce? Tassa sāsanapaṭṭhānavibhāgo aṭṭhārasahi mūlapadehi saṅgahito, aṭṭhārasa mūlapadāpi vibhajite sāsanapaṭṭhāne daṭṭhabbā, tasmā mūlapadā vibhattāyeva. Tāni mūlapadāni vibhajituṃ ‘‘tattha katame aṭṭhārasa mūlapadā’’ti vuttaṃ. Aṭṭhakathāyaṃ (netti. aṭṭha. 112) pana –
‘‘เอวํ โสฬสวิเธน สาสนปฎฺฐานํ นานาสุเตฺตหิ อุทาหรณวเสน วิภชิตฺวา อิทานิ อฎฺฐวีสติวิเธน สาสนปฎฺฐานํ ทเสฺสเนฺตน ยสฺมา อยมฺปิ ปฎฺฐานวิภาโค มูลปเทหิ สงฺคหิโต, น อิมสฺสาปิ เตหิ อสงฺคหิโต ปเทโส อตฺถิ, ตสฺมา มูลปทํ, วิภชิตพฺพตญฺจ ทเสฺสตุํ ‘ตตฺถ กตเม อฎฺฐารส มูลปทา’ติ ปุจฺฉาย วเสน มูลปทานิ อุทฺธริตฺวา ‘โลกิยํ โลกุตฺตร’นฺติอาทินา นว ติกา, ถโว จาติ อฎฺฐวีสติวิธํ สาสนปฎฺฐานํ อุทฺทิฎฺฐ’’นฺติ –
‘‘Evaṃ soḷasavidhena sāsanapaṭṭhānaṃ nānāsuttehi udāharaṇavasena vibhajitvā idāni aṭṭhavīsatividhena sāsanapaṭṭhānaṃ dassentena yasmā ayampi paṭṭhānavibhāgo mūlapadehi saṅgahito, na imassāpi tehi asaṅgahito padeso atthi, tasmā mūlapadaṃ, vibhajitabbatañca dassetuṃ ‘tattha katame aṭṭhārasa mūlapadā’ti pucchāya vasena mūlapadāni uddharitvā ‘lokiyaṃ lokuttara’ntiādinā nava tikā, thavo cāti aṭṭhavīsatividhaṃ sāsanapaṭṭhānaṃ uddiṭṭha’’nti –
วุตฺตํฯ ตตฺถาติ เตสุ โสฬสหารปญฺจกนยอฎฺฐารสมูลปเทสุ กตมานิ ปทานิ มูลปทานิ โหนฺตีติ ปุจฺฉติฯ โลเก นิยุโตฺต สภาวธโมฺมติ โลกิโย, โลเก วา วิทูหิ วิทิโต สภาโวติปิ โลกิโย, โลกิโย สภาวธโมฺม อสฺส วิเสสสุตฺตสฺส อตฺถีติ ตํ วิเสสสุตฺตํ โลกิยํ นามฯ เอส นโย ‘‘โลกุตฺตร’’นฺติอาทีสุปิ เวทิตโพฺพฯ ชานาตีติ ญาณํ, ญาณํ อสฺส วิเสสสุตฺตสฺส อตฺถีติ ญาณํฯ ญาตพฺพาติ เญยฺยา, เญยฺยา อสฺส วิเสสสุตฺตสฺส อตฺถีติ เญยฺยํฯ เอเสว นโย – ‘‘ญาณญฺจ เญยฺยญฺจา’’ติ เอตฺถาปิ เวทิตโพฺพฯ นิพฺพานํ ปฐมํ ปสฺสตีติ ทสฺสนํ, ปฐมมคฺคญาณํ, ทสฺสนํ อสฺส วิเสสสุตฺตสฺส อตฺถีติ ทสฺสนํฯ ภาวนา อสฺส วิเสสสุตฺตสฺส ปาฬิยา อตฺถีติ ภาวนาฯ ‘‘ทสฺสนญฺจ ภาวนา จา’’ติ เอตฺถาปิ เอส นโย เวทิตโพฺพฯ สสฺส อตฺตโน วจนนฺติ สกํ, สกํ วจนํ สกวจนํ, ภควโต วจนนฺติ อโตฺถฯ ปรสฺส วจนํ ปรวจนํฯ วิสฺสชฺชนีโย อสฺส วิเสสสุตฺตสฺส อตฺถีติ วิสฺสชฺชนียํฯ นตฺถิ วิสฺสชฺชนีโย อสฺส วิเสสสุตฺตสฺสาติ อวิสฺสชฺชนียํฯ กมฺมํ อสฺส วิเสสสุตฺตสฺส อตฺถีติ กมฺมํฯ วิปาโก อสฺส ปาฐสฺส อตฺถีติ วิปาโก ฯ เสเสสุปิ อสฺสตฺถิอโตฺถ คเหตโพฺพฯ อถ วา โลกิยาทิอโตฺถ มุขฺยโตฺถ, ตํวาจกสุตฺตมฺปิ ฐานฺยูปจาเรน วุตฺตํฯ พุทฺธาทีนํ คุเณ อภิตฺถวติ เอเตน สุตฺตปฺปเทเสนาติ ถโว, สุตฺตปฺปเทโสฯ
Vuttaṃ. Tatthāti tesu soḷasahārapañcakanayaaṭṭhārasamūlapadesu katamāni padāni mūlapadāni hontīti pucchati. Loke niyutto sabhāvadhammoti lokiyo, loke vā vidūhi vidito sabhāvotipi lokiyo, lokiyo sabhāvadhammo assa visesasuttassa atthīti taṃ visesasuttaṃ lokiyaṃ nāma. Esa nayo ‘‘lokuttara’’ntiādīsupi veditabbo. Jānātīti ñāṇaṃ, ñāṇaṃ assa visesasuttassa atthīti ñāṇaṃ. Ñātabbāti ñeyyā, ñeyyā assa visesasuttassa atthīti ñeyyaṃ. Eseva nayo – ‘‘ñāṇañca ñeyyañcā’’ti etthāpi veditabbo. Nibbānaṃ paṭhamaṃ passatīti dassanaṃ, paṭhamamaggañāṇaṃ, dassanaṃ assa visesasuttassa atthīti dassanaṃ. Bhāvanā assa visesasuttassa pāḷiyā atthīti bhāvanā. ‘‘Dassanañca bhāvanā cā’’ti etthāpi esa nayo veditabbo. Sassa attano vacananti sakaṃ, sakaṃ vacanaṃ sakavacanaṃ, bhagavato vacananti attho. Parassa vacanaṃ paravacanaṃ. Vissajjanīyo assa visesasuttassa atthīti vissajjanīyaṃ. Natthi vissajjanīyo assa visesasuttassāti avissajjanīyaṃ. Kammaṃ assa visesasuttassa atthīti kammaṃ. Vipāko assa pāṭhassa atthīti vipāko. Sesesupi assatthiattho gahetabbo. Atha vā lokiyādiattho mukhyattho, taṃvācakasuttampi ṭhānyūpacārena vuttaṃ. Buddhādīnaṃ guṇe abhitthavati etena suttappadesenāti thavo, suttappadeso.
‘‘เตสุ อฎฺฐวีสติวิเธสุ โลกิยาทีสุ สาสนปฎฺฐานสุเตฺตสุ กตมํ สุตฺตํ โลกิยํ สุตฺต’’นฺติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ กตมํ โลกิย’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถาติ เตสุ อฎฺฐวีสติวิเธสุ โลกิยาทีสุ สาสนปฎฺฐานสุเตฺตสุ กตมํ สุตฺตํ โลกิยํ สาสนปฎฺฐานํ สุตฺตนฺติ ปุจฺฉติฯ
‘‘Tesu aṭṭhavīsatividhesu lokiyādīsu sāsanapaṭṭhānasuttesu katamaṃ suttaṃ lokiyaṃ sutta’’nti pucchitabbattā ‘‘tattha katamaṃ lokiya’’ntiādi vuttaṃ. Tatthāti tesu aṭṭhavīsatividhesu lokiyādīsu sāsanapaṭṭhānasuttesu katamaṃ suttaṃ lokiyaṃ sāsanapaṭṭhānaṃ suttanti pucchati.
ภิกฺขเว, เธนุยา ถเนหิ นิกฺขนฺตํ สชฺชุขีรํ นิกฺขนฺตกฺขเณ น มุจฺจติ น ปริณมติ ขีรภาวํ ปชหิตฺวา ทธิภาวํ น ปาปุณาติ, ตกฺกาทิอมฺพิลสมาโยคโต ปจฺฉา ขีรภาวํ ปชหติ ทธิภาวํ ปาปุณาติ อิว, เอวํ เยน พาเลน ปาปํ ยํ กมฺมํ กตํ, ตํ กมฺมํ กรณกฺขเณ ตสฺส พาลสฺส อปายทุกฺขาทินิพฺพตฺตาปนวเสน น วิปจฺจติฯ ทุติเย ปน วา ตติยาทิมฺหิ วา อตฺตภาเว วิปจฺจติฯ ภสฺมจฺฉโนฺน ฉาริกาย ปฎิจฺฉโนฺน ปาวโก อคฺคิ อกฺกนฺตํ ชนํ อกฺกมนกฺขเณ น ฑหติฯ ฉาริกํ ปน ตาเปตฺวา กาลนฺตเร ฑหติ อิว, เอวํ เยน พาเลน ปาปํ ยํ กมฺมํ กตํ, ตํ กมฺมํ กรณกฺขเณ ตํ พาลํ อปายทุกฺขาทินิพฺพตฺตาปนวเสน ฑหาเปนฺตํ หุตฺวา น อเนฺวติฯ ทุติเย วา ตติยาทิมฺหิ วา อตฺตภาเว อปายทุกฺขาทินิพฺพตฺตาปนวเสน ฑหาเปนฺตํ หุตฺวา ฑหนฺตํ ตํ พาลํ ตํ อเนฺวตีติ โยชนาฯ อิทํ ‘‘น หิ…เป.… ปาวโก’’ติ สุตฺตํ โลกิเย อเตฺถ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต โลกิยํ นามฯ
Bhikkhave, dhenuyā thanehi nikkhantaṃ sajjukhīraṃ nikkhantakkhaṇe na muccati na pariṇamati khīrabhāvaṃ pajahitvā dadhibhāvaṃ na pāpuṇāti, takkādiambilasamāyogato pacchā khīrabhāvaṃ pajahati dadhibhāvaṃ pāpuṇāti iva, evaṃ yena bālena pāpaṃ yaṃ kammaṃ kataṃ, taṃ kammaṃ karaṇakkhaṇe tassa bālassa apāyadukkhādinibbattāpanavasena na vipaccati. Dutiye pana vā tatiyādimhi vā attabhāve vipaccati. Bhasmacchanno chārikāya paṭicchanno pāvako aggi akkantaṃ janaṃ akkamanakkhaṇe na ḍahati. Chārikaṃ pana tāpetvā kālantare ḍahati iva, evaṃ yena bālena pāpaṃ yaṃ kammaṃ kataṃ, taṃ kammaṃ karaṇakkhaṇe taṃ bālaṃ apāyadukkhādinibbattāpanavasena ḍahāpentaṃ hutvā na anveti. Dutiye vā tatiyādimhi vā attabhāve apāyadukkhādinibbattāpanavasena ḍahāpentaṃ hutvā ḍahantaṃ taṃ bālaṃ taṃ anvetīti yojanā. Idaṃ ‘‘na hi…pe… pāvako’’ti suttaṃ lokiye atthe vācakañāpakabhāvena pavattanato lokiyaṃ nāma.
‘‘เอตฺตกเมว โลกิย’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘จตฺตาริมานี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อโตฺถ ปากโฎฯ อิทํ ‘‘จตฺตาริมานิ…เป.… กาฬปเกฺขว จนฺทิมา’’ติ สุตฺตํ โลกิเย อเตฺถ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต โลกิยํ นามฯ
‘‘Ettakameva lokiya’’nti vattabbattā ‘‘cattārimānī’’tiādi vuttaṃ. Attho pākaṭo. Idaṃ ‘‘cattārimāni…pe… kāḷapakkheva candimā’’ti suttaṃ lokiye atthe vācakañāpakabhāvena pavattanato lokiyaṃ nāma.
‘‘เอวํ ทุวิธํเยว โลกิย’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘อฎฺฐิเม, ภิกฺขเว, โลกธมฺมา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อโตฺถ ปากโฎฯ อิทํ ‘‘อฎฺฐิเม’’ติอาทิกํ สุตฺตํ โลกิเยสุ อฎฺฐวิเธสุ อเตฺถสุ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต โลกิยํ นามฯ
‘‘Evaṃ duvidhaṃyeva lokiya’’nti vattabbattā ‘‘aṭṭhime, bhikkhave, lokadhammā’’tiādi vuttaṃ. Attho pākaṭo. Idaṃ ‘‘aṭṭhime’’tiādikaṃ suttaṃ lokiyesu aṭṭhavidhesu atthesu vācakañāpakabhāvena pavattanato lokiyaṃ nāma.
นานาวิธํ โลกิยํ อาจริเยน นิทฺธาริตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘กตมํ สุตฺตํ โลกุตฺตร’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ กตมํ โลกุตฺตร’’นฺติอาทิ วุตฺตํ ฯ อิโต ปเรสุปิ เอส นโย เวทิตโพฺพฯ ตตฺถาติ เตสุ อฎฺฐวีสติวิเธสุ โลกิยาทีสุ สุเตฺตสุฯ
Nānāvidhaṃ lokiyaṃ ācariyena niddhāritaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘katamaṃ suttaṃ lokuttara’’nti vattabbattā ‘‘tattha katamaṃ lokuttara’’ntiādi vuttaṃ . Ito paresupi esa nayo veditabbo. Tatthāti tesu aṭṭhavīsatividhesu lokiyādīsu suttesu.
เฉเกน สารถินา สุทนฺตา อสฺสา สมถงฺคตา ยถา, เอวํ ปหีนมานสฺส ปหีนนววิธมานสฺส ยสฺส อนาสวสฺส ภิกฺขุโน อินฺทฺริยานิ ฉพฺพิธานิ จกฺขุนฺทฺริยาทีนิ สมถงฺคตานิฯ ตาทิโน ตาทิลกฺขเณน สมนฺนาคตสฺส อนาสวสฺส ตสฺส ภิกฺขุโน เทวาปิ มนุสฺสาปิ ปิหยนฺตีติ โยชนาฯ อิทํ ‘‘ยสฺสินฺทฺริยานี’’ติอาทิกํ สุตฺตํ โลกุตฺตเร อเตฺถ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต โลกุตฺตรํ นามฯ
Chekena sārathinā sudantā assā samathaṅgatā yathā, evaṃ pahīnamānassa pahīnanavavidhamānassa yassa anāsavassa bhikkhuno indriyāni chabbidhāni cakkhundriyādīni samathaṅgatāni. Tādino tādilakkhaṇena samannāgatassa anāsavassa tassa bhikkhuno devāpi manussāpi pihayantīti yojanā. Idaṃ ‘‘yassindriyānī’’tiādikaṃ suttaṃ lokuttare atthe vācakañāpakabhāvena pavattanato lokuttaraṃ nāma.
‘‘เอตฺตกเมวา’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ปญฺจิมานิ ภิกฺขเว อินฺทฺริยานี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อิทํ ‘‘ปญฺจิมานี’’ติอาทิกํ สุตฺตมฺปิ โลกุตฺตเร อเตฺถ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต โลกุตฺตรํ นามฯ (๑)
‘‘Ettakamevā’’ti vattabbattā ‘‘pañcimāni bhikkhave indriyānī’’tiādi vuttaṃ. Idaṃ ‘‘pañcimānī’’tiādikaṃ suttampi lokuttare atthe vācakañāpakabhāvena pavattanato lokuttaraṃ nāma. (1)
‘‘ลทฺธาน มานุสตฺตํ เทฺว, กิจฺจํ อกิจฺจเมว จา’’ติอาทิกา เทฺว คาถา วุตฺตาฯ อิห คาถาสุ ‘‘สุกิจฺจํ เจว ปุญฺญานี’’ติ ยํ คาถาปทญฺจ ‘‘ปุญฺญานิ กริตฺวาน, สคฺคา สคฺคํ วชนฺติ กตปุญฺญา’’ติ ยํ คาถาปทญฺจ วุตฺตํ, อิทํ คาถาปทํ โลกิเย อเตฺถ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต โลกิยํ นามฯ
‘‘Laddhāna mānusattaṃ dve, kiccaṃ akiccameva cā’’tiādikā dve gāthā vuttā. Iha gāthāsu ‘‘sukiccaṃ ceva puññānī’’ti yaṃ gāthāpadañca ‘‘puññāni karitvāna, saggā saggaṃ vajanti katapuññā’’ti yaṃ gāthāpadañca vuttaṃ, idaṃ gāthāpadaṃ lokiye atthe vācakañāpakabhāvena pavattanato lokiyaṃ nāma.
อิห คาถาสุ ‘‘สํโยชนวิปฺปหานํ วา’’ติ ยํ คาถาปทญฺจ ‘‘สํโยชนวิปฺปหานา, ชรามรณา วิปฺปมุจฺจนฺตี’’ติ ยํ คาถาปทญฺจ วุตฺตํ, อิทํ คาถาปทํ วุตฺตนเยน โลกุตฺตรํ นามฯ อิทํ ‘‘ลทฺธานา’’ติอาทิกํ วุตฺตปฺปกาเรน โลกิยญฺจ โลกุตฺตรญฺจฯ
Iha gāthāsu ‘‘saṃyojanavippahānaṃ vā’’ti yaṃ gāthāpadañca ‘‘saṃyojanavippahānā, jarāmaraṇā vippamuccantī’’ti yaṃ gāthāpadañca vuttaṃ, idaṃ gāthāpadaṃ vuttanayena lokuttaraṃ nāma. Idaṃ ‘‘laddhānā’’tiādikaṃ vuttappakārena lokiyañca lokuttarañca.
ภิกฺขเว, วิญฺญาเณ อาหาเร อาหารปฎิพเทฺธ ฉนฺทราเค สติ นามรูปสฺส อวกฺกนฺติ โหติฯ ‘‘วิญฺญาเณ…เป.… โหตี’’ติ อิทํ วุตฺตนเยน โลกิยํ นามฯ ‘‘วิญฺญาเณ…เป.… นิโรโธ’’ติ อิทํ สุตฺตํ โลกุตฺตรํ นามฯ อิทํ ‘‘วิญฺญาเณ เจ ภิกฺขเว’’ติอาทิกํ สุตฺตํ โลกิเย อเตฺถ จ โลกุตฺตเร อเตฺถ จ เอกเทสวเสน วาจกญาปกวเสน ปวตฺตนโต โลกิยญฺจ โลกุตฺตรญฺจฯ (๒)
Bhikkhave, viññāṇe āhāre āhārapaṭibaddhe chandarāge sati nāmarūpassa avakkanti hoti. ‘‘Viññāṇe…pe… hotī’’ti idaṃ vuttanayena lokiyaṃ nāma. ‘‘Viññāṇe…pe… nirodho’’ti idaṃ suttaṃ lokuttaraṃ nāma. Idaṃ ‘‘viññāṇe ce bhikkhave’’tiādikaṃ suttaṃ lokiye atthe ca lokuttare atthe ca ekadesavasena vācakañāpakavasena pavattanato lokiyañca lokuttarañca. (2)
๑๑๓. สตฺตโลเก สพฺพา ทิสา อนุปริคมฺม กฺวจิ ทิสายํ เจตสา อตฺตนา อตฺตโต ปิยตรํ อญฺญํ เนว อชฺฌคา, อตฺตาว ปิยตโร ยถา , เอวํ ปเรสํ สตฺตานํ ปุถุ วิสุํ วิสุํ อตฺตาว ปิโย ปิยตโร, ตสฺมา อตฺตโนว ปิยตรตฺตา อตฺตกาโม อตฺตโน หิตกาโม ปณฺฑิโต สตฺตโลโก อตฺตานํ อุปมํ กตฺวา ปรํ น หิํเส น หิํเสยฺยาติ โยชนาฯ อิทํ ‘‘สพฺพา ทิสา’’ติอาทิกํ สุตฺตํ สเตฺตสุ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต สตฺตาธิฎฺฐานํ นามฯ
113. Sattaloke sabbā disā anuparigamma kvaci disāyaṃ cetasā attanā attato piyataraṃ aññaṃ neva ajjhagā, attāva piyataro yathā , evaṃ paresaṃ sattānaṃ puthu visuṃ visuṃ attāva piyo piyataro, tasmā attanova piyatarattā attakāmo attano hitakāmo paṇḍito sattaloko attānaṃ upamaṃ katvā paraṃ na hiṃse na hiṃseyyāti yojanā. Idaṃ ‘‘sabbā disā’’tiādikaṃ suttaṃ sattesu vācakañāpakabhāvena pavattanato sattādhiṭṭhānaṃ nāma.
เย เกจิ ขีณาสวา ปุคฺคลา ภูตาว น ภวิสฺสนฺติ, สเพฺพ เต ขีณาสวา ปุคฺคลา เทหํ อตฺตภาวํ ปหาย นิพฺพานํ คมิสฺสนฺติฯ เย จ ปุถุชฺชนาทโย สตฺตา ปุนพฺภเวสุ ภวิสฺสนฺติ, สเพฺพ เต ปุถุชฺชนาทโย สตฺตา เทหํ อตฺตภาวํ ปหาย ปรโลกํ คมิสฺสนฺติ, ตํ สพฺพชานิํ สพฺพสฺส สตฺตสฺส หานิํ มรณํ, วินาสํ วา กุสโล โย ปุคฺคโล วิชานาติ, โส กุสโล ปุคฺคโล ตํ สพฺพชานิํ วิทิตฺวา อาตาปิโย พฺรหฺมจริยํ จเรยฺยาติ โยชนาฯ อิทํ ‘‘เย เกจี’’ติอาทิกํ วุตฺตนเยน สตฺตาธิฎฺฐานํฯ
Ye keci khīṇāsavā puggalā bhūtāva na bhavissanti, sabbe te khīṇāsavā puggalā dehaṃ attabhāvaṃ pahāya nibbānaṃ gamissanti. Ye ca puthujjanādayo sattā punabbhavesu bhavissanti, sabbe te puthujjanādayo sattā dehaṃ attabhāvaṃ pahāya paralokaṃ gamissanti, taṃ sabbajāniṃ sabbassa sattassa hāniṃ maraṇaṃ, vināsaṃ vā kusalo yo puggalo vijānāti, so kusalo puggalo taṃ sabbajāniṃ viditvā ātāpiyo brahmacariyaṃ careyyāti yojanā. Idaṃ ‘‘ye kecī’’tiādikaṃ vuttanayena sattādhiṭṭhānaṃ.
สตฺตหิ อเงฺคหิ สมนฺนาคตํ กลฺยาณมิตฺตํ ยาวชีวํ กุสเลน ปุคฺคเลน น วิชหิตพฺพํฯ กตเมหิ สตฺตหิ? ปริสุทฺธสีลสมฺปตฺติปริสุทฺธทิฎฺฐิสมฺปตฺตีหิ สมนฺนาคตตฺตา ปิโย จ ปิยายิตโพฺพ จ โหติ, ปาสาณฉตฺตํ วิย ครุ จ โหติ, สมฺภาเวตพฺพตาย ภาวนีโย จ โหติ, ‘‘กาเลน วทามิ, โน อกาเลนา’’ติอาทิเก ปญฺจธเมฺม อตฺตนิ อุปฎฺฐาเปตฺวา สพฺรหฺมจารีนํ วา สิสฺสานํ วา วินิจฺฉยอุลฺลุมฺปนโอวาททานภาเว ฐตฺวา วตฺตา จ โหติ, สพฺรหฺมจารีหิ วา สิสฺสาทีหิ วา วุจฺจมาโน สุวโจ หุตฺวา เตสํ วจนกฺขโม จ โหติ, สจฺจปฎิจฺจสมุปฺปาทาทิคมฺภีรํ วา อญฺญํ คมฺภีรํ วา กถํ กตฺตา จ โหติ, ธมฺมวินยาทิวเสเนว ทีปนโต อฎฺฐาเน จ น นิโยชโก โหติฯ อิเมหิ สตฺตหิ อเงฺคหิ สมนฺนาคตํ กลฺยาณมิตฺตํ ยาวชีวํ น วิชหิตพฺพํฯ อิทํ ‘‘สตฺตหี’’ติอาทิวจนํ ภควา อโวจฯ อิทํ ‘‘สตฺตหี’’ติอาทิกํ วจนํ สุคโต วตฺวา อถาปรํ เอตํ คาถาวจนํ สตฺถา อโวจฯ กิํ อโวจ?
Sattahi aṅgehi samannāgataṃ kalyāṇamittaṃ yāvajīvaṃ kusalena puggalena na vijahitabbaṃ. Katamehi sattahi? Parisuddhasīlasampattiparisuddhadiṭṭhisampattīhi samannāgatattā piyo ca piyāyitabbo ca hoti, pāsāṇachattaṃ viya garu ca hoti, sambhāvetabbatāya bhāvanīyo ca hoti, ‘‘kālena vadāmi, no akālenā’’tiādike pañcadhamme attani upaṭṭhāpetvā sabrahmacārīnaṃ vā sissānaṃ vā vinicchayaullumpanaovādadānabhāve ṭhatvā vattā ca hoti, sabrahmacārīhi vā sissādīhi vā vuccamāno suvaco hutvā tesaṃ vacanakkhamo ca hoti, saccapaṭiccasamuppādādigambhīraṃ vā aññaṃ gambhīraṃ vā kathaṃ kattā ca hoti, dhammavinayādivaseneva dīpanato aṭṭhāne ca na niyojako hoti. Imehi sattahi aṅgehi samannāgataṃ kalyāṇamittaṃ yāvajīvaṃ na vijahitabbaṃ. Idaṃ ‘‘sattahī’’tiādivacanaṃ bhagavā avoca. Idaṃ ‘‘sattahī’’tiādikaṃ vacanaṃ sugato vatvā athāparaṃ etaṃ gāthāvacanaṃ satthā avoca. Kiṃ avoca?
‘‘ปิโย ครุ ภาวนีโย, วตฺตา จ วจนกฺขโม;
‘‘Piyo garu bhāvanīyo, vattā ca vacanakkhamo;
คมฺภีรญฺจ กถํ กตฺตา, น จฎฺฐาเน นิโยชโก;
Gambhīrañca kathaṃ kattā, na caṭṭhāne niyojako;
ตํ มิตฺตํ มิตฺตกาเมน, ยาวชีวมฺปิ เสวิย’’นฺติฯ –
Taṃ mittaṃ mittakāmena, yāvajīvampi seviya’’nti. –
เอตํ คาถาวจนํ สตฺถา อโวจาติ โยชนาฯ ‘‘น จ อฎฺฐานโยชโก’’ติ ปาโฐ อตฺถิฯ อิทํ ‘‘สตฺตหี’’ติอาทิกํ วจนํ สตฺตาธิฎฺฐานํฯ
Etaṃ gāthāvacanaṃ satthā avocāti yojanā. ‘‘Na ca aṭṭhānayojako’’ti pāṭho atthi. Idaṃ ‘‘sattahī’’tiādikaṃ vacanaṃ sattādhiṭṭhānaṃ.
โลเก ยํ กามสุขญฺจ ยํ อิทํ ทิวิยํ สุขญฺจ อตฺถิ, เอเต กามสุขทิวิยสุขา ตณฺหากฺขยสุขสฺส โสฬสิํ กลํ น อคฺฆนฺตีติ โยชนาฯ อิทํ ‘‘ยญฺจา’’ติอาทิกํ สุตฺตํ ธมฺมาธิฎฺฐานํฯ
Loke yaṃ kāmasukhañca yaṃ idaṃ diviyaṃ sukhañca atthi, ete kāmasukhadiviyasukhā taṇhākkhayasukhassa soḷasiṃ kalaṃ na agghantīti yojanā. Idaṃ ‘‘yañcā’’tiādikaṃ suttaṃ dhammādhiṭṭhānaṃ.
ยตฺถ นิพฺพาเน ทุกฺขํ นิรุชฺฌติ, สมฺมาสมฺพุทฺธเทสิตํ อโสกํ วิรชํ เขมํ ตํ นิพฺพานํ สุสุขํ วตาติ โยชนาฯ อิทํ ‘‘สุสุข’’นฺติอาทิกํ สุตฺตมฺปิ ธมฺมาธิฎฺฐานํฯ (๓)
Yattha nibbāne dukkhaṃ nirujjhati, sammāsambuddhadesitaṃ asokaṃ virajaṃ khemaṃ taṃ nibbānaṃ susukhaṃ vatāti yojanā. Idaṃ ‘‘susukha’’ntiādikaṃ suttampi dhammādhiṭṭhānaṃ. (3)
ตีสุ ภเวสุ สตฺตานํ ชนนโต ตณฺหาสงฺขาตํ มาตรญฺจ, ปิตรํ นิสฺสาย มานสฺส อุปฺปชฺชนโต มานสงฺขาตํ ปิตรญฺจ, รเฎฺฐ โลโก รฎฺฐิสฺสรํ ราชานํ ภชติ วิย ทฺวินฺนํ สสฺสตุเจฺฉททิฎฺฐีนํ สพฺพทิฎฺฐิคเตหิ ภชนียตฺตา สสฺสตุเจฺฉททิฎฺฐิสงฺขาเต ขตฺติเย เทฺว ราชาโน จ, อายสาธโก ปุริโส รเฎฺฐ อตฺถํ อนุจรติ อิว นนฺทิราคสฺส ทฺวาทสายตเน อนุจรณโต นนฺทิราคสงฺขาเตน อนุจรเณน สห ปวตฺตนฎฺฐานํ ทฺวาทสายตนสงฺขาตํ รฎฺฐญฺจ ขีณาสโว โย พฺราหฺมโณ หนติ, โส พฺราหฺมโณ หนฺตฺวา อนีโฆ นิทฺทุโกฺข หุตฺวา ยาตีติ โยชนาฯ อิห ‘‘มาตร’’นฺติอาทิคาถายํ ‘‘มาตรํ…เป.… หนฺตฺวา’’ติ อิทํ คาถาวจนํ ธมฺมาธิฎฺฐานํฯ ‘‘อนีโฆ ยาติ พฺราหฺมโณ’’ติ อิทํ คาถาวจนํ สตฺตาธิฎฺฐานํฯ อิทํ ‘‘มาตร’’นฺติอาทิกํ สุตฺตํ สตฺตาธิฎฺฐานญฺจ ธมฺมาธิฎฺฐานญฺจฯ
Tīsu bhavesu sattānaṃ jananato taṇhāsaṅkhātaṃ mātarañca, pitaraṃ nissāya mānassa uppajjanato mānasaṅkhātaṃ pitarañca, raṭṭhe loko raṭṭhissaraṃ rājānaṃ bhajati viya dvinnaṃ sassatucchedadiṭṭhīnaṃ sabbadiṭṭhigatehi bhajanīyattā sassatucchedadiṭṭhisaṅkhāte khattiye dve rājāno ca, āyasādhako puriso raṭṭhe atthaṃ anucarati iva nandirāgassa dvādasāyatane anucaraṇato nandirāgasaṅkhātena anucaraṇena saha pavattanaṭṭhānaṃ dvādasāyatanasaṅkhātaṃ raṭṭhañca khīṇāsavo yo brāhmaṇo hanati, so brāhmaṇo hantvā anīgho niddukkho hutvā yātīti yojanā. Iha ‘‘mātara’’ntiādigāthāyaṃ ‘‘mātaraṃ…pe… hantvā’’ti idaṃ gāthāvacanaṃ dhammādhiṭṭhānaṃ. ‘‘Anīgho yāti brāhmaṇo’’ti idaṃ gāthāvacanaṃ sattādhiṭṭhānaṃ. Idaṃ ‘‘mātara’’ntiādikaṃ suttaṃ sattādhiṭṭhānañca dhammādhiṭṭhānañca.
‘‘จตฺตาโรเม ภิกฺขเว อิทฺธิปาทา’’ติ อิทํ สุตฺตปฺปเทสวจนํ ธมฺมาธิฎฺฐานํฯ โส จตูหิ อิทฺธิปาเทหิ สมนฺนาคโต ปุคฺคโล กาเยปิ กรชกาเยปิ จิตฺตํ ปาทกชฺฌานจิตฺตํ สโมทหติ ปกฺขิปติ, โส ปุคฺคโล ทิสฺสมานกาเยน คนฺตุกาโม กรชกายคติกํ ปาทกชฺฌานจิตฺตํ อธิฎฺฐหติฯ จิเตฺตปิ ปาทกชฺฌานจิเตฺตปิ กายํ กรชกายํ สโมทหติ ปกฺขิปติ, โส ปุคฺคโล สีฆํ อญฺญํ คนฺตุกาโม ปาทกชฺฌานจิตฺตคติกํ กรชกายํ อธิฎฺฐหติฯ กาเย กรชกาเย สุขสญฺญญฺจ สุขวิหารสญฺญญฺจ ลหุสญฺญญฺจ ลหุคมนสญฺญญฺจ โอกฺกมิตฺวา อญฺญํ คมเนยฺยํ อิจฺฉิตฎฺฐานํ เอกจิตฺตกฺขเณเนว จ คนฺตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อิทํ ‘‘โส’’ติอาทิกํ สุตฺตปฺปเทสวจนํ สตฺตาธิฎฺฐานํฯ อิทํ ‘‘จตฺตาโรเม’’ติอาทิกํ สุตฺตํ สตฺตาธิฎฺฐานญฺจ ธมฺมาธิฎฺฐานญฺจฯ (๔)
‘‘Cattārome bhikkhave iddhipādā’’ti idaṃ suttappadesavacanaṃ dhammādhiṭṭhānaṃ. So catūhi iddhipādehi samannāgato puggalo kāyepi karajakāyepi cittaṃ pādakajjhānacittaṃ samodahati pakkhipati, so puggalo dissamānakāyena gantukāmo karajakāyagatikaṃ pādakajjhānacittaṃ adhiṭṭhahati. Cittepi pādakajjhānacittepi kāyaṃ karajakāyaṃ samodahati pakkhipati, so puggalo sīghaṃ aññaṃ gantukāmo pādakajjhānacittagatikaṃ karajakāyaṃ adhiṭṭhahati. Kāye karajakāye sukhasaññañca sukhavihārasaññañca lahusaññañca lahugamanasaññañca okkamitvā aññaṃ gamaneyyaṃ icchitaṭṭhānaṃ ekacittakkhaṇeneva ca gantvā upasampajja viharati. Idaṃ ‘‘so’’tiādikaṃ suttappadesavacanaṃ sattādhiṭṭhānaṃ. Idaṃ ‘‘cattārome’’tiādikaṃ suttaṃ sattādhiṭṭhānañca dhammādhiṭṭhānañca. (4)
๑๑๔. ยํ สพฺพญฺญุตญาณํ โลกุตฺตรํ โลกํ อุตฺตริตฺวา อภิภวิตฺวา ฐิตํ, เยน สพฺพญฺญุตญฺญาเณน ภควา ‘‘สพฺพญฺญู’’ติ วุจฺจติ, ตสฺส สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส ปริหานํ นตฺถิ, ตํ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ สพฺพกาเล ชานิตุํ อาวชฺชนกาเล ปวตฺตตีติ โยชนาฯ อิทํ ‘‘ยํ ต’’นฺติอาทิกํ ญาเณ อเตฺถ วาจกญาปกภาเวนปิ ปวตฺตนโต ญาณํ นามฯ
114. Yaṃ sabbaññutañāṇaṃ lokuttaraṃ lokaṃ uttaritvā abhibhavitvā ṭhitaṃ, yena sabbaññutaññāṇena bhagavā ‘‘sabbaññū’’ti vuccati, tassa sabbaññutaññāṇassa parihānaṃ natthi, taṃ sabbaññutaññāṇaṃ sabbakāle jānituṃ āvajjanakāle pavattatīti yojanā. Idaṃ ‘‘yaṃ ta’’ntiādikaṃ ñāṇe atthe vācakañāpakabhāvenapi pavattanato ñāṇaṃ nāma.
ยาย นิพฺพานคามินิยา มคฺคปญฺญาย ชาติมรณสงฺขยํ ปชานาติ, สา นิพฺพานคามินี มคฺคปญฺญา สพฺพาหิ โลกิยาหิ ปญฺญาหิ เสฎฺฐา ปสตฺถาติ โยชนาฯ อิทํ ‘‘ปญฺญา หี’’ติอาทิกํ วุตฺตนเยน ญาณํ นามฯ
Yāya nibbānagāminiyā maggapaññāya jātimaraṇasaṅkhayaṃ pajānāti, sā nibbānagāminī maggapaññā sabbāhi lokiyāhi paññāhi seṭṭhā pasatthāti yojanā. Idaṃ ‘‘paññā hī’’tiādikaṃ vuttanayena ñāṇaṃ nāma.
‘‘โธตก, โว ตุมฺหากํ สนฺติํ อหํ กิตฺตยิสฺสามี’’ติ ภควา อโวจฯ ‘‘ทิเฎฺฐ ธเมฺม ทุกฺขาทิธเมฺม วา อตฺตภาเว วา สโต อนิจฺจานุปสฺสนาทิสติสมฺปโนฺน หุตฺวา จรํ จรโนฺต โยคาวจโร อนีติหํ ยํ สนฺติํ ยํ นิพฺพานํ อริยมเคฺคน วิทิตฺวา โลเก สํสารโลเก วิสตฺติกํ วิสปฺปกํ ตณฺหํ ตเร ตเรยฺยา’’ติ ภควา อโวจฯ
‘‘Dhotaka, vo tumhākaṃ santiṃ ahaṃ kittayissāmī’’ti bhagavā avoca. ‘‘Diṭṭhe dhamme dukkhādidhamme vā attabhāve vā sato aniccānupassanādisatisampanno hutvā caraṃ caranto yogāvacaro anītihaṃ yaṃ santiṃ yaṃ nibbānaṃ ariyamaggena viditvā loke saṃsāraloke visattikaṃ visappakaṃ taṇhaṃ tare tareyyā’’ti bhagavā avoca.
โธตโก ภควนฺตํ วทติ ‘‘มเหสิ มหเนฺต สีลกฺขนฺธาที เอสนสีล, โคตม, สโต ‘สเพฺพ สงฺขารา อนิจฺจา’ติอาทิสรณสมฺปโนฺน หุตฺวา จรํ จรโนฺต โยคาวจโร อุตฺตมํ ยํ สนฺติํ ยํ นิพฺพานํ อริยมเคฺคน วิทิตฺวา โลเก สํสารโลเก วิสตฺติกํ ตณฺหํ ตเร ตเรยฺยาติ ตญฺจ วจนํ ตญฺจ สนฺติํ นิพฺพานํ อหํ อภินนฺทามิ อภิปตฺถยามิ, มเหสิ ตฺวํ, ยญฺจ สมฺปชานาสี’’ติ โธตโก ภควนฺตํ วทติฯ
Dhotako bhagavantaṃ vadati ‘‘mahesi mahante sīlakkhandhādī esanasīla, gotama, sato ‘sabbe saṅkhārā aniccā’tiādisaraṇasampanno hutvā caraṃ caranto yogāvacaro uttamaṃ yaṃ santiṃ yaṃ nibbānaṃ ariyamaggena viditvā loke saṃsāraloke visattikaṃ taṇhaṃ tare tareyyāti tañca vacanaṃ tañca santiṃ nibbānaṃ ahaṃ abhinandāmi abhipatthayāmi, mahesi tvaṃ, yañca sampajānāsī’’ti dhotako bhagavantaṃ vadati.
‘‘โธตกา’’ติ อาลปิตฺวา ภควา โธตกํ อโวจฯ ‘‘อุทฺธํ อนาคตํ อุปริ อโธ อตีตํ เหฎฺฐา จ ติริยญฺจาปิ มเชฺฌ ปจฺจุปฺปนฺนํ ปริโต จ โลเก สํสารโลเก เอตํ ตณฺหํ ภวาภวาย ขุทฺทกภวมหนฺตภวตฺถาย สโงฺค ลโคฺคติ วิทิตฺวา วิจรโนฺต ตฺวํ ตณฺหํ มากาสิ มา อกาสี’’ติ ภควา โธตกํ อโวจาติ โยชนาฯ อิทํ ‘‘กิตฺตยิสฺสามี’’ติอาทิกํ เญเยฺย วิสเย อเตฺถ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต เญยฺยํ นามฯ
‘‘Dhotakā’’ti ālapitvā bhagavā dhotakaṃ avoca. ‘‘Uddhaṃ anāgataṃ upari adho atītaṃ heṭṭhā ca tiriyañcāpi majjhe paccuppannaṃ parito ca loke saṃsāraloke etaṃ taṇhaṃ bhavābhavāya khuddakabhavamahantabhavatthāya saṅgo laggoti viditvā vicaranto tvaṃ taṇhaṃ mākāsi mā akāsī’’ti bhagavā dhotakaṃ avocāti yojanā. Idaṃ ‘‘kittayissāmī’’tiādikaṃ ñeyye visaye atthe vācakañāpakabhāvena pavattanato ñeyyaṃ nāma.
‘‘เอตฺตกเมวา’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘จตุนฺนํ ภิกฺขเว’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ภิกฺขเว, จตุนฺนํ อริยสจฺจานํ อริยภาวกรานํ สจฺจานํ อนนุโพธา อพุชฺฌเนน อปฺปฎิเวธา อปฺปฎิวิชฺฌเนน เอวํ อิมินา การเณน มมเญฺจว ตุมฺหากญฺจ ทีฆมทฺธานํ อิทํ สนฺธาวิตํ สนฺธาวนํ, อิทํ สํสริตํ สํสรณํ อโหสีติ, ภิกฺขเว, อชฺช ตยิทํ ตํ อิทํ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ มยา อนุพุทฺธํ ปฎิวิทฺธํ…เป.… ตยิทํ ตํ อิทํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทา อริยสจฺจํ มยา อนุพุทฺธํ ปฎิวิทฺธํ, มม ภวตณฺหา อุจฺฉินฺนา, ภวเนตฺติ ตณฺหา ขีณา, อิทานิ มม ปุนพฺภโว นตฺถิ, อิติ อิทํ ‘‘จตุนฺน’’นฺติอาทิกํ ภควา อโวจ, สุคโต อิทํ ‘‘จตุนฺน’’นฺติอาทิกํ วตฺวา อถาปรํ เอตํ ‘‘จตุนฺน’’นฺติอาทิคาถาวจนํ สตฺถา อโวจาติ โยเชตฺวา คาถายญฺจ ตเถว โยชนา กาตพฺพาฯ อิทํ ‘‘จตุนฺน’’นฺติอาทิกํ วุตฺตนเยน เญยฺยํ นามฯ (๕)
‘‘Ettakamevā’’ti vattabbattā ‘‘catunnaṃ bhikkhave’’tiādi vuttaṃ. Bhikkhave, catunnaṃ ariyasaccānaṃ ariyabhāvakarānaṃ saccānaṃ ananubodhā abujjhanena appaṭivedhā appaṭivijjhanena evaṃ iminā kāraṇena mamañceva tumhākañca dīghamaddhānaṃ idaṃ sandhāvitaṃ sandhāvanaṃ, idaṃ saṃsaritaṃ saṃsaraṇaṃ ahosīti, bhikkhave, ajja tayidaṃ taṃ idaṃ dukkhaṃ ariyasaccaṃ mayā anubuddhaṃ paṭividdhaṃ…pe… tayidaṃ taṃ idaṃ dukkhanirodhagāminī paṭipadā ariyasaccaṃ mayā anubuddhaṃ paṭividdhaṃ, mama bhavataṇhā ucchinnā, bhavanetti taṇhā khīṇā, idāni mama punabbhavo natthi, iti idaṃ ‘‘catunna’’ntiādikaṃ bhagavā avoca, sugato idaṃ ‘‘catunna’’ntiādikaṃ vatvā athāparaṃ etaṃ ‘‘catunna’’ntiādigāthāvacanaṃ satthā avocāti yojetvā gāthāyañca tatheva yojanā kātabbā. Idaṃ ‘‘catunna’’ntiādikaṃ vuttanayena ñeyyaṃ nāma. (5)
‘‘รูปํ อนิจฺจํ…เป.… วิญฺญาณํ อนิจฺจ’’นฺติ อิทํ สุตฺตํ เญเยฺย รูปาทิธเมฺม วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต เญยฺยํ นามฯ
‘‘Rūpaṃ aniccaṃ…pe… viññāṇaṃ anicca’’nti idaṃ suttaṃ ñeyye rūpādidhamme vācakañāpakabhāvena pavattanato ñeyyaṃ nāma.
เอวํ ‘‘รูปํ อนิจฺจ’’นฺติอาทินา ปกาเรน ชานํ ชานโนฺต เอวํ ‘‘รูปํ อนิจฺจ’’นฺติอาทินา ปกาเรน ปสฺสํ ปสฺสโนฺต อริยสาวโก อริยสฺส ภควโต สาวโก ‘‘อิทํ รูปํ อนิจฺจ’’นฺติ รูปํ ปสฺสติ, ‘‘อยํ เวทนา อนิจฺจา’’ติ เวทนํ ปสฺสติ, ‘‘อยํ สญฺญา อนิจฺจา’’ติ สญฺญํ ปสฺสติ, ‘‘อิเม สงฺขารา อนิจฺจา’’ติ สงฺขาเร ปสฺสติ, ‘‘อิทํ วิญฺญาณํ อนิจฺจ’’นฺติ วิญฺญาณํ ปสฺสติฯ อิติ อิทํ สุตฺตํ รูปาทิปสฺสเน ญาเณ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต ญาณํ นามฯ
Evaṃ ‘‘rūpaṃ anicca’’ntiādinā pakārena jānaṃ jānanto evaṃ ‘‘rūpaṃ anicca’’ntiādinā pakārena passaṃ passanto ariyasāvako ariyassa bhagavato sāvako ‘‘idaṃ rūpaṃ anicca’’nti rūpaṃ passati, ‘‘ayaṃ vedanā aniccā’’ti vedanaṃ passati, ‘‘ayaṃ saññā aniccā’’ti saññaṃ passati, ‘‘ime saṅkhārā aniccā’’ti saṅkhāre passati, ‘‘idaṃ viññāṇaṃ anicca’’nti viññāṇaṃ passati. Iti idaṃ suttaṃ rūpādipassane ñāṇe vācakañāpakabhāvena pavattanato ñāṇaṃ nāma.
โส ‘‘รูปํ อนิจฺจ’’นฺติอาทินา ปกาเรน ปสฺสโนฺต อริยสาวโก รูเปน รูปราเคน ปริมุจฺจติ…เป.… วิญฺญาณมฺหา วิญฺญาณราคมฺหา ปริมุจฺจตีติ ทุกฺขสฺมา ปริมุจฺจตีติ อหํ วทามีติ โยชนาฯ อิทํ ‘‘โส ปริมุจฺจตี’’ติอาทิกํ สุตฺตํ ญาเณ จ เญเยฺย จ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต ญาณญฺจ เญยฺยญฺจ โหติฯ
So ‘‘rūpaṃ anicca’’ntiādinā pakārena passanto ariyasāvako rūpena rūparāgena parimuccati…pe… viññāṇamhā viññāṇarāgamhā parimuccatīti dukkhasmā parimuccatīti ahaṃ vadāmīti yojanā. Idaṃ ‘‘so parimuccatī’’tiādikaṃ suttaṃ ñāṇe ca ñeyye ca vācakañāpakabhāvena pavattanato ñāṇañca ñeyyañca hoti.
สเพฺพ ปญฺจกฺขนฺธา ปจฺจเยหิ สงฺขริตตฺตา สงฺขารา อาทิอนฺตวนฺตภาวโต, อนิจฺจนฺติกภาวโต, ตาวกาลิกภาวโต จ ขณปริตฺตภาวโต อนิจฺจา ภวนฺติฯ อิทํ ‘‘สเพฺพ สงฺขารา อนิจฺจา’’ติ สุตฺตปฺปเทสวจนํ วุตฺตนเยน เญยฺยํ นามฯ ยทา วิปสฺสนากรณกาเล ปญฺญาย วิปสฺสนาปญฺญาย ปสฺสติ อนิจฺจตาทิกํ ปสฺสติฯ อิทํ ‘‘ยทา ปญฺญาย ปสฺสตี’’ติ สุตฺตปฺปเทสวจนํ ญาณํ นามฯ อถ ปสฺสนกฺขเณ ทุเกฺข ปญฺจกฺขเนฺธ วิปสฺสโก นิพฺพินฺทติ, นิพฺพินฺทโนฺต ปุคฺคโล ทุกฺขาทิชานนาทิวเสน จตฺตาริ สจฺจานิ ปฎิวิชฺฌติ, เอโส จตุสจฺจปฎิเวโธ วิสุทฺธิยา วิสุทฺธตฺถาย มโคฺคติฯ อิทํ ‘‘อถา’’ติอาทิกํ สุตฺตปฺปเทสวจนํ ญาณญฺจ เญยฺยญฺจ โหติฯ
Sabbe pañcakkhandhā paccayehi saṅkharitattā saṅkhārā ādiantavantabhāvato, aniccantikabhāvato, tāvakālikabhāvato ca khaṇaparittabhāvato aniccā bhavanti. Idaṃ ‘‘sabbe saṅkhārā aniccā’’ti suttappadesavacanaṃ vuttanayena ñeyyaṃ nāma. Yadā vipassanākaraṇakāle paññāya vipassanāpaññāya passati aniccatādikaṃ passati. Idaṃ ‘‘yadā paññāya passatī’’ti suttappadesavacanaṃ ñāṇaṃ nāma. Atha passanakkhaṇe dukkhe pañcakkhandhe vipassako nibbindati, nibbindanto puggalo dukkhādijānanādivasena cattāri saccāni paṭivijjhati, eso catusaccapaṭivedho visuddhiyā visuddhatthāya maggoti. Idaṃ ‘‘athā’’tiādikaṃ suttappadesavacanaṃ ñāṇañca ñeyyañca hoti.
โสณาติ โสณํ อาลปติฯ สมณา พาหิรกสมณา พฺราหฺมณา ชาติพฺราหฺมณา อนิเจฺจน รูเปน, ทุเกฺขน รูเปน, วิปริณามธเมฺมน รูเปน ‘‘อหํ ปเรหิ เสโยฺย อุตฺตโม อสฺมี’’ติ วา สมนุปสฺสนฺติ, ‘‘อหํ ปเรน สทิโส สมาโน อสฺมี’’ติ วา สมนุปสฺสนฺติ, ‘‘อหํ ปรโต หีโน ลามโก อสฺมี’’ติ วา สมนุปสฺสนฺติ, ยถาภูตสฺส อทสฺสนา อญฺญตฺร วเชฺชตฺวา อญฺญํ กิํ นาม การณํ สิยา, ยถาภูตํ อทสฺสนโต ตาว สมนุปสฺสนสฺส อญฺญํ การณํ นตฺถิ, ยถาภูตํ อทสฺสนเมว การณนฺติ เวทิตพฺพํฯ ‘‘อนิจฺจาย เวทนายา’’ติอาทีสุปิ อิมินา วุตฺตนเยน วุตฺตนยานุสาเรน โยชนา กาตพฺพาฯ อิทํ ‘‘เย หิ เกจี’’ติอาทิกํ สุตฺตปฺปเทสวจนํ เญยฺยํ นามฯ ‘‘เย จ โข เกจี’’ติอาทิโก สุกฺกปโกฺข ปน วุตฺตวิปริยาเยน เวทิตโพฺพฯ อิทํ ‘‘เย จ โข’’ติอาทิกํ สุตฺตปฺปเทสวจนํ ญาณํ นามฯ อิทํ ‘‘เย หิ เกจี’’ติอาทิกํ สุตฺตํ ญาเณ จ เญเยฺย จ อเตฺถ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต ญาณญฺจ เญยฺยญฺจ โหติฯ (๖)
Soṇāti soṇaṃ ālapati. Samaṇā bāhirakasamaṇā brāhmaṇā jātibrāhmaṇā aniccena rūpena, dukkhena rūpena, vipariṇāmadhammena rūpena ‘‘ahaṃ parehi seyyo uttamo asmī’’ti vā samanupassanti, ‘‘ahaṃ parena sadiso samāno asmī’’ti vā samanupassanti, ‘‘ahaṃ parato hīno lāmako asmī’’ti vā samanupassanti, yathābhūtassa adassanā aññatra vajjetvā aññaṃ kiṃ nāma kāraṇaṃ siyā, yathābhūtaṃ adassanato tāva samanupassanassa aññaṃ kāraṇaṃ natthi, yathābhūtaṃ adassanameva kāraṇanti veditabbaṃ. ‘‘Aniccāya vedanāyā’’tiādīsupi iminā vuttanayena vuttanayānusārena yojanā kātabbā. Idaṃ ‘‘ye hi kecī’’tiādikaṃ suttappadesavacanaṃ ñeyyaṃ nāma. ‘‘Ye ca kho kecī’’tiādiko sukkapakkho pana vuttavipariyāyena veditabbo. Idaṃ ‘‘ye ca kho’’tiādikaṃ suttappadesavacanaṃ ñāṇaṃ nāma. Idaṃ ‘‘ye hi kecī’’tiādikaṃ suttaṃ ñāṇe ca ñeyye ca atthe vācakañāpakabhāvena pavattanato ñāṇañca ñeyyañca hoti. (6)
นานาวิธํ ญาณญฺจ เญยฺยญฺจ สาสนปฎฺฐานสุตฺตํ อาจริเยน นิทฺธาริตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘กตมํ ทสฺสน’’นฺติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ กตมํ ทสฺสน’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถาติ เตสุ โลกิยาทีสุ อฎฺฐวีสติวิเธสุ สาสนปฎฺฐาเนสุ สุเตฺตสุ กตมํ สุตฺตํ ทสฺสนํ นามาติ ปุจฺฉติฯ
Nānāvidhaṃ ñāṇañca ñeyyañca sāsanapaṭṭhānasuttaṃ ācariyena niddhāritaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘katamaṃ dassana’’nti pucchitabbattā ‘‘tattha katamaṃ dassana’’ntiādi vuttaṃ. Tatthāti tesu lokiyādīsu aṭṭhavīsatividhesu sāsanapaṭṭhānesu suttesu katamaṃ suttaṃ dassanaṃ nāmāti pucchati.
๑๑๕. คมฺภีรปเญฺญน สพฺพญฺญุพุเทฺธน สุเทสิตานิ สเงฺขปวิตฺถาราทีหิ เตหิ เตหิ นเยหิ สุฎฺฐุ เทสิตานิ อริยสจฺจานิ เย ภาวิตภาวนา อริยปุคฺคลา ปญฺญาโอภาเสน วิภาวยนฺติ, เต ภาวิตภาวนา อริยปุคฺคลา เทวรชฺชจกฺกวตฺติรชฺชาทิปมาทฎฺฐานํ อาคมฺม ภุสํ ปมตฺตา กิญฺจาปิ โหนฺติ, ตถาปิ เต ภาวิตภาวนา อริยปุคฺคลา โสตาปตฺติมคฺคญาเณน อภิสงฺขารวิญฺญาณสฺส นิโรเธน อฎฺฐมภวาทีสุ อุปฺปชฺชนารหานํ นามรูปานํ นิรุทฺธตฺตา อฎฺฐมกฺขตฺตุวเสน อฎฺฐมํ ภวํ น อาทิยนฺตีติ โยชนาฯ อิทํ ‘‘เย อริยสจฺจานี’’ติอาทิกํ สุตฺตํ ทสฺสเน ปฐมมคฺคญาเณ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต ทสฺสนํ นามฯ
115.Gambhīrapaññena sabbaññubuddhena sudesitāni saṅkhepavitthārādīhi tehi tehi nayehi suṭṭhu desitāni ariyasaccāni ye bhāvitabhāvanā ariyapuggalā paññāobhāsena vibhāvayanti, te bhāvitabhāvanā ariyapuggalā devarajjacakkavattirajjādipamādaṭṭhānaṃ āgamma bhusaṃ pamattā kiñcāpi honti, tathāpi te bhāvitabhāvanā ariyapuggalā sotāpattimaggañāṇena abhisaṅkhāraviññāṇassa nirodhena aṭṭhamabhavādīsu uppajjanārahānaṃ nāmarūpānaṃ niruddhattā aṭṭhamakkhattuvasena aṭṭhamaṃ bhavaṃ na ādiyantīti yojanā. Idaṃ ‘‘ye ariyasaccānī’’tiādikaṃ suttaṃ dassane paṭhamamaggañāṇe vācakañāpakabhāvena pavattanato dassanaṃ nāma.
นครทฺวารพาหถิรกรณตฺถํ อุมฺมารพฺภนฺตเร ปถวิยํ อฎฺฐหตฺถทสหตฺถปฺปมาณํ อาวาฎํ ขณิตฺวา ตสฺมิํ อาวาเฎ อุสฺสาปิตตฺตา ปถวิสฺสิโต ปถวินิสฺสิโต อโนฺตปถวินิสฺสิโต อินฺทขีโล สารทารุมโย ถโมฺภ จตุพฺภิ จตูหิ ทิสาหิ อาคเตหิ วาเตหิ มหาวาเตหิ อสมฺปกมฺปิโย สมฺปกมฺปิตุํ อสกฺกุเณโยฺย สิยา ยถา, โย สปฺปุริโส อริยสจฺจานิ อเวจฺจ ปสฺสติ, ตํ สปฺปุริสํ สพฺพติตฺถิยวาทวาเตหิ อสมฺปกมฺปิยตฺตา ตถูปมํ อหํ วทามีติ โยชนาฯ อิทํ ‘‘ยถินฺทขีโล’’ติอาทิกํ สุตฺตํ วุตฺตนเยน ทสฺสนํ นามฯ
Nagaradvārabāhathirakaraṇatthaṃ ummārabbhantare pathaviyaṃ aṭṭhahatthadasahatthappamāṇaṃ āvāṭaṃ khaṇitvā tasmiṃ āvāṭe ussāpitattā pathavissito pathavinissito antopathavinissito indakhīlo sāradārumayo thambho catubbhi catūhi disāhi āgatehi vātehi mahāvātehi asampakampiyo sampakampituṃ asakkuṇeyyo siyā yathā, yo sappuriso ariyasaccāni avecca passati, taṃ sappurisaṃ sabbatitthiyavādavātehi asampakampiyattā tathūpamaṃ ahaṃ vadāmīti yojanā. Idaṃ ‘‘yathindakhīlo’’tiādikaṃ suttaṃ vuttanayena dassanaṃ nāma.
ภิกฺขเว, จตูหิ โสตาปตฺติยเงฺคหิ สมนฺนาคโต อริยสาวโก อริยสฺส ภควโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สาวโก อาจิกฺขิตุํ อากงฺขมาโน หุตฺวา อตฺตนาว สยเมว อตฺตานํ พฺยากเรยฺย ‘‘โภ, มม อตฺต อหํ อิทานิ ขีณนิรโย อมฺหิ, ขีณติรจฺฉานโยนิ อมฺหิ…เป.…. ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสามี’’ติ พฺยากเรยฺยฯ จตุรงฺคสรูปํ ทเสฺสตุํ ‘‘กตเมหิ จตูหี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อิทํ ‘‘จตูหี’’ติอาทิกํ ทสฺสนํ นามฯ
Bhikkhave, catūhi sotāpattiyaṅgehi samannāgato ariyasāvako ariyassa bhagavato sammāsambuddhassa sāvako ācikkhituṃ ākaṅkhamāno hutvā attanāva sayameva attānaṃ byākareyya ‘‘bho, mama atta ahaṃ idāni khīṇanirayo amhi, khīṇatiracchānayoni amhi…pe…. dukkhassantaṃ karissāmī’’ti byākareyya. Caturaṅgasarūpaṃ dassetuṃ ‘‘katamehi catūhī’’tiādi vuttaṃ. Idaṃ ‘‘catūhī’’tiādikaṃ dassanaṃ nāma.
นานาวิธํ ทสฺสนํ นิทฺธาริตํ, ‘‘กตมา ภาวนา’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ กตมา ภาวนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
Nānāvidhaṃ dassanaṃ niddhāritaṃ, ‘‘katamā bhāvanā’’ti pucchitabbattā ‘‘tattha katamā bhāvanā’’tiādi vuttaṃ.
อิธ สาสเน ยสฺส อริยสาวกสฺส อชฺฌตฺตํ กามภเว นิพฺพตฺตาปกานํ โอรมฺภาคิยสํโยชนานํ ปชหนวเสน จ พหิทฺธา รูปารูปภเวสุ นิพฺพตฺตาปกานํ อุทฺธมฺภาคิยสํโยชนานํ ปชหนวเสน จ อินฺทฺริยานิ สทฺธินฺทฺริยาทีนิ อินฺทฺริยานิ สุภาวิตานิ อริยมคฺคภาวนาวเสน สุฎฺฐุ ภาวิตานิ ภวนฺติ, ภาวิโต ภาวิตมโคฺค ส ทโนฺต โส อริยสาวโก อิมํ โลกญฺจ ปรํ โลกญฺจ นิพฺพิชฺฌ นิพฺพิชฺฌิตฺวา ปฎิวิชฺฌิตฺวา กาลํ มรณกาเล , กาลํกิริยํ วา กงฺขติ ปเตฺถตีติ โยชนาฯ อยํ ‘‘ยสฺสินฺทฺริยานี’’ติอาทิกา ปาฬิ ภาวนาย วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต ภาวนา นามฯ
Idha sāsane yassa ariyasāvakassa ajjhattaṃ kāmabhave nibbattāpakānaṃ orambhāgiyasaṃyojanānaṃ pajahanavasena ca bahiddhā rūpārūpabhavesu nibbattāpakānaṃ uddhambhāgiyasaṃyojanānaṃ pajahanavasena ca indriyāni saddhindriyādīni indriyāni subhāvitāni ariyamaggabhāvanāvasena suṭṭhu bhāvitāni bhavanti, bhāvito bhāvitamaggo sa danto so ariyasāvako imaṃ lokañca paraṃ lokañca nibbijjha nibbijjhitvā paṭivijjhitvā kālaṃ maraṇakāle , kālaṃkiriyaṃ vā kaṅkhati patthetīti yojanā. Ayaṃ ‘‘yassindriyānī’’tiādikā pāḷi bhāvanāya vācakañāpakabhāvena pavattanato bhāvanā nāma.
ธมฺมปทานิ ฌานวิปสฺสนามคฺคผลนิพฺพานธมฺมโกฎฺฐาสานิฯ อนภิชฺฌา ธมฺมปทํ อนภิชฺฌาสีเสน อธิคตฌานวิปสฺสนามคฺคนิพฺพานธมฺมปทํ โกฎฺฐาสํฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ อยํ ‘‘จตฺตาริมานี’’ติอาทิกา ปาฬิ วุตฺตนเยน ภาวนา นามฯ (๗)
Dhammapadāni jhānavipassanāmaggaphalanibbānadhammakoṭṭhāsāni. Anabhijjhā dhammapadaṃ anabhijjhāsīsena adhigatajhānavipassanāmagganibbānadhammapadaṃ koṭṭhāsaṃ. Esa nayo sesesupi. Ayaṃ ‘‘cattārimānī’’tiādikā pāḷi vuttanayena bhāvanā nāma. (7)
เทวปุตฺต ฉินฺทโนฺต ปุคฺคโล ปญฺจ โอรมฺภาคิยสํโยชนานิ เหฎฺฐา มคฺคตฺตเยน ฉิเนฺท ฉิเนฺทยฺย, ปชหโนฺต ปุคฺคโล ปญฺจ อุทฺธมฺภาคิยสํโยชนานิ อรหตฺตมเคฺคน ชเห ปชเหยฺย, ภาวยโนฺต ปุคฺคโล ปญฺจ สทฺธินฺทฺริยาทีนิ จ อุตฺตริ ภาวเย ภาเวยฺยฯ ปญฺจสงฺคาติโค ราคสงฺคโทสสงฺคโมหสงฺคมานสงฺคทิฎฺฐิสงฺคาติโค ภิกฺขุ โอฆติโณฺณติ กาโมฆภโวฆทิโฎฺฐฆอวิโชฺชฆติโณฺณติ วุจฺจติ กถียตีติ โยชนาฯ ‘‘ปญฺจ ฉิเนฺท ปญฺจ ชเห’’ติ อิทํ วจนํ ทสฺสนํ นามฯ ‘‘ปญฺจ จุตฺตริ…เป.… วุจฺจตี’’ติ อยํ ปาฬิ ภาวนา นามฯ อิทํ ‘‘ปญฺจา’’ติอาทิกํ สุตฺตํ ทสฺสนญฺจ ภาวนา จ โหติฯ
Devaputta chindanto puggalo pañca orambhāgiyasaṃyojanāni heṭṭhā maggattayena chinde chindeyya, pajahanto puggalo pañca uddhambhāgiyasaṃyojanāni arahattamaggena jahe pajaheyya, bhāvayanto puggalo pañca saddhindriyādīni ca uttari bhāvaye bhāveyya. Pañcasaṅgātigo rāgasaṅgadosasaṅgamohasaṅgamānasaṅgadiṭṭhisaṅgātigo bhikkhu oghatiṇṇoti kāmoghabhavoghadiṭṭhoghaavijjoghatiṇṇoti vuccati kathīyatīti yojanā. ‘‘Pañca chinde pañca jahe’’ti idaṃ vacanaṃ dassanaṃ nāma. ‘‘Pañca cuttari…pe… vuccatī’’ti ayaṃ pāḷi bhāvanā nāma. Idaṃ ‘‘pañcā’’tiādikaṃ suttaṃ dassanañca bhāvanā ca hoti.
‘‘ตีณิมานิ, ภิกฺขเว’’ติอาทีสุ โยชนา ปากฎาฯ (๘)
‘‘Tīṇimāni, bhikkhave’’tiādīsu yojanā pākaṭā. (8)
๑๑๖. ‘‘สพฺพปาปสฺส อกรณํ…เป.… พุทฺธาน สาสน’’นฺติ อิทํ สุตฺตํ สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส วจนภาวโต สกวจนํ นามฯ อโตฺถ เหฎฺฐา วุโตฺตวฯ
116. ‘‘Sabbapāpassa akaraṇaṃ…pe… buddhāna sāsana’’nti idaṃ suttaṃ sammāsambuddhassa vacanabhāvato sakavacanaṃ nāma. Attho heṭṭhā vuttova.
ภิกฺขเว, พาลสฺส พาลลกฺขณานิ พาลอุปลกฺขณการณานิ พาลนิมิตฺตานิ ‘‘อยํ พาโล’’ติ คหณการณานิ พาลาปทานานิ พาลสฺส อปทานานิ โปราณานิ วิรุฬฺหานิ กมฺมานิ เยหิ พาลลกฺขณาทีหิ พาลํ ‘‘พาโล’’ติ ปเร ปณฺฑิตา สญฺชานนฺติ, อิมานิ พาลลกฺขณานิ มยา วุจฺจมานานิ ตีณิฯ กตมานิ ตีณิ? ภิกฺขเว, พาโล ทุจฺจินฺติตจินฺตี จ ทุจฺจินฺติตํ อภิชฺฌาพฺยาปาทมิจฺฉาทสฺสนํ จินฺตี จ โหติ, ทุพฺภาสิตภาสี ทุพฺภาสิตํ มุสาวาทาทิํ ภาสี จ โหติ. ทุกฺกฎกมฺมการี จ ทุกฺกฎํ ปาณาติปาตาทิกมฺมํ การี จ โหติฯ ภิกฺขเว, พาลสฺส…เป.… พาลาปทานานิ อิมินา มยา วุตฺตานิ ตีณิ โข ภวนฺติฯ สุกฺกปโกฺข ปน วุตฺตวิปริยาเยน เวทิตโพฺพฯ อิทํ ‘‘ตีณิมานิ ภิกฺขเว’’ติอาทิกํ วจนํ สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส วจนภาวโต สกวจนํ นามฯ
Bhikkhave, bālassa bālalakkhaṇāni bālaupalakkhaṇakāraṇāni bālanimittāni ‘‘ayaṃ bālo’’ti gahaṇakāraṇāni bālāpadānāni bālassa apadānāni porāṇāni viruḷhāni kammāni yehi bālalakkhaṇādīhi bālaṃ ‘‘bālo’’ti pare paṇḍitā sañjānanti, imāni bālalakkhaṇāni mayā vuccamānāni tīṇi. Katamāni tīṇi? Bhikkhave, bālo duccintitacintī ca duccintitaṃ abhijjhābyāpādamicchādassanaṃ cintī ca hoti, dubbhāsitabhāsī dubbhāsitaṃ musāvādādiṃ bhāsī ca hoti. dukkaṭakammakārī ca dukkaṭaṃ pāṇātipātādikammaṃ kārī ca hoti. Bhikkhave, bālassa…pe… bālāpadānāni iminā mayā vuttāni tīṇi kho bhavanti. Sukkapakkho pana vuttavipariyāyena veditabbo. Idaṃ ‘‘tīṇimāni bhikkhave’’tiādikaṃ vacanaṃ sammāsambuddhassa vacanabhāvato sakavacanaṃ nāma.
ปถวีสโม วิตฺถโต สโมฺพโธ นาม นตฺถิฯ ปาตํ วุฎฺฐํ อุทกํ อาภุโส ลาภิ คณฺหาตีติ ปาตาโล, ปาตาเลน สโม ปาตาลสโม นิโนฺน น วิชฺชติฯ เมรุสโม อุนฺนโต นตฺถิ, จกฺกวตฺติสทิโส โปริโส นตฺถีติ โยชนาฯ อิทํ ‘‘ปถวีสโม’’ติอาทิกํ วจนํ ปรสฺส เทวสฺส วจนภาวโต ปรวจนํ โหติฯ
Pathavīsamo vitthato sambodho nāma natthi. Pātaṃ vuṭṭhaṃ udakaṃ ābhuso lābhi gaṇhātīti pātālo, pātālena samo pātālasamo ninno na vijjati. Merusamo unnato natthi, cakkavattisadiso poriso natthīti yojanā. Idaṃ ‘‘pathavīsamo’’tiādikaṃ vacanaṃ parassa devassa vacanabhāvato paravacanaṃ hoti.
‘‘เทวานํ อินฺท, ตว สุภาสิเตน ชโย โหตี’’ติ วตฺวา ‘‘เวปจิตฺติ, ตว สุภาสิเตน ชโย โหตู’’ติ วตฺวา ‘‘เวปจิตฺติ, ตฺวํ คาถํ ภณ ภณาหี’’ติ อโวจฯ ภิกฺขเว, อถ โข อสุริโนฺท เวปจิตฺติ อิมํ วุจฺจมานํ คาถํ อภาสิ ‘‘เต ปฎิเสธโก โน เจ อสฺส โน เจ ภเวยฺย , เอวํ สติ พาลา ภิโยฺย ปกุเชฺฌยฺยุํ, ตสฺมา ธีโร ปณฺฑิโต ภุเสน ทเณฺฑน พาลํ นิเสธเย’’ติฯ
‘‘Devānaṃ inda, tava subhāsitena jayo hotī’’ti vatvā ‘‘vepacitti, tava subhāsitena jayo hotū’’ti vatvā ‘‘vepacitti, tvaṃ gāthaṃ bhaṇa bhaṇāhī’’ti avoca. Bhikkhave, atha kho asurindo vepacitti imaṃ vuccamānaṃ gāthaṃ abhāsi ‘‘te paṭisedhako no ce assa no ce bhaveyya , evaṃ sati bālā bhiyyo pakujjheyyuṃ, tasmā dhīro paṇḍito bhusena daṇḍena bālaṃ nisedhaye’’ti.
คาถาย, ภิกฺขเว, อสุริเนฺทน เวปจิตฺตินา ภาสิตาย อสุรา อนุโมทิํสุ, เทวา ตุณฺหี อเหสุํฯ ภิกฺขเว, อถ โข อสุริโนฺท เวปจิตฺติ เทวานํ อินฺทํ สกฺกํ เอตํ วจนํ อโวจ ‘‘เทวานมินฺท, ตฺวํ คาถํ ภณ ภณาหี’’ติ เอตํ วจนํ อโวจฯ ภิกฺขเว, อถ โข เทวานมิโนฺท สโกฺก อิมํ คาถํ อภาสิ ‘‘พาลสฺส ปฎิเสธนํ ปรํ ปจฺจตฺถิกํ สงฺกุปิตํ ญตฺวา สโต สติมา โย ปณฺฑิโต โกธโต อุปสมฺมติ, ตสฺส ปณฺฑิตสฺส เอตเทว อุปสมํ วรนฺติ อหํ มเญฺญ’’ติฯ
Gāthāya, bhikkhave, asurindena vepacittinā bhāsitāya asurā anumodiṃsu, devā tuṇhī ahesuṃ. Bhikkhave, atha kho asurindo vepacitti devānaṃ indaṃ sakkaṃ etaṃ vacanaṃ avoca ‘‘devānaminda, tvaṃ gāthaṃ bhaṇa bhaṇāhī’’ti etaṃ vacanaṃ avoca. Bhikkhave, atha kho devānamindo sakko imaṃ gāthaṃ abhāsi ‘‘bālassa paṭisedhanaṃ paraṃ paccatthikaṃ saṅkupitaṃ ñatvā sato satimā yo paṇḍito kodhato upasammati, tassa paṇḍitassa etadeva upasamaṃ varanti ahaṃ maññe’’ti.
คาถาย, ภิกฺขเว, เทวานมิเนฺทน สเกฺกน ภาสิตาย เทวา อนุโมทิํสุ, อสุรา ตุณฺหี อเหสุํฯ ภิกฺขเว, อถ โข เทวานมิโนฺท สโกฺก อสุรินฺทํ เวปจิตฺติํ เอตํ วจนํ อโวจ ‘‘เวปจิตฺติ, ตฺวํ คาถํ ภณาหี’’ติ เอตํ วจนํ อโวจฯ ภิกฺขเว, อถ โข อสุริโนฺท เวปจิตฺติ อิมํ คาถํ อภาสิ ‘‘วาสว ยทา ติติกฺขติ, ตทา นํ ติติกฺขนฺตํ ปุคฺคลํ พาโล ‘‘อยํ เม ภยา ติติกฺขตี’’ติ มญฺญติ, ติติกฺขาย เอตเทว วชฺชํ อหํ ปสฺสามิฯ วาสว โคคโณ ปลายินํ ควํ อโชฺฌตฺถรติ อิว, เอวํ ทุเมฺมโธ ขมนฺตํ ภิโยฺย อชฺฌารุหติ อโชฺฌตฺถรติฯ
Gāthāya, bhikkhave, devānamindena sakkena bhāsitāya devā anumodiṃsu, asurā tuṇhī ahesuṃ. Bhikkhave, atha kho devānamindo sakko asurindaṃ vepacittiṃ etaṃ vacanaṃ avoca ‘‘vepacitti, tvaṃ gāthaṃ bhaṇāhī’’ti etaṃ vacanaṃ avoca. Bhikkhave, atha kho asurindo vepacitti imaṃ gāthaṃ abhāsi ‘‘vāsava yadā titikkhati, tadā naṃ titikkhantaṃ puggalaṃ bālo ‘‘ayaṃ me bhayā titikkhatī’’ti maññati, titikkhāya etadeva vajjaṃ ahaṃ passāmi. Vāsava gogaṇo palāyinaṃ gavaṃ ajjhottharati iva, evaṃ dummedho khamantaṃ bhiyyo ajjhāruhati ajjhottharati.
คาถาย, ภิกฺขเว, อสุริเนฺทน เวปจิตฺตินา ภาสิตาย อสุรา อนุโมทิํสุ, เทวา ตุณฺหี อเหสุํฯ ชายมาเน จ โคยุเทฺธ ปฐมํ เทฺวเยว โคณา ยุชฺฌนฺติ, โคคโณ ปน ยาว เอโก โคโณ น ปลายติ, ตาว โอโลเกโนฺตว ติฎฺฐติฯ ยทา จ เอโก โคโณ ปลายติ , ตทา สโพฺพ โคโณ ตํ ปลายินํ ควํ ภิโยฺย อโชฺฌตฺถรตีติ โคยุทฺธสภาโว เวทิตโพฺพฯ ‘‘อถ โข’’ติอาทีนํ โยชนโตฺถ ปากโฎฯ
Gāthāya, bhikkhave, asurindena vepacittinā bhāsitāya asurā anumodiṃsu, devā tuṇhī ahesuṃ. Jāyamāne ca goyuddhe paṭhamaṃ dveyeva goṇā yujjhanti, gogaṇo pana yāva eko goṇo na palāyati, tāva olokentova tiṭṭhati. Yadā ca eko goṇo palāyati , tadā sabbo goṇo taṃ palāyinaṃ gavaṃ bhiyyo ajjhottharatīti goyuddhasabhāvo veditabbo. ‘‘Atha kho’’tiādīnaṃ yojanattho pākaṭo.
เวปจิตฺติ, โย ปุคฺคโล ติติกฺขติ, ตํ ขมนฺตํ ปุคฺคลํ ‘‘อยํ เม ภยา ติติกฺขตี’’ติ กามํ มญฺญตุ วา, มา มญฺญตุ วา, ตํ มญฺญนํ นิปฺผลเมวฯ อตฺถา สทตฺถปรมา ภวนฺติฯ ขนฺตฺยา ขนฺติโต ภิโยฺย สทโตฺถ นาม น วิชฺชติฯ
Vepacitti, yo puggalo titikkhati, taṃ khamantaṃ puggalaṃ ‘‘ayaṃ me bhayā titikkhatī’’ti kāmaṃ maññatu vā, mā maññatu vā, taṃ maññanaṃ nipphalameva. Atthā sadatthaparamā bhavanti. Khantyā khantito bhiyyo sadattho nāma na vijjati.
โย พลวา สโนฺต ทุพฺพลสฺส หเว ติติกฺขตีติ ตสฺส พลวนฺตสฺส ตํ ติติกฺขนํ ปรมํ ขนฺตินฺติ สปฺปุริสา อาหุ, ทุพฺพโล นิจฺจํ ขมติ เอวฯ
Yo balavā santo dubbalassa have titikkhatīti tassa balavantassa taṃ titikkhanaṃ paramaṃ khantinti sappurisā āhu, dubbalo niccaṃ khamati eva.
ยสฺส พาลสฺส พาลพลํ อตฺถิ, ตสฺส พาลสฺส พาลพลํ ‘‘อพล’’นฺติ สปฺปุริสา อาหุ, ยสฺส ธมฺมคุตฺตสฺส ยํ พลํ อตฺถิ, ตสฺส ธมฺมคุตฺตสฺส ตสฺส พลสฺส ปฎิวตฺตา ปฎิปฺผริตฺวา วตฺตา น วิชฺชติฯ
Yassa bālassa bālabalaṃ atthi, tassa bālassa bālabalaṃ ‘‘abala’’nti sappurisā āhu, yassa dhammaguttassa yaṃ balaṃ atthi, tassa dhammaguttassa tassa balassa paṭivattā paṭippharitvā vattā na vijjati.
เวปจิตฺติ, โย ปุคฺคโล กุทฺธํ ปฐมํ กุชฺฌนฺตสฺส ปฎิกุชฺฌติ, โส ปฎิกุชฺฌโนฺต ปุคฺคโล เตน ปฎิกุชฺฌเนน ตสฺส ปฐมํ กุชฺฌนฺตสฺส ปาปปุคฺคลสฺส ปาปปุคฺคลโต ปาปิโย เอว ปาปตโร หีนตโร เอว ภเวฯ
Vepacitti, yo puggalo kuddhaṃ paṭhamaṃ kujjhantassa paṭikujjhati, so paṭikujjhanto puggalo tena paṭikujjhanena tassa paṭhamaṃ kujjhantassa pāpapuggalassa pāpapuggalato pāpiyo eva pāpataro hīnataro eva bhave.
เวปจิตฺติ, โย สปฺปุริโส สโต สติมา ปรํ สงฺกุปิตํ ญตฺวา ปฐมํ กุชฺฌนฺตสฺส อปฺปฎิกุชฺฌโนฺตว ภเว, โส สปฺปุริโส ทุชฺชยํ สงฺคามํ เชติ นาม, อตฺตโน จ ปรสฺส จ อุภินฺนํ อตฺถํ จรติ นามฯ
Vepacitti, yo sappuriso sato satimā paraṃ saṅkupitaṃ ñatvā paṭhamaṃ kujjhantassa appaṭikujjhantova bhave, so sappuriso dujjayaṃ saṅgāmaṃ jeti nāma, attano ca parassa ca ubhinnaṃ atthaṃ carati nāma.
อตฺตโน จ ปรสฺส จ ติกิจฺฉนฺตานํ อุภินฺนํ โกโธ อุปสมฺมติ, เย ชนา ธมฺมสฺส ขนฺติธมฺมสฺส อเตฺถ, จตุสจฺจธเมฺม วา อโกวิทา ภวนฺติ, เต ชนา ขมนฺตํ สปฺปุริสํ ‘‘อยํ พาโล’’ติ มญฺญนฺติ, เตสํ อโกวิทานํ ชนานํ ตํ มญฺญนํ นิปฺผลนฺติฯ
Attano ca parassa ca tikicchantānaṃ ubhinnaṃ kodho upasammati, ye janā dhammassa khantidhammassa atthe, catusaccadhamme vā akovidā bhavanti, te janā khamantaṃ sappurisaṃ ‘‘ayaṃ bālo’’ti maññanti, tesaṃ akovidānaṃ janānaṃ taṃ maññanaṃ nipphalanti.
คาถาสุ, ภิกฺขเว, เทวานมิเนฺทน สเกฺกน ภาสิตาสุ เทวา อนุโมทิํสุ, อสุรา ตุณฺหี อเหสุนฺติ โยชนาฯ อิทํ ‘‘ภิโยฺย พาลา’’ติอาทิกํ วจนํ สกฺกเวปจิตฺตีนํ วจนภาวโต ปรวจนํ นามฯ (๙)
Gāthāsu, bhikkhave, devānamindena sakkena bhāsitāsu devā anumodiṃsu, asurā tuṇhī ahesunti yojanā. Idaṃ ‘‘bhiyyo bālā’’tiādikaṃ vacanaṃ sakkavepacittīnaṃ vacanabhāvato paravacanaṃ nāma. (9)
๑๑๗. ปตฺตํ เอตรหิ อธิคตํ ยญฺจ กามูปกรณํ, อายติํ ปตฺตพฺพํ อธิคตํ ยญฺจ กามูปกรณํ อตฺถิ, เอตํ อุภยํ รชานุกิณฺณํ ราครชาทิกิณฺณํ อิติ อาตุรสฺส อาตุรานํเยว ปุคฺคลานํ สนฺติเก อนุสิกฺขโต อนุสิกฺขนฺตสฺส สิกฺขาสารา หุตฺวา อุปฎฺฐหนฺติ, สีลํ วตํ ชีวิตํ พฺรหฺมจริยํ อิเม สิกฺขาสารา หุตฺวา อุปฎฺฐหนฺตีติ เย อุปฎฺฐานสารา ปุคฺคลา สารโต คเหตฺวา ฐิตาฯ เอตฺถ สีลํ นาม ‘‘น กโรมี’’ติ โอรมณํฯ วตํ นาม โภชนกิจฺจกรณาทิฯ ชีวิตํ นาม อาชีโวฯ พฺรหฺมจริยํ นาม เมถุนวิรติวิเสสภาโว เวทิตโพฺพฯ เตสํ อุปฎฺฐานสารานํ ปุคฺคลานํ อยํ วาโท เอโก ปฐโม อโนฺต ลามโกฯ เย จ ปุคฺคลา ‘‘กาเมสุ โทโส นตฺถี’’ติ เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน หุตฺวา ฐิตา, เตสํ ปุคฺคลานํ อยํ วาโท เอโก ทุติโย อโนฺต ลามโกฯ อิเจฺจเต อุโภ อนฺตา อนฺตวาทา ปุคฺคลา กฎสิวฑฺฒนา กฎสิโย ทิฎฺฐิํ วเฑฺฒนฺติฯ เอเต อุโภ อเนฺต อตฺตกิลมถานุโยเค กามสุขลฺลิกานุโยเค เอเก ปุคฺคลา อนภิญฺญาย โอลียนฺติ, เอเก ปุคฺคลา อติธาวนฺตีติ โยชนาฯ อิทํ ‘‘ยญฺจ ปตฺต’’นฺติอาทิกํ วจนํ ปเรสํ ปุคฺคลานํ วจนภาวโต ปรวจนํ นามฯ
117.Pattaṃ etarahi adhigataṃ yañca kāmūpakaraṇaṃ, āyatiṃ pattabbaṃ adhigataṃ yañca kāmūpakaraṇaṃ atthi, etaṃ ubhayaṃ rajānukiṇṇaṃ rāgarajādikiṇṇaṃ iti āturassa āturānaṃyeva puggalānaṃ santike anusikkhato anusikkhantassa sikkhāsārā hutvā upaṭṭhahanti, sīlaṃ vataṃ jīvitaṃ brahmacariyaṃ ime sikkhāsārā hutvā upaṭṭhahantīti ye upaṭṭhānasārā puggalā sārato gahetvā ṭhitā. Ettha sīlaṃ nāma ‘‘na karomī’’ti oramaṇaṃ. Vataṃ nāma bhojanakiccakaraṇādi. Jīvitaṃ nāma ājīvo. Brahmacariyaṃ nāma methunavirativisesabhāvo veditabbo. Tesaṃ upaṭṭhānasārānaṃ puggalānaṃ ayaṃ vādo eko paṭhamo anto lāmako. Ye ca puggalā ‘‘kāmesu doso natthī’’ti evaṃvādino evaṃdiṭṭhino hutvā ṭhitā, tesaṃ puggalānaṃ ayaṃ vādo eko dutiyo anto lāmako. Iccete ubho antā antavādā puggalā kaṭasivaḍḍhanā kaṭasiyo diṭṭhiṃ vaḍḍhenti. Ete ubho ante attakilamathānuyoge kāmasukhallikānuyoge eke puggalā anabhiññāya olīyanti, eke puggalā atidhāvantīti yojanā. Idaṃ ‘‘yañca patta’’ntiādikaṃ vacanaṃ paresaṃ puggalānaṃ vacanabhāvato paravacanaṃ nāma.
เย จ สมฺมาทิฎฺฐิปุคฺคลา เต อุโภ อเนฺต อตฺตกิลมถานุโยคกามสุขลฺลิกานุโยเค อภิญฺญาย ตตฺร จ อเนฺต น อเหสุํฯ เตน จ อภิชานเนน เต อุโภ อเนฺต น อมญฺญิํสุ, เตสํ สมฺมาทิฎฺฐิปุคฺคลานํ วฎฺฎํ ติวิธํ วฎฺฎํ ปญฺญาปนาย นตฺถิฯ อิติ เอวํ อิทํ ‘‘เย จา’’ติอาทิกํ วจนํ ภควโต วจนภาวโต สกวจนํ นามฯ อยํ อุทาโน ‘‘ยญฺจ ปตฺตํ…เป.… ปญฺญาปนายา’’ติ อยํ อุทาโน วุตฺตนเยน สกวจนญฺจ ปรวจนญฺจ โหติฯ
Ye ca sammādiṭṭhipuggalā te ubho ante attakilamathānuyogakāmasukhallikānuyoge abhiññāya tatra ca ante na ahesuṃ. Tena ca abhijānanena te ubho ante na amaññiṃsu, tesaṃ sammādiṭṭhipuggalānaṃ vaṭṭaṃ tividhaṃ vaṭṭaṃ paññāpanāya natthi. Iti evaṃ idaṃ ‘‘ye cā’’tiādikaṃ vacanaṃ bhagavato vacanabhāvato sakavacanaṃ nāma. Ayaṃ udāno ‘‘yañca pattaṃ…pe… paññāpanāyā’’ti ayaṃ udāno vuttanayena sakavacanañca paravacanañca hoti.
ปเสนทิ นาม โกสโล โกสลิสฺสโร ราชา ภควนฺตํ เอตํ ‘‘อิธ มยฺหํ…เป.… เตสํ ปิโย อตฺตา’’ติ วจนํ อโวจฯ ภเนฺต, อิธ รโหคตสฺส ปฎิสลฺลีนสฺส มยฺหํ มม เจตโส จิตฺตสฺส เอวํ ปริวิตโกฺก อุทปาทิ, เกสํ สตฺตานํ อตฺตา ปิโย นุ โข, เกสํ สตฺตานํ อตฺตา อปฺปิโย นุ โข อิติ เอตํ ปริวิตกฺกนํ อุทปาทิฯ ภเนฺต, ตสฺส มยฺหํ เอตํ ปริวิตกฺกนํ อโหสิ, เย จ เกจิ สตฺตา กาเยน ทุจฺจริตํ จรนฺติ โข…เป.… มนสา ทุจฺจริตํ จรนฺติ โข, เตสํ สตฺตานํ อตฺตา อปฺปิโย โขฯ เต ทุจฺจริตํ จรนฺตา สตฺตา ‘‘โน อตฺตา ปิโย’’ติ เอวํ กิญฺจาปิ วเทยฺยุํ, อถ โข เตสํ ทุจฺจริตํ จรนฺตานํ สตฺตานํ อตฺตา อปฺปิโยวฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อปฺปิโย อปฺปิยสฺส อนตฺถาย ยํ ทุจฺจริตํ กเรยฺย, ตํ ทุจฺจริตํ เต ทุจฺจริตํ จรนฺตา สตฺตา อตฺตนาว. สยเมวฯ อตฺตโน อนตฺถาย หิ ยสฺมา กโรนฺติ, ตสฺมา เตสํ ทุจฺจริตํ จรนฺตานํ สตฺตานํ อตฺตา อปฺปิโยวาติ เอตํ ปริวิตกฺกนํ อโหสิฯ
Pasenadi nāma kosalo kosalissaro rājā bhagavantaṃ etaṃ ‘‘idha mayhaṃ…pe… tesaṃ piyo attā’’ti vacanaṃ avoca. Bhante, idha rahogatassa paṭisallīnassa mayhaṃ mama cetaso cittassa evaṃ parivitakko udapādi, kesaṃ sattānaṃ attā piyo nu kho, kesaṃ sattānaṃ attā appiyo nu kho iti etaṃ parivitakkanaṃ udapādi. Bhante, tassa mayhaṃ etaṃ parivitakkanaṃ ahosi, ye ca keci sattā kāyena duccaritaṃ caranti kho…pe… manasā duccaritaṃ caranti kho, tesaṃ sattānaṃ attā appiyo kho. Te duccaritaṃ carantā sattā ‘‘no attā piyo’’ti evaṃ kiñcāpi vadeyyuṃ, atha kho tesaṃ duccaritaṃ carantānaṃ sattānaṃ attā appiyova. Taṃ kissa hetu? Appiyo appiyassa anatthāya yaṃ duccaritaṃ kareyya, taṃ duccaritaṃ te duccaritaṃ carantā sattā attanāva. sayameva. Attano anatthāya hi yasmā karonti, tasmā tesaṃ duccaritaṃ carantānaṃ sattānaṃ attā appiyovāti etaṃ parivitakkanaṃ ahosi.
ภเนฺต , เย จ เกจิ สตฺตา กาเยน สุจริตํ จรนฺติ โข…เป.… มนสา สุจริตํ จรนฺติ โข, เตสํ สุจริตํ จรนฺตานํ สตฺตานํ อตฺตา ปิโย โข, เต สุจริตํ จรนฺตา สตฺตา ‘‘โน อตฺตา อปฺปิโย’’ติ เอวํ กิญฺจาปิ วเทยฺยุํ, อถ โข เตสํ สุจริตํ จรนฺตานํ สตฺตานํ อตฺตา ปิโยวฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ปิโย ปิยสฺส อตฺถาย ยํ สุจริตํ จเรยฺย, ตํ สุจริตํ เต สุจริตํ จรนฺตา สตฺตา อตฺตนาว สยเมว อตฺตโน อตฺถาย หิ ยสฺมา กโรนฺติ , ตสฺมา เตสํ สุจริตํ จรนฺตานํ สตฺตานํ อตฺตา ปิโยวาติ เอตํ ปริวิตกฺกนํ อโหสิฯ เอตํ วจนํ อโวจาติ โยชนาฯ
Bhante , ye ca keci sattā kāyena sucaritaṃ caranti kho…pe… manasā sucaritaṃ caranti kho, tesaṃ sucaritaṃ carantānaṃ sattānaṃ attā piyo kho, te sucaritaṃ carantā sattā ‘‘no attā appiyo’’ti evaṃ kiñcāpi vadeyyuṃ, atha kho tesaṃ sucaritaṃ carantānaṃ sattānaṃ attā piyova. Taṃ kissa hetu? Piyo piyassa atthāya yaṃ sucaritaṃ careyya, taṃ sucaritaṃ te sucaritaṃ carantā sattā attanāva sayameva attano atthāya hi yasmā karonti , tasmā tesaṃ sucaritaṃ carantānaṃ sattānaṃ attā piyovāti etaṃ parivitakkanaṃ ahosi. Etaṃ vacanaṃ avocāti yojanā.
‘‘เอวเมตํ มหาราชา’’ติ วจนํ ปฐมํ วตฺวา ‘‘เย หิ เกจี’’ติอาทิเก ภควโต วุตฺตวจเนปิ โยชนา ตเถว กาตพฺพาฯ
‘‘Evametaṃ mahārājā’’ti vacanaṃ paṭhamaṃ vatvā ‘‘ye hi kecī’’tiādike bhagavato vuttavacanepi yojanā tatheva kātabbā.
คาถาสุ ปน โย ปณฺฑิโต อตฺตานํ ‘‘ปิย’’นฺติ เจ ชญฺญา, เอวํ สติ โส ปณฺฑิโต นํ อตฺตานํ ปาเปน กเมฺมน น สํยุเช น สํโยเชยฺย, ตํ วจนํ หิ สจฺจํ ปิยํ อตฺตานํ สุลภํ น โหติ, ทุกฺกฎการินา สุขํ สุลภํ น โหติฯ
Gāthāsu pana yo paṇḍito attānaṃ ‘‘piya’’nti ce jaññā, evaṃ sati so paṇḍito naṃ attānaṃ pāpena kammena na saṃyuje na saṃyojeyya, taṃ vacanaṃ hi saccaṃ piyaṃ attānaṃ sulabhaṃ na hoti, dukkaṭakārinā sukhaṃ sulabhaṃ na hoti.
อนฺตเกน มจฺจุนา อธิปนฺนสฺส มานุสํ ภวํ ชหโต ปชหนฺตสฺส ตสฺส มรณมุเข ฐิตสฺส สตฺตสฺส กิํ สกํ โหติ, มรณมุเข ฐิโต โส สโตฺต กิญฺจ อาทาย ปรโลกํ คจฺฉติ, ฉายา คจฺฉนฺตํ สตฺตํ อนปายินี อิว, เอวํ อสฺส ปรโลกคตสฺส สตฺตสฺส กิญฺจ อนุคํ โหติฯ
Antakena maccunā adhipannassa mānusaṃ bhavaṃ jahato pajahantassa tassa maraṇamukhe ṭhitassa sattassa kiṃ sakaṃ hoti, maraṇamukhe ṭhito so satto kiñca ādāya paralokaṃ gacchati, chāyā gacchantaṃ sattaṃ anapāyinī iva, evaṃ assa paralokagatassa sattassa kiñca anugaṃ hoti.
อิติ ภควา เอวํ ปุจฺฉติ, ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อุโภ’’ติอาทิวิสฺสชฺชนวจนญฺจ อาหฯ อิธ โลเก โย มโจฺจ ยํ ปุญฺญญฺจ ยํ ปาปญฺจ อุโภ กเมฺม กุรุเต กโรติ, ตสฺส ปรโลกคตสฺส มจฺจสฺส ตํ ปุญฺญปาปทฺวยํ สกํ โหติฯ ปรโลกํ คโต มโจฺจ ตํว ปุญฺญปาปทฺวยํ อาทาย ปรโลกํ คจฺฉติ, ฉายา คจฺฉนฺตํ สตฺตํ อนปายินี อิว, เอวํ อสฺส ปรโลกคตสฺส มจฺจสฺส ตํว ปุญฺญปาปทฺวยํ อนุคํ โหติฯ
Iti bhagavā evaṃ pucchati, pucchitvā ‘‘ubho’’tiādivissajjanavacanañca āha. Idha loke yo macco yaṃ puññañca yaṃ pāpañca ubho kamme kurute karoti, tassa paralokagatassa maccassa taṃ puññapāpadvayaṃ sakaṃ hoti. Paralokaṃ gato macco taṃva puññapāpadvayaṃ ādāya paralokaṃ gacchati, chāyā gacchantaṃ sattaṃ anapāyinī iva, evaṃ assa paralokagatassa maccassa taṃva puññapāpadvayaṃ anugaṃ hoti.
ตสฺมา ปณฺฑิโต สมฺปรายิกํ สมฺปราเย ผลนิพฺพตฺตาปกํ กลฺยาณํ นิจยํ นิจยโนฺต หุตฺวา กเรยฺยฯ ปาณินํ ปรโลกสฺมิํ ปุญฺญานิ ปติฎฺฐา โหนฺติ, อิติ ภควา อาหาติ โยชนา กาตพฺพาฯ อิทํ ‘‘ราชา ปเสนที’’ติอาทิกํ สุตฺตํ โกสลรโญฺญ วจนภาวโต ปรวจนํ โหติฯ ‘‘เอวเมตํ , มหาราช, เอวเมตํ มหาราชา’’ติอาทิกา อนุคีติ ภควโต วจนภาวโต สกวจนํ โหติฯ อิทํ ทฺวยํ วจนํ สกวจนญฺจ ปรวจนญฺจ โหติฯ (๑๐)
Tasmā paṇḍito samparāyikaṃ samparāye phalanibbattāpakaṃ kalyāṇaṃ nicayaṃ nicayanto hutvā kareyya. Pāṇinaṃ paralokasmiṃ puññāni patiṭṭhā honti, iti bhagavā āhāti yojanā kātabbā. Idaṃ ‘‘rājā pasenadī’’tiādikaṃ suttaṃ kosalarañño vacanabhāvato paravacanaṃ hoti. ‘‘Evametaṃ , mahārāja, evametaṃ mahārājā’’tiādikā anugīti bhagavato vacanabhāvato sakavacanaṃ hoti. Idaṃ dvayaṃ vacanaṃ sakavacanañca paravacanañca hoti. (10)
๑๑๘. ปเญฺห ปุจฺฉิเต อิทํ ทุกฺขสจฺจํ อภิเญฺญยฺยํ, อิทํ สมุทยสจฺจํ ปหาตพฺพํ, อิทํ มคฺคสจฺจํ ภาเวตพฺพํ, อิทํ นิโรธสจฺจํ, ผลํ วา สจฺฉิกาตพฺพํ, อิเม กุสลากุสลา ธมฺมา เอวํ กุสลากุสลภาเวน คหิตา อนวชฺชสาวชฺชภาเวน วา คหิตา สุขวิปากทุกฺขวิปากภาเวน วา คหิตา , อิทํ อิฎฺฐวิปากํ อิทํ อนิฎฺฐวิปากํ ผลํ นิพฺพตฺตยอิติ เอวํคหิตานํ เตสํ กุสลากุสลธมฺมานํ อยํ วุฑฺฒิ อโตฺถ, อยํ หานิ อโตฺถติฯ อิติ อิทํ ‘‘ปเญฺห ปุจฺฉิเต’’ติอาทิกํ สุตฺตํ วิสฺสชฺชนีเย อเตฺถ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต วิสฺสชฺชนียํ นามฯ
118. Pañhe pucchite idaṃ dukkhasaccaṃ abhiññeyyaṃ, idaṃ samudayasaccaṃ pahātabbaṃ, idaṃ maggasaccaṃ bhāvetabbaṃ, idaṃ nirodhasaccaṃ, phalaṃ vā sacchikātabbaṃ, ime kusalākusalā dhammā evaṃ kusalākusalabhāvena gahitā anavajjasāvajjabhāvena vā gahitā sukhavipākadukkhavipākabhāvena vā gahitā, idaṃ iṭṭhavipākaṃ idaṃ aniṭṭhavipākaṃ phalaṃ nibbattayaiti evaṃgahitānaṃ tesaṃ kusalākusaladhammānaṃ ayaṃ vuḍḍhi attho, ayaṃ hāni atthoti. Iti idaṃ ‘‘pañhe pucchite’’tiādikaṃ suttaṃ vissajjanīye atthe vācakañāpakabhāvena pavattanato vissajjanīyaṃ nāma.
‘‘อุฬาโร พุโทฺธ ภควา’’ติ อิมินา ปเทน พุทฺธอุฬารตํ เอกํเสเนว เอกโกฎฺฐาเสเนว นิทฺทิเสฯ ‘‘สฺวากฺขาโต ธโมฺม’’ติ อิมินา ปเทน ธมฺมสฺวากฺขาตตํ เอกํเสเนว เอกโกฎฺฐาเสเนว นิทฺทิเสฯ ‘‘สุปฺปฎิปโนฺน สโงฺฆ’’ติ อิมินา ปเทน สงฺฆสุปฺปฎิปตฺติํ เอกํเสเนว เอกโกฎฺฐาเสเนว นิทฺทิเส ‘‘สเพฺพ สงฺขารา อนิจฺจา’’ติ อิมินา ปเทน สงฺขารานิจฺจตํ เอกํเสเนว นิทฺทิเสฯ ‘‘สเพฺพ สงฺขารา ทุกฺขา’’ติ อิมินา ปเทน สงฺขารทุกฺขตํ เอกํเสเนว นิทฺทิเสฯ ‘‘สเพฺพ ธมฺมา อนตฺตา’’ติ อิมินา ปเทน ธมฺมานตฺตตํ เอกํเสเนว นิทฺทิเสฯ ‘‘สเพฺพ สงฺขารา อนตฺตา’’ติ อวตฺวา ‘‘สเพฺพ ธมฺมา อนตฺตา’’ติ วุเตฺตน อิมินา ปเทน สงฺขาเรหิ อญฺญํ ยํ วา ปน มคฺคผลนิโรธสมาปตฺติธมฺมชาตํ อตฺถิ, ตํ มคฺคผลนิโรธสมาปตฺติธมฺมชาตมฺปิ เอวํชาติยํ เอวํ เอกํสพฺยากรณียนฺติ มคฺคผลนิโรธสมาปตฺติธมฺมชาตสฺสาปิ อนตฺตตํ เอกํเสเนว นิทฺทิเสติ โยชนาฯ อิทํ ‘‘อุฬาโร’’ติอาทิกํ สุตฺตํ วิสฺสชฺชนีเย พุทฺธอุฬารตาทิเก วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต วิสฺสชฺชนียํ นามฯ
‘‘Uḷāro buddho bhagavā’’ti iminā padena buddhauḷārataṃ ekaṃseneva ekakoṭṭhāseneva niddise. ‘‘Svākkhāto dhammo’’ti iminā padena dhammasvākkhātataṃ ekaṃseneva ekakoṭṭhāseneva niddise. ‘‘Suppaṭipanno saṅgho’’ti iminā padena saṅghasuppaṭipattiṃ ekaṃseneva ekakoṭṭhāseneva niddise ‘‘sabbe saṅkhārā aniccā’’ti iminā padena saṅkhārāniccataṃ ekaṃseneva niddise. ‘‘Sabbe saṅkhārā dukkhā’’ti iminā padena saṅkhāradukkhataṃ ekaṃseneva niddise. ‘‘Sabbe dhammā anattā’’ti iminā padena dhammānattataṃ ekaṃseneva niddise. ‘‘Sabbe saṅkhārā anattā’’ti avatvā ‘‘sabbe dhammā anattā’’ti vuttena iminā padena saṅkhārehi aññaṃ yaṃ vā pana maggaphalanirodhasamāpattidhammajātaṃ atthi, taṃ maggaphalanirodhasamāpattidhammajātampi evaṃjātiyaṃ evaṃ ekaṃsabyākaraṇīyanti maggaphalanirodhasamāpattidhammajātassāpi anattataṃ ekaṃseneva niddiseti yojanā. Idaṃ ‘‘uḷāro’’tiādikaṃ suttaṃ vissajjanīye buddhauḷāratādike vācakañāpakabhāvena pavattanato vissajjanīyaṃ nāma.
นรทมฺมสารถิ อากงฺขโต เต ภควโต มนสา สพฺพญฺญุตญฺญาณสหิตาทิมนสา วิจินฺติตํ เญยฺยธมฺมํ เทวา มนุสฺสา สเพฺพ ปาณิโน น ชญฺญา น ชาเนยฺยุํฯ สนฺตํ อรณํ สมาธิํ นิเสวโต เต ภควโต มนสา วิจินฺติตา กสิณาปิ สเพฺพ ปาณิโน น ชญฺญา น ชาเนยฺยุํฯ กสิณาปิ วา กสิณารมฺมณาย ปญฺญายปิ น ชญฺญา น ชาเนยฺยุํฯ กสิณาปีติ เอตฺถ จ ‘‘กสิณายปี’’ติ วตฺตเพฺพปิ ย-การ โลปวเสน ‘‘กสิณาปี’’ติ วุตฺตํฯ อถ วา ‘‘ยํ อากงฺขติ ยํ อากงฺขนํ กโรติ, ตํ อากงฺขนํ กิํ กตม’’นฺติ ปุจฺฉิตํ ปญฺหํ อเญฺญสํ อวิสยตฺตา อวิสฺสชฺชนียํ โหตีติ โยชนาฯ อิทํ ‘‘อากงฺขโต’’ติอาทิกํ สุตฺตํ อวิสฺสชฺชนีเย วิสเย วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต อวิสฺสชฺชนียํ นามฯ
Naradammasārathi ākaṅkhato te bhagavato manasā sabbaññutaññāṇasahitādimanasā vicintitaṃ ñeyyadhammaṃ devā manussā sabbe pāṇino na jaññā na jāneyyuṃ. Santaṃ araṇaṃ samādhiṃ nisevato te bhagavato manasā vicintitā kasiṇāpi sabbe pāṇino na jaññā na jāneyyuṃ. Kasiṇāpi vā kasiṇārammaṇāya paññāyapi na jaññā na jāneyyuṃ. Kasiṇāpīti ettha ca ‘‘kasiṇāyapī’’ti vattabbepi ya-kāra lopavasena ‘‘kasiṇāpī’’ti vuttaṃ. Atha vā ‘‘yaṃ ākaṅkhati yaṃ ākaṅkhanaṃ karoti, taṃ ākaṅkhanaṃ kiṃ katama’’nti pucchitaṃ pañhaṃ aññesaṃ avisayattā avissajjanīyaṃ hotīti yojanā. Idaṃ ‘‘ākaṅkhato’’tiādikaṃ suttaṃ avissajjanīye visaye vācakañāpakabhāvena pavattanato avissajjanīyaṃ nāma.
ภควา สีลกฺขเนฺธ สีลกฺขนฺธเหตุ เอตฺตโก เอตปริมาโณ, ภควา สมาธิกฺขเนฺธ สมาธิกฺขนฺธเหตุ เอตฺตโก เอตปริมาโณ, ภควา ปญฺญากฺขเนฺธ ปญฺญากฺขนฺธเหตุ เอตฺตโก เอตปริมาโณ, ภควา วิมุตฺติกฺขเนฺธ วิมุตฺติกฺขนฺธเหตุ เอตฺตโก เอตปริมาโณ, ภควา วิมุตฺติญาณทสฺสนกฺขเนฺธ วิมุตฺติญาณทสฺสนกฺขนฺธเหตุ เอตฺตโก เอตปริมาโณ, ภควา อิริยายํ กายวจีสมาจาเร กายวจีสมาจารเหตุ เอตฺตโก เอตปริมาโณ, ภควา ปภาเว อานุภาวเหตุ เอตฺตโก เอตปริมาโณ, ภควา หิเตสิตายํ เมตฺตาเหตุ เอตฺตโก เอตปริมาโณ, ภควา กรุณายํ กรุณาเหตุ เอตฺตโก เอตปริมาโณ, ภควา อิทฺธิยํ อิทฺธิวิธเหตุ เอตฺตโก เอตปริมาโณติ อวิสฺสชฺชนีโยติ โยชนาฯ อิทํ ‘‘เอตฺตโก’’ติอาทิกํ สุตฺตํ อวิสฺสชฺชนีเย วิสเย วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต อวิสฺสชฺชนียํ นามฯ
Bhagavā sīlakkhandhe sīlakkhandhahetu ettako etaparimāṇo, bhagavā samādhikkhandhe samādhikkhandhahetu ettako etaparimāṇo, bhagavā paññākkhandhe paññākkhandhahetu ettako etaparimāṇo, bhagavā vimuttikkhandhe vimuttikkhandhahetu ettako etaparimāṇo, bhagavā vimuttiñāṇadassanakkhandhe vimuttiñāṇadassanakkhandhahetu ettako etaparimāṇo, bhagavā iriyāyaṃ kāyavacīsamācāre kāyavacīsamācārahetu ettako etaparimāṇo, bhagavā pabhāve ānubhāvahetu ettako etaparimāṇo, bhagavā hitesitāyaṃ mettāhetu ettako etaparimāṇo, bhagavā karuṇāyaṃ karuṇāhetu ettako etaparimāṇo, bhagavā iddhiyaṃ iddhividhahetu ettako etaparimāṇoti avissajjanīyoti yojanā. Idaṃ ‘‘ettako’’tiādikaṃ suttaṃ avissajjanīye visaye vācakañāpakabhāvena pavattanato avissajjanīyaṃ nāma.
ภิกฺขเว, อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ตถาคตสฺส โลเก อุปฺปาทา อุปฺปาทเหตุ ติณฺณํ รตนานํ อุปฺปาโท สมฺภวติ, อายติํ พุทฺธรตนสฺส อุปฺปาโท สมฺภวติ, เอกสฺส พุทฺธรตนสฺส ธรมานกฺขเณน หิ อญฺญสฺส พุทฺธรตนสฺส อนุปฺปชฺชนโต อายตินฺติ วุตฺตํ, ธมฺมรตนสฺส อุปฺปาโท สมฺภวติ, สงฺฆรตนสฺส อุปฺปาโท สมฺภวตีติ ตีณิ รตนานิฯ ‘‘ตานิ ตีณิ รตนานิ คุณโต กิํปมาณานี’’ติ ปุจฺฉิเต สติ ตานิ ตีณิ รตนานิ คุณโต เอตปริมาณานีติ น วิสฺสชฺชิตพฺพานีติ โยชนาฯ อิทํ ‘‘ตถาคตสฺสา’’ติอาทิกํ สุตฺตํ อวิสฺสชฺชนีเย วิสเย วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต อวิสฺสชฺชนียํ นามฯ
Bhikkhave, arahato sammāsambuddhassa tathāgatassa loke uppādā uppādahetu tiṇṇaṃ ratanānaṃ uppādo sambhavati, āyatiṃ buddharatanassa uppādo sambhavati, ekassa buddharatanassa dharamānakkhaṇena hi aññassa buddharatanassa anuppajjanato āyatinti vuttaṃ, dhammaratanassa uppādo sambhavati, saṅgharatanassa uppādo sambhavatīti tīṇi ratanāni. ‘‘Tāni tīṇi ratanāni guṇato kiṃpamāṇānī’’ti pucchite sati tāni tīṇi ratanāni guṇato etaparimāṇānīti na vissajjitabbānīti yojanā. Idaṃ ‘‘tathāgatassā’’tiādikaṃ suttaṃ avissajjanīye visaye vācakañāpakabhāvena pavattanato avissajjanīyaṃ nāma.
พุทฺธวิสโย ปุคฺคลปโร ปุคฺคลปธาโน ปโญฺห อวิสฺสชฺชนีโย, พุทฺธวิสยาว ปุคฺคลปโรปรญฺญุตา อวิสฺสชฺชนียาฯ ภิกฺขเว, อวิชฺชานีวรณานํ สตฺตานํ ปุพฺพา โกฎิ น ปญฺญายติ ตณฺหาสํโยชนานํ, สกิํ นิรยํ สนฺธาวตํ สํสรตํ สตฺตานํ, สกิํ ติรจฺฉานโยนิํ สนฺธาวตํ สํสรตํ สตฺตานํ, สกิํ เปตฺติวิสยํ สนฺธาวตํ สํสรตํ สตฺตานํ, สกิํ อสุรโยนิํ สนฺธาวตํ สํสรตํ สตฺตานํ, สกิํ เทเว สนฺธาวตํ สํสรตํ สตฺตานํ, สกิํ มนุเสฺส สนฺธาวตํ สํสรตํ สตฺตานํ ปุพฺพา โกฎิ น ปญฺญายติ น ทิสฺสติ น อุปลพฺภตีติฯ ‘‘สา ปุพฺพา โกฎิ กตมา’’ติ เกนจิ กตํ ปุจฺฉนํ อวิสฺสชฺชนียํ สํสารสฺส ปุพฺพโกฎิยา อภาวโต อวิสฺสชฺชนียํ โหติฯ ‘‘น ปญฺญายตี’’ติ เทสนา สาวกานํ ญาณเวกเลฺลน กตา, น อตฺตโน ญาณเวกเลฺลนฯ ‘‘น ปญฺญายตี’’ติ เทสนา อตฺตโน เจว สาวกานญฺจ ญาณเวกเลฺลน กาตพฺพา สิยาติ โจทนํ มนสิ กตฺวา ‘‘ทุวิธา พุทฺธานํ ภควนฺตานํ เทสนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อตฺตา อุปเนตโพฺพ เอติสฺสา เทสนายาติ อตฺตูปนายิกาฯ ปโร อุปเนตโพฺพ เอติสฺสา เทสนายาติ ปรูปนายิกาฯ ‘‘กตมา อตฺตูปนายิกา เทสนา, กตมา ปรูปนายิกา เทสนา’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา นิยเมตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘น ปญฺญายตี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ‘‘น ปญฺญายตี’’ติ เทสนา สาวกานํ เนตพฺพานํ วเสน เทสิตตฺตา ปรูปนายิกา เทสนา นาม, ‘‘นตฺถิ พุทฺธานํ ภควนฺตานํ อวิชานนา’’ติ เทสนา อตฺตโน เนตพฺพสฺส วเสน เทสิตตฺตา อตฺตูปนายิกา เทสนา นามฯ ‘‘นตฺถิ พุทฺธานํ ภควนฺตานํ อวิชานนา’’ติ วุตฺตตฺตา ปุพฺพาย โกฎิยา อภาวโต เอว น ปญฺญายตีติ วิญฺญายติ, ภควโต ญาณสฺส ปญฺญาปนํ กาตุํ อสมตฺถตฺตา น ปญฺญายตีติ น วิญฺญายติ เตน อฎฺฐกถายํ ‘‘นตฺถิ พุทฺธานํ ภควนฺตานํ อวิชานนาติ เอเตน ปุริมาย โกฎิยา อภาวโต เอว น ปญฺญายติ, น ตตฺถ ญาณสฺส ปฎิฆาโตติ ทเสฺสตี’’ติ (เนตฺติ. อฎฺฐ. ๑๑๘) วุตฺตํฯ
Buddhavisayo puggalaparo puggalapadhāno pañho avissajjanīyo, buddhavisayāva puggalaparoparaññutā avissajjanīyā. Bhikkhave, avijjānīvaraṇānaṃ sattānaṃ pubbā koṭi na paññāyati taṇhāsaṃyojanānaṃ, sakiṃ nirayaṃ sandhāvataṃ saṃsarataṃ sattānaṃ, sakiṃ tiracchānayoniṃ sandhāvataṃ saṃsarataṃ sattānaṃ, sakiṃ pettivisayaṃ sandhāvataṃ saṃsarataṃ sattānaṃ, sakiṃ asurayoniṃ sandhāvataṃ saṃsarataṃ sattānaṃ, sakiṃ deve sandhāvataṃ saṃsarataṃ sattānaṃ, sakiṃ manusse sandhāvataṃ saṃsarataṃ sattānaṃ pubbā koṭi na paññāyati na dissati na upalabbhatīti. ‘‘Sā pubbā koṭi katamā’’ti kenaci kataṃ pucchanaṃ avissajjanīyaṃ saṃsārassa pubbakoṭiyā abhāvato avissajjanīyaṃ hoti. ‘‘Na paññāyatī’’ti desanā sāvakānaṃ ñāṇavekallena katā, na attano ñāṇavekallena. ‘‘Na paññāyatī’’ti desanā attano ceva sāvakānañca ñāṇavekallena kātabbā siyāti codanaṃ manasi katvā ‘‘duvidhā buddhānaṃ bhagavantānaṃ desanā’’tiādi vuttaṃ. Attā upanetabbo etissā desanāyāti attūpanāyikā. Paro upanetabbo etissā desanāyāti parūpanāyikā. ‘‘Katamā attūpanāyikā desanā, katamā parūpanāyikā desanā’’ti pucchitabbattā niyametvā dassetuṃ ‘‘na paññāyatī’’tiādi vuttaṃ. ‘‘Na paññāyatī’’ti desanā sāvakānaṃ netabbānaṃ vasena desitattā parūpanāyikā desanā nāma, ‘‘natthi buddhānaṃ bhagavantānaṃ avijānanā’’ti desanā attano netabbassa vasena desitattā attūpanāyikā desanā nāma. ‘‘Natthi buddhānaṃ bhagavantānaṃ avijānanā’’ti vuttattā pubbāya koṭiyā abhāvato eva na paññāyatīti viññāyati, bhagavato ñāṇassa paññāpanaṃ kātuṃ asamatthattā na paññāyatīti na viññāyati tena aṭṭhakathāyaṃ ‘‘natthi buddhānaṃ bhagavantānaṃ avijānanāti etena purimāya koṭiyā abhāvato eva na paññāyati, na tattha ñāṇassa paṭighātoti dassetī’’ti (netti. aṭṭha. 118) vuttaṃ.
‘‘กถํ ปน พุทฺธานํ ภควนฺตานํ อวิชานนาย นตฺถิภาโววิชานิตโพฺพ’’ติ วตฺตพฺพตฺตา อวิชานนาย นตฺถิภาวํ ชานาเปตุํ ‘‘ยถา ภควา โกกาลิกํ ภิกฺขุ’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ อฎฺฐกถายํ ปน – ‘‘ยํ ปน อตฺถิ, ตํ อเญฺญสํ อปฺปเมยฺยมฺปิ ภควโต น อปฺปเมยฺยนฺติ ภควโต สพฺพตฺถ อปฺปฎิหตญาณตํ ทเสฺสตุํ ‘ยถา ภควา โกกาลิกํ ภิกฺขุํ อารพฺภา’ติอาทิมาหา’’ติ วุตฺตํฯ ภควา โกกาลิกํ ภิกฺขุํ อารพฺภ ‘‘กีว ทีฆํ นุ โข, ภเนฺต, ปทุเม นิรเย อายุปฺปมาณ’’นฺติ ปญฺหํ ปุจฺฉิตฺวา นิสินฺนํ อญฺญตรํ ภิกฺขุํ ยถา เยน ปกาเรน ‘‘เสยฺยถาปิ…เป.… อาฆาเตตฺวา’’ติ เอวมาหฯ ตโต เตน ปกาเรน อวิชานนาย นตฺถิภาโว วิชานิตโพฺพติ อโตฺถ คเหตโพฺพฯ
‘‘Kathaṃ pana buddhānaṃ bhagavantānaṃ avijānanāya natthibhāvovijānitabbo’’ti vattabbattā avijānanāya natthibhāvaṃ jānāpetuṃ ‘‘yathā bhagavā kokālikaṃ bhikkhu’’ntiādi vuttaṃ. Aṭṭhakathāyaṃ pana – ‘‘yaṃ pana atthi, taṃ aññesaṃ appameyyampi bhagavato na appameyyanti bhagavato sabbattha appaṭihatañāṇataṃ dassetuṃ ‘yathā bhagavā kokālikaṃ bhikkhuṃ ārabbhā’tiādimāhā’’ti vuttaṃ. Bhagavā kokālikaṃ bhikkhuṃ ārabbha ‘‘kīva dīghaṃ nu kho, bhante, padume niraye āyuppamāṇa’’nti pañhaṃ pucchitvā nisinnaṃ aññataraṃ bhikkhuṃ yathā yena pakārena ‘‘seyyathāpi…pe… āghātetvā’’ti evamāha. Tato tena pakārena avijānanāya natthibhāvo vijānitabboti attho gahetabbo.
ภิกฺขุ, ตฺวํ สลฺลเกฺขหิ, โกกาลิโก วีสติขาริโก โกสลโก ติลวาโห ราสิํ กตฺวา ฐปิโต, ตโต ติลโต ปุริโส วสฺสสตสฺส วสฺสสตสฺส อจฺจเยน เอกเมกํ ติลํ อุทฺธเรยฺย, โส วีสติขาริโก โกสลโก ติลวาโห อิมินา อุทฺธรานุปกฺกเมน ขิปฺปตรํ ปริกฺขยํ ปริยาทานํ เสยฺยถาปิ คเจฺฉยฺย, เอโก อพฺพุโท นิรโย ปริกฺขยํ ปริยาทานํ น เตฺวว คเจฺฉยฺยฯ วีสติ อพฺพุทา นิรยา ตตฺตเก กาเล ปริกฺขยํ ปริยาทานํ เสยฺยถาปิ คเจฺฉยฺยุํ, เอวเมว เอโก นิรพฺพุโท นิรโย ตตฺตเก กาเล ปริกฺขยํ ปริยาทานํ น เตฺวว คเจฺฉยฺยฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ สาริปุตฺตโมคฺคลฺลาเนสุ จิตฺตํ อาฆาเตตฺวา ปทุมํ นิรยํ โกกาลิโก ภิกฺขุ อุปปโนฺน โข, ภิกฺขุ, ตฺวํ เอวํ สลฺลเกฺขหีติ ภควา อาหาติ โยชนาฯ ภควา ‘‘อยํ อปฺปเมโยฺย อยํ อสเงฺขฺยโยฺย’’ติ วา น กิญฺจิ อาหฯ ‘‘ตสฺมิํ อปฺปเมเยฺย กตโม อปฺปเมโยฺย, ตสฺมิํ อสเงฺขฺยเยฺย กตโม อสเงฺขฺยโยฺย’’ติ เกนจิ กตํ ปุจฺฉนํ พุทฺธวิสยตฺตา อวิสฺสชฺชนียํฯ อิทํ อปฺปเมยฺยอสเงฺขฺยยฺยสุตฺตํ วุตฺตนเยน อวิสฺสชฺชนียํฯ (๑๑)
Bhikkhu, tvaṃ sallakkhehi, kokāliko vīsatikhāriko kosalako tilavāho rāsiṃ katvā ṭhapito, tato tilato puriso vassasatassa vassasatassa accayena ekamekaṃ tilaṃ uddhareyya, so vīsatikhāriko kosalako tilavāho iminā uddharānupakkamena khippataraṃ parikkhayaṃ pariyādānaṃ seyyathāpi gaccheyya, eko abbudo nirayo parikkhayaṃ pariyādānaṃ na tveva gaccheyya. Vīsati abbudā nirayā tattake kāle parikkhayaṃ pariyādānaṃ seyyathāpi gaccheyyuṃ, evameva eko nirabbudo nirayo tattake kāle parikkhayaṃ pariyādānaṃ na tveva gaccheyya. Esa nayo sesesupi. Sāriputtamoggallānesu cittaṃ āghātetvā padumaṃ nirayaṃ kokāliko bhikkhu upapanno kho, bhikkhu, tvaṃ evaṃ sallakkhehīti bhagavā āhāti yojanā. Bhagavā ‘‘ayaṃ appameyyo ayaṃ asaṅkhyeyyo’’ti vā na kiñci āha. ‘‘Tasmiṃ appameyye katamo appameyyo, tasmiṃ asaṅkhyeyye katamo asaṅkhyeyyo’’ti kenaci kataṃ pucchanaṃ buddhavisayattā avissajjanīyaṃ. Idaṃ appameyyaasaṅkhyeyyasuttaṃ vuttanayena avissajjanīyaṃ. (11)
๑๑๙. ‘‘ยทา โส อุปโก’’ติอาทีสุ โยชนา ปากฎาฯ
119.‘‘Yadā so upako’’tiādīsu yojanā pākaṭā.
‘‘กถํ เกน ปกาเรน ชิโน’’ติ อุปเกน กตํ ปุจฺฉนํ ‘‘กิเลสปฺปหานปกาเรน ชิโน’’ติ วิสฺสชฺชนียตฺตา วิสฺสชฺชนียํฯ ‘‘เกน ปกาเรน ชิโน’’ติ อุปเกน กตํ ปุจฺฉนํ ‘‘ปาปกานํ ธมฺมานํ ชิตตฺตา ชิโน’’ติ วิสฺสชฺชนียตฺตา วิสฺสชฺชนียํฯ ‘‘กตโม ชิโน’’ติ กตํ ปุจฺฉนํ ‘‘รูปาทิโก ชิโน’’ติ วา ‘‘รูปาทิกํ มุญฺจิตฺวา อโญฺญ ชิโน’’ติ วา วิสฺสเชฺชตุํ อสกฺกุเณยฺยตฺตา อวิสฺสชฺชนียํฯ ‘‘กตโม อาสวกฺขโย, กตโม ราคกฺขโย, กตโม โทสกฺขโย, กตโม โมหกฺขโย’’ติ กตํ ปุจฺฉนํ ‘‘นิพฺพานํ อาสวกฺขโย’’ติ วา ‘‘อรหตฺตมโคฺค อาสวกฺขโย’’ติ วา ‘‘อรหตฺตผลํ ราคกฺขโย’’ติ วา อิติ เอวมาทินา วิสฺสชฺชนียตฺตา วิสฺสชฺชนียํฯ ‘‘กิตฺตโก อาสวกฺขโย, กิตฺตโก ราคกฺขโย, กิตฺตโก โทสกฺขโย, กิตฺตโก โมหกฺขโย’’ติ กตํ ปุจฺฉนํ ‘‘เอตฺตโก เอตปริมาโณ อาสวกฺขโย’’ติ เอวมาทินา อวิสฺสชฺชนียตฺตา อวิสฺสชฺชนียํฯ อิทํ วุตฺตปฺปการํ สุตฺตํ วุตฺตนเยน วิสฺสชฺชนียญฺจ อวิสฺสชฺชนียญฺจ โหติฯ (๑๒)
‘‘Kathaṃ kena pakārena jino’’ti upakena kataṃ pucchanaṃ ‘‘kilesappahānapakārena jino’’ti vissajjanīyattā vissajjanīyaṃ. ‘‘Kena pakārena jino’’ti upakena kataṃ pucchanaṃ ‘‘pāpakānaṃ dhammānaṃ jitattā jino’’ti vissajjanīyattā vissajjanīyaṃ. ‘‘Katamo jino’’ti kataṃ pucchanaṃ ‘‘rūpādiko jino’’ti vā ‘‘rūpādikaṃ muñcitvā añño jino’’ti vā vissajjetuṃ asakkuṇeyyattā avissajjanīyaṃ. ‘‘Katamo āsavakkhayo, katamo rāgakkhayo, katamo dosakkhayo, katamo mohakkhayo’’ti kataṃ pucchanaṃ ‘‘nibbānaṃ āsavakkhayo’’ti vā ‘‘arahattamaggo āsavakkhayo’’ti vā ‘‘arahattaphalaṃ rāgakkhayo’’ti vā iti evamādinā vissajjanīyattā vissajjanīyaṃ. ‘‘Kittako āsavakkhayo, kittako rāgakkhayo, kittako dosakkhayo, kittako mohakkhayo’’ti kataṃ pucchanaṃ ‘‘ettako etaparimāṇo āsavakkhayo’’ti evamādinā avissajjanīyattā avissajjanīyaṃ. Idaṃ vuttappakāraṃ suttaṃ vuttanayena vissajjanīyañca avissajjanīyañca hoti. (12)
‘‘ตถาคโต สโตฺต อตฺถี’’ติ ปุจฺฉนํ ‘‘ปญฺจกฺขเนฺธ อุปาทาย ปญฺญาเปตโพฺพ สตฺตภูโต อตฺถี’’ติ วิสฺสชฺชนียตฺตา วิสฺสชฺชนียํฯ ‘‘อตฺถิ รูป’’นฺติ กตํ ปุจฺฉนํ รูปสฺส วิสฺสชฺชมานตฺตา ‘‘อามนฺตา’’ติ วิสฺสชฺชนียตฺตา วิสฺสชฺชนียํ, ‘‘รูปํ ตถาคโต’’ติ กตํ ปุจฺฉนํ ตถาภาวโต อลพฺภนโต อวิสฺสชฺชนียตฺตา อวิสฺสชฺชนียํฯ ‘‘รูปวา ตถาคโต’’ติอาทีสุปิ เอส นโย ยถาสมฺภวํ โยเชตโพฺพฯ อิทํ วุตฺตปฺปการํ สุตฺตํ วุตฺตนเยน วิสฺสชฺชนียญฺจ อวิสฺสชฺชนียญฺจ โหติฯ
‘‘Tathāgato satto atthī’’ti pucchanaṃ ‘‘pañcakkhandhe upādāya paññāpetabbo sattabhūto atthī’’ti vissajjanīyattā vissajjanīyaṃ. ‘‘Atthi rūpa’’nti kataṃ pucchanaṃ rūpassa vissajjamānattā ‘‘āmantā’’ti vissajjanīyattā vissajjanīyaṃ, ‘‘rūpaṃ tathāgato’’ti kataṃ pucchanaṃ tathābhāvato alabbhanato avissajjanīyattā avissajjanīyaṃ. ‘‘Rūpavā tathāgato’’tiādīsupi esa nayo yathāsambhavaṃ yojetabbo. Idaṃ vuttappakāraṃ suttaṃ vuttanayena vissajjanīyañca avissajjanīyañca hoti.
‘‘ปสฺสติ ภควา ทิเพฺพน จกฺขุนา…เป.… ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานาตี’’ติ กตํ ปุจฺฉนํ ‘‘ปสฺสติ ภควา’’ติ วา…เป.… ‘‘ปชานาติ ภควา’’ติ วา วิสฺสชฺชนียตฺตา วิสฺสชฺชนียํฯ ‘‘กตเม สตฺตา, กตโม ตถาคโต’’ติ กตํ ปุจฺฉนํ ปรมตฺถโต อลพฺภนโต อวิสฺสชฺชนียตฺตา อวิสฺสชฺชนียํฯ
‘‘Passati bhagavā dibbena cakkhunā…pe… yathākammūpage satte pajānātī’’ti kataṃ pucchanaṃ ‘‘passati bhagavā’’ti vā…pe… ‘‘pajānāti bhagavā’’ti vā vissajjanīyattā vissajjanīyaṃ. ‘‘Katame sattā, katamo tathāgato’’ti kataṃ pucchanaṃ paramatthato alabbhanato avissajjanīyattā avissajjanīyaṃ.
‘‘อตฺถิ ตถาคโต’’ติ กตํ ปุจฺฉนํ เหฎฺฐา วุตฺตนเยน วิสฺสชฺชนียํฯ ‘‘อตฺถิ ตถาคโต ปรํ มรณา’’ติ กตํ ปุจฺฉนํ ‘‘อตฺถิ ตถาคโต ปรํ มรณา’’ติ วิสฺสชฺชมาเน สติ จ อิธโลโก เอว ปรโลโกติ อาปชฺชติ, ‘‘นตฺถิ ตถาคโต ปรํ มรณา’’ติ วิสฺสชฺชมาเน สติ จ อิธโลกโต อโญฺญ ปรโลโกติ อาปชฺชติ, ตสฺมา อวิสฺสชฺชนียตฺตา อวิสฺสชฺชนียํฯ อิทํ วุตฺตปฺปการํ สุตฺตํ วิสฺสชฺชนีเย วิสเย จ อวิสฺสชฺชนีเย วิสเย จ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต วิสฺสชฺชนียญฺจ อวิสฺสชฺชนียญฺจ โหติฯ
‘‘Atthitathāgato’’ti kataṃ pucchanaṃ heṭṭhā vuttanayena vissajjanīyaṃ. ‘‘Atthi tathāgato paraṃ maraṇā’’ti kataṃ pucchanaṃ ‘‘atthi tathāgato paraṃ maraṇā’’ti vissajjamāne sati ca idhaloko eva paralokoti āpajjati, ‘‘natthi tathāgato paraṃ maraṇā’’ti vissajjamāne sati ca idhalokato añño paralokoti āpajjati, tasmā avissajjanīyattā avissajjanīyaṃ. Idaṃ vuttappakāraṃ suttaṃ vissajjanīye visaye ca avissajjanīye visaye ca vācakañāpakabhāvena pavattanato vissajjanīyañca avissajjanīyañca hoti.
๑๒๐. นานาวิธํ วิสฺสชฺชนียาวิสฺสชฺชนียสุตฺตํ อาจริเยน นิทฺธาริตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘กตมํ สุตฺตํ กมฺม’’นฺติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ กตมํ กมฺม’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ
120. Nānāvidhaṃ vissajjanīyāvissajjanīyasuttaṃ ācariyena niddhāritaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘katamaṃ suttaṃ kamma’’nti pucchitabbattā ‘‘tattha katamaṃ kamma’’ntiādi vuttaṃ.
‘‘อนฺตเกนาธิปนฺนสฺสา’’ติอาทีสุ อโตฺถ เหฎฺฐา วุตฺตนยตฺตา ปากโฎ ‘‘มรเณนาภิภูตสฺส…เป.… ฉายาว อนปายินี’’ติ อิทํ สุตฺตํ ปุญฺญกมฺมปาปกมฺมทฺวเย วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต กมฺมํ นามฯ
‘‘Antakenādhipannassā’’tiādīsu attho heṭṭhā vuttanayattā pākaṭo ‘‘maraṇenābhibhūtassa…pe… chāyāva anapāyinī’’ti idaṃ suttaṃ puññakammapāpakammadvaye vācakañāpakabhāvena pavattanato kammaṃ nāma.
ภิกฺขเว, ตุเมฺห ปุน จปรํ กมฺมํ สลฺลเกฺขถฯ (อนุฎฺฐานคิลานํ) อนุฎฺฐานคิลานสฺส ปีฐสมารุฬฺหํ ปีฐสมารุฬฺหสฺส พาลํ พาลสฺส วา มญฺจสมารุฬฺหํ มญฺจสมารุฬฺหสฺส พาลํ พาลสฺส วา ฉมายํ ภูมิยํ เสมานํ เสมานสฺส สยนฺตสฺส พาลํ พาลสฺส วา กาเยน ทุจฺจริตานิ วาจาย ทุจฺจริตานิ มนสา ทุจฺจริตานิ ปาปกานิ ยานิ กมฺมานิ ปุเพฺพ ปุพฺพกาเล วา อตีเต อเนกกปฺปโกฎิสตสหเสฺส วา อสฺส พาเลน กตานิ, ตานิ ปาปกานิ กมฺมานิ ตมฺหิ ปีฐสมารุฬฺหาทิสมเย โอลมฺพนฺติ วิย อุปฎฺฐหนฺติ อโชฺฌลมฺพนฺติ วิย อุปฎฺฐหนฺติ อภิปฺปลมฺพนฺติ วิย อุปฎฺฐหนฺติฯ ภิกฺขเว , มหตํ มหนฺตานํ ปพฺพตกูฎานํ ฉายา สายนฺหสมยํ ปถวิยํ เสยฺยถาปิ โอลมฺพนฺติ อโชฺฌลมฺพนฺติ อภิปฺปลมฺพนฺติ ยถา, ภิกฺขเว, เอวเมว พาลํ…เป.… อภิปฺปลมฺพนฺติฯ ภิกฺขเว, ตตฺร ตสฺมิํ อุปฎฺฐานากาเร อุปฎฺฐานาการเหตุ พาลสฺส กตปาปสฺส เอวํ ปริวิตโกฺก โหติ ‘‘เม มยา กลฺยาณํ อกตํ วต, เม มยา กุสลํ อกตํ วต, ภีรุตฺตาณํ กตํ วต, เม มยา ปาปํ กตํ วต, เม มยา ลุทฺทํ กตํ วต, เม มยา กิพฺพิสํ กตํ วต, โภ อคิลาน สปฺปุริส อกตกลฺยาณานํ อกตกุสลานํ อกตภีรุตฺตาณานํ กตปาปานํ กตลุทฺทานํ กตกิพฺพิสานํ ยาวตา คติ ทุคฺคติ อตฺถิ, ตํ คติํ อหํ เปจฺจ คจฺฉามี’’ติ เอวํ ปริวิตโกฺก โหติฯ เอวํ วิตเกฺกโนฺต โส พาโล โสจติ กิลมติ ปริเทวติ, อุรตฺตาฬิํ กนฺทติ สโมฺมหํ อาปชฺชตีติ โยชนาฯ
Bhikkhave, tumhe puna caparaṃ kammaṃ sallakkhetha. (Anuṭṭhānagilānaṃ) anuṭṭhānagilānassa pīṭhasamāruḷhaṃ pīṭhasamāruḷhassa bālaṃ bālassa vā mañcasamāruḷhaṃ mañcasamāruḷhassa bālaṃ bālassa vā chamāyaṃ bhūmiyaṃ semānaṃ semānassa sayantassa bālaṃ bālassa vā kāyena duccaritāni vācāya duccaritāni manasā duccaritāni pāpakāni yāni kammāni pubbe pubbakāle vā atīte anekakappakoṭisatasahasse vā assa bālena katāni, tāni pāpakāni kammāni tamhi pīṭhasamāruḷhādisamaye olambanti viya upaṭṭhahanti ajjholambanti viya upaṭṭhahanti abhippalambanti viya upaṭṭhahanti. Bhikkhave , mahataṃ mahantānaṃ pabbatakūṭānaṃ chāyā sāyanhasamayaṃ pathaviyaṃ seyyathāpi olambanti ajjholambanti abhippalambanti yathā, bhikkhave, evameva bālaṃ…pe… abhippalambanti. Bhikkhave, tatra tasmiṃ upaṭṭhānākāre upaṭṭhānākārahetu bālassa katapāpassa evaṃ parivitakko hoti ‘‘me mayā kalyāṇaṃ akataṃ vata, me mayā kusalaṃ akataṃ vata, bhīruttāṇaṃ kataṃ vata, me mayā pāpaṃ kataṃ vata, me mayā luddaṃ kataṃ vata, me mayā kibbisaṃ kataṃ vata, bho agilāna sappurisa akatakalyāṇānaṃ akatakusalānaṃ akatabhīruttāṇānaṃ katapāpānaṃ kataluddānaṃ katakibbisānaṃ yāvatā gati duggati atthi, taṃ gatiṃ ahaṃ pecca gacchāmī’’ti evaṃ parivitakko hoti. Evaṃ vitakkento so bālo socati kilamati paridevati, urattāḷiṃ kandati sammohaṃ āpajjatīti yojanā.
ปพฺพตกูฎานํ ฉายา นาม สูริยุคฺคมนกาเลปิ ปถวิยา โอลมฺพนฺตีปิ ฉายา หายนวเสน โอลมฺพนฺติฯ สายนฺหสมยํ ปน ฉายา วฑฺฒนวเสน โอลมฺพนฺติ, ตเถว กมฺมานิปิ ตสฺมิํ กาเล วฑฺฒนวเสน อุปฎฺฐหนฺติ, ตสฺมา ตเมว วฑฺฒนุปฎฺฐานํ สนฺธาย ‘‘สายนฺหสมย’’นฺติ วุตฺตํฯ สุกฺกปเกฺขปิ โยชนา กณฺหปเกฺข โยชนานุสาเรน กาตพฺพาฯ อิทํ ‘‘ปุน จปร’’นฺติอาทิกํ สุตฺตทฺวยํ กุสลกมฺมอกุสลกเมฺมสุ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต กมฺมํ นามฯ
Pabbatakūṭānaṃ chāyā nāma sūriyuggamanakālepi pathaviyā olambantīpi chāyā hāyanavasena olambanti. Sāyanhasamayaṃ pana chāyā vaḍḍhanavasena olambanti, tatheva kammānipi tasmiṃ kāle vaḍḍhanavasena upaṭṭhahanti, tasmā tameva vaḍḍhanupaṭṭhānaṃ sandhāya ‘‘sāyanhasamaya’’nti vuttaṃ. Sukkapakkhepi yojanā kaṇhapakkhe yojanānusārena kātabbā. Idaṃ ‘‘puna capara’’ntiādikaṃ suttadvayaṃ kusalakammaakusalakammesu vācakañāpakabhāvena pavattanato kammaṃ nāma.
นานาวิธํ กมฺมํ อาจริเยน นิทฺธาริตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘กตโม วิปาโก’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ตตฺถ กตโม วิปาโก’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ เตสุ อฎฺฐวีสติวิเธสุ โลกิยาทีสุ สาสนปฎฺฐาเนสุ กตโม วิปาโกติ ปุจฺฉติฯ ภิกฺขเว, โว ตุเมฺหหิ เย มนุสฺสตฺตสทฺธาปฎิลาภาทโย ปฎิลทฺธา, เต มนุสฺสตฺตสทฺธาปฎิลาภาทโย โว ตุมฺหากํ ลาภา ภวนฺติฯ ตุเมฺหหิ ปพฺพชิตฺวา ยํ จตุปาริสุทฺธิสีลาทิสมฺปาทนํ ลทฺธํ, ตํ จตุปาริสุทฺธิสีลาทิสมฺปาทนํ โว ตุมฺหากํ สุลทฺธํ ภวติฯ ภิกฺขเว, โย พุทฺธุปฺปาโท นวโม ขโณ ตุเมฺหหิ ลโทฺธ, โส พุทฺธุปฺปาโท นวโม ขโณ โว ตุมฺหากํ พฺรหฺมจริยวาสาย ปฎิลโทฺธ ภวติฯ
Nānāvidhaṃ kammaṃ ācariyena niddhāritaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘katamo vipāko’’ti pucchitabbattā tattha katamo vipāko’’tiādi vuttaṃ. Tattha tesu aṭṭhavīsatividhesu lokiyādīsu sāsanapaṭṭhānesu katamo vipākoti pucchati. Bhikkhave, vo tumhehi ye manussattasaddhāpaṭilābhādayo paṭiladdhā, te manussattasaddhāpaṭilābhādayo vo tumhākaṃ lābhā bhavanti. Tumhehi pabbajitvā yaṃ catupārisuddhisīlādisampādanaṃ laddhaṃ, taṃ catupārisuddhisīlādisampādanaṃ vo tumhākaṃ suladdhaṃ bhavati. Bhikkhave, yo buddhuppādo navamo khaṇo tumhehi laddho, so buddhuppādo navamo khaṇo vo tumhākaṃ brahmacariyavāsāya paṭiladdho bhavati.
ภิกฺขเว, มยา ฉผสฺสายตนิกา นาม นิรยา ทิฎฺฐา, ตตฺถ เตสุ ทิเฎฺฐสุ ฉผสฺสายตนิเกสุ นาม นิรเยสุ ยํ กิญฺจิ รูปํ จกฺขุนา ปสฺสติ, ตํ อนิฎฺฐรูปํเยว ปสฺสติ, โน อิฎฺฐรูปํฯ อกนฺตรูปํเยว ปสฺสติ, โน กนฺตรูปํฯ อมนาปรูปํเยว ปสฺสติ, โน มนาปรูปํฯ
Bhikkhave, mayā chaphassāyatanikā nāma nirayā diṭṭhā, tattha tesu diṭṭhesu chaphassāyatanikesu nāma nirayesu yaṃ kiñci rūpaṃ cakkhunā passati, taṃ aniṭṭharūpaṃyeva passati, no iṭṭharūpaṃ. Akantarūpaṃyeva passati, no kantarūpaṃ. Amanāparūpaṃyeva passati, no manāparūpaṃ.
ยํ กิญฺจิ สทฺทํ โสเตน…เป.… ฆาเนน…เป.… ชิวฺหาย…เป.… กาเยน…เป.… ยํ กิญฺจิ ธมฺมํ มนสา วิชานาติ, ตํ อนิฎฺฐธมฺมํเยว วิชานาติ, โน อิฎฺฐธมฺมํฯ อกนฺตธมฺมํเยว วิชานาติ, โน กนฺตธมฺมํฯ อมนาปธมฺมํเยว วิชานาติ, โน มนาปธมฺมนฺติ ปาโฐ ยุโตฺตฯ ‘‘อนิฎฺฐรูปํเยว วิชานาติ, โน อิฎฺฐรูป’’นฺติอาทิปาโฐ อยุโตฺต, กตฺถจิ ปาฬิยํ อยุตฺตปาโฐ ทิโฎฺฐฯ สุกฺกปเกฺข วุตฺตนยวิปริยาเยน โยชนา กาตพฺพาฯ อยํ วุตฺตปฺปการา ‘‘ลาภา โว, ภิกฺขเว’’ติอาทิโก ปาโฐ วิปาเก วาจกญาปกภาเวเนว ปวตฺตนโต วิปาโก นามฯ
Yaṃ kiñci saddaṃ sotena…pe… ghānena…pe… jivhāya…pe… kāyena…pe… yaṃ kiñci dhammaṃ manasā vijānāti, taṃ aniṭṭhadhammaṃyeva vijānāti, no iṭṭhadhammaṃ. Akantadhammaṃyeva vijānāti, no kantadhammaṃ. Amanāpadhammaṃyeva vijānāti, no manāpadhammanti pāṭho yutto. ‘‘Aniṭṭharūpaṃyeva vijānāti, no iṭṭharūpa’’ntiādipāṭho ayutto, katthaci pāḷiyaṃ ayuttapāṭho diṭṭho. Sukkapakkhe vuttanayavipariyāyena yojanā kātabbā. Ayaṃ vuttappakārā ‘‘lābhā vo, bhikkhave’’tiādiko pāṭho vipāke vācakañāpakabhāveneva pavattanato vipāko nāma.
มาริสา นิรเย ปจฺจมานานํ อมฺหากํ สพฺพโส นิมุชฺชนอุมฺมุชฺชนวเสน สฎฺฐิวสฺสสหสฺสานิ ปริปุณฺณานิ, นิรยสฺส อโนฺต ปริโยสานํ กทา กสฺมิํ กาเล ภวิสฺสติฯ
Mārisā niraye paccamānānaṃ amhākaṃ sabbaso nimujjanaummujjanavasena saṭṭhivassasahassāni paripuṇṇāni, nirayassa anto pariyosānaṃ kadā kasmiṃ kāle bhavissati.
นิรยสฺส อโนฺต ปริโยสานํ นตฺถิฯ นิรยสฺส อโนฺต ปริโยสานํ กุโต อตฺถิ? นิรยสฺส อโนฺต ปริโยสานํ อมฺหากํ น ปฎิทิสฺสติฯ มาริสา, ยทา ตุเมฺห จ อหญฺจ เสฎฺฐิปุตฺตา ชาตา, ตทา ตุยฺหํ ตุมฺหากญฺจ มยฺหํ มม จ ปาปํ หิ ยสฺมา ปกตํ ปกาเรหิ กตํ, ตสฺมา นิรยสฺส อโนฺต ปริโยสานํ อมฺหากํ น ทิสฺสตีติ อยํ ปาโฐ วิปาเก วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต วิปาโก นามฯ (๑๓)
Nirayassa anto pariyosānaṃ natthi. Nirayassa anto pariyosānaṃ kuto atthi? Nirayassa anto pariyosānaṃ amhākaṃ na paṭidissati. Mārisā, yadā tumhe ca ahañca seṭṭhiputtā jātā, tadā tuyhaṃ tumhākañca mayhaṃ mama ca pāpaṃ hi yasmā pakataṃ pakārehi kataṃ, tasmā nirayassa anto pariyosānaṃ amhākaṃ na dissatīti ayaṃ pāṭho vipāke vācakañāpakabhāvena pavattanato vipāko nāma. (13)
๑๒๑. อธมฺมจารี นโร กุสลธเมฺมสุ ปมโตฺต หิ ยสฺมา โหติ, ตสฺมา โส อธมฺมจารี ปมโตฺต นโร ยหิํ ยหิํ ยํ ยํ ทุคฺคติํ คจฺฉติ, ตํ ตํ คจฺฉนฺตํ อธมฺมจาริํ นํ นรํ อตฺตนา จริโต โส ธโมฺมว หนติฯ กิมิว หนติ? สยํ อตฺตนา คหิโต กณฺหสโปฺป คณฺหนฺตํ ชนํ หนติ ยถา, เอวํ อตฺตนา จริโต อธโมฺม อธมฺมจาริํ นํ หนติฯ ‘‘น หิ ธโมฺม อธโมฺม จา’’ติอาทิคาถาย อโตฺถ ปากโฎฯ อิทํ สุตฺตทฺวยํ กเมฺม จ วิปาเก จ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต กมฺมญฺจ วิปาโก จ โหติฯ
121. Adhammacārī naro kusaladhammesu pamatto hi yasmā hoti, tasmā so adhammacārī pamatto naro yahiṃ yahiṃ yaṃ yaṃ duggatiṃ gacchati, taṃ taṃ gacchantaṃ adhammacāriṃ naṃ naraṃ attanā carito so dhammova hanati. Kimiva hanati? Sayaṃ attanā gahito kaṇhasappo gaṇhantaṃ janaṃ hanati yathā, evaṃ attanā carito adhammo adhammacāriṃ naṃ hanati. ‘‘Na hi dhammo adhammo cā’’tiādigāthāya attho pākaṭo. Idaṃ suttadvayaṃ kamme ca vipāke ca vācakañāpakabhāvena pavattanato kammañca vipāko ca hoti.
ภิกฺขเว, ตุเมฺห ปุญฺญานํ มา ภายิตฺถ; ภิกฺขเว, ยทิทํ ยํ อิทํ ‘‘ปุญฺญานี’’ติ อธิวจนํ ปวตฺตํ; เอตํ ‘‘ปุญฺญานี’’ติ อธิวจนํ อิฎฺฐสฺส กนฺตสฺส ปิยสฺส มนาปสฺส สุขสฺส สุขวิปากชนกสฺส กมฺมสฺส อธิวจนํ โหติฯ ภิกฺขเว, อหํ ทีฆรตฺตํ กตานํ ปุญฺญานํ ทีฆรตฺตํ ปจฺจนุภูตํ อิฎฺฐํ กนฺตํ ปิยํ มนาปํ อภิชานามิ โขฯ ‘‘กถํ อภิชานามี’’ติ เจ ปุเจฺฉยฺย , ปุเพฺพ สตฺต วสฺสานิ เมตฺตจิตฺตํ เมตฺตาย สหิตํ ทุติยชฺฌานจิตฺตํ ภาเวตฺวา สตฺต สํวฎฺฎวิวฎฺฎกเปฺป อิมํ โลกํ มนุสฺสโลกํ ปุน น อาคมาสิํฯ สตฺต สํวฎฺฎวิวฎฺฎกเปฺปติ เจตฺถ สํวฎฺฎคฺคหเณน สํวฎฺฎฎฺฐายี, วิวฎฺฎคฺคหเณน วิวฎฺฎฎฺฐายีปิ คหิตาติ เวทิตพฺพาฯ เสเสสุปิ เอวเมว คเหตโพฺพฯ ภิกฺขเว, สํวฎฺฎมาเน กเปฺป อหํ อาภสฺสรูปโค โหมิ, วิวฎฺฎกเปฺป สุญฺญํ พฺรหฺมวิมานํ อุปปชฺชามิฯ ภิกฺขเว, ตตฺร พฺรหฺมวิมาเน ตตฺร อุปปชฺชมาเน อุปปชฺชมานเหตุ อหํ พฺรหฺมา โหมิ, อเญฺญ มหานุภาเวน อภิภวนโต อภิภู, อเญฺญหิ อนภิภวนโต อนภิภูโต มหาพฺรหฺมา โหมิ, อญฺญทตฺถุ เอกํเสน ทโส อหํ วสวตฺตี โหมิฯ
Bhikkhave, tumhe puññānaṃ mā bhāyittha; bhikkhave, yadidaṃ yaṃ idaṃ ‘‘puññānī’’ti adhivacanaṃ pavattaṃ; etaṃ ‘‘puññānī’’ti adhivacanaṃ iṭṭhassa kantassa piyassa manāpassa sukhassa sukhavipākajanakassa kammassa adhivacanaṃ hoti. Bhikkhave, ahaṃ dīgharattaṃ katānaṃ puññānaṃ dīgharattaṃ paccanubhūtaṃ iṭṭhaṃ kantaṃ piyaṃ manāpaṃ abhijānāmi kho. ‘‘Kathaṃ abhijānāmī’’ti ce puccheyya , pubbe satta vassāni mettacittaṃ mettāya sahitaṃ dutiyajjhānacittaṃ bhāvetvā satta saṃvaṭṭavivaṭṭakappe imaṃ lokaṃ manussalokaṃ puna na āgamāsiṃ. Satta saṃvaṭṭavivaṭṭakappeti cettha saṃvaṭṭaggahaṇena saṃvaṭṭaṭṭhāyī, vivaṭṭaggahaṇena vivaṭṭaṭṭhāyīpi gahitāti veditabbā. Sesesupi evameva gahetabbo. Bhikkhave, saṃvaṭṭamāne kappe ahaṃ ābhassarūpago homi, vivaṭṭakappe suññaṃ brahmavimānaṃ upapajjāmi. Bhikkhave, tatra brahmavimāne tatra upapajjamāne upapajjamānahetu ahaṃ brahmā homi, aññe mahānubhāvena abhibhavanato abhibhū, aññehi anabhibhavanato anabhibhūto mahābrahmā homi, aññadatthu ekaṃsena daso ahaṃ vasavattī homi.
ภิกฺขเว, อหํ เทวานมิโนฺท สโกฺก ฉตฺติํสกฺขตฺตุํ อโหสิํ โข, ธมฺมิโก ธมฺมราชา จาตุรโนฺต วิชิตาวี ชนปทตฺถาวริยปฺปโตฺต จกฺกรตนาทิสตฺตรตนสมนฺนาคโต จกฺกวตฺติราชา อเนกสตกฺขตฺตุํ อโหสิํ, ปเทสรชฺชสฺส ราชภาเว โก ปน วาโทฯ
Bhikkhave, ahaṃ devānamindo sakko chattiṃsakkhattuṃ ahosiṃ kho, dhammiko dhammarājā cāturanto vijitāvī janapadatthāvariyappatto cakkaratanādisattaratanasamannāgato cakkavattirājā anekasatakkhattuṃ ahosiṃ, padesarajjassa rājabhāve ko pana vādo.
ภิกฺขเว, ตสฺส จกฺกวตฺติราชภูตสฺส มยฺหํ เอตํ ปริวิตกฺกนํ อโหสิ ‘‘เยน ผเลน เยน วิปาเกน อหํ เอตรหิ เอวํมหิทฺธิโก เอวํมหานุภาโว อมฺหิ, ตํ อิทํ ผลํ กิสฺส กมฺมสฺส ผลํ นุ โข, โส อยํ วิปาโก กิสฺส กมฺมสฺส วิปาโก นุ โข’’ติ เอตํ ปริวิตกฺกนํ อโหสิฯ ภิกฺขเว, ตสฺส วิตเกฺกนฺตสฺส มยฺหํ เอตํ ปริวิตกฺกนํ อโหสิ ‘‘เยน ผเลน เยน วิปาเกน อหํ เอตรหิ เอวํมหิทฺธิโก เอวํมหานุภาโว อมฺหิ, เม ปวตฺตํ ตํ อิทํ ผลํ ติณฺณํ กมฺมานํ ผลํ โข, โส อยํ วิปาโก ติณฺณํ กมฺมานํ วิปาโก โข, เสยฺยถิทํ กตเมสํ ติณฺณํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก? ทานสฺส ทมสฺส สํยมสฺสาติ ติณฺณํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก’’ติ เอตํ ปริวิตกฺกนํ อโหสีติ อโวจาติ โยชนาฯ
Bhikkhave, tassa cakkavattirājabhūtassa mayhaṃ etaṃ parivitakkanaṃ ahosi ‘‘yena phalena yena vipākena ahaṃ etarahi evaṃmahiddhiko evaṃmahānubhāvo amhi, taṃ idaṃ phalaṃ kissa kammassa phalaṃ nu kho, so ayaṃ vipāko kissa kammassa vipāko nu kho’’ti etaṃ parivitakkanaṃ ahosi. Bhikkhave, tassa vitakkentassa mayhaṃ etaṃ parivitakkanaṃ ahosi ‘‘yena phalena yena vipākena ahaṃ etarahi evaṃmahiddhiko evaṃmahānubhāvo amhi, me pavattaṃ taṃ idaṃ phalaṃ tiṇṇaṃ kammānaṃ phalaṃ kho, so ayaṃ vipāko tiṇṇaṃ kammānaṃ vipāko kho, seyyathidaṃ katamesaṃ tiṇṇaṃ kammānaṃ phalaṃ vipāko? Dānassa damassa saṃyamassāti tiṇṇaṃ kammānaṃ phalaṃ vipāko’’ti etaṃ parivitakkanaṃ ahosīti avocāti yojanā.
ตตฺถ ตสฺมิํ ‘‘มา, ภิกฺขเว, ปุญฺญานํ ภายิตฺถา’’ติอาทิเก สุเตฺต ยญฺจ ทานํ, โย จ ทโม, โย จ สํยโม อตฺถิ, อิทํ ทานาทิตฺตยํ กมฺมํ, ตํวาจกญาปกํ สุตฺตมฺปิ กมฺมํ นามฯ ตปฺปจฺจโย ตํกมฺมปจฺจโย ปจฺจยุปฺปนฺนภูโต ปจฺจนุภูโต โย วิปาโก อตฺถิ, เอตํ วิปาเก ผลมฺปิ ปกฺขิปิตพฺพํ, อยํ วิปาโก ตํวาจกญาปโก ปาโฐปิ วิปาโก นามฯ จูฬกมฺมวิภโงฺค จูฬกมฺมวิปากปุถุตฺตวิภาโค ตถา วตฺตโพฺพฯ
Tattha tasmiṃ ‘‘mā, bhikkhave, puññānaṃ bhāyitthā’’tiādike sutte yañca dānaṃ, yo ca damo, yo ca saṃyamo atthi, idaṃ dānādittayaṃ kammaṃ, taṃvācakañāpakaṃ suttampi kammaṃ nāma. Tappaccayo taṃkammapaccayo paccayuppannabhūto paccanubhūto yo vipāko atthi, etaṃ vipāke phalampi pakkhipitabbaṃ, ayaṃ vipāko taṃvācakañāpako pāṭhopi vipāko nāma. Cūḷakammavibhaṅgo cūḷakammavipākaputhuttavibhāgo tathā vattabbo.
โตเทยฺยปุตฺตสฺส สุภสฺส มาณวสฺส ยํ สุตฺตํ ภควตา เทสิตํ, ตตฺถ สุเตฺต วุตฺตา เย ปาณาติปาตาทโย ธมฺมา อปฺปายุกทีฆายุกตาย สํวตฺตนฺติ, เย หิํสนาทโย ธมฺมา พหฺวาพาธอปฺปาพาธตาย สํวตฺตนฺติ, เย อุสูยนาทโย ธมฺมา อเปฺปสกฺขมเหสกฺขตาย สํวตฺตนฺติ, เย โกธาทโย ธมฺมา ทุพฺพณฺณสุวณฺณตาย สํวตฺตนฺติ, เย อคารวาทโย ธมฺมา นีจกุลิกอุจฺจกุลิกตาย สํวตฺตนฺติ, เย มเจฺฉราทโย ธมฺมา อปฺปโภคมหาโภคตาย สํวตฺตนฺติ, เย อสลฺลกฺขณาทโย ธมฺมา ทุปฺปญฺญปญฺญวนฺตตาย สํวตฺตนฺติฯ อิทํ ปาณาติปาตสตฺตยุคํ กมฺมํ, ตํวาจกญาปกํ สุตฺตมฺปิ กมฺมํ นามฯ ตตฺถ สุภสุเตฺต ยา อปฺปายุกทีฆายุกตา วุตฺตา…เป.… ยา ทุปฺปญฺญปญฺญวนฺตตา วุตฺตา, โส อยํ อปฺปายุกทีฆายุกตาทิโก วิปาโก, ตํวาจกญาปกปาโฐปิ วิปาโกฯ อิทํ สุภสุตฺตํ กุสลากุสลกเมฺม เจว วิปาเก จ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต กมฺมญฺจ วิปาโก จ โหติฯ (๑๔)
Todeyyaputtassa subhassa māṇavassa yaṃ suttaṃ bhagavatā desitaṃ, tattha sutte vuttā ye pāṇātipātādayo dhammā appāyukadīghāyukatāya saṃvattanti, ye hiṃsanādayo dhammā bahvābādhaappābādhatāya saṃvattanti, ye usūyanādayo dhammā appesakkhamahesakkhatāya saṃvattanti, ye kodhādayo dhammā dubbaṇṇasuvaṇṇatāya saṃvattanti, ye agāravādayo dhammā nīcakulikauccakulikatāya saṃvattanti, ye maccherādayo dhammā appabhogamahābhogatāya saṃvattanti, ye asallakkhaṇādayo dhammā duppaññapaññavantatāya saṃvattanti. Idaṃ pāṇātipātasattayugaṃ kammaṃ, taṃvācakañāpakaṃ suttampi kammaṃ nāma. Tattha subhasutte yā appāyukadīghāyukatā vuttā…pe… yā duppaññapaññavantatā vuttā, so ayaṃ appāyukadīghāyukatādiko vipāko, taṃvācakañāpakapāṭhopi vipāko. Idaṃ subhasuttaṃ kusalākusalakamme ceva vipāke ca vācakañāpakabhāvena pavattanato kammañca vipāko ca hoti. (14)
๑๒๒. โย ปุคฺคโล วจีทุจฺจริตปริวชฺชเนน วาจานุรกฺขี ภเวยฺย, อภิชฺฌาทิอนุปฺปาทเนน มนสา สํวุโต ภเวยฺย, ปาณาติปาตาทิปชหเนน กาเยน อกุสลํ น กยิรา, อิติ ตโย เอเต กมฺมปเถ วิโสธเย, โส ปุคฺคโล อิสิปฺปเวทิตํ มคฺคํ อริยํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ อาราธเย อาราธเยยฺยาติ โยชนาฯ อิทํ ‘‘วาจานุรกฺขี’’ติอาทิกํ สุตฺตํ กุสเล วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต กุสลํ นามฯ
122. Yo puggalo vacīduccaritaparivajjanena vācānurakkhī bhaveyya, abhijjhādianuppādanena manasā saṃvuto bhaveyya, pāṇātipātādipajahanena kāyena akusalaṃ na kayirā, iti tayo ete kammapathe visodhaye, so puggalo isippaveditaṃ maggaṃ ariyaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ ārādhaye ārādhayeyyāti yojanā. Idaṃ ‘‘vācānurakkhī’’tiādikaṃ suttaṃ kusale vācakañāpakabhāvena pavattanato kusalaṃ nāma.
ยสฺส ปุคฺคลสฺส กาเยน ทุกฺกฎํ ทุคฺคติสํวตฺตนิยกมฺมํ นตฺถิ, วาจาย ทุกฺกฎกมฺมํ นตฺถิ, มนสา ทุกฺกฎกมฺมํ นตฺถิ, ตีหิ ฐาเนหิ อุปฺปชฺชนฎฺฐาเนหิ สํวุตํ ตํ ปุคฺคลํ ‘‘พฺราหฺมณ’’นฺติ อหํ วทามีติ โยชนาฯ อิทํ คาถาวจนํ วุตฺตนเยน กุสลํ นามฯ
Yassa puggalassa kāyena dukkaṭaṃ duggatisaṃvattaniyakammaṃ natthi, vācāya dukkaṭakammaṃ natthi, manasā dukkaṭakammaṃ natthi, tīhi ṭhānehi uppajjanaṭṭhānehi saṃvutaṃ taṃ puggalaṃ ‘‘brāhmaṇa’’nti ahaṃ vadāmīti yojanā. Idaṃ gāthāvacanaṃ vuttanayena kusalaṃ nāma.
‘‘ตีณิมานิ, ภิกฺขเว…เป.… กุสลมูลานี’’ติ อิทํ วจนํ วุตฺตนเยน กุสลํฯ ภิกฺขเว, กุสลานํ ธมฺมานํ สมาปตฺติยา วิชฺชา ปุพฺพงฺคมา โหติ, หิรี จ โอตฺตปฺปญฺจ อนุเทวาติ โยชนาฯ อิทํ วจนํ วุตฺตนเยน กุสลํ นามฯ
‘‘Tīṇimāni, bhikkhave…pe… kusalamūlānī’’ti idaṃ vacanaṃ vuttanayena kusalaṃ. Bhikkhave, kusalānaṃ dhammānaṃ samāpattiyā vijjā pubbaṅgamā hoti, hirī ca ottappañca anudevāti yojanā. Idaṃ vacanaṃ vuttanayena kusalaṃ nāma.
มาลุวา สาลํ รุกฺขํ โอนตํ ภูมิยํ ปตนํ กโรติ อิว, ตถา ยสฺส ชนสฺส อจฺจนฺตํ ทฺวีสุ ตีสุ ภเวสุ ทุสฺสีลฺยํ อตฺถิ, โส ชโน อตฺตานํ โอนตํ อปาเยสุ ปากฎํ กโรติฯ อนตฺถกาโม ชโน ยถา อนตฺถํ อิจฺฉติ, ตถา อนตฺถํ กโรติ ยถา, ตถา อีทิโส ทุสฺสีโล นํ อตฺตานํ อนตฺถํ กโรตีติ โยชนาฯ อิทํ ‘‘ยสฺสา’’ติอาทิกํ วจนํ วุตฺตนเยน อกุสลํฯ
Māluvā sālaṃ rukkhaṃ onataṃ bhūmiyaṃ patanaṃ karoti iva, tathā yassa janassa accantaṃ dvīsu tīsu bhavesu dussīlyaṃ atthi, so jano attānaṃ onataṃ apāyesu pākaṭaṃ karoti. Anatthakāmo jano yathā anatthaṃ icchati, tathā anatthaṃ karoti yathā, tathā īdiso dussīlo naṃ attānaṃ anatthaṃ karotīti yojanā. Idaṃ ‘‘yassā’’tiādikaṃ vacanaṃ vuttanayena akusalaṃ.
อสฺมมยํ อสฺมสงฺขาตํ ปาสาณมณิมยํ วชิรํ วชิรสฺส อุฎฺฐานสงฺขาตํ ปาสาณมณิํ อภิมตฺถติ วิธํเสติ อิว, ตถา อตฺตนา หิ สยเมว กตํ อตฺตชํ อตฺตสมฺภวํ ปาปํ ทุเมฺมธํ ปาปํ กโรนฺตํ ชนํ อภิมตฺถตีติ โยชนาฯ อิทํ ‘‘อตฺตนา หี’’ติอาทิกํ วจนํ วุตฺตนเยน อกุสลํฯ
Asmamayaṃ asmasaṅkhātaṃ pāsāṇamaṇimayaṃ vajiraṃ vajirassa uṭṭhānasaṅkhātaṃ pāsāṇamaṇiṃ abhimatthati vidhaṃseti iva, tathā attanā hi sayameva kataṃ attajaṃ attasambhavaṃ pāpaṃ dummedhaṃ pāpaṃ karontaṃ janaṃ abhimatthatīti yojanā. Idaṃ ‘‘attanā hī’’tiādikaṃ vacanaṃ vuttanayena akusalaṃ.
เทวเต กุสเลหิ วิวชฺชิตา อกุสลา ทส กมฺมปเถ นิเสวิย กตฺวา ครหา คารยฺหา ภวนฺติ, พาลมตี มนฺทพุทฺธิโน นิรเยสุ ปจฺจเรติ โยชนาฯ อิทํ ‘‘ทส กมฺมปเถ’’ติอาทิกํ สุตฺตํ วุตฺตนเยน อกุสลํฯ
Devate kusalehi vivajjitā akusalā dasa kammapathe niseviya katvā garahā gārayhā bhavanti, bālamatī mandabuddhino nirayesu paccareti yojanā. Idaṃ ‘‘dasa kammapathe’’tiādikaṃ suttaṃ vuttanayena akusalaṃ.
‘‘ตีณิมานิ, ภิกฺขเว…เป.… อกุสลมูลานี’’ติ อิทํ วจนํ วุตฺตนเยน อกุสลํฯ (๑๕)
‘‘Tīṇimāni, bhikkhave…pe… akusalamūlānī’’ti idaṃ vacanaṃ vuttanayena akusalaṃ. (15)
ยาทิสํ ยํ พีชํ วปเต, ตํ พีชํ ตาทิสํ ผลํ หรเต อิว, ตถา กลฺยาณการี ปณฺฑิโต กลฺยาณํ ผลํ หรเต, ปาปการี พาโล จ ปาปกํ ผลํ หรเตติ โยชนาฯ ตตฺถ ‘‘ยาทิส’’นฺติอาทิเก สุเตฺต ‘‘กลฺยาณการี กลฺยาณ’’นฺติ ยํ วจนํ อาห, อิทํ วจนํ กุสลํฯ ‘‘ปาปการี จ ปาปก’’นฺติ ยํ วจนํ อาห, อิทํ วจนํ อกุสลํฯ อิทํ ทฺวิวจนํ วุตฺตนเยน กุสลญฺจ อกุสลญฺจ โหติฯ
Yādisaṃ yaṃ bījaṃ vapate, taṃ bījaṃ tādisaṃ phalaṃ harate iva, tathā kalyāṇakārī paṇḍito kalyāṇaṃ phalaṃ harate, pāpakārī bālo ca pāpakaṃ phalaṃ harateti yojanā. Tattha ‘‘yādisa’’ntiādike sutte ‘‘kalyāṇakārī kalyāṇa’’nti yaṃ vacanaṃ āha, idaṃ vacanaṃ kusalaṃ. ‘‘Pāpakārī ca pāpaka’’nti yaṃ vacanaṃ āha, idaṃ vacanaṃ akusalaṃ. Idaṃ dvivacanaṃ vuttanayena kusalañca akusalañca hoti.
กลฺยาณการี สปฺปุริสา สุเภน กเมฺมน สุคฺคติํ วชนฺติ คจฺฉนฺติ, ปาปการี กาปุริสา อสุเภน กมฺมุนา อปายภูมิํ วชนฺติ คจฺฉนฺติ, กมฺมสฺส อภิสงฺขารวิญฺญาณสหคตกมฺมสฺส ขยา ขยนโต วิมุตฺตเจตสา สมุเจฺฉทวิมุตฺติปฎิปฺปสฺสทฺธิวิมุตฺติจิตฺตา เต สปฺปุริสา อสุเภ นิพฺพนฺติฯ กิมิว นิพฺพนฺติ? อินฺธนกฺขยา โชติ นิพฺพาติ อิว, ตถา เต สปฺปุริสา กมฺมสฺส ขยา อนวเสสขยนโต นิพฺพนฺตีติ โยชนาฯ ตตฺถ ตสฺมิํ ‘‘สุเภนา’’ติอาทิคาถาวจเน ‘‘สุเภน…เป.… สุคฺคติ’’นฺติ ยํ วจนํ อาห, อิทํ ‘‘สุเภน…เป.…สุคฺคติ’’นฺติ วจนํ กุสเล วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต กุสลํ นามฯ ‘‘อปายภูมิํ อสุเภน กมฺมุนา’’ติ ยํ วจนํ อาห , อิทํ ‘‘อปาย…เป.… กมฺมุนา’’ติ วจนํ อกุสเล วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต อกุสลํ นามฯ อิทํ ‘‘สุเภนา’’ติอาทิกํ คาถาวจนํ วุตฺตนเยน กุสลญฺจ อกุสลญฺจ โหติฯ (๑๖)
Kalyāṇakārī sappurisā subhena kammena suggatiṃ vajanti gacchanti, pāpakārī kāpurisā asubhena kammunā apāyabhūmiṃ vajanti gacchanti, kammassa abhisaṅkhāraviññāṇasahagatakammassa khayā khayanato vimuttacetasā samucchedavimuttipaṭippassaddhivimutticittā te sappurisā asubhe nibbanti. Kimiva nibbanti? Indhanakkhayā joti nibbāti iva, tathā te sappurisā kammassa khayā anavasesakhayanato nibbantīti yojanā. Tattha tasmiṃ ‘‘subhenā’’tiādigāthāvacane ‘‘subhena…pe… suggati’’nti yaṃ vacanaṃ āha, idaṃ ‘‘subhena…pe…suggati’’nti vacanaṃ kusale vācakañāpakabhāvena pavattanato kusalaṃ nāma. ‘‘Apāyabhūmiṃ asubhena kammunā’’ti yaṃ vacanaṃ āha , idaṃ ‘‘apāya…pe… kammunā’’ti vacanaṃ akusale vācakañāpakabhāvena pavattanato akusalaṃ nāma. Idaṃ ‘‘subhenā’’tiādikaṃ gāthāvacanaṃ vuttanayena kusalañca akusalañca hoti. (16)
๑๒๓. ‘‘ยถาปิ ภมโร ปุปฺผํ…เป.… มุนี จเร’’ติ อิทํ คาถาวจนํ อนุญฺญาเต จรเณ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต อนุญฺญาตํ นามฯ
123.‘‘Yathāpi bhamaro pupphaṃ…pe… munī care’’ti idaṃ gāthāvacanaṃ anuññāte caraṇe vācakañāpakabhāvena pavattanato anuññātaṃ nāma.
ภมโร นาม ปุปฺผรสปิวนคหณวเสน จรณโก มธุกราทิโก ภมโรฯ โส ปุปฺผรสํ คณฺหโนฺต มนฺทเวโค หุตฺวา ปุปฺผญฺจ วณฺณญฺจ คนฺธญฺจ อวินาเสตฺวา ยาวทตฺถํ ปุปฺผรสํ ปิวิตฺวา มธุกรณตฺถาย จ ปุปฺผรสํ คเหตฺวา มธุกรณฎฺฐานํ วนสณฺฑํ ปเลติฯ ปุปฺผวณฺณคนฺธา ปากติกาว โหนฺติฯ เอวเมว ปิณฺฑาย คามํ ปวิสโนฺต มุนิ ปสาทชนกํ อาโลกนวิโลกนคมนติฎฺฐนาทิกํ ชเนตฺวา ปีติโสมนสฺสสหิตํ ปสาทํ ชเนตฺวา สทฺธาเทยฺยํ ปิณฺฑปาตํ ยาปนมตฺตํ ปฎิคฺคเหตฺวา คามโต นิกฺขมิตฺวา อุทกผาสุกฎฺฐาเน วเน เภสชฺชํ ลิมฺปโนฺต วิย, กนฺตาเร ปุตฺตมํสํ ขาทโนฺต วิย, ปิณฺฑปาตํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปริภุญฺชิตฺวา ภมโร วเน มธุํ กโรติ วิย, กมฺมฎฺฐานานุรูปํ วนสณฺฑํ ปวิสิตฺวา ฌานมคฺคผลนิพฺพตฺตนตฺถาย สมณธมฺมกรณตฺถาย คาเม จเร จเรยฺยาติ อธิปฺปาโย เวทิตโพฺพฯ
Bhamaro nāma puppharasapivanagahaṇavasena caraṇako madhukarādiko bhamaro. So puppharasaṃ gaṇhanto mandavego hutvā pupphañca vaṇṇañca gandhañca avināsetvā yāvadatthaṃ puppharasaṃ pivitvā madhukaraṇatthāya ca puppharasaṃ gahetvā madhukaraṇaṭṭhānaṃ vanasaṇḍaṃ paleti. Pupphavaṇṇagandhā pākatikāva honti. Evameva piṇḍāya gāmaṃ pavisanto muni pasādajanakaṃ ālokanavilokanagamanatiṭṭhanādikaṃ janetvā pītisomanassasahitaṃ pasādaṃ janetvā saddhādeyyaṃ piṇḍapātaṃ yāpanamattaṃ paṭiggahetvā gāmato nikkhamitvā udakaphāsukaṭṭhāne vane bhesajjaṃ limpanto viya, kantāre puttamaṃsaṃ khādanto viya, piṇḍapātaṃ paccavekkhitvā paribhuñjitvā bhamaro vane madhuṃ karoti viya, kammaṭṭhānānurūpaṃ vanasaṇḍaṃ pavisitvā jhānamaggaphalanibbattanatthāya samaṇadhammakaraṇatthāya gāme care careyyāti adhippāyo veditabbo.
‘‘ตีณิมานิ, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ กรณียานิ…เป.… อิมานิ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ตีณิ กรณียานี’’ติ อิทํ สุตฺตํ ภควตา อนุญฺญาเต อาจาเร อเตฺถ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต อนุญฺญาตํ นามฯ ตสฺมิํ สุเตฺต โย ภิกฺขุ สีลํ ปาติ รกฺขติ, อิติ รกฺขณโต โส ภิกฺขุ ปาติ นามฯ ยํ สีลํ ตํ ปาติํ ภิกฺขุํ อปายาทิทุกฺขโต โมเจติ, อิติ โมจนโต ตํ สีลํ ปาติโมกฺขํ นามฯ เยน สีเลน ภิกฺขุ สํวริตพฺพจกฺขุนฺทฺริยาทิกํ สํวรติ, อิติ สํวรณกรณโต ตํ สีลํ สํวรํ นาม, ปาติโมกฺขํ เอว สํวรํ ปาติโมกฺขสํวรํ, ปาติโมกฺขสํวเรน สํวุโต สมนฺนาคโต หุตฺวา สํวุณนโต จตุอิริยาปเถสุ จารโก โหติ, อิติ สํวุณนโต ภิกฺขุ ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต นามฯ วิหรติ จตุอิริยาปเถ ปวเตฺตติฯ วาริตฺตจารํ วเชฺชตฺวา จาริตฺตสีลํ อาทาย จรณํ อาจาโร, อโคจเร วเชฺชตฺวา โคจเร จรณํ โคจโรติฯ อโตฺถ วุจฺจมาโน อติวิตฺถาโร ภวิสฺสติ, ตสฺมา กิญฺจิมตฺตํ กเถตฺวา สาสนปฎฺฐานสุตฺตภาวํ กเถสฺสามฯ
‘‘Tīṇimāni, bhikkhave, bhikkhūnaṃ karaṇīyāni…pe… imāni kho, bhikkhave, bhikkhūnaṃ tīṇi karaṇīyānī’’ti idaṃ suttaṃ bhagavatā anuññāte ācāre atthe vācakañāpakabhāvena pavattanato anuññātaṃ nāma. Tasmiṃ sutte yo bhikkhu sīlaṃ pāti rakkhati, iti rakkhaṇato so bhikkhu pāti nāma. Yaṃ sīlaṃ taṃ pātiṃ bhikkhuṃ apāyādidukkhato moceti, iti mocanato taṃ sīlaṃ pātimokkhaṃ nāma. Yena sīlena bhikkhu saṃvaritabbacakkhundriyādikaṃ saṃvarati, iti saṃvaraṇakaraṇato taṃ sīlaṃ saṃvaraṃ nāma, pātimokkhaṃ eva saṃvaraṃ pātimokkhasaṃvaraṃ, pātimokkhasaṃvarena saṃvuto samannāgato hutvā saṃvuṇanato catuiriyāpathesu cārako hoti, iti saṃvuṇanato bhikkhu pātimokkhasaṃvarasaṃvuto nāma. Viharati catuiriyāpathe pavatteti. Vārittacāraṃ vajjetvā cārittasīlaṃ ādāya caraṇaṃ ācāro, agocare vajjetvā gocare caraṇaṃ gocaroti. Attho vuccamāno ativitthāro bhavissati, tasmā kiñcimattaṃ kathetvā sāsanapaṭṭhānasuttabhāvaṃ kathessāma.
‘‘เอตฺตกเมว สุตฺตํ ‘อนุญฺญาต’นฺติ นิทฺธาริตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ทสยิเม, ภิกฺขเว, ธมฺมา ปพฺพชิเตน อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อิทํ ‘‘ทสา’’ติอาทิกํ สุตฺตมฺปิ อนุญฺญาเต ทสวิเธ ปจฺจเวกฺขิตเพฺพ ธเมฺม วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต อนุญฺญาตํ นามฯ ‘‘ตีณิมานิ…เป.… กรณียานี’’ติ อิทํ สุตฺตมฺปิ อนุญฺญาเต ติวิเธ สุจริเต วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต อนุญฺญาตํ นามฯ
‘‘Ettakameva suttaṃ ‘anuññāta’nti niddhāritabba’’nti vattabbattā ‘‘dasayime, bhikkhave, dhammā pabbajitena abhiṇhaṃ paccavekkhitabbā’’tiādi vuttaṃ. Idaṃ ‘‘dasā’’tiādikaṃ suttampi anuññāte dasavidhe paccavekkhitabbe dhamme vācakañāpakabhāvena pavattanato anuññātaṃ nāma. ‘‘Tīṇimāni…pe… karaṇīyānī’’ti idaṃ suttampi anuññāte tividhe sucarite vācakañāpakabhāvena pavattanato anuññātaṃ nāma.
นานาวิธํ อนุญฺญาตํ สุตฺตํ อาจริเยน นิทฺธาริตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘กตมํ สุตฺตํ ปฎิกฺขิตฺต’’นฺติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ กตมํ ปฎิกฺขิตฺต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ
Nānāvidhaṃ anuññātaṃ suttaṃ ācariyena niddhāritaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘katamaṃ suttaṃ paṭikkhitta’’nti pucchitabbattā ‘‘tattha katamaṃ paṭikkhitta’’ntiādi vuttaṃ.
‘‘นตฺถิ ปุตฺตสมํ เปมํ, นตฺถิ โคสมิตํ ธนํ;
‘‘Natthi puttasamaṃ pemaṃ, natthi gosamitaṃ dhanaṃ;
นตฺถิ สูริยสมา อาภา, สมุทฺทปรมา สรา’’ติฯ –
Natthi sūriyasamā ābhā, samuddaparamā sarā’’ti. –
อิทํ เทวปุตฺตวจนํ ปฎิกฺขิปโนฺต ภควา –
Idaṃ devaputtavacanaṃ paṭikkhipanto bhagavā –
‘‘นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ, นตฺถิ ธญฺญสมํ ธนํ;
‘‘Natthi attasamaṃ pemaṃ, natthi dhaññasamaṃ dhanaṃ;
นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา, วุฎฺฐิ เว ปรมา สรา’’ติฯ –
Natthi paññāsamā ābhā, vuṭṭhi ve paramā sarā’’ti. –
คาถํ อาหฯ เอตฺถ เอตสฺมิํ คาถาทฺวเย ยํ ‘‘นตฺถิ ปุตฺตสมํ เปม’’นฺติอาทิกํ ปุริมกํ โหติฯ อิทํ ‘‘นตฺถิ ปุตฺตสมํ เปม’’นฺติอาทิกํ เทวปุตฺตวจนํ ภควตา ปฎิกฺขิตฺตตฺตา, ปฎิกฺขิเตฺต อเตฺถ ปวตฺตนโต จ ปฎิกฺขิตฺตํ นามฯ
Gāthaṃ āha. Ettha etasmiṃ gāthādvaye yaṃ ‘‘natthi puttasamaṃ pema’’ntiādikaṃ purimakaṃ hoti. Idaṃ ‘‘natthi puttasamaṃ pema’’ntiādikaṃ devaputtavacanaṃ bhagavatā paṭikkhittattā, paṭikkhitte atthe pavattanato ca paṭikkhittaṃ nāma.
ทุพฺภิกฺขกาเล วา กนฺตาเร วา มาตาปิตโร ปุตฺตธีตโร ฆาเตตฺวาปิ อตฺตานเมว โปเสนฺติ, ตสฺมา ‘‘นตฺถิ อตฺตสมํ เปม’’นฺติ วุตฺตํฯ ทุพฺภิกฺขกาลาทีสุ หิรญฺญสุวณฺณสาราทีนิ, โคมหิํสาทีนิปิ ธญฺญคหณตฺถาย ธญฺญสฺสามิกานํ ทตฺวา ธญฺญเมว คณฺหนฺติ, ตสฺมา ‘‘นตฺถิ ธญฺญสมํ ธน’’นฺติ วุตฺตํฯ สูริยาทีนํ อาภา ปจฺจุปฺปนฺนตมํ เอกเทสํว วิโนเทติ, ปญฺญา ปน ทสสหสฺสิโลกธาตุมฺปิ เอกปโชฺชตํ เอโกภาสํ กาตุํ สมตฺถา, อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนธมฺมโกฎฺฐาเสสุปิ ปฎิจฺฉาทกํ กิเลสตมมฺปิ วิธมติ, ตสฺมา ‘‘นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา’’ติ วุตฺตํฯ สมุโทฺท ภูมิยา จ เอกเทเสเยว ติฎฺฐติ, โส จ เทเว อวุเฎฺฐ สติ ขยนสภาโว ภเวยฺย, วุฎฺฐิ ปน โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาเฬสุปิ ยาว อาภสฺสรา พฺรหฺมโลกาปิ ปูรา ภวติ, ตสฺมา ‘‘วุฎฺฐิ เว ปรมาสรา’’ติ วุตฺตํฯ
Dubbhikkhakāle vā kantāre vā mātāpitaro puttadhītaro ghātetvāpi attānameva posenti, tasmā ‘‘natthi attasamaṃ pema’’nti vuttaṃ. Dubbhikkhakālādīsu hiraññasuvaṇṇasārādīni, gomahiṃsādīnipi dhaññagahaṇatthāya dhaññassāmikānaṃ datvā dhaññameva gaṇhanti, tasmā ‘‘natthi dhaññasamaṃdhana’’nti vuttaṃ. Sūriyādīnaṃ ābhā paccuppannatamaṃ ekadesaṃva vinodeti, paññā pana dasasahassilokadhātumpi ekapajjotaṃ ekobhāsaṃ kātuṃ samatthā, atītānāgatapaccuppannadhammakoṭṭhāsesupi paṭicchādakaṃ kilesatamampi vidhamati, tasmā ‘‘natthi paññāsamā ābhā’’ti vuttaṃ. Samuddo bhūmiyā ca ekadeseyeva tiṭṭhati, so ca deve avuṭṭhe sati khayanasabhāvo bhaveyya, vuṭṭhi pana koṭisatasahassacakkavāḷesupi yāva ābhassarā brahmalokāpi pūrā bhavati, tasmā ‘‘vuṭṭhi ve paramāsarā’’ti vuttaṃ.
‘‘อิทเมว ปฎิกฺขิตฺตํ นิทฺธาริตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ตีณิมานิ ภิกฺขเว’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อิทํ ‘‘ตีณิมานี’’ติอาทิกํ สุตฺตมฺปิ ปฎิกฺขิเตฺต ทุจฺจริเต วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต ปฎิกฺขิตฺตํ นามฯ (๑๗)
‘‘Idameva paṭikkhittaṃ niddhāritabba’’nti vattabbattā ‘‘tīṇimāni bhikkhave’’tiādi vuttaṃ. Idaṃ ‘‘tīṇimānī’’tiādikaṃ suttampi paṭikkhitte duccarite vācakañāpakabhāvena pavattanato paṭikkhittaṃ nāma. (17)
๑๒๔. นานาวิธํ ปฎิกฺขิตฺตํ อาจริเยน นิทฺธาริตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘กตมํ อนุญฺญาตญฺจ ปฎิกฺขิตฺตญฺจา’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ กตมํ อนุญฺญาตญฺจา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
124. Nānāvidhaṃ paṭikkhittaṃ ācariyena niddhāritaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘katamaṃ anuññātañca paṭikkhittañcā’’ti pucchitabbattā ‘‘tattha katamaṃ anuññātañcā’’tiādi vuttaṃ.
ภูริปญฺญภูริปญฺญวนฺต โคตม, ตํ ภูริปญฺญํ โคตมํ อหํ ปุจฺฉามิฯ อิธ โลเก อเนกา ยา ชนตา ภีตา, สา ชนตา กิํสุ กตมา ภเวฯ โย จ มโคฺค อเนกายตโน อิติ ปวุโตฺต, โส จ มโคฺค กิํสุ กตโม ภเวฯ กิสฺมิํ ธเมฺม ฐิโต ชโน ปรโลกํ น ภาเย น ภาเยยฺยาติ ปุจฺฉตีติ โยชนาฯ
Bhūripaññabhūripaññavanta gotama, taṃ bhūripaññaṃ gotamaṃ ahaṃ pucchāmi. Idha loke anekā yā janatā bhītā, sā janatā kiṃsu katamā bhave. Yo ca maggo anekāyatano iti pavutto, so ca maggo kiṃsu katamo bhave. Kismiṃ dhamme ṭhito jano paralokaṃ na bhāye na bhāyeyyāti pucchatīti yojanā.
เทวปุตฺต โย ชโน สมฺมาวาจญฺจ ปณิธาย, สมฺมามนญฺจ ปณิธาย, กาเยน ปาปานิ อกุพฺพมาโน จ ภเว, อยํ เอโกฯ พหฺวนฺนปานํ ฆรํ อาวสโนฺต จ ภเว, อยํ เอโกฯ สโทฺธ สทฺธาสมฺปโนฺน จิตฺตมุทุภาเวน มุทุ จ ภเว, อยํ เอโกฯ วทญฺญู ยาจกานํ ยาจนวเสน วุตฺตวจนญฺญู หุตฺวา สํวิภาคี จ ภเว, อยํ เอโกฯ อิติ เอเตสุ จตูสุ ธเมฺมสุ ฐิโต ชโน ธเมฺมสุ ฐิโต หุตฺวา ปรโลกํ น ภาเย น ภาเยยฺยาติ โยชนาฯ
Devaputta yo jano sammāvācañca paṇidhāya, sammāmanañca paṇidhāya, kāyena pāpāni akubbamāno ca bhave, ayaṃ eko. Bahvannapānaṃ gharaṃ āvasanto ca bhave, ayaṃ eko. Saddho saddhāsampanno cittamudubhāvena mudu ca bhave, ayaṃ eko. Vadaññū yācakānaṃ yācanavasena vuttavacanaññū hutvā saṃvibhāgī ca bhave, ayaṃ eko. Iti etesu catūsu dhammesu ṭhito jano dhammesu ṭhito hutvā paralokaṃ na bhāye na bhāyeyyāti yojanā.
‘‘ตสฺมิํ สุเตฺต กตมํ อนุญฺญาตํ, กตมํ ปฎิกฺขิตฺตํ นามา’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ ยํ อาหา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ตสฺมิํ ‘‘กิํสูธา’’ติอาทิปญฺหาย วิสฺสชฺชเน ‘‘วาจํ มนญฺจา’’ติอาทิวจเน ‘‘วาจํ มนญฺจ ปณิธาย สมฺมา’’ติ ยํ วจนํ ภควา อาห, อิทํ ‘‘วาจํ…เป.… สมฺมา’’ติ วจนํ อนุญฺญาเต วจนียาทิเก อเตฺถ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต อนุญฺญาตํ นามฯ ‘‘กาเยน ปาปานิ อกุพฺพมาโน’’ติ ยํ วจนํ อาห, อิทํ ‘‘กาเยน …เป.… มาโน’’ติ วจนํ ปาปกุเพฺพน ปฎิกฺขิเตฺต วุตฺตนเยน ปวตฺตนโต ปฎิกฺขิตฺตํ นามฯ ‘‘พหฺวนฺน…เป.… น ภาเย’’ติ ยํ วจนํ อาห, อิทํ ‘‘พหฺวนฺน…เป.… น ภาเย’’ติ วจนํ วุตฺตนเยน อนุญฺญาตํ นามฯ อิทํ ‘‘วาจ’’นฺติอาทิกํ วจนํ วุตฺตนยทฺวเยน อนุญฺญาตญฺจ ปฎิกฺขิตฺตญฺจ โหติฯ
‘‘Tasmiṃ sutte katamaṃ anuññātaṃ, katamaṃ paṭikkhittaṃ nāmā’’ti pucchitabbattā ‘‘tattha yaṃ āhā’’tiādi vuttaṃ. Tattha tasmiṃ ‘‘kiṃsūdhā’’tiādipañhāya vissajjane ‘‘vācaṃ manañcā’’tiādivacane ‘‘vācaṃ manañca paṇidhāya sammā’’ti yaṃ vacanaṃ bhagavā āha, idaṃ ‘‘vācaṃ…pe… sammā’’ti vacanaṃ anuññāte vacanīyādike atthe vācakañāpakabhāvena pavattanato anuññātaṃ nāma. ‘‘Kāyena pāpāni akubbamāno’’ti yaṃ vacanaṃ āha, idaṃ ‘‘kāyena …pe… māno’’ti vacanaṃ pāpakubbena paṭikkhitte vuttanayena pavattanato paṭikkhittaṃ nāma. ‘‘Bahvanna…pe… na bhāye’’ti yaṃ vacanaṃ āha, idaṃ ‘‘bahvanna…pe… na bhāye’’ti vacanaṃ vuttanayena anuññātaṃ nāma. Idaṃ ‘‘vāca’’ntiādikaṃ vacanaṃ vuttanayadvayena anuññātañca paṭikkhittañca hoti.
‘‘สพฺพปาปสฺส อกรณ’’นฺติอาทิโก วุตฺตโตฺถวฯ ‘‘ตสฺมิํ สพฺพปาปสฺสาติอาทิเก กตมํ อนุญฺญาตํ, กตมํ ปฎิกฺขิตฺต’’นฺติ วตฺตพฺพภาวโต ‘‘ตตฺถ ย’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ
‘‘Sabbapāpassa akaraṇa’’ntiādiko vuttatthova. ‘‘Tasmiṃ sabbapāpassātiādike katamaṃ anuññātaṃ, katamaṃ paṭikkhitta’’nti vattabbabhāvato ‘‘tattha ya’’ntiādi vuttaṃ.
เทวานมินฺท, อหํ กายสมาจารมฺปิ ทุวิเธน วทามิ – เสวิตพฺพํ อนวชฺชํ กายสมาจารมฺปิ วทามิ, อเสวิตพฺพํ สาวชฺชํ กายสมาจารมฺปิ อหํ วทามิฯ วจีสมาจาราทีสุปิ วุตฺตนยานุสาเรน โยชนา กาตพฺพาฯ
Devānaminda, ahaṃ kāyasamācārampi duvidhena vadāmi – sevitabbaṃ anavajjaṃ kāyasamācārampi vadāmi, asevitabbaṃ sāvajjaṃ kāyasamācārampi ahaṃ vadāmi. Vacīsamācārādīsupi vuttanayānusārena yojanā kātabbā.
‘‘กิญฺจ วฑฺฒนหายนํ อาคมฺม กายสมาจาราทิกํ เสวิตพฺพาเสวิตพฺพเภเทน วุตฺต’’นฺติ วตฺตพฺพภาวโต ‘‘กิเญฺจตํ ปฎิจฺจา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อกุสลธมฺมวฑฺฒนํ, กุสลธมฺมหายนญฺจ ปฎิจฺจ กายสมาจาราทโย น เสวิตพฺพา, กุสลธมฺมวฑฺฒนํ, อกุสลธมฺมหายนญฺจ ปฎิจฺจ กายสมาจาราทโย เสวิตพฺพาติ สลฺลเกฺขตพฺพาฯ (๑๘)
‘‘Kiñca vaḍḍhanahāyanaṃ āgamma kāyasamācārādikaṃ sevitabbāsevitabbabhedena vutta’’nti vattabbabhāvato ‘‘kiñcetaṃ paṭiccā’’tiādi vuttaṃ. Akusaladhammavaḍḍhanaṃ, kusaladhammahāyanañca paṭicca kāyasamācārādayo na sevitabbā, kusaladhammavaḍḍhanaṃ, akusaladhammahāyanañca paṭicca kāyasamācārādayo sevitabbāti sallakkhetabbā. (18)
๑๒๕. นานาวิธํ อนุญฺญาตญฺจ ปฎิกฺขิตฺตญฺจ อาจริเยน นิทฺธาริตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘กตโม สุตฺตวิเสโส ถโว’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ตถา ปุจฺฉิตฺวา อยํ สุตฺตวิเสโส ถโว นามาติ วิญฺญาเปตุํ ‘‘ตตฺถ กตโม ถโว’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ตตฺถาติ เตสุ อฎฺฐวีสติวิเธสุ โลกิยาทีสุ สาสนปฎฺฐานสุเตฺตสุ กตโม สุตฺตวิเสโส ถโว นามาติ ปุจฺฉติฯ
125. Nānāvidhaṃ anuññātañca paṭikkhittañca ācariyena niddhāritaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘katamo suttaviseso thavo’’ti pucchitabbattā tathā pucchitvā ayaṃ suttaviseso thavo nāmāti viññāpetuṃ ‘‘tattha katamo thavo’’tiādi vuttaṃ. Tattha tatthāti tesu aṭṭhavīsatividhesu lokiyādīsu sāsanapaṭṭhānasuttesu katamo suttaviseso thavo nāmāti pucchati.
มคฺคานํ ชงฺฆมคฺคทิฎฺฐิมคฺคาทีนํ อฎฺฐงฺคิโก สมฺมาทิฎฺฐิมคฺคงฺคาทิอฎฺฐงฺคิโก มโคฺค เสโฎฺฐ อุตฺตโมฯ สจฺจานํ วจีสจฺจขตฺติยาทิสมฺมุติสจฺจปรมตฺถสจฺจานํ จตุโร ทุกฺขสมุทยนิโรธนิโรธคามินิปฎิปทาวเสน จตุโร อริยสจฺจา ปทา เสฎฺฐา อุตฺตมาฯ ธมฺมานํ สพฺพสงฺขตสปฺปจฺจยธมฺมานํ วิราโค อสงฺขตนิพฺพานสงฺขาโต วิราโค ธโมฺม เสโฎฺฐ อุตฺตโมฯ ทฺวิปทานํ สพฺพเทวมนุสฺสาทีนํ ทฺวิปทานํ จกฺขุมา ปญฺจวิธจกฺขุมา ภควา เสโฎฺฐ อุตฺตโมติ โยชนาฯ อยํ ‘‘มคฺคานฎฺฐงฺคิโก’’ติอาทิสุตฺตวิเสโส ถเว อเตฺถ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต ถโว นามฯ
Maggānaṃ jaṅghamaggadiṭṭhimaggādīnaṃ aṭṭhaṅgiko sammādiṭṭhimaggaṅgādiaṭṭhaṅgiko maggo seṭṭho uttamo. Saccānaṃ vacīsaccakhattiyādisammutisaccaparamatthasaccānaṃ caturo dukkhasamudayanirodhanirodhagāminipaṭipadāvasena caturo ariyasaccā padā seṭṭhā uttamā. Dhammānaṃ sabbasaṅkhatasappaccayadhammānaṃ virāgo asaṅkhatanibbānasaṅkhāto virāgo dhammo seṭṭho uttamo. Dvipadānaṃ sabbadevamanussādīnaṃ dvipadānaṃ cakkhumā pañcavidhacakkhumā bhagavā seṭṭho uttamoti yojanā. Ayaṃ ‘‘maggānaṭṭhaṅgiko’’tiādisuttaviseso thave atthe vācakañāpakabhāvena pavattanato thavo nāma.
‘‘อยเมว สุตฺตวิเสโส ถโว’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ตีณิมานิ ภิกฺขเว’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อปทา อหิมจฺฉาทโย วา, ทฺวิปทา มนุสฺสสกุณปกฺขิชาติกาทโย วา, จตุปฺปทา หตฺถิอสฺสโคมหิํสาทโย วา, พหุปฺปทา สตปทิอาทโย วา, รูปิโน กามรูปสตฺตา วา, อรูปิโน อรูปสตฺตา วา, สญฺญิโน สตฺตวิญฺญาณฎฺฐิติสตฺตา วา, อสญฺญิโน อสญฺญสตฺตา วา, เนวสญฺญีนาสญฺญิโน ภวเคฺค นิพฺพตฺตสตฺตา วา ยาวตา ยตฺตกา สตฺตา สํวิชฺชนฺติ, เตสํ ตตฺตกานํ อปทาทีนํ สตฺตานํ ยทิทํ โย อยํ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ ตถาคโต อุปฺปโนฺน, โส อยํ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ ตถาคโต อคฺคํ อโคฺคติ อกฺขายติ, เสฎฺฐํ เสโฎฺฐติ อกฺขายติ, ปวรํ ปวโรติ อกฺขายติ, อยํ ปฐโม อโคฺคฯ
‘‘Ayameva suttaviseso thavo’’ti vattabbattā ‘‘tīṇimāni bhikkhave’’tiādi vuttaṃ. Apadā ahimacchādayo vā, dvipadā manussasakuṇapakkhijātikādayo vā, catuppadā hatthiassagomahiṃsādayo vā, bahuppadā satapadiādayo vā, rūpino kāmarūpasattā vā, arūpino arūpasattā vā, saññino sattaviññāṇaṭṭhitisattā vā, asaññino asaññasattā vā, nevasaññīnāsaññino bhavagge nibbattasattā vā yāvatā yattakā sattā saṃvijjanti, tesaṃ tattakānaṃ apadādīnaṃ sattānaṃ yadidaṃ yo ayaṃ arahaṃ sammāsambuddho tathāgato uppanno, so ayaṃ arahaṃ sammāsambuddho tathāgato aggaṃ aggoti akkhāyati, seṭṭhaṃ seṭṭhoti akkhāyati, pavaraṃ pavaroti akkhāyati, ayaṃ paṭhamo aggo.
สงฺขตานํ ธมฺมานํ วา สปฺปจฺจยสภาวานํ วา, อสงฺขตานํ ปจฺจเยหิ อสงฺขริตานํ ปณฺณตฺติมตฺตภูตานํ ธมฺมานํ วา ยาวตา ยตฺตกา ปณฺณตฺตี โวหรียนฺติ, ตตฺตเกหิ ปณฺณตฺตีหิ ปญฺญเปตพฺพานํ เตสํ สงฺขตาสงฺขตานํ ธมฺมานํ ยทิทํ โย อยํ มทนิมฺมทโน…เป.… โย อยํ นิโรโธ, ยํ อิทํ นิพฺพานมคฺคผลานมาลมฺพณํ ภวติ, โส อยํ มทนิมฺมทนาทิโก ธโมฺม อคฺคํ อโคฺคติ อกฺขายติ…เป.… อกฺขายติ, อยํ ทุติโย อโคฺคฯ
Saṅkhatānaṃ dhammānaṃ vā sappaccayasabhāvānaṃ vā, asaṅkhatānaṃ paccayehi asaṅkharitānaṃ paṇṇattimattabhūtānaṃ dhammānaṃ vā yāvatā yattakā paṇṇattī voharīyanti, tattakehi paṇṇattīhi paññapetabbānaṃ tesaṃ saṅkhatāsaṅkhatānaṃ dhammānaṃ yadidaṃ yo ayaṃ madanimmadano…pe… yo ayaṃ nirodho, yaṃ idaṃ nibbānamaggaphalānamālambaṇaṃ bhavati, so ayaṃ madanimmadanādiko dhammo aggaṃ aggoti akkhāyati…pe… akkhāyati, ayaṃ dutiyo aggo.
สงฺฆานํ ยาวตา ปณฺณตฺติ, คณานํ ยาวตา ปณฺณตฺติ, มหาชนสนฺนิปาตานํ ยาวตา ปณฺณตฺติ โวหรียนฺติ, ตตฺตเกหิ ปณฺณตฺตีหิ ปญฺญเปตพฺพานํ เตสํ สงฺฆคณาทีนํ ยานิ อิมานิ จตฺตาริ ปุคฺคลานิ ปุริสยุคานิ, เย อิเม อฎฺฐ ปุริสปุคฺคลา…เป.… โลกสฺส ยํ อิทํ ปุญฺญเกฺขตฺตํ สํวิชฺชติ, โส อยํ จตุปุริสยุคาทิโก ตถาคตสาวกสโงฺฆ อคฺคํ อโคฺคติ อกฺขายติ…เป.… อกฺขายติ, อยํ ตติโย อโคฺคฯ อิมานิ ตีณิ ตถาคตนิพฺพานอริยสงฺฆรตนานิ อคฺคานิ ภวนฺติฯ
Saṅghānaṃ yāvatā paṇṇatti, gaṇānaṃ yāvatā paṇṇatti, mahājanasannipātānaṃ yāvatā paṇṇatti voharīyanti, tattakehi paṇṇattīhi paññapetabbānaṃ tesaṃ saṅghagaṇādīnaṃ yāni imāni cattāri puggalāni purisayugāni, ye ime aṭṭha purisapuggalā…pe… lokassa yaṃ idaṃ puññakkhettaṃ saṃvijjati, so ayaṃ catupurisayugādiko tathāgatasāvakasaṅgho aggaṃ aggoti akkhāyati…pe… akkhāyati, ayaṃ tatiyo aggo. Imāni tīṇi tathāgatanibbānaariyasaṅgharatanāni aggāni bhavanti.
สพฺพโลกุตฺตโร อปทาทิสพฺพสตฺตโลกโต อุตฺตโร สตฺถา จ, กุสลปกฺขโต กุสลอนวชฺชปกฺขภาวโต อุตฺตโร ธโมฺม จ, นรสีหสฺส สตฺถุโน คโณ จ อิติ ตีณิ สตฺถุธมฺมคณรตนานิ อคฺคานิ, ตานิ ตีณิ สตฺถุธมฺมคณรตนานิ วิสิสฺสเร คุณวเสน วิสิสฺสนฺติฯ
Sabbalokuttaro apadādisabbasattalokato uttaro satthā ca, kusalapakkhato kusalaanavajjapakkhabhāvato uttaro dhammo ca, narasīhassa satthuno gaṇo ca iti tīṇi satthudhammagaṇaratanāni aggāni, tāni tīṇi satthudhammagaṇaratanāni visissare guṇavasena visissanti.
สมณปทุมสญฺจโย สเร รุหมานํ ปทุมํ โสภนํ อิว สาสเน โสภนสมณปทุมสมูโห คโณ จ, ธมฺมวโร จ, วิทูนํ สกฺกโต นรวรทมโก นรวรานํ พฺรหฺมเทวมนุสฺสราชราชมหามจฺจาทีนํ ทมโก อนุทมโก จกฺขุมา สมฺพุโทฺธ จ อิติ ตีณิ คณธมฺมพุทฺธรตนานิ โลกสฺส อุตฺตริ ภวนฺติฯ
Samaṇapadumasañcayo sare ruhamānaṃ padumaṃ sobhanaṃ iva sāsane sobhanasamaṇapadumasamūho gaṇo ca, dhammavaro ca, vidūnaṃ sakkato naravaradamako naravarānaṃ brahmadevamanussarājarājamahāmaccādīnaṃ damako anudamako cakkhumā sambuddho ca iti tīṇi gaṇadhammabuddharatanāni lokassa uttari bhavanti.
อปฺปฎิสโม สตฺถา จ, นิรุปทาโห นิคฺคตอุปทาโห, สโพฺพ ธโมฺม จ อริโย คณวโร จ อิติ ยานิ ตีณิ พุทฺธธมฺมคณรตนานิ อคฺคานิ, ตานิ ตีณิ…เป.… นานิ ขลุ เอกํเสน วิสิสฺสเร วิสิสฺสนฺติฯ
Appaṭisamo satthā ca, nirupadāho niggataupadāho, sabbo dhammo ca ariyo gaṇavaro ca iti yāni tīṇi buddhadhammagaṇaratanāni aggāni, tāni tīṇi…pe… nāni khalu ekaṃsena visissare visissanti.
สจฺจนาโม อวิตถสจฺจเทสนโต สจฺจนาโม เขโม สพฺพาภิภู สเพฺพ มนุสฺสเทวาทิเก อนภิภวมาโนปิ คุณาติเรกวเสน อภิภวมาโน วิย ปวตฺตนโต สพฺพาภิภู ชิโน จ, สจฺจธโมฺม อวิตถสภาวโต สจฺจธโมฺม จ, ตสฺส สจฺจธมฺมสฺส อุตฺตริ อุตฺตโม อโญฺญ ธโมฺม นตฺถิ, วิญฺญูนํ นิจฺจํ ปูชิโต ปูชารโห อริยสโงฺฆ จ อิติ ตีณิ โลกสฺส อุตฺตริ อุตฺตมานิ ภวนฺติฯ
Saccanāmo avitathasaccadesanato saccanāmo khemo sabbābhibhū sabbe manussadevādike anabhibhavamānopi guṇātirekavasena abhibhavamāno viya pavattanato sabbābhibhū jino ca, saccadhammo avitathasabhāvato saccadhammo ca, tassa saccadhammassa uttari uttamo añño dhammo natthi, viññūnaṃ niccaṃ pūjito pūjāraho ariyasaṅgho ca iti tīṇi lokassa uttari uttamāni bhavanti.
เอกายนปทสฺส วจนโตฺถ อฎฺฐกถายํ (เนตฺติ. อฎฺฐ. ๑๗๐) พหุธา วุโตฺตฯ ชาติขยนฺตทสฺสี หิตานุกมฺปี ภควา เอกายนํ มคฺคํ ปชานาติฯ ‘‘ยํ เอกายนํ มคฺคํ ปชานาติ, เตน มเคฺคน กิํ ตรตี’’ติ วตฺตพฺพภาวโต ‘‘เอเตน มเคฺคนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ยํ มคฺคํ ภควา ชานาติ, เอเตน มเคฺคน ปุเพฺพ อตีตมทฺธานํ พุทฺธาทโย อริยา โอฆํ สํสาโรฆํ ตริํสุ, อนาคตมทฺธานํ ตริสฺสนฺติ, เย จาปิ พุทฺธาทโย ปจฺจุปฺปเนฺน อุปฺปชฺชนฺติ, เต จาปิ พุทฺธาทโย ปจฺจุปฺปเนฺน ตรนฺติ, วิสุทฺธิเปกฺขา วิสุทฺธิํ อเปกฺขมานา สตฺตา เทวมนุสฺสเสฎฺฐํ ตาทิสํ ยถาวุตฺตคุณํ ตํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ นมสฺสนฺติ, อิติ อยํ นานาวิธสุตฺตวิเสโสปิ ถเว รตนตฺตเย, รตนตฺตยคุเณ จ วาจกญาปกภาเวน ปวตฺตนโต ถโว นามฯ อิเจฺจตํ สาสนปฎฺฐานสุตฺตวิเสสทสฺสโก สํวณฺณนาวิเสโสปิ สาสนปฎฺฐานํ นามาติ เวทิตโพฺพฯ
Ekāyanapadassa vacanattho aṭṭhakathāyaṃ (netti. aṭṭha. 170) bahudhā vutto. Jātikhayantadassī hitānukampī bhagavā ekāyanaṃ maggaṃ pajānāti. ‘‘Yaṃ ekāyanaṃ maggaṃ pajānāti, tena maggena kiṃ taratī’’ti vattabbabhāvato ‘‘etena maggenā’’tiādi vuttaṃ. Yaṃ maggaṃ bhagavā jānāti, etena maggena pubbe atītamaddhānaṃ buddhādayo ariyā oghaṃ saṃsāroghaṃ tariṃsu, anāgatamaddhānaṃ tarissanti, ye cāpi buddhādayo paccuppanne uppajjanti, te cāpi buddhādayo paccuppanne taranti, visuddhipekkhā visuddhiṃ apekkhamānā sattā devamanussaseṭṭhaṃ tādisaṃ yathāvuttaguṇaṃ taṃ sammāsambuddhaṃ namassanti, iti ayaṃ nānāvidhasuttavisesopi thave ratanattaye, ratanattayaguṇe ca vācakañāpakabhāvena pavattanato thavo nāma. Iccetaṃ sāsanapaṭṭhānasuttavisesadassako saṃvaṇṇanāvisesopi sāsanapaṭṭhānaṃ nāmāti veditabbo.
อมฺหากาจริย ตุเมฺหหิ อมฺหากาจริเยหิ โสฬสปฺปเภทสํกิเลสภาคิยาทิสาสนปฎฺฐานสุตฺตเญฺจว อฎฺฐวีสติวิธํ โลกิยาทิสาสนปฎฺฐานสุตฺตญฺจ นิทฺธาริตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘เตสุ สํกิเลสภาคิยาทีสุ สาสนปฎฺฐานสุตฺตวิเสเสสุ กตมํ สุตฺตวิเสสํ กตเมน สุตฺตวิเสเสน สํสนฺทิตฺวา นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ โลกิยํ สุตฺต’’นฺติอาทิ อารทฺธํฯ อฎฺฐกถายํ ปน – ‘‘เอวํ ทุวิธมฺปิ สาสนปฎฺฐานํ นานาสุตฺตปทานิ อุทาหรเนฺตน วิภชิตฺวา อิทานิ สํกิเลสภาคิยาทีหิ สํสนฺทิตฺวา ทเสฺสตุํ ปุน ‘โลกิยํ สุตฺต’นฺติอาทิ อารทฺธ’’นฺติ (เนตฺติ. อฎฺฐ. ๑๗๐) วุตฺตํฯ
Amhākācariya tumhehi amhākācariyehi soḷasappabhedasaṃkilesabhāgiyādisāsanapaṭṭhānasuttañceva aṭṭhavīsatividhaṃ lokiyādisāsanapaṭṭhānasuttañca niddhāritaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘tesu saṃkilesabhāgiyādīsu sāsanapaṭṭhānasuttavisesesu katamaṃ suttavisesaṃ katamena suttavisesena saṃsanditvā niddisitabba’’nti vattabbattā ‘‘tattha lokiyaṃsutta’’ntiādi āraddhaṃ. Aṭṭhakathāyaṃ pana – ‘‘evaṃ duvidhampi sāsanapaṭṭhānaṃ nānāsuttapadāni udāharantena vibhajitvā idāni saṃkilesabhāgiyādīhi saṃsanditvā dassetuṃ puna ‘lokiyaṃ sutta’ntiādi āraddha’’nti (netti. aṭṭha. 170) vuttaṃ.
ตตฺถ ตตฺถาติ เตสุ โสฬสวิเธสุ สํกิเลสภาคิยาทีสุ สาสนปฎฺฐานสุตฺตวิเสเสสุ เจว อฎฺฐวีสติวิเธสุ โลกิยาทีสุ สาสนปฎฺฐานสุตฺตวิเสเสสุ จ อกุสลปเกฺข ปวตฺตํ โลกิยํ สุตฺตํ สํกิเลสภาคิยสุเตฺตน สมานตฺถภาเวน สํสนฺทติ, กุสลปเกฺข ปวตฺตํ โลกิยํ สุตฺตํ วาสนาภาคิยสุเตฺตน สมานตฺถภาเวน สํสนฺทติ, ตสฺมา โลกิยํ สุตฺตํ เอกวิธมฺปิ สํกิเลสภาคิเยน จ วาสนาภาคิเยน จ ทฺวีหิ สุเตฺตหิ นิทฺทิสิตพฺพํฯ ทสฺสนปเกฺข ปวตฺตํ โลกุตฺตรํ สุตฺตํ ทสฺสนภาคิเยน สมานตฺถภาเวน สํสนฺทติ, ภาวนาปเกฺข ปวตฺตํ โลกุตฺตรํ สุตฺตํ ภาวนาภาคิเยน สมานตฺถภาเวน สํสนฺทติ, อเสกฺขปเกฺข ปวตฺตํ โลกุตฺตรํ สุตฺตํ อเสกฺขภาคิเยน สมานตฺถภาเวน สํสนฺทติ, ตสฺมา โลกุตฺตรมฺปิ สุตฺตํ ทสฺสนภาคิเยน จ ภาวนาภาคิเยน จ อเสกฺขภาคิเยน จ ตีหิ สุเตฺตหิ นิทฺทิสิตพฺพํฯ วุตฺตนยานุสาเรน เสเสสุปิ สํสนฺทนโยชนา กาตพฺพาฯ
Tattha tatthāti tesu soḷasavidhesu saṃkilesabhāgiyādīsu sāsanapaṭṭhānasuttavisesesu ceva aṭṭhavīsatividhesu lokiyādīsu sāsanapaṭṭhānasuttavisesesu ca akusalapakkhe pavattaṃ lokiyaṃ suttaṃ saṃkilesabhāgiyasuttena samānatthabhāvena saṃsandati, kusalapakkhe pavattaṃ lokiyaṃ suttaṃ vāsanābhāgiyasuttena samānatthabhāvena saṃsandati, tasmā lokiyaṃ suttaṃ ekavidhampi saṃkilesabhāgiyena ca vāsanābhāgiyena ca dvīhi suttehi niddisitabbaṃ. Dassanapakkhe pavattaṃ lokuttaraṃ suttaṃ dassanabhāgiyena samānatthabhāvena saṃsandati, bhāvanāpakkhe pavattaṃ lokuttaraṃ suttaṃ bhāvanābhāgiyena samānatthabhāvena saṃsandati, asekkhapakkhe pavattaṃ lokuttaraṃ suttaṃ asekkhabhāgiyena samānatthabhāvena saṃsandati, tasmā lokuttarampi suttaṃ dassanabhāgiyena ca bhāvanābhāgiyena ca asekkhabhāgiyena ca tīhi suttehi niddisitabbaṃ. Vuttanayānusārena sesesupi saṃsandanayojanā kātabbā.
อมฺหากาจริย ตุเมฺหหิ อมฺหากาจริเยหิ นยทสฺสนวเสน สุตฺตวิเสสสํสนฺทนํ ทสฺสิตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘กิมตฺถาย สํกิเลสภาคิยาทิเภเทน วิภชิตฺวา ภควตา วุตฺต’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘วาสนาภาคิยํ สุตฺตํ สํกิเลสภาคิยสฺส สุตฺตสฺส นิคฺฆาตายา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เอตฺถ จ สุตฺตวเสน สุตฺตตฺถา คหิตาฯ
Amhākācariya tumhehi amhākācariyehi nayadassanavasena suttavisesasaṃsandanaṃ dassitaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘kimatthāya saṃkilesabhāgiyādibhedena vibhajitvā bhagavatā vutta’’nti vattabbattā ‘‘vāsanābhāgiyaṃ suttaṃ saṃkilesabhāgiyassa suttassa nigghātāyā’’tiādi vuttaṃ. Ettha ca suttavasena suttatthā gahitā.
‘‘ยํ สตฺตาธิฎฺฐานํ อาจริเยน นิทฺธาริตํ, ตํ สตฺตาธิฎฺฐานํ กิตฺตเกหิ สุเตฺตหิ วิภชิตฺวา นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘โลกุตฺตรํ สุตฺตํ สตฺตาธิฎฺฐานํ ฉพฺพิสติยา ปุคฺคเลหิ นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํฯ ‘‘เต ฉพฺพีสติ ปุคฺคลา กติหิ สุเตฺตหิ สมเนฺวสิตพฺพา’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘เต ตีหี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ทสฺสนภาคิเยน สตฺตาธิฎฺฐาเนน, ภาวนาภาคิเยน สตฺตาธิฎฺฐาเนน, อเสกฺขภาคิเยน สตฺตาธิฎฺฐาเนน จาติ ตีหิ สุเตฺตหิ เต ฉพฺพีสติ ปุคฺคลา สมเนฺวสิตพฺพาฯ
‘‘Yaṃ sattādhiṭṭhānaṃ ācariyena niddhāritaṃ, taṃ sattādhiṭṭhānaṃ kittakehi suttehi vibhajitvā niddisitabba’’nti vattabbattā ‘‘lokuttaraṃ suttaṃ sattādhiṭṭhānaṃ chabbisatiyā puggalehi niddisitabba’’nti vuttaṃ. ‘‘Te chabbīsati puggalā katihi suttehi samanvesitabbā’’ti vattabbattā ‘‘te tīhī’’tiādi vuttaṃ. Dassanabhāgiyena sattādhiṭṭhānena, bhāvanābhāgiyena sattādhiṭṭhānena, asekkhabhāgiyena sattādhiṭṭhānena cāti tīhi suttehi te chabbīsati puggalā samanvesitabbā.
‘‘กตเมหิ กตเมหิ กตมํ กตมํ สุตฺตํ นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ ทสฺสนภาคิย’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ตตฺถาติ เตสุ ตีสุ ทสฺสนภาคิยาทีสุ สุเตฺตสุฯ ตตฺถาติ วา เตสุ ฉพฺพีสติยา ปุคฺคเลสุฯ สตฺตาธิฎฺฐาเนกเทสํ ทสฺสนภาคิยํ สุตฺตํ เอกพีชินา ปุคฺคเลน จ นิทฺทิสิตพฺพํ…เป.… ธมฺมานุสารินา ปุคฺคเลน จ นิทฺทิสิตพฺพํ, อิติ อิเมหิ ปญฺจหิ ปุคฺคเลหิ สตฺตาธิฎฺฐาเนกเทสํ ทสฺสนภาคิยํ สุตฺตํ นิทฺทิสิตพฺพํฯ เอตฺถ จ ทสฺสนคฺคหเณน โสตาปตฺติผลฎฺฐาปิ คหิตา, ตสฺมา เอกพีชิโกลํโกลสตฺตกฺขตฺตุปรมา ผลฎฺฐาปิ คหิตาฯ
‘‘Katamehi katamehi katamaṃ katamaṃ suttaṃ niddisitabba’’nti vattabbattā ‘‘tattha dassanabhāgiya’’ntiādi vuttaṃ. Tattha tatthāti tesu tīsu dassanabhāgiyādīsu suttesu. Tatthāti vā tesu chabbīsatiyā puggalesu. Sattādhiṭṭhānekadesaṃ dassanabhāgiyaṃ suttaṃ ekabījinā puggalena ca niddisitabbaṃ…pe… dhammānusārinā puggalena ca niddisitabbaṃ, iti imehi pañcahi puggalehi sattādhiṭṭhānekadesaṃ dassanabhāgiyaṃ suttaṃ niddisitabbaṃ. Ettha ca dassanaggahaṇena sotāpattiphalaṭṭhāpi gahitā, tasmā ekabījikolaṃkolasattakkhattuparamā phalaṭṭhāpi gahitā.
สทฺธานุสารี ปน โย วิปสฺสนากฺขเณ สทฺธํ ธุรํ กตฺวา โสตาปตฺติมคฺคํ นิพฺพเตฺตติ, โส ปุคฺคโล นิพฺพเตฺตตพฺพโสตาปตฺติมคฺคกฺขเณ สทฺธานุสารี นาม, สทฺธาย สมาปตฺติํ อนุสฺสรติ, อิติ สทฺธาย สมาปตฺติยา อนุสฺสรณโต โสตาปตฺติมคฺคโฎฺฐ ปุคฺคโล สทฺธานุสารี นามฯ โส ปุคฺคโล โสตาปตฺติผลกฺขเณ สทฺธาย วิมุตฺตตฺตา สทฺธาวิมุโตฺต หุตฺวา เอกพีชิโกลํโกลสตฺตกฺขตฺตุปรโม ภวติฯ โย ปน ปุคฺคโล วิปสฺสนากฺขเณ ปญฺญํ ธุรํ กตฺวา โสตาปตฺติมคฺคํ นิพฺพเตฺตติ, โส ปุคฺคโล นิพฺพเตฺตตพฺพโสตาปตฺติมคฺคกฺขเณ ธมฺมานุสารี นาม, ธเมฺมน ปญฺญาย สมาปตฺติํ อนุสฺสรติ, อิติ ธเมฺมน ปญฺญาย สมาปตฺติยา อนุสฺสรณโต ธมฺมานุสารี นามฯ โส ปุคฺคโล ผลกฺขเณ ทิฎฺฐิยา ปญฺญาย นิโรธํ ปตฺตตฺตา ทิฎฺฐิปโตฺต หุตฺวา เอกพีชิ…เป.… ปรโม ภวติฯ ธโมฺมติ เจตฺถ ปญฺญา คหิตาฯ อิติ ปเภทโต เทฺว มคฺคฎฺฐา, ฉ ผลฎฺฐาติ อฎฺฐหิ อริยปุคฺคเลหิ, สมฺปิณฺฑิเต ปน ปญฺจหิ อริยปุคฺคเลหิ สตฺตาธิฎฺฐาเนกเทสํ ทสฺสนภาคิยํ สุตฺตํ นิทฺทิสิตพฺพํฯ
Saddhānusārī pana yo vipassanākkhaṇe saddhaṃ dhuraṃ katvā sotāpattimaggaṃ nibbatteti, so puggalo nibbattetabbasotāpattimaggakkhaṇe saddhānusārī nāma, saddhāya samāpattiṃ anussarati, iti saddhāya samāpattiyā anussaraṇato sotāpattimaggaṭṭho puggalo saddhānusārī nāma. So puggalo sotāpattiphalakkhaṇe saddhāya vimuttattā saddhāvimutto hutvā ekabījikolaṃkolasattakkhattuparamo bhavati. Yo pana puggalo vipassanākkhaṇe paññaṃ dhuraṃ katvā sotāpattimaggaṃ nibbatteti, so puggalo nibbattetabbasotāpattimaggakkhaṇe dhammānusārī nāma, dhammena paññāya samāpattiṃ anussarati, iti dhammena paññāya samāpattiyā anussaraṇato dhammānusārī nāma. So puggalo phalakkhaṇe diṭṭhiyā paññāya nirodhaṃ pattattā diṭṭhipatto hutvā ekabīji…pe… paramo bhavati. Dhammoti cettha paññā gahitā. Iti pabhedato dve maggaṭṭhā, cha phalaṭṭhāti aṭṭhahi ariyapuggalehi, sampiṇḍite pana pañcahi ariyapuggalehi sattādhiṭṭhānekadesaṃ dassanabhāgiyaṃ suttaṃ niddisitabbaṃ.
อิเมสํ เอกพีชิอาทีนํ ปุคฺคลานํ สตฺตาธิฎฺฐาเนกเทสตฺถตฺตา เจว ทสฺสนภาคิยตฺถตฺตา จ สตฺตาธิฎฺฐาเนกเทสํ ทสฺสนภาคิยํ สุตฺตํ เอตฺตเกหิ ปุคฺคเลหิ นิทฺทิสิตพฺพนฺติ นิยเมตฺวา อาจริเยน วิภตฺตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘สตฺตาธิฎฺฐาเนกเทสํ ทสฺสนภาคิยํ สุตฺตํ กิตฺตเกหิ ปุคฺคเลหิ นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา –
Imesaṃ ekabījiādīnaṃ puggalānaṃ sattādhiṭṭhānekadesatthattā ceva dassanabhāgiyatthattā ca sattādhiṭṭhānekadesaṃ dassanabhāgiyaṃ suttaṃ ettakehi puggalehi niddisitabbanti niyametvā ācariyena vibhattaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘sattādhiṭṭhānekadesaṃ dassanabhāgiyaṃ suttaṃ kittakehi puggalehi niddisitabba’’nti pucchitabbattā –
‘‘ภาวนาภาคิยํ สุตฺตํ ทฺวาทสหิ ปุคฺคเลหิ นิทฺทิสิตพฺพํ สกทาคามิผลสจฺฉิกิริยาย ปฎิปเนฺนน, สกทาคามินา, อนาคามิผลสจฺฉิกิริยาย ปฎิปเนฺนน, อนาคามินา, อนฺตราปรินิพฺพายินา, อุปหจฺจปรินิพฺพายินา, อสงฺขารปรินิพฺพายินา, สสงฺขารปรินิพฺพายินา , อุทฺธํโสเตน อกนิฎฺฐคามินา, สทฺธาวิมุเตฺตน, ทิฎฺฐิปฺปเตฺตน, กายสกฺขินา จาติ ภาวนาภาคิยํ สุตฺตํ อิเมหิ ทฺวาทสหิ ปุคฺคเลหิ นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ –
‘‘Bhāvanābhāgiyaṃ suttaṃ dvādasahi puggalehi niddisitabbaṃ sakadāgāmiphalasacchikiriyāya paṭipannena, sakadāgāminā, anāgāmiphalasacchikiriyāya paṭipannena, anāgāminā, antarāparinibbāyinā, upahaccaparinibbāyinā, asaṅkhāraparinibbāyinā, sasaṅkhāraparinibbāyinā , uddhaṃsotena akaniṭṭhagāminā, saddhāvimuttena, diṭṭhippattena, kāyasakkhinā cāti bhāvanābhāgiyaṃ suttaṃ imehi dvādasahi puggalehi niddisitabba’’nti –
วุตฺตํฯ ตตฺถาปิ สตฺตาธิฎฺฐาเนกเทสํ ภาวนาภาคิยํ สุตฺตนฺติ คเหตพฺพํฯ สกทา…เป.… ปเนฺนน สกทาคามิมคฺคเฎฺฐน ปุคฺคเลน, สกทาคามินา สกทาคามิผลเฎฺฐน, อนาคามิ…เป.… ปเนฺนน อนาคามิมคฺคเฎฺฐน, อนาคามินา อนาคามิผลเฎฺฐน, อวิหาทีสุ ปญฺจสุ สุทฺธาวาเสสุ อายุเวมชฺฌํ อนติกฺกมิตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา ปรินิพฺพายนสภาเวน อนฺตราปรินิพฺพายีนามเกน อนาคามินา, อายุเวมชฺฌํ อติกฺกมิตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา ปรินิพฺพายนสภาเวน อุปหจฺจปรินิพฺพายีนามเกน อนาคามินา, อสงฺขาเรน อปฺปโยเคน อรหตฺตํ ปตฺวา ปรินิพฺพายนสภาเวน อสงฺขารปรินิพฺพายีนามเกน อนาคามินา, สสงฺขาเรน สปฺปโยเคน อรหตฺตํ ปตฺวา ปรินิพฺพายนสภาเวน สสงฺขารปรินิพฺพายีนามเกน อนาคามินา, อวิหาทีหิ อุทฺธํ อตปฺปาทีสุ อุปปตฺติโสเตน อรหตฺตํ ปตฺวา ปรินิพฺพายนสภาเวน อุทฺธํโสตนามเกน อนาคามินา, อกนิฎฺฐํ คนฺตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา ปรินิพฺพายนสภาเวน อกนิฎฺฐคามีนามเกน อนาคามินา, สทฺธาย วิมุตฺตตฺตา สทฺธาวิมุตฺตนามเกน อนาคามินา, ทิฎฺฐิยา ปญฺญาย นิโรธํ ปตฺตตฺตา ทิฎฺฐิปฺปตฺตนามเกน อนาคามินา จาติ อิเมหิ เอกาทสหิ อฌานลาภีปุคฺคเลหิ จ, กาเยน นามกาเย ผุฎฺฐานํ อรูปฌานานํ อนนฺตรํ นิพฺพานํ สจฺฉิกโรติ, อิติ สจฺฉิกรณโต กายสกฺขีนามเกน ฌานลาภินา จาติ ทฺวาทสหิ ปุคฺคเลหิ นิทฺทิสิตพฺพํฯ
Vuttaṃ. Tatthāpi sattādhiṭṭhānekadesaṃ bhāvanābhāgiyaṃ suttanti gahetabbaṃ. Sakadā…pe… pannena sakadāgāmimaggaṭṭhena puggalena, sakadāgāminā sakadāgāmiphalaṭṭhena, anāgāmi…pe… pannena anāgāmimaggaṭṭhena, anāgāminā anāgāmiphalaṭṭhena, avihādīsu pañcasu suddhāvāsesu āyuvemajjhaṃ anatikkamitvā arahattaṃ patvā parinibbāyanasabhāvena antarāparinibbāyīnāmakena anāgāminā, āyuvemajjhaṃ atikkamitvā arahattaṃ patvā parinibbāyanasabhāvena upahaccaparinibbāyīnāmakena anāgāminā, asaṅkhārena appayogena arahattaṃ patvā parinibbāyanasabhāvena asaṅkhāraparinibbāyīnāmakena anāgāminā, sasaṅkhārena sappayogena arahattaṃ patvā parinibbāyanasabhāvena sasaṅkhāraparinibbāyīnāmakena anāgāminā, avihādīhi uddhaṃ atappādīsu upapattisotena arahattaṃ patvā parinibbāyanasabhāvena uddhaṃsotanāmakena anāgāminā, akaniṭṭhaṃ gantvā arahattaṃ patvā parinibbāyanasabhāvena akaniṭṭhagāmīnāmakena anāgāminā, saddhāya vimuttattā saddhāvimuttanāmakena anāgāminā, diṭṭhiyā paññāya nirodhaṃ pattattā diṭṭhippattanāmakena anāgāminā cāti imehi ekādasahi ajhānalābhīpuggalehi ca, kāyena nāmakāye phuṭṭhānaṃ arūpajhānānaṃ anantaraṃ nibbānaṃ sacchikaroti, iti sacchikaraṇato kāyasakkhīnāmakena jhānalābhinā cāti dvādasahi puggalehi niddisitabbaṃ.
อิเมสํ วุตฺตปฺปการานํ ปุคฺคลานํ สตฺตาธิฎฺฐาเนกเทสตฺถตฺตา เจว ภาวนาภาคิยตฺถตฺตา จ สตฺตาธิฎฺฐาเนกเทสํ ภาวนาภาคิยํ สุตฺตํ เอตฺตเกหิ ปุคฺคเลหิ นิทฺทิสิตพฺพนฺติ นิยเมตฺวา อาจริเยน วิภตฺตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘กิตฺตเกหิ ปุคฺคเลหิ สตฺตาธิฎฺฐาเนกเทสํ อเสกฺขภาคิยํ สุตฺตํ นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา –
Imesaṃ vuttappakārānaṃ puggalānaṃ sattādhiṭṭhānekadesatthattā ceva bhāvanābhāgiyatthattā ca sattādhiṭṭhānekadesaṃ bhāvanābhāgiyaṃ suttaṃ ettakehi puggalehi niddisitabbanti niyametvā ācariyena vibhattaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘kittakehi puggalehi sattādhiṭṭhānekadesaṃ asekkhabhāgiyaṃ suttaṃ niddisitabba’’nti vattabbattā –
‘‘อเสกฺขภาคิยํ สุตฺตํ นวหิ ปุคฺคเลหิ นิทฺทิสิตพฺพํ สทฺธาวิมุเตฺตน, ปญฺญาวิมุเตฺตน, สุญฺญตวิมุเตฺตน, อนิมิตฺตวิมุเตฺตน, อปฺปณิหิตวิมุเตฺตน, อุภโตภาควิมุเตฺตน, สมสีสินา, ปเจฺจกพุเทฺธหิ, สมฺมาสมฺพุเทฺธหิ จาติ อเสกฺขภาคิยํ สุตฺตํ อิเมหิ นวหิ ปุคฺคเลหิ นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ –
‘‘Asekkhabhāgiyaṃ suttaṃ navahi puggalehi niddisitabbaṃ saddhāvimuttena, paññāvimuttena, suññatavimuttena, animittavimuttena, appaṇihitavimuttena, ubhatobhāgavimuttena, samasīsinā, paccekabuddhehi, sammāsambuddhehi cāti asekkhabhāgiyaṃ suttaṃ imehi navahi puggalehi niddisitabba’’nti –
วุตฺตํ ฯ ตตฺถ สตฺตาธิฎฺฐาเนกเทสํ อเสกฺขภาคิยํ สุตฺตํ นิทฺทิสิตพฺพนฺติ โยเชตพฺพํฯ สทฺธาย กิเลเสหิ วิมุตฺตตฺตา อรหตฺตผลกฺขเณ สทฺธาวิมุโตฺต อรหา, เตน สทฺธาวิมุเตฺตนฯ ปญฺญาย วิมุตฺตตฺตา อรหตฺตผลกฺขเณ ปญฺญาวิมุโตฺต อรหา, เตน ปญฺญาวิมุเตฺตนฯ สุญฺญตวิปสฺสนาสงฺขาเตน อนตฺตานุปสฺสเนน วิมุตฺตตฺตา สุญฺญตวิมุโตฺต อรหา, เตน สุญฺญตวิมุเตฺตนฯ อนิมิตฺตานุปสฺสนาสงฺขาเตน อนิจฺจานุปสฺสเนน วิมุตฺตตฺตา อนิมิตฺตวิมุโตฺต อรหา, เตน อนิมิตฺตวิมุเตฺตนฯ อปฺปณิหิตานุปสฺสนาสงฺขาเตน ทุกฺขานุปสฺสเนน วิมุตฺตตฺตา อปฺปณิหิตวิมุโตฺต อรหา, เตน อปฺปณิหิตวิมุเตฺตนฯ อุภโต รูปกายนามกายโต อุภโตภาคโต วิมุตฺตตฺตา อุภโตภาควิมุโตฺต อรหา, เตน อุภโตภาควิมุเตฺตนฯ ปุริมา ปญฺจ ปุคฺคลา อฌานลาภิโน คหิตา, อุภโตภาควิมุโตฺต ปน ฌานลาภีคหิโตฯ
Vuttaṃ . Tattha sattādhiṭṭhānekadesaṃ asekkhabhāgiyaṃ suttaṃ niddisitabbanti yojetabbaṃ. Saddhāya kilesehi vimuttattā arahattaphalakkhaṇe saddhāvimutto arahā, tena saddhāvimuttena. Paññāya vimuttattā arahattaphalakkhaṇe paññāvimutto arahā, tena paññāvimuttena. Suññatavipassanāsaṅkhātena anattānupassanena vimuttattā suññatavimutto arahā, tena suññatavimuttena. Animittānupassanāsaṅkhātena aniccānupassanena vimuttattā animittavimutto arahā, tena animittavimuttena. Appaṇihitānupassanāsaṅkhātena dukkhānupassanena vimuttattā appaṇihitavimutto arahā, tena appaṇihitavimuttena. Ubhato rūpakāyanāmakāyato ubhatobhāgato vimuttattā ubhatobhāgavimutto arahā, tena ubhatobhāgavimuttena. Purimā pañca puggalā ajhānalābhino gahitā, ubhatobhāgavimutto pana jhānalābhīgahito.
สมสีสี นาม อิริยาปถสมสีสี, โรคสมสีสี, ชีวิตสมสีสีติ ติวิธา โหนฺติฯ อิเมสุ ตีสุ สมสีสีสุ โย อรหา จตูสุ อิริยาปเถสุ เอเกกสฺมิํ อิริยาปเถ อรหตฺตํ ปตฺวา อญฺญํ อิริยาปถํ อสงฺกมิตฺวา ตสฺมิํ ตสฺมิํ อิริยาปเถเยว ปรินิพฺพายติ, อยํ อรหา อิริยาปถสมสีสี นามฯ โย อรหา ยสฺมิํ โรเค อุปฺปเนฺน อรหตฺตํ ปตฺวา ตโต โรคโต อนุฎฺฐหิตฺวา ตสฺมิํ โรเคเยว ปรินิพฺพายติ, อยํ อรหา โรคสมสีสี นามฯ โย อรหา ปจฺจเวกฺขณวีถิยานนฺตรํ ภวงฺคํ โอตริตฺวา ตโต มรณาสนฺนชวนวีถิยานนฺตรเมว ปรินิพฺพายติ, อยํ อรหา วารสมตาย ชีวิตสมสีสี นามฯ วารสมตาติ จ ปจฺจเวกฺขณวีถิ มคฺควิถฺยานุวตฺตกตฺตา ปจฺจเวกฺขณวีถิอนนฺตรํ ปวตฺตมานายปิ มรณาสนฺนวีถิ มคฺควีถิอนนฺตรํ ปวตฺตาติ วตฺตพฺพารหา, ตสฺมา วีถิอนนฺตรตา วารสมตา นามฯ ตาย วารสมตาย จ ชีวิตสมสีสี วุโตฺตฯ
Samasīsī nāma iriyāpathasamasīsī, rogasamasīsī, jīvitasamasīsīti tividhā honti. Imesu tīsu samasīsīsu yo arahā catūsu iriyāpathesu ekekasmiṃ iriyāpathe arahattaṃ patvā aññaṃ iriyāpathaṃ asaṅkamitvā tasmiṃ tasmiṃ iriyāpatheyeva parinibbāyati, ayaṃ arahā iriyāpathasamasīsī nāma. Yo arahā yasmiṃ roge uppanne arahattaṃ patvā tato rogato anuṭṭhahitvā tasmiṃ rogeyeva parinibbāyati, ayaṃ arahā rogasamasīsī nāma. Yo arahā paccavekkhaṇavīthiyānantaraṃ bhavaṅgaṃ otaritvā tato maraṇāsannajavanavīthiyānantarameva parinibbāyati, ayaṃ arahā vārasamatāya jīvitasamasīsī nāma. Vārasamatāti ca paccavekkhaṇavīthi maggavithyānuvattakattā paccavekkhaṇavīthianantaraṃ pavattamānāyapi maraṇāsannavīthi maggavīthianantaraṃ pavattāti vattabbārahā, tasmā vīthianantaratā vārasamatā nāma. Tāya vārasamatāya ca jīvitasamasīsī vutto.
สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณีติ เอตฺถปิ ปจฺจเวกฺขณวีถิยานนฺตรํ ภวงฺคํ โอตริตฺวา ภวงฺคโต วุฎฺฐาย ปวตฺตวีถิยา ปฎิสมฺภิทาญาณานิ ปวตฺตนฺติฯ วุตฺตนเยน วีถิอนนฺตรตาย วารสมตาย ‘‘สห ปฎิสมฺภิทาหี’’ติ วุตฺตํฯ ภควโต สพฺพญฺญุตญฺญาณมฺปิ ปจฺจเวกฺขณวีถิยานนฺตรํ ภวงฺคํ โอตริตฺวา ภวงฺคโต วุฎฺฐาย ปวตฺตวีถิยา ปฐมํ ปวตฺตตีติ เวทิตพฺพํฯ อิมินา ชีวิตสมสีสินา, สเพฺพหิ ปเจฺจกพุเทฺธหิ, สเพฺพหิ สมฺมาสมฺพุเทฺธหิ จาติ อิเมหิ นวหิ ปุคฺคเลหิ สตฺตาธิฎฺฐาเนกเทสํ อเสกฺขภาคิยํ สุตฺตํ นิทฺทิสิตพฺพํฯ
Saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇīti etthapi paccavekkhaṇavīthiyānantaraṃ bhavaṅgaṃ otaritvā bhavaṅgato vuṭṭhāya pavattavīthiyā paṭisambhidāñāṇāni pavattanti. Vuttanayena vīthianantaratāya vārasamatāya ‘‘saha paṭisambhidāhī’’ti vuttaṃ. Bhagavato sabbaññutaññāṇampi paccavekkhaṇavīthiyānantaraṃ bhavaṅgaṃ otaritvā bhavaṅgato vuṭṭhāya pavattavīthiyā paṭhamaṃ pavattatīti veditabbaṃ. Iminā jīvitasamasīsinā, sabbehi paccekabuddhehi, sabbehi sammāsambuddhehi cāti imehi navahi puggalehi sattādhiṭṭhānekadesaṃ asekkhabhāgiyaṃ suttaṃ niddisitabbaṃ.
อิเมสํ ปุคฺคลานํ สตฺตาธิฎฺฐาเนกเทสตฺถตฺตา เจว อเสกฺขภาคิยตฺถตฺตา จ เอวํ อิมินา ‘‘โลกุตฺตรํ สุตฺตํ สตฺตาธิฎฺฐาน’’นฺติอาทินา ปกาเรน วุเตฺตหิ อิเมหิ ฉพฺพีสติยา ปุคฺคเลหิ อริเยหิ ทสฺสนภาคิยวาสนาภาคิยอเสกฺขภาคิยสุตฺตานํ วเสน โลกุตฺตรํ สุตฺตํ สตฺตาธิฎฺฐาเนกเทสํ สุตฺตํ นิทฺทิสิตพฺพํฯ
Imesaṃ puggalānaṃ sattādhiṭṭhānekadesatthattā ceva asekkhabhāgiyatthattā ca evaṃ iminā ‘‘lokuttaraṃ suttaṃ sattādhiṭṭhāna’’ntiādinā pakārena vuttehi imehi chabbīsatiyā puggalehi ariyehi dassanabhāgiyavāsanābhāgiyaasekkhabhāgiyasuttānaṃ vasena lokuttaraṃ suttaṃ sattādhiṭṭhānekadesaṃ suttaṃ niddisitabbaṃ.
อิเมสํ ฉพฺพีสติยา ปุคฺคลานํ สกลโลกุตฺตรสุตฺตตฺถตฺตา เจว สตฺตาธิฎฺฐาเนกเทสสุตฺตตฺถตฺตา จ โลกุตฺตรํ สตฺตาธิฎฺฐาเนกเทสํ สุตฺตํฯ เอตฺตเกหิ ปุคฺคเลหิ นิทฺทิสิตพฺพนฺติ อาจริเยน นิยเมตฺวา วิภตฺตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘โลกิยํ สตฺตาธิฎฺฐาเนกเทสํ สุตฺตํ กิตฺตเกหิ ปุคฺคเลหิ นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘โลกิยํ สุตฺตํ สตฺตาธิฎฺฐานํ เอกูนวีสติยา ปุคฺคเลหิ นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ‘‘เต เอกูนวีสติ โลกิยา ปุคฺคลา กตเมหิ ธเมฺมหิ นิทฺทิฎฺฐา สมเนฺวสิตพฺพา’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘เต จริเตหี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เต เอกูนวีสติ โลกิยา ปุคฺคลา จริเตหิ จริตวิเสเสหิ นิทฺทิฎฺฐา สมเนฺวสิตพฺพาติฯ ‘‘กถํ จริเตหิ นิทฺทิฎฺฐา’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘เกจิ ราคจริตา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ราคจริตโทสจริตาทีหิ จริเตหิ เอกูนวีสติ โลกิยปุคฺคลา ราคจริตา, เกจิ โทสจริตา…เป.… โมหจริโต จาติ นิทฺทิฎฺฐาฯ อิติ นิทฺทิเฎฺฐหิ อิเมหิ เอกูนวีสติยา ปุคฺคเลหิ โลกิยสตฺตาธิฎฺฐาเนกเทสํ สุตฺตํ นิทฺทิสิตพฺพํฯ ‘‘โลกิย’’นฺติ สามญฺญวเสน วุตฺตมฺปิ ‘‘สํกิเลสภาคิยํ โลกิย’’นฺติ วิเสสโต วิญฺญาตพฺพํฯ
Imesaṃ chabbīsatiyā puggalānaṃ sakalalokuttarasuttatthattā ceva sattādhiṭṭhānekadesasuttatthattā ca lokuttaraṃ sattādhiṭṭhānekadesaṃ suttaṃ. Ettakehi puggalehi niddisitabbanti ācariyena niyametvā vibhattaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘lokiyaṃ sattādhiṭṭhānekadesaṃ suttaṃ kittakehi puggalehi niddisitabba’’nti vattabbattā ‘‘lokiyaṃ suttaṃ sattādhiṭṭhānaṃ ekūnavīsatiyā puggalehi niddisitabba’’ntiādi vuttaṃ. ‘‘Te ekūnavīsati lokiyā puggalā katamehi dhammehi niddiṭṭhā samanvesitabbā’’ti vattabbattā ‘‘te caritehī’’tiādi vuttaṃ. Te ekūnavīsati lokiyā puggalā caritehi caritavisesehi niddiṭṭhā samanvesitabbāti. ‘‘Kathaṃ caritehi niddiṭṭhā’’ti vattabbattā ‘‘keci rāgacaritā’’tiādi vuttaṃ. Rāgacaritadosacaritādīhi caritehi ekūnavīsati lokiyapuggalā rāgacaritā, keci dosacaritā…pe… mohacarito cāti niddiṭṭhā. Iti niddiṭṭhehi imehi ekūnavīsatiyā puggalehi lokiyasattādhiṭṭhānekadesaṃ suttaṃ niddisitabbaṃ. ‘‘Lokiya’’nti sāmaññavasena vuttampi ‘‘saṃkilesabhāgiyaṃ lokiya’’nti visesato viññātabbaṃ.
โลกิยํ สตฺตาธิฎฺฐาเนกเทสํ สุตฺตํ เอตฺตเกหิ ปุคฺคเลหิ นิทฺทิสิตพฺพนฺติ อาจริเยน นิยเมตฺวา วิภตฺตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘วาสนาภาคิยํ สตฺตาธิฎฺฐาเนกเทสํ สุตฺตํ กตเมหิ ปุคฺคเลหิ นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘วาสนาภาคิย’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ วาสนาภาคิยํ สตฺตาธิฎฺฐาเนกเทสํ สุตฺตํ สีลวเนฺตหิ ปุคฺคเลหิ, ธเมฺมหิ จ นิทฺทิสิตพฺพนฺติ โยเชตพฺพํฯ ‘‘กิตฺตกา สีลวนฺตปุคฺคลา’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘เต สีลวโนฺต ปญฺจ ปุคฺคลา’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘กิตฺตกา ธมฺมา’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ปกติสีล’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ปกติสีลวโนฺต จ สมาทานสีลวโนฺต จ จิตฺตปฺปสาทวโนฺต จ สมถวโนฺต จ วิปสฺสนาวโนฺต จาติ ปญฺจ ปุคฺคลา, ปกติสีลธโมฺม จ สมาทานสีลธโมฺม จ จิตฺตปฺปสาทธโมฺม จ สมถธโมฺม จ วิปสฺสนาธโมฺม จาติ ปญฺจ ธมฺมาติ อิเมหิ ปญฺจหิ ปุคฺคเลหิ, อิเมหิ ปญฺจหิ ธเมฺมหิ วาสนาภาคิยํ สตฺตาธิฎฺฐาเนกเทสธมฺมาธิฎฺฐาเนกเทสํ สุตฺตํ ยถากฺกมํ นิทฺทิสิตพฺพนฺติฯ
Lokiyaṃ sattādhiṭṭhānekadesaṃ suttaṃ ettakehi puggalehi niddisitabbanti ācariyena niyametvā vibhattaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘vāsanābhāgiyaṃ sattādhiṭṭhānekadesaṃ suttaṃ katamehi puggalehi niddisitabba’’nti vattabbattā ‘‘vāsanābhāgiya’’ntiādi vuttaṃ. Vāsanābhāgiyaṃ sattādhiṭṭhānekadesaṃ suttaṃ sīlavantehi puggalehi, dhammehi ca niddisitabbanti yojetabbaṃ. ‘‘Kittakā sīlavantapuggalā’’ti vattabbattā ‘‘te sīlavanto pañca puggalā’’ti vuttaṃ. ‘‘Kittakā dhammā’’ti vattabbattā ‘‘pakatisīla’’ntiādi vuttaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – pakatisīlavanto ca samādānasīlavanto ca cittappasādavanto ca samathavanto ca vipassanāvanto cāti pañca puggalā, pakatisīladhammo ca samādānasīladhammo ca cittappasādadhammo ca samathadhammo ca vipassanādhammo cāti pañca dhammāti imehi pañcahi puggalehi, imehi pañcahi dhammehi vāsanābhāgiyaṃ sattādhiṭṭhānekadesadhammādhiṭṭhānekadesaṃ suttaṃ yathākkamaṃ niddisitabbanti.
โลกุตฺตรํ สตฺตาธิฎฺฐานํ สุตฺตํ ทสฺสนภาคิยวาสนาภาคิยอเสกฺขภาคิยสุเตฺตหิ นิทฺทิสิตพฺพนฺติ อาจริเยน นิยเมตฺวา วิภตฺตํ, อเมฺหหิ จ ญาตํ, ‘‘โลกุตฺตรํ ธมฺมาธิฎฺฐานํ สุตฺตํ กิตฺตเกหิ สุเตฺตหิ นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘โลกุตฺตรํ สุตฺตํ ธมฺมาธิฎฺฐานํ…เป.… อเสกฺขภาคิเยนา’’ติ วุตฺตํฯ
Lokuttaraṃ sattādhiṭṭhānaṃ suttaṃ dassanabhāgiyavāsanābhāgiyaasekkhabhāgiyasuttehi niddisitabbanti ācariyena niyametvā vibhattaṃ, amhehi ca ñātaṃ, ‘‘lokuttaraṃ dhammādhiṭṭhānaṃ suttaṃ kittakehi suttehi niddisitabba’’nti vattabbattā ‘‘lokuttaraṃ suttaṃ dhammādhiṭṭhānaṃ…pe… asekkhabhāgiyenā’’ti vuttaṃ.
‘‘โลกิยญฺจ โลกุตฺตรญฺจ สตฺตาธิฎฺฐานญฺจ ธมฺมาธิฎฺฐานญฺจ กิตฺตเกหิ นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘โลกิยญฺจ…เป.… อุภเยน นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํฯ อุภเยนาติ โลกิยโลกุตฺตเรน, สตฺตาธิฎฺฐานธมฺมาธิฎฺฐาเนน สมานตฺถภาเวน นิทฺทิสิตพฺพนฺติฯ
‘‘Lokiyañca lokuttarañca sattādhiṭṭhānañca dhammādhiṭṭhānañca kittakehi niddisitabba’’nti vattabbattā ‘‘lokiyañca…pe… ubhayena niddisitabba’’nti vuttaṃ. Ubhayenāti lokiyalokuttarena, sattādhiṭṭhānadhammādhiṭṭhānena samānatthabhāvena niddisitabbanti.
‘‘ญาณํ กิตฺตเกหิ นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ญาณํ ปญฺญายา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ยสฺมิํ ยสฺมิํ สุเตฺต ญาณํ อาคตํ, ตสฺมิํ ตสฺมิํ สุเตฺต ญาณํ ญาณปริยาเยน ปญฺญาทินา นิทฺทิสิตพฺพนฺติฯ
‘‘Ñāṇaṃ kittakehi niddisitabba’’nti vattabbattā ‘‘ñāṇaṃ paññāyā’’tiādi vuttaṃ. Yasmiṃ yasmiṃ sutte ñāṇaṃ āgataṃ, tasmiṃ tasmiṃ sutte ñāṇaṃ ñāṇapariyāyena paññādinā niddisitabbanti.
‘‘เญยฺยํ กิตฺตเกน นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘เญยฺยํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปเนฺนหี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ยสฺมิํ ยสฺมิํ สุเตฺต เญยฺยํ อาคตํ, ตสฺมิํ ตสฺมิํ สุเตฺต เญยฺยํ เญยฺยปริยาเยน นิทฺทิสิตพฺพนฺติฯ
‘‘Ñeyyaṃ kittakena niddisitabba’’nti vattabbattā ‘‘ñeyyaṃ atītānāgatapaccuppannehī’’tiādi vuttaṃ. Yasmiṃ yasmiṃ sutte ñeyyaṃ āgataṃ, tasmiṃ tasmiṃ sutte ñeyyaṃ ñeyyapariyāyena niddisitabbanti.
‘‘ญาณญฺจ เญยฺยญฺจ กิตฺตเกน นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ญาณญฺจ เญยฺยญฺจ ตทุภเยนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ยสฺมิํ ยสฺมิํ สุเตฺต ญาณเญยฺยา อาคตา, ตสฺมิํ ตสฺมิํ สุเตฺต ญาณเญยฺยา ญาณเญยฺยปริยาเยน นิทฺทิสิตพฺพนฺติฯ
‘‘Ñāṇañca ñeyyañca kittakena niddisitabba’’nti vattabbattā ‘‘ñāṇañca ñeyyañca tadubhayenā’’tiādi vuttaṃ. Yasmiṃ yasmiṃ sutte ñāṇañeyyā āgatā, tasmiṃ tasmiṃ sutte ñāṇañeyyā ñāṇañeyyapariyāyena niddisitabbanti.
ทสฺสนสุเตฺต ยถา นิทฺทิฎฺฐํ, ตถา อุปธารยิตฺวา ลพฺภมานโต นิทฺทิสิตพฺพํฯ ภาวนาสุเตฺต ยถา นิทฺทิฎฺฐํ, ตถา อุปธารยิตฺวา ลพฺภมานโต นิทฺทิสิตพฺพํฯ ตทุภยํ ทสฺสนญฺจ ภาวนา จ สุเตฺต ยถา นิทฺทิฎฺฐํ, ตถา อุปธารยิตฺวา ลพฺภมานโต นิทฺทิสิตพฺพํฯ
Dassanasutte yathā niddiṭṭhaṃ, tathā upadhārayitvā labbhamānato niddisitabbaṃ. Bhāvanāsutte yathā niddiṭṭhaṃ, tathā upadhārayitvā labbhamānato niddisitabbaṃ. Tadubhayaṃ dassanañca bhāvanā ca sutte yathā niddiṭṭhaṃ, tathā upadhārayitvā labbhamānato niddisitabbaṃ.
‘‘สกวจนํ ปรวจน’’นฺติอาทีสุปิ เอวเมว วิสุํ วิสุํ จ เอกโต จ สุเตฺต ยถา นิทฺทิฎฺฐํ, ตถา อุปธารยิตฺวา ลพฺภมานโต นิทฺทิสิตพฺพนฺติ โยชนา กาตพฺพาฯ ‘‘เอตฺตกเมว นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ยํ วา ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
‘‘Sakavacanaṃparavacana’’ntiādīsupi evameva visuṃ visuṃ ca ekato ca sutte yathā niddiṭṭhaṃ, tathā upadhārayitvā labbhamānato niddisitabbanti yojanā kātabbā. ‘‘Ettakameva niddisitabba’’nti vattabbattā ‘‘yaṃ vā panā’’tiādi vuttaṃ.
‘‘วิปากสฺส เหตุ กมฺมเมวา’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ทุวิโธ เหตู’’ติอาทิ วุตฺตํฯ กิเลสา สํกิเลสภาคิยสุเตฺตน สมานตฺถภาเวน นิทฺทิสิตพฺพาฯ ตณฺหาสงฺขาโต สมุทโย วา กิเลสสงฺขาโต สมุทโย วา อกุสลสงฺขาโต สมุทโย วา สํกิเลสภาคิเยน สุเตฺตน สมานตฺถภาเวน นิทฺทิสิตโพฺพฯ โลกิยกุสลเหตุสงฺขาโต สมุทโย วา โลกิยกุสลสงฺขาโต สมุทโย วา วาสนาภาคิเยน สุเตฺตน สมานตฺถภาเวน นิทฺทิสิตโพฺพฯ
‘‘Vipākassa hetu kammamevā’’ti vattabbattā ‘‘duvidho hetū’’tiādi vuttaṃ. Kilesā saṃkilesabhāgiyasuttena samānatthabhāvena niddisitabbā. Taṇhāsaṅkhāto samudayo vā kilesasaṅkhāto samudayo vā akusalasaṅkhāto samudayo vā saṃkilesabhāgiyena suttena samānatthabhāvena niddisitabbo. Lokiyakusalahetusaṅkhāto samudayo vā lokiyakusalasaṅkhāto samudayo vā vāsanābhāgiyena suttena samānatthabhāvena niddisitabbo.
กมฺมญฺจ วิปาโก จ ยถารหํ ลพฺภมานสุเตฺตน นิทฺทิสิตโพฺพติ สามญฺญวเสน วิภโตฺต, ‘‘กุสลํ กตเมน นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ตตฺถ กุสล’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถาติ เตสุ อฎฺฐวีสติยา สาสนปฎฺฐานสุเตฺตสุ กุสลํ จตูหิ สุเตฺตหิ สมานตฺถภาเวน นิทฺทิสิตพฺพํฯ ‘‘กตเมหิ จตูหี’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘วาสนาภาคิเยนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ โลกิยกุสลํ วาสนาภาคิเยน นิทฺทิสิตพฺพํ สมานตฺถตฺตา, โลกุตฺตรกุสลํ ทสฺสนภาคิเยน, วาสนาภาคิเยน, อเสกฺขภาคิเยน จ ยถารหํ สมานตฺถภาเวน นิทฺทิสิตพฺพํฯ กุสลํ เอตฺตเกหิ นิทฺทิสิตพฺพนฺติ นิยเมตฺวา วิภตฺตํ, ‘‘อกุสลํ กตเมน นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘อกุสล’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ‘‘กุสลญฺจ อกุสลญฺจ กตเมน นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘กุสลญฺจ อกุสลญฺจ ตทุภเยน นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํฯ ยสฺมิํ ยสฺมิํ สุเตฺต ตทุภยํ อาคตํ, ตสฺมิํ ตสฺมิํ สุเตฺต อาคเตน ตทุภเยน นิทฺทิสิตพฺพํฯ
Kammañca vipāko ca yathārahaṃ labbhamānasuttena niddisitabboti sāmaññavasena vibhatto, ‘‘kusalaṃ katamena niddisitabba’’nti vattabbattā ‘‘tattha kusala’’ntiādi vuttaṃ. Tatthāti tesu aṭṭhavīsatiyā sāsanapaṭṭhānasuttesu kusalaṃ catūhi suttehi samānatthabhāvena niddisitabbaṃ. ‘‘Katamehi catūhī’’ti vattabbattā ‘‘vāsanābhāgiyenā’’tiādi vuttaṃ. Lokiyakusalaṃ vāsanābhāgiyena niddisitabbaṃ samānatthattā, lokuttarakusalaṃ dassanabhāgiyena, vāsanābhāgiyena, asekkhabhāgiyena ca yathārahaṃ samānatthabhāvena niddisitabbaṃ. Kusalaṃ ettakehi niddisitabbanti niyametvā vibhattaṃ, ‘‘akusalaṃ katamena niddisitabba’’nti vattabbattā ‘‘akusala’’ntiādi vuttaṃ. ‘‘Kusalañca akusalañca katamena niddisitabba’’nti vattabbattā ‘‘kusalañca akusalañca tadubhayena niddisitabba’’nti vuttaṃ. Yasmiṃ yasmiṃ sutte tadubhayaṃ āgataṃ, tasmiṃ tasmiṃ sutte āgatena tadubhayena niddisitabbaṃ.
‘‘อนุญฺญาตํ กตเมน นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘อนุญฺญาต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ อนุญฺญาตํ ภควโต อนุญฺญาตาย สมานตาย นิทฺทิสิตพฺพํฯ ‘‘กติวิธํ อนุญฺญาต’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ตํ ปญฺจวิธ’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ยํ อนุญฺญาตํ ยาสุ ยาสุ ภูมีสุ ทิสฺสติ, ตํ อนุญฺญาตํ ตาสุ ตาสุ ภูมีสุ อาคเตน สมาเนน กปฺปิยานุโลเมน นิทฺทิสิตพฺพํฯ
‘‘Anuññātaṃ katamena niddisitabba’’nti vattabbattā ‘‘anuññāta’’ntiādi vuttaṃ. Anuññātaṃ bhagavato anuññātāya samānatāya niddisitabbaṃ. ‘‘Katividhaṃ anuññāta’’nti vattabbattā ‘‘taṃ pañcavidha’’ntiādi vuttaṃ. Yaṃ anuññātaṃ yāsu yāsu bhūmīsu dissati, taṃ anuññātaṃ tāsu tāsu bhūmīsu āgatena samānena kappiyānulomena niddisitabbaṃ.
อนุญฺญาตํ อิมินา นิทฺทิสิตพฺพนฺติ อาจริเยน นิยเมตฺวา วิภตฺตํ, ‘‘ปฎิกฺขิตฺตํ กตเมน นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ปฎิกฺขิตฺตํ ภควตา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ภควตา ปฎิกฺขิตฺตํ ภควตา ปฎิกฺขิตฺตการเณน สุเตฺต อาคเตน วตฺถุนา การณผลภาเวน นิทฺทิสิตพฺพํฯ ยํ ปฎิกฺขิตฺตํ ยาสุ ยาสุ ภูมีสุ ทิสฺสติ, ตํ ปน ปฎิกฺขิตฺตํ ตาสุ ตาสุ ภูมีสุ อาคเตน ปากเฎน อกปฺปิยานุโลเมน นิทฺทิสิตพฺพํฯ
Anuññātaṃ iminā niddisitabbanti ācariyena niyametvā vibhattaṃ, ‘‘paṭikkhittaṃ katamena niddisitabba’’nti vattabbattā ‘‘paṭikkhittaṃ bhagavatā’’tiādi vuttaṃ. Bhagavatā paṭikkhittaṃ bhagavatā paṭikkhittakāraṇena sutte āgatena vatthunā kāraṇaphalabhāvena niddisitabbaṃ. Yaṃ paṭikkhittaṃ yāsu yāsu bhūmīsu dissati, taṃ pana paṭikkhittaṃ tāsu tāsu bhūmīsu āgatena pākaṭena akappiyānulomena niddisitabbaṃ.
‘‘อนุญฺญาตญฺจ ปฎิกฺขิตฺตญฺจ กตเมน นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘อนุญฺญาตญฺจ ปฎิกฺขิตฺตญฺจ ตทุภเยน นิทฺทิสิตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํฯ ยสฺมิํ ยสฺมิํ สุเตฺต อนุญฺญาตญฺจ ปฎิกฺขิตฺตญฺจ อาคตํ, ตสฺมิํ ตสฺมิํ สุเตฺต อาคเตน ตทุภเยน นิทฺทิสิตพฺพํฯ
‘‘Anuññātañca paṭikkhittañca katamena niddisitabba’’nti vattabbattā ‘‘anuññātañca paṭikkhittañca tadubhayena niddisitabba’’nti vuttaṃ. Yasmiṃ yasmiṃ sutte anuññātañca paṭikkhittañca āgataṃ, tasmiṃ tasmiṃ sutte āgatena tadubhayena niddisitabbaṃ.
‘‘ถโว กตเมน นิทฺทิสิตโพฺพ’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ถโว ปสํสายา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ยสฺมิํ ยสฺมิํ สุเตฺต ยา ยา ปสํสา อาคตา, ตสฺมิํ ตสฺมิํ สุเตฺต อาคตาย ตาย ตาย ปสํสาย ถโว นิทฺทิสิตโพฺพฯ ‘‘โย ถโว ปสํสาย นิทฺทิสิตโพฺพ, โส ถโว กติวิเธน นิทฺทิสิตโพฺพ’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘โส ปญฺจวิเธนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ภควโต ถโว จ ธมฺมสฺส ถโว จ อริยสงฺฆสฺส ถโว จ อริยธมฺมานํ สิกฺขาย ถโว จ โลกิยคุณสมฺปตฺติยา ถโว จาติ ปญฺจวิเธน เวทิตโพฺพฯ อิติ เอวํ วุตฺตปฺปกาเรน ปญฺจวิเธน ถโว นิทฺทิสิตโพฺพฯ
‘‘Thavo katamena niddisitabbo’’ti vattabbattā ‘‘thavo pasaṃsāyā’’tiādi vuttaṃ. Yasmiṃ yasmiṃ sutte yā yā pasaṃsā āgatā, tasmiṃ tasmiṃ sutte āgatāya tāya tāya pasaṃsāya thavo niddisitabbo. ‘‘Yo thavo pasaṃsāya niddisitabbo, so thavo katividhena niddisitabbo’’ti vattabbattā ‘‘so pañcavidhenā’’tiādi vuttaṃ. Bhagavato thavo ca dhammassa thavo ca ariyasaṅghassa thavo ca ariyadhammānaṃ sikkhāya thavo ca lokiyaguṇasampattiyā thavo cāti pañcavidhena veditabbo. Iti evaṃ vuttappakārena pañcavidhena thavo niddisitabbo.
อมฺหากาจริย อมฺหากาจริเยน อฎฺฐารส มูลปทา สาสนปฎฺฐาเน ทฎฺฐพฺพาติ วุตฺตา, ‘‘กตมานิ ตานิ อฎฺฐารส มูลปทานี’’ติ ปุจฺฉิตพฺพตฺตา ‘‘อินฺทฺริยภูมี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สาสนปฎฺฐาเน อินฺทฺริยภูมิ สทฺธินฺทฺริยาทิอินฺทฺริยภูมิ เยหิ นวหิ ปเทหิ นิทฺทิสิตพฺพา, สาสนปฎฺฐาเน กิเลสภูมิ เยหิ นวหิ ปเทหิ นิทฺทิสิตพฺพา, เอวํ อิมินา ปกาเรน เอตานิ มูลปทานิ นว ปทานิ กุสลปทานิ, นว ปทานิ อกุสลปทานีติ อฎฺฐารส มูลปทานิ โหนฺติฯ สาสนปฎฺฐาเน ทฎฺฐพฺพา, ‘‘เกน การเณน อฎฺฐารส มูลปทา สาสนปฎฺฐาเน ทฎฺฐพฺพาติ วิญฺญายตี’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘ตถา หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตถา หีติ ตโต เอว อฎฺฐารสมูลปทานํ สาสนปฎฺฐาเน ทฎฺฐพฺพตฺตา ‘‘อฎฺฐารส มูลปทา กุหิํ ทฎฺฐพฺพา? สาสนปฎฺฐาเน’’ติ ยํ วจนํ วุตฺตํ, เตน วจเนน วิญฺญายตีติฯ ‘‘เกน มูลปทานํ นวกุสลปทนวอกุสลปทภาเวน อฎฺฐารสภาโว วิญฺญายตี’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘เตนาหา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เตน มูลปทานํ นวกุสลปทนวอกุสลปทภาวโต อายสฺมา มหากจฺจาโน –
Amhākācariya amhākācariyena aṭṭhārasa mūlapadā sāsanapaṭṭhāne daṭṭhabbāti vuttā, ‘‘katamāni tāni aṭṭhārasa mūlapadānī’’ti pucchitabbattā ‘‘indriyabhūmī’’tiādi vuttaṃ. Sāsanapaṭṭhāne indriyabhūmi saddhindriyādiindriyabhūmi yehi navahi padehi niddisitabbā, sāsanapaṭṭhāne kilesabhūmi yehi navahi padehi niddisitabbā, evaṃ iminā pakārena etāni mūlapadāni nava padāni kusalapadāni, nava padāni akusalapadānīti aṭṭhārasa mūlapadāni honti. Sāsanapaṭṭhāne daṭṭhabbā, ‘‘kena kāraṇena aṭṭhārasa mūlapadā sāsanapaṭṭhāne daṭṭhabbāti viññāyatī’’ti vattabbattā ‘‘tathā hī’’tiādi vuttaṃ. Tathā hīti tato eva aṭṭhārasamūlapadānaṃ sāsanapaṭṭhāne daṭṭhabbattā ‘‘aṭṭhārasa mūlapadā kuhiṃ daṭṭhabbā? Sāsanapaṭṭhāne’’ti yaṃ vacanaṃ vuttaṃ, tena vacanena viññāyatīti. ‘‘Kena mūlapadānaṃ navakusalapadanavaakusalapadabhāvena aṭṭhārasabhāvo viññāyatī’’ti vattabbattā ‘‘tenāhā’’tiādi vuttaṃ. Tena mūlapadānaṃ navakusalapadanavaakusalapadabhāvato āyasmā mahākaccāno –
‘‘นวหิ จ ปเทหิ กุสลา, นวหิ จ ยุชฺชนฺติ อกุสลปกฺขา;
‘‘Navahi ca padehi kusalā, navahi ca yujjanti akusalapakkhā;
เอเต โข มูลปทา, ภวนฺติ อฎฺฐารส ปทานี’’ติฯ –
Ete kho mūlapadā, bhavanti aṭṭhārasa padānī’’ti. –
ยํ วจนํ อาห, เตน ‘‘นวหิ…เป.… ปทานี’’ติ วจเนน มูลปทานํ นวกุสลปทนวอกุสลปทภาเวน อฎฺฐารสภาโว วิญฺญายตีติฯ
Yaṃ vacanaṃ āha, tena ‘‘navahi…pe… padānī’’ti vacanena mūlapadānaṃ navakusalapadanavaakusalapadabhāvena aṭṭhārasabhāvo viññāyatīti.
‘‘ยํ ยํ สํกิเลสภาคิยาทิโสฬสวิธํ สาสนปฎฺฐานเญฺจว ยํ ยํ โลกิยาทิอฎฺฐวีสติวิธํ สาสนปฎฺฐานญฺจ อาจริเยน นิทฺธาริตํ, เอตฺตกเมว ปริปุณฺณํ, อญฺญํ สาสนปฎฺฐานํ นิทฺธาเรตฺวา ยุตฺตํ ยุชฺชิตพฺพํ นตฺถี’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘นิยุตฺตํ สาสนปฎฺฐาน’’นฺติ วุตฺตํฯ ยถานิทฺธาริตสาสนปฎฺฐานโต ยํ ยํ อญฺญํ สาสนปฎฺฐานํ นิทฺธาริตํ อตฺถิ, ตํ ตํ อญฺญํ สาสนปฎฺฐานํ นิยุตฺตํ ยถารหํ นิทฺธาเรตฺวา ยุตฺตํ ยุชฺชิตพฺพนฺติ อโตฺถ คเหตโพฺพติฯ
‘‘Yaṃ yaṃ saṃkilesabhāgiyādisoḷasavidhaṃ sāsanapaṭṭhānañceva yaṃ yaṃ lokiyādiaṭṭhavīsatividhaṃ sāsanapaṭṭhānañca ācariyena niddhāritaṃ, ettakameva paripuṇṇaṃ, aññaṃ sāsanapaṭṭhānaṃ niddhāretvā yuttaṃ yujjitabbaṃ natthī’’ti vattabbattā ‘‘niyuttaṃ sāsanapaṭṭhāna’’nti vuttaṃ. Yathāniddhāritasāsanapaṭṭhānato yaṃ yaṃ aññaṃ sāsanapaṭṭhānaṃ niddhāritaṃ atthi, taṃ taṃ aññaṃ sāsanapaṭṭhānaṃ niyuttaṃ yathārahaṃ niddhāretvā yuttaṃ yujjitabbanti attho gahetabboti.
‘‘ยํ โลโก ปูชยเต…เป.… นิยุตฺตํ สาสนปฎฺฐานนฺติ ยตฺตโก วจนกฺกโม ภาสิโต, เอตฺตเกน วจนกฺกเมน กิํ เนตฺติ สมตฺตา, อุทาหุ อสมตฺตา’’ติ วตฺตพฺพตฺตา ‘‘เอตฺตาวตา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อายสฺมตา มหากจฺจาเนน ยา เนตฺติ ภาสิตา, ภควตา สา เนตฺติ อนุโมทิตา, มูลสงฺคีติยํ สงฺคายเนฺตหิ เถราสเภหิ ยา เนตฺติ สงฺคีตา, สา เนตฺติ ‘‘ยํ โลโก ปูชยเต…เป.… นิยุตฺตํ สาสนปฎฺฐาน’’นฺติ เอตฺตาวตา วจนกฺกเมน สมตฺตา ปริปุณฺณาว โหติฯ
‘‘Yaṃ loko pūjayate…pe… niyuttaṃ sāsanapaṭṭhānanti yattako vacanakkamo bhāsito, ettakena vacanakkamena kiṃ netti samattā, udāhu asamattā’’ti vattabbattā ‘‘ettāvatā’’tiādi vuttaṃ. Āyasmatā mahākaccānena yā netti bhāsitā, bhagavatā sā netti anumoditā, mūlasaṅgītiyaṃ saṅgāyantehi therāsabhehi yā netti saṅgītā, sā netti ‘‘yaṃ loko pūjayate…pe… niyuttaṃ sāsanapaṭṭhāna’’nti ettāvatā vacanakkamena samattā paripuṇṇāva hoti.
อิติ สมตฺตาย อายสฺมตา มหากจฺจาเนน ภาสิตาย ภควตา อนุโมทิตาย มูลสงฺคีติยํ สงฺคายเนฺตหิ เถราสเภหิ สงฺคีตาย เนตฺติยา อตฺถวณฺณนา สทฺธมฺมปาลนาเมน มหาธมฺมราชคุรุนา มหาเถเรน รจิตา ชินปุตฺตานํ หิตกรา เนตฺติวิภาวนา ฉพฺพีสาธิกนวสเต สกฺกราเช สาวณมาเส สุกฺกปเกฺข นวมทิวเส สูริยุคฺคมนสมเย สมตฺตาฯ
Iti samattāya āyasmatā mahākaccānena bhāsitāya bhagavatā anumoditāya mūlasaṅgītiyaṃ saṅgāyantehi therāsabhehi saṅgītāya nettiyā atthavaṇṇanā saddhammapālanāmena mahādhammarājagurunā mahātherena racitā jinaputtānaṃ hitakarā nettivibhāvanā chabbīsādhikanavasate sakkarāje sāvaṇamāse sukkapakkhe navamadivase sūriyuggamanasamaye samattā.
อิติ สาสนปฎฺฐาเน สตฺติพลานุรูปา รจิตา วิภาวนา
Iti sāsanapaṭṭhāne sattibalānurūpā racitā vibhāvanā
นิฎฺฐิตาฯ
Niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เนตฺติปฺปกรณปาฬิ • Nettippakaraṇapāḷi / สาสนปฎฺฐานํ • Sāsanapaṭṭhānaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / ขุทฺทกนิกาย (อฎฺฐกถา) • Khuddakanikāya (aṭṭhakathā) / เนตฺติปฺปกรณ-อฎฺฐกถา • Nettippakaraṇa-aṭṭhakathā / สาสนปฎฺฐานวารวณฺณนา • Sāsanapaṭṭhānavāravaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ขุทฺทกนิกาย (ฎีกา) • Khuddakanikāya (ṭīkā) / เนตฺติปฺปกรณ-ฎีกา • Nettippakaraṇa-ṭīkā / สาสนปฎฺฐานวารวณฺณนา • Sāsanapaṭṭhānavāravaṇṇanā