Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จริยาปิฎก-อฎฺฐกถา • Cariyāpiṭaka-aṭṭhakathā |
๑๐. สสปณฺฑิตจริยาวณฺณนา
10. Sasapaṇḍitacariyāvaṇṇanā
๑๒๕-๖. ทสเม ยทา โหมิ, สสโกติ อหํ, สาริปุตฺต, โพธิปริเยสนํ จรมาโน ยทา สสปณฺฑิโต โหมิฯ โพธิสตฺตา หิ กมฺมวสิปฺปตฺตาปิ ตาทิสานํ ติรจฺฉานานํ อนุคฺคณฺหนตฺถํ ติรจฺฉานโยนิยํ นิพฺพตฺตนฺติฯ ปวนจารโกติ มหาวนจารีฯ ทพฺพาทิติณานิ รุกฺขคเจฺฉสุ ปณฺณานิ ยํกิญฺจิ สากํ รุกฺขโต ปติตผลานิ จ ภโกฺข เอตสฺสาติ ติณปณฺณสากผลภโกฺขฯ ปรเหฐนวิวชฺชิโตติ ปรปีฬาวิรหิโตฯ สุตฺตโปโต จาติ อุทฺทโปโต จฯ อหํ ตทาติ ยทาหํ สสโก โหมิ, ตทา เอเต มกฺกฎาทโย ตโย สหาเย โอวทามิฯ
125-6. Dasame yadā homi, sasakoti ahaṃ, sāriputta, bodhipariyesanaṃ caramāno yadā sasapaṇḍito homi. Bodhisattā hi kammavasippattāpi tādisānaṃ tiracchānānaṃ anuggaṇhanatthaṃ tiracchānayoniyaṃ nibbattanti. Pavanacārakoti mahāvanacārī. Dabbāditiṇāni rukkhagacchesu paṇṇāni yaṃkiñci sākaṃ rukkhato patitaphalāni ca bhakkho etassāti tiṇapaṇṇasākaphalabhakkho. Paraheṭhanavivajjitoti parapīḷāvirahito. Suttapoto cāti uddapoto ca. Ahaṃ tadāti yadāhaṃ sasako homi, tadā ete makkaṭādayo tayo sahāye ovadāmi.
๑๒๗. กิริเย กลฺยาณปาปเกติ กุสเล เจว อกุสเล จ กเมฺมฯ ปาปานีติ อนุสาสนาการทสฺสนํฯ ตตฺถ ปาปานิ ปริวเชฺชถาติ ปาณาติปาโต…เป.… มิจฺฉาทิฎฺฐีติ อิมานิ ปาปานิ ปริวเชฺชถฯ กลฺยาเณ อภินิวิสฺสถาติ ทานํ สีลํ…เป.… ทิฎฺฐุชุกมฺมนฺติ อิทํ กลฺยาณํ, อิมสฺมิํ กลฺยาเณ อตฺตโน กายวาจาจิตฺตานิ อภิมุขภาเวน นิวิสฺสถ, อิมํ กลฺยาณปฎิปตฺติํ ปฎิปชฺชถาติ อโตฺถฯ
127.Kiriye kalyāṇapāpaketi kusale ceva akusale ca kamme. Pāpānīti anusāsanākāradassanaṃ. Tattha pāpāniparivajjethāti pāṇātipāto…pe… micchādiṭṭhīti imāni pāpāni parivajjetha. Kalyāṇe abhinivissathāti dānaṃ sīlaṃ…pe… diṭṭhujukammanti idaṃ kalyāṇaṃ, imasmiṃ kalyāṇe attano kāyavācācittāni abhimukhabhāvena nivissatha, imaṃ kalyāṇapaṭipattiṃ paṭipajjathāti attho.
เอวํ มหาสโตฺต ติรจฺฉานโยนิยํ นิพฺพโตฺตปิ ญาณสมฺปนฺนตาย กลฺยาณมิโตฺต หุตฺวา เตสํ ติณฺณํ ชนานํ กาเลน กาลํ อุปคตานํ โอวาทวเสน ธมฺมํ เทเสสิฯ เต ตสฺส โอวาทํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานํ ปวิสิตฺวา วสนฺติฯ เอวํ กาเล คจฺฉเนฺต โพธิสโตฺต อากาสํ โอโลเกตฺวา จนฺทปาริปูริํ ทิสฺวา ‘‘อุโปสถกมฺมํ กโรถา’’ติ โอวทิฯ เตนาห –
Evaṃ mahāsatto tiracchānayoniyaṃ nibbattopi ñāṇasampannatāya kalyāṇamitto hutvā tesaṃ tiṇṇaṃ janānaṃ kālena kālaṃ upagatānaṃ ovādavasena dhammaṃ desesi. Te tassa ovādaṃ sampaṭicchitvā attano vasanaṭṭhānaṃ pavisitvā vasanti. Evaṃ kāle gacchante bodhisatto ākāsaṃ oloketvā candapāripūriṃ disvā ‘‘uposathakammaṃ karothā’’ti ovadi. Tenāha –
๑๒๘.
128.
‘‘อุโปสถมฺหิ ทิวเส, จนฺทํ ทิสฺวาน ปูริตํ;
‘‘Uposathamhi divase, candaṃ disvāna pūritaṃ;
เอเตสํ ตตฺถ อาจิกฺขิํ, ทิวโส อชฺชุโปสโถฯ
Etesaṃ tattha ācikkhiṃ, divaso ajjuposatho.
๑๒๙.
129.
‘‘ทานานิ ปฎิยาเทถ, ทกฺขิเณยฺยสฺส ทาตเว;
‘‘Dānāni paṭiyādetha, dakkhiṇeyyassa dātave;
ทตฺวา ทานํ ทกฺขิเณเยฺย, อุปวสฺสถุโปสถ’’นฺติฯ
Datvā dānaṃ dakkhiṇeyye, upavassathuposatha’’nti.
ตตฺถ จนฺทํ ทิสฺวา น ปูริตนฺติ ชุณฺหปกฺขจาตุทฺทสิยํ อีสกํ อปริปุณฺณภาเวน จนฺทํ น ปริปูริตํ ทิสฺวา ตโต วิภาตาย รตฺติยา อรุณุคฺคมนเวลายเมว อุโปสถมฺหิ ทิวเส ปนฺนรเส เอเตสํ มกฺกฎาทีนํ มยฺหํ สหายานํ ทิวโส อชฺชุโปสโถฯ ตสฺมา ‘‘ทานานิ ปฎิยาเทถา’’ติอาทินา ตตฺถ อุโปสถทิวเส ปฎิปตฺติวิธานํ อาจิกฺขินฺติ โยเชตพฺพํฯ ตตฺถ ทานานีติ เทยฺยธเมฺมฯ ปฎิยาเทถาติ ยถาสตฺติ ยถาพลํ สเชฺชถฯ ทาตเวติ ทาตุํฯ อุปวสฺสถาติ อุโปสถกมฺมํ กโรถ, อุโปสถสีลานิ รกฺขถ, สีเล ปติฎฺฐาย ทินฺนทานํ มหปฺผลํ โหติ, ตสฺมา ยาจเก สมฺปเตฺต ตุเมฺหหิ ขาทิตพฺพาหารโต ทตฺวา ขาเทยฺยาถาติ ทเสฺสติฯ
Tattha candaṃ disvā na pūritanti juṇhapakkhacātuddasiyaṃ īsakaṃ aparipuṇṇabhāvena candaṃ na paripūritaṃ disvā tato vibhātāya rattiyā aruṇuggamanavelāyameva uposathamhi divase pannarase etesaṃ makkaṭādīnaṃ mayhaṃ sahāyānaṃ divaso ajjuposatho. Tasmā ‘‘dānāni paṭiyādethā’’tiādinā tattha uposathadivase paṭipattividhānaṃ ācikkhinti yojetabbaṃ. Tattha dānānīti deyyadhamme. Paṭiyādethāti yathāsatti yathābalaṃ sajjetha. Dātaveti dātuṃ. Upavassathāti uposathakammaṃ karotha, uposathasīlāni rakkhatha, sīle patiṭṭhāya dinnadānaṃ mahapphalaṃ hoti, tasmā yācake sampatte tumhehi khāditabbāhārato datvā khādeyyāthāti dasseti.
เต ‘‘สาธู’’ติ โพธิสตฺตสฺส โอวาทํ สิรสา สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐหิํสุฯ เตสุ อุทฺทโปโต ปาโตว ‘‘โคจรํ ปริเยสิสฺสามี’’ติ นทีตีรํ คโตฯ อเถโก พาฬิสิโก สตฺต โรหิตมเจฺฉ อุทฺธริตฺวา วลฺลิยา อาวุณิตฺวา นทีตีเร วาลุกาย ปฎิจฺฉาเทตฺวา มเจฺฉ คณฺหโนฺต นทิยา อโธ โสตํ ภสฺสิฯ อุโทฺท มจฺฉคนฺธํ ฆายิตฺวา วาลุกํ วิยูหิตฺวา มเจฺฉ ทิสฺวา นีหริตฺวา ‘‘อตฺถิ นุ โข เอเตสํ สามิโก’’ติ ติกฺขตฺตุํ โฆเสตฺวา สามิกํ อปสฺสโนฺต วลฺลิยํ ฑํสิตฺวา อตฺตโน วสนคุเมฺพ ฐเปตฺวา ‘‘เวลายเมว ขาทิสฺสามี’’ติ อตฺตโน สีลํ อาวเชฺชโนฺต นิปชฺชิฯ สิงฺคาโลปิ โคจรํ ปริเยสโนฺต เอกสฺส เขตฺตโคปกสฺส กุฎิยํ เทฺว มํสสูลานิ เอกํ โคธํ เอกญฺจ ทธิวารกํ ทิสฺวา ‘‘อตฺถิ นุ โข เอเตสํ สามิโก’’ติ ติกฺขตฺตุํ โฆเสตฺวา สามิกํ อทิสฺวา ทธิวารกสฺส อุคฺคหณรชฺชุกํ คีวายํ ปเวเสตฺวา มํสสูเล จ โคธญฺจ มุเขน ฑํสิตฺวา อตฺตโน วสนคุเมฺพ ฐเปตฺวา ‘‘เวลายเมว ขาทิสฺสามี’’ติ อตฺตโน สีลํ อาวเชฺชโนฺต นิปชฺชิฯ มกฺกโฎปิ วนสณฺฑํ ปวิสิตฺวา อมฺพปิณฺฑํ อาหริตฺวา อตฺตโน วสนคุเมฺพ ฐเปตฺวา ‘‘เวลายเมว ขาทิสฺสามี’’ติ อตฺตโน สีลํ อาวเชฺชโนฺต นิปชฺชิฯ ติณฺณมฺปิ ‘‘อโห อิธ นูน ยาจโก อาคเจฺฉยฺยา’’ติ จิตฺตํ อุปฺปชฺชิฯ เตน วุตฺตํ –
Te ‘‘sādhū’’ti bodhisattassa ovādaṃ sirasā sampaṭicchitvā uposathaṅgāni adhiṭṭhahiṃsu. Tesu uddapoto pātova ‘‘gocaraṃ pariyesissāmī’’ti nadītīraṃ gato. Atheko bāḷisiko satta rohitamacche uddharitvā valliyā āvuṇitvā nadītīre vālukāya paṭicchādetvā macche gaṇhanto nadiyā adho sotaṃ bhassi. Uddo macchagandhaṃ ghāyitvā vālukaṃ viyūhitvā macche disvā nīharitvā ‘‘atthi nu kho etesaṃ sāmiko’’ti tikkhattuṃ ghosetvā sāmikaṃ apassanto valliyaṃ ḍaṃsitvā attano vasanagumbe ṭhapetvā ‘‘velāyameva khādissāmī’’ti attano sīlaṃ āvajjento nipajji. Siṅgālopi gocaraṃ pariyesanto ekassa khettagopakassa kuṭiyaṃ dve maṃsasūlāni ekaṃ godhaṃ ekañca dadhivārakaṃ disvā ‘‘atthi nu kho etesaṃ sāmiko’’ti tikkhattuṃ ghosetvā sāmikaṃ adisvā dadhivārakassa uggahaṇarajjukaṃ gīvāyaṃ pavesetvā maṃsasūle ca godhañca mukhena ḍaṃsitvā attano vasanagumbe ṭhapetvā ‘‘velāyameva khādissāmī’’ti attano sīlaṃ āvajjento nipajji. Makkaṭopi vanasaṇḍaṃ pavisitvā ambapiṇḍaṃ āharitvā attano vasanagumbe ṭhapetvā ‘‘velāyameva khādissāmī’’ti attano sīlaṃ āvajjento nipajji. Tiṇṇampi ‘‘aho idha nūna yācako āgaccheyyā’’ti cittaṃ uppajji. Tena vuttaṃ –
๑๓๐.
130.
‘‘เต เม สาธูติ วตฺวาน, ยถาสตฺติ ยถาพลํ;
‘‘Te me sādhūti vatvāna, yathāsatti yathābalaṃ;
ทานานิ ปฎิยาเทตฺวา, ทกฺขิเณยฺยํ คเวสิสุ’’นฺติฯ
Dānāni paṭiyādetvā, dakkhiṇeyyaṃ gavesisu’’nti.
โพธิสโตฺต ปน ‘‘เวลายเมว นิกฺขมิตฺวา ทพฺพาทิติณานิ ขาทิสฺสามี’’ติ อตฺตโน วสนคุเมฺพเยว นิสิโนฺน จิเนฺตสิ – ‘‘มม สนฺติกํ อาคตานํ ยาจกานํ ติณานิ ขาทิตุํ น สกฺกา, ติลตณฺฑุลาทโยปิ มยฺหํ นตฺถิ, สเจ เม สนฺติกํ ยาจโก อาคมิสฺสติ, อหํ ติเณน ยาเปมิ, อตฺตโน สรีรมํสํ ทสฺสามี’’ติฯ เตนาห ภควา –
Bodhisatto pana ‘‘velāyameva nikkhamitvā dabbāditiṇāni khādissāmī’’ti attano vasanagumbeyeva nisinno cintesi – ‘‘mama santikaṃ āgatānaṃ yācakānaṃ tiṇāni khādituṃ na sakkā, tilataṇḍulādayopi mayhaṃ natthi, sace me santikaṃ yācako āgamissati, ahaṃ tiṇena yāpemi, attano sarīramaṃsaṃ dassāmī’’ti. Tenāha bhagavā –
๑๓๑.
131.
‘‘อหํ นิสชฺช จิเนฺตสิํ, ทานํ ทกฺขิณนุจฺฉวํ;
‘‘Ahaṃ nisajja cintesiṃ, dānaṃ dakkhiṇanucchavaṃ;
ยทิหํ ลเภ ทกฺขิเณยฺยํ, กิํ เม ทานํ ภวิสฺสติฯ
Yadihaṃ labhe dakkhiṇeyyaṃ, kiṃ me dānaṃ bhavissati.
๑๓๒.
132.
‘‘น เม อตฺถิ ติลา มุคฺคา, มาสา วา ตณฺฑุลา ฆตํ;
‘‘Na me atthi tilā muggā, māsā vā taṇḍulā ghataṃ;
อหํ ติเณน ยาเปมิ, น สกฺกา ติณ ทาตเวฯ
Ahaṃ tiṇena yāpemi, na sakkā tiṇa dātave.
๑๓๓.
133.
‘‘ยทิ โกจิ เอติ ทกฺขิเณโยฺย, ภิกฺขาย มม สนฺติเก;
‘‘Yadi koci eti dakkhiṇeyyo, bhikkhāya mama santike;
ทชฺชาหํ สกมตฺตานํ, น โส ตุโจฺฉ คมิสฺสตี’’ติฯ
Dajjāhaṃ sakamattānaṃ, na so tuccho gamissatī’’ti.
ตตฺถ ทานํ ทกฺขิณนุจฺฉวนฺติ ทกฺขิณาภาเวน อนุจฺฉวิกํ ทานํ ทกฺขิเณยฺยสฺส ทาตพฺพํ เทยฺยธมฺมํ จิเนฺตสิํฯ ยทิหํ ลเภติ ยทิ อหํ กิญฺจิ ทกฺขิเณยฺยํ อชฺช ลเภยฺยํฯ กิํ เม ทานํ ภวิสฺสตีติ กิํ มม ทาตพฺพํ ภวิสฺสติฯ น สกฺกา ติณ ทาตเวติ ยทิ ทกฺขิเณยฺยสฺส ทาตุํ ติลมุคฺคาทิกํ มยฺหํ นตฺถิ, ยํ ปน มม อาหารภูตํ, ตํ น สกฺกา ติณํ ทกฺขิเณยฺยสฺส ทาตุํฯ ทชฺชาหํ สกมตฺตานนฺติ กิํ วา มยฺหํ เอตาย เทยฺยธมฺมจินฺตาย, นนุ อิทเมว มยฺหํ อนวชฺชํ อปราธีนตาย สุลภํ ปเรสญฺจ ปริโภคารหํ สรีรํ สเจ โกจิ ทกฺขิเณโยฺย มม สนฺติกํ อาคจฺฉติ, ตยิทํ สกมตฺตานํ ตสฺส ทชฺชามหํฯ เอวํ สเนฺต น โส ตุโจฺฉ มม สนฺติกํ อาคโต อริตฺตหโตฺถ หุตฺวา คมิสฺสตีติฯ
Tattha dānaṃ dakkhiṇanucchavanti dakkhiṇābhāvena anucchavikaṃ dānaṃ dakkhiṇeyyassa dātabbaṃ deyyadhammaṃ cintesiṃ. Yadihaṃ labheti yadi ahaṃ kiñci dakkhiṇeyyaṃ ajja labheyyaṃ. Kiṃ me dānaṃ bhavissatīti kiṃ mama dātabbaṃ bhavissati. Na sakkā tiṇa dātaveti yadi dakkhiṇeyyassa dātuṃ tilamuggādikaṃ mayhaṃ natthi, yaṃ pana mama āhārabhūtaṃ, taṃ na sakkā tiṇaṃ dakkhiṇeyyassa dātuṃ. Dajjāhaṃ sakamattānanti kiṃ vā mayhaṃ etāya deyyadhammacintāya, nanu idameva mayhaṃ anavajjaṃ aparādhīnatāya sulabhaṃ paresañca paribhogārahaṃ sarīraṃ sace koci dakkhiṇeyyo mama santikaṃ āgacchati, tayidaṃ sakamattānaṃ tassa dajjāmahaṃ. Evaṃ sante na so tuccho mama santikaṃ āgato arittahattho hutvā gamissatīti.
เอวํ มหาปุริสสฺส ยถาภูตสภาวํ ปริวิตเกฺกนฺตสฺส ปริวิตกฺกานุภาเวน สกฺกสฺส ปณฺฑุกมฺพลสิลาสนํ อุณฺหาการํ ทเสฺสสิฯ โส อาวเชฺชโนฺต อิมํ การณํ ทิสฺวา ‘‘สสราชํ วีมํสิสฺสามี’’ติ ปฐมํ อุทฺทสฺส วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา พฺราหฺมณเวเสน อฎฺฐาสิฯ เตน ‘‘กิมตฺถํ, พฺราหฺมณ, ฐิโตสี’’ติ จ วุเตฺต สเจ กญฺจิ อาหารํ ลเภยฺยํ, อุโปสถิโก หุตฺวา สมณธมฺมํ กเรยฺยนฺติฯ โส ‘‘สาธูติ เต อาหารํ ทสฺสามี’’ติ อาหฯ เตน วุตฺตํ –
Evaṃ mahāpurisassa yathābhūtasabhāvaṃ parivitakkentassa parivitakkānubhāvena sakkassa paṇḍukambalasilāsanaṃ uṇhākāraṃ dassesi. So āvajjento imaṃ kāraṇaṃ disvā ‘‘sasarājaṃ vīmaṃsissāmī’’ti paṭhamaṃ uddassa vasanaṭṭhānaṃ gantvā brāhmaṇavesena aṭṭhāsi. Tena ‘‘kimatthaṃ, brāhmaṇa, ṭhitosī’’ti ca vutte sace kañci āhāraṃ labheyyaṃ, uposathiko hutvā samaṇadhammaṃ kareyyanti. So ‘‘sādhūti te āhāraṃ dassāmī’’ti āha. Tena vuttaṃ –
‘‘สตฺต เม โรหิตา มจฺฉา, อุทกา ถลมุพฺภตา;
‘‘Satta me rohitā macchā, udakā thalamubbhatā;
อิทํ พฺราหฺมณ เม อตฺถิ, เอตํ ภุตฺวา วเน วสา’’ติฯ (ชา. ๑.๔.๖๑);
Idaṃ brāhmaṇa me atthi, etaṃ bhutvā vane vasā’’ti. (jā. 1.4.61);
พฺราหฺมโณ ‘‘ปเคว ตาว โหตุ, ปจฺฉา ชานิสฺสามี’’ติ ตเถว สิงฺคาลสฺส มกฺกฎสฺส จ สนฺติกํ คนฺตฺวา เตหิปิ อตฺตโน วิชฺชมาเนหิ เทยฺยธเมฺมหิ นิมนฺติโต ‘‘ปเคว ตาว โหตุ, ปจฺฉา ชานิสฺสามี’’ติ อาหฯ เตน วุตฺตํ –
Brāhmaṇo ‘‘pageva tāva hotu, pacchā jānissāmī’’ti tatheva siṅgālassa makkaṭassa ca santikaṃ gantvā tehipi attano vijjamānehi deyyadhammehi nimantito ‘‘pageva tāva hotu, pacchā jānissāmī’’ti āha. Tena vuttaṃ –
‘‘ทุสฺส เม เขตฺตปาลสฺส, รตฺติภตฺตํ อปาภตํ;
‘‘Dussa me khettapālassa, rattibhattaṃ apābhataṃ;
มํสสูลา จ เทฺว โคธา, เอกญฺจ ทธิวารกํ;
Maṃsasūlā ca dve godhā, ekañca dadhivārakaṃ;
อิทํ พฺราหฺมณ เม อตฺถิ, เอตํ ภุตฺวา วเน วสา’’ติฯ
Idaṃ brāhmaṇa me atthi, etaṃ bhutvā vane vasā’’ti.
‘‘อมฺพปกฺกํ ทกํ สีตํ, สีตจฺฉายา มโนรมา;
‘‘Ambapakkaṃ dakaṃ sītaṃ, sītacchāyā manoramā;
อิทํ พฺราหฺมณ เม อตฺถิ, เอตํ ภุตฺวา วเน วสา’’ติฯ (ชา. ๑.๔.๖๒-๖๓);
Idaṃ brāhmaṇa me atthi, etaṃ bhutvā vane vasā’’ti. (jā. 1.4.62-63);
ตตฺถ ทุสฺสาติ อมุสฺสฯ รตฺติภตฺตํ อปาภตนฺติ รตฺติโภชนโต อปนีตํฯ มํสสูลา จ เทฺว โคธาติ องฺคารปกฺกานิ เทฺว มํสสูลานิ เอกา จ โคธาฯ ทธิวารกนฺติ ทธิวารโกฯ
Tattha dussāti amussa. Rattibhattaṃ apābhatanti rattibhojanato apanītaṃ. Maṃsasūlā ca dve godhāti aṅgārapakkāni dve maṃsasūlāni ekā ca godhā. Dadhivārakanti dadhivārako.
๑๓๔. อถ พฺราหฺมโณ สสปณฺฑิตสฺส สนฺติกํ คโตฯ เตนาปิ ‘‘กิมตฺถมาคโตสี’’ติ วุเตฺต ตเถวาหฯ เตน วุตฺตํ ‘‘มม สงฺกปฺปมญฺญายา’’ติอาทิฯ
134. Atha brāhmaṇo sasapaṇḍitassa santikaṃ gato. Tenāpi ‘‘kimatthamāgatosī’’ti vutte tathevāha. Tena vuttaṃ ‘‘mama saṅkappamaññāyā’’tiādi.
ตตฺถ มม สงฺกปฺปมญฺญายาติ ปุเพฺพ วุตฺตปฺปการํ ปริวิตกฺกํ ชานิตฺวาฯ พฺราหฺมณวณฺณินาติ พฺราหฺมณรูปวตา อตฺตภาเวนฯ อาสยนฺติ วสนคุมฺพํฯ
Tattha mama saṅkappamaññāyāti pubbe vuttappakāraṃ parivitakkaṃ jānitvā. Brāhmaṇavaṇṇināti brāhmaṇarūpavatā attabhāvena. Āsayanti vasanagumbaṃ.
๑๓๕-๗. สนฺตุโฎฺฐติ สมํ สพฺพภาเคเนว ตุโฎฺฐฯ ฆาสเหตูติ อาหารเหตุฯ อทินฺนปุพฺพนฺติ เยหิ เกหิจิ อโพธิสเตฺตหิ อทินฺนปุพฺพํฯ ทานวรนฺติ อุตฺตมทานํฯ ‘‘อชฺช ทสฺสามิ เต อห’’นฺติ วตฺวา ตุวํ สีลคุณูเปโต, อยุตฺตํ เต ปรเหฐนนฺติ ตํ ปาณาติปาตโต อปเนตฺวา อิทานิ ตสฺส ปริโภคโยคฺคํ อตฺตานํ กตฺวา ทาตุํ ‘‘เอหิ อคฺคิํ ปทีเปหี’’ติอาทิมาหฯ
135-7.Santuṭṭhoti samaṃ sabbabhāgeneva tuṭṭho. Ghāsahetūti āhārahetu. Adinnapubbanti yehi kehici abodhisattehi adinnapubbaṃ. Dānavaranti uttamadānaṃ. ‘‘Ajja dassāmi te aha’’nti vatvā tuvaṃ sīlaguṇūpeto, ayuttaṃ te paraheṭhananti taṃ pāṇātipātato apanetvā idāni tassa paribhogayoggaṃ attānaṃ katvā dātuṃ ‘‘ehi aggiṃ padīpehī’’tiādimāha.
ตตฺถ อหํ ปจิสฺสมตฺตานนฺติ ตยา กเต องฺคารคเพฺภ อหเมว ปติตฺวา อตฺตานํ ปจิสฺสํฯ ปกฺกํ ตฺวํ ภกฺขยิสฺสสีติ ตถา ปน ปกฺกํ ตฺวํ ขาทิสฺสสิฯ
Tattha ahaṃ pacissamattānanti tayā kate aṅgāragabbhe ahameva patitvā attānaṃ pacissaṃ. Pakkaṃ tvaṃ bhakkhayissasīti tathā pana pakkaṃ tvaṃ khādissasi.
๑๓๘-๙. นานากเฎฺฐ สมานยีติ โส พฺราหฺมณเวสธารี สโกฺก นานาทารูนิ สมาเนโนฺต วิย อโหสิฯ มหนฺตํ อกาสิ จิตกํ, กตฺวา องฺคารคพฺภกนฺติ วีตจฺจิกํ วิคตธูมํ องฺคารภริตพฺภนฺตรํ สมนฺตโต ชลมานํ มม สรีรสฺส นิมุชฺชนปฺปโหนกํ ตงฺขณเญฺญว มหนฺตํ จิตกํ อกาสิ, สหสา อิทฺธิยา อภินิมฺมินีติ อธิปฺปาโยฯ เตนาห ‘‘อคฺคิํ ตตฺถ ปทีเปสิ, ยถา โส ขิปฺปํ มหาภเว’’ติฯ
138-9.Nānākaṭṭhesamānayīti so brāhmaṇavesadhārī sakko nānādārūni samānento viya ahosi. Mahantaṃ akāsi citakaṃ, katvā aṅgāragabbhakanti vītaccikaṃ vigatadhūmaṃ aṅgārabharitabbhantaraṃ samantato jalamānaṃ mama sarīrassa nimujjanappahonakaṃ taṅkhaṇaññeva mahantaṃ citakaṃ akāsi, sahasā iddhiyā abhinimminīti adhippāyo. Tenāha ‘‘aggiṃ tattha padīpesi, yathā so khippaṃ mahābhave’’ti.
ตตฺถ โสติ โส อคฺคิกฺขโนฺธ สีฆํ มหโนฺต ยถา ภเวยฺย, ตถา ปทีเปสิฯ โผเฎตฺวา รชคเต คเตฺตติ ‘‘สเจ โลมนฺตเรสุ ปาณกา อตฺถิ, เต มา มริํสู’’ติ ปํสุคเต มม คเตฺต ติกฺขตฺตุํ วิธุนิตฺวาฯ เอกมนฺตํ อุปาวิสินฺติ น ตาว กฎฺฐานิ อาทิตฺตานีติ เตสํ อาทีปนํ อุทิกฺขโนฺต โถกํ เอกมนฺตํ นิสีทิํฯ
Tattha soti so aggikkhandho sīghaṃ mahanto yathā bhaveyya, tathā padīpesi. Phoṭetvā rajagate gatteti ‘‘sace lomantaresu pāṇakā atthi, te mā mariṃsū’’ti paṃsugate mama gatte tikkhattuṃ vidhunitvā. Ekamantaṃ upāvisinti na tāva kaṭṭhāni ādittānīti tesaṃ ādīpanaṃ udikkhanto thokaṃ ekamantaṃ nisīdiṃ.
๑๔๐. ยทา มหากฎฺฐปุโญฺช, อาทิโตฺต ธมธมายตีติ ยทา ปน โส ทารุราสิ สมนฺตโต อาทิโตฺต วายุเวคสมุทฺธฎานํ ชาลสิขานํ วเสน ‘‘ธมธมา’’ติ เอวํ กโรติฯ ตทุปฺปติตฺวา ปตติ, มเชฺฌ ชาลสิขนฺตเรติ ตทา ตสฺมิํ กาเล ‘‘มม สรีรสฺส ฌาปนสมโตฺถ อยํ องฺคารราสี’’ติ จิเนฺตตฺวา อุปฺปติตฺวา อุลฺลงฺฆิตฺวา ชาลสิขานํ อพฺภนฺตรภูเต ตสฺส องฺคารราสิสฺส มเชฺฌ ปทุมปุเญฺช ราชหํโส วิย ปมุทิตจิโตฺต สกลสรีรํ ทานมุเข ทตฺวา ปตติฯ
140.Yadā mahākaṭṭhapuñjo, āditto dhamadhamāyatīti yadā pana so dārurāsi samantato āditto vāyuvegasamuddhaṭānaṃ jālasikhānaṃ vasena ‘‘dhamadhamā’’ti evaṃ karoti. Taduppatitvā patati, majjhe jālasikhantareti tadā tasmiṃ kāle ‘‘mama sarīrassa jhāpanasamattho ayaṃ aṅgārarāsī’’ti cintetvā uppatitvā ullaṅghitvā jālasikhānaṃ abbhantarabhūte tassa aṅgārarāsissa majjhe padumapuñje rājahaṃso viya pamuditacitto sakalasarīraṃ dānamukhe datvā patati.
๑๔๑-๒. ปวิฎฺฐํ ยสฺส กสฺสจีติ ยถา ฆมฺมกาเล สีตลํ อุทกํ เยน เกนจิ ปวิฎฺฐํ ตสฺส ทรถปริฬาหํ วูปสเมติ, อสฺสาทํ ปีติญฺจ อุปฺปาเทติฯ ตเถว ชลิตํ อคฺคินฺติ เอวํ ตถา ปชฺชลิตํ องฺคารราสิ ตทา มม ปวิฎฺฐสฺส อุสุมมตฺตมฺปิ นาโหสิฯ อญฺญทตฺถุ ทานปีติยา สพฺพทรถปริฬาหวูปสโม เอว อโหสิฯ จิรสฺสํ วต เม ฉวิจมฺมาทิโก สโพฺพ สรีราวยโว ทานมุเข ชุหิตพฺพตํ อุปคโต อภิปตฺถิโต มโนรโถ มตฺถกํ ปโตฺตติฯ เตน วุตฺตํ –
141-2.Paviṭṭhaṃ yassa kassacīti yathā ghammakāle sītalaṃ udakaṃ yena kenaci paviṭṭhaṃ tassa darathapariḷāhaṃ vūpasameti, assādaṃ pītiñca uppādeti. Tatheva jalitaṃ agginti evaṃ tathā pajjalitaṃ aṅgārarāsi tadā mama paviṭṭhassa usumamattampi nāhosi. Aññadatthu dānapītiyā sabbadarathapariḷāhavūpasamo eva ahosi. Cirassaṃ vata me chavicammādiko sabbo sarīrāvayavo dānamukhe juhitabbataṃ upagato abhipatthito manoratho matthakaṃ pattoti. Tena vuttaṃ –
๑๔๓.
143.
‘‘ฉวิํ จมฺมํ มํสํ นฺหารุํ, อฎฺฐิํ หทยพนฺธนํ;
‘‘Chaviṃ cammaṃ maṃsaṃ nhāruṃ, aṭṭhiṃ hadayabandhanaṃ;
เกวลํ สกลํ กายํ, พฺราหฺมณสฺส อทาสห’’นฺติฯ
Kevalaṃ sakalaṃ kāyaṃ, brāhmaṇassa adāsaha’’nti.
ตตฺถ หทยพนฺธนนฺติ หทยมํสเปสิฯ ตญฺหิ หทยวตฺถุํ พนฺธิตฺวา วิย ฐิตตฺตา ‘‘หทยพนฺธน’’นฺติ วุตฺตํฯ อถ วา หทยพนฺธนนฺติ หทยญฺจ พนฺธนญฺจ, หทยมํสเญฺจว ตํ พนฺธิตฺวา วิย ฐิตยกนมํสญฺจาติ อโตฺถฯ เกวลํ สกลํ กายนฺติ อนวเสสํ สพฺพํ สรีรํฯ
Tattha hadayabandhananti hadayamaṃsapesi. Tañhi hadayavatthuṃ bandhitvā viya ṭhitattā ‘‘hadayabandhana’’nti vuttaṃ. Atha vā hadayabandhananti hadayañca bandhanañca, hadayamaṃsañceva taṃ bandhitvā viya ṭhitayakanamaṃsañcāti attho. Kevalaṃ sakalaṃ kāyanti anavasesaṃ sabbaṃ sarīraṃ.
เอวํ ตสฺมิํ อคฺคิมฺหิ อตฺตโน สรีเร โลมกูปมตฺตมฺปิ อุณฺหํ กาตุํ อสโกฺกโนฺต โพธิสโตฺตปิ หิมคพฺภํ ปวิโฎฺฐ วิย หุตฺวา พฺราหฺมณรูปธรํ สกฺกํ เอวมาห – ‘‘พฺราหฺมณ, ตยา กโต อคฺคิ อติสีตโล, กิํ นาเมต’’นฺติ? ปณฺฑิต, นาหํ พฺราหฺมโณ, สโกฺกหมสฺมิ, ตว วีมํสนตฺถํ อาคโต เอวมกาสินฺติฯ ‘‘สกฺก, ตฺวํ ตาว ติฎฺฐตุ, สกโลปิ เจ โลโก มํ ทาเนน วีมํเสยฺย, เนว เม อทาตุกามตํ กถญฺจิปิ อุปฺปาเทยฺย ปเสฺสถ น’’นฺติ โพธิสโตฺต สีหนาทํ นทิฯ
Evaṃ tasmiṃ aggimhi attano sarīre lomakūpamattampi uṇhaṃ kātuṃ asakkonto bodhisattopi himagabbhaṃ paviṭṭho viya hutvā brāhmaṇarūpadharaṃ sakkaṃ evamāha – ‘‘brāhmaṇa, tayā kato aggi atisītalo, kiṃ nāmeta’’nti? Paṇḍita, nāhaṃ brāhmaṇo, sakkohamasmi, tava vīmaṃsanatthaṃ āgato evamakāsinti. ‘‘Sakka, tvaṃ tāva tiṭṭhatu, sakalopi ce loko maṃ dānena vīmaṃseyya, neva me adātukāmataṃ kathañcipi uppādeyya passetha na’’nti bodhisatto sīhanādaṃ nadi.
อถ นํ สโกฺก ‘‘สสปณฺฑิต, ตว คุณา สกลกปฺปมฺปิ ปากฎา โหนฺตู’’ติ ปพฺพตํ ปีเฬตฺวา ปพฺพตรสํ อาทาย จนฺทมณฺฑเล สสลกฺขณํ อาลิขิตฺวา โพธิสตฺตํ ตสฺมิํ วนสเณฺฑ ตเตฺถว วนคุเมฺพ ตรุณทพฺพติณปีเฐ นิปชฺชาเปตฺวา อตฺตโน เทวโลกเมว คโตฯ เตปิ จตฺตาโร ปณฺฑิตา สมคฺคา สโมฺมทมานา นิจฺจสีลํ อุโปสถสีลญฺจ ปูเรตฺวา ยถารหํ ปุญฺญานิ กตฺวา ยถากมฺมํ คตาฯ
Atha naṃ sakko ‘‘sasapaṇḍita, tava guṇā sakalakappampi pākaṭā hontū’’ti pabbataṃ pīḷetvā pabbatarasaṃ ādāya candamaṇḍale sasalakkhaṇaṃ ālikhitvā bodhisattaṃ tasmiṃ vanasaṇḍe tattheva vanagumbe taruṇadabbatiṇapīṭhe nipajjāpetvā attano devalokameva gato. Tepi cattāro paṇḍitā samaggā sammodamānā niccasīlaṃ uposathasīlañca pūretvā yathārahaṃ puññāni katvā yathākammaṃ gatā.
ตทา อุโทฺท อายสฺมา อานโนฺท อโหสิ, สิงฺคาโล มหาโมคฺคลฺลาโน, มกฺกโฎ สาริปุโตฺต, สสปณฺฑิโต ปน โลกนาโถฯ
Tadā uddo āyasmā ānando ahosi, siṅgālo mahāmoggallāno, makkaṭo sāriputto, sasapaṇḍito pana lokanātho.
ตสฺส อิธาปิ สีลาทิปารมิโย เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว ยถารหํ นิทฺธาเรตพฺพาฯ ตถา สติปิ ติรจฺฉานุปปตฺติยํ กุสลาทิธเมฺม กุสลาทิโต ยถาภูตาวโพโธ, เตสุ อณุมตฺตมฺปิ วชฺชํ ภยโต ทิสฺวา สุฎฺฐุ อกุสลโต โอรมณํ, สมฺมเทว จ กุสลธเมฺมสุ อตฺตโน ปติฎฺฐาปนํ, ปเรสญฺจ ‘‘อิเม นาม ปาปธมฺมา เต เอวํ คหิตา เอวํ ปรามฎฺฐา เอวํคติกา ภวนฺติ เอวํอภิสมฺปรายา’’ติ อาทีนวํ ทเสฺสตฺวา ตโต วิรมเณ นิโยชนํ, อิทํ ทานํ นาม, อิทํ สีลํ นาม, อิทํ อุโปสถกมฺมํ นาม, เอตฺถ ปติฎฺฐิตานํ เทวมนุสฺสสมฺปตฺติโย หตฺถคตา เอวาติอาทินา ปุญฺญกเมฺมสุ อานิสํสํ ทเสฺสตฺวา ปติฎฺฐาปนํ, อตฺตโน สรีรชีวิตนิรเปกฺขํ, ปเรสํ สตฺตานํ อนุคฺคณฺหนํ, อุฬาโร จ ทานชฺฌาสโยติ เอวมาทโย อิธ โพธิสตฺตสฺส คุณานุภาวา วิภาเวตพฺพาฯ เตเนตํ วุจฺจติ – ‘‘เอวํ อจฺฉริยา เหเต…เป.… ธมฺมสฺส อนุธมฺมโต’’ติฯ
Tassa idhāpi sīlādipāramiyo heṭṭhā vuttanayeneva yathārahaṃ niddhāretabbā. Tathā satipi tiracchānupapattiyaṃ kusalādidhamme kusalādito yathābhūtāvabodho, tesu aṇumattampi vajjaṃ bhayato disvā suṭṭhu akusalato oramaṇaṃ, sammadeva ca kusaladhammesu attano patiṭṭhāpanaṃ, paresañca ‘‘ime nāma pāpadhammā te evaṃ gahitā evaṃ parāmaṭṭhā evaṃgatikā bhavanti evaṃabhisamparāyā’’ti ādīnavaṃ dassetvā tato viramaṇe niyojanaṃ, idaṃ dānaṃ nāma, idaṃ sīlaṃ nāma, idaṃ uposathakammaṃ nāma, ettha patiṭṭhitānaṃ devamanussasampattiyo hatthagatā evātiādinā puññakammesu ānisaṃsaṃ dassetvā patiṭṭhāpanaṃ, attano sarīrajīvitanirapekkhaṃ, paresaṃ sattānaṃ anuggaṇhanaṃ, uḷāro ca dānajjhāsayoti evamādayo idha bodhisattassa guṇānubhāvā vibhāvetabbā. Tenetaṃ vuccati – ‘‘evaṃ acchariyā hete…pe… dhammassa anudhammato’’ti.
สสปณฺฑิตจริยาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sasapaṇḍitacariyāvaṇṇanā niṭṭhitā.
อิทานิ ‘‘อกิตฺติพฺราหฺมโณ’’ติอาทินา ยถาวุเตฺต ทสปิ จริยาวิเสเส อุทาเนตฺวา นิคเมติฯ ตตฺถ อหเมว ตทา อาสิํ, โย เต ทานวเร อทาติ โย ตานิ อุตฺตมทานานิ อทาสิ, โส อกิตฺติพฺราหณาทิโก อหเมว ตทา ตสฺมิํ กาเล อโหสิํ, น อโญฺญติฯ อิติ เตสุ อตฺตภาเวสุ สติปิ สีลาทิปารมีนํ ยถารหํ ปูริตภาเว อตฺตโน ปน ตทา ทานชฺฌาสยสฺส อติวิย อุฬารภาวํ สนฺธาย ทานปารมิวเสเนว เทสนํ อาโรเปสิฯ เอเต ทานปริกฺขารา, เอเต ทานสฺส ปารมีติ เย อิเม อกิตฺติชาตกาทีสุ (ชา. ๑.๑๓.๘๓ อาทโย) อเนกาการโวการา มยา ปวตฺติตา เทยฺยธมฺมปริจฺจาคา มม สรีราวยวปุตฺตทารปริจฺจาคา ปรมโกฎิกา, กิญฺจาปิ เต กรุณูปายโกสลฺลปริคฺคหิตตฺตา สพฺพญฺญุตญฺญาณเมว อุทฺทิสฺส ปวตฺติตตฺตา ทานสฺส ปรมุกฺกํสคมเนน ทานปารมี เอว, ตถาปิ มม ทานสฺส ปรมตฺถปารมิภูตสฺส ปริกฺขรณโตสนฺตานสฺส ปริภาวนาวเสน อภิสงฺขรณโต เอเต ทานปริกฺขารา นามฯ ยสฺส ปเนเต ปริกฺขารา, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ชีวิตํ ยาจเก ทตฺวา, อิมํ ปารมิ ปูรยิ’’นฺติ วุตฺตํฯ เอตฺถ หิ ฐเปตฺวา สสปณฺฑิตจริยํ เสสาสุ นวสุ จริยาสุ ยถารหํ ทานปารมิทานอุปปารมิโย เวทิตพฺพา, สสปณฺฑิตจริเย (จริยา. ๑.๑๒๕ อาทโย) ปน ทานปรมตฺถปารมีฯ เตน วุตฺตํ –
Idāni ‘‘akittibrāhmaṇo’’tiādinā yathāvutte dasapi cariyāvisese udānetvā nigameti. Tattha ahameva tadā āsiṃ, yo te dānavare adāti yo tāni uttamadānāni adāsi, so akittibrāhaṇādiko ahameva tadā tasmiṃ kāle ahosiṃ, na aññoti. Iti tesu attabhāvesu satipi sīlādipāramīnaṃ yathārahaṃ pūritabhāve attano pana tadā dānajjhāsayassa ativiya uḷārabhāvaṃ sandhāya dānapāramivaseneva desanaṃ āropesi. Ete dānaparikkhārā, ete dānassa pāramīti ye ime akittijātakādīsu (jā. 1.13.83 ādayo) anekākāravokārā mayā pavattitā deyyadhammapariccāgā mama sarīrāvayavaputtadārapariccāgā paramakoṭikā, kiñcāpi te karuṇūpāyakosallapariggahitattā sabbaññutaññāṇameva uddissa pavattitattā dānassa paramukkaṃsagamanena dānapāramī eva, tathāpi mama dānassa paramatthapāramibhūtassa parikkharaṇatosantānassa paribhāvanāvasena abhisaṅkharaṇato ete dānaparikkhārā nāma. Yassa panete parikkhārā, taṃ dassetuṃ ‘‘jīvitaṃ yācake datvā, imaṃ pārami pūrayi’’nti vuttaṃ. Ettha hi ṭhapetvā sasapaṇḍitacariyaṃ sesāsu navasu cariyāsu yathārahaṃ dānapāramidānaupapāramiyo veditabbā, sasapaṇḍitacariye (cariyā. 1.125 ādayo) pana dānaparamatthapāramī. Tena vuttaṃ –
‘‘ภิกฺขาย อุปคตํ ทิสฺวา, สกตฺตานํ ปริจฺจชิํ;
‘‘Bhikkhāya upagataṃ disvā, sakattānaṃ pariccajiṃ;
ทาเนน เม สโม นตฺถิ, เอสา เม ทานปารมี’’ติฯ (จริยา. ๑.ตสฺสุทฺทาน);
Dānena me samo natthi, esā me dānapāramī’’ti. (cariyā. 1.tassuddāna);
กิญฺจาปิ หิ มหาปุริสสฺส ยถาวุเตฺต อกิตฺติพฺราหฺมณาทิกาเล อญฺญสฺมิญฺจ มหาชนกมหาสุตโสมาทิกาเล ทานปารมิยา ปูริตตฺตภาวานํ ปริมาณํ นาม นตฺถิ, ตถาปิ เอกเนฺตเนว สสปณฺฑิตกาเล ทานปารมิยา ปรมตฺถปารมิภาโว วิภาเวตโพฺพติฯ
Kiñcāpi hi mahāpurisassa yathāvutte akittibrāhmaṇādikāle aññasmiñca mahājanakamahāsutasomādikāle dānapāramiyā pūritattabhāvānaṃ parimāṇaṃ nāma natthi, tathāpi ekanteneva sasapaṇḍitakāle dānapāramiyā paramatthapāramibhāvo vibhāvetabboti.
ปรมตฺถทีปนิยา จริยาปิฎกสํวณฺณนาย
Paramatthadīpaniyā cariyāpiṭakasaṃvaṇṇanāya
ทสวิธจริยาสงฺคหสฺส วิเสสโต
Dasavidhacariyāsaṅgahassa visesato
ทานปารมิวิภาวนสฺส
Dānapāramivibhāvanassa
ปฐมวคฺคสฺส อตฺถวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭhamavaggassa atthavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / จริยาปิฎกปาฬิ • Cariyāpiṭakapāḷi / ๑๐. สสปณฺฑิตจริยา • 10. Sasapaṇḍitacariyā