Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๓๑๖] ๖. สสปณฺฑิตชาตกวณฺณนา
[316] 6. Sasapaṇḍitajātakavaṇṇanā
สตฺต เม โรหิตา มจฺฉาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต สพฺพปริกฺขารทานํ อารพฺภ กเถสิฯ สาวตฺถิยํ กิร เอโก กุฎุมฺพิโก พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส สพฺพปริกฺขารทานํ สเชฺชตฺวา ฆรทฺวาเร มณฺฑปํ กาเรตฺวา พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ นิมเนฺตตฺวา สุสชฺชิตมณฺฑเป ปญฺญตฺตวราสเน นิสีทาเปตฺวา นานคฺครสํ ปณีตทานํ ทตฺวา ปุน สฺวาตนายาติ สตฺตาหํ นิมเนฺตตฺวา สตฺตเม ทิวเส พุทฺธปฺปมุขานํ ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ สพฺพปริกฺขาเร อทาสิฯ สตฺถา ภตฺตกิจฺจาวสาเน อนุโมทนํ กโรโนฺต ‘‘อุปาสก, ตยา ปีติโสมนสฺสํ กาตุํ วฎฺฎติ, อิทญฺหิ ทานํ นาม โปราณกปณฺฑิตานํ วํโส, โปราณกปณฺฑิตา หิ สมฺปตฺตยาจกานํ ชีวิตํ ปริจฺจชิตฺวา อตฺตโน มํสมฺปิ อทํสู’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Sattame rohitā macchāti idaṃ satthā jetavane viharanto sabbaparikkhāradānaṃ ārabbha kathesi. Sāvatthiyaṃ kira eko kuṭumbiko buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa sabbaparikkhāradānaṃ sajjetvā gharadvāre maṇḍapaṃ kāretvā buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ nimantetvā susajjitamaṇḍape paññattavarāsane nisīdāpetvā nānaggarasaṃ paṇītadānaṃ datvā puna svātanāyāti sattāhaṃ nimantetvā sattame divase buddhappamukhānaṃ pañcannaṃ bhikkhusatānaṃ sabbaparikkhāre adāsi. Satthā bhattakiccāvasāne anumodanaṃ karonto ‘‘upāsaka, tayā pītisomanassaṃ kātuṃ vaṭṭati, idañhi dānaṃ nāma porāṇakapaṇḍitānaṃ vaṃso, porāṇakapaṇḍitā hi sampattayācakānaṃ jīvitaṃ pariccajitvā attano maṃsampi adaṃsū’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต สสโยนิยํ นิพฺพตฺติตฺวา อรเญฺญ วสิฯ ตสฺส ปน อรญฺญสฺส เอกโต ปพฺพตปาโท เอกโต นที เอกโต ปจฺจนฺตคามโก อโหสิฯ อปเรปิสฺส ตโย สหายา อเหสุํ มกฺกโฎ จ สิงฺคาโล จ อุโทฺท จาติฯ เต จตฺตาโรปิ ปณฺฑิตา เอกโตว วสนฺตา อตฺตโน อตฺตโน โคจรฎฺฐาเน โคจรํ คเหตฺวา สายนฺหสมเย เอกโต สนฺนิปตนฺติฯ สสปณฺฑิโต ‘‘ทานํ ทาตพฺพํ, สีลํ รกฺขิตพฺพํ, อุโปสถกมฺมํ กาตพฺพ’’นฺติ ติณฺณํ ชนานํ โอวาทวเสน ธมฺมํ เทเสติฯ เต ตสฺส โอวาทํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อตฺตโน อตฺตโน นิวาสคุมฺพํ ปวิสิตฺวา วสนฺติฯ เอวํ กาเล คจฺฉเนฺต เอกทิวสํ โพธิสโตฺต อากาสํ โอโลเกตฺวา จนฺทํ ทิสฺวา ‘‘เสฺว อุโปสถทิวโส’’ติ ญตฺวา อิตเร ตโย อาห ‘‘เสฺว อุโปสโถ, ตุเมฺหปิ ตโย ชนา สีลํ สมาทิยิตฺวา อุโปสถิกา โหถ, สีเล ปติฎฺฐาย ทินฺนทานํ มหปฺผลํ โหติ, ตสฺมา ยาจเก สมฺปเตฺต ตุเมฺหหิ ขาทิตพฺพาหารโต ทานํ ทตฺวา ขาเทยฺยาถา’’ติฯ เต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อตฺตโน อตฺตโน วสนฎฺฐาเนสุ วสิํสุฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto sasayoniyaṃ nibbattitvā araññe vasi. Tassa pana araññassa ekato pabbatapādo ekato nadī ekato paccantagāmako ahosi. Aparepissa tayo sahāyā ahesuṃ makkaṭo ca siṅgālo ca uddo cāti. Te cattāropi paṇḍitā ekatova vasantā attano attano gocaraṭṭhāne gocaraṃ gahetvā sāyanhasamaye ekato sannipatanti. Sasapaṇḍito ‘‘dānaṃ dātabbaṃ, sīlaṃ rakkhitabbaṃ, uposathakammaṃ kātabba’’nti tiṇṇaṃ janānaṃ ovādavasena dhammaṃ deseti. Te tassa ovādaṃ sampaṭicchitvā attano attano nivāsagumbaṃ pavisitvā vasanti. Evaṃ kāle gacchante ekadivasaṃ bodhisatto ākāsaṃ oloketvā candaṃ disvā ‘‘sve uposathadivaso’’ti ñatvā itare tayo āha ‘‘sve uposatho, tumhepi tayo janā sīlaṃ samādiyitvā uposathikā hotha, sīle patiṭṭhāya dinnadānaṃ mahapphalaṃ hoti, tasmā yācake sampatte tumhehi khāditabbāhārato dānaṃ datvā khādeyyāthā’’ti. Te ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā attano attano vasanaṭṭhānesu vasiṃsu.
ปุนทิวเส เตสุ อุโทฺท ปาโตว ‘‘โคจรํ ปริเยสิสฺสามี’’ติ นิกฺขมิตฺวา คงฺคาตีรํ คโตฯ อเถโก พาลิสิโก สตฺต โรหิตมเจฺฉ อุทฺธริตฺวา วลฺลิยา อาวุณิตฺวา เนตฺวา คงฺคาตีเร วาลุกํ วิยูหิตฺวา วาลิกาย ปฎิจฺฉาเทตฺวา ปุน มเจฺฉ คณฺหโนฺต อโธคงฺคํ คจฺฉิฯ อุโทฺท มจฺฉคนฺธํ ฆายิตฺวา วาลุกํ วิยูหิตฺวา มเจฺฉ ทิสฺวา นีหริตฺวา ‘‘อตฺถิ นุ โข เอเตสํ สามิโก’’ติ ติกฺขตฺตุํ โฆเสตฺวา สามิกํ อปสฺสโนฺต วลฺลิโกฎิํ ฑํสิตฺวา เนตฺวา อตฺตโน วสนคุเมฺพ ฐเปตฺวา ‘‘เวลายเมว ขาทิสฺสามี’’ติ อตฺตโน สีลํ อาวเชฺชโนฺต นิปชฺชิฯ สิงฺคาโลปิ วสนฎฺฐานโต นิกฺขมิตฺวา โคจรํ ปริเยสโนฺต เอกสฺส เขตฺตโคปกสฺส กุฎิยํ เทฺว มํสสูลานิ เอกํ โคธํ เอกญฺจ ทธิวารกํ ทิสฺวา ‘‘อตฺถิ นุ โข เอเตสํ สามิโก’’ติ ติกฺขตฺตุํ โฆเสตฺวา สามิกํ อทิสฺวา ทธิวารกสฺส อุคฺคหณรชฺชุกํ คีวาย ปเวเสตฺวา เทฺว มํสสูเล จ โคธญฺจ มุเขน ฑํสิตฺวา เนตฺวา อตฺตโน วสนคุเมฺพ ฐเปตฺวา ‘‘เวลายเมว ขาทิสฺสามี’’ติ อตฺตโน สีลํ อาวเชฺชโนฺต นิปชฺชิฯ มกฺกโฎปิ วสนฎฺฐานโต นิกฺขมิตฺวา วนสณฺฑํ ปวิสิตฺวา อมฺพปิณฺฑํ อาหริตฺวา อตฺตโน วสนคุเมฺพ ฐเปตฺวา ‘‘เวลายเมว ขาทิสฺสามี’’ติ อตฺตโน สีลํ อาวเชฺชโนฺต นิปชฺชิฯ
Punadivase tesu uddo pātova ‘‘gocaraṃ pariyesissāmī’’ti nikkhamitvā gaṅgātīraṃ gato. Atheko bālisiko satta rohitamacche uddharitvā valliyā āvuṇitvā netvā gaṅgātīre vālukaṃ viyūhitvā vālikāya paṭicchādetvā puna macche gaṇhanto adhogaṅgaṃ gacchi. Uddo macchagandhaṃ ghāyitvā vālukaṃ viyūhitvā macche disvā nīharitvā ‘‘atthi nu kho etesaṃ sāmiko’’ti tikkhattuṃ ghosetvā sāmikaṃ apassanto vallikoṭiṃ ḍaṃsitvā netvā attano vasanagumbe ṭhapetvā ‘‘velāyameva khādissāmī’’ti attano sīlaṃ āvajjento nipajji. Siṅgālopi vasanaṭṭhānato nikkhamitvā gocaraṃ pariyesanto ekassa khettagopakassa kuṭiyaṃ dve maṃsasūlāni ekaṃ godhaṃ ekañca dadhivārakaṃ disvā ‘‘atthi nu kho etesaṃ sāmiko’’ti tikkhattuṃ ghosetvā sāmikaṃ adisvā dadhivārakassa uggahaṇarajjukaṃ gīvāya pavesetvā dve maṃsasūle ca godhañca mukhena ḍaṃsitvā netvā attano vasanagumbe ṭhapetvā ‘‘velāyameva khādissāmī’’ti attano sīlaṃ āvajjento nipajji. Makkaṭopi vasanaṭṭhānato nikkhamitvā vanasaṇḍaṃ pavisitvā ambapiṇḍaṃ āharitvā attano vasanagumbe ṭhapetvā ‘‘velāyameva khādissāmī’’ti attano sīlaṃ āvajjento nipajji.
โพธิสโตฺต ปน ‘‘เวลายเมว วสนฎฺฐานโต นิกฺขมิตฺวา ทพฺพติณานิ ขาทิสฺสามี’’ติ อตฺตโน วสนคุเมฺพเยว นิปโนฺน จิเนฺตสิ ‘‘มม สนฺติกํ อาคตานํ ยาจกานํ ติณานิ ทาตุํ น สกฺกา, ติลตณฺฑุลาทโยปิ มยฺหํ นตฺถิ, สเจ เม สนฺติกํ ยาจโก อาคจฺฉิสฺสติ, อตฺตโน สรีรมํสํ ทสฺสามี’’ติฯ ตสฺส สีลเตเชน สกฺกสฺส ปณฺฑุกมฺพลสิลาสนํ อุณฺหาการํ ทเสฺสสิฯ โส อาวชฺชมาโน อิทํ การณํ ทิสฺวา ‘‘สสราชานํ วีมํสิสฺสามี’’ติ ปฐมํ อุทฺทสฺส วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา พฺราหฺมณเวเสน อฎฺฐาสิฯ ‘‘พฺราหฺมณ, กิมตฺถํ ฐิโตสี’’ติ วุเตฺต ปณฺฑิต สเจ กิญฺจิ อาหารํ ลเภยฺยํ, อุโปสถิโก หุตฺวา วเสยฺยนฺติฯ โส ‘‘สาธุ ทสฺสามิ เต อาหาร’’นฺติ เตน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ปฐมํ คาถมาห –
Bodhisatto pana ‘‘velāyameva vasanaṭṭhānato nikkhamitvā dabbatiṇāni khādissāmī’’ti attano vasanagumbeyeva nipanno cintesi ‘‘mama santikaṃ āgatānaṃ yācakānaṃ tiṇāni dātuṃ na sakkā, tilataṇḍulādayopi mayhaṃ natthi, sace me santikaṃ yācako āgacchissati, attano sarīramaṃsaṃ dassāmī’’ti. Tassa sīlatejena sakkassa paṇḍukambalasilāsanaṃ uṇhākāraṃ dassesi. So āvajjamāno idaṃ kāraṇaṃ disvā ‘‘sasarājānaṃ vīmaṃsissāmī’’ti paṭhamaṃ uddassa vasanaṭṭhānaṃ gantvā brāhmaṇavesena aṭṭhāsi. ‘‘Brāhmaṇa, kimatthaṃ ṭhitosī’’ti vutte paṇḍita sace kiñci āhāraṃ labheyyaṃ, uposathiko hutvā vaseyyanti. So ‘‘sādhu dassāmi te āhāra’’nti tena saddhiṃ sallapanto paṭhamaṃ gāthamāha –
๖๑.
61.
‘‘สตฺต เม โรหิตา มจฺฉา, อุทกา ถลมุพฺภตา;
‘‘Satta me rohitā macchā, udakā thalamubbhatā;
อิทํ พฺราหฺมณ เม อตฺถิ, เอตํ ภุตฺวา วเน วสา’’ติฯ
Idaṃ brāhmaṇa me atthi, etaṃ bhutvā vane vasā’’ti.
ตตฺถ ถลมุพฺภตาติ อุทกโต ถเล ฐปิตา, เกวเฎฺฎน วา อุทฺธฎาฯ เอตํ ภุตฺวาติ เอตํ มม สนฺตกํ มจฺฉาหารํ ปจิตฺวา ภุญฺชิตฺวา สมณธมฺมํ กโรโนฺต รมณีเย รุกฺขมูเล นิสิโนฺน อิมสฺมิํ วเน วสาติฯ
Tattha thalamubbhatāti udakato thale ṭhapitā, kevaṭṭena vā uddhaṭā. Etaṃ bhutvāti etaṃ mama santakaṃ macchāhāraṃ pacitvā bhuñjitvā samaṇadhammaṃ karonto ramaṇīye rukkhamūle nisinno imasmiṃ vane vasāti.
พฺราหฺมโณ ‘‘ปเคว ตาว โหตุ, ปจฺฉา ชานิสฺสามี’’ติ สิงฺคาลสฺส สนฺติกํ คโตฯ เตนาปิ ‘‘กิมตฺถํ ฐิโตสี’’ติ วุโตฺต ตเถวาหฯ สิงฺคาโล ‘‘สาธุ ทสฺสามี’’ติ เตน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ทุติยํ คาถมาห –
Brāhmaṇo ‘‘pageva tāva hotu, pacchā jānissāmī’’ti siṅgālassa santikaṃ gato. Tenāpi ‘‘kimatthaṃ ṭhitosī’’ti vutto tathevāha. Siṅgālo ‘‘sādhu dassāmī’’ti tena saddhiṃ sallapanto dutiyaṃ gāthamāha –
๖๒.
62.
‘‘ทุสฺส เม เขตฺตปาลสฺส, รตฺติภตฺตํ อปาภตํ;
‘‘Dussa me khettapālassa, rattibhattaṃ apābhataṃ;
มํสสูลา จ เทฺว โคธา, เอกญฺจ ทธิวารกํ;
Maṃsasūlā ca dve godhā, ekañca dadhivārakaṃ;
อิทํ พฺราหฺมณ เม อตฺถิ, เอตํ ภุตฺวา วเน วสา’’ติฯ
Idaṃ brāhmaṇa me atthi, etaṃ bhutvā vane vasā’’ti.
ตตฺถ ทุสฺส เมติ โย เอส มม อวิทูเร เขตฺตปาโล วสติ, ทุสฺส อมุสฺสาติ อโตฺถฯ อปาภตนฺติ อาภตํ อานีตํฯ มํสสูลา จ เทฺว โคธาติ องฺคารปกฺกานิ เทฺว มํสสูลานิ จ เอกา จ โคธาฯ ทธิวารกนฺติ ทธิวารโกฯ อิทนฺติ อิทํ เอตฺตกํ มม อตฺถิ, เอตํ สพฺพมฺปิ ยถาภิรุจิเตน ปาเกน ปจิตฺวา ปริภุญฺชิตฺวา อุโปสถิโก หุตฺวา รมณีเย รุกฺขมูเล นิสีทิตฺวา สมณธมฺมํ กโรโนฺต อิมสฺมิํ วนสเณฺฑ วสาติ อโตฺถฯ
Tattha dussa meti yo esa mama avidūre khettapālo vasati, dussa amussāti attho. Apābhatanti ābhataṃ ānītaṃ. Maṃsasūlā ca dve godhāti aṅgārapakkāni dve maṃsasūlāni ca ekā ca godhā. Dadhivārakanti dadhivārako. Idanti idaṃ ettakaṃ mama atthi, etaṃ sabbampi yathābhirucitena pākena pacitvā paribhuñjitvā uposathiko hutvā ramaṇīye rukkhamūle nisīditvā samaṇadhammaṃ karonto imasmiṃ vanasaṇḍe vasāti attho.
พฺราหฺมโณ ‘‘ปเคว ตาว โหตุ, ปจฺฉา ชานิสฺสามี’’ติ มกฺกฎสฺส สนฺติกํ คโตฯ เตนาปิ ‘‘กิมตฺถํ ฐิโตสี’’ติ วุโตฺต ตเถวาหฯ มกฺกโฎ ‘‘สาธุ ทสฺสามี’’ติ เตน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ตติยํ คาถมาห –
Brāhmaṇo ‘‘pageva tāva hotu, pacchā jānissāmī’’ti makkaṭassa santikaṃ gato. Tenāpi ‘‘kimatthaṃ ṭhitosī’’ti vutto tathevāha. Makkaṭo ‘‘sādhu dassāmī’’ti tena saddhiṃ sallapanto tatiyaṃ gāthamāha –
๖๓.
63.
‘‘อมฺพปกฺกํ ทกํ สีตํ, สีตจฺฉายา มโนรมา;
‘‘Ambapakkaṃ dakaṃ sītaṃ, sītacchāyā manoramā;
อิทํ พฺราหฺมณ เม อตฺถิ, เอตํ ภุตฺวา วเน วสา’’ติฯ
Idaṃ brāhmaṇa me atthi, etaṃ bhutvā vane vasā’’ti.
ตตฺถ อมฺพปกฺกนฺติ มธุรอมฺพผลํฯ ทกํ สีตนฺติ คงฺคาย อุทกํ สีตลํฯ เอตํ ภุตฺวา วเน วสาติ พฺราหฺมณ เอตํ อมฺพปกฺกํ ปริภุญฺชิตฺวา สีตลํ อุทกํ ปิวิตฺวา ยถาภิรุจิเต รมณีเย รุกฺขมูเล นิสิโนฺน สมณธมฺมํ กโรโนฺต อิมสฺมิํ วนสเณฺฑ วสาติฯ
Tattha ambapakkanti madhuraambaphalaṃ. Dakaṃ sītanti gaṅgāya udakaṃ sītalaṃ. Etaṃ bhutvā vane vasāti brāhmaṇa etaṃ ambapakkaṃ paribhuñjitvā sītalaṃ udakaṃ pivitvā yathābhirucite ramaṇīye rukkhamūle nisinno samaṇadhammaṃ karonto imasmiṃ vanasaṇḍe vasāti.
พฺราหฺมโณ ‘‘ปเคว ตาว โหตุ, ปจฺฉา ชานิสฺสามี’’ติ สสปณฺฑิตสฺส สนฺติกํ คโตฯ เตนาปิ ‘‘กิมตฺถํ ฐิโตสี’’ติ วุโตฺต ตเถวาหฯ ตํ สุตฺวา โพธิสโตฺต โสมนสฺสปฺปโตฺต ‘‘พฺราหฺมณ, สุฎฺฐุ เต กตํ อาหารตฺถาย มม สนฺติกํ อาคจฺฉเนฺตน, อชฺชาหํ อทินฺนปุพฺพํ ทานํ ทสฺสามิ ฯ ตฺวํ ปน สีลวา ปาณาติปาตํ น กริสฺสสิ, คจฺฉ, พฺราหฺมณ, นานาทารูนิ สงฺกฑฺฒิตฺวา องฺคาเร กตฺวา มยฺหํ อาโรเจหิ, อหํ อตฺตานํ ปริจฺจชิตฺวา องฺคารมเชฺฌ ปติสฺสามิ ฯ มม สรีเร ปเกฺก ตฺวํ มํสํ ขาทิตฺวา สมณธมฺมํ กเรยฺยาสี’’ติ เตน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต จตุตฺถํ คาถมาห –
Brāhmaṇo ‘‘pageva tāva hotu, pacchā jānissāmī’’ti sasapaṇḍitassa santikaṃ gato. Tenāpi ‘‘kimatthaṃ ṭhitosī’’ti vutto tathevāha. Taṃ sutvā bodhisatto somanassappatto ‘‘brāhmaṇa, suṭṭhu te kataṃ āhāratthāya mama santikaṃ āgacchantena, ajjāhaṃ adinnapubbaṃ dānaṃ dassāmi . Tvaṃ pana sīlavā pāṇātipātaṃ na karissasi, gaccha, brāhmaṇa, nānādārūni saṅkaḍḍhitvā aṅgāre katvā mayhaṃ ārocehi, ahaṃ attānaṃ pariccajitvā aṅgāramajjhe patissāmi . Mama sarīre pakke tvaṃ maṃsaṃ khāditvā samaṇadhammaṃ kareyyāsī’’ti tena saddhiṃ sallapanto catutthaṃ gāthamāha –
๖๔.
64.
‘‘น สสสฺส ติลา อตฺถิ, น มุคฺคา นปิ ตณฺฑุลา;
‘‘Na sasassa tilā atthi, na muggā napi taṇḍulā;
อิมินา อคฺคินา ปกฺกํ, มมํ ภุตฺวา วเน วสา’’ติฯ
Iminā agginā pakkaṃ, mamaṃ bhutvā vane vasā’’ti.
ตตฺถ มมํ ภุตฺวาติ ยํ ตํ อหํ อคฺคิํ กโรหีติ วทามิ, อิมินา อคฺคินา ปกฺกํ มํ ภุญฺชิตฺวา อิมสฺมิํ วเน วส, เอกสฺส สสสฺส สรีรํ นาม เอกสฺส ปุริสสฺส ยาปนมตฺตํ โหตีติฯ
Tattha mamaṃ bhutvāti yaṃ taṃ ahaṃ aggiṃ karohīti vadāmi, iminā agginā pakkaṃ maṃ bhuñjitvā imasmiṃ vane vasa, ekassa sasassa sarīraṃ nāma ekassa purisassa yāpanamattaṃ hotīti.
สโกฺก ตสฺส วจนํ สุตฺวา อตฺตโน อานุภาเวน เอกํ องฺคารราสิํ มาเปตฺวา โพธิสตฺตสฺส อาโรเจสิฯ โส ทพฺพติณสยนโต อุฎฺฐาย ตตฺถ คนฺตฺวา ‘‘สเจ เม โลมนฺตเรสุ ปาณกา อตฺถิ, เต มา มริํสู’’ติ ติกฺขตฺตุํ สรีรํ วิธุนิตฺวา สกลสรีรํ ทานมุเข ฐเปตฺวา ลงฺฆิตฺวา ปทุมสเร ราชหํโส วิย ปมุทิตจิโตฺต องฺคารราสิมฺหิ ปติฯ โส ปน อคฺคิ โพธิสตฺตสฺส สรีเร โลมกูปมตฺตมฺปิ อุณฺหํ กาตุํ นาสกฺขิ, หิมคพฺภํ ปวิโฎฺฐ วิย อโหสิฯ อถ สกฺกํ อามเนฺตตฺวา ‘‘พฺราหฺมณ, ตยา กโต อคฺคิ อติสีตโล, มม สรีเร โลมกูปมตฺตมฺปิ อุณฺหํ กาตุํ น สโกฺกติ, กิํ นาเมต’’นฺติ อาหฯ ‘‘สสปณฺฑิต, นาหํ พฺราหฺมโณ, สโกฺกหมสฺมิ, ตว วีมํสนตฺถาย อาคโตมฺหี’’ติฯ ‘‘สกฺก, ตฺวํ ตาว ติฎฺฐ, สกโลปิ เจ โลกสนฺนิวาโส มํ ทาเนน วีมํเสยฺย, เนว เม อทาตุกามตํ ปเสฺสยฺยา’’ติ โพธิสโตฺต สีหนาทํ นทิฯ อถ นํ สโกฺก ‘‘สสปณฺฑิต, ตว คุโณ สกลกปฺปํ ปากโฎ โหตู’’ติ ปพฺพตํ ปีเฬตฺวา ปพฺพตรสํ อาทาย จนฺทมณฺฑเล สสลกฺขณํ ลิขิตฺวา โพธิสตฺตํ อาเนตฺวา ตสฺมิํ วนสเณฺฑ ตสฺมิํเยว วนคุเมฺพ ตรุณทพฺพติณปิเฎฺฐ นิปชฺชาเปตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว คโตฯ เตปิ จตฺตาโร ปณฺฑิตา สมคฺคา สโมฺมทมานา สีลํ ปูเรตฺวา ทานํ ทตฺวา อุโปสถกมฺมํ กตฺวา ยถากมฺมํ คตาฯ
Sakko tassa vacanaṃ sutvā attano ānubhāvena ekaṃ aṅgārarāsiṃ māpetvā bodhisattassa ārocesi. So dabbatiṇasayanato uṭṭhāya tattha gantvā ‘‘sace me lomantaresu pāṇakā atthi, te mā mariṃsū’’ti tikkhattuṃ sarīraṃ vidhunitvā sakalasarīraṃ dānamukhe ṭhapetvā laṅghitvā padumasare rājahaṃso viya pamuditacitto aṅgārarāsimhi pati. So pana aggi bodhisattassa sarīre lomakūpamattampi uṇhaṃ kātuṃ nāsakkhi, himagabbhaṃ paviṭṭho viya ahosi. Atha sakkaṃ āmantetvā ‘‘brāhmaṇa, tayā kato aggi atisītalo, mama sarīre lomakūpamattampi uṇhaṃ kātuṃ na sakkoti, kiṃ nāmeta’’nti āha. ‘‘Sasapaṇḍita, nāhaṃ brāhmaṇo, sakkohamasmi, tava vīmaṃsanatthāya āgatomhī’’ti. ‘‘Sakka, tvaṃ tāva tiṭṭha, sakalopi ce lokasannivāso maṃ dānena vīmaṃseyya, neva me adātukāmataṃ passeyyā’’ti bodhisatto sīhanādaṃ nadi. Atha naṃ sakko ‘‘sasapaṇḍita, tava guṇo sakalakappaṃ pākaṭo hotū’’ti pabbataṃ pīḷetvā pabbatarasaṃ ādāya candamaṇḍale sasalakkhaṇaṃ likhitvā bodhisattaṃ ānetvā tasmiṃ vanasaṇḍe tasmiṃyeva vanagumbe taruṇadabbatiṇapiṭṭhe nipajjāpetvā attano vasanaṭṭhānameva gato. Tepi cattāro paṇḍitā samaggā sammodamānā sīlaṃ pūretvā dānaṃ datvā uposathakammaṃ katvā yathākammaṃ gatā.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน สพฺพปริกฺขารทานทายโก คหปติ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne sabbaparikkhāradānadāyako gahapati sotāpattiphale patiṭṭhahi.
ตทา อุโทฺท อานโนฺท อโหสิ, สิงฺคาโล โมคฺคลฺลาโน, มกฺกโฎ สาริปุโตฺต, สโกฺก อนุรุโทฺธ, สสปณฺฑิโต ปน อหเมว อโหสินฺติฯ
Tadā uddo ānando ahosi, siṅgālo moggallāno, makkaṭo sāriputto, sakko anuruddho, sasapaṇḍito pana ahameva ahosinti.
สสปณฺฑิตชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐาฯ
Sasapaṇḍitajātakavaṇṇanā chaṭṭhā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๑๖. สสปณฺฑิตชาตกํ • 316. Sasapaṇḍitajātakaṃ