Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๒๗๙] ๙. สตปตฺตชาตกวณฺณนา
[279] 9. Satapattajātakavaṇṇanā
ยถา มาณวโก ปเนฺถติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ปณฺฑุกโลหิตเก อารพฺภ กเถสิฯ ฉพฺพคฺคิยานญฺหิ เทฺว ชนา เมตฺติยภูมชกา ราชคหํ อุปนิสฺสาย วิหริํสุ, เทฺว อสฺสชิปุนพฺพสุกา กีฎาคิริํ อุปนิสฺสาย วิหริํสุ, ปณฺฑุกโลหิตกา อิเม ปน เทฺว สาวตฺถิํ อุปนิสฺสาย เชตวเน วิหริํสุฯ เต ธเมฺมน นีหฎํ อธิกรณํ อุโกฺกเฎนฺติฯ เยปิ เตสํ สนฺทิฎฺฐสมฺภตฺตา โหนฺติ, เตสํ อุปตฺถมฺภา หุตฺวา ‘‘น, อาวุโส, ตุเมฺห เอเตหิ ชาติยา วา โคเตฺตน วา สีเลน วา นิหีนตราฯ สเจ ตุเมฺห อตฺตโน คาหํ วิสฺสเชฺชถ, สุฎฺฐุตรํ โว เอเต อธิภวิสฺสนฺตี’’ติอาทีนิ วตฺวา คาหํ วิสฺสเชฺชตุํ น เทนฺติฯ เตน ภณฺฑนานิ เจว กลหวิคฺคหวิวาทา จ ปวตฺตนฺติฯ ภิกฺขู เอตมตฺถํ ภควโต อาโรเจสุํฯ อถ ภควา เอตสฺมิํ นิทาเน เอตสฺมิํ ปกรเณ ภิกฺขู สนฺนิปาตาเปตฺวา ปณฺฑุกโลหิตเก ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สจฺจํ กิร ตุเมฺห, ภิกฺขเว, อตฺตนาปิ อธิกรณํ อุโกฺกเฎถ, อเญฺญสมฺปิ คาหํ วิสฺสเชฺชตุํ น เทถา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘เอวํ สเนฺต, ภิกฺขเว, ตุมฺหากํ กิริยา สตปตฺตมาณวสฺส กิริยา วิย โหตี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Yathā māṇavako pantheti idaṃ satthā jetavane viharanto paṇḍukalohitake ārabbha kathesi. Chabbaggiyānañhi dve janā mettiyabhūmajakā rājagahaṃ upanissāya vihariṃsu, dve assajipunabbasukā kīṭāgiriṃ upanissāya vihariṃsu, paṇḍukalohitakā ime pana dve sāvatthiṃ upanissāya jetavane vihariṃsu. Te dhammena nīhaṭaṃ adhikaraṇaṃ ukkoṭenti. Yepi tesaṃ sandiṭṭhasambhattā honti, tesaṃ upatthambhā hutvā ‘‘na, āvuso, tumhe etehi jātiyā vā gottena vā sīlena vā nihīnatarā. Sace tumhe attano gāhaṃ vissajjetha, suṭṭhutaraṃ vo ete adhibhavissantī’’tiādīni vatvā gāhaṃ vissajjetuṃ na denti. Tena bhaṇḍanāni ceva kalahaviggahavivādā ca pavattanti. Bhikkhū etamatthaṃ bhagavato ārocesuṃ. Atha bhagavā etasmiṃ nidāne etasmiṃ pakaraṇe bhikkhū sannipātāpetvā paṇḍukalohitake pakkosāpetvā ‘‘saccaṃ kira tumhe, bhikkhave, attanāpi adhikaraṇaṃ ukkoṭetha, aññesampi gāhaṃ vissajjetuṃ na dethā’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ, bhante’’ti vutte ‘‘evaṃ sante, bhikkhave, tumhākaṃ kiriyā satapattamāṇavassa kiriyā viya hotī’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต อญฺญตรสฺมิํ กาสิคามเก เอกสฺมิํ กุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต กสิวณิชฺชาทีหิ ชีวิกํ อกเปฺปตฺวา ปญฺจสตมเตฺต โจเร คเหตฺวา เตสํ เชฎฺฐโก หุตฺวา ปนฺถทูหนสนฺธิเจฺฉทาทีนิ กโรโนฺต ชีวิกํ กเปฺปสิฯ ตทา พาราณสิยํ เอโก กุฎุมฺพิโก เอกสฺส ชานปทสฺส กหาปณสหสฺสํ ทตฺวา ปุน อคฺคเหตฺวาว กาลมกาสิฯ อถสฺส ภริยา อปรภาเค คิลานา มรณมเญฺจ นิปนฺนา ปุตฺตํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ตาต, ปิตา เต เอกสฺส สหสฺสํ ทตฺวา อนาหราเปตฺวาว มโต, สเจ อหมฺปิ มริสฺสามิ, น โส ตุยฺหํ ทสฺสติ, คจฺฉ นํ มยิ ชีวนฺติยา อาหราเปตฺวา คณฺหา’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา กหาปเณ ลภิฯ อถสฺส มาตา กาลกิริยํ กตฺวา ปุตฺตสิเนเหน ตสฺส อาคมนมเคฺค โอปปาติกสิงฺคาลี หุตฺวา นิพฺพติฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto aññatarasmiṃ kāsigāmake ekasmiṃ kule nibbattitvā vayappatto kasivaṇijjādīhi jīvikaṃ akappetvā pañcasatamatte core gahetvā tesaṃ jeṭṭhako hutvā panthadūhanasandhicchedādīni karonto jīvikaṃ kappesi. Tadā bārāṇasiyaṃ eko kuṭumbiko ekassa jānapadassa kahāpaṇasahassaṃ datvā puna aggahetvāva kālamakāsi. Athassa bhariyā aparabhāge gilānā maraṇamañce nipannā puttaṃ āmantetvā ‘‘tāta, pitā te ekassa sahassaṃ datvā anāharāpetvāva mato, sace ahampi marissāmi, na so tuyhaṃ dassati, gaccha naṃ mayi jīvantiyā āharāpetvā gaṇhā’’ti āha. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā tattha gantvā kahāpaṇe labhi. Athassa mātā kālakiriyaṃ katvā puttasinehena tassa āgamanamagge opapātikasiṅgālī hutvā nibbati.
ตทา โส โจรเชฎฺฐโก มคฺคปฎิปเนฺน วิลุมฺปมาโน สปริโส ตสฺมิํ มเคฺค อฎฺฐาสิฯ อถ สา สิงฺคาลี ปุเตฺต อฎวีมุขํ สมฺปเตฺต ‘‘ตาต, มา อฎวิํ อภิรุหิ, โจรา เอตฺถ ฐิตา, เต ตํ มาเรตฺวา กหาปเณ คณฺหิสฺสนฺตี’’ติ ปุนปฺปุนํ มคฺคํ โอจฺฉินฺทมานา นิวาเรติฯ โส ตํ การณํ อชานโนฺต ‘‘อยํ กาฬกณฺณี สิงฺคาลี มยฺหํ มคฺคํ โอจฺฉินฺทตี’’ติ เลฑฺฑุทณฺฑํ คเหตฺวา มาตรํ ปลาเปตฺวา อฎวิํ ปฎิปชฺชิฯ อเถโก สตปตฺตสกุโณ ‘‘อิมสฺส ปุริสสฺส หเตฺถ กหาปณสหสฺสํ อตฺถิ, อิมํ มาเรตฺวา ตํ กหาปณํ คณฺหถา’’ติ วิรวโนฺต โจราภิมุโข ปกฺขนฺทิฯ มาณโว เตน กตการณํ อชานโนฺต ‘‘อยํ มงฺคลสกุโณ, อิทานิ เม โสตฺถิ ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘วสฺส, สามิ, วสฺส, สามี’’ติ วตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคณฺหิฯ
Tadā so corajeṭṭhako maggapaṭipanne vilumpamāno sapariso tasmiṃ magge aṭṭhāsi. Atha sā siṅgālī putte aṭavīmukhaṃ sampatte ‘‘tāta, mā aṭaviṃ abhiruhi, corā ettha ṭhitā, te taṃ māretvā kahāpaṇe gaṇhissantī’’ti punappunaṃ maggaṃ occhindamānā nivāreti. So taṃ kāraṇaṃ ajānanto ‘‘ayaṃ kāḷakaṇṇī siṅgālī mayhaṃ maggaṃ occhindatī’’ti leḍḍudaṇḍaṃ gahetvā mātaraṃ palāpetvā aṭaviṃ paṭipajji. Atheko satapattasakuṇo ‘‘imassa purisassa hatthe kahāpaṇasahassaṃ atthi, imaṃ māretvā taṃ kahāpaṇaṃ gaṇhathā’’ti viravanto corābhimukho pakkhandi. Māṇavo tena katakāraṇaṃ ajānanto ‘‘ayaṃ maṅgalasakuṇo, idāni me sotthi bhavissatī’’ti cintetvā ‘‘vassa, sāmi, vassa, sāmī’’ti vatvā añjaliṃ paggaṇhi.
โพธิสโตฺต สพฺพรุตญฺญู เตสํ ทฺวินฺนํ กิริยํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – อิมาย สิงฺคาลิยา เอตสฺส มาตรา ภวิตพฺพํ, เตน สา ‘‘อิมํ มาเรตฺวา กหาปเณ คณฺหนฺตี’’ติ ภเยน วาเรติฯ อิมินา ปน สตปเตฺตน ปจฺจามิเตฺตน ภวิตพฺพํ, เตน โส ‘‘อิมํ มาเรตฺวา กหาปเณ คณฺหถา’’ติ อมฺหากํ อาโรเจสิฯ อยํ ปน เอตมตฺถํ อชานโนฺต อตฺถกามํ มาตรํ ตเชฺชตฺวา ปลาเปสิ, อนตฺถกามสฺส สตปตฺตสฺส ‘‘อตฺถกาโม เม’’ติ สญฺญาย อญฺชลิํ ปคฺคณฺหาติ, อโห วตายํ พาโลติ ฯ โพธิสตฺตานญฺหิ เอวํ มหาปุริสานมฺปิ สตํ ปรสนฺตกคฺคหณํ วิสมปฎิสนฺธิคฺคหณวเสน โหติ, ‘‘นกฺขตฺตโทเสนา’’ติปิ วทนฺติฯ
Bodhisatto sabbarutaññū tesaṃ dvinnaṃ kiriyaṃ disvā cintesi – imāya siṅgāliyā etassa mātarā bhavitabbaṃ, tena sā ‘‘imaṃ māretvā kahāpaṇe gaṇhantī’’ti bhayena vāreti. Iminā pana satapattena paccāmittena bhavitabbaṃ, tena so ‘‘imaṃ māretvā kahāpaṇe gaṇhathā’’ti amhākaṃ ārocesi. Ayaṃ pana etamatthaṃ ajānanto atthakāmaṃ mātaraṃ tajjetvā palāpesi, anatthakāmassa satapattassa ‘‘atthakāmo me’’ti saññāya añjaliṃ paggaṇhāti, aho vatāyaṃ bāloti . Bodhisattānañhi evaṃ mahāpurisānampi sataṃ parasantakaggahaṇaṃ visamapaṭisandhiggahaṇavasena hoti, ‘‘nakkhattadosenā’’tipi vadanti.
มาณโว อาคนฺตฺวา โจรานํ สีมนฺตรํ ปาปุณิฯ โพธิสโตฺต ตํ คาหาเปตฺวา ‘‘กตฺถ วาสิโกสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘พาราณสิวาสิโกมฺหี’’ติฯ ‘‘กหํ อคมาสี’’ติ? ‘‘เอกสฺมิํ คามเก สหสฺสํ ลทฺธพฺพํ อตฺถิ, ตตฺถ อคมาสิ’’นฺติฯ ‘‘ลทฺธํ ปน เต’’ติ? ‘‘อาม, ลทฺธ’’นฺติ ฯ ‘‘เกน ตฺวํ เปสิโตสี’’ติ? ‘‘สามิ, ปิตา เม มโต, มาตาปิ เม คิลานา, สา ‘มยิ มตาย เอส น ลภิสฺสตี’ติ มญฺญมานา มํ เปเสสี’’ติฯ ‘‘อิทานิ ตว มาตุ ปวตฺติํ ชานาสี’’ติ? ‘‘น ชานามิ, สามี’’ติฯ ‘‘มาตา เต ตยิ นิกฺขเนฺต กาลํ กตฺวา ปุตฺตสิเนเหน สิงฺคาลี หุตฺวา ตว มรณภยภีตา มคฺคํ เต โอจฺฉินฺทิตฺวา ตํ วาเรสิ, ตํ ตฺวํ ตเชฺชตฺวา ปลาเปสิ, สตปตฺตสกุโณ ปน เต ปจฺจามิโตฺตฯ โส ‘อิมํ มาเรตฺวา กหาปเณ คณฺหถา’ติ อมฺหากํ อาจิกฺขิ, ตฺวํ อตฺตโน พาลตาย อตฺถกามํ มาตรํ ‘อนตฺถกามา เม’ติ มญฺญสิ, อนตฺถกามํ สตปตฺตํ ‘อตฺถกาโม เม’ติฯ ตสฺส ตุมฺหากํ กตคุโณ นาม นตฺถิ, มาตา ปน เต มหาคุณา, กหาปเณ คเหตฺวา คจฺฉา’’ติ วิสฺสเชฺชสิฯ
Māṇavo āgantvā corānaṃ sīmantaraṃ pāpuṇi. Bodhisatto taṃ gāhāpetvā ‘‘kattha vāsikosī’’ti pucchi. ‘‘Bārāṇasivāsikomhī’’ti. ‘‘Kahaṃ agamāsī’’ti? ‘‘Ekasmiṃ gāmake sahassaṃ laddhabbaṃ atthi, tattha agamāsi’’nti. ‘‘Laddhaṃ pana te’’ti? ‘‘Āma, laddha’’nti . ‘‘Kena tvaṃ pesitosī’’ti? ‘‘Sāmi, pitā me mato, mātāpi me gilānā, sā ‘mayi matāya esa na labhissatī’ti maññamānā maṃ pesesī’’ti. ‘‘Idāni tava mātu pavattiṃ jānāsī’’ti? ‘‘Na jānāmi, sāmī’’ti. ‘‘Mātā te tayi nikkhante kālaṃ katvā puttasinehena siṅgālī hutvā tava maraṇabhayabhītā maggaṃ te occhinditvā taṃ vāresi, taṃ tvaṃ tajjetvā palāpesi, satapattasakuṇo pana te paccāmitto. So ‘imaṃ māretvā kahāpaṇe gaṇhathā’ti amhākaṃ ācikkhi, tvaṃ attano bālatāya atthakāmaṃ mātaraṃ ‘anatthakāmā me’ti maññasi, anatthakāmaṃ satapattaṃ ‘atthakāmo me’ti. Tassa tumhākaṃ kataguṇo nāma natthi, mātā pana te mahāguṇā, kahāpaṇe gahetvā gacchā’’ti vissajjesi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา อิมา คาถา อโวจ –
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā abhisambuddho hutvā imā gāthā avoca –
๘๕.
85.
‘‘ยถา มาณวโก ปเนฺถ, สิงฺคาลิํ วนโคจริํ;
‘‘Yathā māṇavako panthe, siṅgāliṃ vanagocariṃ;
อตฺถกามํ ปเวเทนฺติํ, อนตฺถกามาติ มญฺญติ;
Atthakāmaṃ pavedentiṃ, anatthakāmāti maññati;
อนตฺถกามํ สตปตฺตํ, อตฺถกาโมติ มญฺญติฯ
Anatthakāmaṃ satapattaṃ, atthakāmoti maññati.
๘๖.
86.
‘‘เอวเมว อิเธกโจฺจ, ปุคฺคโล โหติ ตาทิโส;
‘‘Evameva idhekacco, puggalo hoti tādiso;
หิเตหิ วจนํ วุโตฺต, ปฎิคฺคณฺหาติ วามโตฯ
Hitehi vacanaṃ vutto, paṭiggaṇhāti vāmato.
๘๗.
87.
‘‘เย จ โข นํ ปสํสนฺติ, ภยา อุกฺกํสยนฺติ วา;
‘‘Ye ca kho naṃ pasaṃsanti, bhayā ukkaṃsayanti vā;
ตญฺหิ โส มญฺญเต มิตฺตํ, สตปตฺตํว มาณโว’’ติฯ
Tañhi so maññate mittaṃ, satapattaṃva māṇavo’’ti.
ตตฺถ หิเตหีติ หิตํ วุฑฺฒิํ อิจฺฉมาเนหิฯ วจนํ วุโตฺตติ หิตสุขาวหํ โอวาทานุสาสนํ วุโตฺตฯ ปฎิคฺคณฺหาติ วามโตติ โอวาทํ อคณฺหโนฺต ‘‘อยํ เม น อตฺถาวโห โหติ, อนตฺถาวโห เม อย’’นฺติ คณฺหโนฺต วามโต ปฎิคฺคณฺหาติ นามฯ
Tattha hitehīti hitaṃ vuḍḍhiṃ icchamānehi. Vacanaṃ vuttoti hitasukhāvahaṃ ovādānusāsanaṃ vutto. Paṭiggaṇhāti vāmatoti ovādaṃ agaṇhanto ‘‘ayaṃ me na atthāvaho hoti, anatthāvaho me aya’’nti gaṇhanto vāmato paṭiggaṇhāti nāma.
เย จ โข นนฺติ เย จ โข ตํ อตฺตโน คาหํ คเหตฺวา ฐิตปุคฺคลํ ‘‘อธิกรณํ คเหตฺวา ฐิเตหิ นาม ตุมฺหาทิเสหิ ภวิตพฺพ’’นฺติ วเณฺณนฺติฯ ภยา อุกฺกํสยนฺติ วาติ อิมสฺส คาหสฺส วิสฺสฎฺฐปจฺจยา ตุมฺหากํ อิทญฺจิทญฺจ ภยํ อุปฺปชฺชิสฺสติ, มา วิสฺสชฺชยิตฺถ, น เอเต พาหุสจฺจกุลปริวาราทีหิ ตุเมฺห สมฺปาปุณนฺตีติ เอวํ วิสฺสชฺชนปจฺจยา ภยํ ทเสฺสตฺวา อุกฺขิปนฺติฯ ตญฺหิ โส มญฺญเต มิตฺตนฺติ เย เอวรูปา โหนฺติ, เตสุ ยํกิญฺจิ โส เอกโจฺจ พาลปุคฺคโล อตฺตโน พาลตาย มิตฺตํ มญฺญติ, ‘‘อยํ เม อตฺถกาโม มิโตฺต’’ติ มญฺญติฯ สตปตฺตํว มาณโวติ ยถา อนตฺถกามเญฺญว สตปตฺตํ โส มาณโว อตฺตโน พาลตาย ‘‘อตฺถกาโม เม’’ติ มญฺญติ, ปณฺฑิโต ปน เอวรูปํ ‘‘อนุปฺปิยภาณี มิโตฺต’’ติ อคเหตฺวา ทูรโตว นํ วิวเชฺชติฯ เตน วุตฺตํ –
Yeca kho nanti ye ca kho taṃ attano gāhaṃ gahetvā ṭhitapuggalaṃ ‘‘adhikaraṇaṃ gahetvā ṭhitehi nāma tumhādisehi bhavitabba’’nti vaṇṇenti. Bhayā ukkaṃsayanti vāti imassa gāhassa vissaṭṭhapaccayā tumhākaṃ idañcidañca bhayaṃ uppajjissati, mā vissajjayittha, na ete bāhusaccakulaparivārādīhi tumhe sampāpuṇantīti evaṃ vissajjanapaccayā bhayaṃ dassetvā ukkhipanti. Tañhi so maññate mittanti ye evarūpā honti, tesu yaṃkiñci so ekacco bālapuggalo attano bālatāya mittaṃ maññati, ‘‘ayaṃ me atthakāmo mitto’’ti maññati. Satapattaṃva māṇavoti yathā anatthakāmaññeva satapattaṃ so māṇavo attano bālatāya ‘‘atthakāmo me’’ti maññati, paṇḍito pana evarūpaṃ ‘‘anuppiyabhāṇī mitto’’ti agahetvā dūratova naṃ vivajjeti. Tena vuttaṃ –
‘‘อญฺญทตฺถุหโร มิโตฺต, โย จ มิโตฺต วจีปโร;
‘‘Aññadatthuharo mitto, yo ca mitto vacīparo;
อนุปฺปิยญฺจ โย อาห, อปาเยสุ จ โย สขาฯ
Anuppiyañca yo āha, apāyesu ca yo sakhā.
‘‘เอเต อมิเตฺต จตฺตาโร, อิติ วิญฺญาย ปณฺฑิโต;
‘‘Ete amitte cattāro, iti viññāya paṇḍito;
อารกา ปริวเชฺชยฺย, มคฺคํ ปฎิภยํ ยถา’’ติฯ (ที. นิ. ๓.๒๕๙);
Ārakā parivajjeyya, maggaṃ paṭibhayaṃ yathā’’ti. (dī. ni. 3.259);
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา โจรเชฎฺฐโก อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā corajeṭṭhako ahameva ahosi’’nti.
สตปตฺตชาตกวณฺณนา นวมาฯ
Satapattajātakavaṇṇanā navamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๗๙. สตปตฺตชาตกํ • 279. Satapattajātakaṃ