Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๑๐. สติปฎฺฐานสุตฺตวณฺณนา
10. Satipaṭṭhānasuttavaṇṇanā
๑๐๕. เอวํ เม สุตนฺติ สติปฎฺฐานสุตฺตํฯ ตตฺถ กุรูสุ วิหรตีติ กุรุนามกา ชานปทิโน ราชกุมารา, เตสํ นิวาโส เอโกปิ ชนปโท รุฬฺหีสเทฺทน กุรูติ วุจฺจติ, ตสฺมิํ กุรูสุ ชนปเทฯ อฎฺฐกถาจริยา ปนาหุ – มนฺธาตุกาเล ตีสุ ทีเปสุ มนุสฺสา ชมฺพุทีโป นาม พุทฺธปเจฺจกพุทฺธมหาสาวกจกฺกวตฺติปภุตีนํ อุตฺตมปุริสานํ อุปฺปตฺติภูมิ อุตฺตมทีโป อติรมณีโยติ สุตฺวา รญฺญา มนฺธาตุจกฺกวตฺตินา จกฺกรตนํ ปุรกฺขตฺวา จตฺตาโร ทีเป อนุสํยายเนฺตน สทฺธิํ อาคมํสุฯ ตโต ราชา ปริณายกรตนํ ปุจฺฉิ –
105. Evaṃ me sutanti satipaṭṭhānasuttaṃ. Tattha kurūsu viharatīti kurunāmakā jānapadino rājakumārā, tesaṃ nivāso ekopi janapado ruḷhīsaddena kurūti vuccati, tasmiṃ kurūsu janapade. Aṭṭhakathācariyā panāhu – mandhātukāle tīsu dīpesu manussā jambudīpo nāma buddhapaccekabuddhamahāsāvakacakkavattipabhutīnaṃ uttamapurisānaṃ uppattibhūmi uttamadīpo atiramaṇīyoti sutvā raññā mandhātucakkavattinā cakkaratanaṃ purakkhatvā cattāro dīpe anusaṃyāyantena saddhiṃ āgamaṃsu. Tato rājā pariṇāyakaratanaṃ pucchi –
‘‘อตฺถิ นุ โข มนุสฺสโลกโต รมณียตรํ ฐาน’’นฺติ?
‘‘Atthi nu kho manussalokato ramaṇīyataraṃ ṭhāna’’nti?
‘‘กสฺมา เทว เอวํ ภณสิ?
‘‘Kasmā deva evaṃ bhaṇasi?
‘‘กิํ น ปสฺสสิ จนฺทิมสูริยานํ อานุภาวํ?
‘‘Kiṃ na passasi candimasūriyānaṃ ānubhāvaṃ?
‘‘นนุ เอเตสํ ฐานํ อิโต รมณียตร’’นฺติ?
‘‘Nanu etesaṃ ṭhānaṃ ito ramaṇīyatara’’nti?
ราชา จกฺกรตนํ ปุรกฺขตฺวา ตตฺถ อคมาสิฯ จตฺตาโร มหาราชาโน ‘‘มนฺธาตุมหาราชา อาคโต’’ติ สุตฺวาว ‘‘มหิทฺธิโก มหานุภาโว ราชา น สกฺกา ยุเทฺธน ปฎิพาหิตุ’’นฺติ สกรชฺชํ นิยฺยาเตสุํฯ โส ตํ คเหตฺวา ปุน ปุจฺฉิ – ‘‘อตฺถิ นุ โข อิโต รมณียตรํ ฐาน’’นฺติฯ อถสฺส ตาวติํสภวนํ กถยิํสุ – ‘‘ตาวติํสภวนํ, เทว, รมณียตรํ, ตตฺถ สกฺกสฺส เทวรโญฺญ อิเม จตฺตาโร มหาราชาโน ปริจารกา โทวาริกภูมิยํ ติฎฺฐนฺติฯ สโกฺก เทวราชา มหิทฺธิโก มหานุภาโวฯ ตสฺสิมานิ ปน อุปโภคฎฺฐานานิ, โยชนสหสฺสุเพฺพโธ เวชยนฺตปาสาโท, ปญฺจโยชนสตุเพฺพธา สุธมฺมา เทวสภา, ทิยฑฺฒโยชนสติโก เวชยนฺตรโถ, ตถา เอราวโณ หตฺถี, ทิพฺพรุกฺขสหสฺสปฎิมณฺฑิตํ นนฺทนวนํ จิตฺตลตาวนํ ผารุสกวนํ มิสฺสกวนํ ฯ โยชนสตุเพฺพโธ ปาริจฺฉตฺตโก โกวิฬาโร, ตสฺส เหฎฺฐา สฎฺฐิโยชนายามา ปณฺณาสโยชนวิตฺถตา ปญฺจทสโยชนุเพฺพธา ชยสุมนปุปฺผวณฺณา ปณฺฑุกมฺพลสิลา, ยสฺสา มุทุตาย สกฺกสฺส นิสีทโต อุปฑฺฒกาโย อนุปวิสตี’’ติฯ
Rājā cakkaratanaṃ purakkhatvā tattha agamāsi. Cattāro mahārājāno ‘‘mandhātumahārājā āgato’’ti sutvāva ‘‘mahiddhiko mahānubhāvo rājā na sakkā yuddhena paṭibāhitu’’nti sakarajjaṃ niyyātesuṃ. So taṃ gahetvā puna pucchi – ‘‘atthi nu kho ito ramaṇīyataraṃ ṭhāna’’nti. Athassa tāvatiṃsabhavanaṃ kathayiṃsu – ‘‘tāvatiṃsabhavanaṃ, deva, ramaṇīyataraṃ, tattha sakkassa devarañño ime cattāro mahārājāno paricārakā dovārikabhūmiyaṃ tiṭṭhanti. Sakko devarājā mahiddhiko mahānubhāvo. Tassimāni pana upabhogaṭṭhānāni, yojanasahassubbedho vejayantapāsādo, pañcayojanasatubbedhā sudhammā devasabhā, diyaḍḍhayojanasatiko vejayantaratho, tathā erāvaṇo hatthī, dibbarukkhasahassapaṭimaṇḍitaṃ nandanavanaṃ cittalatāvanaṃ phārusakavanaṃ missakavanaṃ . Yojanasatubbedho pāricchattako koviḷāro, tassa heṭṭhā saṭṭhiyojanāyāmā paṇṇāsayojanavitthatā pañcadasayojanubbedhā jayasumanapupphavaṇṇā paṇḍukambalasilā, yassā mudutāya sakkassa nisīdato upaḍḍhakāyo anupavisatī’’ti.
ตํ สุตฺวา ราชา ตตฺถ คนฺตุกาโม จกฺกรตนํ อพฺภุกฺกิริ ฯ ตํ อากาเส ปติฎฺฐาสิ สทฺธิํ จตุรงฺคินิยา เสนายฯ อถ ทฺวินฺนํ เทวโลกานํ เวมชฺฌโต จกฺกรตนํ โอตริตฺวา ปถวิยํ ปติฎฺฐาสิ สทฺธิํ ปริณายกรตนปฺปมุขาย จตุรงฺคินิยา เสนายฯ ราชา เอกโกว ตาวติํสภวนํ อคมาสิฯ สโกฺก ‘‘มนฺธาตา อาคโต’’ติ สุตฺวาว ตสฺส ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา – ‘‘สฺวาคตํ เต, มหาราช, สกํ เต, มหาราชฯ อนุสาส, มหาราชา’’ติ วตฺวา สทฺธิํ นาฎเกหิ รชฺชํ เทฺวภาเค กตฺวา เอกํ ภาคมทาสิฯ รโญฺญ ตาวติํสภวเน ปติฎฺฐิตมตฺตเสฺสว มนุสฺสภาโว วิคจฺฉิ, เทวภาโว ปาตุรโหสิฯ
Taṃ sutvā rājā tattha gantukāmo cakkaratanaṃ abbhukkiri . Taṃ ākāse patiṭṭhāsi saddhiṃ caturaṅginiyā senāya. Atha dvinnaṃ devalokānaṃ vemajjhato cakkaratanaṃ otaritvā pathaviyaṃ patiṭṭhāsi saddhiṃ pariṇāyakaratanappamukhāya caturaṅginiyā senāya. Rājā ekakova tāvatiṃsabhavanaṃ agamāsi. Sakko ‘‘mandhātā āgato’’ti sutvāva tassa paccuggamanaṃ katvā – ‘‘svāgataṃ te, mahārāja, sakaṃ te, mahārāja. Anusāsa, mahārājā’’ti vatvā saddhiṃ nāṭakehi rajjaṃ dvebhāge katvā ekaṃ bhāgamadāsi. Rañño tāvatiṃsabhavane patiṭṭhitamattasseva manussabhāvo vigacchi, devabhāvo pāturahosi.
ตสฺส กิร สเกฺกน สทฺธิํ ปณฺฑุกมฺพลสิลายํ นิสินฺนสฺส อกฺขินิมิสมเตฺตน นานตฺตํ ปญฺญายติฯ ตํ อสลฺลเกฺขนฺตา เทวา สกฺกสฺส จ ตสฺส จ นานเตฺต มุยฺหนฺติฯ โส ตตฺถ ทิพฺพสมฺปตฺติํ อนุภวมาโน ยาว ฉตฺติํส สกฺกา อุปฺปชฺชิตฺวา จุตา, ตาว รชฺชํ กาเรตฺวา อติโตฺตเยว กาเมหิ ตโต จวิตฺวา อตฺตโน อุยฺยาเน ปติฎฺฐิโต วาตาตเปน ผุฎฺฐคโตฺต กาลมกาสิฯ
Tassa kira sakkena saddhiṃ paṇḍukambalasilāyaṃ nisinnassa akkhinimisamattena nānattaṃ paññāyati. Taṃ asallakkhentā devā sakkassa ca tassa ca nānatte muyhanti. So tattha dibbasampattiṃ anubhavamāno yāva chattiṃsa sakkā uppajjitvā cutā, tāva rajjaṃ kāretvā atittoyeva kāmehi tato cavitvā attano uyyāne patiṭṭhito vātātapena phuṭṭhagatto kālamakāsi.
จกฺกรตเน ปน ปถวิยํ ปติฎฺฐิเต ปริณายกรตนํ สุวณฺณปเฎฺฎ มนฺธาตุอุปาหนํ ลิขาเปตฺวา อิทํ มนฺธาตุรชฺชนฺติ รชฺชมนุสาสิฯ เตปิ ตีหิ ทีเปหิ อาคตมนุสฺสา ปุน คนฺตุํ อสโกฺกนฺตา ปริณายกรตนํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘เทว มยํ รโญฺญ อานุภาเวน อาคตา, อิทานิ คนฺตุํ น สโกฺกม, วสนฎฺฐานํ โน เทหี’’ติ ยาจิํสุฯ โส เตสํ เอเกกํ ชนปทมทาสิฯ ตตฺถ ปุพฺพวิเทหโต อาคตมนุเสฺสหิ อาวสิตปเทโส ตาเยว ปุริมสญฺญาย วิเทหรฎฺฐนฺติ นามํ ลภิฯ อปรโคยานโต อาคตมนุเสฺสหิ อาวสิตปเทโส อปรนฺตชนปโทติ นามํ ลภิฯ อุตฺตรกุรุโต อาคตมนุเสฺสหิ อาวสิตปเทโส กุรุรฎฺฐนฺติ นามํ ลภีติ ฯ พหุเก ปน คามนิคมาทโย อุปาทาย พหุวจเนน โวหรียติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘กุรูสุ วิหรตี’’ติฯ
Cakkaratane pana pathaviyaṃ patiṭṭhite pariṇāyakaratanaṃ suvaṇṇapaṭṭe mandhātuupāhanaṃ likhāpetvā idaṃ mandhāturajjanti rajjamanusāsi. Tepi tīhi dīpehi āgatamanussā puna gantuṃ asakkontā pariṇāyakaratanaṃ upasaṅkamitvā ‘‘deva mayaṃ rañño ānubhāvena āgatā, idāni gantuṃ na sakkoma, vasanaṭṭhānaṃ no dehī’’ti yāciṃsu. So tesaṃ ekekaṃ janapadamadāsi. Tattha pubbavidehato āgatamanussehi āvasitapadeso tāyeva purimasaññāya videharaṭṭhanti nāmaṃ labhi. Aparagoyānato āgatamanussehi āvasitapadeso aparantajanapadoti nāmaṃ labhi. Uttarakuruto āgatamanussehi āvasitapadeso kururaṭṭhanti nāmaṃ labhīti . Bahuke pana gāmanigamādayo upādāya bahuvacanena voharīyati. Tena vuttaṃ ‘‘kurūsu viharatī’’ti.
กมฺมาสธมฺมํ นาม กุรูนํ นิคโมติฯ กมฺมาสธมฺมนฺติ เอตฺถ เกจิ ธ-การสฺส ท-กาเรน อตฺถํ วณฺณยนฺติฯ กมฺมาโส เอตฺถ ทมิโตติ กมฺมาสทโมฺมฯ กมฺมาโสติ กมฺมาสปาโท โปริสาโท วุจฺจติฯ ตสฺส กิร ปาเท ขาณุเกน วิทฺธฎฺฐาเน วโณ รุหโนฺต จิตฺตทารุสทิโส หุตฺวา รุหิ, ตสฺมา กมฺมาสปาโทติ ปญฺญายิตฺถ ฯ โส จ ตสฺมิํ โอกาเส ทมิโต โปริสาทภาวโต ปฎิเสธิโตฯ เกน? มหาสเตฺตนฯ กตรสฺมิํ ชาตเกติ? มหาสุตโสมชาตเกติ เอเกฯ อิเม ปน เถรา ชยทฺทิสชาตเกติ วทนฺติฯ ตทา หิ มหาสเตฺตน กมฺมาสปาโท ทมิโตฯ ยถาห –
Kammāsadhammaṃnāma kurūnaṃ nigamoti. Kammāsadhammanti ettha keci dha-kārassa da-kārena atthaṃ vaṇṇayanti. Kammāso ettha damitoti kammāsadammo. Kammāsoti kammāsapādo porisādo vuccati. Tassa kira pāde khāṇukena viddhaṭṭhāne vaṇo ruhanto cittadārusadiso hutvā ruhi, tasmā kammāsapādoti paññāyittha . So ca tasmiṃ okāse damito porisādabhāvato paṭisedhito. Kena? Mahāsattena. Katarasmiṃ jātaketi? Mahāsutasomajātaketi eke. Ime pana therā jayaddisajātaketi vadanti. Tadā hi mahāsattena kammāsapādo damito. Yathāha –
‘‘ปุโตฺต ยทา โหมิ ชยทฺทิสสฺส,
‘‘Putto yadā homi jayaddisassa,
ปญฺจาลรฎฺฐาธิปติสฺส อตฺรโช;
Pañcālaraṭṭhādhipatissa atrajo;
จชิตฺวาน ปาณํ ปิตรํ ปโมจยิํ,
Cajitvāna pāṇaṃ pitaraṃ pamocayiṃ,
กมฺมาสปาทมฺปิ จหํ ปสาทยิ’’นฺติฯ
Kammāsapādampi cahaṃ pasādayi’’nti.
เกจิ ปน ธ-กาเรเนว อตฺถํ วณฺณยนฺติฯ กุรุรฎฺฐวาสีนํ กิร กุรุวตฺตธโมฺม ตสฺมิํ กมฺมาโส ชาโต, ตสฺมา ตํ ฐานํ กมฺมาโส เอตฺถ ธโมฺม ชาโตติ กมฺมาสธมฺมนฺติ วุจฺจติฯ ตตฺถ นิวิฎฺฐนิคมสฺสาปิ เอตเทว นามํฯ ภุมฺมวจเนน กสฺมา น วุตฺตนฺติ? อวสโนกาสโตฯ ภควโต กิร ตสฺมิํ นิคเม วสโนกาโส โกจิ วิหาโร นาโหสิฯ นิคมโต ปน อปกฺกมฺม อญฺญตรสฺมิํ อุทกสมฺปเนฺน รมณีเย ภูมิภาเค มหาวนสโณฺฑ อโหสิฯ ตตฺถ ภควา วิหาสิฯ ตํ นิคมํ โคจรคามํ กตฺวา, ตสฺมา เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพ ‘‘กุรูสุ วิหรติ กมฺมาสธมฺมํ นาม กุรูนํ นิคโม, ตํ โคจรคามํ กตฺวา’’ติฯ
Keci pana dha-kāreneva atthaṃ vaṇṇayanti. Kururaṭṭhavāsīnaṃ kira kuruvattadhammo tasmiṃ kammāso jāto, tasmā taṃ ṭhānaṃ kammāso ettha dhammo jātoti kammāsadhammanti vuccati. Tattha niviṭṭhanigamassāpi etadeva nāmaṃ. Bhummavacanena kasmā na vuttanti? Avasanokāsato. Bhagavato kira tasmiṃ nigame vasanokāso koci vihāro nāhosi. Nigamato pana apakkamma aññatarasmiṃ udakasampanne ramaṇīye bhūmibhāge mahāvanasaṇḍo ahosi. Tattha bhagavā vihāsi. Taṃ nigamaṃ gocaragāmaṃ katvā, tasmā evamettha attho veditabbo ‘‘kurūsu viharati kammāsadhammaṃ nāma kurūnaṃ nigamo, taṃ gocaragāmaṃ katvā’’ti.
อุเทฺทสวารกถาวณฺณนา
Uddesavārakathāvaṇṇanā
๑๐๖. เอกายโน อยํ, ภิกฺขเว, มโคฺคติฯ กสฺมา ภควา อิทํ สุตฺตมภาสิ? กุรุรฎฺฐวาสีนํ คมฺภีรเทสนาปฎิคฺคหณสมตฺถตายฯ กุรุรฎฺฐวาสิโน กิร ภิกฺขู ภิกฺขุนิโย อุปาสกา อุปาสิกาโย อุตุปจฺจยาทิสมฺปนฺนตฺตา ตสฺส รฎฺฐสฺส สปฺปายอุตุปจฺจยเสวเนน นิจฺจํ กลฺลสรีรา กลฺลจิตฺตา จ โหนฺติฯ เต จิตฺตสรีรกลฺลตาย อนุคฺคหิตปญฺญาพลา คมฺภีรกถํ ปริคฺคเหตุํ สมตฺถา โหนฺติฯ เตน เตสํ ภควา อิมํ คมฺภีรเทสนาปฎิคฺคหณสมตฺถตํ สมฺปสฺสโนฺต เอกวีสติยา ฐาเนสุ กมฺมฎฺฐานํ อรหเตฺต ปกฺขิปิตฺวา อิทํ คมฺภีรตฺถํ สติปฎฺฐานสุตฺตํ อภาสิฯ ยถา หิ ปุริโส สุวณฺณจโงฺกฎกํ ลภิตฺวา ตตฺถ นานาปุปฺผานิ ปกฺขิเปยฺย, สุวณฺณมญฺชูสํ วา ปน ลภิตฺวา สตฺตรตนานิ ปกฺขิเปยฺย, เอวํ ภควา กุรุรฎฺฐวาสิปริสํ ลภิตฺวา คมฺภีรเทสนํ เทเสสิฯ เตเนเวตฺถ อญฺญานิปิ คมฺภีรตฺถานิ ทีฆนิกาเย มหานิทานํ มหาสติปฎฺฐานํ อิมสฺมิํ มชฺฌิมนิกาเย สาโรปมํ รุกฺขูปมํ รฎฺฐปาลํ มาคณฺฑิยํ อาเนญฺชสปฺปายนฺติ อญฺญานิปิ สุตฺตานิ เทเสสิฯ
106.Ekāyano ayaṃ, bhikkhave, maggoti. Kasmā bhagavā idaṃ suttamabhāsi? Kururaṭṭhavāsīnaṃ gambhīradesanāpaṭiggahaṇasamatthatāya. Kururaṭṭhavāsino kira bhikkhū bhikkhuniyo upāsakā upāsikāyo utupaccayādisampannattā tassa raṭṭhassa sappāyautupaccayasevanena niccaṃ kallasarīrā kallacittā ca honti. Te cittasarīrakallatāya anuggahitapaññābalā gambhīrakathaṃ pariggahetuṃ samatthā honti. Tena tesaṃ bhagavā imaṃ gambhīradesanāpaṭiggahaṇasamatthataṃ sampassanto ekavīsatiyā ṭhānesu kammaṭṭhānaṃ arahatte pakkhipitvā idaṃ gambhīratthaṃ satipaṭṭhānasuttaṃ abhāsi. Yathā hi puriso suvaṇṇacaṅkoṭakaṃ labhitvā tattha nānāpupphāni pakkhipeyya, suvaṇṇamañjūsaṃ vā pana labhitvā sattaratanāni pakkhipeyya, evaṃ bhagavā kururaṭṭhavāsiparisaṃ labhitvā gambhīradesanaṃ desesi. Tenevettha aññānipi gambhīratthāni dīghanikāye mahānidānaṃ mahāsatipaṭṭhānaṃ imasmiṃ majjhimanikāye sāropamaṃ rukkhūpamaṃ raṭṭhapālaṃ māgaṇḍiyaṃ āneñjasappāyanti aññānipi suttāni desesi.
อปิจ ตสฺมิํ ชนปเท จตโสฺส ปริสา ปกติยาว สติปฎฺฐานภาวนานุโยคมนุยุตฺตา วิหรนฺติ, อนฺตมโส ทาสกมฺมกรปริชนาปิ สติปฎฺฐานปฺปฎิสํยุตฺตเมว กถํ กเถนฺติฯ อุทกติตฺถสุตฺตกนฺตนฎฺฐานาทีสุปิ นิรตฺถกกถา นาม น ปวตฺตติฯ สเจ กาจิ อิตฺถี ‘‘อมฺม ตฺวํ กตรํ สติปฎฺฐานภาวนํ มนสิกโรสี’’ติ ปุจฺฉิตา ‘‘น กิญฺจี’’ติ วทติฯ ตํ ครหนฺติ ‘‘ธิรตฺถุ ตว ชีวิตํ, ชีวมานาปิ ตฺวํ มตสทิสา’’ติฯ อถ นํ ‘‘มา ทานิ ปุน เอวมกาสี’’ติ โอวทิตฺวา อญฺญตรํ สติปฎฺฐานํ อุคฺคณฺหาเปนฺติฯ ยา ปน ‘‘อหํ อสุกํ สติปฎฺฐานํ มนสิกโรมี’’ติ วทติฯ ตสฺสา ‘‘สาธุ สาธู’’ติ สาธุการํ ทตฺวา ‘‘ตว ชีวิตํ สุชีวิตํ, ตฺวํ นาม มนุสฺสตฺตํ ปตฺตา, ตวตฺถาย สมฺมาสมฺพุโทฺธ อุปฺปโนฺน’’ติอาทีหิ ปสํสนฺติฯ น เกวลเญฺจตฺถ มนุสฺสชาติยาเยว สติปฎฺฐานมนสิการยุตฺตา, เต นิสฺสาย วิหรนฺตา ติรจฺฉานคตาปิฯ ตตฺริทํ วตฺถุ – เอโก กิร นฎโก สุวโปตกํ คเหตฺวา สิกฺขาเปโนฺต วิจรติฯ โส ภิกฺขุนุปสฺสยํ อุปนิสฺสาย วสิตฺวา คมนกาเล สุวโปตกํ ปมุสฺสิตฺวา คโตฯ ตํ สามเณริโย คเหตฺวา ปฎิชคฺคิํสุฯ พุทฺธรกฺขิโตติสฺส นามํ อกํสุฯ ตํ เอกทิวสํ ปุรโต นิสินฺนํ ทิสฺวา มหาเถรี อาห – ‘‘พุทฺธรกฺขิตา’’ติ?
Apica tasmiṃ janapade catasso parisā pakatiyāva satipaṭṭhānabhāvanānuyogamanuyuttā viharanti, antamaso dāsakammakaraparijanāpi satipaṭṭhānappaṭisaṃyuttameva kathaṃ kathenti. Udakatitthasuttakantanaṭṭhānādīsupi niratthakakathā nāma na pavattati. Sace kāci itthī ‘‘amma tvaṃ kataraṃ satipaṭṭhānabhāvanaṃ manasikarosī’’ti pucchitā ‘‘na kiñcī’’ti vadati. Taṃ garahanti ‘‘dhiratthu tava jīvitaṃ, jīvamānāpi tvaṃ matasadisā’’ti. Atha naṃ ‘‘mā dāni puna evamakāsī’’ti ovaditvā aññataraṃ satipaṭṭhānaṃ uggaṇhāpenti. Yā pana ‘‘ahaṃ asukaṃ satipaṭṭhānaṃ manasikaromī’’ti vadati. Tassā ‘‘sādhu sādhū’’ti sādhukāraṃ datvā ‘‘tava jīvitaṃ sujīvitaṃ, tvaṃ nāma manussattaṃ pattā, tavatthāya sammāsambuddho uppanno’’tiādīhi pasaṃsanti. Na kevalañcettha manussajātiyāyeva satipaṭṭhānamanasikārayuttā, te nissāya viharantā tiracchānagatāpi. Tatridaṃ vatthu – eko kira naṭako suvapotakaṃ gahetvā sikkhāpento vicarati. So bhikkhunupassayaṃ upanissāya vasitvā gamanakāle suvapotakaṃ pamussitvā gato. Taṃ sāmaṇeriyo gahetvā paṭijaggiṃsu. Buddharakkhitotissa nāmaṃ akaṃsu. Taṃ ekadivasaṃ purato nisinnaṃ disvā mahātherī āha – ‘‘buddharakkhitā’’ti?
กิํ อเยฺยติฯ
Kiṃ ayyeti.
อตฺถิ โกจิ ตว มนสิกาโรติ?
Atthi koci tava manasikāroti?
นตฺถิ อเยฺยติฯ
Natthi ayyeti.
อาวุโส , ปพฺพชิตานํ สนฺติเก วสเนฺตน นาม วิสฺสฎฺฐอตฺตภาเวน ภวิตุํ น วฎฺฎติ, โกจิเทว มนสิกาโร อิจฺฉิตโพฺพ, ตฺวํ ปน อญฺญํ น สกฺขิสฺสสิ ‘‘อฎฺฐิ อฎฺฐี’’ติ สชฺฌายํ กโรหีติฯ โส เถริยา โอวาเท ฐตฺวา ‘‘อฎฺฐิ อฎฺฐี’’ติ สชฺฌายโนฺต จรติฯ
Āvuso , pabbajitānaṃ santike vasantena nāma vissaṭṭhaattabhāvena bhavituṃ na vaṭṭati, kocideva manasikāro icchitabbo, tvaṃ pana aññaṃ na sakkhissasi ‘‘aṭṭhi aṭṭhī’’ti sajjhāyaṃ karohīti. So theriyā ovāde ṭhatvā ‘‘aṭṭhi aṭṭhī’’ti sajjhāyanto carati.
ตํ เอกทิวสํ ปาโตว โตรณเคฺค นิสีทิตฺวา พาลาตปํ ตปมานํ เอโก สกุโณ นขปญฺชเรน อคฺคเหสิฯ โส ‘‘กิริ กิรี’’ติ สทฺทมกาสิฯ สามเณริโย สุตฺวา ‘‘อเยฺย พุทฺธรกฺขิโต สกุเณน คหิโต, โมเจม น’’นฺติ เลฑฺฑุอาทีนิ คเหตฺวา อนุพนฺธิตฺวา โมเจสุํฯ ตํ อาเนตฺวา ปุรโต ฐปิตํ เถรี อาห –
Taṃ ekadivasaṃ pātova toraṇagge nisīditvā bālātapaṃ tapamānaṃ eko sakuṇo nakhapañjarena aggahesi. So ‘‘kiri kirī’’ti saddamakāsi. Sāmaṇeriyo sutvā ‘‘ayye buddharakkhito sakuṇena gahito, mocema na’’nti leḍḍuādīni gahetvā anubandhitvā mocesuṃ. Taṃ ānetvā purato ṭhapitaṃ therī āha –
‘‘พุทฺธรกฺขิต, สกุเณน คหิตกาเล กิํ จิเนฺตสี’’ติ?
‘‘Buddharakkhita, sakuṇena gahitakāle kiṃ cintesī’’ti?
น อเยฺย อญฺญํ จิเนฺตสิํ, ‘‘อฎฺฐิปุโญฺชว อฎฺฐิปุญฺชํ คเหตฺวา คจฺฉติ, กตรสฺมิมฺปิ ฐาเน วิปฺปกิริสฺสตี’’ติ เอวํ อเยฺย อฎฺฐิปุญฺชเมว จิเนฺตสินฺติฯ
Na ayye aññaṃ cintesiṃ, ‘‘aṭṭhipuñjova aṭṭhipuñjaṃ gahetvā gacchati, katarasmimpi ṭhāne vippakirissatī’’ti evaṃ ayye aṭṭhipuñjameva cintesinti.
สาธุ สาธุ, พุทฺธรกฺขิต, อนาคเต ภวกฺขยสฺส เต ปจฺจโย ภวิสฺสตีติฯ เอวํ ตตฺถ ติรจฺฉานคตาปิ สติปฎฺฐานมนสิการยุตฺตา, ตสฺมา เนสํ ภควา สติปฎฺฐานพุทฺธิเมว ชเนโนฺต อิทํ สุตฺตํ อภาสิฯ
Sādhu sādhu, buddharakkhita, anāgate bhavakkhayassa te paccayo bhavissatīti. Evaṃ tattha tiracchānagatāpi satipaṭṭhānamanasikārayuttā, tasmā nesaṃ bhagavā satipaṭṭhānabuddhimeva janento idaṃ suttaṃ abhāsi.
ตตฺถ เอกายโนติ เอกมโคฺคฯ มคฺคสฺส หิ –
Tattha ekāyanoti ekamaggo. Maggassa hi –
‘‘มโคฺค ปโนฺถ ปโถ ปโชฺช, อญฺชสํ วฎุมายนํ;
‘‘Maggo pantho patho pajjo, añjasaṃ vaṭumāyanaṃ;
นาวา อุตฺตรเสตู จ, กุโลฺล จ ภิสิสงฺกโม’’ติฯ (จูฬนิ. ๑๐๑) –
Nāvā uttarasetū ca, kullo ca bhisisaṅkamo’’ti. (cūḷani. 101) –
พหูนิ นามานิฯ สฺวายํ อิธ อยนนาเมน วุโตฺตฯ ตสฺมา เอกายโน อยํ, ภิกฺขเว, มโคฺคติ เอตฺถ เอกมโคฺค อยํ, ภิกฺขเว, มโคฺค, น เทฺวธาปถภูโตติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อถ วา เอเกน อยิตโพฺพติ เอกายโนฯ เอเกนาติ คณสงฺคณิกํ ปหาย วูปกเฎฺฐน ปวิวิตฺตจิเตฺตนฯ อยิตโพฺพติ ปฎิปชฺชิตโพฺพฯ อยนฺติ วา เอเตนาติ อยโน, สํสารโต นิพฺพานํ คจฺฉนฺตีติ อโตฺถ ฯ เอกสฺส อยโน เอกายโน, เอกสฺสาติ เสฎฺฐสฺสฯ สพฺพสตฺตานํ เสโฎฺฐ จ ภควา, ตสฺมา ภควโตติ วุตฺตํ โหติฯ กิญฺจาปิ หิ เตน อเญฺญปิ อยนฺติ, เอวํ สเนฺตปิ ภควโตว โส อยโน เตน อุปฺปาทิตตฺตาฯ ยถาห ‘‘โส หิ, พฺราหฺมณ, ภควา อนุปฺปนฺนสฺส มคฺคสฺส อุปฺปาเทตา’’ติอาทิ (ม. นิ. ๓.๗๙)ฯ อยตีติ วา อยโน, คจฺฉติ ปวตฺตตีติ อโตฺถฯ เอกสฺมิํ อยโนติ เอกายโน, อิมสฺมิํเยว ธมฺมวินเย ปวตฺตติ, น อญฺญตฺราติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห ‘‘อิมสฺมิํ โข, สุภทฺท, ธมฺมวินเย อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค อุปลพฺภตี’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๑๔)ฯ เทสนาเภโทเยว เหโส, อโตฺถ ปเนโกฯ อปิจ เอกํ อยตีติ เอกายโนฯ ปุพฺพภาเค นานามุขภาวนานยปฺปวโตฺตปิ อปรภาเค เอกํ นิพฺพานเมว คจฺฉตีติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห พฺรหฺมา สหมฺปติ –
Bahūni nāmāni. Svāyaṃ idha ayananāmena vutto. Tasmā ekāyano ayaṃ, bhikkhave, maggoti ettha ekamaggo ayaṃ, bhikkhave, maggo, na dvedhāpathabhūtoti evamattho daṭṭhabbo. Atha vā ekena ayitabboti ekāyano. Ekenāti gaṇasaṅgaṇikaṃ pahāya vūpakaṭṭhena pavivittacittena. Ayitabboti paṭipajjitabbo. Ayanti vā etenāti ayano, saṃsārato nibbānaṃ gacchantīti attho . Ekassa ayano ekāyano, ekassāti seṭṭhassa. Sabbasattānaṃ seṭṭho ca bhagavā, tasmā bhagavatoti vuttaṃ hoti. Kiñcāpi hi tena aññepi ayanti, evaṃ santepi bhagavatova so ayano tena uppāditattā. Yathāha ‘‘so hi, brāhmaṇa, bhagavā anuppannassa maggassa uppādetā’’tiādi (ma. ni. 3.79). Ayatīti vā ayano, gacchati pavattatīti attho. Ekasmiṃ ayanoti ekāyano, imasmiṃyeva dhammavinaye pavattati, na aññatrāti vuttaṃ hoti. Yathāha ‘‘imasmiṃ kho, subhadda, dhammavinaye ariyo aṭṭhaṅgiko maggo upalabbhatī’’ti (dī. ni. 2.214). Desanābhedoyeva heso, attho paneko. Apica ekaṃ ayatīti ekāyano. Pubbabhāge nānāmukhabhāvanānayappavattopi aparabhāge ekaṃ nibbānameva gacchatīti vuttaṃ hoti. Yathāha brahmā sahampati –
‘‘เอกายนํ ชาติขยนฺตทสฺสี,
‘‘Ekāyanaṃ jātikhayantadassī,
มคฺคํ ปชานาติ หิตานุกมฺปี;
Maggaṃ pajānāti hitānukampī;
เอเตน มเคฺคน ตริํสุ ปุเพฺพ,
Etena maggena tariṃsu pubbe,
ตริสฺสนฺติ เย จ ตรนฺติ โอฆ’’นฺติฯ (สํ. นิ. ๕.๔๐๙);
Tarissanti ye ca taranti ogha’’nti. (saṃ. ni. 5.409);
เกจิ ปน ‘‘น ปารํ ทิคุณํ ยนฺตี’’ติ คาถานเยน ยสฺมา เอกวารํ นิพฺพานํ คจฺฉติฯ ตสฺมา ‘‘เอกายโน’’ติ วทนฺติ, ตํ น ยุชฺชติฯ อิมสฺส หิ อตฺถสฺส สกิํ อยโนติ อิมินา พฺยญฺชเนน ภวิตพฺพํฯ ยทิ ปน เอกํ อยนมสฺส เอกา คติ ปวตฺตีติ เอวมตฺถํ โยเชตฺวา วุเจฺจยฺย, พฺยญฺชนํ ยุเชฺชยฺย, อโตฺถ ปน อุภยถาปิ น ยุชฺชติฯ กสฺมา? อิธ ปุพฺพภาคมคฺคสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ กายาทิจตุอารมฺมณปฺปวโตฺต หิ ปุพฺพภาคสติปฎฺฐานมโคฺค อิธ อธิเปฺปโต, น โลกุตฺตโรฯ โส จ อเนกวารมฺปิ อยติ, อเนกญฺจสฺส อยนํ โหติฯ
Keci pana ‘‘na pāraṃ diguṇaṃ yantī’’ti gāthānayena yasmā ekavāraṃ nibbānaṃ gacchati. Tasmā ‘‘ekāyano’’ti vadanti, taṃ na yujjati. Imassa hi atthassa sakiṃ ayanoti iminā byañjanena bhavitabbaṃ. Yadi pana ekaṃ ayanamassa ekā gati pavattīti evamatthaṃ yojetvā vucceyya, byañjanaṃ yujjeyya, attho pana ubhayathāpi na yujjati. Kasmā? Idha pubbabhāgamaggassa adhippetattā. Kāyādicatuārammaṇappavatto hi pubbabhāgasatipaṭṭhānamaggo idha adhippeto, na lokuttaro. So ca anekavārampi ayati, anekañcassa ayanaṃ hoti.
ปุเพฺพปิ จ อิมสฺมิํ ปเท มหาเถรานํ สากจฺฉา อโหสิเยวฯ ติปิฎกจูฬนาคเตฺถโร ‘‘ปุพฺพภาคสติปฎฺฐานมโคฺค’’ติ อาหฯ อาจริโย ปนสฺส ติปิฎกจูฬสุมเตฺถโร ‘‘มิสฺสกมโคฺค’’ติ อาหฯ ปุพฺพภาโค ภเนฺตติฯ มิสฺสโก อาวุโสติฯ อาจริเย ปุนปฺปุนํ ภณเนฺต อปฺปฎิพาหิตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ ปญฺหํ อวินิจฺฉินิตฺวาว อุฎฺฐหิํสุฯ อถาจริยเตฺถโร นฺหานโกฎฺฐกํ คจฺฉโนฺต ‘‘มยา มิสฺสกมโคฺค กถิโต, จูฬนาโค ปุพฺพภาโคติ อาทาย โวหรติ , โก นุ โข เอตฺถ นิจฺฉโย’’ติ สุตฺตนฺตํ อาทิโต ปฎฺฐาย ปริวเตฺตโนฺต ‘‘โย หิ โกจิ, ภิกฺขเว, อิเม จตฺตาโร สติปฎฺฐาเน เอวํ ภาเวยฺย สตฺต วสฺสานี’’ติ อิมสฺมิํ ฐาเน สลฺลเกฺขสิ, โลกุตฺตรมโคฺค อุปฺปชฺชิตฺวา สตฺต วสฺสานิ ติฎฺฐมาโน นาม นตฺถิ, มยา วุโตฺต มิสฺสกมโคฺค น ลพฺภติ, จูฬนาเคน ทิโฎฺฐ ปุพฺพภาคมโคฺคว ลพฺภตีติ ญตฺวา อฎฺฐมิยํ ธมฺมสฺสวเน สงฺฆุเฎฺฐ อคมาสิฯ
Pubbepi ca imasmiṃ pade mahātherānaṃ sākacchā ahosiyeva. Tipiṭakacūḷanāgatthero ‘‘pubbabhāgasatipaṭṭhānamaggo’’ti āha. Ācariyo panassa tipiṭakacūḷasumatthero ‘‘missakamaggo’’ti āha. Pubbabhāgo bhanteti. Missako āvusoti. Ācariye punappunaṃ bhaṇante appaṭibāhitvā tuṇhī ahosi. Pañhaṃ avinicchinitvāva uṭṭhahiṃsu. Athācariyatthero nhānakoṭṭhakaṃ gacchanto ‘‘mayā missakamaggo kathito, cūḷanāgo pubbabhāgoti ādāya voharati , ko nu kho ettha nicchayo’’ti suttantaṃ ādito paṭṭhāya parivattento ‘‘yo hi koci, bhikkhave, ime cattāro satipaṭṭhāne evaṃ bhāveyya satta vassānī’’ti imasmiṃ ṭhāne sallakkhesi, lokuttaramaggo uppajjitvā satta vassāni tiṭṭhamāno nāma natthi, mayā vutto missakamaggo na labbhati, cūḷanāgena diṭṭho pubbabhāgamaggova labbhatīti ñatvā aṭṭhamiyaṃ dhammassavane saṅghuṭṭhe agamāsi.
โปราณกเตฺถรา กิร ปิยธมฺมสฺสวนา โหนฺติฯ สทฺทํ สุตฺวาว ‘‘อหํ ปฐมํ, อหํ ปฐม’’นฺติ เอกปฺปหาเรเนว โอสรนฺติฯ ตสฺมิญฺจ ทิวเส จูฬนาคเตฺถรสฺส วาโรฯ เตน ธมฺมาสเน นิสีทิตฺวา วีชนิํ คเหตฺวา ปุพฺพคาถาสุ วุตฺตาสุ เถรสฺส อาสนปิฎฺฐิยํ ฐิตสฺส เอตทโหสิ ‘‘รโห นิสีทิตฺวา น วกฺขามี’’ติฯ โปราณกเตฺถรา หิ อนุสูยกา โหนฺติ, น อตฺตโน รุจิเมว อุจฺฉุภารํ วิย เอวํ อุกฺขิปิตฺวา วิจรนฺติ, การณเมว คณฺหนฺติ, อการณํ วิสฺสเชฺชนฺติฯ ตสฺมา เถโร ‘‘อาวุโส จูฬนาคา’’ติ อาหฯ โส อาจริยสฺส วิย สโทฺทติ ธมฺมํ ฐเปตฺวา ‘‘กิํ ภเนฺต’’ติ อาหฯ อาวุโส จูฬนาค มยา วุโตฺต มิสฺสกมโคฺค น ลพฺภติ, ตยา วุโตฺต ปุพฺพภาคสติปฎฺฐานมโคฺคว ลพฺภตีติฯ
Porāṇakattherā kira piyadhammassavanā honti. Saddaṃ sutvāva ‘‘ahaṃ paṭhamaṃ, ahaṃ paṭhama’’nti ekappahāreneva osaranti. Tasmiñca divase cūḷanāgattherassa vāro. Tena dhammāsane nisīditvā vījaniṃ gahetvā pubbagāthāsu vuttāsu therassa āsanapiṭṭhiyaṃ ṭhitassa etadahosi ‘‘raho nisīditvā na vakkhāmī’’ti. Porāṇakattherā hi anusūyakā honti, na attano rucimeva ucchubhāraṃ viya evaṃ ukkhipitvā vicaranti, kāraṇameva gaṇhanti, akāraṇaṃ vissajjenti. Tasmā thero ‘‘āvuso cūḷanāgā’’ti āha. So ācariyassa viya saddoti dhammaṃ ṭhapetvā ‘‘kiṃ bhante’’ti āha. Āvuso cūḷanāga mayā vutto missakamaggo na labbhati, tayā vutto pubbabhāgasatipaṭṭhānamaggova labbhatīti.
เถโร จิเนฺตสิ ‘‘อมฺหากํ อาจริโย สพฺพปริยตฺติโก เตปิฎโก สุตพุโทฺธ, เอวรูปสฺสปิ นาม ภิกฺขุโน อยํ ปโญฺห อาลุเฬติ, อนาคเต มม ภาติกา อิมํ ปญฺหํ อาลุเฬสฺสนฺตีติ สุตฺตํ คเหตฺวา อิมํ ปญฺหํ นิจฺจลํ กริสฺสามี’’ติ ปฎิสมฺภิทามคฺคโต ‘‘เอกายนมโคฺค วุจฺจติ ปุพฺพภาคสติปฎฺฐานมโคฺค –
Thero cintesi ‘‘amhākaṃ ācariyo sabbapariyattiko tepiṭako sutabuddho, evarūpassapi nāma bhikkhuno ayaṃ pañho āluḷeti, anāgate mama bhātikā imaṃ pañhaṃ āluḷessantīti suttaṃ gahetvā imaṃ pañhaṃ niccalaṃ karissāmī’’ti paṭisambhidāmaggato ‘‘ekāyanamaggo vuccati pubbabhāgasatipaṭṭhānamaggo –
‘‘มคฺคานฎฺฐงฺคิโก เสโฎฺฐ, สจฺจานํ จตุโร ปทา;
‘‘Maggānaṭṭhaṅgiko seṭṭho, saccānaṃ caturo padā;
วิราโค เสโฎฺฐ ธมฺมานํ, ทฺวิปทานญฺจ จกฺขุมาฯ
Virāgo seṭṭho dhammānaṃ, dvipadānañca cakkhumā.
เอเสว มโคฺค นตฺถโญฺญ, ทสฺสนสฺส วิสุทฺธิยา;
Eseva maggo natthañño, dassanassa visuddhiyā;
เอตญฺหิ ตุเมฺห ปฎิปชฺชถ, มารเสนปฺปมทฺทนํ;
Etañhi tumhe paṭipajjatha, mārasenappamaddanaṃ;
เอตญฺหิ ตุเมฺห ปฎิปนฺนา, ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสถา’’ติฯ (ธ. ป. ๒๗๓-๒๗๕) –
Etañhi tumhe paṭipannā, dukkhassantaṃ karissathā’’ti. (dha. pa. 273-275) –
สุตฺตํ อาหริตฺวา ฐเปสิฯ
Suttaṃ āharitvā ṭhapesi.
มโคฺคติ เกนเฎฺฐน มโคฺค? นิพฺพานคมนเฎฺฐน นิพฺพานตฺถิเกหิ มคฺคนิยเฎฺฐน จฯ สตฺตานํ วิสุทฺธิยาติ ราคาทีหิ มเลหิ อภิชฺฌาวิสมโลภาทีหิ จ อุปกฺกิเลเสหิ กิลิฎฺฐจิตฺตานํ สตฺตานํ วิสุทฺธตฺถายฯ ตถา หิ อิมินาว มเคฺคน อิโต สตสหสฺสกปฺปาธิกานํ จตุนฺนํ อสเงฺขฺยยฺยานํ อุปริ เอกสฺมิเญฺญว กเปฺป นิพฺพเตฺต ตณฺหงฺกรเมธงฺกรสรณงฺกรทีปงฺกรนามเก พุเทฺธ อาทิํ กตฺวา สกฺยมุนิปริโยสานา อเนเก สมฺมาสมฺพุทฺธา อเนกสตา ปเจฺจกพุทฺธา คณนปถํ วีติวตฺตา อริยสาวกา จาติ อิเม สตฺตา สเพฺพ จิตฺตมลํ ปวาเหตฺวา ปรมวิสุทฺธิํ ปตฺตาฯ รูปมลวเสน ปน สํกิเลสโวทานปญฺญตฺติเยว นตฺถิฯ ตถา หิ –
Maggoti kenaṭṭhena maggo? Nibbānagamanaṭṭhena nibbānatthikehi magganiyaṭṭhena ca. Sattānaṃ visuddhiyāti rāgādīhi malehi abhijjhāvisamalobhādīhi ca upakkilesehi kiliṭṭhacittānaṃ sattānaṃ visuddhatthāya. Tathā hi imināva maggena ito satasahassakappādhikānaṃ catunnaṃ asaṅkhyeyyānaṃ upari ekasmiññeva kappe nibbatte taṇhaṅkaramedhaṅkarasaraṇaṅkaradīpaṅkaranāmake buddhe ādiṃ katvā sakyamunipariyosānā aneke sammāsambuddhā anekasatā paccekabuddhā gaṇanapathaṃ vītivattā ariyasāvakā cāti ime sattā sabbe cittamalaṃ pavāhetvā paramavisuddhiṃ pattā. Rūpamalavasena pana saṃkilesavodānapaññattiyeva natthi. Tathā hi –
รูเปน สํกิลิเฎฺฐน, สํกิลิสฺสนฺติ มาณวา;
Rūpena saṃkiliṭṭhena, saṃkilissanti māṇavā;
รูเป สุเทฺธ วิสุชฺฌนฺติ, อนกฺขาตํ มเหสินาฯ
Rūpe suddhe visujjhanti, anakkhātaṃ mahesinā.
จิเตฺตน สํกิลิเฎฺฐน, สํกิลิสฺสนฺติ มาณวา;
Cittena saṃkiliṭṭhena, saṃkilissanti māṇavā;
จิเตฺต สุเทฺธ วิสุชฺฌนฺติ, อิติ วุตฺตํ มเหสินาฯ
Citte suddhe visujjhanti, iti vuttaṃ mahesinā.
ยถาห ‘‘จิตฺตสํกิเลสา, ภิกฺขเว, สตฺตา สํกิลิสฺสนฺติ, จิตฺตโวทานา วิสุชฺฌนฺตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๑๐๐)ฯ ตญฺจ จิตฺตโวทานํ อิมินา สติปฎฺฐานมเคฺคน โหติฯ เตนาห ‘‘สตฺตานํ วิสุทฺธิยา’’ติฯ
Yathāha ‘‘cittasaṃkilesā, bhikkhave, sattā saṃkilissanti, cittavodānā visujjhantī’’ti (saṃ. ni. 3.100). Tañca cittavodānaṃ iminā satipaṭṭhānamaggena hoti. Tenāha ‘‘sattānaṃ visuddhiyā’’ti.
โสกปริเทวานํ สมติกฺกมายาติ โสกสฺส จ ปริเทวสฺส จ สมติกฺกมาย, ปหานายาติ อโตฺถฯ อยญฺหิ มโคฺค ภาวิโต สนฺตติมหามตฺตาทีนํ วิย โสกสมติกฺกมาย, ปฎาจาราทีนํ วิย จ ปริเทวสมติกฺกมาย จ สํวตฺตติฯ เตนาห ‘‘โสกปริเทวานํ สมติกฺกมายา’’ติฯ กิญฺจาปิ หิ สนฺตติมหามโตฺต –
Sokaparidevānaṃ samatikkamāyāti sokassa ca paridevassa ca samatikkamāya, pahānāyāti attho. Ayañhi maggo bhāvito santatimahāmattādīnaṃ viya sokasamatikkamāya, paṭācārādīnaṃ viya ca paridevasamatikkamāya ca saṃvattati. Tenāha ‘‘sokaparidevānaṃ samatikkamāyā’’ti. Kiñcāpi hi santatimahāmatto –
‘‘ยํ ปุเพฺพ ตํ วิโสเธหิ, ปจฺฉา เต มาหุ กิญฺจนํ;
‘‘Yaṃ pubbe taṃ visodhehi, pacchā te māhu kiñcanaṃ;
มเชฺฌ เจ โน คเหสฺสสิ, อุปสโนฺต จริสฺสสี’’ติฯ (สุ. นิ. ๙๕๕);
Majjhe ce no gahessasi, upasanto carissasī’’ti. (su. ni. 955);
อิมํ คาถํ สุตฺวา สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปโตฺตฯ
Imaṃ gāthaṃ sutvā saha paṭisambhidāhi arahattaṃ patto.
ปฎาจารา –
Paṭācārā –
‘‘น สนฺติ ปุตฺตา ตาณาย, น ปิตา นาปิ พนฺธวา;
‘‘Na santi puttā tāṇāya, na pitā nāpi bandhavā;
อนฺตเกนาธิปนฺนสฺส, นตฺถิ ญาตีสุ ตาณตา’’ติฯ (ธ. ป. ๒๘๘);
Antakenādhipannassa, natthi ñātīsu tāṇatā’’ti. (dha. pa. 288);
อิมํ คาถํ สุตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐิตาฯ ยสฺมา ปน กายเวทนาจิตฺตธเมฺมสุ กญฺจิ ธมฺมํ อนามสิตฺวา ภาวนา นาม นตฺถิ, ตสฺมา เตปิ อิมินาว มเคฺคน โสกปริเทเว สมติกฺกนฺตาติ เวทิตพฺพาฯ
Imaṃ gāthaṃ sutvā sotāpattiphale patiṭṭhitā. Yasmā pana kāyavedanācittadhammesu kañci dhammaṃ anāmasitvā bhāvanā nāma natthi, tasmā tepi imināva maggena sokaparideve samatikkantāti veditabbā.
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมายาติ กายิกทุกฺขสฺส จ เจตสิกโทมนสฺสสฺส จาติ อิเมสํ ทฺวินฺนํ อตฺถงฺคมาย, นิโรธายาติ อโตฺถฯ อยญฺหิ มโคฺค ภาวิโต ติสฺสเตฺถราทีนํ วิย ทุกฺขสฺส, สกฺกาทีนํ วิย จ โทมนสฺสสฺส อตฺถงฺคมาย สํวตฺตติฯ
Dukkhadomanassānaṃ atthaṅgamāyāti kāyikadukkhassa ca cetasikadomanassassa cāti imesaṃ dvinnaṃ atthaṅgamāya, nirodhāyāti attho. Ayañhi maggo bhāvito tissattherādīnaṃ viya dukkhassa, sakkādīnaṃ viya ca domanassassa atthaṅgamāya saṃvattati.
ตตฺรายํ อตฺถทีปนา – สาวตฺถิยํ กิร ติโสฺส นาม กุฎุมฺพิกปุโตฺต จตฺตาลีส หิรญฺญโกฎิโย ปหาย ปพฺพชิตฺวา อคามเก อรเญฺญ วิหรติฯ ตสฺส กนิฎฺฐภาตุภริยา ‘‘คจฺฉถ นํ ชีวิตา โวโรเปถา’’ติ ปญฺจสเต โจเร เปเสสิฯ เต คนฺตฺวา เถรํ ปริวาเรตฺวา นิสีทิํสุฯ เถโร อาห ‘‘กสฺมา อาคตตฺถ อุปาสกา’’ติ? ตํ ชีวิตา โวโรเปสฺสามาติฯ ปาฎิโภคํ เม อุปาสกา คเหตฺวา อเชฺชกรตฺติํ ชีวิตํ เทถาติฯ โก เต, สมณ, อิมสฺมิํ ฐาเน ปาฎิโภโค ภวิสฺสตีติ? เถโร มหนฺตํ ปาสาณํ คเหตฺวา เทฺว อูรุฎฺฐีนิ ภินฺทิตฺวา ‘‘วฎฺฎติ อุปาสกา ปาฎิโภโค’’ติ อาหฯ เต อปกฺกมิตฺวา จงฺกมนสีเส อคฺคิํ กตฺวา นิปชฺชิํสุฯ เถรสฺส เวทนํ วิกฺขเมฺภตฺวา สีลํ ปจฺจเวกฺขโต ปริสุทฺธํ สีลํ นิสฺสาย ปีติปาโมชฺชํ อุปฺปชฺชิ ฯ ตโต อนุกฺกเมน วิปสฺสนํ วเฑฺฒโนฺต ติยามรตฺติํ สมณธมฺมํ กตฺวา อรุณุคฺคมเน อรหตฺตํ ปโตฺต อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ –
Tatrāyaṃ atthadīpanā – sāvatthiyaṃ kira tisso nāma kuṭumbikaputto cattālīsa hiraññakoṭiyo pahāya pabbajitvā agāmake araññe viharati. Tassa kaniṭṭhabhātubhariyā ‘‘gacchatha naṃ jīvitā voropethā’’ti pañcasate core pesesi. Te gantvā theraṃ parivāretvā nisīdiṃsu. Thero āha ‘‘kasmā āgatattha upāsakā’’ti? Taṃ jīvitā voropessāmāti. Pāṭibhogaṃ me upāsakā gahetvā ajjekarattiṃ jīvitaṃ dethāti. Ko te, samaṇa, imasmiṃ ṭhāne pāṭibhogo bhavissatīti? Thero mahantaṃ pāsāṇaṃ gahetvā dve ūruṭṭhīni bhinditvā ‘‘vaṭṭati upāsakā pāṭibhogo’’ti āha. Te apakkamitvā caṅkamanasīse aggiṃ katvā nipajjiṃsu. Therassa vedanaṃ vikkhambhetvā sīlaṃ paccavekkhato parisuddhaṃ sīlaṃ nissāya pītipāmojjaṃ uppajji . Tato anukkamena vipassanaṃ vaḍḍhento tiyāmarattiṃ samaṇadhammaṃ katvā aruṇuggamane arahattaṃ patto imaṃ udānaṃ udānesi –
‘‘อุโภ ปาทานิ ภินฺทิตฺวา, สญฺญเปสฺสามิ โว อหํ;
‘‘Ubho pādāni bhinditvā, saññapessāmi vo ahaṃ;
อฎฺฎิยามิ หรายามิ, สราคมรณํ อหํฯ
Aṭṭiyāmi harāyāmi, sarāgamaraṇaṃ ahaṃ.
เอวาหํ จินฺตยิตฺวาน, ยถาภูตํ วิปสฺสิสํ;
Evāhaṃ cintayitvāna, yathābhūtaṃ vipassisaṃ;
สมฺปเตฺต อรุณุคฺคมฺหิ, อรหตฺตมปาปุณิ’’นฺติฯ
Sampatte aruṇuggamhi, arahattamapāpuṇi’’nti.
อปเรปิ ติํส ภิกฺขู ภควโต สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา อรญฺญวิหาเร วสฺสํ อุปคนฺตฺวา ‘‘อาวุโส, ติยามรตฺติํ สมณธโมฺมว กาตโพฺพ, น อญฺญมญฺญสฺส สนฺติกํ อาคนฺตพฺพ’’นฺติ วตฺวา วิหริํสุฯ เตสํ สมณธมฺมํ กตฺวา ปจฺจูสสมเย ปจลายนฺตานํ เอโก พฺยโคฺฆ อาคนฺตฺวา เอเกกํ ภิกฺขุํ คเหตฺวา คจฺฉติฯ น โกจิ ‘‘มํ พฺยโคฺฆ คณฺหี’’ติ วาจมฺปิ นิจฺฉาเรสิฯ เอวํ ปญฺจสุ ทสสุ ภิกฺขูสุ ขาทิเตสุ อุโปสถทิวเส ‘‘อิตเร, อาวุโส, กุหิ’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ญตฺวา จ ‘‘อิทานิ คหิเตน, คหิโตมฺหีติ วตฺตพฺพ’’นฺติ วตฺวา วิหริํสุฯ
Aparepi tiṃsa bhikkhū bhagavato santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā araññavihāre vassaṃ upagantvā ‘‘āvuso, tiyāmarattiṃ samaṇadhammova kātabbo, na aññamaññassa santikaṃ āgantabba’’nti vatvā vihariṃsu. Tesaṃ samaṇadhammaṃ katvā paccūsasamaye pacalāyantānaṃ eko byaggho āgantvā ekekaṃ bhikkhuṃ gahetvā gacchati. Na koci ‘‘maṃ byaggho gaṇhī’’ti vācampi nicchāresi. Evaṃ pañcasu dasasu bhikkhūsu khāditesu uposathadivase ‘‘itare, āvuso, kuhi’’nti pucchitvā ñatvā ca ‘‘idāni gahitena, gahitomhīti vattabba’’nti vatvā vihariṃsu.
อถ อญฺญตรํ ทหรภิกฺขุํ ปุริมนเยเนว พฺยโคฺฆ คณฺหิฯ โส ‘‘พฺยโคฺฆ, ภเนฺต’’ติ อาหฯ ภิกฺขู กตฺตรทเณฺฑ จ อุกฺกาโย จ คเหตฺวา โมเจสฺสามาติ อนุพนฺธิํสุฯ พฺยโคฺฆ ภิกฺขูนํ อคติํ ฉินฺนตฎฎฺฐานํ อารุยฺห ตํ ภิกฺขุํ ปาทงฺคุฎฺฐกโต ปฎฺฐาย ขาทิตุํ อารภิฯ อิตเรปิ ‘‘อิทานิ , สปฺปุริส, อเมฺหหิ กตฺตพฺพํ นตฺถิ, ภิกฺขูนํ วิเสโส นาม เอวรูเป ฐาเน ปญฺญายตี’’ติ อาหํสุฯ โส พฺยคฺฆมุเข นิปโนฺนว ตํ เวทนํ วิกฺขเมฺภตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒโนฺต ยาว โคปฺผกา ขาทิตสมเย โสตาปโนฺน หุตฺวา, ยาว ชณฺณุกา ขาทิตสมเย สกทาคามี, ยาว นาภิยา ขาทิตสมเย อนาคามี หุตฺวา, หทยรูเป อขาทิเตเยว สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปตฺวา อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ –
Atha aññataraṃ daharabhikkhuṃ purimanayeneva byaggho gaṇhi. So ‘‘byaggho, bhante’’ti āha. Bhikkhū kattaradaṇḍe ca ukkāyo ca gahetvā mocessāmāti anubandhiṃsu. Byaggho bhikkhūnaṃ agatiṃ chinnataṭaṭṭhānaṃ āruyha taṃ bhikkhuṃ pādaṅguṭṭhakato paṭṭhāya khādituṃ ārabhi. Itarepi ‘‘idāni , sappurisa, amhehi kattabbaṃ natthi, bhikkhūnaṃ viseso nāma evarūpe ṭhāne paññāyatī’’ti āhaṃsu. So byagghamukhe nipannova taṃ vedanaṃ vikkhambhetvā vipassanaṃ vaḍḍhento yāva gopphakā khāditasamaye sotāpanno hutvā, yāva jaṇṇukā khāditasamaye sakadāgāmī, yāva nābhiyā khāditasamaye anāgāmī hutvā, hadayarūpe akhāditeyeva saha paṭisambhidāhi arahattaṃ patvā imaṃ udānaṃ udānesi –
‘‘สีลวา วตสมฺปโนฺน, ปญฺญวา สุสมาหิโต;
‘‘Sīlavā vatasampanno, paññavā susamāhito;
มุหุตฺตํ ปมาทมนฺวาย, พฺยเคฺฆโนรุทฺธมานโสฯ
Muhuttaṃ pamādamanvāya, byagghenoruddhamānaso.
ปญฺชรสฺมิํ คเหตฺวาน, สิลาย อุปรีกโต;
Pañjarasmiṃ gahetvāna, silāya uparīkato;
กามํ ขาทตุ มํ พฺยโคฺฆ, ภโกฺข กาโย อมิตฺตานํ;
Kāmaṃ khādatu maṃ byaggho, bhakkho kāyo amittānaṃ;
ปฎิลเทฺธ กมฺมฎฺฐาเน, มรณํ เหหิติ ภทฺทก’’นฺติฯ
Paṭiladdhe kammaṭṭhāne, maraṇaṃ hehiti bhaddaka’’nti.
อปโรปิ ปีตมลฺลเตฺถโร นาม คิหิกาเล ตีสุ รเชฺชสุ ปฎากํ คเหตฺวา ตมฺพปณฺณิทีปํ อาคมฺม ราชานํ ทิสฺวา รญฺญา กตานุคฺคโห เอกทิวสํ กิลญฺชกาปณสาลทฺวาเรน คจฺฉโนฺต ‘‘รูปํ, ภิกฺขเว, น ตุมฺหากํ, ตํ ปชหถ, ตํ โว ปหีนํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย ภวิสฺสตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๓๓-๓๔) นตุมฺหากวคฺคํ สุตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘เนว กิร รูปํ อตฺตโน, น เวทนา’’ติฯ โส ตํเยว องฺกุสํ กตฺวา นิกฺขมิตฺวา มหาวิหารํ คนฺตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจิตฺวา ปพฺพชิโต อุปสมฺปโนฺน เทฺวมาติกา ปคุณํ กตฺวา ติํส ภิกฺขู คเหตฺวา คพลวาลิยองฺคณํ คนฺตฺวา สมณธมฺมมกาสิฯ ปาเทสุ อวหเนฺตสุ ชณฺณุเกหิ จงฺกมติฯ ตเมนํ รตฺติํ เอโก มิคลุทฺทโก มิโคติ มญฺญมาโน สตฺติยา ปหริฯ สตฺติ วินิวิชฺฌิตฺวา คตาฯ โส ตํ สตฺติํ หราเปตฺวา ปหารมุขานิ ติณวฎฺฎิยา ปูราเปตฺวา ปาสาณปิฎฺฐิยํ อตฺตานํ นิสีทาเปตฺวา โอกาสํ กาเรตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปตฺวา อุกฺกาสิตสเทฺทน อาคตานํ ภิกฺขูนํ พฺยากริตฺวา อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ –
Aparopi pītamallatthero nāma gihikāle tīsu rajjesu paṭākaṃ gahetvā tambapaṇṇidīpaṃ āgamma rājānaṃ disvā raññā katānuggaho ekadivasaṃ kilañjakāpaṇasāladvārena gacchanto ‘‘rūpaṃ, bhikkhave, na tumhākaṃ, taṃ pajahatha, taṃ vo pahīnaṃ dīgharattaṃ hitāya sukhāya bhavissatī’’ti (saṃ. ni. 3.33-34) natumhākavaggaṃ sutvā cintesi ‘‘neva kira rūpaṃ attano, na vedanā’’ti. So taṃyeva aṅkusaṃ katvā nikkhamitvā mahāvihāraṃ gantvā pabbajjaṃ yācitvā pabbajito upasampanno dvemātikā paguṇaṃ katvā tiṃsa bhikkhū gahetvā gabalavāliyaaṅgaṇaṃ gantvā samaṇadhammamakāsi. Pādesu avahantesu jaṇṇukehi caṅkamati. Tamenaṃ rattiṃ eko migaluddako migoti maññamāno sattiyā pahari. Satti vinivijjhitvā gatā. So taṃ sattiṃ harāpetvā pahāramukhāni tiṇavaṭṭiyā pūrāpetvā pāsāṇapiṭṭhiyaṃ attānaṃ nisīdāpetvā okāsaṃ kāretvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā saha paṭisambhidāhi arahattaṃ patvā ukkāsitasaddena āgatānaṃ bhikkhūnaṃ byākaritvā imaṃ udānaṃ udānesi –
‘‘ภาสิตํ พุทฺธเสฎฺฐสฺส, สพฺพโลกคฺควาทิโน;
‘‘Bhāsitaṃ buddhaseṭṭhassa, sabbalokaggavādino;
น ตุมฺหากมิทํ รูปํ, ตํ ชเหยฺยาถ ภิกฺขโวฯ
Na tumhākamidaṃ rūpaṃ, taṃ jaheyyātha bhikkhavo.
อนิจฺจา วต สงฺขารา, อุปฺปาทวยธมฺมิโน;
Aniccā vata saṅkhārā, uppādavayadhammino;
อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ, เตสํ วูปสโม สุโข’’ติฯ
Uppajjitvā nirujjhanti, tesaṃ vūpasamo sukho’’ti.
อถ นํ ภิกฺขู อาหํสุ ‘‘สเจ, ภเนฺต, สมฺมาสมฺพุโทฺธ อโรโค อภวิสฺสา, อทฺธา เต มุทฺธมตฺถเก หตฺถํ ปสาเรตฺวา สีสํ ปรามเสยฺยา’’ติฯ เอตฺตาวตา อยํ มโคฺค ติสฺสเตฺถราทีนํ วิย ทุกฺขสฺส อตฺถงฺคมาย สํวตฺตติฯ
Atha naṃ bhikkhū āhaṃsu ‘‘sace, bhante, sammāsambuddho arogo abhavissā, addhā te muddhamatthake hatthaṃ pasāretvā sīsaṃ parāmaseyyā’’ti. Ettāvatā ayaṃ maggo tissattherādīnaṃ viya dukkhassa atthaṅgamāya saṃvattati.
สโกฺก ปน เทวานมิโนฺท อตฺตโน ปญฺจวิธํ ปุพฺพนิมิตฺตํ ทิสฺวา มรณภยสนฺตชฺชิโต โทมนสฺสชาโต ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ โส อุเปกฺขาปญฺหวิสฺสชฺชนาวสาเน อสีติสหสฺสาหิ เทวตาหิ สทฺธิํ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ สา จสฺส อุปปตฺติ ปุน ปากติกาว อโหสิฯ
Sakko pana devānamindo attano pañcavidhaṃ pubbanimittaṃ disvā maraṇabhayasantajjito domanassajāto bhagavantaṃ upasaṅkamitvā pañhaṃ pucchi. So upekkhāpañhavissajjanāvasāne asītisahassāhi devatāhi saddhiṃ sotāpattiphale patiṭṭhāsi. Sā cassa upapatti puna pākatikāva ahosi.
สุพฺรหฺมาปิ เทวปุโตฺต อจฺฉราสหสฺสปริวาโร สคฺคสมฺปตฺติํ อนุโภติ, ตตฺถ ปญฺจสตา อจฺฉราโย รุกฺขโต ปุปฺผานิ โอจินนฺติโย จวิตฺวา นิรเย อุปปนฺนาฯ โส ‘‘กิํ อิมา จิรายนฺตี’’ติ อุปธาเรโนฺต ตาสํ นิรเย นิพฺพตฺตภาวํ ทิสฺวา ‘‘กิตฺตกํ นุ โข มม อายู’’ติ อุปปริกฺขโนฺต อตฺตโนปิ อายุปริกฺขยํ วิทิตฺวา ตเตฺถว นิรเย นิพฺพตฺตนภาวํ ทิสฺวา ภีโต อติวิย โทมนสฺสชาโต หุตฺวา ‘‘อิมํ เม โทมนสฺสํ สตฺถา วินยิสฺสติ น อโญฺญ’’ติ อวเสสา ปญฺจสตา อจฺฉราโย คเหตฺวา ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉิ –
Subrahmāpi devaputto accharāsahassaparivāro saggasampattiṃ anubhoti, tattha pañcasatā accharāyo rukkhato pupphāni ocinantiyo cavitvā niraye upapannā. So ‘‘kiṃ imā cirāyantī’’ti upadhārento tāsaṃ niraye nibbattabhāvaṃ disvā ‘‘kittakaṃ nu kho mama āyū’’ti upaparikkhanto attanopi āyuparikkhayaṃ viditvā tattheva niraye nibbattanabhāvaṃ disvā bhīto ativiya domanassajāto hutvā ‘‘imaṃ me domanassaṃ satthā vinayissati na añño’’ti avasesā pañcasatā accharāyo gahetvā bhagavantaṃ upasaṅkamitvā pañhaṃ pucchi –
‘‘นิจฺจํ อุตฺรสฺตมิทํ จิตฺตํ, นิจฺจํ อุพฺพิคฺคิทํ มโน;
‘‘Niccaṃ utrastamidaṃ cittaṃ, niccaṃ ubbiggidaṃ mano;
อนุปฺปเนฺนสุ กิเจฺฉสุ, อโถ อุปฺปติเตสุ จ;
Anuppannesu kicchesu, atho uppatitesu ca;
สเจ อตฺถิ อนุตฺรสฺตํ, ตํ เม อกฺขาหิ ปุจฺฉิโต’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๙๘);
Sace atthi anutrastaṃ, taṃ me akkhāhi pucchito’’ti. (saṃ. ni. 1.98);
ตโต นํ ภควา อาห –
Tato naṃ bhagavā āha –
‘‘นาญฺญตฺร โพชฺฌา ตปสา, นาญฺญตฺรินฺทฺริยสํวรา;
‘‘Nāññatra bojjhā tapasā, nāññatrindriyasaṃvarā;
นาญฺญตฺร สพฺพนิสฺสคฺคา, โสตฺถิํ ปสฺสามิ ปาณิน’’นฺติฯ (สํ. นิ. ๑.๙๘);
Nāññatra sabbanissaggā, sotthiṃ passāmi pāṇina’’nti. (saṃ. ni. 1.98);
โส เทสนาปริโยสาเน ปญฺจหิ อจฺฉราสเตหิ สทฺธิํ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาย ตํ สมฺปตฺติํ ถาวรํ กตฺวา เทวโลกเมว อคมาสีติ ฯ เอวมยํ มโคฺค ภาวิโต สกฺกาทีนํ วิย โทมนสฺสสฺส อตฺถงฺคมาย สํวตฺตตีติ เวทิตโพฺพฯ
So desanāpariyosāne pañcahi accharāsatehi saddhiṃ sotāpattiphale patiṭṭhāya taṃ sampattiṃ thāvaraṃ katvā devalokameva agamāsīti . Evamayaṃ maggo bhāvito sakkādīnaṃ viya domanassassa atthaṅgamāya saṃvattatīti veditabbo.
ญายสฺส อธิคมายาติ ญาโย วุจฺจติ อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค, ตสฺส อธิคมาย, ปตฺติยาติ วุตฺตํ โหติฯ อยญฺหิ ปุพฺพภาเค โลกิโย สติปฎฺฐานมโคฺค ภาวิโต โลกุตฺตรสฺส มคฺคสฺส อธิคมาย สํวตฺตติฯ เตนาห ‘‘ญายสฺส อธิคมายา’’ติฯ นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยายาติ ตณฺหาวานวิรหิตตฺตา นิพฺพานนฺติ ลทฺธนามสฺส อมตสฺส สจฺฉิกิริยาย, อตฺตปจฺจกฺขตายาติ วุตฺตํ โหติฯ อยญฺหิ มโคฺค ภาวิโต อนุปุเพฺพน นิพฺพานสจฺฉิกิริยํ สาเธติฯ เตนาห ‘‘นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยายา’’ติฯ
Ñāyassa adhigamāyāti ñāyo vuccati ariyo aṭṭhaṅgiko maggo, tassa adhigamāya, pattiyāti vuttaṃ hoti. Ayañhi pubbabhāge lokiyo satipaṭṭhānamaggo bhāvito lokuttarassa maggassa adhigamāya saṃvattati. Tenāha ‘‘ñāyassa adhigamāyā’’ti. Nibbānassa sacchikiriyāyāti taṇhāvānavirahitattā nibbānanti laddhanāmassa amatassa sacchikiriyāya, attapaccakkhatāyāti vuttaṃ hoti. Ayañhi maggo bhāvito anupubbena nibbānasacchikiriyaṃ sādheti. Tenāha ‘‘nibbānassa sacchikiriyāyā’’ti.
ตตฺถ กิญฺจาปิ ‘‘สตฺตานํ วิสุทฺธิยา’’ติ วุเตฺต โสกสมติกฺกมาทีนิ อตฺถโต สิทฺธาเนว โหนฺติ, ฐเปตฺวา ปน สาสนยุตฺติโกวิเท อเญฺญสํ น ปากฎานิ, น จ ภควา ปฐมํ สาสนยุตฺติโกวิทํ ชนํ กตฺวา ปจฺฉา ธมฺมํ เทเสติฯ เตน เตเนว ปน สุเตฺตน ตํ ตํ อตฺถํ ญาเปติฯ ตสฺมา อิธ ยํ ยํ อตฺถํ เอกายนมโคฺค สาเธติ, ตํ ตํ ปากฎํ กตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘‘โสกปริเทวานํ สมติกฺกมายา’’ติอาทิมาหฯ ยสฺมา วา ยา สตฺตานํ วิสุทฺธิ เอกายนมเคฺคน สํวตฺตติ, สา โสกปริเทวานํ สมติกฺกเมน โหติ, โสกปริเทวานํ สมติกฺกโม ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคเมน, ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคโม ญายสฺสาธิคเมน, ญายสฺสาธิคโม นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยายฯ ตสฺมา อิมมฺปิ กมํ ทเสฺสโนฺต ‘‘สตฺตานํ วิสุทฺธิยา’’ติ วตฺวา ‘‘โสกปริเทวานํ สมติกฺกมายา’’ติอาทิมาหฯ
Tattha kiñcāpi ‘‘sattānaṃ visuddhiyā’’ti vutte sokasamatikkamādīni atthato siddhāneva honti, ṭhapetvā pana sāsanayuttikovide aññesaṃ na pākaṭāni, na ca bhagavā paṭhamaṃ sāsanayuttikovidaṃ janaṃ katvā pacchā dhammaṃ deseti. Tena teneva pana suttena taṃ taṃ atthaṃ ñāpeti. Tasmā idha yaṃ yaṃ atthaṃ ekāyanamaggo sādheti, taṃ taṃ pākaṭaṃ katvā dassento ‘‘sokaparidevānaṃ samatikkamāyā’’tiādimāha. Yasmā vā yā sattānaṃ visuddhi ekāyanamaggena saṃvattati, sā sokaparidevānaṃ samatikkamena hoti, sokaparidevānaṃ samatikkamo dukkhadomanassānaṃ atthaṅgamena, dukkhadomanassānaṃ atthaṅgamo ñāyassādhigamena, ñāyassādhigamo nibbānassa sacchikiriyāya. Tasmā imampi kamaṃ dassento ‘‘sattānaṃ visuddhiyā’’ti vatvā ‘‘sokaparidevānaṃ samatikkamāyā’’tiādimāha.
อปิจ วณฺณภณนเมตํ เอกายนมคฺคสฺสฯ ยเถว หิ ภควา ‘‘ธมฺมํ โว, ภิกฺขเว, เทเสสฺสามิ อาทิกลฺยาณํ มเชฺฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสสฺสามิ, ยทิทํ ฉฉกฺกานี’’ติ (ม. นิ. ๓.๔๒๐) ฉฉกฺกเทสนาย อฎฺฐหิ ปเทหิ วณฺณํ อภาสิ, ยถา จ อริยวํสเทสนาย ‘‘จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, อริยวํสา อคฺคญฺญา รตฺตญฺญา วํสญฺญา โปราณา อสํกิณฺณา อสํกิณฺณปุพฺพา น สํกียนฺติ, น สํกียิสฺสนฺติ, อปฺปฎิกุฎฺฐา สมเณหิ พฺราหฺมเณหิ วิญฺญูหี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๘) นวหิ ปเทหิ วณฺณํ อภาสิ, เอวํ อิมสฺสปิ เอกายนมคฺคสฺส สตฺตานํ วิสุทฺธิยาติอาทีหิ สตฺตหิ ปเทหิ วณฺณํ อภาสิฯ
Apica vaṇṇabhaṇanametaṃ ekāyanamaggassa. Yatheva hi bhagavā ‘‘dhammaṃ vo, bhikkhave, desessāmi ādikalyāṇaṃ majjhekalyāṇaṃ pariyosānakalyāṇaṃ sātthaṃ sabyañjanaṃ kevalaparipuṇṇaṃ parisuddhaṃ brahmacariyaṃ pakāsessāmi, yadidaṃ chachakkānī’’ti (ma. ni. 3.420) chachakkadesanāya aṭṭhahi padehi vaṇṇaṃ abhāsi, yathā ca ariyavaṃsadesanāya ‘‘cattārome, bhikkhave, ariyavaṃsā aggaññā rattaññā vaṃsaññā porāṇā asaṃkiṇṇā asaṃkiṇṇapubbā na saṃkīyanti, na saṃkīyissanti, appaṭikuṭṭhā samaṇehi brāhmaṇehi viññūhī’’ti (a. ni. 4.28) navahi padehi vaṇṇaṃ abhāsi, evaṃ imassapi ekāyanamaggassa sattānaṃ visuddhiyātiādīhi sattahi padehi vaṇṇaṃ abhāsi.
กสฺมา อิติ เจ? เตสํ ภิกฺขูนํ อุสฺสาหชนนตฺถํฯ วณฺณภาสนญฺหิ สุตฺวา เต ภิกฺขู ‘‘อยํ กิร มโคฺค หทยสนฺตาปภูตํ โสกํ, วาจาวิปฺปลาปภูตํ ปริเทวํ, กายิกอสาตภูตํ ทุกฺขํ, เจตสิกอสาตภูตํ โทมนสฺสนฺติ จตฺตาโร อุปทฺทเว หนติ, วิสุทฺธิํ ญายํ นิพฺพานนฺติ ตโย วิเสเส อาวหตี’’ติ อุสฺสาหชาตา อิมํ ธมฺมเทสนํ อุคฺคเหตพฺพํ ปริยาปุณิตพฺพํ ธาเรตพฺพํ วาเจตพฺพํ, อิมญฺจ มคฺคํ ภาเวตพฺพํ มญฺญิสฺสนฺติฯ อิติ เตสํ ภิกฺขูนํ อุสฺสาหชนนตฺถํ วณฺณํ อภาสิ, กมฺพลวาณิชาทโย กมฺพลาทีนํ วณฺณํ วิยฯ
Kasmā iti ce? Tesaṃ bhikkhūnaṃ ussāhajananatthaṃ. Vaṇṇabhāsanañhi sutvā te bhikkhū ‘‘ayaṃ kira maggo hadayasantāpabhūtaṃ sokaṃ, vācāvippalāpabhūtaṃ paridevaṃ, kāyikaasātabhūtaṃ dukkhaṃ, cetasikaasātabhūtaṃ domanassanti cattāro upaddave hanati, visuddhiṃ ñāyaṃ nibbānanti tayo visese āvahatī’’ti ussāhajātā imaṃ dhammadesanaṃ uggahetabbaṃ pariyāpuṇitabbaṃ dhāretabbaṃ vācetabbaṃ, imañca maggaṃ bhāvetabbaṃ maññissanti. Iti tesaṃ bhikkhūnaṃ ussāhajananatthaṃ vaṇṇaṃ abhāsi, kambalavāṇijādayo kambalādīnaṃ vaṇṇaṃ viya.
ยถา หิ สตสหสฺสคฺฆนิกปณฺฑุกมฺพลวาณิเชน กมฺพลํ คณฺหถาติ อุโคฺฆสิเตปิ อสุกกมฺพโลติ น ตาว มนุสฺสา ชานนฺติฯ เกสกมฺพลวาลกมฺพลาทโยปิ หิ ทุคฺคนฺธา ขรสมฺผสฺสา กมฺพลาเตฺวว วุจฺจนฺติฯ ยทา ปน เตน คนฺธารโก รตฺตกมฺพโล สุขุโม อุชฺชโล สุขสมฺผโสฺสติ อุโคฺฆสิตํ โหติ, ตทา เย ปโหนฺติ, เต คณฺหนฺติฯ เย น ปโหนฺติ, เตปิ ทสฺสนกามา โหนฺติ, เอวเมวํ ‘‘เอกายโน อยํ, ภิกฺขเว, มโคฺค’’ติ วุเตฺตปิ อสุกมโคฺคติ น ตาว ปากโฎ โหติฯ นานปฺปการกา หิ อนิยฺยานมคฺคาปิ มคฺคาเตฺวว วุจฺจนฺติฯ ‘‘สตฺตานํ วิสุทฺธิยา’’ติอาทิมฺหิ ปน วุเตฺต ‘‘อยํ กิร มโคฺค จตฺตาโร อุปทฺทเว หนติ, ตโย วิเสเส อาวหตี’’ติ อุสฺสาหชาตา อิมํ ธมฺมเทสนํ อุคฺคเหตพฺพํ ปริยาปุณิตพฺพํ ธาเรตพฺพํ วาเจตพฺพํ, อิมญฺจ มคฺคํ ภาเวตพฺพํ มญฺญิสฺสนฺตีติ วณฺณํ ภาสโนฺต ‘‘สตฺตานํ วิสุทฺธิยา’’ติอาทิมาหฯ ยถา จ สตสหสฺสคฺฆนิกปณฺฑุกมฺพลวาณิโชปมา, เอวํ รตฺตชมฺพุนทสุวณฺณอุทกปฺปสาทกมณิรตนสุวิสุทฺธมุตฺตารตนโธตปวาฬาทิวาณิชูปมาทโยเปตฺถ อาหริตพฺพาฯ
Yathā hi satasahassagghanikapaṇḍukambalavāṇijena kambalaṃ gaṇhathāti ugghositepi asukakambaloti na tāva manussā jānanti. Kesakambalavālakambalādayopi hi duggandhā kharasamphassā kambalātveva vuccanti. Yadā pana tena gandhārako rattakambalo sukhumo ujjalo sukhasamphassoti ugghositaṃ hoti, tadā ye pahonti, te gaṇhanti. Ye na pahonti, tepi dassanakāmā honti, evamevaṃ ‘‘ekāyano ayaṃ, bhikkhave, maggo’’ti vuttepi asukamaggoti na tāva pākaṭo hoti. Nānappakārakā hi aniyyānamaggāpi maggātveva vuccanti. ‘‘Sattānaṃ visuddhiyā’’tiādimhi pana vutte ‘‘ayaṃ kira maggo cattāro upaddave hanati, tayo visese āvahatī’’ti ussāhajātā imaṃ dhammadesanaṃ uggahetabbaṃ pariyāpuṇitabbaṃ dhāretabbaṃ vācetabbaṃ, imañca maggaṃ bhāvetabbaṃ maññissantīti vaṇṇaṃ bhāsanto ‘‘sattānaṃ visuddhiyā’’tiādimāha. Yathā ca satasahassagghanikapaṇḍukambalavāṇijopamā, evaṃ rattajambunadasuvaṇṇaudakappasādakamaṇiratanasuvisuddhamuttāratanadhotapavāḷādivāṇijūpamādayopettha āharitabbā.
ยทิทนฺติ นิปาโต, เย อิเมติ อยมสฺส อโตฺถฯ จตฺตาโรติ คณนปริเจฺฉโท, เตน น ตโต เหฎฺฐา น อุทฺธนฺติ สติปฎฺฐานปริเจฺฉทํ ทีเปติฯ สติปฎฺฐานาติ ตโย สติปฎฺฐานา สติโคจโรปิ, ติธา ปฎิปเนฺนสุ สาวเกสุ สตฺถุโน ปฎิฆานุนยวีติวตฺตตาปิ, สติปิฯ ‘‘จตุนฺนํ , ภิกฺขเว, สติปฎฺฐานานํ สมุทยญฺจ อตฺถงฺคมญฺจ เทเสสฺสามิ, ตํ สุณาถ…เป.…ฯ โก จ, ภิกฺขเว, กายสฺส สมุทโย? อาหารสมุทยา กายสมุทโย’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๓.๔๐๘) หิ สติโคจโร สติปฎฺฐานนฺติ วุจฺจติฯ ตถา ‘‘กาโย ปฎฺฐานํ, โน สติฯ สติ ปฎฺฐานเญฺจว สติ จา’’ติอาทีสุปิ (ปฎิ. ม. ๓.๓๕)ฯ ตสฺสโตฺถ – ปติฎฺฐาติ อสฺมินฺติ ปฎฺฐานํฯ กา ปติฎฺฐาติ? สติฯ สติยา ปฎฺฐานํ สติปฎฺฐานํฯ ปธานฎฺฐานนฺติ วา ปฎฺฐานํฯ สติยา ปฎฺฐานํ สติปฎฺฐานํ, หตฺถิฎฺฐานอสฺสฎฺฐานาทีนิ วิยฯ ‘‘ตโย สติปฎฺฐานา, ยทริโย เสวติ, ยทริโย เสวมาโน สตฺถา คณมนุสาสิตุมรหตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๓๑๑) เอตฺถาปิ ติธา ปฎิปเนฺนสุ สาวเกสุ สตฺถุโน ปฎิฆานุนยวีติวตฺตตา ‘‘สติปฎฺฐาน’’นฺติ วุตฺตาฯ ตสฺสโตฺถ – ปฎฺฐเปตพฺพโต ปฎฺฐานํ, ปวตฺตยิตพฺพโตติ อโตฺถฯ เกน ปฎฺฐเปตพฺพโตติ? สติยาฯ สติยา ปฎฺฐานํ สติปฎฺฐานนฺติฯ ‘‘จตฺตาโร สติปฎฺฐานา ภาวิตา พหุลีกตา สตฺต โพชฺฌเงฺค ปริปูเรนฺตี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๕.๙๘๙) ปน สติเยว ‘‘สติปฎฺฐาน’’นฺติ วุจฺจติฯ ตสฺสโตฺถ – ปติฎฺฐาตีติ ปฎฺฐานํ, อุปฎฺฐาติ โอกฺกนฺติตฺวา ปกฺขนฺทิตฺวา ปวตฺตตีติ อโตฺถฯ สติเยว ปฎฺฐานํ สติปฎฺฐานํฯ อถ วา สรณเฎฺฐน สติ, อุปฎฺฐานเฎฺฐน ปฎฺฐานํฯ อิติ สติ จ สา ปฎฺฐานญฺจาติปิ สติปฎฺฐานํฯ อิทมิธ อธิเปฺปตํฯ
Yadidanti nipāto, ye imeti ayamassa attho. Cattāroti gaṇanaparicchedo, tena na tato heṭṭhā na uddhanti satipaṭṭhānaparicchedaṃ dīpeti. Satipaṭṭhānāti tayo satipaṭṭhānā satigocaropi, tidhā paṭipannesu sāvakesu satthuno paṭighānunayavītivattatāpi, satipi. ‘‘Catunnaṃ , bhikkhave, satipaṭṭhānānaṃ samudayañca atthaṅgamañca desessāmi, taṃ suṇātha…pe…. Ko ca, bhikkhave, kāyassa samudayo? Āhārasamudayā kāyasamudayo’’tiādīsu (saṃ. ni. 3.408) hi satigocaro satipaṭṭhānanti vuccati. Tathā ‘‘kāyo paṭṭhānaṃ, no sati. Sati paṭṭhānañceva sati cā’’tiādīsupi (paṭi. ma. 3.35). Tassattho – patiṭṭhāti asminti paṭṭhānaṃ. Kā patiṭṭhāti? Sati. Satiyā paṭṭhānaṃ satipaṭṭhānaṃ. Padhānaṭṭhānanti vā paṭṭhānaṃ. Satiyā paṭṭhānaṃ satipaṭṭhānaṃ, hatthiṭṭhānaassaṭṭhānādīni viya. ‘‘Tayo satipaṭṭhānā, yadariyo sevati, yadariyo sevamāno satthā gaṇamanusāsitumarahatī’’ti (ma. ni. 3.311) etthāpi tidhā paṭipannesu sāvakesu satthuno paṭighānunayavītivattatā ‘‘satipaṭṭhāna’’nti vuttā. Tassattho – paṭṭhapetabbato paṭṭhānaṃ, pavattayitabbatoti attho. Kena paṭṭhapetabbatoti? Satiyā. Satiyā paṭṭhānaṃ satipaṭṭhānanti. ‘‘Cattāro satipaṭṭhānā bhāvitā bahulīkatā satta bojjhaṅge paripūrentī’’tiādīsu (saṃ. ni. 5.989) pana satiyeva ‘‘satipaṭṭhāna’’nti vuccati. Tassattho – patiṭṭhātīti paṭṭhānaṃ, upaṭṭhāti okkantitvā pakkhanditvā pavattatīti attho. Satiyeva paṭṭhānaṃ satipaṭṭhānaṃ. Atha vā saraṇaṭṭhena sati, upaṭṭhānaṭṭhena paṭṭhānaṃ. Iti sati ca sā paṭṭhānañcātipi satipaṭṭhānaṃ. Idamidha adhippetaṃ.
ยทิ เอวํ, กสฺมา ‘‘สติปฎฺฐานา’’ติ พหุวจนํ? สติพหุตฺตาฯ อารมฺมณเภเทน หิ พหุกา เอตา สติโยฯ อถ มโคฺคติ กสฺมา เอกวจนํ? มคฺคเฎฺฐน เอกตฺตาฯ จตโสฺสปิ หิ เอตา สติโย มคฺคเฎฺฐน เอกตฺตํ คจฺฉนฺติฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘มโคฺคติ เกนเฎฺฐน มโคฺค? นิพฺพานคมนเฎฺฐน, นิพฺพานตฺถิเกหิ มคฺคนียเฎฺฐน จา’’ติฯ จตโสฺสปิ เจตา อปรภาเค กายาทีสุ อารมฺมเณสุ กิจฺจํ สาธยมานา นิพฺพานํ คจฺฉนฺติฯ อาทิโต ปฎฺฐาย จ นิพฺพานตฺถิเกหิ มคฺคียนฺติ, ตสฺมา จตโสฺสปิ เอโก มโคฺคติ วุจฺจนฺติ ฯ เอวญฺจ สติ วจนานุสนฺธินา สานุสนฺธิกาว เทสนา โหติ, ‘‘มารเสนปฺปมทฺทนํ โว, ภิกฺขเว, มคฺคํ เทเสสฺสามิ, ตํ สุณาถ…เป.… กตโม จ, ภิกฺขเว, มารเสนปฺปมทฺทโน มโคฺค? ยทิทํ สตฺตโพชฺฌงฺคา’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๕.๒๒๔) วิย หิ ยถา มารเสนปฺปมทฺทโนติ จ สตฺตโพชฺฌงฺคาติ จ อตฺถโต เอกํ, พฺยญฺชนเมเวตฺถ นานํฯ เอวํ เอกายนมโคฺคติ จ จตฺตาโร สติปฎฺฐานาติ จ อตฺถโต เอกํ, พฺยญฺชนเมเวตฺถ นานํฯ ตสฺมา มคฺคเฎฺฐน เอกตฺตา เอกวจนํ, อารมฺมณเภเทน สติพหุตฺตา พหุวจนํ เวทิตพฺพํฯ
Yadi evaṃ, kasmā ‘‘satipaṭṭhānā’’ti bahuvacanaṃ? Satibahuttā. Ārammaṇabhedena hi bahukā etā satiyo. Atha maggoti kasmā ekavacanaṃ? Maggaṭṭhena ekattā. Catassopi hi etā satiyo maggaṭṭhena ekattaṃ gacchanti. Vuttañhetaṃ ‘‘maggoti kenaṭṭhena maggo? Nibbānagamanaṭṭhena, nibbānatthikehi magganīyaṭṭhena cā’’ti. Catassopi cetā aparabhāge kāyādīsu ārammaṇesu kiccaṃ sādhayamānā nibbānaṃ gacchanti. Ādito paṭṭhāya ca nibbānatthikehi maggīyanti, tasmā catassopi eko maggoti vuccanti . Evañca sati vacanānusandhinā sānusandhikāva desanā hoti, ‘‘mārasenappamaddanaṃ vo, bhikkhave, maggaṃ desessāmi, taṃ suṇātha…pe… katamo ca, bhikkhave, mārasenappamaddano maggo? Yadidaṃ sattabojjhaṅgā’’tiādīsu (saṃ. ni. 5.224) viya hi yathā mārasenappamaddanoti ca sattabojjhaṅgāti ca atthato ekaṃ, byañjanamevettha nānaṃ. Evaṃ ekāyanamaggoti ca cattāro satipaṭṭhānāti ca atthato ekaṃ, byañjanamevettha nānaṃ. Tasmā maggaṭṭhena ekattā ekavacanaṃ, ārammaṇabhedena satibahuttā bahuvacanaṃ veditabbaṃ.
กสฺมา ปน ภควตา จตฺตาโรว สติปฎฺฐานา วุตฺตา อนูนา อนธิกาติ? เวเนยฺยหิตตฺตา ฯ ตณฺหาจริตทิฎฺฐิจริตสมถยานิกวิปสฺสนายานิเกสุ หิ มนฺทติกฺขวเสน เทฺวธา เทฺวธา ปวเตฺตสุ เวเนเยฺยสุ มนฺทสฺส ตณฺหาจริตสฺส โอฬาริกํ กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานํ วิสุทฺธิมโคฺค, ติกฺขสฺส สุขุมํ เวทนานุปสฺสนํ สติปฎฺฐานํฯ ทิฎฺฐิจริตสฺสาปิ มนฺทสฺส นาติปฺปเภทคตํ จิตฺตานุปสฺสนาสติปฎฺฐานํ วิสุทฺธิมโคฺค, ติกฺขสฺส อติปฺปเภทคตํ ธมฺมานุปสฺสนาสติปฎฺฐานํฯ สมถยานิกสฺส จ มนฺทสฺส อกิเจฺฉน อธิคนฺตพฺพนิมิตฺตํ ปฐมํ สติปฎฺฐานํ วิสุทฺธิมโคฺค, ติกฺขสฺส โอฬาริการมฺมเณ อสณฺฐหนโต ทุติยํฯ วิปสฺสนายานิกสฺสปิ มนฺทสฺส นาติปฺปเภทคตารมฺมณํ ตติยํ, ติกฺขสฺส อติปฺปเภทคตารมฺมณํ จตุตฺถํฯ อิติ จตฺตาโรว วุตฺตา อนูนา อนธิกาติฯ
Kasmā pana bhagavatā cattārova satipaṭṭhānā vuttā anūnā anadhikāti? Veneyyahitattā . Taṇhācaritadiṭṭhicaritasamathayānikavipassanāyānikesu hi mandatikkhavasena dvedhā dvedhā pavattesu veneyyesu mandassa taṇhācaritassa oḷārikaṃ kāyānupassanāsatipaṭṭhānaṃ visuddhimaggo, tikkhassa sukhumaṃ vedanānupassanaṃ satipaṭṭhānaṃ. Diṭṭhicaritassāpi mandassa nātippabhedagataṃ cittānupassanāsatipaṭṭhānaṃ visuddhimaggo, tikkhassa atippabhedagataṃ dhammānupassanāsatipaṭṭhānaṃ. Samathayānikassa ca mandassa akicchena adhigantabbanimittaṃ paṭhamaṃ satipaṭṭhānaṃ visuddhimaggo, tikkhassa oḷārikārammaṇe asaṇṭhahanato dutiyaṃ. Vipassanāyānikassapi mandassa nātippabhedagatārammaṇaṃ tatiyaṃ, tikkhassa atippabhedagatārammaṇaṃ catutthaṃ. Iti cattārova vuttā anūnā anadhikāti.
สุภสุขนิจฺจอตฺตภาววิปลฺลาสปหานตฺถํ วาฯ กาโย หิ อสุโภ, ตตฺถ จ สุภวิปลฺลาสวิปลฺลตฺถา สตฺตา, เตสํ ตตฺถ อสุภภาวทสฺสเนน ตสฺส วิปลฺลาสสฺส ปหานตฺถํ ปฐมํ สติปฎฺฐานํ วุตฺตํฯ สุขํ นิจฺจํ อตฺตาติ คหิเตสุปิ จ เวทนาทีสุ เวทนา ทุกฺขา, จิตฺตํ อนิจฺจํ, ธมฺมา อนตฺตา, เตสุ จ สุขนิจฺจอตฺตวิปลฺลาสวิปลฺลตฺถา สตฺตา, เตสํ ตตฺถ ทุกฺขาทิภาวทสฺสเนน เตสํ วิปลฺลาสานํ ปหานตฺถํ เสสานิ ตีณิ วุตฺตานีติ เอวํ สุภสุขนิจฺจอตฺตภาววิปลฺลาสปหานตฺถํ วา จตฺตาโรว วุตฺตา อนูนา อนธิกาติ เวทิตพฺพาฯ
Subhasukhaniccaattabhāvavipallāsapahānatthaṃ vā. Kāyo hi asubho, tattha ca subhavipallāsavipallatthā sattā, tesaṃ tattha asubhabhāvadassanena tassa vipallāsassa pahānatthaṃ paṭhamaṃ satipaṭṭhānaṃ vuttaṃ. Sukhaṃ niccaṃ attāti gahitesupi ca vedanādīsu vedanā dukkhā, cittaṃ aniccaṃ, dhammā anattā, tesu ca sukhaniccaattavipallāsavipallatthā sattā, tesaṃ tattha dukkhādibhāvadassanena tesaṃ vipallāsānaṃ pahānatthaṃ sesāni tīṇi vuttānīti evaṃ subhasukhaniccaattabhāvavipallāsapahānatthaṃ vā cattārova vuttā anūnā anadhikāti veditabbā.
น เกวลญฺจ วิปลฺลาสปหานตฺถเมว, อถ โข จตุโรฆโยคาสวคนฺถอุปาทานอคติปหานตฺถมฺปิ จตุพฺพิธาหารปริญฺญตฺถญฺจ จตฺตาโรว วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ อยํ ตาว ปกรณนโยฯ
Na kevalañca vipallāsapahānatthameva, atha kho caturoghayogāsavaganthaupādānaagatipahānatthampi catubbidhāhārapariññatthañca cattārova vuttāti veditabbā. Ayaṃ tāva pakaraṇanayo.
อฎฺฐกถายํ ปน สรณวเสน เจว เอกตฺตสโมสรณวเสน จ เอกเมว สติปฎฺฐานํ อารมฺมณวเสน จตฺตาโรติ เอตเทว วุตฺตํฯ ยถา หิ จตุทฺวาเร นคเร ปาจีนโต อาคจฺฉนฺตา ปาจีนทิสาย อุฎฺฐานกํ ภณฺฑํ คเหตฺวา ปาจีนทฺวาเรน นครเมว ปวิสนฺติ, ทกฺขิณโต ปจฺฉิมโต อุตฺตรโต อาคจฺฉนฺตา อุตฺตรทิสาย อุฎฺฐานกํ ภณฺฑํ คเหตฺวา อุตฺตรทฺวาเรน นครเมว ปวิสนฺติ, เอวํสมฺปทมิทํ เวทิตพฺพํฯ นครํ วิย หิ นิพฺพานมหานครํ ฯ ทฺวารํ วิย อฎฺฐงฺคิโก โลกุตฺตรมโคฺคฯ ปาจีนทิสาทโย วิย กายาทโยฯ
Aṭṭhakathāyaṃ pana saraṇavasena ceva ekattasamosaraṇavasena ca ekameva satipaṭṭhānaṃ ārammaṇavasena cattāroti etadeva vuttaṃ. Yathā hi catudvāre nagare pācīnato āgacchantā pācīnadisāya uṭṭhānakaṃ bhaṇḍaṃ gahetvā pācīnadvārena nagarameva pavisanti, dakkhiṇato pacchimato uttarato āgacchantā uttaradisāya uṭṭhānakaṃ bhaṇḍaṃ gahetvā uttaradvārena nagarameva pavisanti, evaṃsampadamidaṃ veditabbaṃ. Nagaraṃ viya hi nibbānamahānagaraṃ . Dvāraṃ viya aṭṭhaṅgiko lokuttaramaggo. Pācīnadisādayo viya kāyādayo.
ยถา ปาจีนโต อาคจฺฉนฺตา ปาจีนทิสาย อุฎฺฐานกํ ภณฺฑํ คเหตฺวา ปาจีนทฺวาเรน นครเมว ปวิสนฺติ, เอวํ กายานุปสฺสนามุเขน อาคจฺฉนฺตา จุทฺทสวิเธน กายานุปสฺสนํ ภาเวตฺวา กายานุปสฺสนาภาวนานุภาวนิพฺพเตฺตน อริยมเคฺคน เอกํ นิพฺพานเมว โอสรนฺติฯ
Yathā pācīnato āgacchantā pācīnadisāya uṭṭhānakaṃ bhaṇḍaṃ gahetvā pācīnadvārena nagarameva pavisanti, evaṃ kāyānupassanāmukhena āgacchantā cuddasavidhena kāyānupassanaṃ bhāvetvā kāyānupassanābhāvanānubhāvanibbattena ariyamaggena ekaṃ nibbānameva osaranti.
ยถา ทกฺขิณโต อาคจฺฉนฺตา ทกฺขิณทิสาย อุฎฺฐานกํ ภณฺฑํ คเหตฺวา ทกฺขิณทฺวาเรน นครเมว ปวิสนฺติ, เอวํ เวทนานุปสฺสนามุเขน อาคจฺฉนฺตา นววิเธน เวทนานุปสฺสนํ ภาเวตฺวา เวทนานุปสฺสนาภาวนานุภาวนิพฺพเตฺตน อริยมเคฺคน เอกํ นิพฺพานเมว โอสรนฺติฯ
Yathā dakkhiṇato āgacchantā dakkhiṇadisāya uṭṭhānakaṃ bhaṇḍaṃ gahetvā dakkhiṇadvārena nagarameva pavisanti, evaṃ vedanānupassanāmukhena āgacchantā navavidhena vedanānupassanaṃ bhāvetvā vedanānupassanābhāvanānubhāvanibbattena ariyamaggena ekaṃ nibbānameva osaranti.
ยถา ปจฺฉิมโต อาคจฺฉนฺตา ปจฺฉิมทิสาย อุฎฺฐานกํ ภณฺฑํ คเหตฺวา ปจฺฉิมทฺวาเรน นครเมว ปวิสนฺติ, เอวํ จิตฺตานุปสฺสนามุเขน อาคจฺฉนฺตา โสฬสวิเธน จิตฺตานุปสฺสนํ ภาเวตฺวา จิตฺตานุปสฺสนาภาวนานุภาวนิพฺพเตฺตน อริยมเคฺคน เอกํ นิพฺพานเมว โอสรนฺติฯ
Yathā pacchimato āgacchantā pacchimadisāya uṭṭhānakaṃ bhaṇḍaṃ gahetvā pacchimadvārena nagarameva pavisanti, evaṃ cittānupassanāmukhena āgacchantā soḷasavidhena cittānupassanaṃ bhāvetvā cittānupassanābhāvanānubhāvanibbattena ariyamaggena ekaṃ nibbānameva osaranti.
ยถา อุตฺตรโต อาคจฺฉนฺตา อุตฺตรทิสาย อุฎฺฐานกํ ภณฺฑํ คเหตฺวา อุตฺตรทฺวาเรน นครเมว ปวิสนฺติ, เอวํ ธมฺมานุปสฺสนามุเขน อาคจฺฉนฺตา ปญฺจวิเธน ธมฺมานุปสฺสนํ ภาเวตฺวา ธมฺมานุปสฺสนาภาวนานุภาวนิพฺพเตฺตน อริยมเคฺคน เอกํ นิพฺพานเมว โอสรนฺติฯ
Yathā uttarato āgacchantā uttaradisāya uṭṭhānakaṃ bhaṇḍaṃ gahetvā uttaradvārena nagarameva pavisanti, evaṃ dhammānupassanāmukhena āgacchantā pañcavidhena dhammānupassanaṃ bhāvetvā dhammānupassanābhāvanānubhāvanibbattena ariyamaggena ekaṃ nibbānameva osaranti.
เอวํ สรณวเสน เจว เอกตฺตสโมสรณวเสน จ เอกเมว สติปฎฺฐานํ อารมฺมณวเสน จตฺตาโรว วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ
Evaṃ saraṇavasena ceva ekattasamosaraṇavasena ca ekameva satipaṭṭhānaṃ ārammaṇavasena cattārova vuttāti veditabbā.
กตเม จตฺตาโรติ กเถตุกมฺยตา ปุจฺฉาฯ อิธาติ อิมสฺมิํ สาสเนฯ ภิกฺขเวติ ธมฺมปฎิคฺคาหกปุคฺคลาลปนเมตํฯ ภิกฺขูติ ปฎิปตฺติสมฺปาทกปุคฺคลนิทสฺสนเมตํฯ อเญฺญปิ จ เทวมนุสฺสา ปฎิปตฺติํ สมฺปาเทนฺติเยว, เสฎฺฐตฺตา ปน ปฎิปตฺติยา ภิกฺขุภาวทสฺสนโต จ, ‘‘ภิกฺขู’’ติ อาหฯ ภควโต หิ อนุสาสนิํ สมฺปฎิจฺฉเนฺตสุ ภิกฺขุ เสโฎฺฐ, สพฺพปฺปการาย อนุสาสนิยา ภาชนภาวโต, ตสฺมา เสฎฺฐตฺตา ‘‘ภิกฺขู’’ติ อาหฯ ตสฺมิํ คหิเต ปน เสสา คหิตาว โหนฺติ ราชคมนาทีสุ ราชคฺคหเณน เสสปริสา วิยฯ โย จ อิมํ ปฎิปตฺติํ ปฎิปชฺชติ, โส ภิกฺขุ นาม โหตีติ ปฎิปตฺติยา ภิกฺขุภาวทสฺสนโตปิ ‘‘ภิกฺขู’’ติ อาห ฯ ปฎิปนฺนโก หิ เทโว วา โหตุ มนุโสฺส วา, ‘‘ภิกฺขู’’ติ สงฺขํ คจฺฉติเยวฯ ยถาห –
Katamecattāroti kathetukamyatā pucchā. Idhāti imasmiṃ sāsane. Bhikkhaveti dhammapaṭiggāhakapuggalālapanametaṃ. Bhikkhūti paṭipattisampādakapuggalanidassanametaṃ. Aññepi ca devamanussā paṭipattiṃ sampādentiyeva, seṭṭhattā pana paṭipattiyā bhikkhubhāvadassanato ca, ‘‘bhikkhū’’ti āha. Bhagavato hi anusāsaniṃ sampaṭicchantesu bhikkhu seṭṭho, sabbappakārāya anusāsaniyā bhājanabhāvato, tasmā seṭṭhattā ‘‘bhikkhū’’ti āha. Tasmiṃ gahite pana sesā gahitāva honti rājagamanādīsu rājaggahaṇena sesaparisā viya. Yo ca imaṃ paṭipattiṃ paṭipajjati, so bhikkhu nāma hotīti paṭipattiyā bhikkhubhāvadassanatopi ‘‘bhikkhū’’ti āha . Paṭipannako hi devo vā hotu manusso vā, ‘‘bhikkhū’’ti saṅkhaṃ gacchatiyeva. Yathāha –
‘‘อลงฺกโต เจปิ สมํ จเรยฺย,
‘‘Alaṅkato cepi samaṃ careyya,
สโนฺต ทโนฺต นิยโต พฺรหฺมจารี;
Santo danto niyato brahmacārī;
สเพฺพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑํ,
Sabbesu bhūtesu nidhāya daṇḍaṃ,
โส พฺราหฺมโณ โส สมโณ ส ภิกฺขู’’ติฯ (ธ. ป. ๑๔๒);
So brāhmaṇo so samaṇo sa bhikkhū’’ti. (dha. pa. 142);
กาเยติ รูปกาเยฯ รูปกาโย หิ อิธ องฺคปจฺจงฺคานํ เกสาทีนญฺจ ธมฺมานํ สมูหเฎฺฐน หตฺถิกายรถกายาทโย วิย กาโยติ อธิเปฺปโตฯ ยถา จ สมูหเฎฺฐน, เอวํ กุจฺฉิตานํ อายเฎฺฐนฯ กุจฺฉิตานญฺหิ ปรมเชคุจฺฉานํ โส อาโยติปิ กาโยฯ อาโยติ อุปฺปตฺติเทโสฯ ตตฺรายํ วจนโตฺถ, อายนฺติ ตโตติ อาโยฯ เก อายนฺติ? กุจฺฉิตา เกสาทโยฯ อิติ กุจฺฉิตานํ อาโยติ กาโยฯ กายานุปสฺสีติ กายมนุปสฺสนสีโล, กายํ วา อนุปสฺสมาโนฯ
Kāyeti rūpakāye. Rūpakāyo hi idha aṅgapaccaṅgānaṃ kesādīnañca dhammānaṃ samūhaṭṭhena hatthikāyarathakāyādayo viya kāyoti adhippeto. Yathā ca samūhaṭṭhena, evaṃ kucchitānaṃ āyaṭṭhena. Kucchitānañhi paramajegucchānaṃ so āyotipi kāyo. Āyoti uppattideso. Tatrāyaṃ vacanattho, āyanti tatoti āyo. Ke āyanti? Kucchitā kesādayo. Iti kucchitānaṃ āyoti kāyo. Kāyānupassīti kāyamanupassanasīlo, kāyaṃ vā anupassamāno.
‘‘กาเย’’ติ จ วตฺวาปิ ปุน ‘‘กายานุปสฺสี’’ติ ทุติยํ กายคฺคหณํ อสมฺมิสฺสโต ววตฺถานฆนวินิโพฺภคาทิทสฺสนตฺถํ กตนฺติ เวทิตพฺพํฯ เตน น กาเย เวทนานุปสฺสี วา, จิตฺตธมฺมานุปสฺสี วา, อถ โข กายานุปสฺสีเยวาติ กายสงฺขาเต วตฺถุสฺมิํ กายานุปสฺสนาการเสฺสว ทสฺสเนน อสมฺมิสฺสโต ววตฺถานํ ทสฺสิตํ โหติฯ ตถา น กาเย องฺคปจฺจงฺควิมุตฺตเอกธมฺมานุปสฺสี, นาปิ เกสโลมาทิวินิมุตฺตอิตฺถิปุริสานุปสฺสีฯ โยปิ เจตฺถ เกสโลมาทิโก ภูตุปาทายสมูหสงฺขาโต กาโย , ตตฺถปิ น ภูตุปาทายวินิมุตฺตเอกธมฺมานุปสฺสี, อถ โข รถสมฺภารานุปสฺสโก วิย องฺคปจฺจงฺคสมูหานุปสฺสี, นคราวยวานุปสฺสโก วิย เกสโลมาทิสมูหานุปสฺสี, กทลิกฺขนฺธปตฺตวฎฺฎิวินิพฺภุชนโก วิย ริตฺตมุฎฺฐิวินิเวฐโก วิย จ ภูตุปาทายสมูหานุปสฺสีเยวาติ นานปฺปการโต สมูหวเสเนว กายสงฺขาตสฺส วตฺถุโน ทสฺสเนน ฆนวินิโพฺภโค ทสฺสิโต โหติฯ น เหตฺถ ยถาวุตฺตสมูหวินิมุโตฺต กาโย วา อิตฺถี วา ปุริโส วา อโญฺญ วา โกจิ ธโมฺม ทิสฺสติ , ยถาวุตฺตธมฺมสมูหมเตฺตเยว ปน ตถา ตถา สตฺตา มิจฺฉาภินิเวสํ กโรนฺติฯ เตนาหุ โปราณา –
‘‘Kāye’’ti ca vatvāpi puna ‘‘kāyānupassī’’ti dutiyaṃ kāyaggahaṇaṃ asammissato vavatthānaghanavinibbhogādidassanatthaṃ katanti veditabbaṃ. Tena na kāye vedanānupassī vā, cittadhammānupassī vā, atha kho kāyānupassīyevāti kāyasaṅkhāte vatthusmiṃ kāyānupassanākārasseva dassanena asammissato vavatthānaṃ dassitaṃ hoti. Tathā na kāye aṅgapaccaṅgavimuttaekadhammānupassī, nāpi kesalomādivinimuttaitthipurisānupassī. Yopi cettha kesalomādiko bhūtupādāyasamūhasaṅkhāto kāyo , tatthapi na bhūtupādāyavinimuttaekadhammānupassī, atha kho rathasambhārānupassako viya aṅgapaccaṅgasamūhānupassī, nagarāvayavānupassako viya kesalomādisamūhānupassī, kadalikkhandhapattavaṭṭivinibbhujanako viya rittamuṭṭhiviniveṭhako viya ca bhūtupādāyasamūhānupassīyevāti nānappakārato samūhavaseneva kāyasaṅkhātassa vatthuno dassanena ghanavinibbhogo dassito hoti. Na hettha yathāvuttasamūhavinimutto kāyo vā itthī vā puriso vā añño vā koci dhammo dissati , yathāvuttadhammasamūhamatteyeva pana tathā tathā sattā micchābhinivesaṃ karonti. Tenāhu porāṇā –
‘‘ยํ ปสฺสติ น ตํ ทิฎฺฐํ, ยํ ทิฎฺฐํ ตํ น ปสฺสติ;
‘‘Yaṃ passati na taṃ diṭṭhaṃ, yaṃ diṭṭhaṃ taṃ na passati;
อปสฺสํ พชฺฌเต มูโฬฺห, พชฺฌมาโน น มุจฺจตี’’ติฯ –
Apassaṃ bajjhate mūḷho, bajjhamāno na muccatī’’ti. –
ฆนวินิโพฺภคาทิทสฺสนตฺถนฺติ วุตฺตํฯ อาทิสเทฺทน เจตฺถ อยมฺปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพ – อยญฺหิ เอกสฺมิํ กาเย กายานุปสฺสีเยว, น อญฺญธมฺมานุปสฺสีฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยถา อนุทกภูตายปิ มรีจิยา อุทกานุปสฺสิโน โหนฺติ, น เอวํ อนิจฺจทุกฺขานตฺตอสุภภูเตเยว อิมสฺมิํ กาเย นิจฺจสุขอตฺตสุภภาวานุปสฺสี, อถ โข กายานุปสฺสี อนิจฺจทุกฺขานตฺตอสุภาการสมูหานุปสฺสีเยวาติฯ อถ วา ยฺวายํ ปรโต ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อรญฺญคโต วา…เป.… โส สโตว อสฺสสตี’’ติอาทินา นเยน อสฺสาสปสฺสาสาทิจุณฺณิกชาตอฎฺฐิกปริโยสาโน กาโย วุโตฺต, โย จ ‘‘อิเธกโจฺจ ปถวิกายํ อนิจฺจโต อนุปสฺสติ อาโปกายํ เตโชกายํ วาโยกายํ เกสกายํ โลมกายํ ฉวิกายํ จมฺมกายํ มํสกายํ รุหิรกายํ นหารุกายํ อฎฺฐิกายํ อฎฺฐิมิญฺชกาย’’นฺติ ปฎิสมฺภิทายํ (ปฎิ. ม. ๓.๓๕) กาโย วุโตฺต, ตสฺส สพฺพสฺส อิมสฺมิํเยว กาเย อนุปสฺสนโต ‘‘กาเย กายานุปสฺสี’’ติ เอวมฺปิ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Ghanavinibbhogādidassanatthanti vuttaṃ. Ādisaddena cettha ayampi attho veditabbo – ayañhi ekasmiṃ kāye kāyānupassīyeva, na aññadhammānupassī. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yathā anudakabhūtāyapi marīciyā udakānupassino honti, na evaṃ aniccadukkhānattaasubhabhūteyeva imasmiṃ kāye niccasukhaattasubhabhāvānupassī, atha kho kāyānupassī aniccadukkhānattaasubhākārasamūhānupassīyevāti. Atha vā yvāyaṃ parato ‘‘idha, bhikkhave, bhikkhu araññagato vā…pe… so satova assasatī’’tiādinā nayena assāsapassāsādicuṇṇikajātaaṭṭhikapariyosāno kāyo vutto, yo ca ‘‘idhekacco pathavikāyaṃ aniccato anupassati āpokāyaṃ tejokāyaṃ vāyokāyaṃ kesakāyaṃ lomakāyaṃ chavikāyaṃ cammakāyaṃ maṃsakāyaṃ ruhirakāyaṃ nahārukāyaṃ aṭṭhikāyaṃ aṭṭhimiñjakāya’’nti paṭisambhidāyaṃ (paṭi. ma. 3.35) kāyo vutto, tassa sabbassa imasmiṃyeva kāye anupassanato ‘‘kāye kāyānupassī’’ti evampi attho daṭṭhabbo.
อถ วา กาเย อหนฺติ วา มมนฺติ วา เอวํ คเหตพฺพสฺส ยสฺส กสฺสจิ อนนุปสฺสนโต ตสฺส ตเสฺสว ปน เกสาโลมาทิกสฺส นานาธมฺมสมูหสฺส อนุปสฺสนโต กาเย เกสาทิธมฺมสมูหสงฺขาตกายานุปสฺสีติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อปิจ ‘‘อิมสฺมิํ กาเย อนิจฺจโต อนุปสฺสติ, โน นิจฺจโต’’ติอาทินา นเยน ปฎิสมฺภิทายํ อาคตนยสฺส สพฺพเสฺสว อนิจฺจลกฺขณาทิโน อาการสมูหสงฺขาตสฺส กายสฺสานุปสฺสนโตปิ ‘‘กาเย กายานุปสฺสี’’ติ เอวมฺปิ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Atha vā kāye ahanti vā mamanti vā evaṃ gahetabbassa yassa kassaci ananupassanato tassa tasseva pana kesālomādikassa nānādhammasamūhassa anupassanato kāye kesādidhammasamūhasaṅkhātakāyānupassīti evamattho daṭṭhabbo. Apica ‘‘imasmiṃ kāye aniccato anupassati, no niccato’’tiādinā nayena paṭisambhidāyaṃ āgatanayassa sabbasseva aniccalakkhaṇādino ākārasamūhasaṅkhātassa kāyassānupassanatopi ‘‘kāye kāyānupassī’’ti evampi attho daṭṭhabbo.
ตถา หิ อยํ กาเย กายานุปสฺสนาปฎิปทํ ปฎิปโนฺน ภิกฺขุ อิมํ กายํ อนิจฺจานุปสฺสนาทีนํ สตฺตนฺนํ อนุปสฺสนานํ วเสน อนิจฺจโต อนุปสฺสติ, โน นิจฺจโตฯ ทุกฺขโต อนุปสฺสติ, โน สุขโตฯ อนตฺตโต อนุปสฺสติ, โน อตฺตโตฯ นิพฺพินฺทติ, โน นนฺทติฯ วิรชฺชติ, โน รชฺชติฯ นิโรเธติ, โน สมุเทติฯ ปฎินิสฺสชฺชติ, โน อาทิยติฯ โส ตํ อนิจฺจโต อนุปสฺสโนฺต นิจฺจสญฺญํ ปชหติ, ทุกฺขโต อนุปสฺสโนฺต สุขสญฺญํ ปชหติ, อนตฺตโต อนุปสฺสโนฺต อตฺตสญฺญํ ปชหติ, นิพฺพินฺทโนฺต นนฺทิํ ปชหติ, วิรชฺชโนฺต ราคํ ปชหติ, นิโรเธโนฺต สมุทยํ ปชหติ, ปฎินิสฺสชฺชโนฺต อาทานํ ปชหตีติ เวทิตโพฺพฯ
Tathā hi ayaṃ kāye kāyānupassanāpaṭipadaṃ paṭipanno bhikkhu imaṃ kāyaṃ aniccānupassanādīnaṃ sattannaṃ anupassanānaṃ vasena aniccato anupassati, no niccato. Dukkhato anupassati, no sukhato. Anattato anupassati, no attato. Nibbindati, no nandati. Virajjati, no rajjati. Nirodheti, no samudeti. Paṭinissajjati, no ādiyati. So taṃ aniccato anupassanto niccasaññaṃ pajahati, dukkhato anupassanto sukhasaññaṃ pajahati, anattato anupassanto attasaññaṃ pajahati, nibbindanto nandiṃ pajahati, virajjanto rāgaṃ pajahati, nirodhento samudayaṃ pajahati, paṭinissajjanto ādānaṃ pajahatīti veditabbo.
วิหรตีติ อิริยติฯ อาตาปีติ ตีสุ ภเวสุ กิเลเส อาตาเปตีติ อาตาโป, วีริยเสฺสตํ นามํฯ อาตาโป อสฺส อตฺถีติ อาตาปีฯ สมฺปชาโนติ สมฺปชญฺญสงฺขาเตน ญาเณน สมนฺนาคโตฯ สติมาติ กายปริคฺคาหิกาย สติยา สมนฺนาคโตฯ อยํ ปน ยสฺมา สติยา อารมฺมณํ ปริคฺคเหตฺวา ปญฺญาย อนุปสฺสติ, น หิ สติวิรหิตสฺส อนุปสฺสนา นาม อตฺถิฯ เตเนวาห ‘‘สติญฺจ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, สพฺพตฺถิกํ วทามี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๔)ฯ ตสฺมา เอตฺถ ‘‘กาเย กายานุปสฺสี วิหรตี’’ติ เอตฺตาวตา กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานกมฺมฎฺฐานํ วุตฺตํ โหติฯ อถ วา ยสฺมา อนาตาปิโน อโนฺตสเงฺขโป อนฺตรายกโร โหติ, อสมฺปชาโน อุปายปริคฺคเห อนุปายปริวชฺชเน จ สมฺมุยฺหติ, มุฎฺฐสฺสติ อุปายาปริจฺจาเค อนุปายาปริคฺคเห จ อสมโตฺถ โหติ, เตนสฺส ตํ กมฺมฎฺฐานํ น สมฺปชฺชติ, ตสฺมา เยสํ ธมฺมานํ อานุภาเวน ตํ สมฺปชฺชติฯ เตสํ ทสฺสนตฺถํ ‘‘อาตาปี สมฺปชาโน สติมาติ อิทํ วุตฺต’’นฺติ เวทิตพฺพํฯ
Viharatīti iriyati. Ātāpīti tīsu bhavesu kilese ātāpetīti ātāpo, vīriyassetaṃ nāmaṃ. Ātāpo assa atthīti ātāpī. Sampajānoti sampajaññasaṅkhātena ñāṇena samannāgato. Satimāti kāyapariggāhikāya satiyā samannāgato. Ayaṃ pana yasmā satiyā ārammaṇaṃ pariggahetvā paññāya anupassati, na hi sativirahitassa anupassanā nāma atthi. Tenevāha ‘‘satiñca khvāhaṃ, bhikkhave, sabbatthikaṃ vadāmī’’ti (saṃ. ni. 5.234). Tasmā ettha ‘‘kāye kāyānupassī viharatī’’ti ettāvatā kāyānupassanāsatipaṭṭhānakammaṭṭhānaṃ vuttaṃ hoti. Atha vā yasmā anātāpino antosaṅkhepo antarāyakaro hoti, asampajāno upāyapariggahe anupāyaparivajjane ca sammuyhati, muṭṭhassati upāyāpariccāge anupāyāpariggahe ca asamattho hoti, tenassa taṃ kammaṭṭhānaṃ na sampajjati, tasmā yesaṃ dhammānaṃ ānubhāvena taṃ sampajjati. Tesaṃ dassanatthaṃ ‘‘ātāpī sampajāno satimāti idaṃ vutta’’nti veditabbaṃ.
อิติ กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานํ สมฺปโยคงฺคญฺจสฺส ทเสฺสตฺวา อิทานิ ปหานงฺคํ ทเสฺสตุํ วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสนฺติ วุตฺตํฯ ตตฺถ วิเนยฺยาติ ตทงฺควินเยน วา วิกฺขมฺภนวินเยน วา วินยิตฺวาฯ โลเกติ ตสฺมิํเยว กาเยฯ กาโย หิ อิธ ลุชฺชนปลุชฺชนเฎฺฐน โลโกติ อธิเปฺปโตฯ ยสฺมา ปนสฺส น กายมเตฺตเยว อภิชฺฌาโทมนสฺสํ ปหียติ, เวทนาทีสุปิ ปหียติเยว, ตสฺมา ‘‘ปญฺจปิ อุปาทานกฺขนฺธา โลโก’’ติ วิภเงฺค (วิภ. ๓๖๒) วุตฺตํฯ โลกสงฺขาตตฺตา วา เตสํ ธมฺมานํ อตฺถุทฺธารนเยเนตํ วุตฺตํฯ ยํ ปนาห ‘‘ตตฺถ กตโม โลโก? เสฺวว กาโย โลโก’’ติฯ อยเมเวตฺถ อโตฺถ, ตสฺมิํ โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ วิเนยฺยาติ เอวํ สมฺพโนฺธ ทฎฺฐโพฺพฯ ยสฺมา ปเนตฺถ อภิชฺฌาคหเณน กามจฺฉโนฺท , โทมนสฺสคฺคหเณน พฺยาปาโท สงฺคหํ คจฺฉติ, ตสฺมา นีวรณปริยาปนฺนพลวธมฺมทฺวยทสฺสเนน นีวรณปฺปหานํ วุตฺตํ โหตีติ เวทิตพฺพํฯ
Iti kāyānupassanāsatipaṭṭhānaṃ sampayogaṅgañcassa dassetvā idāni pahānaṅgaṃ dassetuṃ vineyya loke abhijjhādomanassanti vuttaṃ. Tattha vineyyāti tadaṅgavinayena vā vikkhambhanavinayena vā vinayitvā. Loketi tasmiṃyeva kāye. Kāyo hi idha lujjanapalujjanaṭṭhena lokoti adhippeto. Yasmā panassa na kāyamatteyeva abhijjhādomanassaṃ pahīyati, vedanādīsupi pahīyatiyeva, tasmā ‘‘pañcapi upādānakkhandhā loko’’ti vibhaṅge (vibha. 362) vuttaṃ. Lokasaṅkhātattā vā tesaṃ dhammānaṃ atthuddhāranayenetaṃ vuttaṃ. Yaṃ panāha ‘‘tattha katamo loko? Sveva kāyo loko’’ti. Ayamevettha attho, tasmiṃ loke abhijjhādomanassaṃ vineyyāti evaṃ sambandho daṭṭhabbo. Yasmā panettha abhijjhāgahaṇena kāmacchando , domanassaggahaṇena byāpādo saṅgahaṃ gacchati, tasmā nīvaraṇapariyāpannabalavadhammadvayadassanena nīvaraṇappahānaṃ vuttaṃ hotīti veditabbaṃ.
วิเสเสน เจตฺถ อภิชฺฌาวินเยน กายสมฺปตฺติมูลกสฺส อนุโรธสฺส, โทมนสฺสวินเยน ปน กายวิปตฺติมูลกสฺส วิโรธสฺส, อภิชฺฌาวินเยน จ กาเย อภิรติยา, โทมนสฺสวินเยน กายภาวนาย อนภิรติยา, อภิชฺฌาวินเยน กาเย อภูตานํ สุภสุขภาวาทีนํ ปเกฺขปสฺส, โทมนสฺสวินเยน จ กาเย ภูตานํ อสุภาสุขภาวาทีนํ อปนยนสฺส จ ปหานํ วุตฺตํฯ เตน โยคาวจรสฺส โยคานุภาโว โยคสมตฺถตา จ ทีปิตา โหติฯ โยคานุภาโว หิ เอส, ยทิทํ อนุโรธวิโรธวิปฺปมุโตฺต อรติรติสโห อภูตปเกฺขปภูตาปนยนวิรหิโต จ โหติฯ อนุโรธวิโรธวิปฺปมุโตฺต เจส อรติรติสโห อภูตํ อปกฺขิปโนฺต ภูตญฺจ อนปเนโนฺต โยคสมโตฺถ โหตีติฯ
Visesena cettha abhijjhāvinayena kāyasampattimūlakassa anurodhassa, domanassavinayena pana kāyavipattimūlakassa virodhassa, abhijjhāvinayena ca kāye abhiratiyā, domanassavinayena kāyabhāvanāya anabhiratiyā, abhijjhāvinayena kāye abhūtānaṃ subhasukhabhāvādīnaṃ pakkhepassa, domanassavinayena ca kāye bhūtānaṃ asubhāsukhabhāvādīnaṃ apanayanassa ca pahānaṃ vuttaṃ. Tena yogāvacarassa yogānubhāvo yogasamatthatā ca dīpitā hoti. Yogānubhāvo hi esa, yadidaṃ anurodhavirodhavippamutto aratiratisaho abhūtapakkhepabhūtāpanayanavirahito ca hoti. Anurodhavirodhavippamutto cesa aratiratisaho abhūtaṃ apakkhipanto bhūtañca anapanento yogasamattho hotīti.
อปโร นโย ‘‘กาเย กายานุปสฺสี’’ติ เอตฺถ อนุปสฺสนาย กมฺมฎฺฐานํ วุตฺตํฯ ‘‘วิหรตี’’ติ เอตฺถ วุตฺตวิหาเรน กมฺมฎฺฐานิกสฺส กายปริหรณํฯ ‘‘อาตาปี’’ติอาทีสุ อาตาเปน สมฺมปฺปธานํ, สติสมฺปชเญฺญน สพฺพตฺถิกกมฺมฎฺฐานํ, กมฺมฎฺฐานปริหรณูปาโย วา, สติยา วา กายานุปสฺสนาวเสน ปฎิลทฺธสมโถ, สมฺปชเญฺญน วิปสฺสนา, อภิชฺฌาโทมนสฺสวินเยน ภาวนาผลํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Aparo nayo ‘‘kāye kāyānupassī’’ti ettha anupassanāya kammaṭṭhānaṃ vuttaṃ. ‘‘Viharatī’’ti ettha vuttavihārena kammaṭṭhānikassa kāyapariharaṇaṃ. ‘‘Ātāpī’’tiādīsu ātāpena sammappadhānaṃ, satisampajaññena sabbatthikakammaṭṭhānaṃ, kammaṭṭhānapariharaṇūpāyo vā, satiyā vā kāyānupassanāvasena paṭiladdhasamatho, sampajaññena vipassanā, abhijjhādomanassavinayena bhāvanāphalaṃ vuttanti veditabbaṃ.
วิภเงฺค ปน ‘‘อนุปสฺสี’’ติ ตตฺถ กตมา อนุปสฺสนา? ยา ปญฺญา ปชานนา…เป.… สมฺมาทิฎฺฐิฯ อยํ วุจฺจติ อนุปสฺสนาฯ อิมาย อนุปสฺสนาย อุเปโต โหติ สมุเปโต อุปาคโต สมุปาคโต อุปปโนฺน สมฺปโนฺน สมนฺนาคโตฯ เตน วุจฺจติ อนุปสฺสีติฯ
Vibhaṅge pana ‘‘anupassī’’ti tattha katamā anupassanā? Yā paññā pajānanā…pe… sammādiṭṭhi. Ayaṃ vuccati anupassanā. Imāya anupassanāya upeto hoti samupeto upāgato samupāgato upapanno sampanno samannāgato. Tena vuccati anupassīti.
วิหรตีติ อิริยติ วตฺตติ ปาเลติ ยเปติ ยาเปติ จรติ วิหรติฯ เตน วุจฺจติ วิหรตีติฯ
Viharatīti iriyati vattati pāleti yapeti yāpeti carati viharati. Tena vuccati viharatīti.
อาตาปีติ ตตฺถ กตโม อาตาโป? โย เจตสิโก วีริยารโมฺภ…เป.… สมฺมาวายาโมฯ อยํ วุจฺจติ อาตาโปฯ อิมินา อาตาเปน อุเปโต โหติ…เป.… สมนฺนาคโตฯ เตน วุจฺจติ อาตาปีติฯ
Ātāpīti tattha katamo ātāpo? Yo cetasiko vīriyārambho…pe… sammāvāyāmo. Ayaṃ vuccati ātāpo. Iminā ātāpena upeto hoti…pe… samannāgato. Tena vuccati ātāpīti.
สมฺปชาโนติ ตตฺถ กตมํ สมฺปชญฺญํ? ยา ปญฺญา ปชานนา…เป.… สมฺมาทิฎฺฐิฯ อิทํ วุจฺจติ สมฺปชญฺญํฯ อิมินา สมฺปชเญฺญน อุเปโต โหติ…เป.… สมนฺนาคโตฯ เตน วุจฺจติ สมฺปชาโนติฯ
Sampajānoti tattha katamaṃ sampajaññaṃ? Yā paññā pajānanā…pe… sammādiṭṭhi. Idaṃ vuccati sampajaññaṃ. Iminā sampajaññena upeto hoti…pe… samannāgato. Tena vuccati sampajānoti.
สติมาติ ตตฺถ กตมา สติ? ยา สติ อนุสฺสติ…เป.… สมฺมาสติฯ อยํ วุจฺจติ สติฯ อิมาย สติยา อุเปโต โหติ…เป.… สมนฺนาคโตฯ เตน วุจฺจติ สติมาติฯ
Satimāti tattha katamā sati? Yā sati anussati…pe… sammāsati. Ayaṃ vuccati sati. Imāya satiyā upeto hoti…pe… samannāgato. Tena vuccati satimāti.
วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสนฺติ ตตฺถ กตโม โลโก? เสฺวว กาโย โลโก, ปญฺจปิ อุปาทานกฺขนฺธา โลโกฯ อยํ วุจฺจติ โลโกฯ ตตฺถ กตมา อภิชฺฌา? โย ราโค สาราโค อนุนโย อนุโรโธ นนฺที นนฺทีราโค จิตฺตสฺส สาราโค, อยํ วุจฺจติ อภิชฺฌาฯ ตตฺถ กตมํ โทมนสฺสํ? ยํ เจตสิกํ อสาตํ, เจตสิกํ ทุกฺขํ, เจโตสมฺผสฺสชํ อสาตํ…เป.… ทุกฺขา เวทนาฯ อิทํ วุจฺจติ โทมนสฺสํฯ อิติ อยญฺจ อภิชฺฌา อิทญฺจ โทมนสฺสํ อิมมฺหิ โลเก วินีตา โหนฺติ ปฎิวินีตา สนฺตา วูปสนฺตา สมิตา วูปสมิตา อตฺถงฺคตา อพฺภตฺถงฺคตา อปฺปิตา พฺยปฺปิตา โสสิตา วิโสสิตา พฺยนฺตีกตา, เตน วุจฺจติ วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสนฺติ (วิภ. ๓๕๖) เอวเมเตสํ ปทานมโตฺถ วุโตฺตฯ เตน สห อยํ อฎฺฐกถานโย ยถา สํสนฺทติ, เอวํ เวทิตโพฺพฯ อยํ ตาว กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานุเทฺทสสฺส อตฺถวณฺณนาฯ
Vineyya loke abhijjhādomanassanti tattha katamo loko? Sveva kāyo loko, pañcapi upādānakkhandhā loko. Ayaṃ vuccati loko. Tattha katamā abhijjhā? Yo rāgo sārāgo anunayo anurodho nandī nandīrāgo cittassa sārāgo, ayaṃ vuccati abhijjhā. Tattha katamaṃ domanassaṃ? Yaṃ cetasikaṃ asātaṃ, cetasikaṃ dukkhaṃ, cetosamphassajaṃ asātaṃ…pe… dukkhā vedanā. Idaṃ vuccati domanassaṃ. Iti ayañca abhijjhā idañca domanassaṃ imamhi loke vinītā honti paṭivinītā santā vūpasantā samitā vūpasamitā atthaṅgatā abbhatthaṅgatā appitā byappitā sositā visositā byantīkatā, tena vuccati vineyya loke abhijjhādomanassanti (vibha. 356) evametesaṃ padānamattho vutto. Tena saha ayaṃ aṭṭhakathānayo yathā saṃsandati, evaṃ veditabbo. Ayaṃ tāva kāyānupassanāsatipaṭṭhānuddesassa atthavaṇṇanā.
เวทนาสุ… จิเตฺต… ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติ…เป.… วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสนฺติ เอตฺถ ปน เวทนานุปสฺสีติ เอวมาทีสุ เวทนาทีนํ ปุน วจเน ปโยชนํ กายานุปสฺสนายํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี, จิเตฺต จิตฺตานุปสฺสี, ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสีติ เอตฺถ ปน เวทนาติ ติโสฺส เวทนา, ตา จ โลกิยา เอวฯ จิตฺตมฺปิ โลกิยํ, ตถา ธมฺมาฯ เตสํ วิภาโค นิเทฺทสวาเร ปากโฎ ภวิสฺสติฯ เกวลํ ปนิธ ยถา เวทนา อนุปสฺสิตพฺพา, ตถา อนุปสฺสโนฺต เวทนาสุ เวทนานุปสฺสีติ เวทิตโพฺพฯ เอส นโย จิตฺตธเมฺมสุปิฯ กถญฺจ เวทนา อนุปสฺสิตพฺพาติ? สุขา ตาว เวทนา ทุกฺขโต, ทุกฺขา สลฺลโต, อทุกฺขมสุขา อนิจฺจโตฯ ยถาห –
Vedanāsu… citte… dhammesu dhammānupassī viharati…pe… vineyya loke abhijjhādomanassanti ettha pana vedanānupassīti evamādīsu vedanādīnaṃ puna vacane payojanaṃ kāyānupassanāyaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ. Vedanāsu vedanānupassī, citte cittānupassī, dhammesu dhammānupassīti ettha pana vedanāti tisso vedanā, tā ca lokiyā eva. Cittampi lokiyaṃ, tathā dhammā. Tesaṃ vibhāgo niddesavāre pākaṭo bhavissati. Kevalaṃ panidha yathā vedanā anupassitabbā, tathā anupassanto vedanāsu vedanānupassīti veditabbo. Esa nayo cittadhammesupi. Kathañca vedanā anupassitabbāti? Sukhā tāva vedanā dukkhato, dukkhā sallato, adukkhamasukhā aniccato. Yathāha –
‘‘โย สุขํ ทุกฺขโต อทฺท, ทุกฺขมทฺทกฺขิ สลฺลโต;
‘‘Yo sukhaṃ dukkhato adda, dukkhamaddakkhi sallato;
อทุกฺขมสุขํ สนฺตํ, อทกฺขิ นํ อนิจฺจโต;
Adukkhamasukhaṃ santaṃ, adakkhi naṃ aniccato;
ส เว สมฺมทฺทโส ภิกฺขุ, อุปสโนฺต จริสฺสตี’’ติฯ (สํ. นิ. ๔.๒๕๓);
Sa ve sammaddaso bhikkhu, upasanto carissatī’’ti. (saṃ. ni. 4.253);
สพฺพา เอว เจตา ทุกฺขาติปิ อนุปสฺสิตพฺพาฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘ยํกิญฺจิ เวทยิตํ, สพฺพํ ตํ ทุกฺขสฺมินฺติ วทามี’’ติ (สํ. นิ. ๔.๒๕๙)ฯ สุขทุกฺขโตปิ จ อนุปสฺสิตพฺพาฯ ยถาห ‘‘สุขา เวทนา ฐิติสุขา วิปริณามทุกฺขา’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๖๔) สพฺพํ วิตฺถาเรตพฺพํฯ อปิจ อนิจฺจาทิสตฺตานุปสฺสนาวเสนปิ อนุปสฺสิตพฺพาฯ เสสํ นิเทฺทสวาเรเยว ปากฎํ ภวิสฺสติฯ จิตฺตธเมฺมสุปิ จิตฺตํ ตาว อารมฺมณาธิปติสหชาตภูมิกมฺมวิปากกิริยาทินานตฺตเภทานํ อนิจฺจาทิสตฺตานุปสฺสนานํ นิเทฺทสวาเร อาคตสราคาทิเภทานญฺจ วเสน อนุปสฺสิตพฺพํฯ ธมฺมา สลกฺขณสามญฺญลกฺขณานํ สุญฺญตธมฺมสฺส อนิจฺจาทิสตฺตานุปสฺสนานํ นิเทฺทสวาเร อาคตสนฺตาสนฺตาทิเภทานญฺจ วเสน อนุปสฺสิตพฺพาฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ กามเญฺจตฺถ ยสฺส กายสงฺขาเต โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ ปหีนํ, ตสฺส เวทนาทิโลเกสุปิ ตํ ปหีนเมวฯ นานาปุคฺคลวเสน ปน นานาจิตฺตกฺขณิกสติปฎฺฐานภาวนาวเสน จ สพฺพตฺถ วุตฺตํฯ ยโต วา เอกตฺถ ปหีนํ เสเสสุปิ ปหีนํ โหติฯ เตเนวสฺส ตตฺถ ปหานทสฺสนตฺถมฺปิ เอวํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพนฺติฯ
Sabbā eva cetā dukkhātipi anupassitabbā. Vuttañhetaṃ ‘‘yaṃkiñci vedayitaṃ, sabbaṃ taṃ dukkhasminti vadāmī’’ti (saṃ. ni. 4.259). Sukhadukkhatopi ca anupassitabbā. Yathāha ‘‘sukhā vedanā ṭhitisukhā vipariṇāmadukkhā’’ti (ma. ni. 1.464) sabbaṃ vitthāretabbaṃ. Apica aniccādisattānupassanāvasenapi anupassitabbā. Sesaṃ niddesavāreyeva pākaṭaṃ bhavissati. Cittadhammesupi cittaṃ tāva ārammaṇādhipatisahajātabhūmikammavipākakiriyādinānattabhedānaṃ aniccādisattānupassanānaṃ niddesavāre āgatasarāgādibhedānañca vasena anupassitabbaṃ. Dhammā salakkhaṇasāmaññalakkhaṇānaṃ suññatadhammassa aniccādisattānupassanānaṃ niddesavāre āgatasantāsantādibhedānañca vasena anupassitabbā. Sesaṃ vuttanayameva. Kāmañcettha yassa kāyasaṅkhāte loke abhijjhādomanassaṃ pahīnaṃ, tassa vedanādilokesupi taṃ pahīnameva. Nānāpuggalavasena pana nānācittakkhaṇikasatipaṭṭhānabhāvanāvasena ca sabbattha vuttaṃ. Yato vā ekattha pahīnaṃ sesesupi pahīnaṃ hoti. Tenevassa tattha pahānadassanatthampi evaṃ vuttanti veditabbanti.
อุเทฺทสวารกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Uddesavārakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
กายานุปสฺสนาอานาปานปพฺพวณฺณนา
Kāyānupassanāānāpānapabbavaṇṇanā
๑๐๗. อิทานิ เสยฺยถาปิ นาม เฉโก วิลีวการโก ถูลกิลญฺชสณฺหกิลญฺชจโงฺกฎกเปฬาปุฎาทีนิ อุปกรณานิ กตฺตุกาโม เอกํ มหาเวณุํ ลภิตฺวา จตุธา ภินฺทิตฺวา ตโต เอเกกํ เวณุขณฺฑํ คเหตฺวา ผาเลตฺวา ตํ ตํ อุปกรณํ กเรยฺย, เอวเมว ภควา สติปฎฺฐานเทสนาย สตฺตานํ อเนกปฺปการวิเสสาธิคมํ กตฺตุกาโม เอกเมว สมฺมาสติํ ‘‘จตฺตาโร สติปฎฺฐานาฯ กตเม จตฺตาโร? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ กาเย กายานุปสฺสี วิหรตี’’ติอาทินา นเยน อารมฺมณวเสน จตุธา ภินฺทิตฺวา ตโต เอเกกํ สติปฎฺฐานํ คเหตฺวา วิภชโนฺต ‘‘กถญฺจ ภิกฺขเว’’ติอาทินา นเยน นิเทฺทสวารํ วตฺตุมารโทฺธฯ
107. Idāni seyyathāpi nāma cheko vilīvakārako thūlakilañjasaṇhakilañjacaṅkoṭakapeḷāpuṭādīni upakaraṇāni kattukāmo ekaṃ mahāveṇuṃ labhitvā catudhā bhinditvā tato ekekaṃ veṇukhaṇḍaṃ gahetvā phāletvā taṃ taṃ upakaraṇaṃ kareyya, evameva bhagavā satipaṭṭhānadesanāya sattānaṃ anekappakāravisesādhigamaṃ kattukāmo ekameva sammāsatiṃ ‘‘cattāro satipaṭṭhānā. Katame cattāro? Idha, bhikkhave, bhikkhu kāye kāyānupassī viharatī’’tiādinā nayena ārammaṇavasena catudhā bhinditvā tato ekekaṃ satipaṭṭhānaṃ gahetvā vibhajanto ‘‘kathañca bhikkhave’’tiādinā nayena niddesavāraṃ vattumāraddho.
ตตฺถ กถญฺจาติอาทิ วิตฺถาเรตุกมฺยตา ปุจฺฉาฯ อยํ ปเนตฺถ สเงฺขปโตฺถ – ภิกฺขเว, เกน จ ปกาเรน ภิกฺขุ กาเย กายานุปสฺสี วิหรตีติ? เอส นโย สพฺพปุจฺฉาวาเรสุฯ อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขูติ, ภิกฺขเว, อิมสฺมิํ สาสเน ภิกฺขุฯ อยเญฺหตฺถ อิธ-สโทฺท สพฺพปฺปการกายานุปสฺสนานิพฺพตฺตกสฺส ปุคฺคลสฺส สนฺนิสฺสยภูตสาสนปริทีปโน อญฺญสาสนสฺส ตถาภาวปฎิเสธโน จฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘อิเธว, ภิกฺขเว, สมโณ…เป.… สุญฺญา ปรปฺปวาทา สมเณภิ อเญฺญหี’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๓๙)ฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อิมสฺมิํ สาสเน ภิกฺขู’’ติฯ
Tattha kathañcātiādi vitthāretukamyatā pucchā. Ayaṃ panettha saṅkhepattho – bhikkhave, kena ca pakārena bhikkhu kāye kāyānupassī viharatīti? Esa nayo sabbapucchāvāresu. Idha, bhikkhave, bhikkhūti, bhikkhave, imasmiṃ sāsane bhikkhu. Ayañhettha idha-saddo sabbappakārakāyānupassanānibbattakassa puggalassa sannissayabhūtasāsanaparidīpano aññasāsanassa tathābhāvapaṭisedhano ca. Vuttañhetaṃ ‘‘idheva, bhikkhave, samaṇo…pe… suññā parappavādā samaṇebhi aññehī’’ti (ma. ni. 1.139). Tena vuttaṃ ‘‘imasmiṃ sāsane bhikkhū’’ti.
‘‘อรญฺญคโต วา…เป.… สุญฺญาคารคโต วา’’ติ อิทมสฺส สติปฎฺฐานภาวนานุรูปเสนาสนปริคฺคหปริทีปนํฯ อิมสฺส หิ ภิกฺขุโน ทีฆรตฺตํ รูปาทีสุ อารมฺมเณสุ อนุวิสฎํ จิตฺตํ กมฺมฎฺฐานวีถิํ โอตริตุํ น อิจฺฉติ, กูฎโคณยุตฺตรโถ วิย อุปฺปถเมว ธาวติ, ตสฺมา เสยฺยถาปิ นาม โคโป กูฎเธนุยา สพฺพํ ขีรํ ปิวิตฺวา วฑฺฒิตํ กูฎวจฺฉํ ทเมตุกาโม เธนุโต อปเนตฺวา เอกมเนฺต มหนฺตํ ถมฺภํ นิขณิตฺวา ตตฺถ โยเตฺตน พเนฺธยฺยฯ อถสฺส โส วโจฺฉ อิโต จิโต จ วิปฺผนฺทิตฺวา ปลายิตุํ อสโกฺกโนฺต ตเมว ถมฺภํ อุปนิสีเทยฺย วา อุปนิปเชฺชยฺย วา, เอวเมว อิมินาปิ ภิกฺขุนา ทีฆรตฺตํ รูปารมฺมณาทิรสปานวฑฺฒิตํ ทุฎฺฐจิตฺตํ ทเมตุกาเมน รูปาทิอารมฺมณโต อปเนตฺวา อรญฺญํ วา รุกฺขมูลํ วา สุญฺญาคารํ วา ปเวเสตฺวา ตตฺถ สติปฎฺฐานารมฺมณตฺถเมฺภ สติโยเตฺตน พนฺธิตพฺพํฯ เอวมสฺส ตํ จิตฺตํ อิโต จิโต จ วิปฺผนฺทิตฺวาปิ ปุเพฺพ อาจิณฺณารมฺมณํ อลภมานํ สติโยตฺตํ ฉินฺทิตฺวา ปลายิตุํ อสโกฺกนฺตํ ตเมวารมฺมณํ อุปจารปฺปนาวเสน อุปนิสีทติ เจว อุปนิปชฺชติ จฯ เตนาหุ โปราณา –
‘‘Araññagato vā…pe… suññāgāragato vā’’ti idamassa satipaṭṭhānabhāvanānurūpasenāsanapariggahaparidīpanaṃ. Imassa hi bhikkhuno dīgharattaṃ rūpādīsu ārammaṇesu anuvisaṭaṃ cittaṃ kammaṭṭhānavīthiṃ otarituṃ na icchati, kūṭagoṇayuttaratho viya uppathameva dhāvati, tasmā seyyathāpi nāma gopo kūṭadhenuyā sabbaṃ khīraṃ pivitvā vaḍḍhitaṃ kūṭavacchaṃ dametukāmo dhenuto apanetvā ekamante mahantaṃ thambhaṃ nikhaṇitvā tattha yottena bandheyya. Athassa so vaccho ito cito ca vipphanditvā palāyituṃ asakkonto tameva thambhaṃ upanisīdeyya vā upanipajjeyya vā, evameva imināpi bhikkhunā dīgharattaṃ rūpārammaṇādirasapānavaḍḍhitaṃ duṭṭhacittaṃ dametukāmena rūpādiārammaṇato apanetvā araññaṃ vā rukkhamūlaṃ vā suññāgāraṃ vā pavesetvā tattha satipaṭṭhānārammaṇatthambhe satiyottena bandhitabbaṃ. Evamassa taṃ cittaṃ ito cito ca vipphanditvāpi pubbe āciṇṇārammaṇaṃ alabhamānaṃ satiyottaṃ chinditvā palāyituṃ asakkontaṃ tamevārammaṇaṃ upacārappanāvasena upanisīdati ceva upanipajjati ca. Tenāhu porāṇā –
‘‘ยถา ถเมฺภ นิพเนฺธยฺย, วจฺฉํ ทมํ นโร อิธ;
‘‘Yathā thambhe nibandheyya, vacchaṃ damaṃ naro idha;
พเนฺธเยฺยวํ สกํ จิตฺตํ, สติยารมฺมเณ ทฬฺห’’นฺติฯ
Bandheyyevaṃ sakaṃ cittaṃ, satiyārammaṇe daḷha’’nti.
เอวมสฺส ตํ เสนาสนํ ภาวนานุรูปํ โหติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อิทมสฺส สติปฎฺฐานภาวนานุรูปเสนาสนปริคฺคหปริทีปน’’นฺติฯ
Evamassa taṃ senāsanaṃ bhāvanānurūpaṃ hoti. Tena vuttaṃ ‘‘idamassa satipaṭṭhānabhāvanānurūpasenāsanapariggahaparidīpana’’nti.
อปิจ ยสฺมา อิทํ กายานุปสฺสนาย มุทฺธภูตํ สพฺพพุทฺธปเจฺจกพุทฺธพุทฺธสาวกานํ วิเสสาธิคมทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารปทฎฺฐานํ อานาปานสฺสติกมฺมฎฺฐานํ อิตฺถิปุริสหตฺถิอสฺสาทิสทฺทสมากุลํ คามนฺตํ อปริจฺจชิตฺวา น สุกรํ สมฺปาเทตุํ, สทฺทกณฺฎกตฺตา ฌานสฺสฯ อคามเก ปน อรเญฺญ สุกรํ โยคาวจเรน อิทํ กมฺมฎฺฐานํ ปริคฺคเหตฺวา อานาปานจตุตฺถชฺฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา ตเทว ฌานํ ปาทกํ กตฺวา สงฺขาเร สมฺมสิตฺวา อคฺคผลํ อรหตฺตํ ปาปุณิตุํฯ ตสฺมาสฺส อนุรูปเสนาสนํ ทเสฺสโนฺต ภควา ‘‘อรญฺญคโต วา’’ติอาทิมาหฯ
Apica yasmā idaṃ kāyānupassanāya muddhabhūtaṃ sabbabuddhapaccekabuddhabuddhasāvakānaṃ visesādhigamadiṭṭhadhammasukhavihārapadaṭṭhānaṃ ānāpānassatikammaṭṭhānaṃ itthipurisahatthiassādisaddasamākulaṃ gāmantaṃ apariccajitvā na sukaraṃ sampādetuṃ, saddakaṇṭakattā jhānassa. Agāmake pana araññe sukaraṃ yogāvacarena idaṃ kammaṭṭhānaṃ pariggahetvā ānāpānacatutthajjhānaṃ nibbattetvā tadeva jhānaṃ pādakaṃ katvā saṅkhāre sammasitvā aggaphalaṃ arahattaṃ pāpuṇituṃ. Tasmāssa anurūpasenāsanaṃ dassento bhagavā ‘‘araññagato vā’’tiādimāha.
วตฺถุวิชฺชาจริโย วิย หิ ภควาฯ โส ยถา วตฺถุวิชฺชาจริโย นครภูมิํ ปสฺสิตฺวา สุฎฺฐุ อุปปริกฺขิตฺวา ‘‘เอตฺถ นครํ มาเปถา’’ติ อุปทิสติ, โสตฺถินา จ นคเร นิฎฺฐิเต ราชกุลโต มหาสกฺการํ ลภติ, เอวเมว โยคาวจรสฺส อนุรูปํ เสนาสนํ อุปปริกฺขิตฺวา ‘‘เอตฺถ กมฺมฎฺฐานํ อนุยุญฺชิตพฺพ’’นฺติ อุปทิสติฯ ตโต ตตฺถ กมฺมฎฺฐานํ อนุยุญฺชเนฺตน โยคินา อนุกฺกเมน อรหเตฺต ปเตฺต ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ วต โส ภควา’’ติ มหนฺตํ สกฺการํ ลภติฯ
Vatthuvijjācariyo viya hi bhagavā. So yathā vatthuvijjācariyo nagarabhūmiṃ passitvā suṭṭhu upaparikkhitvā ‘‘ettha nagaraṃ māpethā’’ti upadisati, sotthinā ca nagare niṭṭhite rājakulato mahāsakkāraṃ labhati, evameva yogāvacarassa anurūpaṃ senāsanaṃ upaparikkhitvā ‘‘ettha kammaṭṭhānaṃ anuyuñjitabba’’nti upadisati. Tato tattha kammaṭṭhānaṃ anuyuñjantena yoginā anukkamena arahatte patte ‘‘sammāsambuddho vata so bhagavā’’ti mahantaṃ sakkāraṃ labhati.
อยํ ปน ภิกฺขุ ทีปิสทิโสติ วุจฺจติฯ ยถา หิ มหาทีปิราชา อรเญฺญ ติณคหนํ วา วนคหนํ วา ปพฺพตคหนํ วา นิสฺสาย นิลียิตฺวา วนมหิํสโคกณฺณสูกราทโย มิเค คณฺหาติ, เอวเมว อยํ อรญฺญาทีสุ กมฺมฎฺฐานํ อนุยุญฺชโนฺต ภิกฺขุ ยถากฺกเมน จตฺตาโร มเคฺค เจว จตฺตาริ อริยผลานิ จ คณฺหาติฯ เตนาหุ โปราณา –
Ayaṃ pana bhikkhu dīpisadisoti vuccati. Yathā hi mahādīpirājā araññe tiṇagahanaṃ vā vanagahanaṃ vā pabbatagahanaṃ vā nissāya nilīyitvā vanamahiṃsagokaṇṇasūkarādayo mige gaṇhāti, evameva ayaṃ araññādīsu kammaṭṭhānaṃ anuyuñjanto bhikkhu yathākkamena cattāro magge ceva cattāri ariyaphalāni ca gaṇhāti. Tenāhu porāṇā –
‘‘ยถาปิ ทีปิโก นาม, นิลียิตฺวา คณฺหตี มิเค;
‘‘Yathāpi dīpiko nāma, nilīyitvā gaṇhatī mige;
ตเถวายํ พุทฺธปุโตฺต, ยุตฺตโยโค วิปสฺสโก;
Tathevāyaṃ buddhaputto, yuttayogo vipassako;
อรญฺญํ ปวิสิตฺวาน, คณฺหาติ ผลมุตฺตม’’นฺติฯ
Araññaṃ pavisitvāna, gaṇhāti phalamuttama’’nti.
เตนสฺส ปรกฺกมชวโยคฺคภูมิํ อรญฺญเสนาสนํ ทเสฺสโนฺต ภควา ‘‘อรญฺญคโต วา’’ติอาทิมาหฯ อิโต ปรํ อิมสฺมิํ ตาว อานาปานปเพฺพ ยํ วตฺตพฺพํ สิยา, ตํ วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตเมวฯ
Tenassa parakkamajavayoggabhūmiṃ araññasenāsanaṃ dassento bhagavā ‘‘araññagato vā’’tiādimāha. Ito paraṃ imasmiṃ tāva ānāpānapabbe yaṃ vattabbaṃ siyā, taṃ visuddhimagge vuttameva.
ตสฺส ปน อิเมสํ ‘‘ทีฆํ วา อสฺสสโนฺต ทีฆํ อสฺสสามีติ ปชานาติ…เป.… ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขตี’’ติ เอวํ วุตฺตานํ อสฺสาสปสฺสาสานํ วเสน สิกฺขโต อสฺสาสปสฺสาสนิมิเตฺต จตฺตาริ ฌานานิ อุปฺปชฺชนฺติฯ โส ฌานา วุฎฺฐหิตฺวา อสฺสาสปสฺสาเส วา ปริคฺคณฺหาติ ฌานงฺคานิ วาฯ ตตฺถ อสฺสาสปสฺสาสกมฺมิโก ‘‘อิเม อสฺสาสปสฺสาสา กิํ นิสฺสิตา, วตฺถุํ นิสฺสิตา, วตฺถุ นาม กรชกาโย, กรชกาโย นาม จตฺตาริ มหาภูตานิ อุปาทารูปญฺจา’’ติ เอวํ รูปํ ปริคฺคณฺหาติ, ตโต ตทารมฺมเณ ผสฺสปญฺจมเก นามนฺติ เอวํ นามรูปํ ปริคฺคเหตฺวา ตสฺส ปจฺจยํ ปริเยสโนฺต อวิชฺชาทิปฎิจฺจสมุปฺปาทํ ทิสฺวา ‘‘ปจฺจยปจฺจยุปฺปนฺนธมฺมมตฺตเมเวตํ, อโญฺญ สโตฺต วา ปุคฺคโล วา นตฺถี’’ติ วิติณฺณกโงฺข สปฺปจฺจยนามรูเป ติลกฺขณํ อาโรเปตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒโนฺต อนุกฺกเมน อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ อิทํ เอกสฺส ภิกฺขุโน ยาว อรหตฺตา นิยฺยานมุขํฯ
Tassa pana imesaṃ ‘‘dīghaṃ vā assasanto dīghaṃ assasāmīti pajānāti…pe… passambhayaṃ kāyasaṅkhāraṃ passasissāmīti sikkhatī’’ti evaṃ vuttānaṃ assāsapassāsānaṃ vasena sikkhato assāsapassāsanimitte cattāri jhānāni uppajjanti. So jhānā vuṭṭhahitvā assāsapassāse vā pariggaṇhāti jhānaṅgāni vā. Tattha assāsapassāsakammiko ‘‘ime assāsapassāsā kiṃ nissitā, vatthuṃ nissitā, vatthu nāma karajakāyo, karajakāyo nāma cattāri mahābhūtāni upādārūpañcā’’ti evaṃ rūpaṃ pariggaṇhāti, tato tadārammaṇe phassapañcamake nāmanti evaṃ nāmarūpaṃ pariggahetvā tassa paccayaṃ pariyesanto avijjādipaṭiccasamuppādaṃ disvā ‘‘paccayapaccayuppannadhammamattamevetaṃ, añño satto vā puggalo vā natthī’’ti vitiṇṇakaṅkho sappaccayanāmarūpe tilakkhaṇaṃ āropetvā vipassanaṃ vaḍḍhento anukkamena arahattaṃ pāpuṇāti. Idaṃ ekassa bhikkhuno yāva arahattā niyyānamukhaṃ.
ฌานกมฺมิโกปิ ‘‘อิมานิ ฌานงฺคานิ กิํ นิสฺสิตานิ, วตฺถุํ นิสฺสิตานิฯ วตฺถุ นาม กรชกาโยติ ฌานงฺคานิ นามํ, กรชกาโย รูป’’นฺติ นามรูปํ ววตฺถเปตฺวา ตสฺส ปจฺจยํ ปริเยสโนฺต อวิชฺชาทิปจฺจยาการํ ทิสฺวา ‘‘ปจฺจยปจฺจยุปฺปนฺนธมฺมมตฺตเมเวตํ, อโญฺญ สโตฺต วา ปุคฺคโล วา นตฺถี’’ติ วิติณฺณกโงฺข สปฺปจฺจยนามรูเป ติลกฺขณํ อาโรเปตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒโนฺต อนุกฺกเมน อรหตฺตํ ปาปุณาติ, อิทํ เอกสฺส ภิกฺขุโน ยาว อรหตฺตา นิยฺยานมุขํฯ
Jhānakammikopi ‘‘imāni jhānaṅgāni kiṃ nissitāni, vatthuṃ nissitāni. Vatthu nāma karajakāyoti jhānaṅgāni nāmaṃ, karajakāyo rūpa’’nti nāmarūpaṃ vavatthapetvā tassa paccayaṃ pariyesanto avijjādipaccayākāraṃ disvā ‘‘paccayapaccayuppannadhammamattamevetaṃ, añño satto vā puggalo vā natthī’’ti vitiṇṇakaṅkho sappaccayanāmarūpe tilakkhaṇaṃ āropetvā vipassanaṃ vaḍḍhento anukkamena arahattaṃ pāpuṇāti, idaṃ ekassa bhikkhuno yāva arahattā niyyānamukhaṃ.
อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ อตฺตโน วา อสฺสาสปสฺสาสกาเย กายานุปสฺสี วิหรติฯ พหิทฺธา วาติ ปรสฺส วา อสฺสาสปสฺสาสกาเยฯ อชฺฌตฺตพหิทฺธา วาติ กาเลน อตฺตโน, กาเลน ปรสฺส อสฺสาสปสฺสาสกาเยฯ เอเตนสฺส ปคุณกมฺมฎฺฐานํ อฎฺฐเปตฺวา อปราปรํ สญฺจรณกาโล กถิโตฯ เอกสฺมิํ กาเล ปนิทํ อุภยํ น ลพฺภติฯ
Iti ajjhattaṃ vāti evaṃ attano vā assāsapassāsakāye kāyānupassī viharati. Bahiddhā vāti parassa vā assāsapassāsakāye. Ajjhattabahiddhā vāti kālena attano, kālena parassa assāsapassāsakāye. Etenassa paguṇakammaṭṭhānaṃ aṭṭhapetvā aparāparaṃ sañcaraṇakālo kathito. Ekasmiṃ kāle panidaṃ ubhayaṃ na labbhati.
สมุทยธมฺมานุปสฺสี วาติ ยถา นาม กมฺมารภสฺตญฺจ คคฺครนาฬิญฺจ ตชฺชญฺจ วายามํ ปฎิจฺจ วาโต อปราปรํ สญฺจรติ, เอวํ ภิกฺขุโน กรชกายญฺจ นาสาปุฎญฺจ จิตฺตญฺจ ปฎิจฺจ อสฺสาสปสฺสาสกาโย อปราปรํ สญฺจรติฯ กายาทโย ธมฺมา สมุทยธมฺมา, เต ปสฺสโนฺต ‘‘สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา กายสฺมิํ วิหรตี’’ติ วุจฺจติฯ วยธมฺมานุปสฺสี วาติ ยถา ภสฺตาย อปนีตาย คคฺครนาฬิยา ภินฺนาย ตเชฺช จ วายาเม อสติ โส วาโต นปฺปวตฺตติ , เอวเมว กาเย ภิเนฺน นาสาปุเฎ วิทฺธเสฺต จิเตฺต จ นิรุเทฺธ อสฺสาสปสฺสาสกาโย นาม นปฺปวตฺตตีติ กายาทินิโรธา อสฺสาสปสฺสาสนิโรโธติ เอวํ ปสฺสโนฺต ‘‘วยธมฺมานุปสฺสี วา กายสฺมิํ วิหรตี’’ติ วุจฺจติฯ สมุทยวยธมฺมานุปสฺสี วาติ กาเลน สมุทยํ, กาเลน วยํ อนุปสฺสโนฺตฯ อตฺถิ กาโยติ วา ปนสฺสาติ กาโยว อตฺถิ, น สโตฺต, น ปุคฺคโล, น อิตฺถี, น ปุริโส, น อตฺตา, น อตฺตนิยํ, นาหํ, น มม, น โกจิ, น กสฺสจีติ เอวมสฺส สติ ปจฺจุปฎฺฐิตา โหติฯ
Samudayadhammānupassī vāti yathā nāma kammārabhastañca gaggaranāḷiñca tajjañca vāyāmaṃ paṭicca vāto aparāparaṃ sañcarati, evaṃ bhikkhuno karajakāyañca nāsāpuṭañca cittañca paṭicca assāsapassāsakāyo aparāparaṃ sañcarati. Kāyādayo dhammā samudayadhammā, te passanto ‘‘samudayadhammānupassī vā kāyasmiṃ viharatī’’ti vuccati. Vayadhammānupassī vāti yathā bhastāya apanītāya gaggaranāḷiyā bhinnāya tajje ca vāyāme asati so vāto nappavattati , evameva kāye bhinne nāsāpuṭe viddhaste citte ca niruddhe assāsapassāsakāyo nāma nappavattatīti kāyādinirodhā assāsapassāsanirodhoti evaṃ passanto ‘‘vayadhammānupassī vā kāyasmiṃ viharatī’’ti vuccati. Samudayavayadhammānupassī vāti kālena samudayaṃ, kālena vayaṃ anupassanto. Atthi kāyoti vā panassāti kāyova atthi, na satto, na puggalo, na itthī, na puriso, na attā, na attaniyaṃ, nāhaṃ, na mama, na koci, na kassacīti evamassa sati paccupaṭṭhitā hoti.
ยาวเทวาติ ปโยชนปริเจฺฉทววตฺถาปนเมตํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยา สติ ปจฺจุปฎฺฐิตา โหติ, สา น อญฺญตฺถายฯ อถ โข ยาวเทว ญาณมตฺตาย อปราปรํ อุตฺตรุตฺตริ ญาณปมาณตฺถาย เจว สติปมาณตฺถาย จ, สติสมฺปชญฺญานํ วุฑฺฒตฺถายาติ อโตฺถฯ อนิสฺสิโต จ วิหรตีติ ตณฺหานิสฺสยทิฎฺฐินิสฺสยานํ วเสน อนิสฺสิโต วิหรติฯ น จ กิญฺจิ โลเก อุปาทิยตีติ โลกสฺมิํ กิญฺจิ รูปํ วา…เป.… วิญฺญาณํ วา ‘‘อยํ เม อตฺตา วา อตฺตนิยํ วา’’ติ น คณฺหาติฯ เอวมฺปีติ อุปริอตฺถํ อุปาทาย สมฺปิณฺฑนโตฺถ ปิกาโรฯ อิมินา ปน ปเทน ภควา อานาปานปพฺพเทสนํ นิยฺยาเตตฺวา ทเสฺสติฯ
Yāvadevāti payojanaparicchedavavatthāpanametaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – yā sati paccupaṭṭhitā hoti, sā na aññatthāya. Atha kho yāvadeva ñāṇamattāya aparāparaṃ uttaruttari ñāṇapamāṇatthāya ceva satipamāṇatthāya ca, satisampajaññānaṃ vuḍḍhatthāyāti attho. Anissito ca viharatīti taṇhānissayadiṭṭhinissayānaṃ vasena anissito viharati. Na ca kiñci loke upādiyatīti lokasmiṃ kiñci rūpaṃ vā…pe… viññāṇaṃ vā ‘‘ayaṃ me attā vā attaniyaṃ vā’’ti na gaṇhāti. Evampīti upariatthaṃ upādāya sampiṇḍanattho pikāro. Iminā pana padena bhagavā ānāpānapabbadesanaṃ niyyātetvā dasseti.
ตตฺถ อสฺสาสปสฺสาสปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจํ, ตสฺสา สมุฎฺฐาปิกา ปุริมตณฺหา สมุทยสจฺจํ, อุภินฺนํ อปฺปวตฺติ นิโรธสจฺจํ, ทุกฺขปริชานโน สมุทยปชหโน นิโรธารมฺมโณ อริยมโคฺค มคฺคสจฺจํฯ เอวํ จตุสจฺจวเสน อุสฺสกฺกิตฺวา นิพฺพุติํ ปาปุณาตีติ อิทเมกสฺส อสฺสาสปสฺสาสวเสน อภินิวิฎฺฐสฺส ภิกฺขุโน ยาว อรหตฺตา นิยฺยานมุขนฺติฯ
Tattha assāsapassāsapariggāhikā sati dukkhasaccaṃ, tassā samuṭṭhāpikā purimataṇhā samudayasaccaṃ, ubhinnaṃ appavatti nirodhasaccaṃ, dukkhaparijānano samudayapajahano nirodhārammaṇo ariyamaggo maggasaccaṃ. Evaṃ catusaccavasena ussakkitvā nibbutiṃ pāpuṇātīti idamekassa assāsapassāsavasena abhiniviṭṭhassa bhikkhuno yāva arahattā niyyānamukhanti.
อานาปานปพฺพวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Ānāpānapabbavaṇṇanā niṭṭhitā.
อิริยาปถปพฺพวณฺณนา
Iriyāpathapabbavaṇṇanā
๑๐๘. เอวํ อสฺสาสปสฺสาสวเสน กายานุปสฺสนํ วิภชิตฺวา อิทานิ อิริยาปถวเสน วิภชิตุํ ปุน จปรนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ กามํ โสณสิงฺคาลาทโยปิ คจฺฉนฺตา ‘‘คจฺฉามา’’ติ ชานนฺติฯ น ปเนตํ เอวรูปํ ชานนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ เอวรูปญฺหิ ชานนํ สตฺตูปลทฺธิํ น ปชหติ , อตฺตสญฺญํ น อุคฺฆาเฎติ , กมฺมฎฺฐานํ วา สติปฎฺฐานภาวนา วา น โหติฯ อิมสฺส ปน ภิกฺขุโน ชานนํ สตฺตูปลทฺธิํ ปชหติ, อตฺตสญฺญํ อุคฺฆาเฎติ, กมฺมฎฺฐานเญฺจว สติปฎฺฐานภาวนา จ โหติฯ อิทญฺหิ ‘‘โก คจฺฉติ, กสฺส คมนํ, กิํ การณา คจฺฉตี’’ติ เอวํ สมฺปชานนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ฐานาทีสุปิ เอเสว นโยฯ
108. Evaṃ assāsapassāsavasena kāyānupassanaṃ vibhajitvā idāni iriyāpathavasena vibhajituṃ puna caparantiādimāha. Tattha kāmaṃ soṇasiṅgālādayopi gacchantā ‘‘gacchāmā’’ti jānanti. Na panetaṃ evarūpaṃ jānanaṃ sandhāya vuttaṃ. Evarūpañhi jānanaṃ sattūpaladdhiṃ na pajahati , attasaññaṃ na ugghāṭeti , kammaṭṭhānaṃ vā satipaṭṭhānabhāvanā vā na hoti. Imassa pana bhikkhuno jānanaṃ sattūpaladdhiṃ pajahati, attasaññaṃ ugghāṭeti, kammaṭṭhānañceva satipaṭṭhānabhāvanā ca hoti. Idañhi ‘‘ko gacchati, kassa gamanaṃ, kiṃ kāraṇā gacchatī’’ti evaṃ sampajānanaṃ sandhāya vuttaṃ. Ṭhānādīsupi eseva nayo.
ตตฺถ โก คจฺฉตีติ น โกจิ สโตฺต วา ปุคฺคโล วา คจฺฉติฯ กสฺส คมนนฺติ น กสฺสจิ สตฺตสฺส วา ปุคฺคลสฺส วา คมนํฯ กิํ การณา คจฺฉตีติ จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรน คจฺฉติฯ ตสฺมา เอส เอวํ ปชานาติ ‘‘คจฺฉามี’’ติ จิตฺตํ อุปฺปชฺชติ, ตํ วายํ ชเนติ, วาโย วิญฺญตฺติํ ชเนติ, จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรน สกลกายสฺส ปุรโต อภินีหาโร คมนนฺติ วุจฺจติฯ ฐานาทีสุปิ เอเสว นโยฯ
Tattha ko gacchatīti na koci satto vā puggalo vā gacchati. Kassa gamananti na kassaci sattassa vā puggalassa vā gamanaṃ. Kiṃ kāraṇā gacchatīti cittakiriyavāyodhātuvipphārena gacchati. Tasmā esa evaṃ pajānāti ‘‘gacchāmī’’ti cittaṃ uppajjati, taṃ vāyaṃ janeti, vāyo viññattiṃ janeti, cittakiriyavāyodhātuvipphārena sakalakāyassa purato abhinīhāro gamananti vuccati. Ṭhānādīsupi eseva nayo.
ตตฺราปิ หิ ‘‘ติฎฺฐามี’’ติ จิตฺตํ อุปฺปชฺชติ, ตํ วายํ ชเนติ, วาโย วิญฺญตฺติํ ชเนติ, จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรน สกลกายสฺส โกฎิโต ปฎฺฐาย อุสฺสิตภาโว ฐานนฺติ วุจฺจติฯ ‘‘นิสีทามี’’ติ จิตฺตํ อุปฺปชฺชติ, ตํ วายํ ชเนติ, วาโย วิญฺญตฺติํ ชเนติ, จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรน เหฎฺฐิมกายสฺส สมิญฺชนํ อุปริมกายสฺส อุสฺสิตภาโว นิสชฺชาติ วุจฺจติฯ ‘‘สยามี’’ติ จิตฺตํ อุปฺปชฺชติ, ตํ วายํ ชเนติ, วาโย วิญฺญตฺติํ ชเนติ, จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรน สกลสรีรสฺส ติริยโต ปสารณํ สยนนฺติ วุจฺจตีติฯ
Tatrāpi hi ‘‘tiṭṭhāmī’’ti cittaṃ uppajjati, taṃ vāyaṃ janeti, vāyo viññattiṃ janeti, cittakiriyavāyodhātuvipphārena sakalakāyassa koṭito paṭṭhāya ussitabhāvo ṭhānanti vuccati. ‘‘Nisīdāmī’’ti cittaṃ uppajjati, taṃ vāyaṃ janeti, vāyo viññattiṃ janeti, cittakiriyavāyodhātuvipphārena heṭṭhimakāyassa samiñjanaṃ uparimakāyassa ussitabhāvo nisajjāti vuccati. ‘‘Sayāmī’’ti cittaṃ uppajjati, taṃ vāyaṃ janeti, vāyo viññattiṃ janeti, cittakiriyavāyodhātuvipphārena sakalasarīrassa tiriyato pasāraṇaṃ sayananti vuccatīti.
ตสฺส เอวํ ปชานโต เอวํ โหติ ‘‘สโตฺต คจฺฉติ สโตฺต ติฎฺฐตี’’ติ วุจฺจติฯ อตฺถิ ปน โกจิ สโตฺต คจฺฉโนฺต วา ฐิโต วา นตฺถิฯ ยถา ปน ‘‘สกฎํ คจฺฉติ สกฎํ ติฎฺฐตี’’ติ วุจฺจติ, น จ กิญฺจิ สกฎํ นาม คจฺฉนฺตํ วา ติฎฺฐนฺตํ วา อตฺถิฯ จตฺตาโร ปน โคเณ โยเชตฺวา เฉกมฺหิ สารถิมฺหิ ปาเชเนฺต ‘‘สกฎํ คจฺฉติ สกฎํ ติฎฺฐตี’’ติ โวหารมตฺตเมว โหติ, เอวเมว อชานนเฎฺฐน สกฎํ วิย กาโยฯ โคณา วิย จิตฺตชวาตาฯ สารถิ วิย จิตฺตํฯ คจฺฉามิ ติฎฺฐามีติ จิเตฺต อุปฺปเนฺน วาโยธาตุ วิญฺญตฺติํ ชนยมานา อุปฺปชฺชติ, จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรน คมนาทีนิ ปวตฺตนฺติฯ ตโต ‘‘สโตฺต คจฺฉติ, สโตฺต ติฎฺฐติ, อหํ คจฺฉามิ, อหํ ติฎฺฐามี’’ติ โวหารมตฺตํ โหตีติฯ เตนาห –
Tassa evaṃ pajānato evaṃ hoti ‘‘satto gacchati satto tiṭṭhatī’’ti vuccati. Atthi pana koci satto gacchanto vā ṭhito vā natthi. Yathā pana ‘‘sakaṭaṃ gacchati sakaṭaṃ tiṭṭhatī’’ti vuccati, na ca kiñci sakaṭaṃ nāma gacchantaṃ vā tiṭṭhantaṃ vā atthi. Cattāro pana goṇe yojetvā chekamhi sārathimhi pājente ‘‘sakaṭaṃ gacchati sakaṭaṃ tiṭṭhatī’’ti vohāramattameva hoti, evameva ajānanaṭṭhena sakaṭaṃ viya kāyo. Goṇā viya cittajavātā. Sārathi viya cittaṃ. Gacchāmi tiṭṭhāmīti citte uppanne vāyodhātu viññattiṃ janayamānā uppajjati, cittakiriyavāyodhātuvipphārena gamanādīni pavattanti. Tato ‘‘satto gacchati, satto tiṭṭhati, ahaṃ gacchāmi, ahaṃ tiṭṭhāmī’’ti vohāramattaṃ hotīti. Tenāha –
‘‘นาวา มาลุตเวเคน, ชิยาเวเคน เตชนํ;
‘‘Nāvā mālutavegena, jiyāvegena tejanaṃ;
ยถา ยาติ ตถา กาโย, ยาติ วาตาหโต อยํฯ
Yathā yāti tathā kāyo, yāti vātāhato ayaṃ.
ยนฺตํ สุตฺตวเสเนว, จิตฺตสุตฺตวเสนิทํ;
Yantaṃ suttavaseneva, cittasuttavasenidaṃ;
ปยุตฺตํ กายยนฺตมฺปิ, ยาติ ฐาติ นิสีทติฯ
Payuttaṃ kāyayantampi, yāti ṭhāti nisīdati.
โก นาม เอตฺถ โส สโตฺต, โย วินา เหตุปจฺจเย;
Ko nāma ettha so satto, yo vinā hetupaccaye;
อตฺตโน อานุภาเวน, ติเฎฺฐ วา ยทิ วา วเช’’ติฯ
Attano ānubhāvena, tiṭṭhe vā yadi vā vaje’’ti.
ตสฺมา เอวํ เหตุปจฺจยวเสเนว ปวตฺตานิ คมนาทีนิ สลฺลเกฺขโนฺต เอส คจฺฉโนฺต วา คจฺฉามีติ ปชานาติ, ฐิโต วา, นิสิโนฺน วา, สยาโน วา สยาโนมฺหีติ ปชานาตีติ เวทิตโพฺพฯ
Tasmā evaṃ hetupaccayavaseneva pavattāni gamanādīni sallakkhento esa gacchanto vā gacchāmīti pajānāti, ṭhito vā, nisinno vā, sayāno vā sayānomhīti pajānātīti veditabbo.
ยถา ยถา วา ปนสฺส กาโย ปณิหิโต โหติ, ตถา ตถา นํ ปชานาตีติ สพฺพสงฺคาหิกวจนเมตํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – เยน เยน วา อากาเรน ตสฺส กาโย ฐิโต โหติ, เตน เตน นํ ปชานาติฯ คมนากาเรน ฐิตํ คจฺฉตีติ ปชานาติฯ ฐานนิสชฺชาสยนากาเรน ฐิตํ สยาโนติ ปชานาตีติฯ
Yathā yathā vā panassa kāyo paṇihito hoti, tathā tathā naṃ pajānātīti sabbasaṅgāhikavacanametaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – yena yena vā ākārena tassa kāyo ṭhito hoti, tena tena naṃ pajānāti. Gamanākārena ṭhitaṃ gacchatīti pajānāti. Ṭhānanisajjāsayanākārena ṭhitaṃ sayānoti pajānātīti.
อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ อตฺตโน วา จตุอิริยาปถปริคฺคณฺหเนน กาเย กายานุปสฺสี วิหรติฯ พหิทฺธา วาติ ปรสฺส วา จตุอิริยาปถปริคฺคณฺหเนนฯ อชฺฌตฺตพหิทฺธา วาติ กาเลน อตฺตโน, กาเลน ปรสฺส จตุอิริยาปถปริคฺคณฺหเนน กาเย กายานุปสฺสี วิหรติฯ สมุทยธมฺมานุปสฺสี วาติอาทีสุ ปน ‘‘อวิชฺชาสมุทยา รูปสมุทโย’’ติอาทินา (ปฎิ. ม. ๑.๔๙) นเยน ปญฺจหากาเรหิ รูปกฺขนฺธสฺส สมุทโย จ วโย จ นีหริตโพฺพฯ ตญฺหิ สนฺธาย อิธ ‘‘สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อตฺถิ กาโยติ วา ปนสฺสาติอาทิ วุตฺตสทิสเมวฯ
Iti ajjhattaṃ vāti evaṃ attano vā catuiriyāpathapariggaṇhanena kāye kāyānupassī viharati. Bahiddhā vāti parassa vā catuiriyāpathapariggaṇhanena. Ajjhattabahiddhā vāti kālena attano, kālena parassa catuiriyāpathapariggaṇhanena kāye kāyānupassī viharati. Samudayadhammānupassī vātiādīsu pana ‘‘avijjāsamudayā rūpasamudayo’’tiādinā (paṭi. ma. 1.49) nayena pañcahākārehi rūpakkhandhassa samudayo ca vayo ca nīharitabbo. Tañhi sandhāya idha ‘‘samudayadhammānupassī vā’’tiādi vuttaṃ. Atthi kāyoti vā panassātiādi vuttasadisameva.
อิธ ปน จตุอิริยาปถปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจํ, ตสฺสา สมุฎฺฐาปิกา ปุริมตณฺหา สมุทยสจฺจํ , อุภินฺนํ อปฺปวตฺติ นิโรธสจฺจํ, ทุกฺขปริชานโน สมุทยปชหโน นิโรธารมฺมโณ อริยมโคฺค มคฺคสจฺจํฯ เอวํ จตุสจฺจวเสน อุสฺสกฺกิตฺวา นิพฺพุติํ ปาปุณาตีติ อิทเมกสฺส จตูอิริยาปถปริคฺคาหกสฺส ภิกฺขุโน ยาว อรหตฺตา นิยฺยานมุขนฺติฯ
Idha pana catuiriyāpathapariggāhikā sati dukkhasaccaṃ, tassā samuṭṭhāpikā purimataṇhā samudayasaccaṃ , ubhinnaṃ appavatti nirodhasaccaṃ, dukkhaparijānano samudayapajahano nirodhārammaṇo ariyamaggo maggasaccaṃ. Evaṃ catusaccavasena ussakkitvā nibbutiṃ pāpuṇātīti idamekassa catūiriyāpathapariggāhakassa bhikkhuno yāva arahattā niyyānamukhanti.
อิริยาปถปพฺพวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Iriyāpathapabbavaṇṇanā niṭṭhitā.
จตุสมฺปชญฺญปพฺพวณฺณนา
Catusampajaññapabbavaṇṇanā
๑๐๙. เอวํ อิริยาปถวเสน กายานุปสฺสนํ วิภชิตฺวา อิทานิ จตุสมฺปชญฺญวเสน วิภชิตุํ ปุน จปรนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ อภิกฺกเนฺต ปฎิกฺกเนฺตติ เอตฺถ ตาว อภิกฺกนฺตํ วุจฺจติ คมนํฯ ปฎิกฺกนฺตํ นิวตฺตนํฯ ตทุภยมฺปิ จตูสุ อิริยาปเถสุ ลพฺภติฯ คมเน ตาว ปุรโต กายํ อภิหรโนฺต อภิกฺกมติ นามฯ ปฎินิวเตฺตโนฺต ปฎิกฺกมติ นามฯ ฐาเนปิ ฐิตโกว กายํ ปุรโต โอนาเมโนฺต อภิกฺกมติ นามฯ ปจฺฉโต อปนาเมโนฺต ปฎิกฺกมติ นามฯ นิสชฺชายปิ นิสินฺนโกว อาสนสฺส ปุริมองฺคาภิมุโข สํสรโนฺต อภิกฺกมติ นามฯ ปจฺฉิมองฺคปฺปเทสํ ปจฺฉา สํสรโนฺต ปฎิกฺกมติ นามฯ นิปชฺชายปิ เอเสว นโยฯ
109. Evaṃ iriyāpathavasena kāyānupassanaṃ vibhajitvā idāni catusampajaññavasena vibhajituṃ puna caparantiādimāha. Tattha abhikkante paṭikkanteti ettha tāva abhikkantaṃ vuccati gamanaṃ. Paṭikkantaṃ nivattanaṃ. Tadubhayampi catūsu iriyāpathesu labbhati. Gamane tāva purato kāyaṃ abhiharanto abhikkamati nāma. Paṭinivattento paṭikkamati nāma. Ṭhānepi ṭhitakova kāyaṃ purato onāmento abhikkamati nāma. Pacchato apanāmento paṭikkamati nāma. Nisajjāyapi nisinnakova āsanassa purimaaṅgābhimukho saṃsaranto abhikkamati nāma. Pacchimaaṅgappadesaṃ pacchā saṃsaranto paṭikkamati nāma. Nipajjāyapi eseva nayo.
สมฺปชานการี โหตีติ สมฺปชเญฺญน สพฺพกิจฺจการี, สมฺปชญฺญเมว วา การีฯ โส หิ อภิกฺกนฺตาทีสุ สมฺปชญฺญํ กโรเตว, น กตฺถจิ สมฺปชญฺญวิรหิโต โหติฯ ตตฺถ สาตฺถกสมฺปชญฺญํ สปฺปายสมฺปชญฺญํ โคจรสมฺปชญฺญํ อสโมฺมหสมฺปชญฺญนฺติ จตุพฺพิธํ สมฺปชญฺญํฯ ตตฺถ อภิกฺกมนจิเตฺต อุปฺปเนฺน จิตฺตวเสเนว อคนฺตฺวา ‘‘กิํ นุ เม เอตฺถ คเตน อโตฺถ อตฺถิ นตฺถี’’ติ อตฺถานตฺถํ ปริคฺคณฺหิตฺวา อตฺถปริคฺคหณํ สาตฺถกสมฺปชญฺญํฯ ตตฺถ จ อโตฺถติ เจติยทสฺสนโพธิทสฺสนสงฺฆทสฺสนเถรทสฺสนอสุภทสฺสนาทิวเสน ธมฺมโต วฑฺฒิฯ เจติยํ วา โพธิํ วา ทิสฺวาปิ หิ พุทฺธารมฺมณํ สงฺฆทสฺสเนน สงฺฆารมฺมณํ ปีติํ อุปฺปาเทตฺวา ตเทว ขยวยโต สมฺมสโนฺต อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ เถเร ทิสฺวา เตสํ โอวาเท ปติฎฺฐาย อสุภํ ทิสฺวา ตตฺถ ปฐมชฺฌานํ อุปฺปาเทตฺวา ตเทว ขยวยโต สมฺมสโนฺต อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ ตสฺมา เอเตสํ ทสฺสนํ สาตฺถกํฯ เกจิ ปน ‘‘อามิสโตปิ วฑฺฒิ อโตฺถเยว, ตํ นิสฺสาย พฺรหฺมจริยานุคฺคหาย ปฎิปนฺนตฺตา’’ติ วทนฺติฯ
Sampajānakārī hotīti sampajaññena sabbakiccakārī, sampajaññameva vā kārī. So hi abhikkantādīsu sampajaññaṃ karoteva, na katthaci sampajaññavirahito hoti. Tattha sātthakasampajaññaṃ sappāyasampajaññaṃ gocarasampajaññaṃ asammohasampajaññanti catubbidhaṃ sampajaññaṃ. Tattha abhikkamanacitte uppanne cittavaseneva agantvā ‘‘kiṃ nu me ettha gatena attho atthi natthī’’ti atthānatthaṃ pariggaṇhitvā atthapariggahaṇaṃ sātthakasampajaññaṃ. Tattha ca atthoti cetiyadassanabodhidassanasaṅghadassanatheradassanaasubhadassanādivasena dhammato vaḍḍhi. Cetiyaṃ vā bodhiṃ vā disvāpi hi buddhārammaṇaṃ saṅghadassanena saṅghārammaṇaṃ pītiṃ uppādetvā tadeva khayavayato sammasanto arahattaṃ pāpuṇāti. There disvā tesaṃ ovāde patiṭṭhāya asubhaṃ disvā tattha paṭhamajjhānaṃ uppādetvā tadeva khayavayato sammasanto arahattaṃ pāpuṇāti. Tasmā etesaṃ dassanaṃ sātthakaṃ. Keci pana ‘‘āmisatopi vaḍḍhi atthoyeva, taṃ nissāya brahmacariyānuggahāya paṭipannattā’’ti vadanti.
ตสฺมิํ ปน คมเน สปฺปายาสปฺปายํ ปริคฺคณฺหิตฺวา สปฺปายปริคฺคหณํ สปฺปายสมฺปชญฺญํฯ เสยฺยถิทํ, เจติยทสฺสนํ ตาว สาตฺถกํฯ สเจ ปน เจติยสฺส มหาปูชาย ทสทฺวาทสโยชนนฺตเร ปริสา สนฺนิปตนฺติฯ อตฺตโน วิภวานุรูปํ อิตฺถิโยปิ ปุริสาปิ อลงฺกตปฺปฎิยตฺตา จิตฺตกมฺมรูปกานิ วิย สญฺจรนฺติฯ ตตฺร จสฺส อิเฎฺฐ อารมฺมเณ โลโภ, อนิเฎฺฐ ปฎิโฆ, อสมเปกฺขเน โมโห อุปฺปชฺชติ, กายสํสคฺคาปตฺติํ วา อาปชฺชติ, ชีวิตพฺรหฺมจริยานํ วา อนฺตราโย โหติ, เอวํ ตํ ฐานํ อสปฺปายํ โหติฯ วุตฺตปฺปการอนฺตรายาภาเว สปฺปายํฯ โพธิทสฺสเนปิ เอเสว นโยฯ สงฺฆทสฺสนมฺปิ สาตฺถํฯ สเจ ปน อโนฺตคาเม มหามณฺฑปํ กาเรตฺวา สพฺพรตฺติํ ธมฺมสฺสวนํ กาเรเนฺตสุ มนุเสฺสสุ วุตฺตปฺปกาเรเนว ชนสนฺนิปาโต เจว อนฺตราโย จ โหติ, เอวํ ตํ ฐานํ อสปฺปายํฯ อนฺตรายาภาเว สปฺปายํฯ มหาปริสปริวารานํ เถรานํ ทสฺสเนปิ เอเสว นโยฯ
Tasmiṃ pana gamane sappāyāsappāyaṃ pariggaṇhitvā sappāyapariggahaṇaṃ sappāyasampajaññaṃ. Seyyathidaṃ, cetiyadassanaṃ tāva sātthakaṃ. Sace pana cetiyassa mahāpūjāya dasadvādasayojanantare parisā sannipatanti. Attano vibhavānurūpaṃ itthiyopi purisāpi alaṅkatappaṭiyattā cittakammarūpakāni viya sañcaranti. Tatra cassa iṭṭhe ārammaṇe lobho, aniṭṭhe paṭigho, asamapekkhane moho uppajjati, kāyasaṃsaggāpattiṃ vā āpajjati, jīvitabrahmacariyānaṃ vā antarāyo hoti, evaṃ taṃ ṭhānaṃ asappāyaṃ hoti. Vuttappakāraantarāyābhāve sappāyaṃ. Bodhidassanepi eseva nayo. Saṅghadassanampi sātthaṃ. Sace pana antogāme mahāmaṇḍapaṃ kāretvā sabbarattiṃ dhammassavanaṃ kārentesu manussesu vuttappakāreneva janasannipāto ceva antarāyo ca hoti, evaṃ taṃ ṭhānaṃ asappāyaṃ. Antarāyābhāve sappāyaṃ. Mahāparisaparivārānaṃ therānaṃ dassanepi eseva nayo.
อสุภทสฺสนมฺปิ สาตฺถํฯ ตทตฺถทีปนตฺถญฺจ อิทํ วตฺถุ – เอโก กิร ทหรภิกฺขุ สามเณรํ คเหตฺวา ทนฺตกฎฺฐตฺถาย คโตฯ สามเณโร มคฺคา โอกฺกมิตฺวา ปุรโต คจฺฉโนฺต อสุภํ ทิสฺวา ปฐมชฺฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา ตเทว ปาทกํ กตฺวา สงฺขาเร สมฺมสโนฺต ตีณิ ผลานิ สจฺฉิกตฺวา อุปริมคฺคตฺถาย กมฺมฎฺฐานํ ปริคฺคเหตฺวา อฎฺฐาสิฯ ทหโร ตํ อปสฺสโนฺต ‘‘สามเณรา’’ติ ปโกฺกสิฯ โส ‘‘มยา ปพฺพชิตทิวสโต ปฎฺฐาย ภิกฺขุนา สทฺธิํ เทฺว กถา นาม น กถิตปุพฺพาฯ อญฺญสฺมิมฺปิ ทิวเส อุปริวิเสสํ นิพฺพเตฺตสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘กิํ, ภเนฺต’’ติ ปฎิวจนํ อทาสิฯ เอหีติ จ วุเตฺต เอกวจเนเนว อาคนฺตฺวา ‘‘ภเนฺต, อิมินา ตาว มเคฺคน คนฺตฺวา มยา ฐิโตกาเส มุหุตฺตํ ปุรตฺถาภิมุโข ฐตฺวา โอโลเกถา’’ติ อาหฯ โส ตถา กตฺวา เตน ปตฺตวิเสสเมว ปาปุณิฯ เอวํ เอกํ อสุภํ ทฺวินฺนํ ชนานํ อตฺถาย ชายติฯ เอวํ สาตฺถมฺปิ ปเนตํ ปุริสสฺส มาตุคามาสุภํ อสปฺปายํฯ มาตุคามสฺส จ ปุริสาสุภํ สภาคเมว สปฺปายนฺติ เอวํ สปฺปายปริคฺคหณํ สปฺปายสมฺปชญฺญํ นามฯ
Asubhadassanampi sātthaṃ. Tadatthadīpanatthañca idaṃ vatthu – eko kira daharabhikkhu sāmaṇeraṃ gahetvā dantakaṭṭhatthāya gato. Sāmaṇero maggā okkamitvā purato gacchanto asubhaṃ disvā paṭhamajjhānaṃ nibbattetvā tadeva pādakaṃ katvā saṅkhāre sammasanto tīṇi phalāni sacchikatvā uparimaggatthāya kammaṭṭhānaṃ pariggahetvā aṭṭhāsi. Daharo taṃ apassanto ‘‘sāmaṇerā’’ti pakkosi. So ‘‘mayā pabbajitadivasato paṭṭhāya bhikkhunā saddhiṃ dve kathā nāma na kathitapubbā. Aññasmimpi divase uparivisesaṃ nibbattessāmī’’ti cintetvā ‘‘kiṃ, bhante’’ti paṭivacanaṃ adāsi. Ehīti ca vutte ekavacaneneva āgantvā ‘‘bhante, iminā tāva maggena gantvā mayā ṭhitokāse muhuttaṃ puratthābhimukho ṭhatvā olokethā’’ti āha. So tathā katvā tena pattavisesameva pāpuṇi. Evaṃ ekaṃ asubhaṃ dvinnaṃ janānaṃ atthāya jāyati. Evaṃ sātthampi panetaṃ purisassa mātugāmāsubhaṃ asappāyaṃ. Mātugāmassa ca purisāsubhaṃ sabhāgameva sappāyanti evaṃ sappāyapariggahaṇaṃ sappāyasampajaññaṃ nāma.
เอวํ ปริคฺคหิตสาตฺถสปฺปายสฺส ปน อฎฺฐติํสาย กมฺมฎฺฐาเนสุ อตฺตโน จิตฺตรุจิตกมฺมฎฺฐานสงฺขาตํ โคจรํ อุคฺคเหตฺวา ภิกฺขาจารโคจเร ตํ คเหตฺวา คมนํ โคจรสมฺปชญฺญํ นามฯ ตสฺสาวิภาวตฺถํ อิทํ จตุกฺกํ เวทิตพฺพํฯ อิเธกโจฺจ ภิกฺขุ หรติ น ปจฺจาหรติ , เอกโจฺจ น หรติ ปจฺจาหรติ , เอกโจฺจ เนว หรติ น ปจฺจาหรติ, เอกโจฺจ หรติ จ ปจฺจาหรติ จฯ
Evaṃ pariggahitasātthasappāyassa pana aṭṭhatiṃsāya kammaṭṭhānesu attano cittarucitakammaṭṭhānasaṅkhātaṃ gocaraṃ uggahetvā bhikkhācāragocare taṃ gahetvā gamanaṃ gocarasampajaññaṃ nāma. Tassāvibhāvatthaṃ idaṃ catukkaṃ veditabbaṃ. Idhekacco bhikkhu harati na paccāharati , ekacco na harati paccāharati , ekacco neva harati na paccāharati, ekacco harati ca paccāharati ca.
ตตฺถ โย ภิกฺขุ ทิวสํ จงฺกเมน นิสชฺชาย อาวรณีเยหิ ธเมฺมหิ จิตฺตํ ปริโสเธตฺวา ตถา รตฺติยา ปฐมํ ยามํ มชฺฌิเม ยาเม เสยฺยํ กเปฺปตฺวา ปจฺฉิมยาเมปิ นิสชฺชาจงฺกเมหิ วีตินาเมตฺวา ปเคว เจติยงฺคณโพธิยงฺคณวตฺตํ กตฺวา โพธิรุเกฺข อุทกํ อภิสิญฺจิตฺวา ปานียํ ปริโภชนียํ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา อาจริยุปชฺฌายวตฺตาทีนิ สพฺพานิ ขนฺธกวตฺตานิ สมาทาย วตฺตติฯ โส สรีรปริกมฺมํ กตฺวา เสนาสนํ ปวิสิตฺวา เทฺว ตโย ปลฺลเงฺก อุสุมํ คาหาเปโนฺต กมฺมฎฺฐานํ อนุยุญฺชิตฺวา ภิกฺขาจารเวลาย อุฎฺฐหิตฺวา กมฺมฎฺฐานสีเสเนว ปตฺตจีวรมาทาย เสนาสนโต นิกฺขมิตฺวา กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรโนฺตว เจติยงฺคณํ คนฺตฺวา สเจ พุทฺธานุสฺสติกมฺมฎฺฐานํ โหติ, ตํ อวิสฺสเชฺชตฺวาว เจติยงฺคณํ ปวิสติฯ อญฺญํ เจ กมฺมฎฺฐานํ โหติ, โสปานปาทมูเล ฐตฺวา หเตฺถน คหิตภณฺฑํ วิย ตํ ฐเปตฺวา พุทฺธารมฺมณํ ปีติํ คเหตฺวา เจติยงฺคณํ อารุยฺห มหนฺตํ เจติยํ เจ, ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา จตูสุ ฐาเนสุ วนฺทิตพฺพํฯ ขุทฺทกํ เจติยํ เจ, ตเถว ปทกฺขิณํ กตฺวา อฎฺฐสุ ฐาเนสุ วนฺทิตพฺพํฯ เจติยํ วนฺทิตฺวา โพธิยงฺคณํ ปเตฺตนาปิ พุทฺธสฺส ภควโต สมฺมุขา วิย นิปจฺจการํ ทเสฺสตฺวา โพธิ วนฺทิตโพฺพฯ โส เอวํ เจติยญฺจ โพธิญฺจ วนฺทิตฺวา ปฎิสามิตฎฺฐานํ คนฺตฺวา ปฎิสามิตภณฺฑกํ หเตฺถน คณฺหโนฺต วิย นิกฺขิตฺตกมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา คามสมีเป กมฺมฎฺฐานสีเสเนว จีวรํ ปารุปิตฺวา คามํ ปิณฺฑาย ปวิสติฯ
Tattha yo bhikkhu divasaṃ caṅkamena nisajjāya āvaraṇīyehi dhammehi cittaṃ parisodhetvā tathā rattiyā paṭhamaṃ yāmaṃ majjhime yāme seyyaṃ kappetvā pacchimayāmepi nisajjācaṅkamehi vītināmetvā pageva cetiyaṅgaṇabodhiyaṅgaṇavattaṃ katvā bodhirukkhe udakaṃ abhisiñcitvā pānīyaṃ paribhojanīyaṃ paccupaṭṭhapetvā ācariyupajjhāyavattādīni sabbāni khandhakavattāni samādāya vattati. So sarīraparikammaṃ katvā senāsanaṃ pavisitvā dve tayo pallaṅke usumaṃ gāhāpento kammaṭṭhānaṃ anuyuñjitvā bhikkhācāravelāya uṭṭhahitvā kammaṭṭhānasīseneva pattacīvaramādāya senāsanato nikkhamitvā kammaṭṭhānaṃ manasikarontova cetiyaṅgaṇaṃ gantvā sace buddhānussatikammaṭṭhānaṃ hoti, taṃ avissajjetvāva cetiyaṅgaṇaṃ pavisati. Aññaṃ ce kammaṭṭhānaṃ hoti, sopānapādamūle ṭhatvā hatthena gahitabhaṇḍaṃ viya taṃ ṭhapetvā buddhārammaṇaṃ pītiṃ gahetvā cetiyaṅgaṇaṃ āruyha mahantaṃ cetiyaṃ ce, tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā catūsu ṭhānesu vanditabbaṃ. Khuddakaṃ cetiyaṃ ce, tatheva padakkhiṇaṃ katvā aṭṭhasu ṭhānesu vanditabbaṃ. Cetiyaṃ vanditvā bodhiyaṅgaṇaṃ pattenāpi buddhassa bhagavato sammukhā viya nipaccakāraṃ dassetvā bodhi vanditabbo. So evaṃ cetiyañca bodhiñca vanditvā paṭisāmitaṭṭhānaṃ gantvā paṭisāmitabhaṇḍakaṃ hatthena gaṇhanto viya nikkhittakammaṭṭhānaṃ gahetvā gāmasamīpe kammaṭṭhānasīseneva cīvaraṃ pārupitvā gāmaṃ piṇḍāya pavisati.
อถ นํ มนุสฺสา ทิสฺวา ‘‘อโยฺย โน อาคโต’’ติ ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ปตฺตํ คเหตฺวา อาสนสาลายํ วา เคเห วา นิสีทาเปตฺวา ยาคุํ ทตฺวา ยาว ภตฺตํ น นิฎฺฐาติ, ตาว ปาเท โธวิตฺวา เตเลน มเกฺขตฺวา ปุรโต นิสีทิตฺวา ปญฺหํ วา ปุจฺฉนฺติ, ธมฺมํ วา โสตุกามา โหนฺติฯ สเจปิ น กถาเปนฺติ, ชนสงฺคหตฺถํ ธมฺมกถา นาม กาตพฺพาเยวาติ อฎฺฐกถาจริยา วทนฺติฯ ธมฺมกถา หิ กมฺมฎฺฐานวินิมุตฺตา นาม นตฺถิ ฯ ตสฺมา กมฺมฎฺฐานสีเสเนว ธมฺมํ กเถตฺวา กมฺมฎฺฐานสีเสเนว อาหารํ ปริภุญฺชิตฺวา อนุโมทนํ กตฺวา นิวตฺติยมาเนหิปิ มนุเสฺสหิ อนุคโตว คามโต นิกฺขมิตฺวา ตเตฺถว นิวเตฺตตฺวา มคฺคํ ปฎิปชฺชติฯ อถ นํ ปุเรตรํ นิกฺขมิตฺวา พหิคาเม กตภตฺตกิจฺจา สามเณรทหรภิกฺขู ทิสฺวา ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ปตฺตจีวรมสฺส คณฺหนฺติฯ
Atha naṃ manussā disvā ‘‘ayyo no āgato’’ti paccuggantvā pattaṃ gahetvā āsanasālāyaṃ vā gehe vā nisīdāpetvā yāguṃ datvā yāva bhattaṃ na niṭṭhāti, tāva pāde dhovitvā telena makkhetvā purato nisīditvā pañhaṃ vā pucchanti, dhammaṃ vā sotukāmā honti. Sacepi na kathāpenti, janasaṅgahatthaṃ dhammakathā nāma kātabbāyevāti aṭṭhakathācariyā vadanti. Dhammakathā hi kammaṭṭhānavinimuttā nāma natthi . Tasmā kammaṭṭhānasīseneva dhammaṃ kathetvā kammaṭṭhānasīseneva āhāraṃ paribhuñjitvā anumodanaṃ katvā nivattiyamānehipi manussehi anugatova gāmato nikkhamitvā tattheva nivattetvā maggaṃ paṭipajjati. Atha naṃ puretaraṃ nikkhamitvā bahigāme katabhattakiccā sāmaṇeradaharabhikkhū disvā paccuggantvā pattacīvaramassa gaṇhanti.
โปราณา ภิกฺขู กิร ‘‘น อมฺหากํ อุปชฺฌาโย อาจริโย’’ติ มุขํ อุโลฺลเกตฺวา วตฺตํ กโรนฺติฯ สมฺปตฺตปริเจฺฉเทเนว กโรนฺติฯ เต ตํ ปุจฺฉนฺติ ‘‘ภเนฺต, เอเต มนุสฺสา ตุมฺหากํ กิํ โหนฺติ มาตุปกฺขโต สมฺพนฺธา ปิติปกฺขโต’’ติฯ กิํ ทิสฺวา ปุจฺฉถาติฯ ตุเมฺหสุ เอเตสํ เปมํ พหุมานนฺติฯ อาวุโส, ยํ มาตาปิตูหิปิ ทุกฺกรํ, ตํ เอเต อมฺหากํ กโรนฺติ, ปตฺตจีวรมฺปิ โน เอเตสํ สนฺตกเมว, เอเตสํ อานุภาเวน เนว ภเย ภยํ, น ฉาตเก ฉาตกํ ชานาม, เอทิสา นาม อมฺหากํ อุปการิโน นตฺถีติ เตสํ คุเณ กเถโนฺต คจฺฉติ, อยํ วุจฺจติ หรติ น ปจฺจาหรตีติฯ
Porāṇā bhikkhū kira ‘‘na amhākaṃ upajjhāyo ācariyo’’ti mukhaṃ ulloketvā vattaṃ karonti. Sampattaparicchedeneva karonti. Te taṃ pucchanti ‘‘bhante, ete manussā tumhākaṃ kiṃ honti mātupakkhato sambandhā pitipakkhato’’ti. Kiṃ disvā pucchathāti. Tumhesu etesaṃ pemaṃ bahumānanti. Āvuso, yaṃ mātāpitūhipi dukkaraṃ, taṃ ete amhākaṃ karonti, pattacīvarampi no etesaṃ santakameva, etesaṃ ānubhāvena neva bhaye bhayaṃ, na chātake chātakaṃ jānāma, edisā nāma amhākaṃ upakārino natthīti tesaṃ guṇe kathento gacchati, ayaṃ vuccati harati na paccāharatīti.
ยสฺส ปน ปเคว วุตฺตปฺปการํ วตฺตปฎิปตฺติํ กโรนฺตสฺส กมฺมชเตโช ปชฺชลติ, อนุปาทินฺนกํ มุญฺจิตฺวา อุปาทินฺนกํ คณฺหาติ, สรีรโต เสทา มุจฺจนฺติ, กมฺมฎฺฐานวีถิํ นาโรหติ, โส ปเคว ปตฺตจีวรมาทาย เวคสาว เจติยํ วนฺทิตฺวา โครูปานํ นิกฺขมนเวลายเมว คามํ ยาคุภิกฺขาย ปวิสิตฺวา ยาคุํ ลภิตฺวา อาสนสาลํ คนฺตฺวา ปิวติฯ อถสฺส ทฺวตฺติกฺขตฺตุํ อโชฺฌหรณมเตฺตเนว กมฺมชเตโช อุปาทินฺนกํ มุญฺจิตฺวา อนุปาทินฺนกํ คณฺหาติฯ ฆฎสเตน นฺหาโต วิย เตโชธาตุปริฬาหนิพฺพาปนํ ปตฺวา กมฺมฎฺฐานสีเสน ยาคุํ ปริภุญฺชิตฺวา ปตฺตญฺจ มุขญฺจ โธวิตฺวา อนฺตราภเตฺต กมฺมฎฺฐานํ มนสิกตฺวา อวเสสฎฺฐาเน ปิณฺฑาย จริตฺวา กมฺมฎฺฐานสีเสน อาหารํ ปริภุญฺชิตฺวา ตโต ปฎฺฐาย โปงฺขานุโปงฺขํ อุปฎฺฐหมานํ กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวาว อาคจฺฉติ, อยํ วุจฺจติ น หรติ ปจฺจาหรตีติฯ เอทิสา จ ภิกฺขู ยาคุํ ปิวิตฺวา วิปสฺสนํ อารภิตฺวา พุทฺธสาสเน อรหตฺตํ ปตฺตา นาม คณนปถํ วีติวตฺตา, สีหฬทีเปเยว เตสุ เตสุ คาเมสุ อาสนสาลายํ น ตํ อาสนํ อตฺถิ, ยตฺถ ยาคุํ ปิวิตฺวา อรหตฺตปฺปตฺตภิกฺขู นตฺถีติฯ
Yassa pana pageva vuttappakāraṃ vattapaṭipattiṃ karontassa kammajatejo pajjalati, anupādinnakaṃ muñcitvā upādinnakaṃ gaṇhāti, sarīrato sedā muccanti, kammaṭṭhānavīthiṃ nārohati, so pageva pattacīvaramādāya vegasāva cetiyaṃ vanditvā gorūpānaṃ nikkhamanavelāyameva gāmaṃ yāgubhikkhāya pavisitvā yāguṃ labhitvā āsanasālaṃ gantvā pivati. Athassa dvattikkhattuṃ ajjhoharaṇamatteneva kammajatejo upādinnakaṃ muñcitvā anupādinnakaṃ gaṇhāti. Ghaṭasatena nhāto viya tejodhātupariḷāhanibbāpanaṃ patvā kammaṭṭhānasīsena yāguṃ paribhuñjitvā pattañca mukhañca dhovitvā antarābhatte kammaṭṭhānaṃ manasikatvā avasesaṭṭhāne piṇḍāya caritvā kammaṭṭhānasīsena āhāraṃ paribhuñjitvā tato paṭṭhāya poṅkhānupoṅkhaṃ upaṭṭhahamānaṃ kammaṭṭhānaṃ gahetvāva āgacchati, ayaṃ vuccati na harati paccāharatīti. Edisā ca bhikkhū yāguṃ pivitvā vipassanaṃ ārabhitvā buddhasāsane arahattaṃ pattā nāma gaṇanapathaṃ vītivattā, sīhaḷadīpeyeva tesu tesu gāmesu āsanasālāyaṃ na taṃ āsanaṃ atthi, yattha yāguṃ pivitvā arahattappattabhikkhū natthīti.
โย ปน ปมาทวิหารี โหติ นิกฺขิตฺตธุโร, สพฺพวตฺตานิ ภินฺทิตฺวา ปญฺจวิธเจโตขิลวินิพนฺธจิโตฺต วิหรโนฺต ‘‘กมฺมฎฺฐานํ นาม อตฺถี’’ติปิ สญฺญํ อกตฺวา คามํ ปิณฺฑาย ปวิสิตฺวา อนนุโลมิเกน คิหิสํสเคฺคน สํสโฎฺฐ จริตฺวา จ ภุญฺชิตฺวา จ ตุโจฺฉ นิกฺขมติ, อยํ วุจฺจติ เนว หรติ น ปจฺจาหรตีติฯ
Yo pana pamādavihārī hoti nikkhittadhuro, sabbavattāni bhinditvā pañcavidhacetokhilavinibandhacitto viharanto ‘‘kammaṭṭhānaṃ nāma atthī’’tipi saññaṃ akatvā gāmaṃ piṇḍāya pavisitvā ananulomikena gihisaṃsaggena saṃsaṭṭho caritvā ca bhuñjitvā ca tuccho nikkhamati, ayaṃ vuccati neva harati na paccāharatīti.
โย ปนายํ หรติ จ ปจฺจาหรติ จาติ วุโตฺต, โส คตปจฺจาคติกวตฺตวเสน เวทิตโพฺพฯ อตฺตกามา หิ กุลปุตฺตา สาสเน ปพฺพชิตฺวา ทสปิ วีสมฺปิ ติํสมฺปิ จตฺตาลีสมฺปิ ปญฺญาสมฺปิ สตมฺปิ เอกโต วสนฺตา กติกวตฺตํ กตฺวา วิหรนฺติ, อาวุโส, ตุเมฺห น อิณฎฺฐา น ภยฎฺฎา น ชีวิกาปกตา ปพฺพชิตา, ทุกฺขา มุจฺจิตุกามา ปเนตฺถ ปพฺพชิตา, ตสฺมา คมเน อุปฺปนฺนกิเลสํ คมเนเยว นิคฺคณฺหถ, ฐาเน, นิสชฺชายํ, สยเน อุปฺปนฺนกิเลสํ สยเนเยว นิคฺคณฺหถาติฯ เต เอวํ กติกวตฺตํ กตฺวา ภิกฺขาจารํ คจฺฉนฺตา อฑฺฒอุสภอุสภอฑฺฒคาวุตคาวุตนฺตเรสุ ปาสาณา โหนฺติฯ ตาย สญฺญาย กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรนฺตาว คจฺฉนฺติฯ สเจ กสฺสจิ คมเน กิเลโส อุปฺปชฺชติ, ตเตฺถว นํ นิคฺคณฺหาติฯ ตถา อสโกฺกโนฺต ติฎฺฐติฯ อถสฺส ปจฺฉโต อาคจฺฉโนฺตปิ ติฎฺฐติฯ โส ‘‘อยํ ภิกฺขุ ตุยฺหํ อุปฺปนฺนวิตกฺกํ ชานาติ, อนนุจฺฉวิกํ เต เอต’’นฺติ อตฺตานํ ปฎิโจเทตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา ตเตฺถว อริยภูมิํ โอกฺกมติฯ ตถา อสโกฺกโนฺต นิสีทติฯ อถสฺส ปจฺฉโต อาคจฺฉโนฺตปิ นิสีทตีติ โสเยว นโยฯ อริยภูมิํ โอกฺกมิตุํ อสโกฺกโนฺตปิ ตํ กิเลสํ วิกฺขเมฺภตฺวา กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรโนฺตว คจฺฉติฯ น กมฺมฎฺฐานวิปฺปยุเตฺตน จิเตฺตน ปาทํ อุทฺธรติฯ อุทฺธรติ เจ, ปฎินิวเตฺตตฺวา ปุริมปเทสํ เยว เอติ อาฬินฺทกวาสี มหาผุสฺสเทวเตฺถโร วิยฯ
Yo panāyaṃ harati ca paccāharati cāti vutto, so gatapaccāgatikavattavasena veditabbo. Attakāmā hi kulaputtā sāsane pabbajitvā dasapi vīsampi tiṃsampi cattālīsampi paññāsampi satampi ekato vasantā katikavattaṃ katvā viharanti, āvuso, tumhe na iṇaṭṭhā na bhayaṭṭā na jīvikāpakatā pabbajitā, dukkhā muccitukāmā panettha pabbajitā, tasmā gamane uppannakilesaṃ gamaneyeva niggaṇhatha, ṭhāne, nisajjāyaṃ, sayane uppannakilesaṃ sayaneyeva niggaṇhathāti. Te evaṃ katikavattaṃ katvā bhikkhācāraṃ gacchantā aḍḍhausabhausabhaaḍḍhagāvutagāvutantaresu pāsāṇā honti. Tāya saññāya kammaṭṭhānaṃ manasikarontāva gacchanti. Sace kassaci gamane kileso uppajjati, tattheva naṃ niggaṇhāti. Tathā asakkonto tiṭṭhati. Athassa pacchato āgacchantopi tiṭṭhati. So ‘‘ayaṃ bhikkhu tuyhaṃ uppannavitakkaṃ jānāti, ananucchavikaṃ te eta’’nti attānaṃ paṭicodetvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā tattheva ariyabhūmiṃ okkamati. Tathā asakkonto nisīdati. Athassa pacchato āgacchantopi nisīdatīti soyeva nayo. Ariyabhūmiṃ okkamituṃ asakkontopi taṃ kilesaṃ vikkhambhetvā kammaṭṭhānaṃ manasikarontova gacchati. Na kammaṭṭhānavippayuttena cittena pādaṃ uddharati. Uddharati ce, paṭinivattetvā purimapadesaṃ yeva eti āḷindakavāsī mahāphussadevatthero viya.
โส กิร เอกูนวีสติวสฺสานิ คตปจฺจาคติกวตฺตํ ปูเรโนฺต เอว วิหาสิฯ มนุสฺสาปิ สุทํ อนฺตรามเคฺค กสนฺตา จ วปนฺตา จ มทฺทนฺตา จ กมฺมานิ จ กโรนฺตา เถรํ ตถาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘อยํ เถโร ปุนปฺปุนํ นิวตฺติตฺวา คจฺฉติฯ กิํ นุ โข มคฺคมูโฬฺห อุทาหุ กิญฺจิ ปมุโฎฺฐ’’ติ สมุลฺลปนฺติฯ โส ตํ อนาทิยิตฺวา กมฺมฎฺฐานยุตฺตจิเตฺตเนว สมณธมฺมํ กโรโนฺต วีสติวสฺสพฺภนฺตเร อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อรหตฺตปฺปตฺตทิวเสเยวสฺส จงฺกมนโกฎิยํ อธิวตฺถา เทวตา องฺคุลีหิ ทีปํ อุชฺชาเลตฺวา อฎฺฐาสิฯ จตฺตาโรปิ มหาราชาโน สโกฺก จ เทวานมิโนฺท พฺรหฺมา จ สหมฺปติ อุปฎฺฐานํ อคมํสุฯ ตญฺจ โอภาสํ ทิสฺวา วนวาสีมหาติสฺสเตฺถโร ตํ ทุติยทิวเส ปุจฺฉิ ‘‘รตฺติภาเค อายสฺมโต สนฺติเก โอภาโส อโหสิ, กิํ โส โอภาโส’’ติ ฯ เถโร วิเกฺขปํ กโรโนฺต ‘‘โอภาโส นาม ทีโปภาโสปิ โหติ มณิโอภาโสปี’’ติ เอวมาทิมาหฯ ตโต ปฎิจฺฉาเทถ ตุเมฺหติ นิพโทฺธ อามาติ ปฎิชานิตฺวา อาโรเจสิ กาลวลฺลิมณฺฑปวาสี มหานาคเตฺถโร วิย จฯ
So kira ekūnavīsativassāni gatapaccāgatikavattaṃ pūrento eva vihāsi. Manussāpi sudaṃ antarāmagge kasantā ca vapantā ca maddantā ca kammāni ca karontā theraṃ tathāgacchantaṃ disvā ‘‘ayaṃ thero punappunaṃ nivattitvā gacchati. Kiṃ nu kho maggamūḷho udāhu kiñci pamuṭṭho’’ti samullapanti. So taṃ anādiyitvā kammaṭṭhānayuttacitteneva samaṇadhammaṃ karonto vīsativassabbhantare arahattaṃ pāpuṇi. Arahattappattadivaseyevassa caṅkamanakoṭiyaṃ adhivatthā devatā aṅgulīhi dīpaṃ ujjāletvā aṭṭhāsi. Cattāropi mahārājāno sakko ca devānamindo brahmā ca sahampati upaṭṭhānaṃ agamaṃsu. Tañca obhāsaṃ disvā vanavāsīmahātissatthero taṃ dutiyadivase pucchi ‘‘rattibhāge āyasmato santike obhāso ahosi, kiṃ so obhāso’’ti . Thero vikkhepaṃ karonto ‘‘obhāso nāma dīpobhāsopi hoti maṇiobhāsopī’’ti evamādimāha. Tato paṭicchādetha tumheti nibaddho āmāti paṭijānitvā ārocesi kālavallimaṇḍapavāsī mahānāgatthero viya ca.
โสปิ กิร คตปจฺจาคติกวตฺตํ ปูเรโนฺต ปฐมํ ตาว ภควโต มหาปธานํ ปูเชสฺสามีติ สตฺต วสฺสานิ ฐานจงฺกมนเมว อธิฎฺฐาสิฯ ปุน โสฬส วสฺสานิ คตปจฺจาคติกวตฺตํ ปูเรตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ โส กมฺมฎฺฐานยุเตฺตเนว จิเตฺตน ปาทํ อุทฺธรโนฺต วิยุเตฺตน อุทฺธเต ปฎินิวตฺตโนฺต คามสฺส สมีปํ คนฺตฺวา ‘‘คาวี นุ ปพฺพชิโต นู’’ติ อาสงฺกนียปเทเส ฐตฺวา จีวรํ ปารุปิตฺวา กจฺฉกนฺตรโต อุทเกน ปตฺตํ โธวิตฺวา อุทกคณฺฑูสํ กโรติฯ กิํ การณา? มา เม ภิกฺขํ ทาตุํ วนฺทิตุํ วา อาคเต มนุเสฺส ทีฆายุกา โหถาติ วจนมเตฺตนาปิ กมฺมฎฺฐานวิเกฺขโป อโหสีติฯ อชฺช, ภเนฺต, กติมีติ ทิวสํ วา ภิกฺขุคณนํ วา ปเญฺห วา ปุจฺฉิโต ปน อุทกํ คิลิตฺวา อาโรเจสิฯ สเจ ทิวสาทิปุจฺฉกา น โหนฺติ, นิกฺขมนเวลาย คามทฺวาเร นิฎฺฐุภิตฺวาว ยาติ กลมฺพติตฺถวิหาเร วสฺสูปคตปญฺญาสภิกฺขู วิยฯ
Sopi kira gatapaccāgatikavattaṃ pūrento paṭhamaṃ tāva bhagavato mahāpadhānaṃ pūjessāmīti satta vassāni ṭhānacaṅkamanameva adhiṭṭhāsi. Puna soḷasa vassāni gatapaccāgatikavattaṃ pūretvā arahattaṃ pāpuṇi. So kammaṭṭhānayutteneva cittena pādaṃ uddharanto viyuttena uddhate paṭinivattanto gāmassa samīpaṃ gantvā ‘‘gāvī nu pabbajito nū’’ti āsaṅkanīyapadese ṭhatvā cīvaraṃ pārupitvā kacchakantarato udakena pattaṃ dhovitvā udakagaṇḍūsaṃ karoti. Kiṃ kāraṇā? Mā me bhikkhaṃ dātuṃ vandituṃ vā āgate manusse dīghāyukā hothāti vacanamattenāpi kammaṭṭhānavikkhepo ahosīti. Ajja, bhante, katimīti divasaṃ vā bhikkhugaṇanaṃ vā pañhe vā pucchito pana udakaṃ gilitvā ārocesi. Sace divasādipucchakā na honti, nikkhamanavelāya gāmadvāre niṭṭhubhitvāva yāti kalambatitthavihāre vassūpagatapaññāsabhikkhū viya.
เต กิร อาสาฬฺหีปุณฺณมายํ กติกวตฺตํ อกํสุ ‘‘อรหตฺตํ อปฺปตฺวา อญฺญมญฺญํ น อาลปิสฺสามา’’ติฯ คามญฺจ ปิณฺฑาย ปวิสนฺตา อุทกคณฺฑูสํ กตฺวา ปวิสิํสุฯ ทิวสาทีสุ ปุจฺฉิเตสุ วุตฺตนเยเนว ปฎิปชฺชิํสุฯ ตตฺถ มนุสฺสา นิฎฺฐุภนํ ทิสฺวา ชานิํสุ, ‘‘อเชฺชโก อาคโต, อชฺช เทฺว’’ติฯ เอวญฺจ จิเนฺตสุํ ‘‘กิํ นุ โข เอเต อเมฺหหิเยว สทฺธิํ น สลฺลปนฺติ, อุทาหุ อญฺญมญฺญมฺปิ, ยทิ อญฺญมญฺญํ น สลฺลปนฺติ, อทฺธา วิวาทชาตา ภวิสฺสนฺติ, เอถ เน อญฺญมญฺญํ ขมาเปสฺสามา’’ติ สเพฺพ วิหารํ คนฺตฺวา ปญฺญาสาย ภิกฺขุสุ เทฺวปิ ภิกฺขู เอโกกาเส นาทฺทสํสุฯ ตโต โย เตสุ จกฺขุมา ปุริโส, โส อาห ‘‘น โภ กลหการกานํ โอกาโส อีทิโส โหติ, สุสมฺมฎฺฐํ เจติยงฺคณํ โพธิยงฺคณํ, สุนิกฺขิตฺตา สมฺมชฺชนิโย, สูปฎฺฐปิตํ ปานียํ ปริโภชนีย’’นฺติฯ เต ตโตว นิวตฺตา, เตปิ ภิกฺขู อโนฺตเตมาเสเยว อรหตฺตํ ปตฺวา มหาปวารณาย วิสุทฺธิปวารณํ ปวาเรสุํฯ
Te kira āsāḷhīpuṇṇamāyaṃ katikavattaṃ akaṃsu ‘‘arahattaṃ appatvā aññamaññaṃ na ālapissāmā’’ti. Gāmañca piṇḍāya pavisantā udakagaṇḍūsaṃ katvā pavisiṃsu. Divasādīsu pucchitesu vuttanayeneva paṭipajjiṃsu. Tattha manussā niṭṭhubhanaṃ disvā jāniṃsu, ‘‘ajjeko āgato, ajja dve’’ti. Evañca cintesuṃ ‘‘kiṃ nu kho ete amhehiyeva saddhiṃ na sallapanti, udāhu aññamaññampi, yadi aññamaññaṃ na sallapanti, addhā vivādajātā bhavissanti, etha ne aññamaññaṃ khamāpessāmā’’ti sabbe vihāraṃ gantvā paññāsāya bhikkhusu dvepi bhikkhū ekokāse nāddasaṃsu. Tato yo tesu cakkhumā puriso, so āha ‘‘na bho kalahakārakānaṃ okāso īdiso hoti, susammaṭṭhaṃ cetiyaṅgaṇaṃ bodhiyaṅgaṇaṃ, sunikkhittā sammajjaniyo, sūpaṭṭhapitaṃ pānīyaṃ paribhojanīya’’nti. Te tatova nivattā, tepi bhikkhū antotemāseyeva arahattaṃ patvā mahāpavāraṇāya visuddhipavāraṇaṃ pavāresuṃ.
เอวํ กาลวลฺลิมณฺฑปวาสี มหานาคเตฺถโร วิย กลมฺพติตฺถวิหาเร วสฺสูปคตภิกฺขู วิย จ กมฺมฎฺฐานยุเตฺตเนว จิเตฺตน ปาทํ อุทฺธรโนฺต คามสมีปํ ปตฺวา อุทกคณฺฑูสํ กตฺวา วีถิโย สลฺลเกฺขตฺวา ยตฺถ สุราโสณฺฑธุตฺตาทโย กลหการกา จณฺฑหตฺถิอสฺสาทโย วา นตฺถิ, ตํ วีถิํ ปฎิปชฺชติฯ ตตฺถ จ ปิณฺฑาย จรมาโน น ตุริตตุริโต วิย ชเวน คจฺฉติฯ น หิ ชเวน ปิณฺฑปาติยธุตงฺคํ นาม กิญฺจิ อตฺถิฯ วิสมภูมิภาคปฺปตฺตํ ปน อุทกสกฎํ วิย นิจฺจโล หุตฺวา คจฺฉติฯ อนุฆรํ ปวิโฎฺฐ จ ตํ ทาตุกามํ วา อทาตุกามํ วา สลฺลเกฺขตุํ ตทนุรูปํ กาลํ อาคเมโนฺต ภิกฺขํ คเหตฺวา อโนฺตคาเม วา พหิคาเม วา วิหารเมว วา อาคนฺตฺวา ยถาผาสุเก ปติรูเป โอกาเส นิสีทิตฺวา กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรโนฺต อาหาเร ปฎิกูลสญฺญํ อุปฎฺฐาเปตฺวา อกฺขพฺภญฺชนวณเลปนปุตฺตมํสูปมาวเสน นํ ปจฺจเวกฺขโนฺต อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ อาหารํ อาหาเรติ, เนว ทวาย น มทาย น มณฺฑนาย น วิภูสนายฯ ภุตฺตาวี จ อุทกกิจฺจํ กตฺวา มุหุตฺตํ ภตฺตกิลมถํ ปฎิปฺปสฺสเมฺภตฺวา ยถา ปุเรภตฺตํ, เอวํ ปจฺฉาภตฺตํฯ ยถา ปุริมยามํ, เอวํ ปจฺฉิมยามญฺจ กมฺมฎฺฐานเมว มนสิ กโรติ, อยํ วุจฺจติ หรติ จ ปจฺจาหรติ จาติฯ
Evaṃ kālavallimaṇḍapavāsī mahānāgatthero viya kalambatitthavihāre vassūpagatabhikkhū viya ca kammaṭṭhānayutteneva cittena pādaṃ uddharanto gāmasamīpaṃ patvā udakagaṇḍūsaṃ katvā vīthiyo sallakkhetvā yattha surāsoṇḍadhuttādayo kalahakārakā caṇḍahatthiassādayo vā natthi, taṃ vīthiṃ paṭipajjati. Tattha ca piṇḍāya caramāno na turitaturito viya javena gacchati. Na hi javena piṇḍapātiyadhutaṅgaṃ nāma kiñci atthi. Visamabhūmibhāgappattaṃ pana udakasakaṭaṃ viya niccalo hutvā gacchati. Anugharaṃ paviṭṭho ca taṃ dātukāmaṃ vā adātukāmaṃ vā sallakkhetuṃ tadanurūpaṃ kālaṃ āgamento bhikkhaṃ gahetvā antogāme vā bahigāme vā vihārameva vā āgantvā yathāphāsuke patirūpe okāse nisīditvā kammaṭṭhānaṃ manasikaronto āhāre paṭikūlasaññaṃ upaṭṭhāpetvā akkhabbhañjanavaṇalepanaputtamaṃsūpamāvasena naṃ paccavekkhanto aṭṭhaṅgasamannāgataṃ āhāraṃ āhāreti, neva davāya na madāya na maṇḍanāya na vibhūsanāya. Bhuttāvī ca udakakiccaṃ katvā muhuttaṃ bhattakilamathaṃ paṭippassambhetvā yathā purebhattaṃ, evaṃ pacchābhattaṃ. Yathā purimayāmaṃ, evaṃ pacchimayāmañca kammaṭṭhānameva manasi karoti, ayaṃ vuccati harati ca paccāharati cāti.
อิทํ ปน หรณปจฺจาหรณสงฺขาตํ คตปจฺจาคติกวตฺตํ ปูเรโนฺต ยทิ อุปนิสฺสยสมฺปโนฺน โหติฯ ปฐมวเย เอว อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ โน เจ ปฐมวเย ปาปุณาติ, อถ มชฺฌิมวเยฯ โน เจ มชฺฌิมวเย ปาปุณาติ, อถ ปจฺฉิมวเยฯ โน เจ ปจฺฉิมวเย ปาปุณาติ, อถ มรณสมเยฯ โน เจ มรณสมเย ปาปุณาติ, อถ เทวปุโตฺต หุตฺวาฯ โน เจ เทวปุโตฺต หุตฺวา ปาปุณาติ, อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ นิพฺพโตฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกโรติฯ โน เจ ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกโรติ, อถ พุทฺธานํ สมฺมุขีภาเว ขิปฺปาภิโญฺญ วา โหติ เสยฺยถาปิ เถโร พาหิโย ทารุจีริโย, มหาปโญฺญ วา เสยฺยถาปิ เถโร สาริปุโตฺต, มหิทฺธิโก วา เสยฺยถาปิ เถโร มหาโมคฺคลฺลาโน, ธุตงฺคธโร วา เสยฺยถาปิ เถโร มหากสฺสโป, ทิพฺพจกฺขุโก วา เสยฺยถาปิ เถโร อนุรุโทฺธ, วินยธโร วา เสยฺยถาปิ เถโร อุปาลิ, ธมฺมกถิโก วา เสยฺยถาปิ เถโร ปุโณฺณ มนฺตาณิปุโตฺต, อารญฺญิโก วา เสยฺยถาปิ เถโร เรวโต, พหุสฺสุโต วา เสยฺยถาปิ เถโร อานโนฺท, สิกฺขากาโม วา เสยฺยถาปิ เถโร ราหุโล พุทฺธปุโตฺตติฯ อิติ อิมสฺมิํ จตุเกฺก ยฺวายํ หรติ จ ปจฺจาหรติ จ, ตสฺส โคจรสมฺปชญฺญํ สิขาปตฺตํ โหติฯ
Idaṃ pana haraṇapaccāharaṇasaṅkhātaṃ gatapaccāgatikavattaṃ pūrento yadi upanissayasampanno hoti. Paṭhamavaye eva arahattaṃ pāpuṇāti. No ce paṭhamavaye pāpuṇāti, atha majjhimavaye. No ce majjhimavaye pāpuṇāti, atha pacchimavaye. No ce pacchimavaye pāpuṇāti, atha maraṇasamaye. No ce maraṇasamaye pāpuṇāti, atha devaputto hutvā. No ce devaputto hutvā pāpuṇāti, anuppanne buddhe nibbatto paccekabodhiṃ sacchikaroti. No ce paccekabodhiṃ sacchikaroti, atha buddhānaṃ sammukhībhāve khippābhiñño vā hoti seyyathāpi thero bāhiyo dārucīriyo, mahāpañño vā seyyathāpi thero sāriputto, mahiddhiko vā seyyathāpi thero mahāmoggallāno, dhutaṅgadharo vā seyyathāpi thero mahākassapo, dibbacakkhuko vā seyyathāpi thero anuruddho, vinayadharo vā seyyathāpi thero upāli, dhammakathiko vā seyyathāpi thero puṇṇo mantāṇiputto, āraññiko vā seyyathāpi thero revato, bahussuto vā seyyathāpi thero ānando, sikkhākāmo vā seyyathāpi thero rāhulo buddhaputtoti. Iti imasmiṃ catukke yvāyaṃ harati ca paccāharati ca, tassa gocarasampajaññaṃ sikhāpattaṃ hoti.
อภิกฺกมาทีสุ ปน อสมฺมุยฺหนํ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํฯ ตํ เอวํ เวทิตพฺพํ – อิธ ภิกฺขุ อภิกฺกมโนฺต วา ปฎิกฺกมโนฺต วา ยถา อนฺธปุถุชฺชนา อภิกฺกมาทีสุ ‘‘อตฺตา อภิกฺกมติ, อตฺตนา อภิกฺกโม นิพฺพตฺติโต’’ติ วา ‘‘อหํ อภิกฺกมามิ, มยา อภิกฺกโม นิพฺพตฺติโต’’ติ วา สมฺมุยฺหนฺติฯ ตถา อสมฺมุยฺหโนฺต ‘‘อภิกฺกมามี’’ติ จิเตฺต อุปฺปชฺชมาเน เตเนว จิเตฺตน สทฺธิํ จิตฺตสมุฎฺฐานา วาโยธาตุ วิญฺญตฺติํ ชนยมานา อุปฺปชฺชติ, อิติ จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผารวเสน อยํ กายสมฺมโต อฎฺฐิสงฺฆาโต อภิกฺกมติ, ตเสฺสวํ อภิกฺกมโต เอเกกปาทุทฺธรเณ ปถวีธาตุ อาโปธาตูติ เทฺว ธาตุโย โอมตฺตา โหนฺติ มนฺทา, อิตรา เทฺว อธิมตฺตา โหนฺติ พลวติโย, ตถา อติหรณวีติหรเณสุฯ โวสฺสชฺชเน เตโชวาโยธาตุโย โอมตฺตา โหนฺติ มนฺทา, อิตรา เทฺว อธิมตฺตา โหนฺติ พลวติโยฯ ตถา สนฺนิเกฺขปนสนฺนิรุมฺภเนสุฯ ตตฺถ อุทฺธรเณ ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา อติหรณํ น ปาปุณนฺติฯ ตถา อติหรเณ ปวตฺตา วีติหรณํ, วีติหรเณ ปวตฺตา โวสฺสชฺชนํ, โวสฺสชฺชเน ปวตฺตา สนฺนิเกฺขปนํ, สนฺนิเกฺขปเน ปวตฺตา สนฺนิรุมฺภนํ น ปาปุณนฺติฯ ตตฺถ ตเตฺถว ปพฺพํ ปพฺพํ สนฺธิ สนฺธิ โอธิ โอธิ หุตฺวา ตตฺตกปาเล ปกฺขิตฺตติลานิ วิย ปฎปฎายนฺตา ภิชฺชนฺติฯ ตตฺถ โก เอโก อภิกฺกมติ? กสฺส วา เอกสฺส อภิกฺกมนํ? ปรมตฺถโต หิ ธาตูนํเยว คมนํ, ธาตูนํ ฐานํ, ธาตูนํ นิสชฺชนํ, ธาตูนํ สยนํ, ตสฺมิํ ตสฺมิญฺหิ โกฎฺฐาเส สทฺธิํ รูเปน –
Abhikkamādīsu pana asammuyhanaṃ asammohasampajaññaṃ. Taṃ evaṃ veditabbaṃ – idha bhikkhu abhikkamanto vā paṭikkamanto vā yathā andhaputhujjanā abhikkamādīsu ‘‘attā abhikkamati, attanā abhikkamo nibbattito’’ti vā ‘‘ahaṃ abhikkamāmi, mayā abhikkamo nibbattito’’ti vā sammuyhanti. Tathā asammuyhanto ‘‘abhikkamāmī’’ti citte uppajjamāne teneva cittena saddhiṃ cittasamuṭṭhānā vāyodhātu viññattiṃ janayamānā uppajjati, iti cittakiriyavāyodhātuvipphāravasena ayaṃ kāyasammato aṭṭhisaṅghāto abhikkamati, tassevaṃ abhikkamato ekekapāduddharaṇe pathavīdhātu āpodhātūti dve dhātuyo omattā honti mandā, itarā dve adhimattā honti balavatiyo, tathā atiharaṇavītiharaṇesu. Vossajjane tejovāyodhātuyo omattā honti mandā, itarā dve adhimattā honti balavatiyo. Tathā sannikkhepanasannirumbhanesu. Tattha uddharaṇe pavattā rūpārūpadhammā atiharaṇaṃ na pāpuṇanti. Tathā atiharaṇe pavattā vītiharaṇaṃ, vītiharaṇe pavattā vossajjanaṃ, vossajjane pavattā sannikkhepanaṃ, sannikkhepane pavattā sannirumbhanaṃ na pāpuṇanti. Tattha tattheva pabbaṃ pabbaṃ sandhi sandhi odhi odhi hutvā tattakapāle pakkhittatilāni viya paṭapaṭāyantā bhijjanti. Tattha ko eko abhikkamati? Kassa vā ekassa abhikkamanaṃ? Paramatthato hi dhātūnaṃyeva gamanaṃ, dhātūnaṃ ṭhānaṃ, dhātūnaṃ nisajjanaṃ, dhātūnaṃ sayanaṃ, tasmiṃ tasmiñhi koṭṭhāse saddhiṃ rūpena –
อญฺญํ อุปฺปชฺชเต จิตฺตํ, อญฺญํ จิตฺตํ นิรุชฺฌติ;
Aññaṃ uppajjate cittaṃ, aññaṃ cittaṃ nirujjhati;
อวีจิมนุสมฺพโนฺธ, นทีโสโตว วตฺตตีติฯ
Avīcimanusambandho, nadīsotova vattatīti.
เอวํ อภิกฺกมาทีสุ อสมฺมุยฺหนํ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ นามาติ;
Evaṃ abhikkamādīsu asammuyhanaṃ asammohasampajaññaṃ nāmāti;
นิฎฺฐิโต อภิกฺกเนฺต ปฎิกฺกเนฺต สมฺปชานการี โหตีติ ปทสฺส อโตฺถ;
Niṭṭhito abhikkante paṭikkante sampajānakārī hotīti padassa attho;
อาโลกิเต วิโลกิเตติ เอตฺถ ปน อาโลกิตํ นาม ปุรโต เปกฺขนํฯ วิโลกิตํ นาม อนุทิสาเปกฺขนํฯ อญฺญานิปิ เหฎฺฐา อุปริ ปจฺฉโต เปกฺขนวเสน โอโลกิตอุโลฺลกิตาปโลกิตานิ นาม โหนฺติ, ตานิ อิธ น คหิตานิฯ สารุปฺปวเสน ปน อิมาเนว เทฺว คหิตานิ, อิมินา วา มุเขน สพฺพานิปิ ตานิ คหิตาเนวาติฯ
Ālokite vilokiteti ettha pana ālokitaṃ nāma purato pekkhanaṃ. Vilokitaṃ nāma anudisāpekkhanaṃ. Aññānipi heṭṭhā upari pacchato pekkhanavasena olokitaullokitāpalokitāni nāma honti, tāni idha na gahitāni. Sāruppavasena pana imāneva dve gahitāni, iminā vā mukhena sabbānipi tāni gahitānevāti.
ตตฺถ ‘‘อาโลเกสฺสามี’’ติ จิเตฺต อุปฺปเนฺน จิตฺตวเสเนว อโนโลเกตฺวา อตฺถปริคฺคหณํ สาตฺถกสมฺปชญฺญํฯ ตํ อายสฺมนฺตํ นนฺทํ กายสกฺขิํ กตฺวา เวทิตพฺพํฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา – ‘‘สเจ, ภิกฺขเว, นนฺทสฺส ปุรตฺถิมา ทิสา อาโลเกตพฺพา โหติ, สพฺพํ เจตสา สมนฺนาหริตฺวา นโนฺท ปุรตฺถิมํ ทิสํ อาโลเกติ, เอวํ เม ปุรตฺถิมํ ทิสํ อาโลกยโต น อภิชฺฌาโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อนฺวาสฺสเวยฺยุนฺติ อิติ โส ตตฺถ สมฺปชาโน โหติ, สเจ, ภิกฺขเว, นนฺทสฺส ปจฺฉิมา ทิสา, อุตฺตรา ทิสา, ทกฺขิณา ทิสา, อุทฺธํ, อโธ, อนุทิสา อาโลเกตพฺพา โหติ, สพฺพํ เจตโส สมนฺนาหริตฺวา นโนฺท อนุทิสํ อาโลเกติฯ เอวํ เม อนุทิสํ อาโลกยโต…เป.… สมฺปชาโน โหตี’’ติ (อ. นิ. ๘.๙)ฯ
Tattha ‘‘ālokessāmī’’ti citte uppanne cittavaseneva anoloketvā atthapariggahaṇaṃ sātthakasampajaññaṃ. Taṃ āyasmantaṃ nandaṃ kāyasakkhiṃ katvā veditabbaṃ. Vuttañhetaṃ bhagavatā – ‘‘sace, bhikkhave, nandassa puratthimā disā āloketabbā hoti, sabbaṃ cetasā samannāharitvā nando puratthimaṃ disaṃ āloketi, evaṃ me puratthimaṃ disaṃ ālokayato na abhijjhādomanassā pāpakā akusalā dhammā anvāssaveyyunti iti so tattha sampajāno hoti, sace, bhikkhave, nandassa pacchimā disā, uttarā disā, dakkhiṇā disā, uddhaṃ, adho, anudisā āloketabbā hoti, sabbaṃ cetaso samannāharitvā nando anudisaṃ āloketi. Evaṃ me anudisaṃ ālokayato…pe… sampajāno hotī’’ti (a. ni. 8.9).
อปิจ อิธาปิ ปุเพฺพ วุตฺตเจติยทสฺสนาทิวเสเนว สาตฺถกตา จ สปฺปายตา จ เวทิตพฺพาฯ กมฺมฎฺฐานสฺส ปน อวิชหนเมว โคจรสมฺปชญฺญํฯ ตสฺมา ขนฺธธาตุอายตนกมฺมฎฺฐานิเกหิ อตฺตโน กมฺมฎฺฐานวเสเนว, กสิณาทิกมฺมฎฺฐานิเกหิ วา ปน กมฺมฎฺฐานสีเสเนว อาโลกนวิโลกนํ กาตพฺพํฯ อพฺภนฺตเร อตฺตา นาม อาโลเกตา วา วิโลเกตา วา นตฺถิ, อาโลเกสฺสามีติ ปน จิเตฺต อุปฺปชฺชมาเน เตเนว จิเตฺตน สทฺธิํ จิตฺตสมุฎฺฐานา วาโยธาตุ วิญฺญตฺติํ ชนยมานา อุปฺปชฺชติฯ อิติ จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผารวเสเนว เหฎฺฐิมํ อกฺขิทลํ อโธ สีทติ, อุปริมํ อุทฺธํ ลเงฺฆติ, โกจิ ยนฺตเกน วิวรโนฺต นาม นตฺถิ, ตโต จกฺขุวิญฺญาณํ ทสฺสนกิจฺจํ สาเธนฺตํ อุปฺปชฺชตีติฯ เอวํ สมฺปชานนํ ปเนตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ นามฯ
Apica idhāpi pubbe vuttacetiyadassanādivaseneva sātthakatā ca sappāyatā ca veditabbā. Kammaṭṭhānassa pana avijahanameva gocarasampajaññaṃ. Tasmā khandhadhātuāyatanakammaṭṭhānikehi attano kammaṭṭhānavaseneva, kasiṇādikammaṭṭhānikehi vā pana kammaṭṭhānasīseneva ālokanavilokanaṃ kātabbaṃ. Abbhantare attā nāma āloketā vā viloketā vā natthi, ālokessāmīti pana citte uppajjamāne teneva cittena saddhiṃ cittasamuṭṭhānā vāyodhātu viññattiṃ janayamānā uppajjati. Iti cittakiriyavāyodhātuvipphāravaseneva heṭṭhimaṃ akkhidalaṃ adho sīdati, uparimaṃ uddhaṃ laṅgheti, koci yantakena vivaranto nāma natthi, tato cakkhuviññāṇaṃ dassanakiccaṃ sādhentaṃ uppajjatīti. Evaṃ sampajānanaṃ panettha asammohasampajaññaṃ nāma.
อปิจ มูลปริญฺญาอาคนฺตุกตาวกาลิกภาววเสนเปตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ มูลปริญฺญาวเสน ตาว –
Apica mūlapariññāāgantukatāvakālikabhāvavasenapettha asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ. Mūlapariññāvasena tāva –
ภวงฺคาวชฺชนเญฺจว, ทสฺสนํ สมฺปฎิจฺฉนํ;
Bhavaṅgāvajjanañceva, dassanaṃ sampaṭicchanaṃ;
สนฺตีรณํ โวฎฺฐพฺพนํ, ชวนํ ภวติ สตฺตมํฯ
Santīraṇaṃ voṭṭhabbanaṃ, javanaṃ bhavati sattamaṃ.
ตตฺถ ภวงฺคํ อุปปตฺติภวสฺส องฺคกิจฺจํ สาธยมานํ ปวตฺตติ, ตํ อาวเฎฺฎตฺวา กิริยมโนธาตุ อาวชฺชนกิจฺจํ สาธยมานา, ตนฺนิโรธา จกฺขุวิญฺญาณํ ทสฺสนกิจฺจํ สาธยมานํ , ตนฺนิโรธา วิปากมโนธาตุ สมฺปฎิจฺฉนกิจฺจํ สาธยมานา, ตนฺนิโรธา วิปากมโนวิญฺญาณธาตุ สนฺตีรณกิจฺจํ สาธยมานา, ตนฺนิโรธา กิริยมโนวิญฺญาณธาตุ โวฎฺฐพฺพปนกิจฺจํ สาธยมานา, ตนฺนิโรธา สตฺตกฺขตฺตุํ ชวนํ ชวติฯ ตตฺถ ปฐมชวเนปิ ‘‘อยํ อิตฺถี, อยํ ปุริโส’’ติ รชฺชนทุสฺสนมุยฺหนวเสน อาโลกิตวิโลกิตํ น โหติฯ ทุติยชวเนปิ…เป.… สตฺตมชวเนปิฯ เอเตสุ ปน ยุทฺธมณฺฑเล โยเธสุ วิย เหฎฺฐุปริยวเสน ภิชฺชิตฺวา ปติเตสุ ‘‘อยํ อิตฺถี, อยํ ปุริโส’’ติ รชฺชนาทิวเสน อาโลกิตวิโลกิตํ โหติฯ เอวํ ตาเวตฺถ มูลปริญฺญาวเสน อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Tattha bhavaṅgaṃ upapattibhavassa aṅgakiccaṃ sādhayamānaṃ pavattati, taṃ āvaṭṭetvā kiriyamanodhātu āvajjanakiccaṃ sādhayamānā, tannirodhā cakkhuviññāṇaṃ dassanakiccaṃ sādhayamānaṃ , tannirodhā vipākamanodhātu sampaṭicchanakiccaṃ sādhayamānā, tannirodhā vipākamanoviññāṇadhātu santīraṇakiccaṃ sādhayamānā, tannirodhā kiriyamanoviññāṇadhātu voṭṭhabbapanakiccaṃ sādhayamānā, tannirodhā sattakkhattuṃ javanaṃ javati. Tattha paṭhamajavanepi ‘‘ayaṃ itthī, ayaṃ puriso’’ti rajjanadussanamuyhanavasena ālokitavilokitaṃ na hoti. Dutiyajavanepi…pe… sattamajavanepi. Etesu pana yuddhamaṇḍale yodhesu viya heṭṭhupariyavasena bhijjitvā patitesu ‘‘ayaṃ itthī, ayaṃ puriso’’ti rajjanādivasena ālokitavilokitaṃ hoti. Evaṃ tāvettha mūlapariññāvasena asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
จกฺขุทฺวาเร ปน รูเป อาปาถคเต ภวงฺคจลนโต อุทฺธํ สกกิจฺจํ นิปฺผาทนวเสน อาวชฺชนาทีสุ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุเทฺธสุ อวสาเน ชวนํ อุปฺปชฺชติฯ ตํ ปุเพฺพ อุปฺปนฺนานํ อาวชฺชนาทีนํ เคหภูเต จกฺขุทฺวาเร อาคนฺตุกปุริโส วิย โหติฯ ตสฺส ยถา ปรเคเห กิญฺจิ ยาจิตุํ ปวิฎฺฐสฺส อาคนฺตุกปุริสสฺส เคหสามิเกสุ ตุณฺหีมาสิเนสุ อาณากรณํ น ยุตฺตํฯ เอวํ อาวชฺชนาทีนํ เคหภูเต จกฺขุทฺวาเร อาวชฺชนาทีสุปิ อรชฺชเนฺตสุ อทุสฺสเนฺตสุ อมุยฺหเนฺตสุ จ รชฺชนทุสฺสนมุยฺหนํ อยุตฺตนฺติ เอวํ อาคนฺตุกภาววเสน อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Cakkhudvāre pana rūpe āpāthagate bhavaṅgacalanato uddhaṃ sakakiccaṃ nipphādanavasena āvajjanādīsu uppajjitvā niruddhesu avasāne javanaṃ uppajjati. Taṃ pubbe uppannānaṃ āvajjanādīnaṃ gehabhūte cakkhudvāre āgantukapuriso viya hoti. Tassa yathā paragehe kiñci yācituṃ paviṭṭhassa āgantukapurisassa gehasāmikesu tuṇhīmāsinesu āṇākaraṇaṃ na yuttaṃ. Evaṃ āvajjanādīnaṃ gehabhūte cakkhudvāre āvajjanādīsupi arajjantesu adussantesu amuyhantesu ca rajjanadussanamuyhanaṃ ayuttanti evaṃ āgantukabhāvavasena asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
ยานิ ปน ตานิ จกฺขุทฺวาเร โวฎฺฐพฺพปนปริโยสานานิ จิตฺตานิ อุปฺปชฺชนฺติ, ตานิ สทฺธิํ สมฺปยุตฺตธเมฺมหิ ตตฺถ ตเตฺถว ภิชฺชนฺติ, อญฺญมญฺญํ น ปสฺสนฺตีติ อิตฺตรานิ ตาวกาลิกานิ โหนฺติฯ ตตฺถ ยถา เอกสฺมิํ ฆเร สเพฺพสุ มานุสเกสุ มเตสุ อวเสสสฺส เอกสฺส ตงฺขเณเญฺญว มรณธมฺมสฺส น ยุตฺตา นจฺจคีตาทีสุ อภิรติ นาม, เอวเมว เอกทฺวาเร สสมฺปยุเตฺตสุ อาวชฺชนาทีสุ ตตฺถ ตเตฺถว มเตสุ อวเสสสฺส ตงฺขเณเญฺญว มรณธมฺมสฺส ชวนสฺสาปิ รชฺชนทุสฺสนมุยฺหนวเสน อภิรติ นาม น ยุตฺตาติ เอวํ ตาวกาลิกภาววเสน อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Yāni pana tāni cakkhudvāre voṭṭhabbapanapariyosānāni cittāni uppajjanti, tāni saddhiṃ sampayuttadhammehi tattha tattheva bhijjanti, aññamaññaṃ na passantīti ittarāni tāvakālikāni honti. Tattha yathā ekasmiṃ ghare sabbesu mānusakesu matesu avasesassa ekassa taṅkhaṇeññeva maraṇadhammassa na yuttā naccagītādīsu abhirati nāma, evameva ekadvāre sasampayuttesu āvajjanādīsu tattha tattheva matesu avasesassa taṅkhaṇeññeva maraṇadhammassa javanassāpi rajjanadussanamuyhanavasena abhirati nāma na yuttāti evaṃ tāvakālikabhāvavasena asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อปิจ ขนฺธายตนธาตุปจฺจยปจฺจเวกฺขณวเสนเปตํ เวทิตพฺพํฯ เอตฺถ หิ จกฺขุ เจว รูปญฺจ รูปกฺขโนฺธ, ทสฺสนํ วิญฺญาณกฺขโนฺธ, ตํสมฺปยุตฺตา เวทนา เวทนากฺขโนฺธ, สญฺญา สญฺญากฺขโนฺธ, ผสฺสาทิกา สงฺขารกฺขโนฺธฯ เอวเมเตสํ ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ สมวาเย อาโลกนวิโลกนํ ปญฺญายติฯ ตตฺถ โก เอโก อาโลเกติ, โก วิโลเกติ? ตถา จกฺขุ จกฺขายตนํ, รูปํ รูปายตนํ, ทสฺสนํ มนายตนํ, เวทนาทโย สมฺปยุตฺตธมฺมา ธมฺมายตนํฯ เอวเมเตสํ จตุนฺนํ อายตนานํ สมวาเย อาโลกนวิโลกนํ ปญฺญายติฯ ตตฺถ โก เอโก อาโลเกติ, โก วิโลเกติ? ตถา จกฺขุ จกฺขุธาตุ, รูปํ รูปธาตุ, ทสฺสนํ จกฺขุวิญฺญาณธาตุ, ตํสมฺปยุตฺตา เวทนาทโย ธมฺมธาตุฯ เอวเมตาสํ จตุนฺนํ ธาตูนํ สมวาเย อาโลกนวิโลกนํ ปญฺญายติฯ ตตฺถ โก เอโก อาโลเกติ, โก วิโลเกติ? ตถา จกฺขุ นิสฺสยปจฺจโย, รูปํ อารมฺมณปจฺจโย, อาวชฺชนํ อนนฺตรสมนนฺตรูปนิสฺสยนตฺถิวิคตปจฺจโย, อาโลโก อุปนิสฺสยปจฺจโย เวทนาทโย สหชาตปจฺจโยฯ เอวเมเตสํ ปจฺจยานํ สมวาเย อาโลกนวิโลกนํ ปญฺญายติฯ ตตฺถ โก เอโก อาโลเกติ, โก วิโลเกตีติ? เอวเมตฺถ ขนฺธายตนธาตุปจฺจยปจฺจเวกฺขณวเสนปิ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Apica khandhāyatanadhātupaccayapaccavekkhaṇavasenapetaṃ veditabbaṃ. Ettha hi cakkhu ceva rūpañca rūpakkhandho, dassanaṃ viññāṇakkhandho, taṃsampayuttā vedanā vedanākkhandho, saññā saññākkhandho, phassādikā saṅkhārakkhandho. Evametesaṃ pañcannaṃ khandhānaṃ samavāye ālokanavilokanaṃ paññāyati. Tattha ko eko āloketi, ko viloketi? Tathā cakkhu cakkhāyatanaṃ, rūpaṃ rūpāyatanaṃ, dassanaṃ manāyatanaṃ, vedanādayo sampayuttadhammā dhammāyatanaṃ. Evametesaṃ catunnaṃ āyatanānaṃ samavāye ālokanavilokanaṃ paññāyati. Tattha ko eko āloketi, ko viloketi? Tathā cakkhu cakkhudhātu, rūpaṃ rūpadhātu, dassanaṃ cakkhuviññāṇadhātu, taṃsampayuttā vedanādayo dhammadhātu. Evametāsaṃ catunnaṃ dhātūnaṃ samavāye ālokanavilokanaṃ paññāyati. Tattha ko eko āloketi, ko viloketi? Tathā cakkhu nissayapaccayo, rūpaṃ ārammaṇapaccayo, āvajjanaṃ anantarasamanantarūpanissayanatthivigatapaccayo, āloko upanissayapaccayo vedanādayo sahajātapaccayo. Evametesaṃ paccayānaṃ samavāye ālokanavilokanaṃ paññāyati. Tattha ko eko āloketi, ko viloketīti? Evamettha khandhāyatanadhātupaccayapaccavekkhaṇavasenapi asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
สมิญฺชิเต ปสาริเตติ ปพฺพานํ สมิญฺชนปสารเณฯ ตตฺถ จิตฺตวเสเนว สมิญฺชนปสารณํ อกตฺวา หตฺถปาทานํ สมิญฺชนปสารณปจฺจยา อตฺถานตฺถํ ปริคฺคเหตฺวา อตฺถปริคฺคหณํ สาตฺถกสมฺปชญฺญํฯ ตตฺถ หตฺถปาเท อติจิรํ สมิเญฺชตฺวา ปสาเรตฺวา เอว วา ฐิตสฺส ขเณ ขเณ เวทนา อุปฺปชฺชนฺติ, จิตฺตํ เอกคฺคํ น ลภติ, กมฺมฎฺฐานํ ปริปตติ, วิเสสํ นาธิคจฺฉติฯ กาเล สมิเญฺชนฺตสฺส กาเล ปสาเรนฺตสฺส ปน ตา เวทนา น อุปฺปชฺชนฺติ, จิตฺตํ เอกคฺคํ โหติ, กมฺมฎฺฐานํ ผาติํ คจฺฉติ, วิเสสมธิคจฺฉตีติ เอวํ อตฺถานตฺถปริคฺคหณํ เวทิตพฺพํฯ
Samiñjite pasāriteti pabbānaṃ samiñjanapasāraṇe. Tattha cittavaseneva samiñjanapasāraṇaṃ akatvā hatthapādānaṃ samiñjanapasāraṇapaccayā atthānatthaṃ pariggahetvā atthapariggahaṇaṃ sātthakasampajaññaṃ. Tattha hatthapāde aticiraṃ samiñjetvā pasāretvā eva vā ṭhitassa khaṇe khaṇe vedanā uppajjanti, cittaṃ ekaggaṃ na labhati, kammaṭṭhānaṃ paripatati, visesaṃ nādhigacchati. Kāle samiñjentassa kāle pasārentassa pana tā vedanā na uppajjanti, cittaṃ ekaggaṃ hoti, kammaṭṭhānaṃ phātiṃ gacchati, visesamadhigacchatīti evaṃ atthānatthapariggahaṇaṃ veditabbaṃ.
อเตฺถ ปน สติปิ สปฺปายาสปฺปายํ ปริคฺคณฺหิตฺวา สปฺปายปริคฺคหณํ สปฺปายสมฺปชญฺญํฯ ตตฺรายํ นโย – มหาเจติยงฺคเณ กิร ทหรภิกฺขู สชฺฌายํ คณฺหนฺติฯ เตสํ ปิฎฺฐิปเสฺส ทหรภิกฺขุนิโย ธมฺมํ สุณนฺติฯ ตเตฺรโก ทหโร หตฺถํ ปสาเรโนฺต กายสํสคฺคํ ปตฺวา เตเนว การเณน คิหี ชาโตฯ อปโรปิ ภิกฺขุ ปาทํ ปสาเรโนฺต อคฺคิมฺหิ ปสาเรสิ, อฎฺฐิํ อาหจฺจ ปาโท ฌายิฯ อปโร วมฺมิเก ปสาเรสิ, โส อาสีวิเสน ทโฎฺฐฯ อปโร จีวรกุฎิทณฺฑเก ปสาเรสิ, ตํ มณิสโปฺป ฑํสิฯ ตสฺมา เอวรูเป อสปฺปาเย อปสาเรตฺวา สปฺปาเย ปสาเรตพฺพํฯ อิทเมตฺถ สปฺปายสมฺปชญฺญํฯ
Atthe pana satipi sappāyāsappāyaṃ pariggaṇhitvā sappāyapariggahaṇaṃ sappāyasampajaññaṃ. Tatrāyaṃ nayo – mahācetiyaṅgaṇe kira daharabhikkhū sajjhāyaṃ gaṇhanti. Tesaṃ piṭṭhipasse daharabhikkhuniyo dhammaṃ suṇanti. Tatreko daharo hatthaṃ pasārento kāyasaṃsaggaṃ patvā teneva kāraṇena gihī jāto. Aparopi bhikkhu pādaṃ pasārento aggimhi pasāresi, aṭṭhiṃ āhacca pādo jhāyi. Aparo vammike pasāresi, so āsīvisena daṭṭho. Aparo cīvarakuṭidaṇḍake pasāresi, taṃ maṇisappo ḍaṃsi. Tasmā evarūpe asappāye apasāretvā sappāye pasāretabbaṃ. Idamettha sappāyasampajaññaṃ.
โคจรสมฺปชญฺญํ ปน มหาเถรวตฺถุนา ทีเปตพฺพํ – มหาเถโร กิร ทิวาฎฺฐาเน นิสิโนฺน อเนฺตวาสิเกหิ สทฺธิํ กถยมาโน สหสา หตฺถํ สมิเญฺชตฺวา ปุน ยถาฐาเน ฐเปตฺวา สณิกํ สมิเญฺชสิฯ ตํ อเนฺตวาสิกา ปุจฺฉิํสุ ‘‘กสฺมา ภเนฺต สหสา หตฺถํ สมิเญฺชตฺวา ปุน ยถาฐาเน ฐเปตฺวา สณิกํ สมิญฺชยิตฺถา’’ติฯ ยโต ปฎฺฐายาหํ, อาวุโส, กมฺมฎฺฐานํ มนสิกาตุํ อารโทฺธ, น เม กมฺมฎฺฐานํ มุญฺจิตฺวา หโตฺถ สมิญฺชิตปุโพฺพ, อิทานิ ปน ตุเมฺหหิ สทฺธิํ กถยมาเนน กมฺมฎฺฐานํ มุญฺจิตฺวา สมิญฺชิโต, ตสฺมา ปุน ยถาฐาเน ฐเปตฺวา สมิเญฺชสินฺติฯ สาธุ, ภเนฺต, ภิกฺขุนา นาม เอวรูเปน ภวิตพฺพนฺติฯ เอวเมตฺถาปิ กมฺมฎฺฐานาวิชหนเมว โคจรสมฺปชญฺญนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Gocarasampajaññaṃ pana mahātheravatthunā dīpetabbaṃ – mahāthero kira divāṭṭhāne nisinno antevāsikehi saddhiṃ kathayamāno sahasā hatthaṃ samiñjetvā puna yathāṭhāne ṭhapetvā saṇikaṃ samiñjesi. Taṃ antevāsikā pucchiṃsu ‘‘kasmā bhante sahasā hatthaṃ samiñjetvā puna yathāṭhāne ṭhapetvā saṇikaṃ samiñjayitthā’’ti. Yato paṭṭhāyāhaṃ, āvuso, kammaṭṭhānaṃ manasikātuṃ āraddho, na me kammaṭṭhānaṃ muñcitvā hattho samiñjitapubbo, idāni pana tumhehi saddhiṃ kathayamānena kammaṭṭhānaṃ muñcitvā samiñjito, tasmā puna yathāṭhāne ṭhapetvā samiñjesinti. Sādhu, bhante, bhikkhunā nāma evarūpena bhavitabbanti. Evametthāpi kammaṭṭhānāvijahanameva gocarasampajaññanti veditabbaṃ.
อพฺภนฺตเร อตฺตา นาม โกจิ สมิเญฺชโนฺต วา ปสาเรโนฺต วา นตฺถิฯ วุตฺตปฺปการจิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรน ปน สุตฺตกฑฺฒนวเสน ทารุยนฺตสฺส หตฺถปาทลฬนํ วิย สมิญฺชนปสารณํ โหตีติ เอวํ ปริชานนํ ปเนตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Abbhantare attā nāma koci samiñjento vā pasārento vā natthi. Vuttappakāracittakiriyavāyodhātuvipphārena pana suttakaḍḍhanavasena dāruyantassa hatthapādalaḷanaṃ viya samiñjanapasāraṇaṃ hotīti evaṃ parijānanaṃ panettha asammohasampajaññanti veditabbaṃ.
สงฺฆาฎิปตฺตจีวรธารเณติ เอตฺถ สงฺฆาฎิจีวรานํ นิวาสนปารุปนวเสน ปตฺตสฺส ภิกฺขาปฎิคฺคหณาทิวเสน ปริโภโค ธารณํ นามฯ ตตฺถ สงฺฆาฎิจีวรธารเณ ตาว นิวาเสตฺวา ปารุปิตฺวา จ ปิณฺฑาย จรโต อามิสลาโภ ‘‘สีตสฺส ปฎิฆาตายา’’ติอาทินา นเยน ภควตา วุตฺตปฺปกาโรเยว จ อโตฺถ อโตฺถ นามฯ ตสฺส วเสน สาตฺถกสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Saṅghāṭipattacīvaradhāraṇeti ettha saṅghāṭicīvarānaṃ nivāsanapārupanavasena pattassa bhikkhāpaṭiggahaṇādivasena paribhogo dhāraṇaṃ nāma. Tattha saṅghāṭicīvaradhāraṇe tāva nivāsetvā pārupitvā ca piṇḍāya carato āmisalābho ‘‘sītassa paṭighātāyā’’tiādinā nayena bhagavatā vuttappakāroyeva ca attho attho nāma. Tassa vasena sātthakasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อุณฺหปกติกสฺส ปน ทุพฺพลสฺส จ จีวรํ สุขุมํ สปฺปายํฯ สีตาลุกสฺส ฆนํ ทุปฎฺฎํฯ วิปรีตํ อสปฺปายํฯ ยสฺส กสฺสจิ ชิณฺณํ อสปฺปายเมวฯ อคฺคฬาทิทาเน หิสฺส ตํ ปลิโพธกรํ โหติฯ ตถา ปฎฺฎุณฺณทุกูลาทิเภทํ โลภนียจีวรํฯ ตาทิสญฺหิ อรเญฺญ เอกกสฺส นิวาสนฺตรายกรํ ชีวิตนฺตรายกรํ วาปิ โหติฯ นิปฺปริยาเยน ปน ยํ นิมิตฺตกมฺมาทิมิจฺฉาชีววเสน อุปฺปนฺนํ, ยญฺจสฺส เสวมานสฺส อกุสลา ธมฺมา อภิวฑฺฒนฺติ, กุสลา ธมฺมา ปริหายนฺติ, ตํ อสปฺปายํฯ วิปรีตํ สปฺปายํ ฯ ตสฺส วเสเนตฺถ สปฺปายสมฺปชญฺญํ, กมฺมฎฺฐานาวิชหนวเสเนว จ โคจรสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Uṇhapakatikassa pana dubbalassa ca cīvaraṃ sukhumaṃ sappāyaṃ. Sītālukassa ghanaṃ dupaṭṭaṃ. Viparītaṃ asappāyaṃ. Yassa kassaci jiṇṇaṃ asappāyameva. Aggaḷādidāne hissa taṃ palibodhakaraṃ hoti. Tathā paṭṭuṇṇadukūlādibhedaṃ lobhanīyacīvaraṃ. Tādisañhi araññe ekakassa nivāsantarāyakaraṃ jīvitantarāyakaraṃ vāpi hoti. Nippariyāyena pana yaṃ nimittakammādimicchājīvavasena uppannaṃ, yañcassa sevamānassa akusalā dhammā abhivaḍḍhanti, kusalā dhammā parihāyanti, taṃ asappāyaṃ. Viparītaṃ sappāyaṃ . Tassa vasenettha sappāyasampajaññaṃ, kammaṭṭhānāvijahanavaseneva ca gocarasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อพฺภนฺตเร อตฺตา นาม โกจิ จีวรํ ปารุปโนฺต นตฺถิฯ วุตฺตปฺปการจิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรเนว ปน จีวรปารุปนํ โหติฯ ตตฺถ จีวรมฺปิ อเจตนํ, กาโยปิ อเจตโนฯ จีวรํ น ชานาติ ‘‘มยา กาโย ปารุโต’’ติฯ กาโยปิ น ชานาติ ‘‘อหํ จีวเรน ปารุโต’’ติ, ธาตุโยว ธาตุสมูหํ ปฎิจฺฉาเทนฺติ ปฎปิโลติกาย โปตฺถกรูปปฎิจฺฉาทเน วิยฯ ตสฺมา เนว สุนฺทรํ จีวรํ ลภิตฺวา โสมนสฺสํ กาตพฺพํ, น อสุนฺทรํ ลภิตฺวา โทมนสฺสํฯ นาควมฺมิกเจติยรุกฺขาทีสุ หิ เกจิ มาลาคนฺธธูมวตฺถาทีหิ สกฺการํ กโรนฺติ, เกจิ คูถมุตฺตกทฺทมทณฺฑสตฺถปฺปหาราทีหิ อสกฺการํ, น เต นาควมฺมิกรุกฺขาทโย โสมนสฺสํ วา โทมนสฺสํ วา กโรนฺติ; เอวเมว เนว สุนฺทรํ จีวรํ ลภิตฺวา โสมนสฺสํ กาตพฺพํ, น อสุนฺทรํ ลภิตฺวา โทมนสฺสนฺติ เอวํ ปวตฺตปฎิสงฺขานวเสน ปเนตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Abbhantare attā nāma koci cīvaraṃ pārupanto natthi. Vuttappakāracittakiriyavāyodhātuvipphāreneva pana cīvarapārupanaṃ hoti. Tattha cīvarampi acetanaṃ, kāyopi acetano. Cīvaraṃ na jānāti ‘‘mayā kāyo pāruto’’ti. Kāyopi na jānāti ‘‘ahaṃ cīvarena pāruto’’ti, dhātuyova dhātusamūhaṃ paṭicchādenti paṭapilotikāya potthakarūpapaṭicchādane viya. Tasmā neva sundaraṃ cīvaraṃ labhitvā somanassaṃ kātabbaṃ, na asundaraṃ labhitvā domanassaṃ. Nāgavammikacetiyarukkhādīsu hi keci mālāgandhadhūmavatthādīhi sakkāraṃ karonti, keci gūthamuttakaddamadaṇḍasatthappahārādīhi asakkāraṃ, na te nāgavammikarukkhādayo somanassaṃ vā domanassaṃ vā karonti; evameva neva sundaraṃ cīvaraṃ labhitvā somanassaṃ kātabbaṃ, na asundaraṃ labhitvā domanassanti evaṃ pavattapaṭisaṅkhānavasena panettha asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
ปตฺตธารเณปิ ปตฺตํ สหสาว อคฺคเหตฺวา อิมํ คเหตฺวา ปิณฺฑาย จรมาโน ภิกฺขํ ลภิสฺสามีติ เอวํ ปตฺตคหณปจฺจยา ปฎิลภิตพฺพอตฺถวเสน สาตฺถกสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Pattadhāraṇepi pattaṃ sahasāva aggahetvā imaṃ gahetvā piṇḍāya caramāno bhikkhaṃ labhissāmīti evaṃ pattagahaṇapaccayā paṭilabhitabbaatthavasena sātthakasampajaññaṃ veditabbaṃ.
กิสทุพฺพลสรีรสฺส ปน ครุ ปโตฺต อสปฺปาโยฯ ยสฺส กสฺสจิ จตุปญฺจคณฺฑิกาหโต ทุพฺพิโสธนีโย อสปฺปาโยวฯ ทุโทฺธตปโตฺต หิ น วฎฺฎติ, ตํ โธวนฺตเสฺสว จสฺส ปลิโพโธ โหติฯ มณิวณฺณปโตฺต ปน โลภนีโย จีวเร วุตฺตนเยเนว อสปฺปาโยฯ นิมิตฺตกมฺมาทิวเสน ลโทฺธ ปน ยญฺจสฺส เสวมานสฺส อกุสลา ธมฺมา อภิวฑฺฒนฺติ, กุสลา ธมฺมา ปริหายนฺติ, อยํ เอกนฺตอสปฺปาโยวฯ วิปรีโต สปฺปาโยฯ ตสฺส วเสเนตฺถ สปฺปายสมฺปชญฺญํ, กมฺมฎฺฐานาวิชหนวเสเนว จ โคจรสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Kisadubbalasarīrassa pana garu patto asappāyo. Yassa kassaci catupañcagaṇḍikāhato dubbisodhanīyo asappāyova. Duddhotapatto hi na vaṭṭati, taṃ dhovantasseva cassa palibodho hoti. Maṇivaṇṇapatto pana lobhanīyo cīvare vuttanayeneva asappāyo. Nimittakammādivasena laddho pana yañcassa sevamānassa akusalā dhammā abhivaḍḍhanti, kusalā dhammā parihāyanti, ayaṃ ekantaasappāyova. Viparīto sappāyo. Tassa vasenettha sappāyasampajaññaṃ, kammaṭṭhānāvijahanavaseneva ca gocarasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อพฺภนฺตเร อตฺตา นาม โกจิ ปตฺตํ คณฺหโนฺต นตฺถิฯ วุตฺตปฺปการจิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรเนว ปน ปตฺตคฺคหณํ นาม โหติฯ ตตฺถ ปโตฺตปิ อเจตโน, หตฺถาปิ อเจตนาฯ ปโตฺต น ชานาติ ‘‘อหํ หเตฺถหิ คหิโต’’ติฯ หตฺถาปิ น ชานนฺติ ‘‘ปโตฺต อเมฺหหิ คหิโต’’ติฯ ธาตุโยว ธาตุสมูหํ คณฺหนฺติ สณฺฑาเสน อคฺคิวณฺณปตฺตคฺคหเณ วิยาติ เอวํ ปวตฺตปฎิสงฺขานวเสเนตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Abbhantare attā nāma koci pattaṃ gaṇhanto natthi. Vuttappakāracittakiriyavāyodhātuvipphāreneva pana pattaggahaṇaṃ nāma hoti. Tattha pattopi acetano, hatthāpi acetanā. Patto na jānāti ‘‘ahaṃ hatthehi gahito’’ti. Hatthāpi na jānanti ‘‘patto amhehi gahito’’ti. Dhātuyova dhātusamūhaṃ gaṇhanti saṇḍāsena aggivaṇṇapattaggahaṇe viyāti evaṃ pavattapaṭisaṅkhānavasenettha asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อปิจ ยถา ฉินฺนหตฺถปาเท วณมุเขหิ ปคฺฆริตปุพฺพโลหิตกิมิกุเล นีลมกฺขิกสมฺปริกิเณฺณ อนาถสาลายํ นิปเนฺน อนาถมนุเสฺส ทิสฺวา ทยาลุกา ปุริสา เตสํ วณปฎฺฎโจฬกานิ เจว กปาลาทีหิ จ เภสชฺชานิ อุปนาเมนฺติฯ ตตฺถ โจฬกานิปิ เกสญฺจิ สณฺหานิ, เกสญฺจิ ถูลานิ ปาปุณนฺติฯ เภสชฺชกปาลกานิปิ เกสญฺจิ สุสณฺฐานานิ, เกสญฺจิ ทุสฺสณฺฐานานิ ปาปุณนฺติ, น เต ตตฺถ สุมนา วา ทุมฺมนา วา โหนฺติฯ วณปฺปฎิจฺฉาทนมเตฺตเนว หิ โจฬเกน เภสชฺชปฎิคฺคหณมเตฺตเนว จ กปาลเกน เตสมโตฺถ, เอวเมว โย ภิกฺขุ วณโจฬกํ วิย จีวรํ, เภสชฺชกปาลกํ วิย ปตฺตํ, กปาเล เภสชฺชมิว จ ปเตฺต ลทฺธํ ภิกฺขํ สลฺลเกฺขติฯ อยํ สงฺฆาฎิปตฺตจีวรธารเณ อสโมฺมหสมฺปชเญฺญน อุตฺตมสมฺปชานการีติ เวทิตโพฺพฯ
Apica yathā chinnahatthapāde vaṇamukhehi paggharitapubbalohitakimikule nīlamakkhikasamparikiṇṇe anāthasālāyaṃ nipanne anāthamanusse disvā dayālukā purisā tesaṃ vaṇapaṭṭacoḷakāni ceva kapālādīhi ca bhesajjāni upanāmenti. Tattha coḷakānipi kesañci saṇhāni, kesañci thūlāni pāpuṇanti. Bhesajjakapālakānipi kesañci susaṇṭhānāni, kesañci dussaṇṭhānāni pāpuṇanti, na te tattha sumanā vā dummanā vā honti. Vaṇappaṭicchādanamatteneva hi coḷakena bhesajjapaṭiggahaṇamatteneva ca kapālakena tesamattho, evameva yo bhikkhu vaṇacoḷakaṃ viya cīvaraṃ, bhesajjakapālakaṃ viya pattaṃ, kapāle bhesajjamiva ca patte laddhaṃ bhikkhaṃ sallakkheti. Ayaṃ saṅghāṭipattacīvaradhāraṇe asammohasampajaññena uttamasampajānakārīti veditabbo.
อสิตาทีสุ อสิเตติ ปิณฺฑปาตโภชเนฯ ปีเตติ ยาคุอาทิปาเนฯ ขายิเตติ ปิฎฺฐขชฺชกาทิขาทเนฯ สายิเตติ มธุผาณิตาทิสายเนฯ ตตฺถ ‘‘เนว ทวายา’’ติอาทินา นเยน วุโตฺต อฎฺฐวิโธปิ อโตฺถ อโตฺถ นามฯ ตสฺส วเสน สาตฺถกสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ ลูขปณีตติตฺตมธุราทีสุ ปน เยน โภชเนน ยสฺส อผาสุ โหติ, ตํ ตสฺส อสปฺปายํฯ ยํ ปน นิมิตฺตกมฺมาทิวเสน ปฎิลทฺธํ, ยญฺจสฺส ภุญฺชโต อกุสลา ธมฺมา อภิวฑฺฒนฺติ, กุสลา ธมฺมา ปริหายนฺติ, ตํ เอกนฺตอสปฺปายเมวฯ วิปรีตํ สปฺปายํฯ ตสฺส วเสเนตฺถ สปฺปายสมฺปชญฺญํ, กมฺมฎฺฐานาวิชหนวเสเนว จ โคจรสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Asitādīsu asiteti piṇḍapātabhojane. Pīteti yāguādipāne. Khāyiteti piṭṭhakhajjakādikhādane. Sāyiteti madhuphāṇitādisāyane. Tattha ‘‘neva davāyā’’tiādinā nayena vutto aṭṭhavidhopi attho attho nāma. Tassa vasena sātthakasampajaññaṃ veditabbaṃ. Lūkhapaṇītatittamadhurādīsu pana yena bhojanena yassa aphāsu hoti, taṃ tassa asappāyaṃ. Yaṃ pana nimittakammādivasena paṭiladdhaṃ, yañcassa bhuñjato akusalā dhammā abhivaḍḍhanti, kusalā dhammā parihāyanti, taṃ ekantaasappāyameva. Viparītaṃ sappāyaṃ. Tassa vasenettha sappāyasampajaññaṃ, kammaṭṭhānāvijahanavaseneva ca gocarasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อพฺภนฺตเร อตฺตา นาม โกจิ ภุญฺชโก นตฺถิ, วุตฺตปฺปการจิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผารวเสเนว ปน ปตฺตปฎิคฺคหณํ นาม โหติฯ จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรเนว หตฺถสฺส ปเตฺต โอตารณํ นาม โหติฯ จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรเนว อาโลปกรณํ อาโลปอุทฺธรณํ มุขวิวรณญฺจ โหติฯ น โกจิ กุญฺจิกาย ยนฺตเกน จ หนุกฎฺฐีนิ วิวรติ, จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรเนว อาโลปสฺส มุเข ฐปนํ, อุปริทนฺตานํ มุสลกิจฺจสาธนํ, เหฎฺฐาทนฺตานํ อุทุกฺขลกิจฺจสาธนํ, ชิวฺหาย หตฺถกิจฺจสาธนญฺจ โหติฯ
Abbhantare attā nāma koci bhuñjako natthi, vuttappakāracittakiriyavāyodhātuvipphāravaseneva pana pattapaṭiggahaṇaṃ nāma hoti. Cittakiriyavāyodhātuvipphāreneva hatthassa patte otāraṇaṃ nāma hoti. Cittakiriyavāyodhātuvipphāreneva ālopakaraṇaṃ ālopauddharaṇaṃ mukhavivaraṇañca hoti. Na koci kuñcikāya yantakena ca hanukaṭṭhīni vivarati, cittakiriyavāyodhātuvipphāreneva ālopassa mukhe ṭhapanaṃ, uparidantānaṃ musalakiccasādhanaṃ, heṭṭhādantānaṃ udukkhalakiccasādhanaṃ, jivhāya hatthakiccasādhanañca hoti.
อิติ ตํ ตตฺถ อคฺคชิวฺหาย ตนุกเขโฬ มูลชิวฺหาย พหลเขโฬ มเกฺขติฯ ตํ เหฎฺฐาทนฺตอุทุกฺขเล ชิวฺหาหตฺถปริวตฺติตํ เขฬอุทกเตมิตํ อุปริทนฺตมุสลสญฺจุณฺณิตํ โกจิ กฎจฺฉุนา วา ทพฺพิยา วา อโนฺตปเวเสโนฺต นาม นตฺถิ, วาโยธาตุยาว ปวิสติฯ ปวิฎฺฐํ ปวิฎฺฐํ โกจิ ปลาลสนฺถรํ กตฺวา ธาเรโนฺต นาม นตฺถิ, วาโยธาตุวเสเนว ติฎฺฐติฯ ฐิตํ ฐิตํ โกจิ อุทฺธนํ กตฺวา อคฺคิํ ชาเลตฺวา ปจโนฺต นาม นตฺถิ, เตโชธาตุยาว ปจฺจติฯ ปกฺกํ ปกฺกํ โกจิ ทเณฺฑน วา ยฎฺฐิยา วา พหิ นีหารโก นาม นตฺถิ, วาโยธาตุเยว นีหรติฯ
Iti taṃ tattha aggajivhāya tanukakheḷo mūlajivhāya bahalakheḷo makkheti. Taṃ heṭṭhādantaudukkhale jivhāhatthaparivattitaṃ kheḷaudakatemitaṃ uparidantamusalasañcuṇṇitaṃ koci kaṭacchunā vā dabbiyā vā antopavesento nāma natthi, vāyodhātuyāva pavisati. Paviṭṭhaṃ paviṭṭhaṃ koci palālasantharaṃ katvā dhārento nāma natthi, vāyodhātuvaseneva tiṭṭhati. Ṭhitaṃ ṭhitaṃ koci uddhanaṃ katvā aggiṃ jāletvā pacanto nāma natthi, tejodhātuyāva paccati. Pakkaṃ pakkaṃ koci daṇḍena vā yaṭṭhiyā vā bahi nīhārako nāma natthi, vāyodhātuyeva nīharati.
อิติ วาโยธาตุ อติหรติ จ วีติหรติ จ ธาเรติ จ ปริวเตฺตติ จ สญฺจุเณฺณติ วิโสเสติ จ นีหรติ จฯ ปถวีธาตุ ธาเรติ จ ปริวเตฺตติ จ สญฺจุเณฺณติ จ วิโสเสติ จฯ อาโปธาตุ สิเนเหติ จ อลฺลตฺตญฺจ อนุปาเลติฯ เตโชธาตุ อโนฺตปวิฎฺฐํ ปริปาเจติฯ อากาสธาตุ อญฺชโส โหติฯ วิญฺญาณธาตุ ตตฺถ ตตฺถ สมฺมาปโยคมนฺวาย อาภุชตีติ เอวํปวตฺตปฎิสงฺขานวเสเนตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Iti vāyodhātu atiharati ca vītiharati ca dhāreti ca parivatteti ca sañcuṇṇeti visoseti ca nīharati ca. Pathavīdhātu dhāreti ca parivatteti ca sañcuṇṇeti ca visoseti ca. Āpodhātu sineheti ca allattañca anupāleti. Tejodhātu antopaviṭṭhaṃ paripāceti. Ākāsadhātu añjaso hoti. Viññāṇadhātu tattha tattha sammāpayogamanvāya ābhujatīti evaṃpavattapaṭisaṅkhānavasenettha asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อปิจ คมนโต ปริเยสนโต ปริโภคโต อาสยโต นิธานโต อปริปกฺกโต ปริปกฺกโต ผลโต นิสฺสนฺทโต สมฺมกฺขณโตติ เอวํ ทสวิธปฎิกูลภาวปจฺจเวกฺขณโตเปตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ วิตฺถารกถา ปเนตฺถ วิสุทฺธิมเคฺค อาหารปฎิกูลสญฺญานิเทฺทสโต คเหตพฺพาฯ
Apica gamanato pariyesanato paribhogato āsayato nidhānato aparipakkato paripakkato phalato nissandato sammakkhaṇatoti evaṃ dasavidhapaṭikūlabhāvapaccavekkhaṇatopettha asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ. Vitthārakathā panettha visuddhimagge āhārapaṭikūlasaññāniddesato gahetabbā.
อุจฺจารปสฺสาวกเมฺมติ อุจฺจารสฺส จ ปสฺสาวสฺส จ กรเณฯ ตตฺถ ปตฺตกาเล อุจฺจารปสฺสาวํ อกโรนฺตสฺส สกลสรีรโต เสทา มุจฺจนฺติ, อกฺขีนิ ภมนฺติ, จิตฺตํ น เอกคฺคํ โหติ, อเญฺญ จ โรคา อุปฺปชฺชนฺติฯ กโรนฺตสฺส ปน สพฺพํ ตํ น โหตีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ ตสฺส วเสน สาตฺถกสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ อฎฺฐาเน อุจฺจารปสฺสาวํ กโรนฺตสฺส ปน อาปตฺติ โหติ, อยโส วฑฺฒติ, ชีวิตนฺตราโย โหติฯ ปติรูเป ฐาเน กโรนฺตสฺส สพฺพํ ตํ น โหตีติ อิทเมตฺถ สปฺปายํฯ ตสฺส วเสน สปฺปายสมฺปชญฺญํ, กมฺมฎฺฐานาวิชหนวเสเนว จ โคจรสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Uccārapassāvakammeti uccārassa ca passāvassa ca karaṇe. Tattha pattakāle uccārapassāvaṃ akarontassa sakalasarīrato sedā muccanti, akkhīni bhamanti, cittaṃ na ekaggaṃ hoti, aññe ca rogā uppajjanti. Karontassa pana sabbaṃ taṃ na hotīti ayamettha attho. Tassa vasena sātthakasampajaññaṃ veditabbaṃ. Aṭṭhāne uccārapassāvaṃ karontassa pana āpatti hoti, ayaso vaḍḍhati, jīvitantarāyo hoti. Patirūpe ṭhāne karontassa sabbaṃ taṃ na hotīti idamettha sappāyaṃ. Tassa vasena sappāyasampajaññaṃ, kammaṭṭhānāvijahanavaseneva ca gocarasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อพฺภนฺตเร อตฺตา นาม โกจิ อุจฺจารปสฺสาวํ กโรโนฺต นตฺถิฯ จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรเนว ปน อุจฺจารปสฺสาวกมฺมํ โหติฯ ยถา ปน ปเกฺก คเณฺฑ คณฺฑเภเทน ปุพฺพโลหิตํ อกามตาย นิกฺขมติ, ยถา จ อติภริตา อุทกภาชนา อุทกํ อกามตาย นิกฺขมติ, เอวํ ปกฺกาสยมุตฺตวตฺถีสุ สนฺนิจิตา อุจฺจารปสฺสาวา วายุเวคสมุปฺปีฬิตา อกามตายปิ นิกฺขมนฺติฯ โส ปนายํ เอวํ นิกฺขมโนฺต อุจฺจารปสฺสาโว เนว ตสฺส ภิกฺขุโน อตฺตโน โหติ, น ปรสฺสฯ เกวลํ สรีรนิสฺสโนฺทว โหติฯ ยถา กิํ? ยถา อุทกกุมฺภโต ปุราณอุทกํ ฉเฑฺฑนฺตสฺส เนว ตํ อตฺตโน โหติ, น ปเรสํฯ เกวลํ ปฎิชคฺคนมตฺตเมว โหติฯ เอวํปวตฺตปฎิสงฺขานวเสเนตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Abbhantare attā nāma koci uccārapassāvaṃ karonto natthi. Cittakiriyavāyodhātuvipphāreneva pana uccārapassāvakammaṃ hoti. Yathā pana pakke gaṇḍe gaṇḍabhedena pubbalohitaṃ akāmatāya nikkhamati, yathā ca atibharitā udakabhājanā udakaṃ akāmatāya nikkhamati, evaṃ pakkāsayamuttavatthīsu sannicitā uccārapassāvā vāyuvegasamuppīḷitā akāmatāyapi nikkhamanti. So panāyaṃ evaṃ nikkhamanto uccārapassāvo neva tassa bhikkhuno attano hoti, na parassa. Kevalaṃ sarīranissandova hoti. Yathā kiṃ? Yathā udakakumbhato purāṇaudakaṃ chaḍḍentassa neva taṃ attano hoti, na paresaṃ. Kevalaṃ paṭijagganamattameva hoti. Evaṃpavattapaṭisaṅkhānavasenettha asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
คตาทีสุ คเตติ คมเนฯ ฐิเตติ ฐาเนฯ นิสิเนฺนติ นิสชฺชายฯ สุเตฺตติ สยเนฯ ชาคริเตติ ชาครเณฯ ภาสิเตติ กถเนฯ ตุณฺหีภาเวติ อกถเนฯ ‘‘คจฺฉโนฺต วา คจฺฉามีติ ปชานาติ, ฐิโต วา ฐิโตมฺหีติ ปชานาติ, นิสิโนฺน วา นิสิโนฺนมฺหีติ ปชานาติ, สยาโน วา สยาโนมฺหีติ ปชานาตี’’ติ อิมสฺมิญฺหิ ฐาเน อทฺธานอิริยาปถา กถิตาฯ ‘‘อภิกฺกเนฺต ปฎิกฺกเนฺต อาโลกิเต วิโลกิเต สมิญฺชิเต ปสาริเต’’ติ อิมสฺมิํ มชฺฌิมาฯ ‘‘คเต ฐิเต นิสิเนฺน สุเตฺต ชาคริเต’’ติ อิธ ปน ขุทฺทกจุณฺณิกอิริยาปถา กถิตาฯ ตสฺมา เอเตสุปิ วุตฺตนเยเนว สมฺปชานการิตา เวทิตพฺพาฯ
Gatādīsu gateti gamane. Ṭhiteti ṭhāne. Nisinneti nisajjāya. Sutteti sayane. Jāgariteti jāgaraṇe. Bhāsiteti kathane. Tuṇhībhāveti akathane. ‘‘Gacchanto vā gacchāmīti pajānāti, ṭhito vā ṭhitomhīti pajānāti, nisinno vā nisinnomhīti pajānāti, sayāno vā sayānomhīti pajānātī’’ti imasmiñhi ṭhāne addhānairiyāpathā kathitā. ‘‘Abhikkante paṭikkante ālokite vilokite samiñjite pasārite’’ti imasmiṃ majjhimā. ‘‘Gate ṭhite nisinne sutte jāgarite’’ti idha pana khuddakacuṇṇikairiyāpathā kathitā. Tasmā etesupi vuttanayeneva sampajānakāritā veditabbā.
ติปิฎกมหาสีวเตฺถโร ปนาห – โย จิรํ คนฺตฺวา วา จงฺกมิตฺวา วา อปรภาเค ฐิโต อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ ‘‘จงฺกมนกาเล ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา เอเตฺถว นิรุทฺธา’’ติ, อยํ คเต สมฺปชานการี นามฯ โย สชฺฌายํ วา กโรโนฺต ปญฺหํ วา วิสฺสเชฺชโนฺต กมฺมฎฺฐานํ วา มนสิกโรโนฺต จิรํ ฐตฺวา อปรภาเค นิสิโนฺน อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ ‘‘ฐิตกาเล ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา เอเตฺถว นิรุทฺธา’’ติ, อยํ ฐิเต สมฺปชานการี นามฯ โย สชฺฌายาทิกรณวเสเนว จิรํ นิสีทิตฺวา อปรภาเค นิปโนฺน อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ ‘‘นิสินฺนกาเล ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา เอเตฺถว นิรุทฺธา’’ติ, อยํ นิสิเนฺน สมฺปชานการี นามฯ โย ปน นิปนฺนโก สชฺฌายํ วา กโรโนฺต กมฺมฎฺฐานํ วา มนสิกโรโนฺต นิทฺทํ โอกฺกมิตฺวา อปรภาเค วุฎฺฐาย อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ ‘‘สยนกาเล ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา เอเตฺถว นิรุทฺธา’’ติ, อยํ สุเตฺต ชาคริเต จ สมฺปชานการี นามฯ กิริยมยจิตฺตานญฺหิ อปฺปวตฺตํ สุตฺตํ นาม, ปวตฺตํ ชาคริตํ นามาติฯ โย ปน ภาสมาโน ‘‘อยํ สโทฺท นาม โอเฎฺฐ จ ปฎิจฺจ ทเนฺต จ ชิวฺหญฺจ ตาลุญฺจ ปฎิจฺจ จิตฺตสฺส ตทนุรูปํ ปโยคํ ปฎิจฺจ ชายตี’’ติ สโต สมฺปชาโน ภาสติ, จิรํ วา ปน กาลํ สชฺฌายํ วา กตฺวา ธมฺมํ วา กเถตฺวา กมฺมฎฺฐานํ วา ปริวเตฺตตฺวา ปญฺหํ วา วิสฺสเชฺชตฺวา อปรภาเค ตุณฺหีภูโต อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ ‘‘ภาสิตกาเล อุปฺปนฺนา รูปารูปธมฺมา เอเตฺถว นิรุทฺธา’’ติ, อยํ ภาสิเต สมฺปชานการี นามฯ โย ตุณฺหีภูโต จิรํ ธมฺมํ วา กมฺมฎฺฐานํ วา มนสิกตฺวา อปรภาเค อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ ‘‘ตุณฺหีภูตกาเล ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา เอเตฺถว นิรุทฺธา, อุปาทารูปปวตฺติยา สติ ภาสติ นาม, อสติ ตุณฺหี ภวติ นามา’’ติ, อยํ ตุณฺหีภาเว สมฺปชานการี นามาติฯ
Tipiṭakamahāsīvatthero panāha – yo ciraṃ gantvā vā caṅkamitvā vā aparabhāge ṭhito iti paṭisañcikkhati ‘‘caṅkamanakāle pavattā rūpārūpadhammā ettheva niruddhā’’ti, ayaṃ gate sampajānakārī nāma. Yo sajjhāyaṃ vā karonto pañhaṃ vā vissajjento kammaṭṭhānaṃ vā manasikaronto ciraṃ ṭhatvā aparabhāge nisinno iti paṭisañcikkhati ‘‘ṭhitakāle pavattā rūpārūpadhammā ettheva niruddhā’’ti, ayaṃ ṭhite sampajānakārī nāma. Yo sajjhāyādikaraṇavaseneva ciraṃ nisīditvā aparabhāge nipanno iti paṭisañcikkhati ‘‘nisinnakāle pavattā rūpārūpadhammā ettheva niruddhā’’ti, ayaṃ nisinne sampajānakārī nāma. Yo pana nipannako sajjhāyaṃ vā karonto kammaṭṭhānaṃ vā manasikaronto niddaṃ okkamitvā aparabhāge vuṭṭhāya iti paṭisañcikkhati ‘‘sayanakāle pavattā rūpārūpadhammā ettheva niruddhā’’ti, ayaṃ sutte jāgarite ca sampajānakārī nāma. Kiriyamayacittānañhi appavattaṃ suttaṃ nāma, pavattaṃ jāgaritaṃ nāmāti. Yo pana bhāsamāno ‘‘ayaṃ saddo nāma oṭṭhe ca paṭicca dante ca jivhañca tāluñca paṭicca cittassa tadanurūpaṃ payogaṃ paṭicca jāyatī’’ti sato sampajāno bhāsati, ciraṃ vā pana kālaṃ sajjhāyaṃ vā katvā dhammaṃ vā kathetvā kammaṭṭhānaṃ vā parivattetvā pañhaṃ vā vissajjetvā aparabhāge tuṇhībhūto iti paṭisañcikkhati ‘‘bhāsitakāle uppannā rūpārūpadhammā ettheva niruddhā’’ti, ayaṃ bhāsite sampajānakārī nāma. Yo tuṇhībhūto ciraṃ dhammaṃ vā kammaṭṭhānaṃ vā manasikatvā aparabhāge iti paṭisañcikkhati ‘‘tuṇhībhūtakāle pavattā rūpārūpadhammā ettheva niruddhā, upādārūpapavattiyā sati bhāsati nāma, asati tuṇhī bhavati nāmā’’ti, ayaṃ tuṇhībhāve sampajānakārī nāmāti.
ตยิทํ มหาสีวเตฺถเรน วุตฺตํ อสโมฺมหธุรํ อิมสฺมิํ สติปฎฺฐานสุเตฺต อธิเปฺปตํฯ สามญฺญผเล ปน สพฺพมฺปิ จตุพฺพิธํ สมฺปชญฺญํ ลพฺภติฯ ตสฺมา วิเสสโต เอตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญเสฺสว วเสน สมฺปชานการิตา เวทิตพฺพาฯ สมฺปชานการี สมฺปชานการีติ จ สพฺพปเทสุ สติสมฺปยุตฺตเสฺสว สมฺปชญฺญสฺส วเสนโตฺถ เวทิตโพฺพฯ วิภงฺคปฺปกรเณ ปน, ‘‘สโต สมฺปชาโน อภิกฺกมติ, สโต สมฺปชาโน ปฎิกฺกมตี’’ติ (วิภ. ๕๒๓) เอวเมตานิ ปทานิ วิภตฺตาเนวฯ
Tayidaṃ mahāsīvattherena vuttaṃ asammohadhuraṃ imasmiṃ satipaṭṭhānasutte adhippetaṃ. Sāmaññaphale pana sabbampi catubbidhaṃ sampajaññaṃ labbhati. Tasmā visesato ettha asammohasampajaññasseva vasena sampajānakāritā veditabbā. Sampajānakārī sampajānakārīti ca sabbapadesu satisampayuttasseva sampajaññassa vasenattho veditabbo. Vibhaṅgappakaraṇe pana, ‘‘sato sampajāno abhikkamati, sato sampajāno paṭikkamatī’’ti (vibha. 523) evametāni padāni vibhattāneva.
อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ จตุสมฺปชญฺญปริคฺคหเณน อตฺตโน วา กาเย, ปรสฺส วา กาเย, กาเลน วา อตฺตโน, กาเลน วา ปรสฺส กาเย กายานุปสฺสี วิหรติฯ อิธ สมุทยวยธมฺมานุปสฺสีติอาทีสุ รูปกฺขนฺธเสฺสว สมุทโย จ วโย จ นีหริตโพฺพฯ เสสํ วุตฺตสทิสเมวฯ
Iti ajjhattaṃ vāti evaṃ catusampajaññapariggahaṇena attano vā kāye, parassa vā kāye, kālena vā attano, kālena vā parassa kāye kāyānupassī viharati. Idha samudayavayadhammānupassītiādīsu rūpakkhandhasseva samudayo ca vayo ca nīharitabbo. Sesaṃ vuttasadisameva.
อิธ จตุสมฺปชญฺญปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจํ, ตสฺสา สมุฎฺฐาปิกา ปุริมตณฺหา สมุทยสจฺจํ, อุภินฺนํ อปฺปวตฺติ นิโรธสจฺจํ, วุตฺตปฺปกาโร อริยมโคฺค มคฺคสจฺจํฯ เอวํ จตุสจฺจวเสน อุสฺสกฺกิตฺวา นิพฺพุติํ ปาปุณาตีติ อิทเมกสฺส จตุสมฺปชญฺญปริคฺคาหกสฺส ภิกฺขุโน วเสน ยาว อรหตฺตา นิยฺยานมุขนฺติฯ
Idha catusampajaññapariggāhikā sati dukkhasaccaṃ, tassā samuṭṭhāpikā purimataṇhā samudayasaccaṃ, ubhinnaṃ appavatti nirodhasaccaṃ, vuttappakāro ariyamaggo maggasaccaṃ. Evaṃ catusaccavasena ussakkitvā nibbutiṃ pāpuṇātīti idamekassa catusampajaññapariggāhakassa bhikkhuno vasena yāva arahattā niyyānamukhanti.
จตุสมฺปชญฺญปพฺพวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Catusampajaññapabbavaṇṇanā niṭṭhitā.
ปฎิกูลมนสิการปพฺพวณฺณนา
Paṭikūlamanasikārapabbavaṇṇanā
๑๑๐. เอวํ จตุสมฺปชญฺญวเสน กายานุปสฺสนํ วิภชิตฺวา อิทานิ ปฎิกูลมนสิการวเสน วิภชิตุํ ปุน จปรนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ อิมเมว กายนฺติอาทีสุ ยํ วตฺตพฺพํ สิยา, ตํ สพฺพํ สพฺพากาเรน วิตฺถารโต วิสุทฺธิมเคฺค กายคตาสติกมฺมฎฺฐาเน วุตฺตํฯ อุภโตมุขาติ เหฎฺฐา จ อุปริ จาติ ทฺวีหิ มุเขหิ ยุตฺตาฯ นานาวิหิตสฺสาติ นานาวิธสฺสฯ
110. Evaṃ catusampajaññavasena kāyānupassanaṃ vibhajitvā idāni paṭikūlamanasikāravasena vibhajituṃ puna caparantiādimāha. Tattha imameva kāyantiādīsu yaṃ vattabbaṃ siyā, taṃ sabbaṃ sabbākārena vitthārato visuddhimagge kāyagatāsatikammaṭṭhāne vuttaṃ. Ubhatomukhāti heṭṭhā ca upari cāti dvīhi mukhehi yuttā. Nānāvihitassāti nānāvidhassa.
อิทํ ปเนตฺถ โอปมฺมสํสนฺทนํ – อุภโตมุขา ปุโตฬิ วิย หิ จาตุมหาภูติโก กาโย, ตตฺถ มิเสฺสตฺวา ปกฺขิตฺตนานาวิธธญฺญํ วิย เกสาทโย ทฺวตฺติํสาการา, จกฺขุมา ปุริโส วิย โยคาวจโร, ตสฺส ตํ ปุโตฬิํ มุญฺจิตฺวา ปจฺจเวกฺขโต นานาวิธธญฺญสฺส ปากฎกาโล วิย โยคิโน ทฺวตฺติํสาการสฺส วิภูตากาโร เวทิตโพฺพฯ
Idaṃ panettha opammasaṃsandanaṃ – ubhatomukhā putoḷi viya hi cātumahābhūtiko kāyo, tattha missetvā pakkhittanānāvidhadhaññaṃ viya kesādayo dvattiṃsākārā, cakkhumā puriso viya yogāvacaro, tassa taṃ putoḷiṃ muñcitvā paccavekkhato nānāvidhadhaññassa pākaṭakālo viya yogino dvattiṃsākārassa vibhūtākāro veditabbo.
อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ เกสาทิปริคฺคหเณน อตฺตโน วา กาเย, ปรสฺส วา กาเย, กาเลน วา อตฺตโน, กาเลน วา ปรสฺส กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ, อิโต ปรํ วุตฺตนยเมวฯ เกวลญฺหิ อิธ ทฺวตฺติํสาการปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจนฺติ เอวํ โยชนํ กตฺวา นิยฺยานมุขํ เวทิตพฺพํฯ เสสํ ปุริมสทิสเมวาติฯ
Iti ajjhattaṃ vāti evaṃ kesādipariggahaṇena attano vā kāye, parassa vā kāye, kālena vā attano, kālena vā parassa kāye kāyānupassī viharati, ito paraṃ vuttanayameva. Kevalañhi idha dvattiṃsākārapariggāhikā sati dukkhasaccanti evaṃ yojanaṃ katvā niyyānamukhaṃ veditabbaṃ. Sesaṃ purimasadisamevāti.
ปฎิกูลมนสิการปพฺพวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭikūlamanasikārapabbavaṇṇanā niṭṭhitā.
ธาตุมนสิการปพฺพวณฺณนา
Dhātumanasikārapabbavaṇṇanā
๑๑๑. เอวํ ปฎิกูลมนสิการวเสน กายานุปสฺสนํ วิภชิตฺวา อิทานิ ธาตุมนสิการวเสน วิภชิตุํ ปุน จปรนฺติอาทิมาหฯ ตตฺรายํ โอปมฺมสํสนฺทเนน สทฺธิํ อตฺถวณฺณนา – ยถา โกจิ โคฆาตโก วา ตเสฺสว วา ภตฺตเวตนภโต อเนฺตวาสิโก คาวิํ วธิตฺวา วินิวิชฺฌิตฺวา จตโสฺส ทิสา คตานํ มหาปถานํ เวมชฺฌฎฺฐานสงฺขาเต จตุมหาปเถ โกฎฺฐาสํ โกฎฺฐาสํ กตฺวา นิสิโนฺน อสฺส, เอวเมว ภิกฺขุ จตุนฺนํ อิริยาปถานํ เยน เกนจิ อากาเรน ฐิตตฺตา ยถาฐิตํ, ยถาฐิตตฺตา จ ยถาปณิหิตํ กายํ – ‘‘อตฺถิ อิมสฺมิํ กาเย ปถวีธาตุ…เป.… วาโยธาตู’’ติ เอวํ ปจฺจเวกฺขติฯ
111. Evaṃ paṭikūlamanasikāravasena kāyānupassanaṃ vibhajitvā idāni dhātumanasikāravasena vibhajituṃ puna caparantiādimāha. Tatrāyaṃ opammasaṃsandanena saddhiṃ atthavaṇṇanā – yathā koci goghātako vā tasseva vā bhattavetanabhato antevāsiko gāviṃ vadhitvā vinivijjhitvā catasso disā gatānaṃ mahāpathānaṃ vemajjhaṭṭhānasaṅkhāte catumahāpathe koṭṭhāsaṃ koṭṭhāsaṃ katvā nisinno assa, evameva bhikkhu catunnaṃ iriyāpathānaṃ yena kenaci ākārena ṭhitattā yathāṭhitaṃ, yathāṭhitattā ca yathāpaṇihitaṃ kāyaṃ – ‘‘atthi imasmiṃ kāye pathavīdhātu…pe… vāyodhātū’’ti evaṃ paccavekkhati.
กิํ วุตฺตํ โหติ – ยถา โคฆาตกสฺส คาวิํ โปเสนฺตสฺสาปิ อาฆาตนํ อาหรนฺตสฺสาปิ อาหริตฺวา ตตฺถ พนฺธิตฺวา ฐเปนฺตสฺสาปิ วเธนฺตสฺสาปิ วธิตํ มตํ ปสฺสนฺตสฺสาปิ ตาวเทว คาวีติ สญฺญา น อนฺตรธายติ, ยาว นํ ปทาเลตฺวา พีลโส น วิภชติฯ วิภชิตฺวา นิสินฺนสฺส ปน คาวีติ สญฺญา อนฺตรธายติ, มํสสญฺญา ปวตฺตติ, นาสฺส เอวํ โหติ ‘‘อหํ คาวิํ วิกฺกิณามิ, อิเม คาวิํ หรนฺตี’’ติฯ อถ ขฺวสฺส ‘‘อหํ มํสํ วิกฺกิณามิ, อิเม มํสํ หรนฺติ’’เจฺจว โหติ, เอวเมว อิมสฺสาปิ ภิกฺขุโน ปุเพฺพ พาลปุถุชฺชนกาเล คิหิภูตสฺสาปิ ปพฺพชิตสฺสาปิ ตาวเทว สโตฺตติ วา ปุคฺคโลติ วา สญฺญา น อนฺตรธายติ, ยาว อิมเมว กายํ ยถาฐิตํ ยถาปณิหิตํ ฆนวินิโพฺภคํ กตฺวา ธาตุโส น ปจฺจเวกฺขติฯ ธาตุโส ปจฺจเวกฺขโต ปนสฺส สตฺตสญฺญา อนฺตรธายติ, ธาตุวเสเนว จิตฺตํ สนฺติฎฺฐติฯ เตนาห ภควา – ‘‘อิมเมว กายํ ยถาฐิตํ ยถาปณิหิตํ ธาตุโส ปจฺจเวกฺขติ, อตฺถิ อิมสฺมิํ กาเย ปถวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตูติฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ทโกฺข โคฆาตโก วา…เป.… วาโยธาตู’’ติฯ
Kiṃ vuttaṃ hoti – yathā goghātakassa gāviṃ posentassāpi āghātanaṃ āharantassāpi āharitvā tattha bandhitvā ṭhapentassāpi vadhentassāpi vadhitaṃ mataṃ passantassāpi tāvadeva gāvīti saññā na antaradhāyati, yāva naṃ padāletvā bīlaso na vibhajati. Vibhajitvā nisinnassa pana gāvīti saññā antaradhāyati, maṃsasaññā pavattati, nāssa evaṃ hoti ‘‘ahaṃ gāviṃ vikkiṇāmi, ime gāviṃ harantī’’ti. Atha khvassa ‘‘ahaṃ maṃsaṃ vikkiṇāmi, ime maṃsaṃ haranti’’cceva hoti, evameva imassāpi bhikkhuno pubbe bālaputhujjanakāle gihibhūtassāpi pabbajitassāpi tāvadeva sattoti vā puggaloti vā saññā na antaradhāyati, yāva imameva kāyaṃ yathāṭhitaṃ yathāpaṇihitaṃ ghanavinibbhogaṃ katvā dhātuso na paccavekkhati. Dhātuso paccavekkhato panassa sattasaññā antaradhāyati, dhātuvaseneva cittaṃ santiṭṭhati. Tenāha bhagavā – ‘‘imameva kāyaṃ yathāṭhitaṃ yathāpaṇihitaṃ dhātuso paccavekkhati, atthi imasmiṃ kāye pathavīdhātu āpodhātu tejodhātu vāyodhātūti. Seyyathāpi, bhikkhave, dakkho goghātako vā…pe… vāyodhātū’’ti.
โคฆาตโก วิย หิ โยคี, คาวีติ สญฺญา วิย สตฺตสญฺญา, จตุมหาปโถ วิย จตุอิริยาปโถ, พีลโส วิภชิตฺวา นิสินฺนภาโว วิย ธาตุโส ปจฺจเวกฺขณนฺติ อยเมตฺถ ปาฬิวณฺณนา, กมฺมฎฺฐานกถา ปน วิสุทฺธิมเคฺค วิตฺถาริตาฯ
Goghātako viya hi yogī, gāvīti saññā viya sattasaññā, catumahāpatho viya catuiriyāpatho, bīlaso vibhajitvā nisinnabhāvo viya dhātuso paccavekkhaṇanti ayamettha pāḷivaṇṇanā, kammaṭṭhānakathā pana visuddhimagge vitthāritā.
อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ จตุธาตุปริคฺคหเณน อตฺตโน วา กาเย, ปรสฺส วา กาเย, กาเลน วา อตฺตโน, กาเลน วา ปรสฺส กาเย กายานุปสฺสี วิหรติฯ อิโต ปรํ วุตฺตนยเมวฯ เกวลญฺหิ อิธ จตุธาตุปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจนฺติ เอวํ โยชนํ กตฺวา นิยฺยานมุขํ เวทิตพฺพํฯ เสสํ ปุริมสทิสเมวาติฯ
Iti ajjhattaṃ vāti evaṃ catudhātupariggahaṇena attano vā kāye, parassa vā kāye, kālena vā attano, kālena vā parassa kāye kāyānupassī viharati. Ito paraṃ vuttanayameva. Kevalañhi idha catudhātupariggāhikā sati dukkhasaccanti evaṃ yojanaṃ katvā niyyānamukhaṃ veditabbaṃ. Sesaṃ purimasadisamevāti.
ธาตุมนสิการปพฺพวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dhātumanasikārapabbavaṇṇanā niṭṭhitā.
นวสิวถิกปพฺพวณฺณนา
Navasivathikapabbavaṇṇanā
๑๑๒. เอวํ ธาตุมนสิการวเสน กายานุปสฺสนํ วิภชิตฺวา อิทานิ นวหิ สิวถิกปเพฺพหิ วิภชิตุํ, ปุน จปรนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ เสยฺยถาปิ ปเสฺสยฺยาติ ยถา ปเสฺสยฺยฯ สรีรนฺติ มตสรีรํฯ สิวถิกาย ฉฑฺฑีตนฺติ สุสาเน อปวิทฺธํฯ เอกาหํ มตสฺส อสฺสาติ เอกาหมตํฯ ทฺวีหํ มตสฺส อสฺสาติ ทฺวีหมตํฯ ตีหํ มตสฺส อสฺสาติ ตีหมตํฯ ภสฺตา วิย วายุนา อุทฺธํ ชีวิตปริยาทานา ยถานุกฺกมํ สมุคฺคเตน สูนภาเวน อุทฺธุมาตตฺตา อุทฺธุมาตกํฯ วินีลํ วุจฺจติ วิปริภินฺนวณฺณํฯ วิลีนเมว วินีลกํฯ ปฎิกูลตฺตา วา กุจฺฉิตํ วินีลนฺติ วินีลกํฯ มํสุสฺสทฎฺฐาเนสุ รตฺตวณฺณสฺส ปุพฺพสนฺนิจยฎฺฐาเนสุ เสตวณฺณสฺส เยภุเยฺยน จ นีลวณฺณสฺส นีลฎฺฐาเนสุ นีลสาฎกปารุตเสฺสว ฉวสรีรเสฺสตํ อธิวจนํฯ ปริภินฺนฎฺฐาเนหิ นวหิ วา วณมุเขหิ วิสนฺทมานํ ปุพฺพํ วิปุพฺพํฯ วิปุพฺพเมว วิปุพฺพกํ, ปฎิกูลตฺตา วา กุจฺฉิตํ วิปุพฺพนฺติ วิปุพฺพกํฯ วิปุพฺพกํ ชาตํ ตถาภาวํ คตนฺติ วิปุพฺพกชาตํฯ
112. Evaṃ dhātumanasikāravasena kāyānupassanaṃ vibhajitvā idāni navahi sivathikapabbehi vibhajituṃ, puna caparantiādimāha. Tattha seyyathāpi passeyyāti yathā passeyya. Sarīranti matasarīraṃ. Sivathikāya chaḍḍītanti susāne apaviddhaṃ. Ekāhaṃ matassa assāti ekāhamataṃ. Dvīhaṃ matassa assāti dvīhamataṃ. Tīhaṃ matassa assāti tīhamataṃ. Bhastā viya vāyunā uddhaṃ jīvitapariyādānā yathānukkamaṃ samuggatena sūnabhāvena uddhumātattā uddhumātakaṃ. Vinīlaṃ vuccati viparibhinnavaṇṇaṃ. Vilīnameva vinīlakaṃ. Paṭikūlattā vā kucchitaṃ vinīlanti vinīlakaṃ. Maṃsussadaṭṭhānesu rattavaṇṇassa pubbasannicayaṭṭhānesu setavaṇṇassa yebhuyyena ca nīlavaṇṇassa nīlaṭṭhānesu nīlasāṭakapārutasseva chavasarīrassetaṃ adhivacanaṃ. Paribhinnaṭṭhānehi navahi vā vaṇamukhehi visandamānaṃ pubbaṃ vipubbaṃ. Vipubbameva vipubbakaṃ, paṭikūlattā vā kucchitaṃ vipubbanti vipubbakaṃ. Vipubbakaṃ jātaṃ tathābhāvaṃ gatanti vipubbakajātaṃ.
โส อิมเมว กายนฺติ โส ภิกฺขุ อิมํ อตฺตโน กายํ เตน กาเยน สทฺธิํ ญาเณน อุปสํหรติ อุปเนติฯ กถํ? อยมฺปิ โข กาโย เอวํธโมฺม เอวํภาวี เอวํอนตีโตติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อายุ, อุสฺมา, วิญฺญาณนฺติ อิเมสํ ติณฺณํ ธมฺมานํ อตฺถิตาย อยํ กาโย ฐานคมนาทิขโม โหติ อิเมสํ ปน วิคมา อยมฺปิ เอวํธโมฺม เอวํปูติกสภาโวเยว, เอวํภาวี เอวํอุทฺธุมาตาทิเภโท ภวิสฺสติ, เอวํอนตีโต เอวํอุทฺธุมาตาทิภาวํ อนติกฺกโนฺตติฯ
So imameva kāyanti so bhikkhu imaṃ attano kāyaṃ tena kāyena saddhiṃ ñāṇena upasaṃharati upaneti. Kathaṃ? Ayampi kho kāyo evaṃdhammo evaṃbhāvī evaṃanatītoti. Idaṃ vuttaṃ hoti – āyu, usmā, viññāṇanti imesaṃ tiṇṇaṃ dhammānaṃ atthitāya ayaṃ kāyo ṭhānagamanādikhamo hoti imesaṃ pana vigamā ayampi evaṃdhammo evaṃpūtikasabhāvoyeva, evaṃbhāvī evaṃuddhumātādibhedo bhavissati, evaṃanatīto evaṃuddhumātādibhāvaṃ anatikkantoti.
อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ อุทฺธุมาตาทิปริคฺคหเณน อตฺตโน วา กาเย, ปรสฺส วา กาเย, กาเลน วา อตฺตโน, กาเลน วา ปรสฺส กาเย กายานุปสฺสี วิหรติฯ
Iti ajjhattaṃ vāti evaṃ uddhumātādipariggahaṇena attano vā kāye, parassa vā kāye, kālena vā attano, kālena vā parassa kāye kāyānupassī viharati.
ขชฺชมานนฺติ อุทราทีสุ นิสีทิตฺวา อุทรมํสโอฎฺฐมํสอกฺขิกูฎาทีนิ ลุญฺจิตฺวา ลุญฺจิตฺวา ขาทิยมานํฯ สมํสโลหิตนฺติ เสสาวเสสมํสโลหิตยุตฺตํฯ นิมํสโลหิตมกฺขิตนฺติ มํเส ขีเณปิ โลหิตํ น สุสฺสติ, ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘นิมํสโลหิตมกฺขิต’’นฺติฯ อเญฺญนาติ อเญฺญน ทิสาภาเคนฯ หตฺถฎฺฐิกนฺติ จตุสฎฺฐิเภทมฺปิ หตฺถฎฺฐิกํ ปาฎิเยกฺกํ วิปฺปกิณฺณํฯ ปาทฎฺฐิกาทีสุปิ เอเสว นโยฯ เตโรวสฺสิกานีติ อติกฺกนฺตสํวจฺฉรานิฯ ปูตีนีติ อโพฺภกาเส ฐิตานิ วาตาตปวุฎฺฐิสมฺผเสฺสน เตโรวสฺสิกาเนว ปูตีนิ โหนฺติฯ อโนฺตภูมิคตานิ ปน จิรตรํ ติฎฺฐนฺติฯ จุณฺณกชาตานีติ จุณฺณํ จุณฺณํ หุตฺวา วิปฺปกิณฺณานิฯ สพฺพตฺถ โส อิมเมวาติ วุตฺตนเยน ขชฺชมานาทีนํ วเสน โยชนา กาตพฺพาฯ
Khajjamānanti udarādīsu nisīditvā udaramaṃsaoṭṭhamaṃsaakkhikūṭādīni luñcitvā luñcitvā khādiyamānaṃ. Samaṃsalohitanti sesāvasesamaṃsalohitayuttaṃ. Nimaṃsalohitamakkhitanti maṃse khīṇepi lohitaṃ na sussati, taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘nimaṃsalohitamakkhita’’nti. Aññenāti aññena disābhāgena. Hatthaṭṭhikanti catusaṭṭhibhedampi hatthaṭṭhikaṃ pāṭiyekkaṃ vippakiṇṇaṃ. Pādaṭṭhikādīsupi eseva nayo. Terovassikānīti atikkantasaṃvaccharāni. Pūtīnīti abbhokāse ṭhitāni vātātapavuṭṭhisamphassena terovassikāneva pūtīni honti. Antobhūmigatāni pana cirataraṃ tiṭṭhanti. Cuṇṇakajātānīti cuṇṇaṃ cuṇṇaṃ hutvā vippakiṇṇāni. Sabbattha so imamevāti vuttanayena khajjamānādīnaṃ vasena yojanā kātabbā.
อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ ขชฺชมานาทิปริคฺคหเณน ยาว จุณฺณกภาวา อตฺตโน วา กาเย, ปรสฺส วา กาเย, กาเลน วา อตฺตโน, กาเลน วา ปรสฺส กาเย กายานุปสฺสี วิหรติฯ
Iti ajjhattaṃ vāti evaṃ khajjamānādipariggahaṇena yāva cuṇṇakabhāvā attano vā kāye, parassa vā kāye, kālena vā attano, kālena vā parassa kāye kāyānupassī viharati.
อิธ ปน ฐตฺวา นวสิวถิกา สโมธาเนตพฺพาฯ ‘‘เอกาหมตํ วา’’ติอาทินา นเยน วุตฺตา สพฺพาปิ เอกา, ‘‘กาเกหิ วา ขชฺชมาน’’นฺติอาทิกา เอกา, ‘‘อฎฺฐิกสงฺขลิกํ สมํสโลหิตํ นฺหารุสมฺพนฺธ’’นฺติ เอกา, ‘‘นิมํสโลหิตมกฺขิตํ นฺหารุสมฺพนฺธ’’นฺติ เอกา, ‘‘อปคตมํสโลหิตํ นฺหารุสมฺพนฺธ’’นฺติ เอกา, ‘‘อฎฺฐิกานิ อปคตสมฺพนฺธานี’’ติอาทิกา เอกา, ‘‘อฎฺฐิกานิ เสตานิ สงฺขวณฺณปฎิภาคานี’’ติ เอกา, ‘‘ปุญฺชกิตานิ เตโรวสฺสิกานี’’ติ เอกา, ‘‘ปูตีนิ จุณฺณกชาตานี’’ติ เอกาฯ
Idha pana ṭhatvā navasivathikā samodhānetabbā. ‘‘Ekāhamataṃ vā’’tiādinā nayena vuttā sabbāpi ekā, ‘‘kākehi vā khajjamāna’’ntiādikā ekā, ‘‘aṭṭhikasaṅkhalikaṃ samaṃsalohitaṃ nhārusambandha’’nti ekā, ‘‘nimaṃsalohitamakkhitaṃ nhārusambandha’’nti ekā, ‘‘apagatamaṃsalohitaṃ nhārusambandha’’nti ekā, ‘‘aṭṭhikāni apagatasambandhānī’’tiādikā ekā, ‘‘aṭṭhikāni setāni saṅkhavaṇṇapaṭibhāgānī’’ti ekā, ‘‘puñjakitāni terovassikānī’’ti ekā, ‘‘pūtīni cuṇṇakajātānī’’ti ekā.
เอวํ โข, ภิกฺขเวติ อิทํ นวสิวถิกา ทเสฺสตฺวา กายานุปสฺสนํ นิฎฺฐเปโนฺต อาหฯ ตตฺถ นวสิวถิกปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจํ, ตสฺสา สมุฎฺฐาปิกา ปุริมตณฺหา สมุทยสจฺจํ, อุภินฺนํ อปฺปวตฺติ นิโรธสจฺจํ, ทุกฺขปริชานโน สมุทยปชหโน นิโรธารมฺมโณ อริยมโคฺค มคฺคสจฺจํฯ เอวํ จตุสจฺจวเสเนว อุสฺสกฺกิตฺวา นิพฺพุติํ ปาปุณาตีติ อิทํ นวสิวถิกปริคฺคาหกานํ ภิกฺขูนํ ยาว อรหตฺตา นิยฺยานมุขนฺติฯ
Evaṃ kho, bhikkhaveti idaṃ navasivathikā dassetvā kāyānupassanaṃ niṭṭhapento āha. Tattha navasivathikapariggāhikā sati dukkhasaccaṃ, tassā samuṭṭhāpikā purimataṇhā samudayasaccaṃ, ubhinnaṃ appavatti nirodhasaccaṃ, dukkhaparijānano samudayapajahano nirodhārammaṇo ariyamaggo maggasaccaṃ. Evaṃ catusaccavaseneva ussakkitvā nibbutiṃ pāpuṇātīti idaṃ navasivathikapariggāhakānaṃ bhikkhūnaṃ yāva arahattā niyyānamukhanti.
นวสิวถิกปพฺพวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Navasivathikapabbavaṇṇanā niṭṭhitā.
เอตฺตาวตา จ อานาปานปพฺพํ อิริยาปถปพฺพํ จตุสมฺปชญฺญปพฺพํ ปฎิกูลมนสิการปพฺพํ ธาตุมนสิการปพฺพํ นวสิวถิกปพฺพานีติ จุทฺทสปพฺพา กายานุปสฺสนา นิฎฺฐิตา โหติฯ
Ettāvatā ca ānāpānapabbaṃ iriyāpathapabbaṃ catusampajaññapabbaṃ paṭikūlamanasikārapabbaṃ dhātumanasikārapabbaṃ navasivathikapabbānīti cuddasapabbā kāyānupassanā niṭṭhitā hoti.
ตตฺถ อานาปานปพฺพํ ปฎิกูลมนสิการปพฺพนฺติ อิมาเนว เทฺว อปฺปนากมฺมฎฺฐานานิฯ สิวถิกานํ ปน อาทีนวานุปสฺสนาวเสน วุตฺตตฺตา เสสานิ ทฺวาทสาปิ อุปจารกมฺมฎฺฐานาเนวาติฯ
Tattha ānāpānapabbaṃ paṭikūlamanasikārapabbanti imāneva dve appanākammaṭṭhānāni. Sivathikānaṃ pana ādīnavānupassanāvasena vuttattā sesāni dvādasāpi upacārakammaṭṭhānānevāti.
กายานุปสฺสนา นิฎฺฐิตาฯ
Kāyānupassanā niṭṭhitā.
เวทนานุปสฺสนาวณฺณนา
Vedanānupassanāvaṇṇanā
๑๑๓. เอวํ ภควา จุทฺทสวิเธน กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานํ กเถตฺวา อิทานิ นววิเธน เวทนานุปสฺสนํ กเถตุํ กถญฺจ, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ ตตฺถ สุขํ เวทนนฺติ กายิกํ วา เจตสิกํ วา สุขํ เวทนํ เวทยมาโน ‘‘อหํ สุขํ เวทนํ เวทยามี’’ติ ปชานาตีติ อโตฺถฯ ตตฺถ กามํ อุตฺตานเสยฺยกาปิ ทารกา ถญฺญปิวนาทิกาเล สุขํ เวทยมานา ‘‘สุขํ เวทยามา’’ติ ปชานนฺติ, น ปเนตํ เอวรูปํ ชานนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ เอวรูปํ ชานนํ หิ สตฺตูปลทฺธิํ น ชหติ, สตฺตสญฺญํ น อุคฺฆาเฎติ, กมฺมฎฺฐานํ วา สติปฎฺฐานภาวนา วา น โหติฯ อิมสฺส ปน ภิกฺขุโน ชานนํ สตฺตูปลทฺธิํ ชหติ , สตฺตสญฺญํ อุคฺฆาเฎติ, กมฺมฎฺฐานํ เจว สติปฎฺฐานภาวนา จ โหติฯ อิทญฺหิ ‘‘โก เวทยติ, กสฺส เวทนา, กิํ การณา เวทนา’’ติ เอวํ สมฺปชานเวทิยนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ
113. Evaṃ bhagavā cuddasavidhena kāyānupassanāsatipaṭṭhānaṃ kathetvā idāni navavidhena vedanānupassanaṃ kathetuṃ kathañca, bhikkhavetiādimāha. Tattha sukhaṃ vedananti kāyikaṃ vā cetasikaṃ vā sukhaṃ vedanaṃ vedayamāno ‘‘ahaṃ sukhaṃ vedanaṃ vedayāmī’’ti pajānātīti attho. Tattha kāmaṃ uttānaseyyakāpi dārakā thaññapivanādikāle sukhaṃ vedayamānā ‘‘sukhaṃ vedayāmā’’ti pajānanti, na panetaṃ evarūpaṃ jānanaṃ sandhāya vuttaṃ. Evarūpaṃ jānanaṃ hi sattūpaladdhiṃ na jahati, sattasaññaṃ na ugghāṭeti, kammaṭṭhānaṃ vā satipaṭṭhānabhāvanā vā na hoti. Imassa pana bhikkhuno jānanaṃ sattūpaladdhiṃ jahati , sattasaññaṃ ugghāṭeti, kammaṭṭhānaṃ ceva satipaṭṭhānabhāvanā ca hoti. Idañhi ‘‘ko vedayati, kassa vedanā, kiṃ kāraṇā vedanā’’ti evaṃ sampajānavediyanaṃ sandhāya vuttaṃ.
ตตฺถ โก เวทยตีติ น โกจิ สโตฺต วา ปุคฺคโล วา เวทยติฯ กสฺส เวทนาติ น กสฺสจิ สตฺตสฺส วา ปุคฺคลสฺส วา เวทนาฯ กิํ การณา เวทนาติ วตฺถุอารมฺมณาว ปนสฺส เวทนาฯ ตสฺมา เอส เอวํ ปชานาติ – ‘‘ตํ ตํ สุขาทีนํ วตฺถุํ อารมฺมณํ กตฺวา เวทนาว เวทยติฯ ตํ ปน เวทนาปวตฺติํ อุปาทาย ‘อหํ เวทยามี’ติ โวหารมตฺตํ โหตี’’ติฯ เอวํ เวทนาว วตฺถุํ อารมฺมณํ กตฺวา เวทนาว เวทยตีติ สลฺลเกฺขโนฺต เอส ‘‘สุขํ เวทนํ เวทยามี’’ติ ปชานาตีติ เวทิตโพฺพฯ จิตฺตลปพฺพเต อญฺญตโร เถโร วิยฯ เถโร กิร อผาสุกกาเล พลวเวทนาย นิตฺถุนโนฺต อปราปรํ ปริวตฺตติฯ ตเมโก ทหโร อาห ‘‘กตรํ โว, ภเนฺต, ฐานํ รุชฺชตี’’ติฯ อาวุโส, ปาฎิเยกฺกํ รุชฺชนฎฺฐานํ นาม นตฺถิ, วตฺถุํ อารมฺมณํ กตฺวา เวทนาว เวทยตีติฯ เอวํ ชานนกาลโต ปฎฺฐาย อธิวาเสตุํ วฎฺฎติ โน, ภเนฺตติฯ อธิวาเสมิ อาวุโสติฯ อธิวาสนา, ภเนฺต, เสยฺยาติฯ เถโร อธิวาเสสิฯ ตโต วาโต ยาว หทยา ผาเลสิ, มญฺจเก อนฺตานิ ราสิกตานิ อเหสุํฯ เถโร ทหรสฺส ทเสฺสสิ ‘‘วฎฺฎตาวุโส, เอตฺตกา อธิวาสนา’’ติฯ ทหโร ตุณฺหี อโหสิฯ เถโร วีริยสมตํ โยเชตฺวา สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิตฺวา สมสีสี หุตฺวา ปรินิพฺพายิฯ
Tattha ko vedayatīti na koci satto vā puggalo vā vedayati. Kassa vedanāti na kassaci sattassa vā puggalassa vā vedanā. Kiṃ kāraṇā vedanāti vatthuārammaṇāva panassa vedanā. Tasmā esa evaṃ pajānāti – ‘‘taṃ taṃ sukhādīnaṃ vatthuṃ ārammaṇaṃ katvā vedanāva vedayati. Taṃ pana vedanāpavattiṃ upādāya ‘ahaṃ vedayāmī’ti vohāramattaṃ hotī’’ti. Evaṃ vedanāva vatthuṃ ārammaṇaṃ katvā vedanāva vedayatīti sallakkhento esa ‘‘sukhaṃ vedanaṃ vedayāmī’’ti pajānātīti veditabbo. Cittalapabbate aññataro thero viya. Thero kira aphāsukakāle balavavedanāya nitthunanto aparāparaṃ parivattati. Tameko daharo āha ‘‘kataraṃ vo, bhante, ṭhānaṃ rujjatī’’ti. Āvuso, pāṭiyekkaṃ rujjanaṭṭhānaṃ nāma natthi, vatthuṃ ārammaṇaṃ katvā vedanāva vedayatīti. Evaṃ jānanakālato paṭṭhāya adhivāsetuṃ vaṭṭati no, bhanteti. Adhivāsemi āvusoti. Adhivāsanā, bhante, seyyāti. Thero adhivāsesi. Tato vāto yāva hadayā phālesi, mañcake antāni rāsikatāni ahesuṃ. Thero daharassa dassesi ‘‘vaṭṭatāvuso, ettakā adhivāsanā’’ti. Daharo tuṇhī ahosi. Thero vīriyasamataṃ yojetvā saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇitvā samasīsī hutvā parinibbāyi.
ยถา จ สุขํ, เอวํ ทุกฺขํ…เป.… นิรามิสํ อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวทยมาโน ‘‘นิรามิสํ อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวทยามี’’ติ ปชานาติฯ อิติ ภควา รูปกมฺมฎฺฐานํ กเถตฺวา อรูปกมฺมฎฺฐานํ กเถโนฺต เวทนาวเสน กเถสิฯ ทุวิธญฺหิ กมฺมฎฺฐานํ รูปกมฺมฎฺฐานญฺจ อรูปกมฺมฎฺฐานญฺจฯ รูปปริคฺคโห อรูปปริคฺคโหติปิ เอตเทว วุจฺจติฯ ตตฺถ ภควา รูปกมฺมฎฺฐานํ กเถโนฺต สเงฺขปมนสิการวเสน วา วิตฺถารมนสิการวเสน วา จตุธาตุววตฺถานํ กเถสิฯ ตทุภยมฺปิ สพฺพาการโต วิสุทฺธิมเคฺค ทสฺสิตเมวฯ
Yathā ca sukhaṃ, evaṃ dukkhaṃ…pe… nirāmisaṃ adukkhamasukhaṃ vedanaṃ vedayamāno ‘‘nirāmisaṃ adukkhamasukhaṃ vedanaṃ vedayāmī’’ti pajānāti. Iti bhagavā rūpakammaṭṭhānaṃ kathetvā arūpakammaṭṭhānaṃ kathento vedanāvasena kathesi. Duvidhañhi kammaṭṭhānaṃ rūpakammaṭṭhānañca arūpakammaṭṭhānañca. Rūpapariggaho arūpapariggahotipi etadeva vuccati. Tattha bhagavā rūpakammaṭṭhānaṃ kathento saṅkhepamanasikāravasena vā vitthāramanasikāravasena vā catudhātuvavatthānaṃ kathesi. Tadubhayampi sabbākārato visuddhimagge dassitameva.
อรูปกมฺมฎฺฐานํ ปน กเถโนฺต เยภุเยฺยน เวทนาวเสน กเถติฯ ติวิโธ หิ อรูปกมฺมฎฺฐาเน อภินิเวโส ผสฺสวเสน เวทนาวเสน จิตฺตวเสนาติฯ กถํ? เอกจฺจสฺส หิ สํขิเตฺตน วา วิตฺถาเรน วา ปริคฺคหิเต รูปกมฺมฎฺฐาเน ตสฺมิํ อารมฺมเณ จิตฺตเจตสิกานํ ปฐมาภินิปาโต ตํ อารมฺมณํ ผุสโนฺต อุปฺปชฺชมาโน ผโสฺส ปากโฎ โหติฯ เอกจฺจสฺส ตํ อารมฺมณํ อนุภวนฺตี อุปฺปชฺชมานา เวทนา ปากฎา โหติฯ เอกจฺจสฺส ตํ อารมฺมณํ ปริคฺคเหตฺวา วิชานนฺตํ อุปฺปชฺชมานํ วิญฺญาณํ ปากฎํ โหติฯ ตตฺถ ยสฺส ผโสฺส ปากโฎ โหติ, โสปิ ‘‘น เกวลํ ผโสฺสว อุปฺปชฺชติ, เตน สทฺธิํ ตเทว อารมฺมณํ อนุภวมานา เวทนาปิ อุปฺปชฺชติ, สญฺชานนมานา สญฺญาปิ, เจตยมานา เจตนาปิ, วิชานนมานํ วิญฺญาณมฺปิ อุปฺปชฺชตี’’ติ ผสฺสปญฺจมเกเยว ปริคฺคณฺหาติฯ ยสฺส เวทนา ปากฎา โหติฯ โส ‘‘น เกวลํ เวทนาว อุปฺปชฺชติ, ตาย สทฺธิํ ตเทวารมฺมณํ ผุสมาโน ผโสฺสปิ อุปฺปชฺชติ, สญฺชานนมานา สญฺญาปิ, เจตยมานา เจตนาปิ, วิชานนมานํ วิญฺญาณมฺปิ อุปฺปชฺชตี’’ติ ผสฺสปญฺจมเกเยว ปริคฺคณฺหาติฯ ยสฺส วิญฺญาณํ ปากฎํ โหติ, โส ‘‘น เกวลํ วิญฺญาณเมว อุปฺปชฺชติ, เตน สทฺธิํ ตเทวารมฺมณํ ผุสมาโน ผโสฺสปิ อุปฺปชฺชติ, อนุภวมานา เวทนาปิ, สญฺชานนมานา สญฺญาปิ, เจตยมานา เจตนาปิ อุปฺปชฺชตี’’ติ ผสฺสปญฺจมเกเยว ปริคฺคณฺหาติฯ
Arūpakammaṭṭhānaṃ pana kathento yebhuyyena vedanāvasena katheti. Tividho hi arūpakammaṭṭhāne abhiniveso phassavasena vedanāvasena cittavasenāti. Kathaṃ? Ekaccassa hi saṃkhittena vā vitthārena vā pariggahite rūpakammaṭṭhāne tasmiṃ ārammaṇe cittacetasikānaṃ paṭhamābhinipāto taṃ ārammaṇaṃ phusanto uppajjamāno phasso pākaṭo hoti. Ekaccassa taṃ ārammaṇaṃ anubhavantī uppajjamānā vedanā pākaṭā hoti. Ekaccassa taṃ ārammaṇaṃ pariggahetvā vijānantaṃ uppajjamānaṃ viññāṇaṃ pākaṭaṃ hoti. Tattha yassa phasso pākaṭo hoti, sopi ‘‘na kevalaṃ phassova uppajjati, tena saddhiṃ tadeva ārammaṇaṃ anubhavamānā vedanāpi uppajjati, sañjānanamānā saññāpi, cetayamānā cetanāpi, vijānanamānaṃ viññāṇampi uppajjatī’’ti phassapañcamakeyeva pariggaṇhāti. Yassa vedanā pākaṭā hoti. So ‘‘na kevalaṃ vedanāva uppajjati, tāya saddhiṃ tadevārammaṇaṃ phusamāno phassopi uppajjati, sañjānanamānā saññāpi, cetayamānā cetanāpi, vijānanamānaṃ viññāṇampi uppajjatī’’ti phassapañcamakeyeva pariggaṇhāti. Yassa viññāṇaṃ pākaṭaṃ hoti, so ‘‘na kevalaṃ viññāṇameva uppajjati, tena saddhiṃ tadevārammaṇaṃ phusamāno phassopi uppajjati, anubhavamānā vedanāpi, sañjānanamānā saññāpi, cetayamānā cetanāpi uppajjatī’’ti phassapañcamakeyeva pariggaṇhāti.
โส ‘‘อิเม ผสฺสปญฺจมกา ธมฺมา กิํ นิสฺสิตา’’ติ อุปธาเรโนฺต ‘‘วตฺถุํ นิสฺสิตา’’ติ ปชานาติฯ วตฺถุ นาม กรชกาโย, ยํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘อิทญฺจ เม วิญฺญาณํ เอตฺถ สิตํ เอตฺถ ปฎิพทฺธ’’นฺติ (ที. นิ. ๑.๒๓๔,๒๓๕; ม. นิ. ๒.๒๕๒)ฯ โส อตฺถโต ภูตานิ เจว อุปาทารูปานิ จฯ เอวเมตฺถ ‘‘วตฺถุ รูปํ, ผสฺสปญฺจมกา นาม’’นฺติ นามรูปมตฺตเมว ปสฺสติฯ รูปํ เจตฺถ รูปกฺขโนฺธ, นามํ จตฺตาโร อรูปิโน ขนฺธาติ ปญฺจกฺขนฺธมตฺตํ โหติฯ นามรูปวินิมุตฺตา หิ ปญฺจกฺขนฺธา, ปญฺจกฺขนฺธวินิมุตฺตญฺจ นามรูปํ นตฺถิฯ
So ‘‘ime phassapañcamakā dhammā kiṃ nissitā’’ti upadhārento ‘‘vatthuṃ nissitā’’ti pajānāti. Vatthu nāma karajakāyo, yaṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘idañca me viññāṇaṃ ettha sitaṃ ettha paṭibaddha’’nti (dī. ni. 1.234,235; ma. ni. 2.252). So atthato bhūtāni ceva upādārūpāni ca. Evamettha ‘‘vatthu rūpaṃ, phassapañcamakā nāma’’nti nāmarūpamattameva passati. Rūpaṃ cettha rūpakkhandho, nāmaṃ cattāro arūpino khandhāti pañcakkhandhamattaṃ hoti. Nāmarūpavinimuttā hi pañcakkhandhā, pañcakkhandhavinimuttañca nāmarūpaṃ natthi.
โส ‘‘อิเม ปญฺจกฺขนฺธา กิํ เหตุกา’’ติ อุปปริกฺขโนฺต ‘‘อวิชฺชาทิเหตุกา’’ติ ปสฺสติฯ ตโต ปจฺจโย เจว ปจฺจยุปฺปนฺนญฺจ อิทํ, อโญฺญ สโตฺต วา ปุคฺคโล วา นตฺถิ, สุทฺธสงฺขารปุญฺชมตฺตเมวาติ สปฺปจฺจยนามรูปวเสน ติลกฺขณํ อาโรเปตฺวา วิปสฺสนาปฎิปาฎิยา ‘‘อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา’’ติ สมฺมสโนฺต วิจรติฯ
So ‘‘ime pañcakkhandhā kiṃ hetukā’’ti upaparikkhanto ‘‘avijjādihetukā’’ti passati. Tato paccayo ceva paccayuppannañca idaṃ, añño satto vā puggalo vā natthi, suddhasaṅkhārapuñjamattamevāti sappaccayanāmarūpavasena tilakkhaṇaṃ āropetvā vipassanāpaṭipāṭiyā ‘‘aniccaṃ dukkhaṃ anattā’’ti sammasanto vicarati.
โส ‘‘อชฺช อชฺชา’’ติ ปฎิเวธํ อากงฺขมาโน ตถารูเป ทิวเส อุตุสปฺปาย ปุคฺคลสปฺปาย โภชนสปฺปาย ธมฺมสฺสวนสปฺปายํ ลภิตฺวา เอกปลฺลเงฺกน นิสิโนฺน วิปสฺสนํ มตฺถกํ ปาเปตฺวา อรหเตฺต ปติฎฺฐาติฯ เอวํ อิเมสมฺปิ ติณฺณํ ชนานํ ยาว อรหตฺตา กมฺมฎฺฐานํ กถิตํ โหติฯ
So ‘‘ajja ajjā’’ti paṭivedhaṃ ākaṅkhamāno tathārūpe divase utusappāya puggalasappāya bhojanasappāya dhammassavanasappāyaṃ labhitvā ekapallaṅkena nisinno vipassanaṃ matthakaṃ pāpetvā arahatte patiṭṭhāti. Evaṃ imesampi tiṇṇaṃ janānaṃ yāva arahattā kammaṭṭhānaṃ kathitaṃ hoti.
อิธ ปน ภควา อรูปกมฺมฎฺฐานํ กเถโนฺต เวทนาวเสน กเถสิฯ ผสฺสวเสน วา หิ วิญฺญาณวเสน วา กถียมานํ น ปากฎํ โหติ, อนฺธการํ วิย ขายติฯ เวทนาวเสน ปน ปากฎํ โหติฯ กสฺมา? เวทนานํ อุปฺปตฺติปากฎตายฯ สุขทุกฺขเวทนานญฺหิ อุปฺปตฺติ ปากฎาฯ ยทา สุขํ อุปฺปชฺชติ, สกลสรีรํ โขเภนฺตํ มทฺทนฺตํ ผรมานํ อภิสนฺทยมานํ สตโธตํ สปฺปิํ ขาทาปยนฺตํ วิย สตปากเตลํ มกฺขยมานํ วิย ฆฎสหเสฺสน ปริฬาหํ นิพฺพาปยมานํ วิย ‘‘อโห สุขํ อโห สุข’’นฺติ วาจํ นิจฺฉารยมานเมว อุปฺปชฺชติฯ ยทา ทุกฺขํ อุปฺปชฺชติ, สกลสรีรํ โขเภนฺตํ มทฺทนฺตํ ผรมานํ อภิสนฺทยมานํ ตตฺตผาลํ ปเวเสนฺตํ วิย วิลีนตมฺพโลเหน อาสิญฺจนฺตํ วิย สุกฺขติณวนปฺปติมฺหิ อรเญฺญ ทารุอุกฺกากลาปํ ขิปมานํ วิย ‘‘อโห ทุกฺขํ อโห ทุกฺข’’นฺติ วิปฺปลาปยมานเมว อุปฺปชฺชติฯ อิติ สุขทุกฺขเวทนานํ อุปฺปตฺติ ปากฎา โหติฯ
Idha pana bhagavā arūpakammaṭṭhānaṃ kathento vedanāvasena kathesi. Phassavasena vā hi viññāṇavasena vā kathīyamānaṃ na pākaṭaṃ hoti, andhakāraṃ viya khāyati. Vedanāvasena pana pākaṭaṃ hoti. Kasmā? Vedanānaṃ uppattipākaṭatāya. Sukhadukkhavedanānañhi uppatti pākaṭā. Yadā sukhaṃ uppajjati, sakalasarīraṃ khobhentaṃ maddantaṃ pharamānaṃ abhisandayamānaṃ satadhotaṃ sappiṃ khādāpayantaṃ viya satapākatelaṃ makkhayamānaṃ viya ghaṭasahassena pariḷāhaṃ nibbāpayamānaṃ viya ‘‘aho sukhaṃ aho sukha’’nti vācaṃ nicchārayamānameva uppajjati. Yadā dukkhaṃ uppajjati, sakalasarīraṃ khobhentaṃ maddantaṃ pharamānaṃ abhisandayamānaṃ tattaphālaṃ pavesentaṃ viya vilīnatambalohena āsiñcantaṃ viya sukkhatiṇavanappatimhi araññe dāruukkākalāpaṃ khipamānaṃ viya ‘‘aho dukkhaṃ aho dukkha’’nti vippalāpayamānameva uppajjati. Iti sukhadukkhavedanānaṃ uppatti pākaṭā hoti.
อทุกฺขมสุขา ปน ทุทฺทีปนา อนฺธการาว อวิภูตาฯ สา สุขทุกฺขานํ อปคเม สาตาสาตปฺปฎิเกฺขปวเสน มชฺฌตฺตาการภูตา อทุกฺขมสุขา เวทนาติ นยโต คณฺหนฺตสฺส ปากฎา โหติฯ ยถา กิํ? ยถา อนฺตรา ปิฎฺฐิปาสาณํ อาโรหิตฺวา ปลาตสฺส มิคสฺส อนุปถํ คจฺฉโนฺต มิคลุทฺทโก ปิฎฺฐิปาสาณสฺส โอรภาเคปิ ปรภาเคปิ ปทํ ทิสฺวา มเชฺฌ อปสฺสโนฺตปิ ‘‘อิโต อารุโฬฺห, อิโต โอรุโฬฺห, มเชฺฌ ปิฎฺฐิปาสาเณ อิมินา ปเทเสน คโต ภวิสฺสตี’’ติ นยโต ชานาติ, เอวํ อารุฬฺหฎฺฐาเน ปทํ วิย หิ สุขเวทนาย อุปฺปตฺติ ปากฎา โหติฯ โอรุฬฺหฎฺฐาเน ปทํ วิย ทุกฺขเวทนาย อุปฺปตฺติ ปากฎา โหติฯ ‘‘อิโต อารุยฺห อิโต โอรุยฺห มเชฺฌ เอวํ คโต’’ติ นยโต คหณํ วิย สุขทุกฺขานํ อปคเม สาตาสาตปฺปฎิเกฺขปวเสน มชฺฌตฺตาการภูตา อทุกฺขมสุขา เวทนาติ นยโต คณฺหนฺตสฺส ปากฎา โหติฯ เอวํ ภควา ปฐมํ รูปกมฺมฎฺฐานํ กเถตฺวา ปจฺฉา อรูปกมฺมฎฺฐานํ เวทนาวเสน นิพฺพเตฺตตฺวาว ทเสฺสสิฯ
Adukkhamasukhā pana duddīpanā andhakārāva avibhūtā. Sā sukhadukkhānaṃ apagame sātāsātappaṭikkhepavasena majjhattākārabhūtā adukkhamasukhā vedanāti nayato gaṇhantassa pākaṭā hoti. Yathā kiṃ? Yathā antarā piṭṭhipāsāṇaṃ ārohitvā palātassa migassa anupathaṃ gacchanto migaluddako piṭṭhipāsāṇassa orabhāgepi parabhāgepi padaṃ disvā majjhe apassantopi ‘‘ito āruḷho, ito oruḷho, majjhe piṭṭhipāsāṇe iminā padesena gato bhavissatī’’ti nayato jānāti, evaṃ āruḷhaṭṭhāne padaṃ viya hi sukhavedanāya uppatti pākaṭā hoti. Oruḷhaṭṭhāne padaṃ viya dukkhavedanāya uppatti pākaṭā hoti. ‘‘Ito āruyha ito oruyha majjhe evaṃ gato’’ti nayato gahaṇaṃ viya sukhadukkhānaṃ apagame sātāsātappaṭikkhepavasena majjhattākārabhūtā adukkhamasukhā vedanāti nayato gaṇhantassa pākaṭā hoti. Evaṃ bhagavā paṭhamaṃ rūpakammaṭṭhānaṃ kathetvā pacchā arūpakammaṭṭhānaṃ vedanāvasena nibbattetvāva dassesi.
น เกวลญฺจ อิเธว เอวํ ทเสฺสสิ, จูฬตณฺหาสงฺขเย, มหาตณฺหาสงฺขเย, จูฬเวทเลฺล, มหาเวทเลฺล, รฎฺฐปาลสุเตฺต, มาคณฺฑิยสุเตฺต, ธาตุวิภเงฺค, อาเนญฺชสปฺปาเย, ทีฆนิกายมฺหิ มหานิทาเน, สกฺกปเญฺห, มหาสติปฎฺฐาเน, สํยุตฺตมฺหิ จูฬนิทานสุเตฺต, รุโกฺขปเม, ปริวีมํสนสุเตฺต, สกเล เวทนาสํยุเตฺตติ เอวํ อเนเกสุ สุเตฺตสุ ปฐมํ รูปกมฺมฎฺฐานํ กเถตฺวา ปจฺฉา อรูปกมฺมฎฺฐานํ เวทนาวเสน นิพฺพเตฺตตฺวา ทเสฺสสิฯ ยถา จ เตสุ, เอวํ อิมสฺมิมฺปิ สติปฎฺฐานสุเตฺต ปฐมํ รูปกมฺมฎฺฐานํ กเถตฺวา ปจฺฉา อรูปกมฺมฎฺฐานํ เวทนาวเสน นิพฺพเตฺตตฺวา ทเสฺสสิฯ
Na kevalañca idheva evaṃ dassesi, cūḷataṇhāsaṅkhaye, mahātaṇhāsaṅkhaye, cūḷavedalle, mahāvedalle, raṭṭhapālasutte, māgaṇḍiyasutte, dhātuvibhaṅge, āneñjasappāye, dīghanikāyamhi mahānidāne, sakkapañhe, mahāsatipaṭṭhāne, saṃyuttamhi cūḷanidānasutte, rukkhopame, parivīmaṃsanasutte, sakale vedanāsaṃyutteti evaṃ anekesu suttesu paṭhamaṃ rūpakammaṭṭhānaṃ kathetvā pacchā arūpakammaṭṭhānaṃ vedanāvasena nibbattetvā dassesi. Yathā ca tesu, evaṃ imasmimpi satipaṭṭhānasutte paṭhamaṃ rūpakammaṭṭhānaṃ kathetvā pacchā arūpakammaṭṭhānaṃ vedanāvasena nibbattetvā dassesi.
ตตฺถ สุขํ เวทนนฺติอาทีสุ อยํ อปโรปิ ปชานนปริยาโย – สุขํ เวทนํ เวทยามีติ ปชานาตีติ สุขเวทนากฺขเณ ทุกฺขาย เวทนาย อภาวโต สุขํ เวทนํ เวทยมาโน ‘‘สุขํ เวทนํ เวทยามี’’ติ ปชานาติฯ เตน ยา ปุเพฺพ อนุภูตปุพฺพา ทุกฺขา เวทนา, ตสฺสา อิทานิ อภาวโต อิมิสฺสา จ สุขาย เวทนาย อิโต ปฐมํ อภาวโต เวทนา นาม อนิจฺจา อธุวา วิปริณามธมฺมา, อิติห ตตฺถ สมฺปชาโน โหติฯ
Tattha sukhaṃ vedanantiādīsu ayaṃ aparopi pajānanapariyāyo – sukhaṃ vedanaṃ vedayāmīti pajānātīti sukhavedanākkhaṇe dukkhāya vedanāya abhāvato sukhaṃ vedanaṃ vedayamāno ‘‘sukhaṃ vedanaṃ vedayāmī’’ti pajānāti. Tena yā pubbe anubhūtapubbā dukkhā vedanā, tassā idāni abhāvato imissā ca sukhāya vedanāya ito paṭhamaṃ abhāvato vedanā nāma aniccā adhuvā vipariṇāmadhammā, itiha tattha sampajāno hoti.
วุตฺตมฺปิ เจตํ ภควตา –
Vuttampi cetaṃ bhagavatā –
‘‘ยสฺมิํ อคฺคิเวสฺสน สมเย สุขํ เวทนํ เวเทติ, เนว ตสฺมิํ สมเย ทุกฺขํ เวทนํ เวเทติ, น อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวเทติ, สุขํเยว ตสฺมิํ สมเย เวทนํ เวเทติ, ยสฺมิํ อคฺคิเวสฺสน สมเย ทุกฺขํ…เป.… อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวเทติ, เนว ตสฺมิํ สมเย สุขํ เวทนํ เวเทติ, น ทุกฺขํ เวทนํ เวเทติ, อทุกฺขมสุขเญฺญว ตสฺมิํ สมเย เวทนํ เวเทติฯ สุขาปิ โข อคฺคิเวสฺสน เวทนา อนิจฺจา สงฺขตา ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนา ขยธมฺมา วยธมฺมา วิราคธมฺมา นิโรธธมฺมาฯ ทุกฺขาปิ โข…เป.… อทุกฺขมสุขาปิ โข อคฺคิเวสฺสน เวทนา อนิจฺจา…เป.… นิโรธธมฺมาฯ เอวํ ปสฺสํ อคฺคิเวสฺสน สุตวา อริยสาวโก สุขายปิ เวทนาย ทุกฺขายปิ เวทนาย อทุกฺขมสุขายปิ เวทนาย นิพฺพินฺทติ, นิพฺพินฺทํ วิรชฺชติ, วิราคา วิมุจฺจติ, วิมุตฺตสฺมิํ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติฯ ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ ปชานาตี’’ติ (ม. นิ. ๒.๒๐๕)ฯ
‘‘Yasmiṃ aggivessana samaye sukhaṃ vedanaṃ vedeti, neva tasmiṃ samaye dukkhaṃ vedanaṃ vedeti, na adukkhamasukhaṃ vedanaṃ vedeti, sukhaṃyeva tasmiṃ samaye vedanaṃ vedeti, yasmiṃ aggivessana samaye dukkhaṃ…pe… adukkhamasukhaṃ vedanaṃ vedeti, neva tasmiṃ samaye sukhaṃ vedanaṃ vedeti, na dukkhaṃ vedanaṃ vedeti, adukkhamasukhaññeva tasmiṃ samaye vedanaṃ vedeti. Sukhāpi kho aggivessana vedanā aniccā saṅkhatā paṭiccasamuppannā khayadhammā vayadhammā virāgadhammā nirodhadhammā. Dukkhāpi kho…pe… adukkhamasukhāpi kho aggivessana vedanā aniccā…pe… nirodhadhammā. Evaṃ passaṃ aggivessana sutavā ariyasāvako sukhāyapi vedanāya dukkhāyapi vedanāya adukkhamasukhāyapi vedanāya nibbindati, nibbindaṃ virajjati, virāgā vimuccati, vimuttasmiṃ vimuttamiti ñāṇaṃ hoti. ‘Khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti pajānātī’’ti (ma. ni. 2.205).
สามิสํ วา สุขนฺติอาทีสุ สามิสา สุขา นาม ปญฺจกามคุณามิสนิสฺสิตา ฉ เคหสิตโสมนสฺสเวทนาฯ นิรามิสา สุขา นาม ฉ เนกฺขมฺมสิตโสมนสฺสเวทนาฯ สามิสา ทุกฺขา นาม ฉ เคหสิตโทมนสฺสเวทนาฯ นิรามิสา ทุกฺขา นาม ฉ เนกฺขมฺมสิตโทมนสฺสเวทนาฯ สามิสา อทุกฺขมสุขา นาม ฉ เคหสิตอุเปกฺขา เวทนาฯ นิรามิสา อทุกฺขมสุขา นาม ฉ เนกฺขมฺมสิตอุเปกฺขา เวทนาฯ ตาสํ วิภาโค อุปริปณฺณาสเก ปาฬิยํ อาคโตเยวฯ
Sāmisaṃ vā sukhantiādīsu sāmisā sukhā nāma pañcakāmaguṇāmisanissitā cha gehasitasomanassavedanā. Nirāmisā sukhā nāma cha nekkhammasitasomanassavedanā. Sāmisā dukkhā nāma cha gehasitadomanassavedanā. Nirāmisā dukkhā nāma cha nekkhammasitadomanassavedanā. Sāmisā adukkhamasukhā nāma cha gehasitaupekkhā vedanā. Nirāmisā adukkhamasukhā nāma cha nekkhammasitaupekkhā vedanā. Tāsaṃ vibhāgo uparipaṇṇāsake pāḷiyaṃ āgatoyeva.
อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ สุขเวทนาทิปริคฺคหเณน อตฺตโน วา เวทนาสุ, ปรสฺส วา เวทนาสุ, กาเลน วา อตฺตโน, กาเลน วา ปรสฺส เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี วิหรติฯ สมุทยวยธมฺมานุปสฺสี วาติ เอตฺถ ปน ‘‘อวิชฺชาสมุทยา เวทนาสมุทโย’’ติอาทีหิ (ปฎิ. ม. ๑.๕๐) ปญฺจหิ ปญฺจหิ อากาเรหิ เวทนานํ สมุทยญฺจ วยญฺจ ปสฺสโนฺต สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา เวทนาสุ วิหรติ, วยธมฺมานุปสฺสี วา เวทนาสุ วิหรติ, กาเลน สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา, กาเลน วยธมฺมานุปสฺสี วา เวทนาสุ วิหรตีติ เวทิตโพฺพฯ อิโต ปรํ กายานุปสฺสนายํ วุตฺตนยเมวฯ
Iti ajjhattaṃ vāti evaṃ sukhavedanādipariggahaṇena attano vā vedanāsu, parassa vā vedanāsu, kālena vā attano, kālena vā parassa vedanāsu vedanānupassī viharati. Samudayavayadhammānupassī vāti ettha pana ‘‘avijjāsamudayā vedanāsamudayo’’tiādīhi (paṭi. ma. 1.50) pañcahi pañcahi ākārehi vedanānaṃ samudayañca vayañca passanto samudayadhammānupassī vā vedanāsu viharati, vayadhammānupassī vā vedanāsu viharati, kālena samudayadhammānupassī vā, kālena vayadhammānupassī vā vedanāsu viharatīti veditabbo. Ito paraṃ kāyānupassanāyaṃ vuttanayameva.
เกวลญฺหิ อิธ เวทนาปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจนฺติ เอวํ โยชนํ กตฺวา เวทนาปริคฺคาหกสฺส ภิกฺขุโน นิยฺยานมุขํ เวทิตพฺพํฯ เสสํ ตาทิสเมวาติฯ
Kevalañhi idha vedanāpariggāhikā sati dukkhasaccanti evaṃ yojanaṃ katvā vedanāpariggāhakassa bhikkhuno niyyānamukhaṃ veditabbaṃ. Sesaṃ tādisamevāti.
เวทนานุปสฺสนา นิฎฺฐิตาฯ
Vedanānupassanā niṭṭhitā.
จิตฺตานุปสฺสนาวณฺณนา
Cittānupassanāvaṇṇanā
๑๑๔. เอวํ นววิเธน เวทนานุปสฺสนาสติปฎฺฐานํ กเถตฺวา อิทานิ โสฬสวิเธน จิตฺตานุปสฺสนํ กเถตุํ กถญฺจ, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ ตตฺถ สราคนฺติ อฎฺฐวิธํ โลภสหคตํฯ วีตราคนฺติ โลกิยกุสลาพฺยากตํฯ อิทํ ปน ยสฺมา สมฺมสนํ น ธมฺมสโมธานํ, ตสฺมา อิธ เอกปเทปิ โลกุตฺตรํ น ลพฺภติฯ เสสานิ จตฺตาริ อกุสลจิตฺตานิ เนว ปุริมปทํ, น ปจฺฉิมปทํ ภชนฺติฯ สโทสนฺติ ทุวิธํ โทสสหคตํ ฯ วีตโทสนฺติ โลกิยกุสลาพฺยากตํฯ เสสานิ ทสากุสลจิตฺตานิ เนว ปุริมํ ปทํ, น ปจฺฉิมํ ปทํ ภชนฺติฯ สโมหนฺติ วิจิกิจฺฉาสหคตเญฺจว อุทฺธจฺจสหคตญฺจาติ ทุวิธํฯ ยสฺมา ปน โมโห สพฺพากุสเลสุ อุปฺปชฺชติ, ตสฺมา ตานิปิ อิธ วฎฺฎนฺติเยวฯ อิมสฺมิํเยว หิ ทุเก ทฺวาทสากุสลจิตฺตานิ ปริยาทิณฺณานีติฯ วีตโมหนฺติ โลกิยกุสลาพฺยากตํฯ สํขิตฺตนฺติ ถินมิทฺธานุปติตํ, เอตญฺหิ สํกุฎิตจิตฺตํ นามฯ วิกฺขิตฺตนฺติ อุทฺธจฺจสหคตํ, เอตญฺหิ ปสฎจิตฺตํ นามฯ
114. Evaṃ navavidhena vedanānupassanāsatipaṭṭhānaṃ kathetvā idāni soḷasavidhena cittānupassanaṃ kathetuṃ kathañca, bhikkhavetiādimāha. Tattha sarāganti aṭṭhavidhaṃ lobhasahagataṃ. Vītarāganti lokiyakusalābyākataṃ. Idaṃ pana yasmā sammasanaṃ na dhammasamodhānaṃ, tasmā idha ekapadepi lokuttaraṃ na labbhati. Sesāni cattāri akusalacittāni neva purimapadaṃ, na pacchimapadaṃ bhajanti. Sadosanti duvidhaṃ dosasahagataṃ . Vītadosanti lokiyakusalābyākataṃ. Sesāni dasākusalacittāni neva purimaṃ padaṃ, na pacchimaṃ padaṃ bhajanti. Samohanti vicikicchāsahagatañceva uddhaccasahagatañcāti duvidhaṃ. Yasmā pana moho sabbākusalesu uppajjati, tasmā tānipi idha vaṭṭantiyeva. Imasmiṃyeva hi duke dvādasākusalacittāni pariyādiṇṇānīti. Vītamohanti lokiyakusalābyākataṃ. Saṃkhittanti thinamiddhānupatitaṃ, etañhi saṃkuṭitacittaṃ nāma. Vikkhittanti uddhaccasahagataṃ, etañhi pasaṭacittaṃ nāma.
มหคฺคตนฺติ รูปารูปาวจรํฯ อมหคฺคตนฺติ กามาวจรํฯ สอุตฺตรนฺติ กามาวจรํฯ อนุตฺตรนฺติ รูปาวจรญฺจ อรูปาวจรญฺจฯ ตตฺราปิ สอุตฺตรํ รูปาวจรํ, อนุตฺตรํ อรูปาวจรเมวฯ สมาหิตนฺติ ยสฺส อปฺปนาสมาธิ อุปจารสมาธิ วา อตฺถิฯ อสมาหิตนฺติ อุภยสมาธิวิรหิตํฯ วิมุตฺตนฺติ ตทงฺควิกฺขมฺภนวิมุตฺตีหิ วิมุตฺตํฯ อวิมุตฺตนฺติ อุภยวิมุตฺติวิรหิตํ, สมุเจฺฉทปฎิปฺปสฺสทฺธินิสฺสรณวิมุตฺตีนํ ปน อิธ โอกาโสว นตฺถิฯ
Mahaggatanti rūpārūpāvacaraṃ. Amahaggatanti kāmāvacaraṃ. Sauttaranti kāmāvacaraṃ. Anuttaranti rūpāvacarañca arūpāvacarañca. Tatrāpi sauttaraṃ rūpāvacaraṃ, anuttaraṃ arūpāvacarameva. Samāhitanti yassa appanāsamādhi upacārasamādhi vā atthi. Asamāhitanti ubhayasamādhivirahitaṃ. Vimuttanti tadaṅgavikkhambhanavimuttīhi vimuttaṃ. Avimuttanti ubhayavimuttivirahitaṃ, samucchedapaṭippassaddhinissaraṇavimuttīnaṃ pana idha okāsova natthi.
อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ สราคาทิปริคฺคหเณน ยสฺมิํ ยสฺมิํ ขเณ ยํ ยํ จิตฺตํ ปวตฺตติ, ตํ ตํ สลฺลเกฺขโนฺต อตฺตโน วา จิเตฺต, ปรสฺส วา จิเตฺต, กาเลน วา อตฺตโน, กาเลน วา ปรสฺส จิเตฺต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติฯ สมุทยวยธมฺมานุปสฺสีติ เอตฺถ ปน ‘‘อวิชฺชาสมุทยา วิญฺญาณสมุทโย’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๕๐) เอวํ ปญฺจหิ ปญฺจหิ อากาเรหิ วิญฺญาณสฺส สมุทโย จ วโย จ นีหริตโพฺพฯ อิโต ปรํ วุตฺตนยเมวฯ
Itiajjhattaṃ vāti evaṃ sarāgādipariggahaṇena yasmiṃ yasmiṃ khaṇe yaṃ yaṃ cittaṃ pavattati, taṃ taṃ sallakkhento attano vā citte, parassa vā citte, kālena vā attano, kālena vā parassa citte cittānupassī viharati. Samudayavayadhammānupassīti ettha pana ‘‘avijjāsamudayā viññāṇasamudayo’’ti (paṭi. ma. 1.50) evaṃ pañcahi pañcahi ākārehi viññāṇassa samudayo ca vayo ca nīharitabbo. Ito paraṃ vuttanayameva.
เกวลญฺหิ อิธ จิตฺตปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจนฺติ เอวํ โยชนํ กตฺวา จิตฺตปริคฺคาหกสฺส ภิกฺขุโน นิยฺยานมุขํ เวทิตพฺพํฯ เสสํ ตาทิสเมวาติฯ
Kevalañhi idha cittapariggāhikā sati dukkhasaccanti evaṃ yojanaṃ katvā cittapariggāhakassa bhikkhuno niyyānamukhaṃ veditabbaṃ. Sesaṃ tādisamevāti.
จิตฺตานุปสฺสนาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Cittānupassanāvaṇṇanā niṭṭhitā.
ธมฺมานุปสฺสนา นีวรณปพฺพวณฺณนา
Dhammānupassanā nīvaraṇapabbavaṇṇanā
๑๑๕. เอวํ โสฬสวิเธน จิตฺตานุปสฺสนาสติปฎฺฐานํ กเถตฺวา อิทานิ ปญฺจวิเธน ธมฺมานุปสฺสนํ กเถตุํ กถญฺจ, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ อปิจ ภควตา กายานุปสฺสนาย สุทฺธรูปปริคฺคโห กถิโต, เวทนาจิตฺตานุปสฺสนาหิ สุทฺธอรูปปริคฺคโหฯ อิทานิ รูปารูปมิสฺสกปริคฺคหํ กเถตุํ ‘‘กถญฺจ, ภิกฺขเว’’ติอาทิมาห ฯ กายานุปสฺสนาย วา รูปกฺขนฺธปริคฺคโหว กถิโต, เวทนานุปสฺสนาย เวทนากฺขนฺธปริคฺคโหว, จิตฺตานุปสฺสนาย วิญฺญาณกฺขนฺธปริคฺคโหวาติ อิทานิ สญฺญาสงฺขารกฺขนฺธปริคฺคหมฺปิ กเถตุํ ‘‘กถญฺจ, ภิกฺขเว’’ติอาทิมาหฯ
115. Evaṃ soḷasavidhena cittānupassanāsatipaṭṭhānaṃ kathetvā idāni pañcavidhena dhammānupassanaṃ kathetuṃ kathañca, bhikkhavetiādimāha. Apica bhagavatā kāyānupassanāya suddharūpapariggaho kathito, vedanācittānupassanāhi suddhaarūpapariggaho. Idāni rūpārūpamissakapariggahaṃ kathetuṃ ‘‘kathañca, bhikkhave’’tiādimāha . Kāyānupassanāya vā rūpakkhandhapariggahova kathito, vedanānupassanāya vedanākkhandhapariggahova, cittānupassanāya viññāṇakkhandhapariggahovāti idāni saññāsaṅkhārakkhandhapariggahampi kathetuṃ ‘‘kathañca, bhikkhave’’tiādimāha.
ตตฺถ สนฺตนฺติ อภิณฺหสมุทาจารวเสน สํวิชฺชมานํฯ อสนฺตนฺติ อสมุทาจารวเสน วา ปหีนตฺตา วา อวิชฺชมานํฯ ยถา จาติ เยน การเณน กามจฺฉนฺทสฺส อุปฺปาโท โหติฯ ตญฺจ ปชานาตีติ ตญฺจ การณํ ปชานาติฯ อิมินา นเยน สพฺพปเทสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Tattha santanti abhiṇhasamudācāravasena saṃvijjamānaṃ. Asantanti asamudācāravasena vā pahīnattā vā avijjamānaṃ. Yathā cāti yena kāraṇena kāmacchandassa uppādo hoti. Tañca pajānātīti tañca kāraṇaṃ pajānāti. Iminā nayena sabbapadesu attho veditabbo.
ตตฺถ สุภนิมิเตฺต อโยนิโสมนสิกาเรน กามจฺฉนฺทสฺส อุปฺปาโท โหติฯ สุภนิมิตฺตํ นาม สุภมฺปิ สุภนิมิตฺตํ, สุภารมฺมณมฺปิ สุภนิมิตฺตํฯ อโยนิโสมนสิกาโร นาม อนุปายมนสิกาโร อุปฺปถมนสิกาโร อนิเจฺจ นิจฺจนฺติ วา ทุเกฺข สุขนฺติ วา อนตฺตนิ อตฺตาติ วา อสุเภ สุภนฺติ วา มนสิกาโร, ตํ ตตฺถ พหุลํ ปวตฺตยโต กามจฺฉโนฺท อุปฺปชฺชติฯ เตนาห ภควา – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, สุภนิมิตฺตํ, ตตฺถ อโยนิโสมนสิการพหุลีกาโร , อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา กามจฺฉนฺทสฺส อุปฺปาทาย อุปฺปนฺนสฺส วา กามจฺฉนฺทสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลายา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒)ฯ
Tattha subhanimitte ayonisomanasikārena kāmacchandassa uppādo hoti. Subhanimittaṃ nāma subhampi subhanimittaṃ, subhārammaṇampi subhanimittaṃ. Ayonisomanasikāro nāma anupāyamanasikāro uppathamanasikāro anicce niccanti vā dukkhe sukhanti vā anattani attāti vā asubhe subhanti vā manasikāro, taṃ tattha bahulaṃ pavattayato kāmacchando uppajjati. Tenāha bhagavā – ‘‘atthi, bhikkhave, subhanimittaṃ, tattha ayonisomanasikārabahulīkāro , ayamāhāro anuppannassa vā kāmacchandassa uppādāya uppannassa vā kāmacchandassa bhiyyobhāvāya vepullāyā’’ti (saṃ. ni. 5.232).
อสุภนิมิเตฺต ปน โยนิโสมนสิกาเรนสฺส ปหานํ โหติฯ อสุภนิมิตฺตํ นาม อสุภมฺปิ อสุภารมฺมณมฺปิฯ โยนิโสมนสิกาโร นาม อุปายมนสิกาโร ปถมนสิกาโร อนิเจฺจ อนิจฺจนฺติ วา ทุเกฺข ทุกฺขนฺติ วา อนตฺตนิ อนตฺตาติ วา อสุเภ อสุภนฺติ วา มนสิกาโร, ตํ ตตฺถ พหุลํ ปวตฺตยโต กามจฺฉโนฺท ปหียติฯ เตนาห ภควา – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อสุภนิมิตฺตํ, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมนาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา กามจฺฉนฺทสฺส อนุปฺปาทาย อุปฺปนฺนสฺส วา กามจฺฉนฺทสฺส ปหานายา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒)ฯ
Asubhanimitte pana yonisomanasikārenassa pahānaṃ hoti. Asubhanimittaṃ nāma asubhampi asubhārammaṇampi. Yonisomanasikāro nāma upāyamanasikāro pathamanasikāro anicce aniccanti vā dukkhe dukkhanti vā anattani anattāti vā asubhe asubhanti vā manasikāro, taṃ tattha bahulaṃ pavattayato kāmacchando pahīyati. Tenāha bhagavā – ‘‘atthi, bhikkhave, asubhanimittaṃ, tattha yonisomanasikārabahulīkāro, ayamanāhāro anuppannassa vā kāmacchandassa anuppādāya uppannassa vā kāmacchandassa pahānāyā’’ti (saṃ. ni. 5.232).
อปิจ ฉ ธมฺมา กามจฺฉนฺทสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺติ อสุภนิมิตฺตสฺส อุคฺคโห อสุภภาวนานุโยโค อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารตา โภชเน มตฺตญฺญุตา กลฺยาณมิตฺตตา สปฺปายกถาติฯ ทสวิธญฺหิ อสุภนิมิตฺตํ อุคฺคณฺหนฺตสฺสาปิ กามจฺฉโนฺท ปหียติ, ภาเวนฺตสฺสาปิ, อินฺทฺริเยสุ ปิหิตทฺวารสฺสาปิ, จตุนฺนํ ปญฺจนฺนํ อาโลปานํ โอกาเส สติ อุทกํ ปิวิตฺวา ยาปนสีลตาย โภชเน มตฺตญฺญุโนปิฯ เตเนตํ วุตฺตํ –
Apica cha dhammā kāmacchandassa pahānāya saṃvattanti asubhanimittassa uggaho asubhabhāvanānuyogo indriyesu guttadvāratā bhojane mattaññutā kalyāṇamittatā sappāyakathāti. Dasavidhañhi asubhanimittaṃ uggaṇhantassāpi kāmacchando pahīyati, bhāventassāpi, indriyesu pihitadvārassāpi, catunnaṃ pañcannaṃ ālopānaṃ okāse sati udakaṃ pivitvā yāpanasīlatāya bhojane mattaññunopi. Tenetaṃ vuttaṃ –
‘‘จตฺตาโร ปญฺจ อาโลเป, อภุตฺวา อุทกํ ปิเว;
‘‘Cattāro pañca ālope, abhutvā udakaṃ pive;
อลํ ผาสุวิหาราย, ปหิตตฺตสฺส ภิกฺขุโน’’ติฯ (เถรคา. ๙๘๓);
Alaṃ phāsuvihārāya, pahitattassa bhikkhuno’’ti. (theragā. 983);
อสุภกมฺมิกติสฺสเตฺถรสทิเส อสุภภาวนารเต กลฺยาณมิเตฺต เสวนฺตสฺสาปิ กามจฺฉโนฺท ปหียติ, ฐานนิสชฺชาทีสุ ทสอสุภนิสฺสิตสปฺปายกถายปิ ปหียติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ฉ ธมฺมา กามจฺฉนฺทสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺตี’’ติฯ อิเมหิ ปน ฉหิ ธเมฺมหิ ปหีนสฺส กามจฺฉนฺทสฺส อรหตฺตมเคฺคน อายติํ อนุปฺปาโท โหตีติ ปชานาติฯ
Asubhakammikatissattherasadise asubhabhāvanārate kalyāṇamitte sevantassāpi kāmacchando pahīyati, ṭhānanisajjādīsu dasaasubhanissitasappāyakathāyapi pahīyati. Tena vuttaṃ ‘‘cha dhammā kāmacchandassa pahānāya saṃvattantī’’ti. Imehi pana chahi dhammehi pahīnassa kāmacchandassa arahattamaggena āyatiṃ anuppādo hotīti pajānāti.
ปฎิฆนิมิเตฺต อโยนิโสมนสิกาเรน ปน พฺยาปาทสฺส อุปฺปาโท โหติฯ ตตฺถ ปฎิฆมฺปิ ปฎิฆนิมิตฺตํ, ปฎิฆารมฺมณมฺปิ ปฎิฆนิมิตฺตํฯ อโยนิโสมนสิกาโร สพฺพตฺถ เอกลกฺขโณวฯ ตํ ตสฺมิํ นิมิเตฺต พหุลํ ปวตฺตยโต พฺยาปาโท อุปฺปชฺชติฯ เตนาห ภควา – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, ปฎิฆนิมิตฺตํ, ตตฺถ อโยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา พฺยาปาทสฺส อุปฺปาทาย อุปฺปนฺนสฺส วา พฺยาปาทสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลายา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒)ฯ
Paṭighanimitte ayonisomanasikārena pana byāpādassa uppādo hoti. Tattha paṭighampi paṭighanimittaṃ, paṭighārammaṇampi paṭighanimittaṃ. Ayonisomanasikāro sabbattha ekalakkhaṇova. Taṃ tasmiṃ nimitte bahulaṃ pavattayato byāpādo uppajjati. Tenāha bhagavā – ‘‘atthi, bhikkhave, paṭighanimittaṃ, tattha ayonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā byāpādassa uppādāya uppannassa vā byāpādassa bhiyyobhāvāya vepullāyā’’ti (saṃ. ni. 5.232).
เมตฺตาย ปน เจโตวิมุตฺติยา โยนิโสมนสิกาเรนสฺส ปหานํ โหติฯ ตตฺถ ตตฺถ ‘‘เมตฺตา’’ติ วุเตฺต อปฺปนาปิ อุปจาโรปิ วฎฺฎติฯ ‘‘เจโตวิมุตฺตี’’ติ อปฺปนาวฯ โยนิโสมนสิกาโร วุตฺตลกฺขโณวฯ ตํ ตตฺถ พหุลํ ปวตฺตยโต พฺยาปาโท ปหียติฯ เตนาห ภควา – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, เมตฺตา เจโตวิมุตฺติ, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมนาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา พฺยาปาทสฺส อนุปฺปาทาย อุปฺปนฺนสฺส วา พฺยาปาทสฺส ปหานายา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒)ฯ
Mettāya pana cetovimuttiyā yonisomanasikārenassa pahānaṃ hoti. Tattha tattha ‘‘mettā’’ti vutte appanāpi upacāropi vaṭṭati. ‘‘Cetovimuttī’’ti appanāva. Yonisomanasikāro vuttalakkhaṇova. Taṃ tattha bahulaṃ pavattayato byāpādo pahīyati. Tenāha bhagavā – ‘‘atthi, bhikkhave, mettā cetovimutti, tattha yonisomanasikārabahulīkāro, ayamanāhāro anuppannassa vā byāpādassa anuppādāya uppannassa vā byāpādassa pahānāyā’’ti (saṃ. ni. 5.232).
อปิจ ฉ ธมฺมา พฺยาปาทสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺติ เมตฺตานิมิตฺตสฺส อุคฺคโห เมตฺตาภาวนานุโยโค กมฺมสฺสกตาปจฺจเวกฺขณา ปฎิสงฺขานพหุตา กลฺยาณมิตฺตตา สปฺปายกถาติฯ โอธิสกอโนธิสกทิสาผรณานญฺหิ อญฺญตรวเสน เมตฺตํ อุคฺคณฺหนฺตสฺสาปิ พฺยาปาโท ปหียติ, โอธิโส อโนธิโส ทิสาผรณวเสน เมตฺตํ ภาเวนฺตสฺสาปิฯ ‘‘ตฺวํ เอตสฺส กุโทฺธ กิํ กริสฺสสิ, กิมสฺส สีลาทีนิ นาเสตุํ สกฺขิสฺสสิ, นนุ ตฺวํ อตฺตโน กเมฺมน อาคนฺตฺวา อตฺตโน กเมฺมเนว คมิสฺสสิ, ปรสฺส กุชฺฌนํ นาม วีตจฺจิตงฺคาร-ตตฺตอยสลาก-คูถาทีนิ คเหตฺวา ปรํ ปหริตุกามตาสทิสํ โหติฯ เอโสปิ ตว กุโทฺธ กิํ กริสฺสติ, กิํ เต สีลาทีนิ วินาเสตุํ สกฺขิสฺสติ, เอส อตฺตโน กเมฺมเนว อาคนฺตฺวา อตฺตโน กเมฺมน คมิสฺสติ, อปฺปฎิจฺฉิตปเหณกํ วิย ปฎิวาตํ ขิตฺตรโชมุฎฺฐิ วิย จ เอตเสฺสเวส โกโธ มตฺถเก ปติสฺสตี’’ติ เอวํ อตฺตโน จ ปรสฺส จ กมฺมสฺสกตํ ปจฺจเวกฺขโตปิ, อุภยกมฺมสฺสกตํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปฎิสงฺขาเน ฐิตสฺสาปิ, อสฺสคุตฺตเตฺถรสทิเส เมตฺตาภาวนารเต กลฺยาณมิเตฺต เสวนฺตสฺสาปิ พฺยาปาโท ปหียติฯ ฐานนิสชฺชาทีสุ เมตฺตานิสฺสิตสปฺปายกถายปิ ปหียติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ฉ ธมฺมา พฺยาปาทสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺตี’’ติฯ อิเมหิ ปน ฉหิ ธเมฺมหิ ปหีนสฺส พฺยาปาทสฺส อนาคามิมเคฺคน อายติํ อนุปฺปาโท โหตีติ ปชานาติฯ
Apica cha dhammā byāpādassa pahānāya saṃvattanti mettānimittassa uggaho mettābhāvanānuyogo kammassakatāpaccavekkhaṇā paṭisaṅkhānabahutā kalyāṇamittatā sappāyakathāti. Odhisakaanodhisakadisāpharaṇānañhi aññataravasena mettaṃ uggaṇhantassāpi byāpādo pahīyati, odhiso anodhiso disāpharaṇavasena mettaṃ bhāventassāpi. ‘‘Tvaṃ etassa kuddho kiṃ karissasi, kimassa sīlādīni nāsetuṃ sakkhissasi, nanu tvaṃ attano kammena āgantvā attano kammeneva gamissasi, parassa kujjhanaṃ nāma vītaccitaṅgāra-tattaayasalāka-gūthādīni gahetvā paraṃ paharitukāmatāsadisaṃ hoti. Esopi tava kuddho kiṃ karissati, kiṃ te sīlādīni vināsetuṃ sakkhissati, esa attano kammeneva āgantvā attano kammena gamissati, appaṭicchitapaheṇakaṃ viya paṭivātaṃ khittarajomuṭṭhi viya ca etassevesa kodho matthake patissatī’’ti evaṃ attano ca parassa ca kammassakataṃ paccavekkhatopi, ubhayakammassakataṃ paccavekkhitvā paṭisaṅkhāne ṭhitassāpi, assaguttattherasadise mettābhāvanārate kalyāṇamitte sevantassāpi byāpādo pahīyati. Ṭhānanisajjādīsu mettānissitasappāyakathāyapi pahīyati. Tena vuttaṃ ‘‘cha dhammā byāpādassa pahānāya saṃvattantī’’ti. Imehi pana chahi dhammehi pahīnassa byāpādassa anāgāmimaggena āyatiṃ anuppādo hotīti pajānāti.
อรติอาทีสุ อโยนิโสมนสิกาเรน ถินมิทฺธสฺส อุปฺปาโท โหติฯ อรติ นาม อุกฺกณฺฐิตาฯ ตนฺที นาม กายาลสิยตาฯ วิชมฺภิตา นาม กายวินามนาฯ ภตฺตสมฺมโท นาม ภตฺตมุจฺฉา ภตฺตปริฬาโหฯ เจตโส ลีนตฺตํ นาม จิตฺตสฺส ลีนากาโรฯ อิเมสุ อรติอาทีสุ อโยนิโสมนสิการํ พหุลํ ปวตฺตยโต ถินมิทฺธํ อุปฺปชฺชติฯ เตนาห – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อรติ ตนฺที วิชมฺภิตา ภตฺตสมฺมโท เจตโส ลีนตฺตํ, ตตฺถ อโยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา ถินมิทฺธสฺส อุปฺปาทาย อุปฺปนฺนสฺส วา ถินมิทฺธสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลายา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒)ฯ
Aratiādīsu ayonisomanasikārena thinamiddhassa uppādo hoti. Arati nāma ukkaṇṭhitā. Tandī nāma kāyālasiyatā. Vijambhitā nāma kāyavināmanā. Bhattasammado nāma bhattamucchā bhattapariḷāho. Cetaso līnattaṃ nāma cittassa līnākāro. Imesu aratiādīsu ayonisomanasikāraṃ bahulaṃ pavattayato thinamiddhaṃ uppajjati. Tenāha – ‘‘atthi, bhikkhave, arati tandī vijambhitā bhattasammado cetaso līnattaṃ, tattha ayonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā thinamiddhassa uppādāya uppannassa vā thinamiddhassa bhiyyobhāvāya vepullāyā’’ti (saṃ. ni. 5.232).
อารมฺภธาตุอาทีสุ ปน โยนิโสมนสิกาเรนสฺส ปหานํ โหติฯ อารมฺภธาตุ นาม ปฐมารมฺภวีริยํฯ นิกฺกมธาตุ นาม โกสชฺชโต นิกฺขนฺตตาย ตโต พลวตรํฯ ปรกฺกมธาตุ นาม ปรํ ปรํ ฐานํ อกฺกมนโต ตโตปิ พลวตรํฯ อิมสฺมิํ ติปฺปเภเท วีริเย โยนิโสมนสิการํ พหุลํ ปวตฺตยโต ถินมิทฺธํ ปหียติฯ เตนาห – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อารมฺภธาตุ นิกฺกมธาตุ ปรกฺกมธาตุ, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา ถินมิทฺธสฺส อนุปฺปาทาย อุปฺปนฺนสฺส วา ถินมิทฺธสฺส ปหานายา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒)ฯ
Ārambhadhātuādīsu pana yonisomanasikārenassa pahānaṃ hoti. Ārambhadhātu nāma paṭhamārambhavīriyaṃ. Nikkamadhātu nāma kosajjato nikkhantatāya tato balavataraṃ. Parakkamadhātu nāma paraṃ paraṃ ṭhānaṃ akkamanato tatopi balavataraṃ. Imasmiṃ tippabhede vīriye yonisomanasikāraṃ bahulaṃ pavattayato thinamiddhaṃ pahīyati. Tenāha – ‘‘atthi, bhikkhave, ārambhadhātu nikkamadhātu parakkamadhātu, tattha yonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā thinamiddhassa anuppādāya uppannassa vā thinamiddhassa pahānāyā’’ti (saṃ. ni. 5.232).
อปิจ ฉ ธมฺมา ถินมิทฺธสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺติ, อติโภชเน นิมิตฺตคฺคาโห อิริยาปถสมฺปริวตฺตนตา อาโลกสญฺญามนสิกาโร อโพฺภกาสวาโส กลฺยาณมิตฺตตา สปฺปายกถาติฯ อาหรหตฺถกตตฺรวฎฺฎกอลํสาฎกกากมาสกภุตฺตวมิตกโภชนํ ภุญฺชิตฺวา รตฺติฎฺฐาเน ทิวาฎฺฐาเน นิสินฺนสฺส หิ สมณธมฺมํ กโรโต ถินมิทฺธํ มหาหตฺถี วิย โอตฺถรนฺตํ อาคจฺฉติฯ จตุปญฺจอาโลปโอกาสํ ปน ฐเปตฺวา ปานียํ ปิวิตฺวา ยาปนสีลสฺส ภิกฺขุโน ตํ น โหตีติ เอวํ อติโภชเน นิมิตฺตํ คณฺหนฺตสฺสาปิ ถินมิทฺธํ ปหียติฯ ยสฺมิํ อิริยาปเถ ถินมิทฺธํ โอกฺกมติ, ตโต อญฺญํ ปริวเตฺตนฺตสฺสาปิ, รตฺติํ จนฺทาโลกทีปาโลกอุกฺกาโลเก ทิวา สูริยาโลกํ มนสิกโรนฺตสฺสาปิ, อโพฺภกาเส วสนฺตสฺสาปิ, มหากสฺสปเตฺถรสทิเส ปหีนถินมิเทฺธ กลฺยาณมิเตฺต เสวนฺตสฺสาปิ ถินมิทฺธํ ปหียติฯ ฐานนิสชฺชาทีสุ ธุตงฺคนิสฺสิตสปฺปายกถายปิ ปหียติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ฉ ธมฺมา ถินมิทฺธสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺตี’’ติ ฯ อิเมหิ ปน ฉหิ ธเมฺมหิ ปหีนสฺส ถินมิทฺธสฺส อรหตฺตมเคฺคน อายติํ อนุปฺปาโท โหตีติ ปชานาติฯ
Apica cha dhammā thinamiddhassa pahānāya saṃvattanti, atibhojane nimittaggāho iriyāpathasamparivattanatā ālokasaññāmanasikāro abbhokāsavāso kalyāṇamittatā sappāyakathāti. Āharahatthakatatravaṭṭakaalaṃsāṭakakākamāsakabhuttavamitakabhojanaṃ bhuñjitvā rattiṭṭhāne divāṭṭhāne nisinnassa hi samaṇadhammaṃ karoto thinamiddhaṃ mahāhatthī viya ottharantaṃ āgacchati. Catupañcaālopaokāsaṃ pana ṭhapetvā pānīyaṃ pivitvā yāpanasīlassa bhikkhuno taṃ na hotīti evaṃ atibhojane nimittaṃ gaṇhantassāpi thinamiddhaṃ pahīyati. Yasmiṃ iriyāpathe thinamiddhaṃ okkamati, tato aññaṃ parivattentassāpi, rattiṃ candālokadīpālokaukkāloke divā sūriyālokaṃ manasikarontassāpi, abbhokāse vasantassāpi, mahākassapattherasadise pahīnathinamiddhe kalyāṇamitte sevantassāpi thinamiddhaṃ pahīyati. Ṭhānanisajjādīsu dhutaṅganissitasappāyakathāyapi pahīyati. Tena vuttaṃ ‘‘cha dhammā thinamiddhassa pahānāya saṃvattantī’’ti . Imehi pana chahi dhammehi pahīnassa thinamiddhassa arahattamaggena āyatiṃ anuppādo hotīti pajānāti.
เจตโส อวูปสเม อโยนิโสมนสิกาเรน อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจสฺส อุปฺปาโท โหติฯ อวูปสโม นาม อวูปสนฺตากาโรฯ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจเมเวตํ อตฺถโตฯ ตตฺถ อโยนิโสมนสิการํ พหุลํ ปวตฺตยโต อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ อุปฺปชฺชติฯ เตนาห ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, เจตโส อวูปสโม, ตตฺถ อโยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจสฺส อุปฺปาทาย อุปฺปนฺนสฺส วา อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลายา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒)ฯ
Cetaso avūpasame ayonisomanasikārena uddhaccakukkuccassa uppādo hoti. Avūpasamo nāma avūpasantākāro. Uddhaccakukkuccamevetaṃ atthato. Tattha ayonisomanasikāraṃ bahulaṃ pavattayato uddhaccakukkuccaṃ uppajjati. Tenāha ‘‘atthi, bhikkhave, cetaso avūpasamo, tattha ayonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā uddhaccakukkuccassa uppādāya uppannassa vā uddhaccakukkuccassa bhiyyobhāvāya vepullāyā’’ti (saṃ. ni. 5.232).
สมาธิสงฺขาเต ปน เจตโส วูปสเม โยนิโสมนสิกาเรนสฺส ปหานํ โหติฯ เตนาห – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, เจตโส วูปสโม, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจสฺส อนุปฺปาทาย อุปฺปนฺนสฺส วา อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจสฺส ปหานายา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒)ฯ
Samādhisaṅkhāte pana cetaso vūpasame yonisomanasikārenassa pahānaṃ hoti. Tenāha – ‘‘atthi, bhikkhave, cetaso vūpasamo, tattha yonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā uddhaccakukkuccassa anuppādāya uppannassa vā uddhaccakukkuccassa pahānāyā’’ti (saṃ. ni. 5.232).
อปิจ ฉ ธมฺมา อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺติ พหุสฺสุตตา ปริปุจฺฉกตา วินเย ปกตญฺญุตา วุทฺธเสวิตา กลฺยาณมิตฺตตา สปฺปายกถาติฯ พาหุสเจฺจนปิ หิ เอกํ วา เทฺว วา ตโย วา จตฺตาโร วา ปญฺจ วา นิกาเย ปาฬิวเสน จ อตฺถวเสน จ อุคฺคณฺหนฺตสฺสาปิ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ ปหียติฯ กปฺปิยากปฺปิยปริปุจฺฉาพหุลสฺสาปิ, วินยปญฺญตฺติยํ จิณฺณวสิภาวตาย ปกตญฺญุโนปิ, วุเทฺธ มหลฺลกเตฺถเร อุปสงฺกมนฺตสฺสาปิ, อุปาลิเตฺถรสทิเส วินยธเร กลฺยาณมิเตฺต เสวนฺตสฺสาปิ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ ปหียติฯ ฐานนิสชฺชาทีสุ กปฺปิยากปฺปิยนิสฺสิตสปฺปายกถายปิ ปหียติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ฉ ธมฺมา อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺตี’’ติฯ อิเมหิ ปน ฉหิ ธเมฺมหิ ปหีเน อุทฺธจฺจกุกฺกุเจฺจ อุทฺธจฺจสฺส อรหตฺตมเคฺคน กุกฺกุจฺจสฺส อนาคามิมเคฺคน อายติํ อนุปฺปาโท โหตีติ ปชานาติฯ
Apica cha dhammā uddhaccakukkuccassa pahānāya saṃvattanti bahussutatā paripucchakatā vinaye pakataññutā vuddhasevitā kalyāṇamittatā sappāyakathāti. Bāhusaccenapi hi ekaṃ vā dve vā tayo vā cattāro vā pañca vā nikāye pāḷivasena ca atthavasena ca uggaṇhantassāpi uddhaccakukkuccaṃ pahīyati. Kappiyākappiyaparipucchābahulassāpi, vinayapaññattiyaṃ ciṇṇavasibhāvatāya pakataññunopi, vuddhe mahallakatthere upasaṅkamantassāpi, upālittherasadise vinayadhare kalyāṇamitte sevantassāpi uddhaccakukkuccaṃ pahīyati. Ṭhānanisajjādīsu kappiyākappiyanissitasappāyakathāyapi pahīyati. Tena vuttaṃ – ‘‘cha dhammā uddhaccakukkuccassa pahānāya saṃvattantī’’ti. Imehi pana chahi dhammehi pahīne uddhaccakukkucce uddhaccassa arahattamaggena kukkuccassa anāgāmimaggena āyatiṃ anuppādo hotīti pajānāti.
วิจิกิจฺฉาฎฺฐานีเยสุ ธเมฺมสุ อโยนิโสมนสิกาเรน วิจิกิจฺฉาย อุปฺปาโท โหติฯ วิจิกิจฺฉาฎฺฐานียา ธมฺมา นาม ปุนปฺปุนํ วิจิกิจฺฉาย การณตฺตา วิจิกิจฺฉาวฯ ตตฺถ อโยนิโสมนสิการํ พหุลํ ปวตฺตยโต วิจิกิจฺฉา อุปฺปชฺชติฯ เตนาห – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, วิจิกิจฺฉาฎฺฐานียา ธมฺมา , ตตฺถ อโยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนาย วา วิจิกิจฺฉาย อุปฺปาทาย อุปฺปนฺนาย วา วิจิกิจฺฉาย ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลายา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒)ฯ
Vicikicchāṭṭhānīyesu dhammesu ayonisomanasikārena vicikicchāya uppādo hoti. Vicikicchāṭṭhānīyā dhammā nāma punappunaṃ vicikicchāya kāraṇattā vicikicchāva. Tattha ayonisomanasikāraṃ bahulaṃ pavattayato vicikicchā uppajjati. Tenāha – ‘‘atthi, bhikkhave, vicikicchāṭṭhānīyā dhammā , tattha ayonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannāya vā vicikicchāya uppādāya uppannāya vā vicikicchāya bhiyyobhāvāya vepullāyā’’ti (saṃ. ni. 5.232).
กุสลาทีสุ ธเมฺมสุ โยนิโสมนสิกาเรน ปนสฺสา ปหานํ โหติฯ เตนาห – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, กุสลากุสลา ธมฺมา สาวชฺชานวชฺชา ธมฺมา เสวิตพฺพาเสวิตพฺพา ธมฺมา หีนปฺปณีตา ธมฺมา กณฺหสุกฺกสปฺปฎิภาคา ธมฺมา, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร , อยมาหาโร อนุปฺปนฺนาย วา วิจิกิจฺฉาย อนุปฺปาทาย อุปฺปนฺนาย วา วิจิกิจฺฉาย ปหานายา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒)ฯ
Kusalādīsu dhammesu yonisomanasikārena panassā pahānaṃ hoti. Tenāha – ‘‘atthi, bhikkhave, kusalākusalā dhammā sāvajjānavajjā dhammā sevitabbāsevitabbā dhammā hīnappaṇītā dhammā kaṇhasukkasappaṭibhāgā dhammā, tattha yonisomanasikārabahulīkāro , ayamāhāro anuppannāya vā vicikicchāya anuppādāya uppannāya vā vicikicchāya pahānāyā’’ti (saṃ. ni. 5.232).
อปิจ ฉ ธมฺมา วิจิกิจฺฉาย ปหานาย สํวตฺตนฺติ พหุสฺสุตตา ปริปุจฺฉกตา วินเย ปกตญฺญุตา อธิโมกฺขพหุลตา กลฺยาณมิตฺตตา สปฺปายกถาติฯ พาหุสเจฺจนปิ หิ เอกํ วา…เป.… ปญฺจ วา นิกาเย ปาฬิวเสน อตฺถวเสน จ อุคฺคณฺหนฺตสฺสาปิ วิจิกิจฺฉา ปหียติฯ ตีณิ รตนานิ อารพฺภ ปริปุจฺฉาพหุลสฺสาปิ, วินเย จิณฺณวสิภาวสฺสาปิ, ตีสุ รตเนสุ โอกปฺปนิยสทฺธาสงฺขาตอธิโมกฺขพหุลสฺสาปิ, สทฺธาธิมุเตฺต วกฺกลิเตฺถรสทิเส กลฺยาณมิเตฺต เสวนฺตสฺสาปิ วิจิกิจฺฉา ปหียติฯ ฐานนิสชฺชาทีสุ ติณฺณํ รตนานํ คุณนิสฺสิตสปฺปายกถายปิ ปหียติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ฉ ธมฺมา วิจิกิจฺฉาย ปหานาย สํวตฺตนฺตี’’ติฯ อิเมหิ ปน ฉหิ ธเมฺมหิ ปหีนาย วิจิกิจฺฉาย โสตาปตฺติมเคฺคน อายติํ อนุปฺปาโท โหตีติ ปชานาติฯ
Apica cha dhammā vicikicchāya pahānāya saṃvattanti bahussutatā paripucchakatā vinaye pakataññutā adhimokkhabahulatā kalyāṇamittatā sappāyakathāti. Bāhusaccenapi hi ekaṃ vā…pe… pañca vā nikāye pāḷivasena atthavasena ca uggaṇhantassāpi vicikicchā pahīyati. Tīṇi ratanāni ārabbha paripucchābahulassāpi, vinaye ciṇṇavasibhāvassāpi, tīsu ratanesu okappaniyasaddhāsaṅkhātaadhimokkhabahulassāpi, saddhādhimutte vakkalittherasadise kalyāṇamitte sevantassāpi vicikicchā pahīyati. Ṭhānanisajjādīsu tiṇṇaṃ ratanānaṃ guṇanissitasappāyakathāyapi pahīyati. Tena vuttaṃ – ‘‘cha dhammā vicikicchāya pahānāya saṃvattantī’’ti. Imehi pana chahi dhammehi pahīnāya vicikicchāya sotāpattimaggena āyatiṃ anuppādo hotīti pajānāti.
อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ ปญฺจนีวรณปริคฺคหเณน อตฺตโน วา ธเมฺมสุ, ปรสฺส วา ธเมฺมสุ, กาเลน วา อตฺตโน, กาเลน วา ปรสฺส ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติฯ สมุทยวยา ปเนตฺถ สุภนิมิตฺต อสุภนิมิตฺตาทีสุ อโยนิโสมนสิการโยนิโสมนสิการวเสน ปญฺจสุ นีวรเณสุ วุตฺตนเยน นีหริตพฺพาฯ อิโต ปรํ วุตฺตนยเมวฯ
Iti ajjhattaṃ vāti evaṃ pañcanīvaraṇapariggahaṇena attano vā dhammesu, parassa vā dhammesu, kālena vā attano, kālena vā parassa dhammesu dhammānupassī viharati. Samudayavayā panettha subhanimitta asubhanimittādīsu ayonisomanasikārayonisomanasikāravasena pañcasu nīvaraṇesu vuttanayena nīharitabbā. Ito paraṃ vuttanayameva.
เกวลญฺหิ อิธ นีวรณปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจนฺติ เอวํ โยชนํ กตฺวา นีวรณปริคฺคาหกสฺส ภิกฺขุโน นิยฺยานมุขํ เวทิตพฺพํฯ เสสํ ตาทิสเมวาติฯ
Kevalañhi idha nīvaraṇapariggāhikā sati dukkhasaccanti evaṃ yojanaṃ katvā nīvaraṇapariggāhakassa bhikkhuno niyyānamukhaṃ veditabbaṃ. Sesaṃ tādisamevāti.
นีวรณปพฺพวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Nīvaraṇapabbavaṇṇanā niṭṭhitā.
ขนฺธปพฺพวณฺณนา
Khandhapabbavaṇṇanā
๑๑๖. เอวํ ปญฺจนีวรณวเสน ธมฺมานุปสฺสนํ วิภชิตฺวา อิทานิ ปญฺจกฺขนฺธวเสน วิภชิตุํ ปุน จปรนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปญฺจสุ อุปาทานกฺขเนฺธสูติ อุปาทานสฺส ขนฺธา อุปาทานกฺขนฺธา, อุปาทานสฺส ปจฺจยภูตา ธมฺมปุญฺชา ธมฺมราสโยติ อโตฺถฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป ฯ วิตฺถารโต ปน ขนฺธกถา วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตาฯ อิติ รูปนฺติ ‘‘อิทํ รูปํ, เอตฺตกํ รูปํ, น อิโต ปรํ รูปํ อตฺถี’’ติ สภาวโต รูปํ ปชานาติฯ เวทนาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อยเมตฺถ สเงฺขโปฯ วิตฺถาเรน ปน รูปาทีนิ วิสุทฺธิมเคฺค ขนฺธกถายเมว วุตฺตานิฯ อิติ รูปสฺส สมุทโยติ เอวํ อวิชฺชาสมุทยาทิวเสน ปญฺจหากาเรหิ รูปสฺส สมุทโยฯ อิติ รูปสฺส อตฺถงฺคโมติ เอวํ อวิชฺชานิโรธาทิวเสน ปญฺจหากาเรหิ รูปสฺส อตฺถงฺคโม, เวทนาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อยเมตฺถ สเงฺขโปฯ วิตฺถาโร ปน วิสุทฺธิมเคฺค อุทยพฺพยญาณกถายํ วุโตฺตฯ
116. Evaṃ pañcanīvaraṇavasena dhammānupassanaṃ vibhajitvā idāni pañcakkhandhavasena vibhajituṃ puna caparantiādimāha. Tattha pañcasu upādānakkhandhesūti upādānassa khandhā upādānakkhandhā, upādānassa paccayabhūtā dhammapuñjā dhammarāsayoti attho. Ayamettha saṅkhepo . Vitthārato pana khandhakathā visuddhimagge vuttā. Iti rūpanti ‘‘idaṃ rūpaṃ, ettakaṃ rūpaṃ, na ito paraṃ rūpaṃ atthī’’ti sabhāvato rūpaṃ pajānāti. Vedanādīsupi eseva nayo. Ayamettha saṅkhepo. Vitthārena pana rūpādīni visuddhimagge khandhakathāyameva vuttāni. Iti rūpassa samudayoti evaṃ avijjāsamudayādivasena pañcahākārehi rūpassa samudayo. Iti rūpassa atthaṅgamoti evaṃ avijjānirodhādivasena pañcahākārehi rūpassa atthaṅgamo, vedanādīsupi eseva nayo. Ayamettha saṅkhepo. Vitthāro pana visuddhimagge udayabbayañāṇakathāyaṃ vutto.
อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ ปญฺจกฺขนฺธปริคฺคหเณน อตฺตโน วา ธเมฺมสุ, ปรสฺส วา ธเมฺมสุ, กาเลน วา อตฺตโน, กาเลน วา ปรสฺส ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติฯ สมุทยวยา ปเนตฺถ ‘‘อวิชฺชาสมุทยา รูปสมุทโย’’ติอาทีนํ (ปฎิ. ม. ๑.๕๐) ปญฺจสุ ขเนฺธสุ วุตฺตานํ ปญฺญาสาย ลกฺขณานํ วเสน นีหริตพฺพาฯ อิโต ปรํ วุตฺตนยเมวฯ
Iti ajjhattaṃ vāti evaṃ pañcakkhandhapariggahaṇena attano vā dhammesu, parassa vā dhammesu, kālena vā attano, kālena vā parassa dhammesu dhammānupassī viharati. Samudayavayā panettha ‘‘avijjāsamudayā rūpasamudayo’’tiādīnaṃ (paṭi. ma. 1.50) pañcasu khandhesu vuttānaṃ paññāsāya lakkhaṇānaṃ vasena nīharitabbā. Ito paraṃ vuttanayameva.
เกวลญฺหิ อิธ ขนฺธปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจนฺติ เอวํ โยชนํ กตฺวา ขนฺธปริคฺคาหกสฺส ภิกฺขุโน นิยฺยานมุขํ เวทิตพฺพํฯ เสสํ ตาทิสเมวาติฯ
Kevalañhi idha khandhapariggāhikā sati dukkhasaccanti evaṃ yojanaṃ katvā khandhapariggāhakassa bhikkhuno niyyānamukhaṃ veditabbaṃ. Sesaṃ tādisamevāti.
ขนฺธปพฺพวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Khandhapabbavaṇṇanā niṭṭhitā.
อายตนปพฺพวณฺณนา
Āyatanapabbavaṇṇanā
๑๑๗. เอวํ ปญฺจกฺขนฺธวเสน ธมฺมานุปสฺสนํ วิภชิตฺวา อิทานิ อายตนวเสน วิภชิตุํ ปุน จปรนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ฉสุ อชฺฌตฺติกพาหิเรสุ อายตเนสูติ จกฺขุ โสตํ ฆานํ ชิวฺหา กาโย มโนติ อิเมสุ ฉสุ อชฺฌตฺติเกสุ รูปํ สโทฺท คโนฺธ รโส โผฎฺฐโพฺพ ธมฺมาติ อิเมสุ ฉสุ พาหิเรสุฯ จกฺขุํ จ ปชานาตีติ จกฺขุปสาทํ ยาถาวสรสลกฺขณวเสน ปชานาติฯ รูเป จ ปชานาตีติ พหิทฺธา จตุสมุฎฺฐานิกรูปญฺจ ยาถาวสรสลกฺขณวเสน ปชานาติฯ ยญฺจ ตทุภยํ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชติ สํโยชนนฺติ ยญฺจ ตํ จกฺขุํ เจว รูเป จาติ อุภยํ ปฎิจฺจ กามราคสํโยชนํ ปฎิฆ-มาน-ทิฎฺฐิ-วิจิกิจฺฉา-สีลพฺพตปรามาส-ภวราค-อิสฺสา-มจฺฉริยาวิชฺชาสํโยชนนฺติ ทสวิธํ สํโยชนํ อุปฺปชฺชติ, ตญฺจ ยาถาวสรสลกฺขณวเสน ปชานาติฯ
117. Evaṃ pañcakkhandhavasena dhammānupassanaṃ vibhajitvā idāni āyatanavasena vibhajituṃ puna caparantiādimāha. Tattha chasu ajjhattikabāhiresu āyatanesūti cakkhu sotaṃ ghānaṃ jivhā kāyo manoti imesu chasu ajjhattikesu rūpaṃ saddo gandho raso phoṭṭhabbo dhammāti imesu chasu bāhiresu. Cakkhuṃ ca pajānātīti cakkhupasādaṃ yāthāvasarasalakkhaṇavasena pajānāti. Rūpe ca pajānātīti bahiddhā catusamuṭṭhānikarūpañca yāthāvasarasalakkhaṇavasena pajānāti. Yañca tadubhayaṃ paṭicca uppajjati saṃyojananti yañca taṃ cakkhuṃ ceva rūpe cāti ubhayaṃ paṭicca kāmarāgasaṃyojanaṃ paṭigha-māna-diṭṭhi-vicikicchā-sīlabbataparāmāsa-bhavarāga-issā-macchariyāvijjāsaṃyojananti dasavidhaṃ saṃyojanaṃ uppajjati, tañca yāthāvasarasalakkhaṇavasena pajānāti.
กถํ ปเนตํ อุปฺปชฺชตีติ? จกฺขุทฺวาเร ตาว อาปาถคตํ อิฎฺฐารมฺมณํ กามสฺสาทวเสน อสฺสาทยโต อภินนฺทโต กามราคสํโยชนํ อุปฺปชฺชติฯ อนิฎฺฐารมฺมเณ กุชฺฌโต ปฎิฆสํโยชนํ อุปฺปชฺชติฯ ‘‘ฐเปตฺวา มํ น โกจิ อโญฺญ เอตํ อารมฺมณํ วิภาเวตุํ สมโตฺถ อตฺถี’’ติ มญฺญโต มานสํโยชนํ อุปฺปชฺชติฯ ‘‘เอตํ รูปารมฺมณํ นิจฺจํ ธุว’’นฺติ คณฺหโต ทิฎฺฐิสํโยชนํ อุปฺปชฺชติฯ ‘‘เอตํ รูปารมฺมณํ สโตฺต นุ โข, สตฺตสฺส นุ โข’’ติ วิจิกิจฺฉโต วิจิกิจฺฉาสํโยชนํ อุปฺปชฺชติฯ ‘‘สมฺปตฺติภเว วต โน อิทํ สุลภํ ชาต’’นฺติ ภวํ ปเตฺถนฺตสฺส ภวราคสํโยชนํ อุปฺปชฺชติฯ ‘‘อายติมฺปิ เอวรูปํ สีลพฺพตํ สมาทิยิตฺวา สกฺกา ลทฺธุ’’นฺติ สีลพฺพตํ สมาทิยนฺตสฺส สีลพฺพตปรามาสสํโยชนํ อุปฺปชฺชติฯ ‘‘อโห วต เอตํ รูปารมฺมณํ อเญฺญ น ลเภยฺยุ’’นฺติ อุสูยโต อิสฺสาสํโยชนํ อุปฺปชฺชติฯ อตฺตนา ลทฺธํ รูปารมฺมณํ อญฺญสฺส มจฺฉรายโต มจฺฉริยสํโยชนํ อุปฺปชฺชติฯ สเพฺพเหว สหชาตอญฺญาณวเสน อวิชฺชาสํโยชนํ อุปฺปชฺชติฯ
Kathaṃ panetaṃ uppajjatīti? Cakkhudvāre tāva āpāthagataṃ iṭṭhārammaṇaṃ kāmassādavasena assādayato abhinandato kāmarāgasaṃyojanaṃ uppajjati. Aniṭṭhārammaṇe kujjhato paṭighasaṃyojanaṃ uppajjati. ‘‘Ṭhapetvā maṃ na koci añño etaṃ ārammaṇaṃ vibhāvetuṃ samattho atthī’’ti maññato mānasaṃyojanaṃ uppajjati. ‘‘Etaṃ rūpārammaṇaṃ niccaṃ dhuva’’nti gaṇhato diṭṭhisaṃyojanaṃ uppajjati. ‘‘Etaṃ rūpārammaṇaṃ satto nu kho, sattassa nu kho’’ti vicikicchato vicikicchāsaṃyojanaṃ uppajjati. ‘‘Sampattibhave vata no idaṃ sulabhaṃ jāta’’nti bhavaṃ patthentassa bhavarāgasaṃyojanaṃ uppajjati. ‘‘Āyatimpi evarūpaṃ sīlabbataṃ samādiyitvā sakkā laddhu’’nti sīlabbataṃ samādiyantassa sīlabbataparāmāsasaṃyojanaṃ uppajjati. ‘‘Aho vata etaṃ rūpārammaṇaṃ aññe na labheyyu’’nti usūyato issāsaṃyojanaṃ uppajjati. Attanā laddhaṃ rūpārammaṇaṃ aññassa maccharāyato macchariyasaṃyojanaṃ uppajjati. Sabbeheva sahajātaaññāṇavasena avijjāsaṃyojanaṃ uppajjati.
ยถา จ อนุปฺปนฺนสฺสาติ เยน การเณน อสมุทาจารวเสน อนุปฺปนฺนสฺส ตสฺส ทสวิธสฺสาปิ สํโยชนสฺส อุปฺปาโท โหติ, ตญฺจ การณํ ปชานาติฯ ยถา จ อุปฺปนฺนสฺสาติ อปฺปหีนเฎฺฐน ปน สมุทาจารวเสน วา อุปฺปนฺนสฺส ตสฺส ทสวิธสฺสาปิ สํโยชนสฺส เยน การเณน ปหานํ โหติ, ตญฺจ การณํ ปชานาติฯ ยถา จ ปหีนสฺสาติ ตทงฺควิกฺขมฺภนปฺปหานวเสน ปหีนสฺสาปิ ตสฺส ทสวิธสฺส สํโยชนสฺส เยน การเณน อายติํ อนุปฺปาโท โหติ, ตญฺจ ปชานาติฯ เกน การเณน ปนสฺส อายติํ อนุปฺปาโท โหติ? ทิฎฺฐิวิจิกิจฺฉาสีลพฺพตปรามาสอิสฺสามจฺฉริยเภทสฺส ตาว ปญฺจวิธสฺส สํโยชนสฺส โสตาปตฺติมเคฺคน อายติํ อนุปฺปาโท โหติฯ กามราคปฎิฆสํโยชนทฺวยสฺส โอฬาริกสฺส สกทาคามิมเคฺคน, อณุสหคตสฺส อนาคามิมเคฺคน, มานภวราคาวิชฺชาสํโยชนตฺตยสฺส อรหตฺตมเคฺคน อายติํ อนุปฺปาโท โหติฯ
Yathā ca anuppannassāti yena kāraṇena asamudācāravasena anuppannassa tassa dasavidhassāpi saṃyojanassa uppādo hoti, tañca kāraṇaṃ pajānāti. Yathā ca uppannassāti appahīnaṭṭhena pana samudācāravasena vā uppannassa tassa dasavidhassāpi saṃyojanassa yena kāraṇena pahānaṃ hoti, tañca kāraṇaṃ pajānāti. Yathā ca pahīnassāti tadaṅgavikkhambhanappahānavasena pahīnassāpi tassa dasavidhassa saṃyojanassa yena kāraṇena āyatiṃ anuppādo hoti, tañca pajānāti. Kena kāraṇena panassa āyatiṃ anuppādo hoti? Diṭṭhivicikicchāsīlabbataparāmāsaissāmacchariyabhedassa tāva pañcavidhassa saṃyojanassa sotāpattimaggena āyatiṃ anuppādo hoti. Kāmarāgapaṭighasaṃyojanadvayassa oḷārikassa sakadāgāmimaggena, aṇusahagatassa anāgāmimaggena, mānabhavarāgāvijjāsaṃyojanattayassa arahattamaggena āyatiṃ anuppādo hoti.
โสตญฺจ ปชานาติ สเทฺท จา ติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อปิเจตฺถ อายตนกถา วิตฺถารโต วิสุทฺธิมเคฺค อายตนนิเทฺทเส วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ
Sotañca pajānāti sadde cā tiādīsupi eseva nayo. Apicettha āyatanakathā vitthārato visuddhimagge āyatananiddese vuttanayeneva veditabbā.
อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ อชฺฌตฺติกายตนปริคฺคหเณน อตฺตโน วา ธเมฺมสุ, พาหิรายตนปริคฺคหเณน ปรสฺส วา ธเมฺมสุ, กาเลน วา อตฺตโน, กาเลน วา ปรสฺส ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติฯ สมุทยวยา ปเนตฺถ ‘‘อวิชฺชาสมุทยา จกฺขุสมุทโย’’ติ รูปายตนสฺส รูปกฺขเนฺธ, อรูปายตเนสุ มนายตนสฺส วิญฺญาณกฺขเนฺธ, ธมฺมายตนสฺส เสสกฺขเนฺธสุ วุตฺตนเยน นีหริตพฺพาฯ โลกุตฺตรธมฺมา น คเหตพฺพาฯ อิโต ปรํ วุตฺตนยเมวฯ
Iti ajjhattaṃ vāti evaṃ ajjhattikāyatanapariggahaṇena attano vā dhammesu, bāhirāyatanapariggahaṇena parassa vā dhammesu, kālena vā attano, kālena vā parassa dhammesu dhammānupassī viharati. Samudayavayā panettha ‘‘avijjāsamudayā cakkhusamudayo’’ti rūpāyatanassa rūpakkhandhe, arūpāyatanesu manāyatanassa viññāṇakkhandhe, dhammāyatanassa sesakkhandhesu vuttanayena nīharitabbā. Lokuttaradhammā na gahetabbā. Ito paraṃ vuttanayameva.
เกวลญฺหิ อิธ อายตนปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจนฺติ เอวํ โยชนํ กตฺวา อายตนปริคฺคาหกสฺส ภิกฺขุโน นิยฺยานมุขํ เวทิตพฺพํฯ เสสํ ตาทิสเมวาติฯ
Kevalañhi idha āyatanapariggāhikā sati dukkhasaccanti evaṃ yojanaṃ katvā āyatanapariggāhakassa bhikkhuno niyyānamukhaṃ veditabbaṃ. Sesaṃ tādisamevāti.
อายตนปพฺพวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Āyatanapabbavaṇṇanā niṭṭhitā.
โพชฺฌงฺคปพฺพวณฺณนา
Bojjhaṅgapabbavaṇṇanā
๑๑๘. เอวํ ฉ อชฺฌตฺติกพาหิรายตนวเสน ธมฺมานุปสฺสนํ วิภชิตฺวา อิทานิ โพชฺฌงฺควเสน วิภชิตุํ ปุน จปรนฺติ อาทิมาหฯ ตตฺถ โพชฺฌเงฺคสูติ พุชฺฌนกสตฺตสฺส อเงฺคสุฯ สนฺตนฺติ ปฎิลาภวเสน สํวิชฺชมานํฯ สติสโมฺพชฺฌงฺคนฺติ สติสงฺขาตํ สโมฺพชฺฌงฺคํฯ เอตฺถ หิ สมฺพุชฺฌติ อารทฺธวิปสฺสกโต ปฎฺฐาย โยคาวจโรติ สโมฺพธิ, ยาย วา โส สติอาทิกาย สตฺตธมฺมสามคฺคิยา สมฺพุชฺฌติ กิเลสนิทฺทาโต อุฎฺฐาติ, สจฺจานิ วา ปฎิวิชฺฌติ, สา ธมฺมสามคฺคี สโมฺพธิฯ ตสฺส สโมฺพธิสฺส, ตสฺสา วา สโมฺพธิยา องฺคนฺติ สโมฺพชฺฌงฺคํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สติสงฺขาตํ สโมฺพชฺฌงฺค’’นฺติฯ เสสสโมฺพชฺฌเงฺคสุปิ อิมินาว นเยน วจนโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
118. Evaṃ cha ajjhattikabāhirāyatanavasena dhammānupassanaṃ vibhajitvā idāni bojjhaṅgavasena vibhajituṃ puna caparanti ādimāha. Tattha bojjhaṅgesūti bujjhanakasattassa aṅgesu. Santanti paṭilābhavasena saṃvijjamānaṃ. Satisambojjhaṅganti satisaṅkhātaṃ sambojjhaṅgaṃ. Ettha hi sambujjhati āraddhavipassakato paṭṭhāya yogāvacaroti sambodhi, yāya vā so satiādikāya sattadhammasāmaggiyā sambujjhati kilesaniddāto uṭṭhāti, saccāni vā paṭivijjhati, sā dhammasāmaggī sambodhi. Tassa sambodhissa, tassā vā sambodhiyā aṅganti sambojjhaṅgaṃ. Tena vuttaṃ ‘‘satisaṅkhātaṃ sambojjhaṅga’’nti. Sesasambojjhaṅgesupi imināva nayena vacanattho veditabbo.
อสนฺตนฺติ อปฺปฎิลาภวเสน อวิชฺชมานํฯ ยถา จ อนุปฺปนฺนสฺสาติอาทีสุ ปน สติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ตาว – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, สติสโมฺพชฺฌงฺคฎฺฐานียา ธมฺมา, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา สติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนสฺส วา สติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา สํวตฺตตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๘๓) เอวํ อุปฺปาโท โหติ ฯ ตตฺถ สติเยว สติสโมฺพชฺฌงฺคฎฺฐานียา ธมฺมาฯ โยนิโสมนสิกาโร วุตฺตลกฺขโณเยว, ตํ ตตฺถ พหุลํ ปวตฺตยโต สติสโมฺพชฺฌโงฺค อุปฺปชฺชติฯ
Asantanti appaṭilābhavasena avijjamānaṃ. Yathā ca anuppannassātiādīsu pana satisambojjhaṅgassa tāva – ‘‘atthi, bhikkhave, satisambojjhaṅgaṭṭhānīyā dhammā, tattha yonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā satisambojjhaṅgassa uppādāya, uppannassa vā satisambojjhaṅgassa bhiyyobhāvāya vepullāya bhāvanāya pāripūriyā saṃvattatī’’ti (saṃ. ni. 5.183) evaṃ uppādo hoti . Tattha satiyeva satisambojjhaṅgaṭṭhānīyā dhammā. Yonisomanasikāro vuttalakkhaṇoyeva, taṃ tattha bahulaṃ pavattayato satisambojjhaṅgo uppajjati.
อปิจ จตฺตาโร ธมฺมา สติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ สติสมฺปชญฺญํ มุฎฺฐสฺสติปุคฺคลปริวชฺชนตา อุปฎฺฐิตสฺสติปุคฺคลเสวนตา ตทธิมุตฺตตาติฯ อภิกฺกนฺตาทีสุ หิ สตฺตสุ ฐาเนสุ สติสมฺปชเญฺญน ภตฺตนิกฺขิตฺตกากสทิเส มุฎฺฐสฺสติปุคฺคเล ปริวชฺชเนน ติสฺสทตฺตเตฺถรอภยเตฺถรสทิเส อุปฎฺฐิตสฺสติปุคฺคเล เสวเนน ฐานนิสชฺชาทีสุ สติสมุฎฺฐาปนตฺถํ นินฺนโปณปพฺภารจิตฺตตาย จ สติสโมฺพชฺฌโงฺค อุปฺปชฺชติฯ เอวํ จตูหิ การเณหิ อุปฺปนฺนสฺส ปนสฺส อรหตฺตมเคฺคน ภาวนาปาริปูรี โหตีติ ปชานาติฯ
Apica cattāro dhammā satisambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti satisampajaññaṃ muṭṭhassatipuggalaparivajjanatā upaṭṭhitassatipuggalasevanatā tadadhimuttatāti. Abhikkantādīsu hi sattasu ṭhānesu satisampajaññena bhattanikkhittakākasadise muṭṭhassatipuggale parivajjanena tissadattattheraabhayattherasadise upaṭṭhitassatipuggale sevanena ṭhānanisajjādīsu satisamuṭṭhāpanatthaṃ ninnapoṇapabbhāracittatāya ca satisambojjhaṅgo uppajjati. Evaṃ catūhi kāraṇehi uppannassa panassa arahattamaggena bhāvanāpāripūrī hotīti pajānāti.
ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ปน – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, กุสลากุสลา ธมฺมา…เป.… กณฺหสุกฺกสปฺปฎิภาคา ธมฺมา, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนสฺส วา ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา สํวตฺตตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒) เอวํ อุปฺปาโท โหติฯ
Dhammavicayasambojjhaṅgassa pana – ‘‘atthi, bhikkhave, kusalākusalā dhammā…pe… kaṇhasukkasappaṭibhāgā dhammā, tattha yonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā dhammavicayasambojjhaṅgassa uppādāya, uppannassa vā dhammavicayasambojjhaṅgassa bhiyyobhāvāya vepullāya bhāvanāya pāripūriyā saṃvattatī’’ti (saṃ. ni. 5.232) evaṃ uppādo hoti.
อปิจ สตฺต ธมฺมา ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ ปริปุจฺฉกตา วตฺถุวิสทกิริยา อินฺทฺริยสมตฺตปฎิปาทนา ทุปฺปญฺญปุคฺคลปริวชฺชนา ปญฺญวนฺตปุคฺคลเสวนา คมฺภีรญาณจริยปจฺจเวกฺขณา ตทธิมุตฺตตาติฯ ตตฺถ ปริปุจฺฉกตาติ ขนฺธธาตุอายตนอินฺทฺริยพลโพชฺฌงฺคมคฺคงฺคฌานงฺคสมถวิปสฺสนานํ อตฺถสนฺนิสฺสิตปริปุจฺฉาพหุลตาฯ
Apica satta dhammā dhammavicayasambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti paripucchakatā vatthuvisadakiriyā indriyasamattapaṭipādanā duppaññapuggalaparivajjanā paññavantapuggalasevanā gambhīrañāṇacariyapaccavekkhaṇā tadadhimuttatāti. Tattha paripucchakatāti khandhadhātuāyatanaindriyabalabojjhaṅgamaggaṅgajhānaṅgasamathavipassanānaṃ atthasannissitaparipucchābahulatā.
วตฺถุวิสทกิริยาติ อชฺฌตฺติกพาหิรานํ วตฺถูนํ วิสทภาวกรณํฯ ยทา หิสฺส เกสนขโลมา อติทีฆา โหนฺติ, สรีรํ วา อุสฺสนฺนโทสเญฺจว เสทมลมกฺขิตญฺจ, ตทา อชฺฌตฺติกํ วตฺถุ อวิสทํ โหติ อปริสุทฺธํ ฯ ยทา ปน จีวรํ ชิณฺณํ กิลิฎฺฐํ ทุคฺคนฺธํ โหติ, เสนาสนํ วา อุกฺลาปํ, ตทา พาหิรํ วตฺถุ อวิสทํ โหติ อปริสุทฺธํฯ ตสฺมา เกสาทิเจฺฉทาปเนน อุทฺธํวิเรจนอโธวิเรจนาทีหิ สรีรสลฺลหุกภาวกรเณน อุจฺฉาทนนฺหาปเนน จ อชฺฌตฺติกํ วตฺถุ วิสทํ กาตพฺพํฯ
Vatthuvisadakiriyāti ajjhattikabāhirānaṃ vatthūnaṃ visadabhāvakaraṇaṃ. Yadā hissa kesanakhalomā atidīghā honti, sarīraṃ vā ussannadosañceva sedamalamakkhitañca, tadā ajjhattikaṃ vatthu avisadaṃ hoti aparisuddhaṃ . Yadā pana cīvaraṃ jiṇṇaṃ kiliṭṭhaṃ duggandhaṃ hoti, senāsanaṃ vā uklāpaṃ, tadā bāhiraṃ vatthu avisadaṃ hoti aparisuddhaṃ. Tasmā kesādicchedāpanena uddhaṃvirecanaadhovirecanādīhi sarīrasallahukabhāvakaraṇena ucchādananhāpanena ca ajjhattikaṃ vatthu visadaṃ kātabbaṃ.
สูจิกมฺมโธวนรชนปริภณฺฑกรณาทีหิ พาหิรํ วตฺถุ วิสทํ กาตพฺพํฯ เอตสฺมิญฺหิ อชฺฌตฺติกพาหิเร วตฺถุสฺมิํ อวิสเท อุปฺปเนฺนสุ จิตฺตเจตสิเกสุ ญาณมฺปิ อปริสุทฺธํ โหติ, อปริสุทฺธานิ ทีปกปลฺลกวฎฺฎิเตลานิ นิสฺสาย อุปฺปนฺนทีปสิขาย โอภาโส วิยฯ วิสเท ปน อชฺฌตฺติกพาหิเร วตฺถุมฺหิ อุปฺปเนฺนสุ จิตฺตเจตสิเกสุ ญาณมฺปิ วิสทํ โหติ, ปริสุทฺธานิ ทีปกปลฺลกวฎฺฎิเตลานิ นิสฺสาย อุปฺปนฺนทีปสิขาย โอภาโส วิยฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘วตฺถุวิสทกิริยา ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตตี’’ติฯ
Sūcikammadhovanarajanaparibhaṇḍakaraṇādīhi bāhiraṃ vatthu visadaṃ kātabbaṃ. Etasmiñhi ajjhattikabāhire vatthusmiṃ avisade uppannesu cittacetasikesu ñāṇampi aparisuddhaṃ hoti, aparisuddhāni dīpakapallakavaṭṭitelāni nissāya uppannadīpasikhāya obhāso viya. Visade pana ajjhattikabāhire vatthumhi uppannesu cittacetasikesu ñāṇampi visadaṃ hoti, parisuddhāni dīpakapallakavaṭṭitelāni nissāya uppannadīpasikhāya obhāso viya. Tena vuttaṃ – ‘‘vatthuvisadakiriyā dhammavicayasambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattatī’’ti.
อินฺทฺริยสมตฺตปฎิปาทนา นาม สทฺธาทีนํ อินฺทฺริยานํ สมภาวกรณํฯ สเจ หิสฺส สทฺธินฺทฺริยํ พลวํ โหติ, อิตรานิ มนฺทานิฯ ตโต วีริยินฺทฺริยํ ปคฺคหกิจฺจํ, สตินฺทฺริยํ อุปฎฺฐานกิจฺจํ, สมาธินฺทฺริยํ อวิเกฺขปกิจฺจํ, ปญฺญินฺทฺริยํ ทสฺสนกิจฺจํ กาตุํ น สโกฺกติฯ ตสฺมา ตํ ธมฺมสภาวปจฺจเวกฺขเณน วา ยถา วา มนสิกโรโต พลวํ ชาตํ, ตถา อมนสิกาเรน หาเปตพฺพํฯ วกฺกลิเตฺถรสฺส วตฺถุ เจตฺถ นิทสฺสนํฯ สเจ ปน วีริยินฺทฺริยํ พลวํ โหติ, อถ เนว สทฺธินฺทฺริยํ อธิโมกฺขกิจฺจํ กาตุํ สโกฺกติ, น อิตรานิ อิตรกิจฺจเภทํฯ ตสฺมา ตํ ปสฺสทฺธาทิภาวนาย หาเปตพฺพํฯ ตตฺราปิ โสณเตฺถรสฺส วตฺถุ ทเสฺสตพฺพํฯ เอวํ เสเสสุปิ เอกสฺส พลวภาเว สติ อิตเรสํ อตฺตโน กิเจฺจสุ อสมตฺถตา เวทิตพฺพาฯ
Indriyasamattapaṭipādanā nāma saddhādīnaṃ indriyānaṃ samabhāvakaraṇaṃ. Sace hissa saddhindriyaṃ balavaṃ hoti, itarāni mandāni. Tato vīriyindriyaṃ paggahakiccaṃ, satindriyaṃ upaṭṭhānakiccaṃ, samādhindriyaṃ avikkhepakiccaṃ, paññindriyaṃ dassanakiccaṃ kātuṃ na sakkoti. Tasmā taṃ dhammasabhāvapaccavekkhaṇena vā yathā vā manasikaroto balavaṃ jātaṃ, tathā amanasikārena hāpetabbaṃ. Vakkalittherassa vatthu cettha nidassanaṃ. Sace pana vīriyindriyaṃ balavaṃ hoti, atha neva saddhindriyaṃ adhimokkhakiccaṃ kātuṃ sakkoti, na itarāni itarakiccabhedaṃ. Tasmā taṃ passaddhādibhāvanāya hāpetabbaṃ. Tatrāpi soṇattherassa vatthu dassetabbaṃ. Evaṃ sesesupi ekassa balavabhāve sati itaresaṃ attano kiccesu asamatthatā veditabbā.
วิเสสโต ปเนตฺถ สทฺธาปญฺญานํ สมาธิวีริยานํ จ สมตํ ปสํสนฺติฯ พลวสโทฺธ หิ มนฺทปโญฺญ มุธาปสโนฺน โหติ, อวตฺถุสฺมิํ ปสีทติฯ พลวปโญฺญ มนฺทสโทฺธ เกราฎิกปกฺขํ ภชติฯ เภสชฺชสมุฎฺฐิโต วิย โรโค อเตกิโจฺฉ โหติฯ จิตฺตุปฺปาทมเตฺตเนว กุสลํ โหตีติ อติธาวิตฺวา ทานาทีนิ อกโรโนฺต นิรเย อุปฺปชฺชติฯ อุภินฺนํ สมตาย วตฺถุสฺมิํเยว ปสีทติ ฯ พลวสมาธิํ ปน มนฺทวีริยํ สมาธิสฺส โกสชฺชปกฺขตฺตา โกสชฺชํ อธิภวติฯ พลววีริยํ มนฺทสมาธิํ วีริยสฺส อุทฺธจฺจปกฺขตฺตา อุทฺธจฺจํ อธิภวติ ฯ สมาธิ ปน วีริเยน สํโยชิโต โกสเชฺช ปติตุํ น ลภติฯ วีริยํ สมาธินา สํโยชิตํ อุทฺธเจฺจ ปติตุํ น ลภติฯ ตสฺมา ตทุภยํ สมํ กาตพฺพํฯ อุภยสมตาย หิ อปฺปนา โหติฯ
Visesato panettha saddhāpaññānaṃ samādhivīriyānaṃ ca samataṃ pasaṃsanti. Balavasaddho hi mandapañño mudhāpasanno hoti, avatthusmiṃ pasīdati. Balavapañño mandasaddho kerāṭikapakkhaṃ bhajati. Bhesajjasamuṭṭhito viya rogo atekiccho hoti. Cittuppādamatteneva kusalaṃ hotīti atidhāvitvā dānādīni akaronto niraye uppajjati. Ubhinnaṃ samatāya vatthusmiṃyeva pasīdati . Balavasamādhiṃ pana mandavīriyaṃ samādhissa kosajjapakkhattā kosajjaṃ adhibhavati. Balavavīriyaṃ mandasamādhiṃ vīriyassa uddhaccapakkhattā uddhaccaṃ adhibhavati . Samādhi pana vīriyena saṃyojito kosajje patituṃ na labhati. Vīriyaṃ samādhinā saṃyojitaṃ uddhacce patituṃ na labhati. Tasmā tadubhayaṃ samaṃ kātabbaṃ. Ubhayasamatāya hi appanā hoti.
อปิจ สมาธิกมฺมิกสฺส พลวตีปิ สทฺธา วฎฺฎติฯ เอวํ สทฺทหโนฺต โอกเปฺปโนฺต อปฺปนํ ปาปุณิสฺสติฯ สมาธิปญฺญาสุ ปน สมาธิกมฺมิกสฺส เอกคฺคตา พลวตี วฎฺฎติ, เอวญฺหิ โส อปฺปนํ ปาปุณาติฯ วิปสฺสนากมฺมิกสฺส ปญฺญา พลวตี วฎฺฎติ, เอวญฺหิ โส ลกฺขณปฺปฎิเวธํ ปาปุณาติฯ อุภินฺนํ ปน สมตายปิ อปฺปนา โหติเยวฯ สติ ปน สพฺพตฺถ พลวตี วฎฺฎติฯ สติ หิ จิตฺตํ อุทฺธจฺจปกฺขิกานํ สทฺธาวีริยปญฺญานํ วเสน อุทฺธจฺจปาตโต, โกสชฺชปกฺขิเกน จ สมาธินา โกสชฺชปาตโต รกฺขติฯ ตสฺมา สา โลณธูปนํ วิย สพฺพพฺยญฺชเนสุ สพฺพกมฺมิกอมโจฺจ วิย จ สพฺพราชกิเจฺจสุ สพฺพตฺถ อิจฺฉิตพฺพาฯ เตนาห – ‘‘สติ จ ปน สพฺพตฺถิกา วุตฺตา ภควตาฯ กิํ การณา? จิตฺตญฺหิ สติ ปฎิสรณํ, อารกฺขปจฺจุปฎฺฐานา จ สติ, น จ วินา สติยา จิตฺตสฺส ปคฺคหนิคฺคโห โหตี’’ติฯ
Apica samādhikammikassa balavatīpi saddhā vaṭṭati. Evaṃ saddahanto okappento appanaṃ pāpuṇissati. Samādhipaññāsu pana samādhikammikassa ekaggatā balavatī vaṭṭati, evañhi so appanaṃ pāpuṇāti. Vipassanākammikassa paññā balavatī vaṭṭati, evañhi so lakkhaṇappaṭivedhaṃ pāpuṇāti. Ubhinnaṃ pana samatāyapi appanā hotiyeva. Sati pana sabbattha balavatī vaṭṭati. Sati hi cittaṃ uddhaccapakkhikānaṃ saddhāvīriyapaññānaṃ vasena uddhaccapātato, kosajjapakkhikena ca samādhinā kosajjapātato rakkhati. Tasmā sā loṇadhūpanaṃ viya sabbabyañjanesu sabbakammikaamacco viya ca sabbarājakiccesu sabbattha icchitabbā. Tenāha – ‘‘sati ca pana sabbatthikā vuttā bhagavatā. Kiṃ kāraṇā? Cittañhi sati paṭisaraṇaṃ, ārakkhapaccupaṭṭhānā ca sati, na ca vinā satiyā cittassa paggahaniggaho hotī’’ti.
ทุปฺปญฺญปุคฺคลปริวชฺชนา นาม ขนฺธาทิเภเท อโนคาฬฺหปญฺญานํ ทุเมฺมธปุคฺคลานํ อารกาว ปริวชฺชนํฯ ปญฺญวนฺตปุคฺคลเสวนา นาม สมปญฺญาสลกฺขณปริคฺคาหิกาย อุทยพฺพยปญฺญาย สมนฺนาคตปุคฺคลเสวนาฯ คมฺภีรญาณจริยปจฺจเวกฺขณา นาม คมฺภีเรสุ ขนฺธาทีสุ ปวตฺตาย คมฺภีรปญฺญาย ปเภทปจฺจเวกฺขณาฯ ตทธิมุตฺตตา นาม ฐานนิสชฺชาทีสุ ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสมุฎฺฐาปนตฺถํ นินฺนโปณปพฺภารจิตฺตตาฯ เอวํ อุปฺปนฺนสฺส ปนสฺส อรหตฺตมเคฺคน ภาวนาปาริปูรี โหตีติ ปชานาติฯ
Duppaññapuggalaparivajjanā nāma khandhādibhede anogāḷhapaññānaṃ dummedhapuggalānaṃ ārakāva parivajjanaṃ. Paññavantapuggalasevanā nāma samapaññāsalakkhaṇapariggāhikāya udayabbayapaññāya samannāgatapuggalasevanā. Gambhīrañāṇacariyapaccavekkhaṇā nāma gambhīresu khandhādīsu pavattāya gambhīrapaññāya pabhedapaccavekkhaṇā. Tadadhimuttatā nāma ṭhānanisajjādīsu dhammavicayasambojjhaṅgasamuṭṭhāpanatthaṃ ninnapoṇapabbhāracittatā. Evaṃ uppannassa panassa arahattamaggena bhāvanāpāripūrī hotīti pajānāti.
วีริยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อารพฺภธาตุ นิกฺกมธาตุ ปรกฺกมธาตุ, ตตฺถ โยนิโส มนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา วีริยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนสฺส วา วีริยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา สํวตฺตตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒) เอวํ อุปฺปาโท โหติฯ
Vīriyasambojjhaṅgassa – ‘‘atthi, bhikkhave, ārabbhadhātu nikkamadhātu parakkamadhātu, tattha yoniso manasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā vīriyasambojjhaṅgassa uppādāya, uppannassa vā vīriyasambojjhaṅgassa bhiyyobhāvāya vepullāya bhāvanāya pāripūriyā saṃvattatī’’ti (saṃ. ni. 5.232) evaṃ uppādo hoti.
อปิจ เอกาทส ธมฺมา วีริยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ อปายภยปจฺจเวกฺขณตา อานิสํสทสฺสาวิตา คมนวีถิปจฺจเวกฺขณตา ปิณฺฑปาตาปจายนตา ทายชฺชมหตฺตปจฺจเวกฺขณตา สตฺถุมหตฺตปจฺจเวกฺขณตา ชาติมหตฺตปจฺจเวกฺขณตา สพฺรหฺมจาริมหตฺตปจฺจเวกฺขณตา กุสีตปุคฺคลปริวชฺชนตา อารทฺธวีริยปุคฺคลเสวนตา ตทธิมุตฺตตาติฯ
Apica ekādasa dhammā vīriyasambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti apāyabhayapaccavekkhaṇatā ānisaṃsadassāvitā gamanavīthipaccavekkhaṇatā piṇḍapātāpacāyanatā dāyajjamahattapaccavekkhaṇatā satthumahattapaccavekkhaṇatā jātimahattapaccavekkhaṇatā sabrahmacārimahattapaccavekkhaṇatā kusītapuggalaparivajjanatā āraddhavīriyapuggalasevanatā tadadhimuttatāti.
ตตฺถ นิรเยสุ ปญฺจวิธพนฺธนกมฺมการณโต ปฎฺฐาย มหาทุกฺขํ อนุภวนกาเลปิ, ติรจฺฉานโยนิยํ ชาลกฺขิปกุมีนาทีหิ คหิตกาเลปิ, ปาชนกณฺฎกาทิปฺปหารตุนฺนสฺส ปน สกฎวาหนาทิกาเลปิ, เปตฺติวิสเย อเนกานิปิ วสฺสสหสฺสานิ เอกํ พุทฺธนฺตรมฺปิ ขุปฺปิปาสาหิ อาตุริตกาเลปิ, กาลกญฺชิกอสุเรสุ สฎฺฐิหตฺถอสีติหตฺถปฺปมาเณน อฎฺฐิจมฺมมเตฺตเนว อตฺตภาเวน วาตาตปาทิทุกฺขานุภวนกาเลปิ น สกฺกา วีริยสโมฺพชฺฌงฺคํ อุปฺปาเทตุํฯ อยเมว เต ภิกฺขุ กาโล วีริยกรณายาติ เอวํ อปายภยํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ วีริยสโมฺพชฺฌโงฺค อุปฺปชฺชติฯ
Tattha nirayesu pañcavidhabandhanakammakāraṇato paṭṭhāya mahādukkhaṃ anubhavanakālepi, tiracchānayoniyaṃ jālakkhipakumīnādīhi gahitakālepi, pājanakaṇṭakādippahāratunnassa pana sakaṭavāhanādikālepi, pettivisaye anekānipi vassasahassāni ekaṃ buddhantarampi khuppipāsāhi āturitakālepi, kālakañjikaasuresu saṭṭhihatthaasītihatthappamāṇena aṭṭhicammamatteneva attabhāvena vātātapādidukkhānubhavanakālepi na sakkā vīriyasambojjhaṅgaṃ uppādetuṃ. Ayameva te bhikkhu kālo vīriyakaraṇāyāti evaṃ apāyabhayaṃ paccavekkhantassāpi vīriyasambojjhaṅgo uppajjati.
‘‘น สกฺกา กุสีเตน นวโลกุตฺตรธมฺมํ ลทฺธุํ, อารทฺธวีริเยเนว สกฺกา อยมานิสํโส วีริยสฺสา’’ติ เอวํ อานิสํสทสฺสาวิโนปิ อุปฺปชฺชติฯ ‘‘สพฺพพุทฺธปเจฺจกพุทฺธมหาสาวเกหิ เต คตมโคฺค คนฺตโพฺพ, โส จ น สกฺกา กุสีเตน คนฺตุ’’นฺติ เอวํ คมนวีถิํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ อุปฺปชฺชติฯ ‘‘เย ตํ ปิณฺฑปาตาทีหิ อุปฎฺฐหนฺติ, อิเม เต มนุสฺสา เนว ญาตกา, น ทาสกมฺมกรา, นาปิ ‘ตํ นิสฺสาย ชีวิสฺสามา’ติ เต ปณีตานิ ปิณฺฑปาตาทีนิ เทนฺติ, อถ โข อตฺตโน การานํ มหปฺผลตํ ปจฺจาสีสมานา เทนฺติ, สตฺถาราปิ ‘อยํ อิเม ปจฺจเย ปริภุญฺชิตฺวา กายทฬฺหีพหุโล สุขํ วิหริสฺสตี’ติ น เอวํ สมฺปสฺสตา ตุยฺหํ ปจฺจยา อนุญฺญาตา, อถ โข ‘อยํ อิเม ปริภุญฺชมาโน สมณธมฺมํ กตฺวา วฎฺฎทุกฺขโต มุจฺจิสฺสตี’ติ เต ปจฺจยา อนุญฺญาตา, โส ทานิ ตฺวํ กุสีโต วิหรโนฺต น ตํ ปิณฺฑํ อปจายิสฺสสิ, อารทฺธวีริยเสฺสว หิ ปิณฺฑปาตาปจายนํ นาม โหตี’’ติ เอวํ ปิณฺฑปาตาปจายนํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ อุปฺปชฺชติ มหามิตฺตเตฺถรสฺส วิยฯ
‘‘Na sakkā kusītena navalokuttaradhammaṃ laddhuṃ, āraddhavīriyeneva sakkā ayamānisaṃso vīriyassā’’ti evaṃ ānisaṃsadassāvinopi uppajjati. ‘‘Sabbabuddhapaccekabuddhamahāsāvakehi te gatamaggo gantabbo, so ca na sakkā kusītena gantu’’nti evaṃ gamanavīthiṃ paccavekkhantassāpi uppajjati. ‘‘Ye taṃ piṇḍapātādīhi upaṭṭhahanti, ime te manussā neva ñātakā, na dāsakammakarā, nāpi ‘taṃ nissāya jīvissāmā’ti te paṇītāni piṇḍapātādīni denti, atha kho attano kārānaṃ mahapphalataṃ paccāsīsamānā denti, satthārāpi ‘ayaṃ ime paccaye paribhuñjitvā kāyadaḷhībahulo sukhaṃ viharissatī’ti na evaṃ sampassatā tuyhaṃ paccayā anuññātā, atha kho ‘ayaṃ ime paribhuñjamāno samaṇadhammaṃ katvā vaṭṭadukkhato muccissatī’ti te paccayā anuññātā, so dāni tvaṃ kusīto viharanto na taṃ piṇḍaṃ apacāyissasi, āraddhavīriyasseva hi piṇḍapātāpacāyanaṃ nāma hotī’’ti evaṃ piṇḍapātāpacāyanaṃ paccavekkhantassāpi uppajjati mahāmittattherassa viya.
เถโร กิร กสฺสกเลเณ นาม ปฎิวสติฯ ตสฺส จ โคจรคาเม เอกา มหาอุปาสิกา เถรํ ปุตฺตํ กตฺวา ปฎิชคฺคติฯ สา เอกทิวสํ อรญฺญํ คจฺฉนฺตี ธีตรํ อาห – ‘‘อมฺม อสุกสฺมิํ ฐาเน ปุราณตณฺฑุลา, อสุกสฺมิํ ขีรํ, อสุกสฺมิํ สปฺปิ, อสุกสฺมิํ ผาณิตํ, ตว ภาติกสฺส อยฺยมิตฺตสฺส อาคตกาเล ภตฺตํ ปจิตฺวา ขีรสปฺปิผาณิเตหิ สทฺธิํ เทหิ, ตฺวํ จ ภุเญฺชยฺยาสิ, อหํ ปน หิโยฺย ปกฺกํ ปาริวาสิกภตฺตํ กญฺชิเกน ภุตฺตามฺหี’’ติฯ ทิวา กิํ ภุญฺชิสฺสสิ อมฺมาติ? สากปณฺณํ ปกฺขิปิตฺวา กณตณฺฑุเลหิ อมฺพิลยาคุํ ปจิตฺวา ฐเปหิ อมฺมาติฯ
Thero kira kassakaleṇe nāma paṭivasati. Tassa ca gocaragāme ekā mahāupāsikā theraṃ puttaṃ katvā paṭijaggati. Sā ekadivasaṃ araññaṃ gacchantī dhītaraṃ āha – ‘‘amma asukasmiṃ ṭhāne purāṇataṇḍulā, asukasmiṃ khīraṃ, asukasmiṃ sappi, asukasmiṃ phāṇitaṃ, tava bhātikassa ayyamittassa āgatakāle bhattaṃ pacitvā khīrasappiphāṇitehi saddhiṃ dehi, tvaṃ ca bhuñjeyyāsi, ahaṃ pana hiyyo pakkaṃ pārivāsikabhattaṃ kañjikena bhuttāmhī’’ti. Divā kiṃ bhuñjissasi ammāti? Sākapaṇṇaṃ pakkhipitvā kaṇataṇḍulehi ambilayāguṃ pacitvā ṭhapehi ammāti.
เถโร จีวรํ ปารุปิตฺวา ปตฺตํ นีหรโนฺตว ตํ สทฺทํ สุตฺวา อตฺตานํ โอวทิ – ‘‘มหาอุปาสิกา กิร กญฺชิเยน ปาริวาสิกภตฺตํ ภุญฺชิ, ทิวาปิ กณปณฺณมฺพิลยาคุํ ภุญฺชิสฺสติ, ตุยฺหํ อตฺถาย ปน ปุราณตณฺฑุลาทีนิ อาจิกฺขติ, ตํ นิสฺสาย โข ปเนสา เนว เขตฺตํ น วตฺถุํ น ภตฺตํ น วตฺถํ ปจฺจาสีสติ, ติโสฺส ปน สมฺปตฺติโย ปตฺถยมานา เทติ, ตฺวํ เอติสฺสา ตา สมฺปตฺติโย ทาตุํ สกฺขิสฺสสิ น สกฺขิสฺสสีติ, อยํ โข ปน ปิณฺฑปาโต ตยา สราเคน สโทเสน สโมเหน น สกฺกา คณฺหิตุนฺติ ปตฺตํ ถวิกาย ปกฺขิปิตฺวา คณฺฐิกํ มุญฺจิตฺวา นิวตฺติตฺวา กสฺสกเลณเมว คนฺตฺวา ปตฺตํ เหฎฺฐามเญฺจ จีวรํ จีวรวํเส ฐเปตฺวา อรหตฺตํ อปาปุณิตฺวา น นิกฺขมิสฺสามี’’ติ วีริยํ อธิฎฺฐหิตฺวา นิสีทิฯ ทีฆรตฺตํ อปฺปมโตฺต หุตฺวา นิวุตฺถภิกฺขุ วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา ปุเรภตฺตเมว อรหตฺตํ ปตฺวา วิกสิตํ วิย ปทุมํ มหาขีณาสโว สิตํ กโรโนฺตว นิกฺขมิฯ เลณทฺวาเร รุกฺขมฺหิ อธิวตฺถา เทวตา –
Thero cīvaraṃ pārupitvā pattaṃ nīharantova taṃ saddaṃ sutvā attānaṃ ovadi – ‘‘mahāupāsikā kira kañjiyena pārivāsikabhattaṃ bhuñji, divāpi kaṇapaṇṇambilayāguṃ bhuñjissati, tuyhaṃ atthāya pana purāṇataṇḍulādīni ācikkhati, taṃ nissāya kho panesā neva khettaṃ na vatthuṃ na bhattaṃ na vatthaṃ paccāsīsati, tisso pana sampattiyo patthayamānā deti, tvaṃ etissā tā sampattiyo dātuṃ sakkhissasi na sakkhissasīti, ayaṃ kho pana piṇḍapāto tayā sarāgena sadosena samohena na sakkā gaṇhitunti pattaṃ thavikāya pakkhipitvā gaṇṭhikaṃ muñcitvā nivattitvā kassakaleṇameva gantvā pattaṃ heṭṭhāmañce cīvaraṃ cīvaravaṃse ṭhapetvā arahattaṃ apāpuṇitvā na nikkhamissāmī’’ti vīriyaṃ adhiṭṭhahitvā nisīdi. Dīgharattaṃ appamatto hutvā nivutthabhikkhu vipassanaṃ vaḍḍhetvā purebhattameva arahattaṃ patvā vikasitaṃ viya padumaṃ mahākhīṇāsavo sitaṃ karontova nikkhami. Leṇadvāre rukkhamhi adhivatthā devatā –
‘‘นโม เต ปุริสาชญฺญ, นโม เต ปุริสุตฺตม;
‘‘Namo te purisājañña, namo te purisuttama;
ยสฺส เต อาสวา ขีณา, ทกฺขิเณโยฺยสิ มาริสา’’ติฯ –
Yassa te āsavā khīṇā, dakkhiṇeyyosi mārisā’’ti. –
เอวํ อุทานํ อุทาเนตฺวา ‘‘ภเนฺต, ปิณฺฑาย ปวิฎฺฐานํ ตุมฺหาทิสานํ อรหนฺตานํ ภิกฺขํ ทตฺวา มหลฺลกิตฺถิโย ทุกฺขา มุจฺจิสฺสนฺตี’’ติ อาหฯ
Evaṃ udānaṃ udānetvā ‘‘bhante, piṇḍāya paviṭṭhānaṃ tumhādisānaṃ arahantānaṃ bhikkhaṃ datvā mahallakitthiyo dukkhā muccissantī’’ti āha.
เถโร อุฎฺฐหิตฺวา ทฺวารํ วิวริตฺวา กาลํ โอโลเกโนฺต ปาโตเยวาติ ญตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย คามํ ปาวิสิฯ ทาริกาปิ ภตฺตํ สมฺปาเทตฺวา ‘‘อิทานิ เม ภาตา อาคมิสฺสติ , อิทานิ อาคมิสฺสตี’’ติ ทฺวารํ โอโลกยมานา นิสีทิฯ สา เถเร ฆรทฺวารํ สมฺปเตฺต ปตฺตํ คเหตฺวา สปฺปิผาณิตโยชิตสฺส ขีรปิณฺฑปาตสฺส ปูเรตฺวา หเตฺถ ฐเปสิฯ เถโร ‘‘สุขํ โหตู’’ติ อนุโมทนํ กตฺวา ปกฺกามิฯ สาปิ ตํ โอโลกยมานาว อฎฺฐาสิฯ เถรสฺส หิ ตทา อติวิย ปริสุโทฺธ ฉวิวโณฺณ อโหสิ, วิปฺปสนฺนานิ อินฺทฺริยานิ, มุขํ พนฺธนา ปมุตฺตตาลปกฺกํ วิย อติวิย วิโรจิตฺถฯ มหาอุปาสิกา อรญฺญา อาคนฺตฺวา ‘‘กิํ อมฺม, ภาติโก เต อาคโต’’ติ ปุจฺฉิฯ สา สพฺพํ ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสิฯ สา อุปาสิกา ‘‘อชฺช เม ปุตฺตสฺส ปพฺพชิตกิจฺจํ มตฺถกํ ปตฺต’’นฺติ ญตฺวา ‘‘อภิรมติ เต อมฺม ภาตา พุทฺธสาสเน น อุกฺกณฺฐตี’’ติ อาหฯ
Thero uṭṭhahitvā dvāraṃ vivaritvā kālaṃ olokento pātoyevāti ñatvā pattacīvaramādāya gāmaṃ pāvisi. Dārikāpi bhattaṃ sampādetvā ‘‘idāni me bhātā āgamissati , idāni āgamissatī’’ti dvāraṃ olokayamānā nisīdi. Sā there gharadvāraṃ sampatte pattaṃ gahetvā sappiphāṇitayojitassa khīrapiṇḍapātassa pūretvā hatthe ṭhapesi. Thero ‘‘sukhaṃ hotū’’ti anumodanaṃ katvā pakkāmi. Sāpi taṃ olokayamānāva aṭṭhāsi. Therassa hi tadā ativiya parisuddho chavivaṇṇo ahosi, vippasannāni indriyāni, mukhaṃ bandhanā pamuttatālapakkaṃ viya ativiya virocittha. Mahāupāsikā araññā āgantvā ‘‘kiṃ amma, bhātiko te āgato’’ti pucchi. Sā sabbaṃ taṃ pavattiṃ ārocesi. Sā upāsikā ‘‘ajja me puttassa pabbajitakiccaṃ matthakaṃ patta’’nti ñatvā ‘‘abhiramati te amma bhātā buddhasāsane na ukkaṇṭhatī’’ti āha.
‘‘มหนฺตํ โข ปเนตํ สตฺถุ ทายชฺชํ, ยทิทํ สตฺตอริยธนํ นาม, ตํ น สกฺกา กุสีเตน คเหตุํฯ ยถา หิ วิปฺปฎิปนฺนํ ปุตฺตํ มาตาปิตโร ‘อยํ อมฺหากํ อปุโตฺต’ติ ปริพาหิรํ กโรนฺติ, โส เตสํ อจฺจเยน ทายชฺชํ น ลภติ, เอวํ กุสีโตปิ อิทํ อริยธนทายชฺชํ น ลภติ, อารทฺธวีริโยว ลภตี’’ติ ทายชฺชมหตฺตตํ ปจฺจเวกฺขโตปิ อุปฺปชฺชติฯ ‘‘มหา โข ปน เต สตฺถา, สตฺถุโน หิ มาตุกุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิคฺคหณกาเลปิ อภินิกฺขมเนปิ อภิสโมฺพธิยมฺปิ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนยมกปาฎิหาริยเทโวโรหณ-อายุสงฺขารโวสฺสชฺชเนสุปิ ปรินิพฺพานกาเลปิ ทสสหสฺสิโลกธาตุ กมฺปิตฺถ, ยุตฺตํ นุ เต เอวรูปสฺส สตฺถุโน สาสเน ‘ปพฺพชิตฺวา กุสีเตน ภวิตุ’’’นฺติ เอวํ สตฺถุมหตฺตํ ปจฺจเวกฺขโตปิ อุปฺปชฺชติฯ
‘‘Mahantaṃ kho panetaṃ satthu dāyajjaṃ, yadidaṃ sattaariyadhanaṃ nāma, taṃ na sakkā kusītena gahetuṃ. Yathā hi vippaṭipannaṃ puttaṃ mātāpitaro ‘ayaṃ amhākaṃ aputto’ti paribāhiraṃ karonti, so tesaṃ accayena dāyajjaṃ na labhati, evaṃ kusītopi idaṃ ariyadhanadāyajjaṃ na labhati, āraddhavīriyova labhatī’’ti dāyajjamahattataṃ paccavekkhatopi uppajjati. ‘‘Mahā kho pana te satthā, satthuno hi mātukucchismiṃ paṭisandhiggahaṇakālepi abhinikkhamanepi abhisambodhiyampi dhammacakkappavattanayamakapāṭihāriyadevorohaṇa-āyusaṅkhāravossajjanesupi parinibbānakālepi dasasahassilokadhātu kampittha, yuttaṃ nu te evarūpassa satthuno sāsane ‘pabbajitvā kusītena bhavitu’’’nti evaṃ satthumahattaṃ paccavekkhatopi uppajjati.
ชาติยาปิ – ‘‘ตฺวํ อิทานิ น ลามกชาติโก, อสมฺภินฺนาย มหาสมฺมตปเวณิยา อาคโต, อุกฺกากราชวํเส ชาโตสิ, สุโทฺธธนมหาราชสฺส มหามายาเทวิยา จ นตฺตา, ราหุลภทฺทสฺส กนิโฎฺฐ, ตยา นาม เอวรูเปน ชินปุเตฺตน หุตฺวา น ยุตฺตํ กุสีเตน วิหริตุ’’นฺติ เอวํ ชาติมหตฺตํ ปจฺจเวกฺขโตปิ อุปฺปชฺชติฯ ‘‘สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานา เจว อสีติ จ มหาสาวกา วีริเยเนว โลกุตฺตรธมฺมํ ปฎิวิชฺฌิํสุ, ตฺวํ เอเตสํ สพฺรหฺมจารีนํ มคฺคํ ปฎิปชฺชิสฺสสิ น ปฎิปชฺชิสฺสสี’’ติ เอวํ สพฺรหฺมจาริมหตฺตํ ปจฺจเวกฺขโตปิ อุปฺปชฺชติฯ กุจฺฉิํ ปูเรตฺวา ฐิตอชครสทิเส วิสฺสฎฺฐกายิกเจตสิกวีริเย กุสีตปุคฺคเล ปริวชฺชนฺตสฺสาปิ, อารทฺธวีริเย ปหิตเตฺต ปุคฺคเล เสวนฺตสฺสาปิ, ฐานนิสชฺชาทีสุ วีริยุปฺปาทนตฺถํ นินฺนโปณปพฺภารจิตฺตสฺสาปิ อุปฺปชฺชติฯ เอวํ อุปฺปนฺนสฺส ปนสฺส อรหตฺตมเคฺคน ภาวนาปาริปูรี โหตีติ ปชานาติฯ
Jātiyāpi – ‘‘tvaṃ idāni na lāmakajātiko, asambhinnāya mahāsammatapaveṇiyā āgato, ukkākarājavaṃse jātosi, suddhodhanamahārājassa mahāmāyādeviyā ca nattā, rāhulabhaddassa kaniṭṭho, tayā nāma evarūpena jinaputtena hutvā na yuttaṃ kusītena viharitu’’nti evaṃ jātimahattaṃ paccavekkhatopi uppajjati. ‘‘Sāriputtamoggallānā ceva asīti ca mahāsāvakā vīriyeneva lokuttaradhammaṃ paṭivijjhiṃsu, tvaṃ etesaṃ sabrahmacārīnaṃ maggaṃ paṭipajjissasi na paṭipajjissasī’’ti evaṃ sabrahmacārimahattaṃ paccavekkhatopi uppajjati. Kucchiṃ pūretvā ṭhitaajagarasadise vissaṭṭhakāyikacetasikavīriye kusītapuggale parivajjantassāpi, āraddhavīriye pahitatte puggale sevantassāpi, ṭhānanisajjādīsu vīriyuppādanatthaṃ ninnapoṇapabbhāracittassāpi uppajjati. Evaṃ uppannassa panassa arahattamaggena bhāvanāpāripūrī hotīti pajānāti.
ปีติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, ปีติสโมฺพชฺฌงฺคฎฺฐานียา ธมฺมา, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา ปีติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนสฺส วา ปีติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา สํวตฺตตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒) เอวํ อุปฺปาโท โหติฯ ตตฺถ ปีติเยว ปีติสโมฺพชฺฌงฺคฎฺฐานียา ธมฺมา นาม, ตสฺส อุปฺปาทกมนสิกาโร โยนิโสมนสิกาโร นามฯ
Pītisambojjhaṅgassa – ‘‘atthi, bhikkhave, pītisambojjhaṅgaṭṭhānīyā dhammā, tattha yonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā pītisambojjhaṅgassa uppādāya, uppannassa vā pītisambojjhaṅgassa bhiyyobhāvāya vepullāya bhāvanāya pāripūriyā saṃvattatī’’ti (saṃ. ni. 5.232) evaṃ uppādo hoti. Tattha pītiyeva pītisambojjhaṅgaṭṭhānīyā dhammā nāma, tassa uppādakamanasikāro yonisomanasikāro nāma.
อปิจ เอกาทส ธมฺมา ปีติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ พุทฺธานุสฺสติ ธมฺมสงฺฆสีลจาคเทวตานุสฺสติ อุปสมานุสฺสติ ลูขปุคฺคลปริวชฺชนตา สินิทฺธปุคฺคลเสวนตา ปสาทนียสุตฺตนฺตปจฺจเวกฺขณตา ตทธิมุตฺตตาติฯ
Apica ekādasa dhammā pītisambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti buddhānussati dhammasaṅghasīlacāgadevatānussati upasamānussati lūkhapuggalaparivajjanatā siniddhapuggalasevanatā pasādanīyasuttantapaccavekkhaṇatā tadadhimuttatāti.
พุทฺธคุเณ อนุสฺสรนฺตสฺสาปิ หิ ยาว อุปจารา สกลสรีรํ ผรมาโน ปีติสโมฺพชฺฌโงฺค อุปฺปชฺชติฯ ธมฺมสงฺฆคุเณ อนุสฺสรนฺตสฺสาปิ, ทีฆรตฺตํ อขณฺฑํ กตฺวา รกฺขิตํ จตุปาริสุทฺธิสีลํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ, คิหิโน ทสสีลปญฺจสีลํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ, ทุพฺภิกฺขภยาทีสุ ปณีตํ โภชนํ สพฺรหฺมจารีนํ ทตฺวา ‘‘เอวํ นาม อทมฺหา’’ติ จาคํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ, คิหิโนปิ เอวรูเป กาเล สีลวนฺตานํ ทินฺนทานํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ, เยหิ คุเณหิ สมนฺนาคตา เทวตา เทวตฺตํ ปตฺตา, ตถารูปานํ คุณานํ อตฺตนิ อตฺถิตํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ, ‘‘สมาปตฺติยา วิกฺขมฺภิตา กิเลสา สฎฺฐิปิ, สตฺตติปิ วสฺสานิ น สมุทาจรนฺตี’’ติ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ, เจติยทสฺสนโพธิทสฺสนเถรทสฺสเนสุ อสกฺกจฺจกิริยาย สํสูจิตลูขภาเว พุทฺธาทีสุ ปสาทสิเนหาภาเวน คทฺรภปิเฎฺฐ รชสทิเส ลูขปุคฺคเล ปริวชฺชนฺตสฺสาปิ, พุทฺธาทีสุ ปสาทพหุเล มุทุจิเตฺต สินิทฺธปุคฺคเล เสวนฺตสฺสาปิ, รตนตฺตยคุณปริทีปเก ปสาทนีเย สุตฺตเนฺต ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ, ฐานนิสชฺชาทีสุ ปีติอุปฺปาทนตฺถํ นินฺนโปณปพฺภารจิตฺตสฺสาปิ อุปฺปชฺชติฯ เอวํ อุปฺปนฺนสฺส ปนสฺส อรหตฺตมเคฺคน ภาวนาปาริปูรี โหตีติ ปชานาติฯ
Buddhaguṇe anussarantassāpi hi yāva upacārā sakalasarīraṃ pharamāno pītisambojjhaṅgo uppajjati. Dhammasaṅghaguṇe anussarantassāpi, dīgharattaṃ akhaṇḍaṃ katvā rakkhitaṃ catupārisuddhisīlaṃ paccavekkhantassāpi, gihino dasasīlapañcasīlaṃ paccavekkhantassāpi, dubbhikkhabhayādīsu paṇītaṃ bhojanaṃ sabrahmacārīnaṃ datvā ‘‘evaṃ nāma adamhā’’ti cāgaṃ paccavekkhantassāpi, gihinopi evarūpe kāle sīlavantānaṃ dinnadānaṃ paccavekkhantassāpi, yehi guṇehi samannāgatā devatā devattaṃ pattā, tathārūpānaṃ guṇānaṃ attani atthitaṃ paccavekkhantassāpi, ‘‘samāpattiyā vikkhambhitā kilesā saṭṭhipi, sattatipi vassāni na samudācarantī’’ti paccavekkhantassāpi, cetiyadassanabodhidassanatheradassanesu asakkaccakiriyāya saṃsūcitalūkhabhāve buddhādīsu pasādasinehābhāvena gadrabhapiṭṭhe rajasadise lūkhapuggale parivajjantassāpi, buddhādīsu pasādabahule muducitte siniddhapuggale sevantassāpi, ratanattayaguṇaparidīpake pasādanīye suttante paccavekkhantassāpi, ṭhānanisajjādīsu pītiuppādanatthaṃ ninnapoṇapabbhāracittassāpi uppajjati. Evaṃ uppannassa panassa arahattamaggena bhāvanāpāripūrī hotīti pajānāti.
ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, กายปสฺสทฺธิ จิตฺตปสฺสทฺธิ, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนสฺส วา ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา สํวตฺตตี’’ติ เอวํ อุปฺปาโท โหติฯ
Passaddhisambojjhaṅgassa – ‘‘atthi, bhikkhave, kāyapassaddhi cittapassaddhi, tattha yonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā passaddhisambojjhaṅgassa uppādāya, uppannassa vā passaddhisambojjhaṅgassa bhiyyobhāvāya vepullāya bhāvanāya pāripūriyā saṃvattatī’’ti evaṃ uppādo hoti.
อปิจ สตฺต ธมฺมา ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ ปณีตโภชนเสวนตา อุตุสุขเสวนตา อิริยาปถสุขเสวนตา มชฺฌตฺตปโยคตา สารทฺธกายปุคฺคลปริวชฺชนตา ปสฺสทฺธกายปุคฺคลเสวนตา ตทธิมุตฺตตาติฯ
Apica satta dhammā passaddhisambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti paṇītabhojanasevanatā utusukhasevanatā iriyāpathasukhasevanatā majjhattapayogatā sāraddhakāyapuggalaparivajjanatā passaddhakāyapuggalasevanatā tadadhimuttatāti.
ปณีตญฺหิ สินิทฺธํ สปฺปายโภชนํ ภุญฺชนฺตสฺสาปิ, สีตุเณฺหสุ อุตูสุ ฐานาทีสุ อิริยาปเถสุ สปฺปายํ อุตุํ จ อิริยาปถํ จ เสวนฺตสฺสาปิ ปสฺสทฺธิ อุปฺปชฺชติฯ โย ปน มหาปุริสชาติโก สพฺพอุตุอิริยาปถกฺขโมว โหติ, น ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ ยสฺส สภาควิสภาคตา อตฺถิ, ตเสฺสว วิสภาเค อุตุอิริยาปเถ วเชฺชตฺวา สภาเค เสวนฺตสฺสาปิ อุปฺปชฺชติฯ มชฺฌตฺตปโยโค วุจฺจติ อตฺตโน จ ปรสฺส จ กมฺมสฺสกตาปจฺจเวกฺขณา, อิมินา มชฺฌตฺตปโยเคน อุปฺปชฺชติฯ โย เลฑฺฑุทณฺฑาทีหิ ปรํ วิเหฐยมาโนว วิจรติฯ เอวรูปํ สารทฺธกายํ ปุคฺคลํ ปริวชฺชนฺตสฺสาปิ, สํยตปาทปาณิํ ปสฺสทฺธกายํ ปุคฺคลํ เสวนฺตสฺสาปิ, ฐานนิสชฺชาทีสุ ปสฺสทฺธิอุปฺปาทนตฺถาย นินฺนโปณปพฺภารจิตฺตสฺสาปิ อุปฺปชฺชติฯ เอวํ อุปฺปนฺนสฺส ปนสฺส อรหตฺตมเคฺคน ภาวนาปาริปูรี โหตีติ ปชานาติฯ
Paṇītañhi siniddhaṃ sappāyabhojanaṃ bhuñjantassāpi, sītuṇhesu utūsu ṭhānādīsu iriyāpathesu sappāyaṃ utuṃ ca iriyāpathaṃ ca sevantassāpi passaddhi uppajjati. Yo pana mahāpurisajātiko sabbautuiriyāpathakkhamova hoti, na taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Yassa sabhāgavisabhāgatā atthi, tasseva visabhāge utuiriyāpathe vajjetvā sabhāge sevantassāpi uppajjati. Majjhattapayogo vuccati attano ca parassa ca kammassakatāpaccavekkhaṇā, iminā majjhattapayogena uppajjati. Yo leḍḍudaṇḍādīhi paraṃ viheṭhayamānova vicarati. Evarūpaṃ sāraddhakāyaṃ puggalaṃ parivajjantassāpi, saṃyatapādapāṇiṃ passaddhakāyaṃ puggalaṃ sevantassāpi, ṭhānanisajjādīsu passaddhiuppādanatthāya ninnapoṇapabbhāracittassāpi uppajjati. Evaṃ uppannassa panassa arahattamaggena bhāvanāpāripūrī hotīti pajānāti.
สมาธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, สมถนิมิตฺตํ อพฺยคฺคนิมิตฺตํ, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา สมาธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนสฺส วา สมาธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา สํวตฺตตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒) เอวํ อุปฺปาโท โหติฯ ตตฺถ สมโถว สมถนิมิตฺตํ, อวิเกฺขปเฎฺฐน จ อพฺยคฺคนิมิตฺตนฺติฯ
Samādhisambojjhaṅgassa – ‘‘atthi, bhikkhave, samathanimittaṃ abyagganimittaṃ, tattha yonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā samādhisambojjhaṅgassa uppādāya, uppannassa vā samādhisambojjhaṅgassa bhiyyobhāvāya vepullāya bhāvanāya pāripūriyā saṃvattatī’’ti (saṃ. ni. 5.232) evaṃ uppādo hoti. Tattha samathova samathanimittaṃ, avikkhepaṭṭhena ca abyagganimittanti.
อปิจ เอกาทส ธมฺมา สมาธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ วตฺถุวิสทกิริยตา อินฺทฺริยสมตฺตปฎิปาทนตา นิมิตฺตกุสลตา สมเย จิตฺตสฺส ปคฺคหณตา สมเย จิตฺตสฺส นิคฺคหณตา สมเย สมฺปหํสนตา สมเย อชฺฌุเปกฺขนตา อสมาหิตปุคฺคลปริวชฺชนตา สมาหิตปุคฺคลเสวนตา ฌานวิโมกฺขปจฺจเวกฺขณตา ตทธิมุตฺตตาติฯ ตตฺถ วตฺถุวิสทกิริยตา จ อินฺทฺริยสมตฺตปฎิปาทนตา จ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ
Apica ekādasa dhammā samādhisambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti vatthuvisadakiriyatā indriyasamattapaṭipādanatā nimittakusalatā samaye cittassa paggahaṇatā samaye cittassa niggahaṇatā samaye sampahaṃsanatā samaye ajjhupekkhanatā asamāhitapuggalaparivajjanatā samāhitapuggalasevanatā jhānavimokkhapaccavekkhaṇatā tadadhimuttatāti. Tattha vatthuvisadakiriyatā ca indriyasamattapaṭipādanatā ca vuttanayeneva veditabbā.
นิมิตฺตกุสลตา นาม กสิณนิมิตฺตสฺส อุคฺคหณกุสลตาฯ สมเย จิตฺตสฺส ปคฺคหณตาติ ยสฺมิํ สมเย อติสิถิลวีริยตาทีหิ ลีนํ จิตฺตํ โหติ, ตสฺมิํ สมเย ธมฺมวิจยวีริยสโมฺพชฺฌงฺคสมุฎฺฐาปเนน ตสฺส ปคฺคหณํฯ สมเย จิตฺตสฺส นิคฺคหณตาติ ยสฺมิํ สมเย อจฺจารทฺธวีริยตาทีหิ อุทฺธตํ จิตฺตํ โหติ, ตสฺมิํ สมเย ปสฺสทฺธิสมาธิอุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคสมุฎฺฐาปเนน ตสฺส นิคฺคหณํฯ สมเย สมฺปหํสนตาติ ยสฺมิํ สมเย จิตฺตํ ปญฺญาปโยคมนฺทตาย วา อุปสมสุขานธิคเมน วา นิรสฺสาทํ โหติ, ตสฺมิํ สมเย อฎฺฐสํเวควตฺถุปจฺจเวกฺขเณน สํเวเชติฯ อฎฺฐ สํเวควตฺถูนิ นาม ชาติชราพฺยาธิมรณานิ จตฺตาริ, อปายทุกฺขํ ปญฺจมํ, อตีเต วฎฺฎมูลกํ ทุกฺขํ, อนาคเต วฎฺฎมูลกํ ทุกฺขํ, ปจฺจุปฺปเนฺน อาหารปริเยฎฺฐิมูลกํ ทุกฺขนฺติฯ รตนตฺตยคุณานุสฺสรเณน จ ปสาทํ ชเนติฯ อยํ วุจฺจติ ‘‘สมเย สมฺปหํสนตา’’ติฯ
Nimittakusalatā nāma kasiṇanimittassa uggahaṇakusalatā. Samaye cittassa paggahaṇatāti yasmiṃ samaye atisithilavīriyatādīhi līnaṃ cittaṃ hoti, tasmiṃ samaye dhammavicayavīriyasambojjhaṅgasamuṭṭhāpanena tassa paggahaṇaṃ. Samaye cittassa niggahaṇatāti yasmiṃ samaye accāraddhavīriyatādīhi uddhataṃ cittaṃ hoti, tasmiṃ samaye passaddhisamādhiupekkhāsambojjhaṅgasamuṭṭhāpanena tassa niggahaṇaṃ. Samaye sampahaṃsanatāti yasmiṃ samaye cittaṃ paññāpayogamandatāya vā upasamasukhānadhigamena vā nirassādaṃ hoti, tasmiṃ samaye aṭṭhasaṃvegavatthupaccavekkhaṇena saṃvejeti. Aṭṭha saṃvegavatthūni nāma jātijarābyādhimaraṇāni cattāri, apāyadukkhaṃ pañcamaṃ, atīte vaṭṭamūlakaṃ dukkhaṃ, anāgate vaṭṭamūlakaṃ dukkhaṃ, paccuppanne āhārapariyeṭṭhimūlakaṃ dukkhanti. Ratanattayaguṇānussaraṇena ca pasādaṃ janeti. Ayaṃ vuccati ‘‘samaye sampahaṃsanatā’’ti.
สมเย อชฺฌุเปกฺขนตา นาม ยสฺมิํ สมเย สมฺมาปฎิปตฺติํ อาคมฺม อลีนํ อนุทฺธตํ อนิรสฺสาทํ อารมฺมเณ สมปฺปวตฺตํ สมถวีถิปฎิปนฺนํ จิตฺตํ โหติ, ตทาสฺส ปคฺคหนิคฺคหสมฺปหํสเนสุ น พฺยาปารํ อาปชฺชติ สารถิ วิย สมปฺปวเตฺตสุฯ อเสฺสสุฯ อยํ วุจฺจติ ‘‘สมเย อชฺฌุเปกฺขนตา’’ติฯ อสมาหิตปุคฺคลปริวชฺชนตา นาม อุปจารํ วา อปฺปนํ วา อปฺปตฺตานํ วิกฺขิตฺตจิตฺตานํ ปุคฺคลานํ อารกา ปริวชฺชนํฯ สมาหิตปุคฺคลเสวนตา นาม อุปจาเรน วา อปฺปนาย วา สมาหิตจิตฺตานํ เสวนา ภชนา ปยิรุปาสนาฯ ตทธิมุตฺตตา นาม ฐานนิสชฺชาทีสุ สมาธิอุปฺปาทนตฺถํเยว นินฺนโปณปพฺภารจิตฺตตาฯ เอวญฺหิ ปฎิปชฺชโต เอส อุปฺปชฺชติฯ เอวํ อุปฺปนฺนสฺส ปนสฺส อรหตฺตมเคฺคน ภาวนาปาริปูรี โหตีติ ปชานาติฯ
Samaye ajjhupekkhanatā nāma yasmiṃ samaye sammāpaṭipattiṃ āgamma alīnaṃ anuddhataṃ anirassādaṃ ārammaṇe samappavattaṃ samathavīthipaṭipannaṃ cittaṃ hoti, tadāssa paggahaniggahasampahaṃsanesu na byāpāraṃ āpajjati sārathi viya samappavattesu. Assesu. Ayaṃ vuccati ‘‘samaye ajjhupekkhanatā’’ti. Asamāhitapuggalaparivajjanatā nāma upacāraṃ vā appanaṃ vā appattānaṃ vikkhittacittānaṃ puggalānaṃ ārakā parivajjanaṃ. Samāhitapuggalasevanatā nāma upacārena vā appanāya vā samāhitacittānaṃ sevanā bhajanā payirupāsanā. Tadadhimuttatā nāma ṭhānanisajjādīsu samādhiuppādanatthaṃyeva ninnapoṇapabbhāracittatā. Evañhi paṭipajjato esa uppajjati. Evaṃ uppannassa panassa arahattamaggena bhāvanāpāripūrī hotīti pajānāti.
อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคสฺส – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคฎฺฐานียา ธมฺมา, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนสฺส วา อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา สํวตฺตตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒) เอวํ อุปฺปาโท โหติฯ ตตฺถ อุเปกฺขาเยว อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคฎฺฐานียา ธมฺมา นามฯ
Upekkhāsambojjhaṅgassa – ‘‘atthi, bhikkhave, upekkhāsambojjhaṅgaṭṭhānīyā dhammā, tattha yonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā upekkhāsambojjhaṅgassa uppādāya, uppannassa vā upekkhāsambojjhaṅgassa bhiyyobhāvāya vepullāya bhāvanāya pāripūriyā saṃvattatī’’ti (saṃ. ni. 5.232) evaṃ uppādo hoti. Tattha upekkhāyeva upekkhāsambojjhaṅgaṭṭhānīyā dhammā nāma.
อปิจ ปญฺจ ธมฺมา อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ สตฺตมชฺฌตฺตตา สงฺขารมชฺฌตฺตตา สตฺตสงฺขารเกลายนปุคฺคลปริวชฺชนตา สตฺตสงฺขารมชฺฌตฺตปุคฺคลเสวนตา ตทธิมุตฺตตาติฯ
Apica pañca dhammā upekkhāsambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti sattamajjhattatā saṅkhāramajjhattatā sattasaṅkhārakelāyanapuggalaparivajjanatā sattasaṅkhāramajjhattapuggalasevanatā tadadhimuttatāti.
ตตฺถ ทฺวีหากาเรหิ สตฺตมชฺฌตฺตตํ สมุฎฺฐาเปติ – ‘‘ตฺวํ อตฺตโน กเมฺมน อาคนฺตฺวา อตฺตโน กเมฺมน คมิสฺสสิ, เอโสปิ อตฺตโน กเมฺมน อาคนฺตฺวา อตฺตโน กเมฺมน คมิสฺสติ, ตฺวํ กํ เกลายสี’’ติ เอวํ กมฺมสฺสกตาปจฺจเวกฺขเณน จ, ‘‘ปรมตฺถโต สโตฺตเยว นตฺถิ, โส ตฺวํ กํ เกลายสี’’ติ เอวํ นิสฺสตฺตปจฺจเวกฺขเณน จฯ ทฺวีเหวากาเรหิ สงฺขารมชฺฌตฺตตํ สมุฎฺฐาเปติ – ‘‘อิทํ จีวรํ อนุปุเพฺพน วณฺณวิการํ เจว ชิณฺณภาวํ จ อุปคนฺตฺวา ปาทปุญฺฉนโจฬกํ หุตฺวา ยฎฺฐิโกฎิยา ฉฑฺฑนียํ ภวิสฺสติ, สเจ ปนสฺส สามิโก ภเวยฺย, นาสฺส เอวํ วินสฺสิตุํ ทเทยฺยา’’ติ เอวํ อสามิกภาวํ ปจฺจเวกฺขเณน, ‘‘อนทฺธนิยํ อิทํ ตาวกาลิก’’นฺติ เอวํ ตาวกาลิกตาปจฺจเวกฺขเณน จฯ ยถา จ จีวเร, เอวํ ปตฺตาทีสุปิ โยชนา กาตพฺพาฯ
Tattha dvīhākārehi sattamajjhattataṃ samuṭṭhāpeti – ‘‘tvaṃ attano kammena āgantvā attano kammena gamissasi, esopi attano kammena āgantvā attano kammena gamissati, tvaṃ kaṃ kelāyasī’’ti evaṃ kammassakatāpaccavekkhaṇena ca, ‘‘paramatthato sattoyeva natthi, so tvaṃ kaṃ kelāyasī’’ti evaṃ nissattapaccavekkhaṇena ca. Dvīhevākārehi saṅkhāramajjhattataṃ samuṭṭhāpeti – ‘‘idaṃ cīvaraṃ anupubbena vaṇṇavikāraṃ ceva jiṇṇabhāvaṃ ca upagantvā pādapuñchanacoḷakaṃ hutvā yaṭṭhikoṭiyā chaḍḍanīyaṃ bhavissati, sace panassa sāmiko bhaveyya, nāssa evaṃ vinassituṃ dadeyyā’’ti evaṃ asāmikabhāvaṃ paccavekkhaṇena, ‘‘anaddhaniyaṃ idaṃ tāvakālika’’nti evaṃ tāvakālikatāpaccavekkhaṇena ca. Yathā ca cīvare, evaṃ pattādīsupi yojanā kātabbā.
สตฺตสงฺขารเกลายนปุคฺคลปริวชฺชนตาติ เอตฺถ โย ปุคฺคโล คิหิ วา อตฺตโน ปุตฺตธีตาทิเก, ปพฺพชิโต วา อตฺตโน อเนฺตวาสิกสมานุปชฺฌายกาทิเก มมายติ, สหเตฺถเนว เนสํ เกสเจฺฉทนสูจิกมฺมจีวรโธวนรชนปตฺตปจนาทีนิ กโรติ, มุหุตฺตมฺปิ อปสฺสโนฺต ‘‘อสุโก สามเณโร กุหิํ, อสุโก ทหโร กุหิ’’นฺติ ภนฺตมิโค วิย อิโต จิโต จ อาโลเกติ , อเญฺญน เกสเจฺฉทนาทีนํ อตฺถาย ‘‘มุหุตฺตํ ตาว อสุกํ เปเสถา’’ติ ยาจียมาโนปิ ‘‘อเมฺหปิ ตํ อตฺตโน กมฺมํ น กาเรม, ตุเมฺห ตํ คเหตฺวา กิลเมสฺสถา’’ติ น เทติฯ อยํ สตฺตเกลายโน นามฯ โย ปน ปตฺตจีวรถาลกกตฺตรยฎฺฐิอาทีนิ มมายติ, อญฺญสฺส หเตฺถน ปรามสิตุมฺปิ น เทติ, ตาวกาลิกํ ยาจิโต ‘‘มยมฺปิ อิทํ มมายนฺตา น ปริภุญฺชาม, ตุมฺหากํ กิํ ทสฺสามา’’ติ วทติฯ อยํ สงฺขารเกลายโน นามฯ โย ปน เตสุ ทฺวีสุปิ วตฺถูสุ มชฺฌโตฺต อุทาสิโนฯ อยํ สตฺตสงฺขารมชฺฌโตฺต นามฯ อิติ อยํ อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌโงฺค เอวรูปํ สตฺตสงฺขารเกลายนํ ปุคฺคลํ อารกา ปริวชฺชนฺตสฺสาปิ, สตฺตสงฺขารมชฺฌตฺตปุคฺคลํ เสวนฺตสฺสาปิ, ฐานนิสชฺชาทีสุ ตทุปฺปาทนตฺถํ นินฺนโปณปพฺภารจิตฺตสฺสาปิ อุปฺปชฺชติฯ เอวํ อุปฺปนฺนสฺส ปนสฺส อรหตฺตมเคฺคน ภาวนาปาริปูรี โหตีติ ปชานาติฯ
Sattasaṅkhārakelāyanapuggalaparivajjanatāti ettha yo puggalo gihi vā attano puttadhītādike, pabbajito vā attano antevāsikasamānupajjhāyakādike mamāyati, sahattheneva nesaṃ kesacchedanasūcikammacīvaradhovanarajanapattapacanādīni karoti, muhuttampi apassanto ‘‘asuko sāmaṇero kuhiṃ, asuko daharo kuhi’’nti bhantamigo viya ito cito ca āloketi , aññena kesacchedanādīnaṃ atthāya ‘‘muhuttaṃ tāva asukaṃ pesethā’’ti yācīyamānopi ‘‘amhepi taṃ attano kammaṃ na kārema, tumhe taṃ gahetvā kilamessathā’’ti na deti. Ayaṃ sattakelāyano nāma. Yo pana pattacīvarathālakakattarayaṭṭhiādīni mamāyati, aññassa hatthena parāmasitumpi na deti, tāvakālikaṃ yācito ‘‘mayampi idaṃ mamāyantā na paribhuñjāma, tumhākaṃ kiṃ dassāmā’’ti vadati. Ayaṃ saṅkhārakelāyano nāma. Yo pana tesu dvīsupi vatthūsu majjhatto udāsino. Ayaṃ sattasaṅkhāramajjhatto nāma. Iti ayaṃ upekkhāsambojjhaṅgo evarūpaṃ sattasaṅkhārakelāyanaṃ puggalaṃ ārakā parivajjantassāpi, sattasaṅkhāramajjhattapuggalaṃ sevantassāpi, ṭhānanisajjādīsu taduppādanatthaṃ ninnapoṇapabbhāracittassāpi uppajjati. Evaṃ uppannassa panassa arahattamaggena bhāvanāpāripūrī hotīti pajānāti.
อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ อตฺตโน วา สตฺต สโมฺพชฺฌเงฺค ปริคฺคณฺหิตฺวา, ปรสฺส วา, กาเลน วา อตฺตโน, กาเลน วา ปรสฺส โพชฺฌเงฺค ปริคฺคณฺหิตฺวา ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติฯ สมุทยวยา ปเนตฺถ โพชฺฌงฺคานํ นิพฺพตฺตินิโรธวเสน เวทิตพฺพาฯ อิโต ปรํ วุตฺตนยเมวฯ
Iti ajjhattaṃ vāti evaṃ attano vā satta sambojjhaṅge pariggaṇhitvā, parassa vā, kālena vā attano, kālena vā parassa bojjhaṅge pariggaṇhitvā dhammesu dhammānupassī viharati. Samudayavayā panettha bojjhaṅgānaṃ nibbattinirodhavasena veditabbā. Ito paraṃ vuttanayameva.
เกวลญฺหิ อิธ โพชฺฌงฺคปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจนฺติ เอวํ โยชนํ กตฺวา โพชฺฌงฺคปริคฺคาหกสฺส ภิกฺขุโน นิยฺยานมุขํ เวทิตพฺพํฯ เสสํ ตาทิสเมวาติฯ
Kevalañhi idha bojjhaṅgapariggāhikā sati dukkhasaccanti evaṃ yojanaṃ katvā bojjhaṅgapariggāhakassa bhikkhuno niyyānamukhaṃ veditabbaṃ. Sesaṃ tādisamevāti.
โพชฺฌงฺคปพฺพวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Bojjhaṅgapabbavaṇṇanā niṭṭhitā.
จตุสจฺจปพฺพวณฺณนา
Catusaccapabbavaṇṇanā
๑๑๙. เอวํ สตฺตโพชฺฌงฺควเสน ธมฺมานุปสฺสนํ วิภชิตฺวา อิทานิ จตุสจฺจวเสน วิภชิตุํ ปุน จปรนฺติอาทิมาหฯ
119. Evaṃ sattabojjhaṅgavasena dhammānupassanaṃ vibhajitvā idāni catusaccavasena vibhajituṃ puna caparantiādimāha.
ตตฺถ อิทํ ทุกฺขนฺติ ยถาภูตํ ปชานาตีติ ฐเปตฺวา ตณฺหํ เตภูมเก ธเมฺม ‘‘อิทํ ทุกฺข’’นฺติ ยถาสภาวโต ปชานาติ, ตเสฺสว โข ปน ทุกฺขสฺส ชนิกํ สมุฎฺฐาปิกํ ปุริมตณฺหํ ‘‘อยํ ทุกฺขสมุทโย’’ติ, อุภินฺนํ อปฺปวตฺติํ นิพฺพานํ ‘‘อยํ ทุกฺขนิโรโธ’’ติ, ทุกฺขปริชานนํ สมุทยปชหนํ นิโรธสจฺฉิกรณํ อริยมคฺคํ ‘‘อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทา’’ติ ยถาสภาวโต ปชานาตีติ อโตฺถฯ อวเสสา อริยสจฺจกถา วิสุทฺธิมเคฺค วิตฺถาริตาเยวฯ
Tattha idaṃ dukkhanti yathābhūtaṃ pajānātīti ṭhapetvā taṇhaṃ tebhūmake dhamme ‘‘idaṃ dukkha’’nti yathāsabhāvato pajānāti, tasseva kho pana dukkhassa janikaṃ samuṭṭhāpikaṃ purimataṇhaṃ ‘‘ayaṃ dukkhasamudayo’’ti, ubhinnaṃ appavattiṃ nibbānaṃ ‘‘ayaṃ dukkhanirodho’’ti, dukkhaparijānanaṃ samudayapajahanaṃ nirodhasacchikaraṇaṃ ariyamaggaṃ ‘‘ayaṃ dukkhanirodhagāminī paṭipadā’’ti yathāsabhāvato pajānātīti attho. Avasesā ariyasaccakathā visuddhimagge vitthāritāyeva.
อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ อตฺตโน วา จตฺตาริ สจฺจานิ ปริคฺคณฺหิตฺวา, ปรสฺส วา, กาเลน วา อตฺตโน, กาเลน วา ปรสฺส จตฺตาริ สจฺจานิ ปริคฺคณฺหิตฺวา ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติฯ สมุทยวยา ปเนตฺถ จตุนฺนํ สจฺจานํ ยถาสมฺภวโต อุปฺปตฺตินิวตฺติวเสน เวทิตพฺพาฯ อิโต ปรํ วุตฺตนยเมวฯ
Iti ajjhattaṃ vāti evaṃ attano vā cattāri saccāni pariggaṇhitvā, parassa vā, kālena vā attano, kālena vā parassa cattāri saccāni pariggaṇhitvā dhammesu dhammānupassī viharati. Samudayavayā panettha catunnaṃ saccānaṃ yathāsambhavato uppattinivattivasena veditabbā. Ito paraṃ vuttanayameva.
เกวลญฺหิ อิธ จตุสจฺจปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจนฺติ เอวํ โยชนํ กตฺวา สจฺจปริคฺคาหกสฺส ภิกฺขุโน นิยฺยานมุขํ เวทิตพฺพํฯ เสสํ ตาทิสเมวาติฯ
Kevalañhi idha catusaccapariggāhikā sati dukkhasaccanti evaṃ yojanaṃ katvā saccapariggāhakassa bhikkhuno niyyānamukhaṃ veditabbaṃ. Sesaṃ tādisamevāti.
จตุสจฺจปพฺพวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Catusaccapabbavaṇṇanā niṭṭhitā.
เอตฺตาวตา อานาปานํ จตุอิริยาปถํ จตุสมฺปชญฺญํ ทฺวตฺติํสาการํ จตุธาตุววตฺถานํ นวสิวถิกา เวทนานุปสฺสนา จิตฺตานุปสฺสนา นีวรณปริคฺคโห ขนฺธปริคฺคโห อายตนปริคฺคโห โพชฺฌงฺคปริคฺคโห สจฺจปริคฺคโหติ เอกวีสติ กมฺมฎฺฐานานิ วุตฺตานิฯ เตสุ อานาปานํ ทฺวตฺติํสากาโร นวสิวถิกาติ เอกาทส อปฺปนากมฺมฎฺฐานานิ โหนฺติฯ ทีฆภาณกมหาสีวเตฺถโร ปน ‘‘นวสิวถิกา อาทีนวานุปสฺสนาวเสน วุตฺตา’’ติ อาหฯ ตสฺมา ตสฺส มเตน เทฺวเยว อปฺปนากมฺมฎฺฐานานิ, เสสานิ อุปจารกมฺมฎฺฐานานิฯ กิํ ปเนเตสุ สเพฺพสุ อภินิเวโส ชายตีติ? น ชายติฯ อิริยาปถสมฺปชญฺญนีวรณโพชฺฌเงฺคสุ หิ อภินิเวโส น ชายติ, เสเสสุ ชายตีติฯ มหาสีวเตฺถโร ปนาห – ‘‘เอเตสุปิ อภินิเวโส ชายติ, อยญฺหิ อตฺถิ นุ โข เม จตฺตาโร อิริยาปถา, อุทาหุ นตฺถิ, อตฺถิ นุ โข เม จตุสมฺปชญฺญํ, อุทาหุ นตฺถิ, อตฺถิ นุ โข เม ปญฺจนีวรณา, อุทาหุ นตฺถิ, อตฺถิ นุ โข เม สตฺตโพชฺฌงฺคา, อุทาหุ นตฺถีติ เอวํ ปริคฺคณฺหาติ, ตสฺมา สพฺพตฺถ อภินิเวโส ชายตี’’ติฯ
Ettāvatā ānāpānaṃ catuiriyāpathaṃ catusampajaññaṃ dvattiṃsākāraṃ catudhātuvavatthānaṃ navasivathikā vedanānupassanā cittānupassanā nīvaraṇapariggaho khandhapariggaho āyatanapariggaho bojjhaṅgapariggaho saccapariggahoti ekavīsati kammaṭṭhānāni vuttāni. Tesu ānāpānaṃ dvattiṃsākāro navasivathikāti ekādasa appanākammaṭṭhānāni honti. Dīghabhāṇakamahāsīvatthero pana ‘‘navasivathikā ādīnavānupassanāvasena vuttā’’ti āha. Tasmā tassa matena dveyeva appanākammaṭṭhānāni, sesāni upacārakammaṭṭhānāni. Kiṃ panetesu sabbesu abhiniveso jāyatīti? Na jāyati. Iriyāpathasampajaññanīvaraṇabojjhaṅgesu hi abhiniveso na jāyati, sesesu jāyatīti. Mahāsīvatthero panāha – ‘‘etesupi abhiniveso jāyati, ayañhi atthi nu kho me cattāro iriyāpathā, udāhu natthi, atthi nu kho me catusampajaññaṃ, udāhu natthi, atthi nu kho me pañcanīvaraṇā, udāhu natthi, atthi nu kho me sattabojjhaṅgā, udāhu natthīti evaṃ pariggaṇhāti, tasmā sabbattha abhiniveso jāyatī’’ti.
๑๓๗. โย หิ โกจิ, ภิกฺขเวติ โย หิ โกจิ ภิกฺขุ วา ภิกฺขุนี วา อุปาสโก วา อุปาสิกา วาฯ เอวํ ภาเวยฺยาติ อาทิโต ปฎฺฐาย วุเตฺตน ภาวนานุกฺกเมน ภาเวยฺยฯ ปาฎิกงฺขนฺติ ปฎิกงฺขิตพฺพํ, อวสฺสํ ภาวีติ อโตฺถฯ อญฺญาติ อรหตฺตํฯ สติ วา อุปาทิเสเสติ อุปาทานเสเส วา สติ อปริกฺขีเณฯ อนาคามิตาติ อนาคามิภาโวฯ
137.Yo hi koci, bhikkhaveti yo hi koci bhikkhu vā bhikkhunī vā upāsako vā upāsikā vā. Evaṃ bhāveyyāti ādito paṭṭhāya vuttena bhāvanānukkamena bhāveyya. Pāṭikaṅkhanti paṭikaṅkhitabbaṃ, avassaṃ bhāvīti attho. Aññāti arahattaṃ. Sati vā upādiseseti upādānasese vā sati aparikkhīṇe. Anāgāmitāti anāgāmibhāvo.
เอวํ สตฺตนฺนํ วสฺสานํ วเสน สาสนสฺส นิยฺยานิกภาวํ ทเสฺสตฺวา ปุน ตโต อปฺปตเรปิ กาเล ทเสฺสโนฺต ‘‘ติฎฺฐนฺตุ, ภิกฺขเว’’ติอาทิมาหฯ สพฺพมฺปิ เจตํ มชฺฌิมเสฺสว เนยฺยปุคฺคลสฺส วเสน วุตฺตํฯ ติกฺขปญฺญํ ปน สนฺธาย – ‘‘ปาโต อนุสิโฎฺฐ สายํ วิเสสํ อธิคมิสฺสติ, สายํ อนุสิโฎฺฐ ปาโต วิเสสํ อธิคมิสฺสตี’’ติ (ม. นิ. ๒.๓๔๕) วุตฺตํฯ
Evaṃ sattannaṃ vassānaṃ vasena sāsanassa niyyānikabhāvaṃ dassetvā puna tato appatarepi kāle dassento ‘‘tiṭṭhantu, bhikkhave’’tiādimāha. Sabbampi cetaṃ majjhimasseva neyyapuggalassa vasena vuttaṃ. Tikkhapaññaṃ pana sandhāya – ‘‘pāto anusiṭṭho sāyaṃ visesaṃ adhigamissati, sāyaṃ anusiṭṭho pāto visesaṃ adhigamissatī’’ti (ma. ni. 2.345) vuttaṃ.
อิติ ภควา ‘‘เอวํนิยฺยานิกํ, ภิกฺขเว, มม สาสน’’นฺติ ทเสฺสตฺวา เอกวีสติยาปิ ฐาเนสุ อรหตฺตนิกูเฎน เทสิตํ เทสนํ นิยฺยาเตโนฺต ‘‘เอกายโน อยํ, ภิกฺขเว, มโคฺค…เป.… อิติ ยํ ตํ วุตฺตํ, อิทเมตํ ปฎิจฺจ วุตฺต’’นฺติ อาหฯ เสสํ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ
Iti bhagavā ‘‘evaṃniyyānikaṃ, bhikkhave, mama sāsana’’nti dassetvā ekavīsatiyāpi ṭhānesu arahattanikūṭena desitaṃ desanaṃ niyyātento ‘‘ekāyano ayaṃ, bhikkhave, maggo…pe… iti yaṃ taṃ vuttaṃ, idametaṃ paṭicca vutta’’nti āha. Sesaṃ uttānatthamevāti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
สติปฎฺฐานสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Satipaṭṭhānasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
ปฐมวคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭhamavaggavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๑๐. มหาสติปฎฺฐานสุตฺตํ • 10. Mahāsatipaṭṭhānasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๑๐. สติปฎฺฐานสุตฺตวณฺณนา • 10. Satipaṭṭhānasuttavaṇṇanā