Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๒. สติสุตฺตวณฺณนา
2. Satisuttavaṇṇanā
๓๖๘. ทุติเย สโตติ กายาทิอนุปสฺสนาสติยา สมนฺนาคโตฯ สมฺปชาโนติ จตุสมฺปชญฺญปญฺญาย สมนฺนาคโตฯ อภิกฺกเนฺต ปฎิกฺกเนฺตติ เอตฺถ อภิกฺกนฺตํ วุจฺจติ คมนํ, ปฎิกฺกนฺตํ นิวตฺตนํ, ตทุภยมฺปิ จตูสุ อิริยาปเถสุ ลพฺภติฯ คมเน ตาว ปุรโต กายํ อภิหรโนฺต อภิกฺกมติ นาม, ปฎินิวตฺตโนฺต ปฎิกฺกมติ นามฯ ฐาเนปิ ฐิตโกว กายํ ปุรโต โอนมโนฺต อภิกฺกมติ นาม, ปจฺฉโต อปนาเมโนฺต ปฎิกฺกมติ นามฯ นิสชฺชายปิ นิสินฺนโกว อาสนสฺส ปุริมองฺคาภิมุโข สํสรโนฺต อภิกฺกมติ นาม, ปจฺฉิมองฺคปฺปเทสํ ปจฺจาสํสรโนฺต ปฎิกฺกมติ นามฯ นิปชฺชเนปิ เอเสว นโยฯ
368. Dutiye satoti kāyādianupassanāsatiyā samannāgato. Sampajānoti catusampajaññapaññāya samannāgato. Abhikkante paṭikkanteti ettha abhikkantaṃ vuccati gamanaṃ, paṭikkantaṃ nivattanaṃ, tadubhayampi catūsu iriyāpathesu labbhati. Gamane tāva purato kāyaṃ abhiharanto abhikkamati nāma, paṭinivattanto paṭikkamati nāma. Ṭhānepi ṭhitakova kāyaṃ purato onamanto abhikkamati nāma, pacchato apanāmento paṭikkamati nāma. Nisajjāyapi nisinnakova āsanassa purimaaṅgābhimukho saṃsaranto abhikkamati nāma, pacchimaaṅgappadesaṃ paccāsaṃsaranto paṭikkamati nāma. Nipajjanepi eseva nayo.
สมฺปชานการี โหตีติ สมฺปชเญฺญน สพฺพกิจฺจการี, สมฺปชญฺญเสฺสว วา การีฯ โส หิ อภิกฺกนฺตาทีสุ สมฺปชญฺญํ กโรเตว, น กตฺถจิ สมฺปชญฺญวิรหิโต โหติฯ
Sampajānakārī hotīti sampajaññena sabbakiccakārī, sampajaññasseva vā kārī. So hi abhikkantādīsu sampajaññaṃ karoteva, na katthaci sampajaññavirahito hoti.
ตตฺถ สาตฺถกสมฺปชญฺญํ, สปฺปายสมฺปชญฺญํ, โคจรสมฺปชญฺญํ, อสโมฺมหสมฺปชญฺญนฺติ จตุพฺพิธํ สมฺปชญฺญํฯ ตตฺถ อภิกฺกมนจิเตฺต อุปฺปเนฺน จิตฺตวเสเนว อคนฺตฺวา ‘‘กิํ นุ เม เอตฺถ คเตน อโตฺถ อตฺถิ, นตฺถี’’ติ อตฺถานตฺถํ ปริคฺคณฺหิตฺวา อตฺถปริคฺคณฺหนํ สาตฺถกสมฺปชญฺญํฯ ตตฺถ จ อโตฺถติ เจติยทสฺสนโพธิทสฺสนสงฺฆทสฺสนเถรทสฺสนอสุภทสฺสนาทิวเสน ธมฺมโต วฑฺฒิ ฯ เจติยํ ทิสฺวาปิ หิ พุทฺธารมฺมณํ, สงฺฆทสฺสเนน สงฺฆารมฺมณํ ปีติํ อุปฺปาเทตฺวา ตเทว ขยโต สมฺมสโนฺต อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ มหาวิหารสฺมิญฺหิ ทกฺขิณทฺวาเร ฐตฺวา มหาเจติยํ โอโลเกนฺตา ติํสสหสฺสภิกฺขู อรหตฺตํ ปาปุณิํสุ, ตถา ปจฺฉิมทฺวาเร อุตฺตรทฺวาเร ปาจีนทฺวาเร จ, ตถา ปญฺหมณฺฑปฎฺฐาเน อภยวาปิปาฬิยํ, ถูปารามทฺวาเร นครสฺส ทกฺขิณทฺวาเร อนุราธวาปิปาฬิยํฯ
Tattha sātthakasampajaññaṃ, sappāyasampajaññaṃ, gocarasampajaññaṃ, asammohasampajaññanti catubbidhaṃ sampajaññaṃ. Tattha abhikkamanacitte uppanne cittavaseneva agantvā ‘‘kiṃ nu me ettha gatena attho atthi, natthī’’ti atthānatthaṃ pariggaṇhitvā atthapariggaṇhanaṃ sātthakasampajaññaṃ. Tattha ca atthoti cetiyadassanabodhidassanasaṅghadassanatheradassanaasubhadassanādivasena dhammato vaḍḍhi . Cetiyaṃ disvāpi hi buddhārammaṇaṃ, saṅghadassanena saṅghārammaṇaṃ pītiṃ uppādetvā tadeva khayato sammasanto arahattaṃ pāpuṇāti. Mahāvihārasmiñhi dakkhiṇadvāre ṭhatvā mahācetiyaṃ olokentā tiṃsasahassabhikkhū arahattaṃ pāpuṇiṃsu, tathā pacchimadvāre uttaradvāre pācīnadvāre ca, tathā pañhamaṇḍapaṭṭhāne abhayavāpipāḷiyaṃ, thūpārāmadvāre nagarassa dakkhiṇadvāre anurādhavāpipāḷiyaṃ.
มหาอริยวํสภาณกเตฺถโร ปนาห ‘‘กิํ ตุเมฺห วทถ, มหาเจติยสฺส สมนฺตา กุจฺฉิเวทิกาย เหฎฺฐิมภาคโต ปฎฺฐาย ปญฺญายนฎฺฐาเน ยตฺถ ยตฺถ เทฺว ปาทา สกฺกา โหนฺติ สมํ ปติฎฺฐาเปตุํ, ตตฺถ ตตฺถ เอกปทุทฺธาเร ติํสติํส ภิกฺขุสหสฺสานิ อรหตฺตํ ปาปุณิํสูติ สกฺกา วตุ’’นฺติ ฯ อปโร ปน มหาเถโร อาห – ‘‘มหาเจติยตเล อากิณฺณวาลิกาย พหุตรา ภิกฺขู อรหตฺตํ ปตฺตา’’ติฯ เถเร ทิสฺวา เตสํ โอวาเท ปติฎฺฐาย อสุภํ ทิสฺวา ตตฺถ ปฐมํ ฌานํ อุปฺปาเทตฺวา ตเทว ขยโต สมฺมสโนฺต อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ ตสฺมา เอเตสํ ทสฺสนํ สาตฺถํฯ เกจิ ปน – ‘‘อามิสโตปิ วฑฺฒิ อโตฺถเยว, ตํ นิสฺสาย พฺรหฺมจริยานุคฺคหาย ปฎิปนฺนตฺตา’’ติ วทนฺติฯ
Mahāariyavaṃsabhāṇakatthero panāha ‘‘kiṃ tumhe vadatha, mahācetiyassa samantā kucchivedikāya heṭṭhimabhāgato paṭṭhāya paññāyanaṭṭhāne yattha yattha dve pādā sakkā honti samaṃ patiṭṭhāpetuṃ, tattha tattha ekapaduddhāre tiṃsatiṃsa bhikkhusahassāni arahattaṃ pāpuṇiṃsūti sakkā vatu’’nti . Aparo pana mahāthero āha – ‘‘mahācetiyatale ākiṇṇavālikāya bahutarā bhikkhū arahattaṃ pattā’’ti. There disvā tesaṃ ovāde patiṭṭhāya asubhaṃ disvā tattha paṭhamaṃ jhānaṃ uppādetvā tadeva khayato sammasanto arahattaṃ pāpuṇāti. Tasmā etesaṃ dassanaṃ sātthaṃ. Keci pana – ‘‘āmisatopi vaḍḍhi atthoyeva, taṃ nissāya brahmacariyānuggahāya paṭipannattā’’ti vadanti.
ตสฺมิํ ปน คมเน สปฺปายาสปฺปายํ ปริคฺคณฺหิตฺวา สปฺปายปริคฺคณฺหนํ สปฺปายสมฺปชญฺญํฯ เสยฺยถิทํ? เจติยทสฺสนํ ตาว สาตฺถํฯ สเจ ปน เจติยสฺส มหาปูชาย ทสทฺวาทสโยชนนฺตเร ปริสา สนฺนิปตนฺติ, อตฺตโน วิภวานุรูปา อิตฺถิโยปิ ปุริสาปิ อลงฺกตปฎิยตฺตา จิตฺตกมฺมรูปกานิ วิย สญฺจรนฺติฯ ตตฺร จสฺส อิเฎฺฐ อารมฺมเณ โลโภ, อนิเฎฺฐ ปฎิโฆ, อสมเปกฺขเน โมโห อุปฺปชฺชติ, กายสํสเคฺค กายสํสคฺคาปตฺติํ อาปชฺชติ, ชีวิตพฺรหฺมจริยานํ วา อนฺตราโย จ โหติฯ เอวํ ตํ ฐานํ อสปฺปายํ โหติ, วุตฺตปฺปการอนฺตรายาภาเว สปฺปายํฯ สงฺฆทสฺสนมฺปิ สาตฺถํฯ สเจ ปน อโนฺตคาเม มหามณฺฑปํ กาเรตฺวา สพฺพรตฺติํ ธมฺมสฺสวนํ กาเรเนฺตสุ มนุเสฺสสุ วุตฺตปฺปกาเรเนว ชนสนฺนิปาโต เจว อนฺตราโย จ โหติ, เอวํ ตํ ฐานํ อสปฺปายํ, อนฺตรายาภาเว สปฺปายํฯ มหาปริวารานํ เถรานํ ทสฺสเนปิ เอเสว นโยฯ
Tasmiṃ pana gamane sappāyāsappāyaṃ pariggaṇhitvā sappāyapariggaṇhanaṃ sappāyasampajaññaṃ. Seyyathidaṃ? Cetiyadassanaṃ tāva sātthaṃ. Sace pana cetiyassa mahāpūjāya dasadvādasayojanantare parisā sannipatanti, attano vibhavānurūpā itthiyopi purisāpi alaṅkatapaṭiyattā cittakammarūpakāni viya sañcaranti. Tatra cassa iṭṭhe ārammaṇe lobho, aniṭṭhe paṭigho, asamapekkhane moho uppajjati, kāyasaṃsagge kāyasaṃsaggāpattiṃ āpajjati, jīvitabrahmacariyānaṃ vā antarāyo ca hoti. Evaṃ taṃ ṭhānaṃ asappāyaṃ hoti, vuttappakāraantarāyābhāve sappāyaṃ. Saṅghadassanampi sātthaṃ. Sace pana antogāme mahāmaṇḍapaṃ kāretvā sabbarattiṃ dhammassavanaṃ kārentesu manussesu vuttappakāreneva janasannipāto ceva antarāyo ca hoti, evaṃ taṃ ṭhānaṃ asappāyaṃ, antarāyābhāve sappāyaṃ. Mahāparivārānaṃ therānaṃ dassanepi eseva nayo.
อสุภทสฺสนมฺปิ สาตฺถํฯ ตทตฺถทีปนตฺถญฺจ อิทํ วตฺถุ – เอโก กิร ทหรภิกฺขุ สามเณรํ คเหตฺวา ทนฺตกฎฺฐตฺถาย คโตฯ สามเณโร มคฺคา โอกฺกมิตฺวา ปุรโต คจฺฉโนฺต อสุภํ ทิสฺวา ปฐมชฺฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา ตเทว ปาทกํ กตฺวา สงฺขาเร สมฺมสโนฺต ตีณิ ผลานิ สจฺฉิกตฺวา อุปริมคฺคตฺถาย กมฺมฎฺฐานํ ปริคฺคเหตฺวา อฎฺฐาสิฯ ทหโร ตํ อปสฺสโนฺต ‘‘สามเณรา’’ติ ปโกฺกสิ ฯ โส – ‘‘มยา ปพฺพชิตทิวสโต ปฎฺฐาย ภิกฺขุนา สทฺธิํ เทฺว กถา นาม น กถิตปุพฺพา, อญฺญสฺมิมฺปิ ทิวเส อุปริวิเสสํ นิพฺพเตฺตสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘กิํ, ภเนฺต,’’ติ ปฎิวจนํ อทาสิฯ ‘‘เอหี’’ติ วุเตฺต เอกวจเนเนว อาคนฺตฺวา – ‘‘ภเนฺต, อิมินา ตาว มเคฺคน คนฺตฺวา มยา ฐิโตกาเส มุหุตฺตํ ปุรตฺถาภิมุขา หุตฺวา โอโลเกถา’’ติ อาหฯ โส ตถา กตฺวา เตน ปตฺตวิเสสเมว ปาปุณิฯ เอวํ เอกํ อสุภํ ทฺวินฺนํ ชนานํ อตฺถาย ชาตํฯ เอวํ สาตฺถมฺปิ ปเนตํ ปุริสสฺส มาตุคามาสุภํ อสปฺปายํ, มาตุคามสฺส จ ปุริสาสุภํ, สภาคเมว สปฺปายนฺติ เอวํ สปฺปายปริคฺคณฺหนํ สปฺปายสมฺปชญฺญํฯ
Asubhadassanampi sātthaṃ. Tadatthadīpanatthañca idaṃ vatthu – eko kira daharabhikkhu sāmaṇeraṃ gahetvā dantakaṭṭhatthāya gato. Sāmaṇero maggā okkamitvā purato gacchanto asubhaṃ disvā paṭhamajjhānaṃ nibbattetvā tadeva pādakaṃ katvā saṅkhāre sammasanto tīṇi phalāni sacchikatvā uparimaggatthāya kammaṭṭhānaṃ pariggahetvā aṭṭhāsi. Daharo taṃ apassanto ‘‘sāmaṇerā’’ti pakkosi . So – ‘‘mayā pabbajitadivasato paṭṭhāya bhikkhunā saddhiṃ dve kathā nāma na kathitapubbā, aññasmimpi divase uparivisesaṃ nibbattessāmī’’ti cintetvā ‘‘kiṃ, bhante,’’ti paṭivacanaṃ adāsi. ‘‘Ehī’’ti vutte ekavacaneneva āgantvā – ‘‘bhante, iminā tāva maggena gantvā mayā ṭhitokāse muhuttaṃ puratthābhimukhā hutvā olokethā’’ti āha. So tathā katvā tena pattavisesameva pāpuṇi. Evaṃ ekaṃ asubhaṃ dvinnaṃ janānaṃ atthāya jātaṃ. Evaṃ sātthampi panetaṃ purisassa mātugāmāsubhaṃ asappāyaṃ, mātugāmassa ca purisāsubhaṃ, sabhāgameva sappāyanti evaṃ sappāyapariggaṇhanaṃ sappāyasampajaññaṃ.
เอวํ ปริคฺคหิตสาตฺถสปฺปายสฺส ปน อฎฺฐติํสกมฺมฎฺฐาเนสุ อตฺตโน จิตฺตรุจิกํ กมฺมฎฺฐานสงฺขาตํ โคจรํ อุคฺคเหตฺวา ภิกฺขาจารโคจเร ตํ คเหตฺวาว คมนํ โคจรสมฺปชญฺญํ นามฯ
Evaṃ pariggahitasātthasappāyassa pana aṭṭhatiṃsakammaṭṭhānesu attano cittarucikaṃ kammaṭṭhānasaṅkhātaṃ gocaraṃ uggahetvā bhikkhācāragocare taṃ gahetvāva gamanaṃ gocarasampajaññaṃ nāma.
ตสฺสาวิภาวตฺถํ อิทํ จตุกฺกํ เวทิตพฺพํ – อิเธกโจฺจ ภิกฺขุ หรติ น ปจฺจาหรติ, เอกโจฺจ ปจฺจาหรติ น หรติ, เอกโจฺจ ปน เนว หรติ น ปจฺจาหรติ, เอกโจฺจ หรติ จ ปจฺจาหรติ จฯ
Tassāvibhāvatthaṃ idaṃ catukkaṃ veditabbaṃ – idhekacco bhikkhu harati na paccāharati, ekacco paccāharati na harati, ekacco pana neva harati na paccāharati, ekacco harati ca paccāharati ca.
ตตฺถ โย ภิกฺขุ ทิวสํ จงฺกเมน นิสชฺชาย จ อาวรณีเยหิ ธเมฺมหิ จิตฺตํ ปริโสเธตฺวา ตถา รตฺติยา ปฐมํ ยามํ มชฺฌิมยาเม เสยฺยํ กเปฺปตฺวา, ปจฺฉิมยาเมปิ นิสชฺชาจงฺกเมหิ วีตินาเมตฺวา, ปเคว เจติยงฺคณโพธิยงฺคณวตฺตํ กตฺวา โพธิรุเกฺข อุทกํ อาสิญฺจิตฺวา ปานียํ ปริโภชนียํ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา อาจริยุปชฺฌายวตฺตาทีนิ สมาทาย วตฺตติฯ โส สรีรปริกมฺมํ กตฺวา เสนาสนํ ปวิสิตฺวา เทฺว ตโย ปลฺลเงฺก อุสุมํ คาหาเปโนฺต กมฺมฎฺฐานมนุยุญฺชิตฺวา ภิกฺขาจารเวลาย อุฎฺฐหิตฺวา กมฺมฎฺฐานสีเสเนว ปตฺตจีวรมาทาย เสนาสนโต นิกฺขมิตฺวา กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรโนฺตว เจติยงฺคณํ คนฺตฺวา สเจ พุทฺธานุสฺสติกมฺมฎฺฐานํ โหติ, ตํ อวิสฺสเชฺชตฺวาว เจติยงฺคณํ ปวิสติฯ อญฺญํ เจ กมฺมฎฺฐานํ โหติ, โสปานปาทมูเล ฐตฺวา หเตฺถน คหิตภณฺฑํ วิย ตํ ฐเปตฺวา พุทฺธารมฺมณํ ปีติํ คเหตฺวา เจติยงฺคณํ อารุยฺห มหนฺตํ เจติยํ เจ, ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา จตูสุ ฐาเนสุ วนฺทิตพฺพํ, ขุทฺทกํ เจ, ตเถว ปทกฺขิณํ กตฺวา อฎฺฐสุ ฐาเนสุ วนฺทิตพฺพํฯ เจติยํ วนฺทิตฺวา โพธิยงฺคณํ ปเตฺตนาปิ พุทฺธสฺส ภควโต สมฺมุขา วิย นิปจฺจการํ ทเสฺสตฺวา โพธิ วนฺทิตพฺพาฯ โส เอวํ เจติยญฺจ โพธิญฺจ วนฺทิตฺวา ปฎิสามิตฎฺฐานํ คนฺตฺวา ปฎิสามิตภณฺฑกํ หเตฺถน คณฺหโนฺต วิย นิกฺขิตฺตกมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา คามสมีเป กมฺมฎฺฐานสีเสเนว จีวรํ ปารุปิตฺวา คามํ ปิณฺฑาย ปวิสติฯ
Tattha yo bhikkhu divasaṃ caṅkamena nisajjāya ca āvaraṇīyehi dhammehi cittaṃ parisodhetvā tathā rattiyā paṭhamaṃ yāmaṃ majjhimayāme seyyaṃ kappetvā, pacchimayāmepi nisajjācaṅkamehi vītināmetvā, pageva cetiyaṅgaṇabodhiyaṅgaṇavattaṃ katvā bodhirukkhe udakaṃ āsiñcitvā pānīyaṃ paribhojanīyaṃ paccupaṭṭhapetvā ācariyupajjhāyavattādīni samādāya vattati. So sarīraparikammaṃ katvā senāsanaṃ pavisitvā dve tayo pallaṅke usumaṃ gāhāpento kammaṭṭhānamanuyuñjitvā bhikkhācāravelāya uṭṭhahitvā kammaṭṭhānasīseneva pattacīvaramādāya senāsanato nikkhamitvā kammaṭṭhānaṃ manasikarontova cetiyaṅgaṇaṃ gantvā sace buddhānussatikammaṭṭhānaṃ hoti, taṃ avissajjetvāva cetiyaṅgaṇaṃ pavisati. Aññaṃ ce kammaṭṭhānaṃ hoti, sopānapādamūle ṭhatvā hatthena gahitabhaṇḍaṃ viya taṃ ṭhapetvā buddhārammaṇaṃ pītiṃ gahetvā cetiyaṅgaṇaṃ āruyha mahantaṃ cetiyaṃ ce, tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā catūsu ṭhānesu vanditabbaṃ, khuddakaṃ ce, tatheva padakkhiṇaṃ katvā aṭṭhasu ṭhānesu vanditabbaṃ. Cetiyaṃ vanditvā bodhiyaṅgaṇaṃ pattenāpi buddhassa bhagavato sammukhā viya nipaccakāraṃ dassetvā bodhi vanditabbā. So evaṃ cetiyañca bodhiñca vanditvā paṭisāmitaṭṭhānaṃ gantvā paṭisāmitabhaṇḍakaṃ hatthena gaṇhanto viya nikkhittakammaṭṭhānaṃ gahetvā gāmasamīpe kammaṭṭhānasīseneva cīvaraṃ pārupitvā gāmaṃ piṇḍāya pavisati.
อถ นํ มนุสฺสา ทิสฺวา ‘‘อโยฺย โน อาคโต’’ติ ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ปตฺตํ คเหตฺวา อาสนสาลาย วา เคเห วา นิสีทาเปตฺวา ยาคุํ ทตฺวา ยาว ภตฺตํ น นิฎฺฐาติ, ตาว ปาเท โธวิตฺวา มเกฺขตฺวา ปุรโต นิสีทิตฺวา ปญฺหํ วา ปุจฺฉนฺติ, ธมฺมํ วา โสตุกามา โหนฺติฯ สเจปิ น กถาเปนฺติ, ชนสงฺคหณตฺถํ ธมฺมกถา นาม กาตพฺพาเยวาติ อฎฺฐกถาจริยา วทนฺติฯ ธมฺมกถา หิ กมฺมฎฺฐานวินิมุตฺตา นาม นตฺถิ, ตสฺมา กมฺมฎฺฐานสีเสเนว ธมฺมํ กเถตฺวา กมฺมฎฺฐานสีเสเนว อาหารํ ปริภุญฺชิตฺวา อนุโมทนํ กตฺวา นิวตฺติยมาเนหิปิ มนุเสฺสหิ อนุคโตว คามโต นิกฺขมิตฺวา ตตฺถ เต นิวเตฺตตฺวา มคฺคํ ปฎิปชฺชติฯ
Atha naṃ manussā disvā ‘‘ayyo no āgato’’ti paccuggantvā pattaṃ gahetvā āsanasālāya vā gehe vā nisīdāpetvā yāguṃ datvā yāva bhattaṃ na niṭṭhāti, tāva pāde dhovitvā makkhetvā purato nisīditvā pañhaṃ vā pucchanti, dhammaṃ vā sotukāmā honti. Sacepi na kathāpenti, janasaṅgahaṇatthaṃ dhammakathā nāma kātabbāyevāti aṭṭhakathācariyā vadanti. Dhammakathā hi kammaṭṭhānavinimuttā nāma natthi, tasmā kammaṭṭhānasīseneva dhammaṃ kathetvā kammaṭṭhānasīseneva āhāraṃ paribhuñjitvā anumodanaṃ katvā nivattiyamānehipi manussehi anugatova gāmato nikkhamitvā tattha te nivattetvā maggaṃ paṭipajjati.
อถ นํ ปุเรตรํ นิกฺขมิตฺวา พหิคาเม กตภตฺตกิจฺจา สามเณรทหรภิกฺขู ทิสฺวา ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ปตฺตจีวรมสฺส คณฺหนฺติฯ โปราณกภิกฺขู กิร น ‘‘อมฺหากํ อุปชฺฌาโย อาจริโย’’ติ มุขํ โอโลเกตฺวา วตฺตํ กโรนฺติ, สมฺปตฺตปริเจฺฉเทเนว กโรนฺติฯ เต ตํ ปุจฺฉนฺติ – ‘‘ภเนฺต, เอเต มนุสฺสา ตุมฺหากํ กิํ โหนฺติ, มาติปกฺขโต สมฺพนฺธา ปิติปกฺขโต’’ติ? กิํ ทิสฺวา ปุจฺฉถาติ? ตุเมฺหสุ เอเตสํ เปมํ พหุมานนฺติฯ ‘‘อาวุโส, ยํ มาตาปิตูหิปิ ทุกฺกรตรํ, ตํ เอเต อมฺหากํ กโรนฺติ, ปตฺตจีวรมฺปิ โน เอเตสํ สนฺตกเมว, เอเตสํ อานุภาเวน เนว ภเย ภยํ, น ฉาตเก ฉาตกํ ชานาม, เอทิสา นาม อมฺหากํ อุปการิโน นตฺถี’’ติ เตสํ คุเณ กถยโนฺต คจฺฉติฯ อยํ วุจฺจติ หรติ น ปจฺจาหรตีติฯ
Atha naṃ puretaraṃ nikkhamitvā bahigāme katabhattakiccā sāmaṇeradaharabhikkhū disvā paccuggantvā pattacīvaramassa gaṇhanti. Porāṇakabhikkhū kira na ‘‘amhākaṃ upajjhāyo ācariyo’’ti mukhaṃ oloketvā vattaṃ karonti, sampattaparicchedeneva karonti. Te taṃ pucchanti – ‘‘bhante, ete manussā tumhākaṃ kiṃ honti, mātipakkhato sambandhā pitipakkhato’’ti? Kiṃ disvā pucchathāti? Tumhesu etesaṃ pemaṃ bahumānanti. ‘‘Āvuso, yaṃ mātāpitūhipi dukkarataraṃ, taṃ ete amhākaṃ karonti, pattacīvarampi no etesaṃ santakameva, etesaṃ ānubhāvena neva bhaye bhayaṃ, na chātake chātakaṃ jānāma, edisā nāma amhākaṃ upakārino natthī’’ti tesaṃ guṇe kathayanto gacchati. Ayaṃ vuccati harati na paccāharatīti.
ยสฺส ปน ปเคว วุตฺตปฺปการํ วตฺตปฎิปตฺติํ กโรนฺตสฺส กมฺมชเตโช ปชฺชลติ, อนุปาทิณฺณกํ มุญฺจิตฺวา อุปาทิณฺณกํ คณฺหาติ, สรีรโต เสทา มุจฺจนฺติ, กมฺมฎฺฐานวีถิํ นาโรหติ, โส ปเคว ปตฺตจีวรมาทาย เวคสาว เจติยํ วนฺทิตฺวา โครูปานํ นิกฺขมนเวลายเมว คามํ ยาคุภิกฺขาย ปวิสิตฺวา ยาคุํ ลภิตฺวา อาสนสาลํ คนฺตฺวา ปิวติฯ อถสฺส ทฺวิตฺติกฺขตฺตุํ อโชฺฌหรณมเตฺตเนว กมฺมชเตโช อุปาทิณฺณกํ มุญฺจิตฺวา อนุปาทิณฺณกํ คณฺหาติ, ฆฎสเตน นฺหาโต วิย เตโชธาตุปริฬาหนิพฺพานํ ปตฺวา กมฺมฎฺฐานสีเสน ยาคุํ ปริภุญฺชิตฺวา ปตฺตญฺจ มุขญฺจ โธวิตฺวา อนฺตราภเตฺต กมฺมฎฺฐานํ มนสิกตฺวา อวเสสฎฺฐาเน ปิณฺฑาย จริตฺวา กมฺมฎฺฐานสีเสน อาหารํ ปริภุญฺชิตฺวา ตโต ปฎฺฐาย โปงฺขานุโปงฺขํ อุปฎฺฐหมานํ กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวาว อาคจฺฉติฯ อยํ วุจฺจติ ปจฺจาหรติ น หรตีติฯ เอทิสา จ ภิกฺขู ยาคุํ ปิวิตฺวา วิปสฺสนํ อารภิตฺวา พุทฺธสาสเน อรหตฺตํ ปตฺตา นาม คณนปถํ วีติวตฺตาฯ สีหฬทีเปเยว เตสุ เตสุ คาเมสุ อาสนสาลายํ น ตํ อาสนมตฺถิ, ยตฺถ ยาคุํ ปิวิตฺวา อรหตฺตํ ปตฺตา ภิกฺขู นตฺถีติฯ
Yassa pana pageva vuttappakāraṃ vattapaṭipattiṃ karontassa kammajatejo pajjalati, anupādiṇṇakaṃ muñcitvā upādiṇṇakaṃ gaṇhāti, sarīrato sedā muccanti, kammaṭṭhānavīthiṃ nārohati, so pageva pattacīvaramādāya vegasāva cetiyaṃ vanditvā gorūpānaṃ nikkhamanavelāyameva gāmaṃ yāgubhikkhāya pavisitvā yāguṃ labhitvā āsanasālaṃ gantvā pivati. Athassa dvittikkhattuṃ ajjhoharaṇamatteneva kammajatejo upādiṇṇakaṃ muñcitvā anupādiṇṇakaṃ gaṇhāti, ghaṭasatena nhāto viya tejodhātupariḷāhanibbānaṃ patvā kammaṭṭhānasīsena yāguṃ paribhuñjitvā pattañca mukhañca dhovitvā antarābhatte kammaṭṭhānaṃ manasikatvā avasesaṭṭhāne piṇḍāya caritvā kammaṭṭhānasīsena āhāraṃ paribhuñjitvā tato paṭṭhāya poṅkhānupoṅkhaṃ upaṭṭhahamānaṃ kammaṭṭhānaṃ gahetvāva āgacchati. Ayaṃ vuccati paccāharati na haratīti. Edisā ca bhikkhū yāguṃ pivitvā vipassanaṃ ārabhitvā buddhasāsane arahattaṃ pattā nāma gaṇanapathaṃ vītivattā. Sīhaḷadīpeyeva tesu tesu gāmesu āsanasālāyaṃ na taṃ āsanamatthi, yattha yāguṃ pivitvā arahattaṃ pattā bhikkhū natthīti.
โย ปน ปมาทวิหารี โหติ นิกฺขิตฺตธุโร, สพฺพวตฺตานิ ภินฺทิตฺวา ปญฺจวิธเจโตวินิพนฺธพทฺธจิโตฺต วิหรโนฺต ‘‘กมฺมฎฺฐานํ นาม อตฺถี’’ติปิ สญฺญํ อกตฺวา คามํ ปิณฺฑาย ปวิสิตฺวา อนนุโลมิเกน คิหิสํสเคฺคน สํสโฎฺฐ จริตฺวา จ ภุญฺชิตฺวา จ ตุโจฺฉ นิกฺขมติฯ อยํ วุจฺจติ เนว หรติ น ปจฺจาหรตีติฯ
Yo pana pamādavihārī hoti nikkhittadhuro, sabbavattāni bhinditvā pañcavidhacetovinibandhabaddhacitto viharanto ‘‘kammaṭṭhānaṃ nāma atthī’’tipi saññaṃ akatvā gāmaṃ piṇḍāya pavisitvā ananulomikena gihisaṃsaggena saṃsaṭṭho caritvā ca bhuñjitvā ca tuccho nikkhamati. Ayaṃ vuccati neva harati na paccāharatīti.
โย ปนายํ หรติ จ ปจฺจาหรติ จาติ วุโตฺต, โส คตปจฺจาคติกวตฺตวเสน เวทิตโพฺพฯ อตฺตกามา หิ กุลปุตฺตา สาสเน ปพฺพชิตฺวา ทสปิ วีสมฺปิ ติํสมฺปิ จตฺตาลีสมฺปิ ปญฺญาสมฺปิ สตมฺปิ เอกโต วสนฺตา กติกวตฺตํ กตฺวา วิหรนฺติ ‘‘อาวุโส, ตุเมฺห น อิณฎฺฎา, น ภยฎฺฎา, น ชีวิกาปกตา ปพฺพชิตา, ทุกฺขา มุจฺจิตุกามา ปเนตฺถ ปพฺพชิตา, ตสฺมา คมเน อุปฺปนฺนกิเลสํ คมเนเยว นิคฺคณฺหถ, ฐาเน, นิสชฺชาย, สยเน อุปฺปนฺนกิเลสํ สยเนเยว นิคฺคณฺหถา’’ติฯ เต เอวํ กติกวตฺตํ กตฺวา ภิกฺขาจารํ คจฺฉนฺตา อฑฺฒอุสภอุสภอฑฺฒคาวุตคาวุตนฺตเรสุ ปาสาณา โหนฺติ, ตาย สญฺญาย กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรนฺตาว คจฺฉนฺติฯ สเจ กสฺสจิ คมเน กิเลโส อุปฺปชฺชติ, ตเตฺถว นํ นิคฺคณฺหาติฯ ตถา อสโกฺกโนฺต ติฎฺฐติฯ อถสฺส ปจฺฉโต อาคจฺฉโนฺตปิ ติฎฺฐติ, โส ‘‘อยํ ภิกฺขุ ตุยฺหํ อุปฺปนฺนวิตกฺกํ ชานาติ, อนนุจฺฉวิกํ เต เอต’’นฺติ อตฺตานํ ปฎิโจเทตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา ตเตฺถว อริยภูมิํ โอกฺกมติ, ตถา อสโกฺกโนฺต นิสีทตีติ โส เอว นโยฯ อริยภูมิํ โอกฺกมิตุํ อสโกฺกโนฺตปิ, ตํ กิเลสํ วิกฺขเมฺภตฺวา กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรโนฺตว คจฺฉติ, น กมฺมฎฺฐานวิปฺปยุเตฺตน จิเตฺตน ปาทํ อุทฺธรติฯ อุทฺธรติ เจ, ปฎินิวตฺติตฺวา ปุริมปเทสํเยว เอติ อาลินฺทกวาสี มหาผุสฺสเทวเตฺถโร วิยฯ
Yo panāyaṃ harati ca paccāharati cāti vutto, so gatapaccāgatikavattavasena veditabbo. Attakāmā hi kulaputtā sāsane pabbajitvā dasapi vīsampi tiṃsampi cattālīsampi paññāsampi satampi ekato vasantā katikavattaṃ katvā viharanti ‘‘āvuso, tumhe na iṇaṭṭā, na bhayaṭṭā, na jīvikāpakatā pabbajitā, dukkhā muccitukāmā panettha pabbajitā, tasmā gamane uppannakilesaṃ gamaneyeva niggaṇhatha, ṭhāne, nisajjāya, sayane uppannakilesaṃ sayaneyeva niggaṇhathā’’ti. Te evaṃ katikavattaṃ katvā bhikkhācāraṃ gacchantā aḍḍhausabhausabhaaḍḍhagāvutagāvutantaresu pāsāṇā honti, tāya saññāya kammaṭṭhānaṃ manasikarontāva gacchanti. Sace kassaci gamane kileso uppajjati, tattheva naṃ niggaṇhāti. Tathā asakkonto tiṭṭhati. Athassa pacchato āgacchantopi tiṭṭhati, so ‘‘ayaṃ bhikkhu tuyhaṃ uppannavitakkaṃ jānāti, ananucchavikaṃ te eta’’nti attānaṃ paṭicodetvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā tattheva ariyabhūmiṃ okkamati, tathā asakkonto nisīdatīti so eva nayo. Ariyabhūmiṃ okkamituṃ asakkontopi, taṃ kilesaṃ vikkhambhetvā kammaṭṭhānaṃ manasikarontova gacchati, na kammaṭṭhānavippayuttena cittena pādaṃ uddharati. Uddharati ce, paṭinivattitvā purimapadesaṃyeva eti ālindakavāsī mahāphussadevatthero viya.
โส กิร เอกูนวีสติ วสฺสานิ คตปจฺจาคติกวตฺตํ ปูเรโนฺต เอว วิหาสิฯ มนุสฺสาปิ สุทํ อนฺตรามเคฺค กสนฺตา จ วปนฺตา จ มทฺทนฺตา จ กมฺมานิ จ กโรนฺตา เถรํ ตถา คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา – ‘‘อยํ เถโร ปุนปฺปุนํ นิวตฺติตฺวา คจฺฉติ, กิํ นุ โข มคฺคมูโฬฺห, อุทาหุ กิญฺจิ ปมุโฎฺฐ’’ติ สมุลฺลปนฺติฯ โส ตํ อนาทิยิตฺวา กมฺมฎฺฐานยุตฺตจิเตฺตเนว สมณธมฺมํ กโรโนฺต วีสติวสฺสพฺภนฺตเร อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อรหตฺตปฺปตฺตทิวเส จสฺส จงฺกมนโกฎิยํ อธิวตฺถา เทวตา องฺคุลีหิ ทีปํ อุชฺชาเลตฺวา อฎฺฐาสิฯ จตฺตาโรปิ มหาราชาโน สโกฺก จ เทวานมิโนฺท พฺรหฺมา จ สหมฺปติ อุปฎฺฐานํ อาคมํสุฯ ตญฺจ โอภาสํ ทิสฺวา วนวาสีมหาติสฺสเตฺถโร ตํ ทุติยทิวเส ปุจฺฉิ – ‘‘รตฺติภาเค อายสฺมโต สนฺติเก โอภาโส อโหสิ, กิํ โส โอภาโส’’ติ? เถโร วิเกฺขปํ กโรโนฺต ‘‘โอภาโส นาม ทีโปภาโสปิ โหติ, มณิโอภาโสปี’’ติ เอวมาทิมาหฯ ตโต ‘‘ปฎิจฺฉาเทถ ตุเมฺห’’ติ นิพโทฺธ อามาติ ปฎิชานิตฺวา อาโรเจสิฯ
So kira ekūnavīsati vassāni gatapaccāgatikavattaṃ pūrento eva vihāsi. Manussāpi sudaṃ antarāmagge kasantā ca vapantā ca maddantā ca kammāni ca karontā theraṃ tathā gacchantaṃ disvā – ‘‘ayaṃ thero punappunaṃ nivattitvā gacchati, kiṃ nu kho maggamūḷho, udāhu kiñci pamuṭṭho’’ti samullapanti. So taṃ anādiyitvā kammaṭṭhānayuttacitteneva samaṇadhammaṃ karonto vīsativassabbhantare arahattaṃ pāpuṇi. Arahattappattadivase cassa caṅkamanakoṭiyaṃ adhivatthā devatā aṅgulīhi dīpaṃ ujjāletvā aṭṭhāsi. Cattāropi mahārājāno sakko ca devānamindo brahmā ca sahampati upaṭṭhānaṃ āgamaṃsu. Tañca obhāsaṃ disvā vanavāsīmahātissatthero taṃ dutiyadivase pucchi – ‘‘rattibhāge āyasmato santike obhāso ahosi, kiṃ so obhāso’’ti? Thero vikkhepaṃ karonto ‘‘obhāso nāma dīpobhāsopi hoti, maṇiobhāsopī’’ti evamādimāha. Tato ‘‘paṭicchādetha tumhe’’ti nibaddho āmāti paṭijānitvā ārocesi.
กาฬวลฺลิมณฺฑปวาสีมหานาคเตฺถโร วิย จฯ โสปิ กิร คตปจฺจาคติกวตฺตํ ปูเรโนฺต ปฐมํ ตาว ‘‘ภควโต มหาปธานํ ปูเชสฺสามี’’ติ สตฺต วสฺสานิ ฐานจงฺกมเมว อธิฎฺฐาสิฯ ปุน โสฬส วสฺสานิ คตปจฺจาคติกวตฺตํ ปูเรตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ โส กมฺมฎฺฐานยุเตฺตเนว จิเตฺตน ปาทํ อุทฺธรโนฺต วิปฺปยุเตฺตน อุทฺธเฎ ปฎินิวตฺตโนฺต คามสมีปํ คนฺตฺวา ‘‘คาวี นุ ปพฺพชิโต นู’’ติ อาสงฺกนียปเทเส ฐตฺวา จีวรํ ปารุปิตฺวา กจฺฉกรกโต อุทเกน ปตฺตํ โธวิตฺวา อุทกคณฺฑูสํ กโรติฯ กิํ การณา? ‘‘มา เม ภิกฺขํ ทาตุํ วา วนฺทิตุํ วา อาคเต มนุเสฺส ‘ทีฆายุกา โหถา’ติ วจนมเตฺตนาปิ กมฺมฎฺฐานวิเกฺขโป อโหสี’’ติ ‘‘อชฺช, ภเนฺต, กติมี’’ติ ทิวสํ วา ภิกฺขุคณนํ วา ปญฺหํ วา ปุจฺฉิโต ปน อุทกํ คิลิตฺวา อาโรเจติฯ สเจ ทิวสาทิปุจฺฉกา น โหนฺติ, นิกฺขมนเวลายํ คามทฺวาเร นิฎฺฐุภิตฺวา ยาติฯ
Kāḷavallimaṇḍapavāsīmahānāgatthero viya ca. Sopi kira gatapaccāgatikavattaṃ pūrento paṭhamaṃ tāva ‘‘bhagavato mahāpadhānaṃ pūjessāmī’’ti satta vassāni ṭhānacaṅkamameva adhiṭṭhāsi. Puna soḷasa vassāni gatapaccāgatikavattaṃ pūretvā arahattaṃ pāpuṇi. So kammaṭṭhānayutteneva cittena pādaṃ uddharanto vippayuttena uddhaṭe paṭinivattanto gāmasamīpaṃ gantvā ‘‘gāvī nu pabbajito nū’’ti āsaṅkanīyapadese ṭhatvā cīvaraṃ pārupitvā kacchakarakato udakena pattaṃ dhovitvā udakagaṇḍūsaṃ karoti. Kiṃ kāraṇā? ‘‘Mā me bhikkhaṃ dātuṃ vā vandituṃ vā āgate manusse ‘dīghāyukā hothā’ti vacanamattenāpi kammaṭṭhānavikkhepo ahosī’’ti ‘‘ajja, bhante, katimī’’ti divasaṃ vā bhikkhugaṇanaṃ vā pañhaṃ vā pucchito pana udakaṃ gilitvā āroceti. Sace divasādipucchakā na honti, nikkhamanavelāyaṃ gāmadvāre niṭṭhubhitvā yāti.
กลมฺพติตฺถวิหาเร วสฺสูปคตา ปญฺญาส ภิกฺขู วิย จฯ เต กิร อาสาฬฺหิปุณฺณมิยํ กติกวตฺตํ อกํสุ – ‘‘อรหตฺตํ อปตฺวา อญฺญมญฺญํ นาลปิสฺสามา’’ติฯ คามญฺจ ปิณฺฑาย ปวิสนฺตา อุทกคณฺฑูสํ กตฺวา ปวิสิํสุฯ ทิวสาทีสุ ปุจฺฉิเตสุ วุตฺตนเยเนว ปฎิปชฺชิํสุฯ ตตฺถ มนุสฺสา นิฎฺฐุภนํ ทิสฺวา ชานิํสุ – ‘‘อเชฺชโก อาคโต, อชฺช เทฺว’’ติฯ เอวญฺจ จิเนฺตสุํ – ‘‘กิํ นุ โข เอเต อเมฺหเหว สทฺธิํ น สลฺลปนฺติ, อุทาหุ อญฺญมญฺญมฺปิฯ ยทิ อญฺญมญฺญํ น สลฺลปนฺติ, อทฺธา วิวาทชาตา ภวิสฺสนฺติฯ เอถ เน อญฺญมญฺญํ ขมาเปสฺสามา’’ติ สเพฺพ วิหารํ คนฺตฺวา ปญฺญาสาย ภิกฺขูสุ เทฺวปิ ภิกฺขู เอโกกาเส นาทฺทสํสุฯ ตโต โย เตสุ จกฺขุมา ปุริโส, โส อาห – ‘‘น โภ กลหการกานํ โอกาโส อีทิโส โหติ, สุสมฺมฎฺฐํ เจติยงฺคณํ โพธิยงฺคณํ, สุนิกฺขิตฺตา สมฺมชฺชนิโย, สุปฎฺฐิตํ ปานียํ ปริโภชนีย’’นฺติ ฯ เต ตโตว นิวตฺตาฯ เตปิ ภิกฺขู อโนฺตเตมาเสเยว อรหตฺตํ ปตฺวา มหาปวารณายํ วิสุทฺธิปวารณํ ปวาเรสุํฯ
Kalambatitthavihāre vassūpagatā paññāsa bhikkhū viya ca. Te kira āsāḷhipuṇṇamiyaṃ katikavattaṃ akaṃsu – ‘‘arahattaṃ apatvā aññamaññaṃ nālapissāmā’’ti. Gāmañca piṇḍāya pavisantā udakagaṇḍūsaṃ katvā pavisiṃsu. Divasādīsu pucchitesu vuttanayeneva paṭipajjiṃsu. Tattha manussā niṭṭhubhanaṃ disvā jāniṃsu – ‘‘ajjeko āgato, ajja dve’’ti. Evañca cintesuṃ – ‘‘kiṃ nu kho ete amheheva saddhiṃ na sallapanti, udāhu aññamaññampi. Yadi aññamaññaṃ na sallapanti, addhā vivādajātā bhavissanti. Etha ne aññamaññaṃ khamāpessāmā’’ti sabbe vihāraṃ gantvā paññāsāya bhikkhūsu dvepi bhikkhū ekokāse nāddasaṃsu. Tato yo tesu cakkhumā puriso, so āha – ‘‘na bho kalahakārakānaṃ okāso īdiso hoti, susammaṭṭhaṃ cetiyaṅgaṇaṃ bodhiyaṅgaṇaṃ, sunikkhittā sammajjaniyo, supaṭṭhitaṃ pānīyaṃ paribhojanīya’’nti . Te tatova nivattā. Tepi bhikkhū antotemāseyeva arahattaṃ patvā mahāpavāraṇāyaṃ visuddhipavāraṇaṃ pavāresuṃ.
เอวํ กาฬวลฺลิมณฺฑปวาสี มหานาคเตฺถโร วิย, กลมฺพติตฺถวิหาเร วสฺสูปคตา ภิกฺขู วิย จ กมฺมฎฺฐานยุเตฺตเนว จิเตฺตน ปาทํ อุทฺธรโนฺต คามสมีปํ คนฺตฺวา อุทกคณฺฑูสํ กตฺวา วีถิโย สลฺลเกฺขตฺวา ยตฺถ สุราโสณฺฑธุตฺตาทโย กลหการกา จณฺฑหตฺถิอสฺสาทโย วา นตฺถิ, ตํ วีถิํ ปฎิปชฺชติฯ ตตฺถ จ ปิณฺฑาย จรมาโน น ตุริตตุริโต วิย ชเวน คจฺฉติฯ น หิ ชเวน ปิณฺฑปาติกธุตงฺคํ นาม กิญฺจิ อตฺถิฯ วิสมภูมิภาคปตฺตํ ปน อุทกสกฎํ วิย นิจฺจโล หุตฺวา คจฺฉติฯ อนุฆรํ ปวิโฎฺฐ จ ทาตุกามํ วา อทาตุกามํ วา สลฺลเกฺขตุํ ตทนุรูปํ กาลํ อาคเมโนฺต ภิกฺขํ คเหตฺวา อโนฺตคาเม วา พหิคาเม วา วิหารเมว วา อาคนฺตฺวา ยถาผาสุเก ปติรูเป โอกาเส นิสีทิตฺวา กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรโนฺต อาหาเร ปฎิกูลสญฺญํ อุปฎฺฐเปตฺวา อกฺขพฺภญฺชนวณเลปนปุตฺตมํสูปมาวเสน ปจฺจเวกฺขโนฺต อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ อาหารํ อาหาเรติ, เนว ทวาย น มทาย น มณฺฑนาย น วิภูสนาย…เป.… ภุตฺตาวี จ อุทกกิจฺจํ กตฺวา มุหุตฺตํ ภตฺตกิลมถํ ปฎิปสฺสเมฺภตฺวา ยถา ปุเรภตฺตํ , เอวํ ปจฺฉาภตฺตํ ปุริมยามํ ปจฺฉิมยามญฺจ กมฺมฎฺฐานเมว มนสิกโรติฯ อยํ วุจฺจติ หรติ จ ปจฺจาหรติ จาติฯ
Evaṃ kāḷavallimaṇḍapavāsī mahānāgatthero viya, kalambatitthavihāre vassūpagatā bhikkhū viya ca kammaṭṭhānayutteneva cittena pādaṃ uddharanto gāmasamīpaṃ gantvā udakagaṇḍūsaṃ katvā vīthiyo sallakkhetvā yattha surāsoṇḍadhuttādayo kalahakārakā caṇḍahatthiassādayo vā natthi, taṃ vīthiṃ paṭipajjati. Tattha ca piṇḍāya caramāno na turitaturito viya javena gacchati. Na hi javena piṇḍapātikadhutaṅgaṃ nāma kiñci atthi. Visamabhūmibhāgapattaṃ pana udakasakaṭaṃ viya niccalo hutvā gacchati. Anugharaṃ paviṭṭho ca dātukāmaṃ vā adātukāmaṃ vā sallakkhetuṃ tadanurūpaṃ kālaṃ āgamento bhikkhaṃ gahetvā antogāme vā bahigāme vā vihārameva vā āgantvā yathāphāsuke patirūpe okāse nisīditvā kammaṭṭhānaṃ manasikaronto āhāre paṭikūlasaññaṃ upaṭṭhapetvā akkhabbhañjanavaṇalepanaputtamaṃsūpamāvasena paccavekkhanto aṭṭhaṅgasamannāgataṃ āhāraṃ āhāreti, neva davāya na madāya na maṇḍanāya na vibhūsanāya…pe… bhuttāvī ca udakakiccaṃ katvā muhuttaṃ bhattakilamathaṃ paṭipassambhetvā yathā purebhattaṃ , evaṃ pacchābhattaṃ purimayāmaṃ pacchimayāmañca kammaṭṭhānameva manasikaroti. Ayaṃ vuccati harati ca paccāharati cāti.
อิมํ ปน หรณปจฺจาหรณสงฺขาตํ คตปจฺจาคติกวตฺตํ ปูเรโนฺต ยทิ อุปนิสฺสยสมฺปโนฺน โหติ, ปฐมวเย เอว อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ โน เจ ปฐมวเย ปาปุณาติ, อถ มชฺฌิมวเย ปาปุณาติฯ โน เจ มชฺฌิมวเย ปาปุณาติ, อถ ปจฺฉิมวเย ปาปุณาติ, โน เจ ปจฺฉิมวเย ปาปุณาติ, อถ มรณสมเยฯ โน เจ มรณสมเย ปาปุณาติ, อถ เทวปุโตฺต หุตฺวาฯ โน เจ เทวปุโตฺต หุตฺวา ปาปุณาติ, อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ นิพฺพโตฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกโรติฯ โน เจ ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกโรติ, อถ พุทฺธานํ สมฺมุขีภาเว ขิปฺปาภิโญฺญ วา โหติ, เสยฺยถาปิ เถโร พาหิโย ทารุจีริโย มหาปโญฺญ วา, เสยฺยถาปิ เถโร สาริปุโตฺต, มหิทฺธิโก วา, เสยฺยถาปิ เถโร มหาโมคฺคลฺลาโน, ธุตวาโท วา, เสยฺยถาปิ เถโร มหากสฺสโป, ทิพฺพจกฺขุโก วา, เสยฺยถาปิ เถโร อนุรุโทฺธ, วินยธโร วา, เสยฺยถาปิ เถโร อุปาลิ, ธมฺมกถิโก วา, เสยฺยถาปิ เถโร ปุโณฺณ มนฺตาณิปุโตฺต, อารญฺญิโก วา, เสยฺยถาปิ เถโร เรวโต, พหุสฺสุโต วา, เสยฺยถาปิ เถโร อานโนฺท, สิกฺขากาโม วา, เสยฺยถาปิ เถโร ราหุโล พุทฺธปุโตฺตติฯ อิติ อิมสฺมิํ จตุเกฺก ยฺวายํ หรติ ปจฺจาหรติ จ, ตสฺส โคจรสมฺปชญฺญํ สิขาปตฺตํ โหติฯ
Imaṃ pana haraṇapaccāharaṇasaṅkhātaṃ gatapaccāgatikavattaṃ pūrento yadi upanissayasampanno hoti, paṭhamavaye eva arahattaṃ pāpuṇāti. No ce paṭhamavaye pāpuṇāti, atha majjhimavaye pāpuṇāti. No ce majjhimavaye pāpuṇāti, atha pacchimavaye pāpuṇāti, no ce pacchimavaye pāpuṇāti, atha maraṇasamaye. No ce maraṇasamaye pāpuṇāti, atha devaputto hutvā. No ce devaputto hutvā pāpuṇāti, anuppanne buddhe nibbatto paccekabodhiṃ sacchikaroti. No ce paccekabodhiṃ sacchikaroti, atha buddhānaṃ sammukhībhāve khippābhiñño vā hoti, seyyathāpi thero bāhiyo dārucīriyo mahāpañño vā, seyyathāpi thero sāriputto, mahiddhiko vā, seyyathāpi thero mahāmoggallāno, dhutavādo vā, seyyathāpi thero mahākassapo, dibbacakkhuko vā, seyyathāpi thero anuruddho, vinayadharo vā, seyyathāpi thero upāli, dhammakathiko vā, seyyathāpi thero puṇṇo mantāṇiputto, āraññiko vā, seyyathāpi thero revato, bahussuto vā, seyyathāpi thero ānando, sikkhākāmo vā, seyyathāpi thero rāhulo buddhaputtoti. Iti imasmiṃ catukke yvāyaṃ harati paccāharati ca, tassa gocarasampajaññaṃ sikhāpattaṃ hoti.
อภิกฺกมาทีสุ ปน อสมฺมุยฺหนํ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํฯ ตํ เอวํ เวทิตพฺพํ – อิธ ภิกฺขุ อภิกฺกมโนฺต วา ปฎิกฺกมโนฺต วา ยถา อนฺธปุถุชฺชนา อภิกฺกมาทีสุ – ‘‘อตฺตา อภิกฺกมติ, อตฺตนา อภิกฺกโม นิพฺพตฺติโต’’ติ วา ‘‘อหํ อภิกฺกมามิ, มยา อภิกฺกโม นิพฺพตฺติโต’’ติ วา สมฺมุยฺหนฺติ, ตถา อสมฺมุยฺหโนฺต อภิกฺกมามีติ จิเตฺต อุปฺปชฺชมาเน เตเนว จิเตฺตน สทฺธิํ จิตฺตสมุฎฺฐานา วาโยธาตุ วิญฺญตฺติํ ชนยมานา อุปฺปชฺชติ, อิติ จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผารวเสน อยํ กายสมฺมโต อฎฺฐิสงฺฆาโฎ อภิกฺกมติฯ ตเสฺสวํ อภิกฺกมโต เอเกกปาทุทฺธรเณ ปถวีธาตุ อาโปธาตูติ เทฺว ธาตุโย โอมตฺตา โหนฺติ มนฺทา, อิตรา เทฺว อธิมตฺตา โหนฺติ พลวติโย, ตถา อติหรณวีติหรเณสุ, โวสฺสชฺชเน เตโชธาตุ วาโยธาตูติ เทฺว ธาตุโย โอมตฺตา โหนฺติ มนฺทา, อิตรา เทฺว อธิมตฺตา โหนฺติ พลวติโย, ตถา สนฺนิเกฺขปนสนฺนิรุมฺภเนสุฯ
Abhikkamādīsu pana asammuyhanaṃ asammohasampajaññaṃ. Taṃ evaṃ veditabbaṃ – idha bhikkhu abhikkamanto vā paṭikkamanto vā yathā andhaputhujjanā abhikkamādīsu – ‘‘attā abhikkamati, attanā abhikkamo nibbattito’’ti vā ‘‘ahaṃ abhikkamāmi, mayā abhikkamo nibbattito’’ti vā sammuyhanti, tathā asammuyhanto abhikkamāmīti citte uppajjamāne teneva cittena saddhiṃ cittasamuṭṭhānā vāyodhātu viññattiṃ janayamānā uppajjati, iti cittakiriyavāyodhātuvipphāravasena ayaṃ kāyasammato aṭṭhisaṅghāṭo abhikkamati. Tassevaṃ abhikkamato ekekapāduddharaṇe pathavīdhātu āpodhātūti dve dhātuyo omattā honti mandā, itarā dve adhimattā honti balavatiyo, tathā atiharaṇavītiharaṇesu, vossajjane tejodhātu vāyodhātūti dve dhātuyo omattā honti mandā, itarā dve adhimattā honti balavatiyo, tathā sannikkhepanasannirumbhanesu.
ตตฺถ อุทฺธรเณ ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา อติหรณํ น ปาปุณนฺติ, ตถา อติหรเณ ปวตฺตา วีติหรณํ, วีติหรเณ ปวตฺตา โวสฺสชฺชนํ, โวสฺสชฺชเน ปวตฺตา สนฺนิเกฺขปนํ, สนฺนิเกฺขปเน ปวตฺตา สนฺนิรุมฺภนํ น ปาปุณนฺติ, ตตฺถ ตเตฺถว ปพฺพปพฺพํ สนฺธิสนฺธิ โอธิโอธิ หุตฺวา ตตฺตกปาเล ปกฺขิตฺตติลานิ วิย ตฎตฎายนฺตา ภิชฺชนฺติฯ ตตฺถ โก เอโก อภิกฺกมติ, กสฺส วา เอกสฺส อภิกฺกมนํ? ปรมตฺถโต หิ ธาตูนํเยว คมนํ, ธาตูนํ ฐานํ, ธาตูนํ นิสชฺชา, ธาตูนํ สยนํฯ ตสฺมิํ ตสฺมิญฺหิ โกฎฺฐาเส สทฺธิํ รูเปน –
Tattha uddharaṇe pavattā rūpārūpadhammā atiharaṇaṃ na pāpuṇanti, tathā atiharaṇe pavattā vītiharaṇaṃ, vītiharaṇe pavattā vossajjanaṃ, vossajjane pavattā sannikkhepanaṃ, sannikkhepane pavattā sannirumbhanaṃ na pāpuṇanti, tattha tattheva pabbapabbaṃ sandhisandhi odhiodhi hutvā tattakapāle pakkhittatilāni viya taṭataṭāyantā bhijjanti. Tattha ko eko abhikkamati, kassa vā ekassa abhikkamanaṃ? Paramatthato hi dhātūnaṃyeva gamanaṃ, dhātūnaṃ ṭhānaṃ, dhātūnaṃ nisajjā, dhātūnaṃ sayanaṃ. Tasmiṃ tasmiñhi koṭṭhāse saddhiṃ rūpena –
‘‘อญฺญํ อุปฺปชฺชเต จิตฺตํ, อญฺญํ จิตฺตํ นิรุชฺฌติ;
‘‘Aññaṃ uppajjate cittaṃ, aññaṃ cittaṃ nirujjhati;
อวีจิมนุสมฺพโนฺธ, นทีโสโตว วตฺตตี’’ติฯ –
Avīcimanusambandho, nadīsotova vattatī’’ti. –
เอวํ อภิกฺกมาทีสุ อสมฺมุยฺหนํ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ นามาติฯ
Evaṃ abhikkamādīsu asammuyhanaṃ asammohasampajaññaṃ nāmāti.
นิฎฺฐิโต ‘‘อภิกฺกเนฺต ปฎิกฺกเนฺต สมฺปชานการี โหตี’’ติปทสฺส อโตฺถฯ
Niṭṭhito ‘‘abhikkante paṭikkante sampajānakārī hotī’’tipadassa attho.
อาโลกิเต วิโลกิเตติ เอตฺถ ปน อาโลกิตํ นาม ปุรโต เปกฺขนํ, วิโลกิตํ นาม อนุทิสาเปกฺขนํฯ อญฺญานิปิ เหฎฺฐา อุปริ ปจฺฉโต อนุเปกฺขนวเสน โอโลกิตอุโลฺลกิตาปโลกิตานิ นาม โหนฺติฯ ตานิ อิธ น คหิตานิ, สารุปฺปวเสน ปน อิมาเนว เทฺว คหิตานิฯ อิมินา วา มุเขน สพฺพานิปิ ตานิ คหิตาเนวาติฯ
Ālokitevilokiteti ettha pana ālokitaṃ nāma purato pekkhanaṃ, vilokitaṃ nāma anudisāpekkhanaṃ. Aññānipi heṭṭhā upari pacchato anupekkhanavasena olokitaullokitāpalokitāni nāma honti. Tāni idha na gahitāni, sāruppavasena pana imāneva dve gahitāni. Iminā vā mukhena sabbānipi tāni gahitānevāti.
ตตฺถ ‘‘อาโลเกสฺสามี’’ติ จิเตฺต อุปฺปเนฺน จิตฺตวเสเนว อโนโลเกตฺวา อตฺถปริคฺคณฺหนํ สาตฺถกสมฺปชญฺญํฯ ตํ อายสฺมนฺตํ นนฺทํ กายสกฺขิํ กตฺวา เวทิตพฺพํฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –
Tattha ‘‘ālokessāmī’’ti citte uppanne cittavaseneva anoloketvā atthapariggaṇhanaṃ sātthakasampajaññaṃ. Taṃ āyasmantaṃ nandaṃ kāyasakkhiṃ katvā veditabbaṃ. Vuttañhetaṃ bhagavatā –
‘‘สเจ, ภิกฺขเว, นนฺทสฺส ปุรตฺถิมา ทิสา อาโลเกตพฺพา โหติ, สพฺพํ เจตสา สมนฺนาหริตฺวา นโนฺท ปุรตฺถิมํ ทิสํ อาโลเกติ ‘เอวํ เม ปุรตฺถิมํ ทิสํ อาโลกยโต นาภิชฺฌาโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อนฺวาสวิสฺสนฺตี’ติฯ อิติห ตตฺถ สมฺปชาโน โหติฯ สเจ, ภิกฺขเว, นนฺทสฺส ปจฺฉิมา ทิสา, อุตฺตรา ทิสา, ทกฺขิณา ทิสา, อุทฺธํ, อโธ, อนุทิสา อาโลเกตพฺพา โหติ, สพฺพํ เจตสา สมนฺนาหริตฺวา นโนฺท อนุทิสํ อาโลเกติ ‘เอวํ เม อนุทิสํ อาโลกยโต’…เป.… สมฺปชาโน โหตี’’ติ (อ. นิ. ๘.๙)ฯ
‘‘Sace, bhikkhave, nandassa puratthimā disā āloketabbā hoti, sabbaṃ cetasā samannāharitvā nando puratthimaṃ disaṃ āloketi ‘evaṃ me puratthimaṃ disaṃ ālokayato nābhijjhādomanassā pāpakā akusalā dhammā anvāsavissantī’ti. Itiha tattha sampajāno hoti. Sace, bhikkhave, nandassa pacchimā disā, uttarā disā, dakkhiṇā disā, uddhaṃ, adho, anudisā āloketabbā hoti, sabbaṃ cetasā samannāharitvā nando anudisaṃ āloketi ‘evaṃ me anudisaṃ ālokayato’…pe… sampajāno hotī’’ti (a. ni. 8.9).
อปิจ อิธาปิ ปุเพฺพ วุตฺตเจติยทสฺสนาทิวเสเนว สาตฺถกตา จ สปฺปายตา จ เวทิตพฺพาฯ กมฺมฎฺฐานสฺส ปน อวิชหนเมว โคจรสมฺปชญฺญํ, ตสฺมา ขนฺธธาตุอายตนกมฺมฎฺฐานิเกหิ อตฺตโน กมฎฺฐานวเสเนว กสิณาทิกมฺมฎฺฐานิเกหิ วา ปน กมฺมฎฺฐานสีเสเนว อาโลกนวิโลกนํ กาตพฺพํฯ
Apica idhāpi pubbe vuttacetiyadassanādivaseneva sātthakatā ca sappāyatā ca veditabbā. Kammaṭṭhānassa pana avijahanameva gocarasampajaññaṃ, tasmā khandhadhātuāyatanakammaṭṭhānikehi attano kamaṭṭhānavaseneva kasiṇādikammaṭṭhānikehi vā pana kammaṭṭhānasīseneva ālokanavilokanaṃ kātabbaṃ.
‘‘อพฺภนฺตเร อตฺตา นาม อาโลเกตา วา วิโลเกตา วา นตฺถิ, ‘อาโลเกสฺสามี’ติ ปน จิเตฺต อุปฺปชฺชมาเน เตเนว จิเตฺตน สทฺธิํ จิตฺตสมุฎฺฐานา วาโยธาตุ วิญฺญตฺติํ ชนยมานา อุปฺปชฺชติฯ อิติ จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผารวเสน เหฎฺฐิมํ อกฺขิทลํ อโธ สีทติ, อุปริมํ อุทฺธํ ลเงฺฆติ, โกจิ ยนฺตเกน วิวรโนฺต นาม นตฺถิ, ตโต จกฺขุวิญฺญาณํ ทสฺสนกิจฺจํ สาเธนฺตํ อุปฺปชฺชตี’’ติ เอวํ ปชานนํ ปเนตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ นามฯ
‘‘Abbhantare attā nāma āloketā vā viloketā vā natthi, ‘ālokessāmī’ti pana citte uppajjamāne teneva cittena saddhiṃ cittasamuṭṭhānā vāyodhātu viññattiṃ janayamānā uppajjati. Iti cittakiriyavāyodhātuvipphāravasena heṭṭhimaṃ akkhidalaṃ adho sīdati, uparimaṃ uddhaṃ laṅgheti, koci yantakena vivaranto nāma natthi, tato cakkhuviññāṇaṃ dassanakiccaṃ sādhentaṃ uppajjatī’’ti evaṃ pajānanaṃ panettha asammohasampajaññaṃ nāma.
อปิจ มูลปริญฺญาอาคนฺตุกตาวกาลิกภาววเสนเปตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ มูลปริญฺญาวเสน ตาว –
Apica mūlapariññāāgantukatāvakālikabhāvavasenapettha asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ. Mūlapariññāvasena tāva –
‘‘ภวงฺคาวชฺชนเญฺจว, ทสฺสนํ สมฺปฎิจฺฉนํ;
‘‘Bhavaṅgāvajjanañceva, dassanaṃ sampaṭicchanaṃ;
สนฺตีรณํ โวฎฺฐพฺพนํ, ชวนํ ภวติ สตฺตมํ’’ฯ
Santīraṇaṃ voṭṭhabbanaṃ, javanaṃ bhavati sattamaṃ’’.
ตตฺถ ภวงฺคํ อุปปตฺติภวสฺส องฺคกิจฺจํ สาธยมานํ ปวตฺตติ, ตํ อาวเฎฺฎตฺวา กิริยมโนธาตุ อาวชฺชนกิจฺจํ สาธยมานา, ตนฺนิโรธา จกฺขุวิญฺญาณํ ทสฺสนกิจฺจํ สาธยมานํ, ตนฺนิโรธา วิปากมโนธาตุ สมฺปฎิจฺฉนกิจฺจํ สาธยมานา, ตนฺนิโรธา วิปากมโนวิญฺญาณธาตุ สนฺตีรณกิจฺจํ สาธยมานา, ตนฺนิโรธา กิริยมโนวิญฺญาณธาตุ โวฎฺฐพฺพนกิจฺจํ สาธยมานา, ตนฺนิโรธา สตฺตกฺขตฺตุํ ชวนํ ชวติฯ ตตฺถ ปฐมชวเนปิ ‘‘อยํ อิตฺถี, อยํ ปุริโส’’ติ รชฺชนทุสฺสนมุยฺหนวเสน อาโลกิตวิโลกิตํ น โหติ, ทุติยชวเนปิ…เป.… สตฺตมชวเนปิฯ เอเตสุ ปน ยุทฺธมณฺฑเล โยเธสุ วิย เหฎฺฐุปริยวเสน ภิชฺชิตฺวา ปติเตสุ ‘‘อยํ อิตฺถี, อยํ ปุริโส’’ติ รชฺชนาทิวเสน อาโลกิตวิโลกิตํ โหติฯ เอวํ ตาเวตฺถ มูลปริญฺญาวเสน อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Tattha bhavaṅgaṃ upapattibhavassa aṅgakiccaṃ sādhayamānaṃ pavattati, taṃ āvaṭṭetvā kiriyamanodhātu āvajjanakiccaṃ sādhayamānā, tannirodhā cakkhuviññāṇaṃ dassanakiccaṃ sādhayamānaṃ, tannirodhā vipākamanodhātu sampaṭicchanakiccaṃ sādhayamānā, tannirodhā vipākamanoviññāṇadhātu santīraṇakiccaṃ sādhayamānā, tannirodhā kiriyamanoviññāṇadhātu voṭṭhabbanakiccaṃ sādhayamānā, tannirodhā sattakkhattuṃ javanaṃ javati. Tattha paṭhamajavanepi ‘‘ayaṃ itthī, ayaṃ puriso’’ti rajjanadussanamuyhanavasena ālokitavilokitaṃ na hoti, dutiyajavanepi…pe… sattamajavanepi. Etesu pana yuddhamaṇḍale yodhesu viya heṭṭhupariyavasena bhijjitvā patitesu ‘‘ayaṃ itthī, ayaṃ puriso’’ti rajjanādivasena ālokitavilokitaṃ hoti. Evaṃ tāvettha mūlapariññāvasena asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
จกฺขุทฺวาเร ปน รูเป อาปาถมาคเต ภวงฺคจลนโต อุทฺธํ สกกิจฺจนิปฺผาทนวเสน อาวชฺชนาทีสุ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุเทฺธสุ อวสาเน ชวนํ อุปฺปชฺชติ, ตํ ปุเพฺพ อุปฺปนฺนานํ อาวชฺชนาทีนํ เคหภูเต จกฺขุทฺวาเร อาคนฺตุกปุริโส วิย โหติฯ ตสฺส ยถา ปรเคเห กิญฺจิ ยาจิตุํ ปวิฎฺฐสฺส อาคนฺตุกปุริสสฺส เคหสามิเกสุ ตุณฺหีมาสิเนสุ อาณากรณํ น ยุตฺตํ, เอวํ อาวชฺชนาทีนํ เคหภูเต จกฺขุทฺวาเร อาวชฺชนาทีสุปิ อรชฺชเนฺตสุ อทุสฺสเนฺตสุ อมุยฺหเนฺตสุ จ รชฺชนทุสฺสนมุยฺหนํ อยุตฺตนฺติ เอวํ อาคนฺตุกภาววเสน อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Cakkhudvāre pana rūpe āpāthamāgate bhavaṅgacalanato uddhaṃ sakakiccanipphādanavasena āvajjanādīsu uppajjitvā niruddhesu avasāne javanaṃ uppajjati, taṃ pubbe uppannānaṃ āvajjanādīnaṃ gehabhūte cakkhudvāre āgantukapuriso viya hoti. Tassa yathā paragehe kiñci yācituṃ paviṭṭhassa āgantukapurisassa gehasāmikesu tuṇhīmāsinesu āṇākaraṇaṃ na yuttaṃ, evaṃ āvajjanādīnaṃ gehabhūte cakkhudvāre āvajjanādīsupi arajjantesu adussantesu amuyhantesu ca rajjanadussanamuyhanaṃ ayuttanti evaṃ āgantukabhāvavasena asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
ยานิ ปเนตานิ จกฺขุทฺวาเร โวฎฺฐพฺพนปริโยสานานิ จิตฺตานิ อุปฺปชฺชนฺติ, ตานิ สทฺธิํ สมฺปยุตฺตธเมฺมหิ ตตฺถ ตเตฺถว ภิชฺชนฺติ, อญฺญมญฺญํ น ปสฺสนฺติ, อิตฺตรานิ ตาวกาลิกานิ โหนฺติฯ ตตฺถ ยถา เอกสฺมิํ ฆเร สเพฺพสุ มานุสเกสุ มเตสุ อวเสสสฺส เอกสฺส ตงฺขณํเยว มรณธมฺมสฺส น ยุตฺตา นจฺจคีตาทีสุ อภิรติ นาม, เอวเมว เอกทฺวาเร สสมฺปยุเตฺตสุ อาวชฺชนาทีสุ ตตฺถ ตเตฺถว มเตสุ อวเสสสฺส ตงฺขณํเยว มรณธมฺมสฺส ชวนสฺสาปิ รชฺชนทุสฺสนมุยฺหนวเสน อภิรติ นาม น ยุตฺตาติ เอวํ ตาวกาลิกภาววเสน อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Yāni panetāni cakkhudvāre voṭṭhabbanapariyosānāni cittāni uppajjanti, tāni saddhiṃ sampayuttadhammehi tattha tattheva bhijjanti, aññamaññaṃ na passanti, ittarāni tāvakālikāni honti. Tattha yathā ekasmiṃ ghare sabbesu mānusakesu matesu avasesassa ekassa taṅkhaṇaṃyeva maraṇadhammassa na yuttā naccagītādīsu abhirati nāma, evameva ekadvāre sasampayuttesu āvajjanādīsu tattha tattheva matesu avasesassa taṅkhaṇaṃyeva maraṇadhammassa javanassāpi rajjanadussanamuyhanavasena abhirati nāma na yuttāti evaṃ tāvakālikabhāvavasena asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อปิจ ขนฺธายตนธาตุปจฺจยปจฺจเวกฺขณวเสนเปตํ เวทิตพฺพํฯ เอตฺถ หิ จกฺขุ เจว รูปา จ รูปกฺขโนฺธ, ทสฺสนํ วิญฺญาณกฺขโนฺธ, ตํสมฺปยุตฺตา เวทนา เวทนากฺขโนฺธ, สญฺญา สญฺญากฺขโนฺธ, ผสฺสาทิกา สงฺขารา สงฺขารกฺขโนฺธ, เอวเมเตสํ ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ สมวาเย อาโลกนวิโลกนํ ปญฺญายติฯ ตตฺถ โก เอโก อาโลเกติ, โก วิโลเกติ? ตถา จกฺขุ จกฺขายตนํ, รูปํ รูปายตนํ, ทสฺสนํ มนายตนํ, เวทนาทโย สมฺปยุตฺตธมฺมา ธมฺมายตนํ, เอวเมเตสํ จตุนฺนํ อายตนานํ สมวาเย อาโลกนวิโลกนํ ปญฺญายติฯ ตตฺถ โก เอโก อาโลเกติ, โก วิโลเกติ? ตถา จกฺขุ จกฺขุธาตุ, รูปํ รูปธาตุ, ทสฺสนํ จกฺขุวิญฺญาณธาตุ, ตํสมฺปยุตฺตา เวทนาทโย ธมฺมา ธมฺมธาตุ, เอวเมเตสํ จตุนฺนํ ธาตูนํ สมวาเย อาโลกนวิโลกนํ ปญฺญายติฯ ตตฺถ โก เอโก อาโลเกติ, โก วิโลเกติ? ตถา จกฺขุ นิสฺสยปจฺจโย, รูปํ อารมฺมณปจฺจโย, อาวชฺชนํ อนนฺตรสมนนฺตรูปนิสฺสยนตฺถิวิคตปจฺจโย, อาโลโก อุปนิสฺสยปจฺจโย, เวทนาทโย สหชาตปจฺจโยฯ เอวเมเตสํ ปจฺจยานํ สมวาเย อาโลกนวิโลกนํ ปญฺญายติฯ ตตฺถ โก เอโก อาโลเกติ, โก วิโลเกตีติ เอวเมตฺถ ขนฺธายตนธาตุปจฺจยปจฺจเวกฺขณวเสนปิ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Apica khandhāyatanadhātupaccayapaccavekkhaṇavasenapetaṃ veditabbaṃ. Ettha hi cakkhu ceva rūpā ca rūpakkhandho, dassanaṃ viññāṇakkhandho, taṃsampayuttā vedanā vedanākkhandho, saññā saññākkhandho, phassādikā saṅkhārā saṅkhārakkhandho, evametesaṃ pañcannaṃ khandhānaṃ samavāye ālokanavilokanaṃ paññāyati. Tattha ko eko āloketi, ko viloketi? Tathā cakkhu cakkhāyatanaṃ, rūpaṃ rūpāyatanaṃ, dassanaṃ manāyatanaṃ, vedanādayo sampayuttadhammā dhammāyatanaṃ, evametesaṃ catunnaṃ āyatanānaṃ samavāye ālokanavilokanaṃ paññāyati. Tattha ko eko āloketi, ko viloketi? Tathā cakkhu cakkhudhātu, rūpaṃ rūpadhātu, dassanaṃ cakkhuviññāṇadhātu, taṃsampayuttā vedanādayo dhammā dhammadhātu, evametesaṃ catunnaṃ dhātūnaṃ samavāye ālokanavilokanaṃ paññāyati. Tattha ko eko āloketi, ko viloketi? Tathā cakkhu nissayapaccayo, rūpaṃ ārammaṇapaccayo, āvajjanaṃ anantarasamanantarūpanissayanatthivigatapaccayo, āloko upanissayapaccayo, vedanādayo sahajātapaccayo. Evametesaṃ paccayānaṃ samavāye ālokanavilokanaṃ paññāyati. Tattha ko eko āloketi, ko viloketīti evamettha khandhāyatanadhātupaccayapaccavekkhaṇavasenapi asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
สมิญฺชิเต ปสาริเตติ ปพฺพานํ สมิญฺชนปสารเณฯ ตตฺถ จิตฺตวเสเนว สมิญฺชนปสารณํ อกตฺวา หตฺถปาทานํ สมิญฺชนปสารณปจฺจยา อตฺถานตฺถํ ปริคฺคณฺหิตฺวา อตฺถปริคฺคณฺหนํ สาตฺถกสมฺปชญฺญํฯ ตตฺถ หตฺถปาเท อติจิรํ สมิญฺชิตฺวา วา ปสาเรตฺวา วา ฐิตสฺส ขเณ ขเณ เวทนา อุปฺปชฺชนฺติ, จิตฺตํ เอกคฺคํ น ลภติ, กมฺมฎฺฐานํ ปริปตติ, วิเสสํ นาธิคจฺฉติฯ กาเล สมิญฺชนฺตสฺส กาเล ปสาเรนฺตสฺส ปน ตา เวทนา นุปฺปชฺชนฺติ, จิตฺตํ เอกคฺคํ โหติ, กมฺมฎฺฐานํ ผาติํ คจฺฉติ, วิเสสมธิคจฺฉตีติ เอวํ อตฺถานตฺถปริคฺคณฺหนํ เวทิตพฺพํฯ
Samiñjite pasāriteti pabbānaṃ samiñjanapasāraṇe. Tattha cittavaseneva samiñjanapasāraṇaṃ akatvā hatthapādānaṃ samiñjanapasāraṇapaccayā atthānatthaṃ pariggaṇhitvā atthapariggaṇhanaṃ sātthakasampajaññaṃ. Tattha hatthapāde aticiraṃ samiñjitvā vā pasāretvā vā ṭhitassa khaṇe khaṇe vedanā uppajjanti, cittaṃ ekaggaṃ na labhati, kammaṭṭhānaṃ paripatati, visesaṃ nādhigacchati. Kāle samiñjantassa kāle pasārentassa pana tā vedanā nuppajjanti, cittaṃ ekaggaṃ hoti, kammaṭṭhānaṃ phātiṃ gacchati, visesamadhigacchatīti evaṃ atthānatthapariggaṇhanaṃ veditabbaṃ.
อเตฺถ ปน สติปิ สปฺปายาสปฺปายํ ปริคฺคณฺหิตฺวา สปฺปายปริคฺคณฺหนํ สปฺปายสมฺปชญฺญํฯ ตตฺรายํ นโย – มหาเจติยงฺคเณ กิร ทหรภิกฺขู สชฺฌายํ คณฺหนฺติฯ เตสํ ปิฎฺฐิปเสฺส ทหรภิกฺขุนิโย ธมฺมํ สุณนฺติฯ ตเตฺถโก ทหโร หตฺถํ ปสาเรโนฺต กายสํสคฺคํ ปตฺวา เตเนว การเณน คิหี ชาโตฯ อปโร ภิกฺขุ ปาทํ ปสาเรโนฺต อคฺคิมฺหิ ปสาเรสิ, อฎฺฐิํ อาหจฺจ ปาโท ฌายิฯ อปโร วมฺมิเก ปสาเรสิ, โส อาสีวิเสน ทโฎฺฐฯ อปโร จีวรกุฎิทณฺฑเก ปสาเรสิ, ตํ มณิสโปฺป ฑํสิฯ ตสฺมา เอวรูเป อสปฺปาเย อปสาเรตฺวา สปฺปาเย ปสาเรตพฺพํฯ อิทเมตฺถ สปฺปายสมฺปชญฺญํฯ
Atthe pana satipi sappāyāsappāyaṃ pariggaṇhitvā sappāyapariggaṇhanaṃ sappāyasampajaññaṃ. Tatrāyaṃ nayo – mahācetiyaṅgaṇe kira daharabhikkhū sajjhāyaṃ gaṇhanti. Tesaṃ piṭṭhipasse daharabhikkhuniyo dhammaṃ suṇanti. Tattheko daharo hatthaṃ pasārento kāyasaṃsaggaṃ patvā teneva kāraṇena gihī jāto. Aparo bhikkhu pādaṃ pasārento aggimhi pasāresi, aṭṭhiṃ āhacca pādo jhāyi. Aparo vammike pasāresi, so āsīvisena daṭṭho. Aparo cīvarakuṭidaṇḍake pasāresi, taṃ maṇisappo ḍaṃsi. Tasmā evarūpe asappāye apasāretvā sappāye pasāretabbaṃ. Idamettha sappāyasampajaññaṃ.
โคจรสมฺปชญฺญํ ปน มหาเถรวตฺถุนา ทีเปตพฺพํ – มหาเถโร กิร ทิวาฎฺฐาเน นิสิโนฺน อเนฺตวาสิเกหิ สทฺธิํ กถยมาโน สหสา หตฺถํ สมิญฺชิตฺวา ปุน ยถาฐาเน ฐเปตฺวา สณิกํ สมิเญฺชสิฯ ตํ อเนฺตวาสิกา ปุจฺฉิํสุ – ‘‘กสฺมา, ภเนฺต, สหสา หตฺถํ สมิญฺชิตฺวา ปุน ยถาฐาเน ฐเปตฺวา สณิกํ สมิญฺชิตฺถา’’ติฯ ยโต ปฎฺฐายาหํ, อาวุโส, กมฺมฎฺฐานํ มนสิกาตุํ อารโทฺธ, น เม กมฺมฎฺฐานํ มุญฺจิตฺวา หโตฺถ สมิญฺชิตปุโพฺพ, อิทานิ ปน ตุเมฺหหิ สทฺธิํ กถยมาเนน กมฺมฎฺฐานํ มุญฺจิตฺวา สมิญฺชิโต, ตสฺมา ปุน ยถาฐาเน ฐเปตฺวา สมิเญฺชสินฺติฯ สาธุ, ภเนฺต, ภิกฺขุนา นาม เอวรูเปน ภวิตพฺพนฺติฯ เอวเมตฺถาปิ กมฺมฎฺฐานาวิชหนเมว โคจรสมฺปชญฺญนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Gocarasampajaññaṃ pana mahātheravatthunā dīpetabbaṃ – mahāthero kira divāṭṭhāne nisinno antevāsikehi saddhiṃ kathayamāno sahasā hatthaṃ samiñjitvā puna yathāṭhāne ṭhapetvā saṇikaṃ samiñjesi. Taṃ antevāsikā pucchiṃsu – ‘‘kasmā, bhante, sahasā hatthaṃ samiñjitvā puna yathāṭhāne ṭhapetvā saṇikaṃ samiñjitthā’’ti. Yato paṭṭhāyāhaṃ, āvuso, kammaṭṭhānaṃ manasikātuṃ āraddho, na me kammaṭṭhānaṃ muñcitvā hattho samiñjitapubbo, idāni pana tumhehi saddhiṃ kathayamānena kammaṭṭhānaṃ muñcitvā samiñjito, tasmā puna yathāṭhāne ṭhapetvā samiñjesinti. Sādhu, bhante, bhikkhunā nāma evarūpena bhavitabbanti. Evametthāpi kammaṭṭhānāvijahanameva gocarasampajaññanti veditabbaṃ.
อพฺภนฺตเร อตฺตา นาม โกจิ สมิญฺชโนฺต วา ปสาเรโนฺต วา นตฺถิ, วุตฺตปฺปการจิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรน ปน สุตฺตากฑฺฒนวเสน ทารุยนฺตสฺส หตฺถปาทลฬนํ วิย สมิญฺชนปสารณํ โหตีติ ปริชานนํ ปเนตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Abbhantare attā nāma koci samiñjanto vā pasārento vā natthi, vuttappakāracittakiriyavāyodhātuvipphārena pana suttākaḍḍhanavasena dāruyantassa hatthapādalaḷanaṃ viya samiñjanapasāraṇaṃ hotīti parijānanaṃ panettha asammohasampajaññanti veditabbaṃ.
สงฺฆาฎิปตฺตจีวรธารเณติ เอตฺถ สงฺฆาฎิจีวรานํ นิวาสนปารุปนวเสน, ปตฺตสฺส ภิกฺขาปฎิคฺคหณาทิวเสน ปริโภโค ธารณํ นามฯ ตตฺถ สงฺฆาฎิจีวรธารเณ ตาว นิวาเสตฺวา ปารุปิตฺวา จ ปิณฺฑาย จรโต อามิสลาโภ, ‘‘สีตสฺส ปฎิฆาตายา’’ติอาทินา นเยน ภควตา วุตฺตปฺปกาโรเยว จ อโตฺถ อโตฺถ นามฯ ตสฺส วเสน สาตฺถกสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Saṅghāṭipattacīvaradhāraṇeti ettha saṅghāṭicīvarānaṃ nivāsanapārupanavasena, pattassa bhikkhāpaṭiggahaṇādivasena paribhogo dhāraṇaṃ nāma. Tattha saṅghāṭicīvaradhāraṇe tāva nivāsetvā pārupitvā ca piṇḍāya carato āmisalābho, ‘‘sītassa paṭighātāyā’’tiādinā nayena bhagavatā vuttappakāroyeva ca attho attho nāma. Tassa vasena sātthakasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อุณฺหปกติกสฺส ปน ทุพฺพลสฺส จ จีวรํ สุขุมํ สปฺปายํ, สีตาลุกสฺส ฆนํ ทุปฎฺฎํฯ วิปรีตํ อสปฺปายํฯ ยสฺส กสฺสจิ ชิณฺณํ อสปฺปายเมวฯ อคฺคฬาทิทาเนน หิสฺส ตํ ปลิโพธกรํ โหติฯ ตถา ปฎฺฎุณฺณทุกูลาทิเภทํ โลภนียจีวรํฯ ตาทิสญฺหิ อรเญฺญ เอกกสฺส นิวาสนฺตรายกรํ , ชีวิตนฺตรายกรญฺจาปิ โหติฯ นิปฺปริยาเยน ปน ยํ นิมิตฺตกมฺมาทิมิจฺฉาชีววเสน อุปฺปนฺนํ, ยญฺจสฺส เสวมานสฺส อกุสลา ธมฺมา อภิวฑฺฒนฺติ, กุสลา ธมฺมา ปริหายนฺติ , ตํ อสปฺปายํฯ วิปรีตํ สปฺปายํ, ตสฺส วเสเนตฺถ สปฺปายสมฺปชญฺญํ, กมฺมฎฺฐานาวิชหนวเสเนว จ โคจรสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Uṇhapakatikassa pana dubbalassa ca cīvaraṃ sukhumaṃ sappāyaṃ, sītālukassa ghanaṃ dupaṭṭaṃ. Viparītaṃ asappāyaṃ. Yassa kassaci jiṇṇaṃ asappāyameva. Aggaḷādidānena hissa taṃ palibodhakaraṃ hoti. Tathā paṭṭuṇṇadukūlādibhedaṃ lobhanīyacīvaraṃ. Tādisañhi araññe ekakassa nivāsantarāyakaraṃ , jīvitantarāyakarañcāpi hoti. Nippariyāyena pana yaṃ nimittakammādimicchājīvavasena uppannaṃ, yañcassa sevamānassa akusalā dhammā abhivaḍḍhanti, kusalā dhammā parihāyanti , taṃ asappāyaṃ. Viparītaṃ sappāyaṃ, tassa vasenettha sappāyasampajaññaṃ, kammaṭṭhānāvijahanavaseneva ca gocarasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อพฺภนฺตเร อตฺตา นาม โกจิ จีวรํ ปารุปโนฺต นตฺถิ, วุตฺตปฺปการจิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรเนว ปน จีวรปารุปนํ โหติฯ ตตฺถ จีวรมฺปิ อเจตนํ, กาโยปิ อเจตโนฯ จีวรํ น ชานาติ ‘‘มยา กาโย ปารุปิโต’’ติฯ กาโยปิ น ชานาติ ‘‘อหํ จีวเรน ปารุปิโต’’ติฯ ธาตุโยว ธาตุสมูหํ ปฎิจฺฉาเทนฺติ ปฎปิโลติกาย โปตฺถกรูปปฎิจฺฉาทเน วิยฯ ตสฺมา เนว สุนฺทรํ จีวรํ ลภิตฺวา โสมนสฺสํ กาตพฺพํ, น อสุนฺทรํ ลภิตฺวา โทมนสฺสํฯ นาควมฺมิกเจติยรุกฺขาทีสุ หิ เกจิ มาลาคนฺธธูมวตฺถาทีหิ สกฺการํ กโรนฺติ, เกจิ คูถมุตฺตกทฺทมทณฺฑสตฺถปหาราทีหิ อสกฺการํฯ น เตหิ นาควมฺมิกรุกฺขาทโย โสมนสฺสํ วา กโรนฺติ โทมนสฺสํ วาฯ เอวเมวํ เนว สุนฺทรํ จีวรํ ลภิตฺวา โสมนสฺสํ กาตพฺพํ, น อสุนฺทรํ ลภิตฺวา โทมนสฺสนฺติ เอวํ ปวตฺตปฎิสงฺขานวเสเนตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Abbhantare attā nāma koci cīvaraṃ pārupanto natthi, vuttappakāracittakiriyavāyodhātuvipphāreneva pana cīvarapārupanaṃ hoti. Tattha cīvarampi acetanaṃ, kāyopi acetano. Cīvaraṃ na jānāti ‘‘mayā kāyo pārupito’’ti. Kāyopi na jānāti ‘‘ahaṃ cīvarena pārupito’’ti. Dhātuyova dhātusamūhaṃ paṭicchādenti paṭapilotikāya potthakarūpapaṭicchādane viya. Tasmā neva sundaraṃ cīvaraṃ labhitvā somanassaṃ kātabbaṃ, na asundaraṃ labhitvā domanassaṃ. Nāgavammikacetiyarukkhādīsu hi keci mālāgandhadhūmavatthādīhi sakkāraṃ karonti, keci gūthamuttakaddamadaṇḍasatthapahārādīhi asakkāraṃ. Na tehi nāgavammikarukkhādayo somanassaṃ vā karonti domanassaṃ vā. Evamevaṃ neva sundaraṃ cīvaraṃ labhitvā somanassaṃ kātabbaṃ, na asundaraṃ labhitvā domanassanti evaṃ pavattapaṭisaṅkhānavasenettha asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
ปตฺตธารเณปิ ปตฺตํ สหสาว อคฺคเหตฺวา – ‘‘อิมํ คเหตฺวา ปิณฺฑาย จรมาโน ภิกฺขํ ลภิสฺสามี’’ติ เอวํ ปตฺตคฺคหณปจฺจยา ปฎิลภิตพฺพอตฺถวเสน สาตฺถกสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ กิสทุพฺพลสรีรสฺส ปน ครุปโตฺต อสปฺปาโยฯ ยสฺส กสฺสจิ จตุปญฺจคณฺฐิกาหโต ทุพฺพิโสธนีโย อสปฺปาโยวฯ ทุโทฺธตปโตฺต หิ น วฎฺฎติ, ตํ โธวนฺตเสฺสว จสฺส ปลิโพโธ โหติฯ มณิวณฺณปโตฺต ปน โลภนีโย จีวเร วุตฺตนเยเนว อสปฺปาโยฯ นิมิตฺตกมฺมาทิวเสน ลโทฺธ, ปน ยญฺจสฺส เสวมานสฺส อกุสลา ธมฺมา อภิวฑฺฒนฺติ, กุสลา ธมฺมา ปริหายนฺติ, อยํ เอกนฺตอสปฺปาโยวฯ วิปรีโต สปฺปาโยฯ ตสฺส วเสเนตฺถ สปฺปายสมฺปชญฺญํ, กมฺมฎฺฐานาวิชหนวเสเนว จ โคจรสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Pattadhāraṇepi pattaṃ sahasāva aggahetvā – ‘‘imaṃ gahetvā piṇḍāya caramāno bhikkhaṃ labhissāmī’’ti evaṃ pattaggahaṇapaccayā paṭilabhitabbaatthavasena sātthakasampajaññaṃ veditabbaṃ. Kisadubbalasarīrassa pana garupatto asappāyo. Yassa kassaci catupañcagaṇṭhikāhato dubbisodhanīyo asappāyova. Duddhotapatto hi na vaṭṭati, taṃ dhovantasseva cassa palibodho hoti. Maṇivaṇṇapatto pana lobhanīyo cīvare vuttanayeneva asappāyo. Nimittakammādivasena laddho, pana yañcassa sevamānassa akusalā dhammā abhivaḍḍhanti, kusalā dhammā parihāyanti, ayaṃ ekantaasappāyova. Viparīto sappāyo. Tassa vasenettha sappāyasampajaññaṃ, kammaṭṭhānāvijahanavaseneva ca gocarasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อพฺภนฺตเร อตฺตา นาม โกจิ ปตฺตํ คณฺหโนฺต นตฺถิ, วุตฺตปฺปการจิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรเนว ปตฺตคฺคหณํ นาม โหติฯ ตตฺถ ปโตฺตปิ อเจตโน, หตฺถาปิ อเจตนาฯ ปโตฺต น ชานาติ ‘‘อหํ หเตฺถหิ คหิโต’’ติฯ หตฺถาปิ น ชานนฺติ ‘‘ปโตฺต อเมฺหหิ คหิโต’’ติฯ ธาตุโยว ธาตุสมูหํ คณฺหนฺติ, สณฺฑาเสน อคฺคิวณฺณปตฺตคฺคหเณ วิยาติ เอวํ ปวตฺตปฎิสงฺขานวเสเนตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Abbhantare attā nāma koci pattaṃ gaṇhanto natthi, vuttappakāracittakiriyavāyodhātuvipphāreneva pattaggahaṇaṃ nāma hoti. Tattha pattopi acetano, hatthāpi acetanā. Patto na jānāti ‘‘ahaṃ hatthehi gahito’’ti. Hatthāpi na jānanti ‘‘patto amhehi gahito’’ti. Dhātuyova dhātusamūhaṃ gaṇhanti, saṇḍāsena aggivaṇṇapattaggahaṇe viyāti evaṃ pavattapaṭisaṅkhānavasenettha asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อปิจ ยถา ฉินฺนหตฺถปาเท วณมุเขหิ ปคฺฆริตปุพฺพโลหิตกิมิกุเล นีลมกฺขิกสมฺปริกิเณฺณ อนาถสาลาย อนาถมนุเสฺส ทิสฺวา ทยาลุกา ปุริสา เตสํ วณปฎฺฎโจฬกานิ เจว กปาลาทีหิ เภสชฺชานิ จ อุปนาเมนฺติฯ ตตฺถ โจฬกานิปิ เกสญฺจิ สณฺหานิ, เกสญฺจิ ถูลานิ ปาปุณนฺติ, เภสชฺชกปาลานิปิ เกสญฺจิ สุสณฺฐานานิ, เกสญฺจิ ทุสฺสณฺฐานานิ ปาปุณนฺติ, น เต ตตฺถ สุมนา วา ทุมฺมนา วา โหนฺติฯ วณปฎิจฺฉาทนมเตฺตเนว หิ โจฬเกน เภสชฺชปฎิคฺคหมเตฺตเนว จ กปาลเกน เตสํ อโตฺถฯ เอวเมว โย ภิกฺขุ วณโจฬกํ วิย จีวรํ, เภสชฺชกปาลกํ วิย จ ปตฺตํ, กปาเล เภสชฺชมิว จ ปเตฺต ลทฺธภิกฺขํ สลฺลเกฺขติฯ อยํ สงฺฆาฎิปตฺตจีวรธารเณ อสโมฺมหสมฺปชเญฺญน อุตฺตมสมฺปชานการีติ เวทิตโพฺพฯ
Apica yathā chinnahatthapāde vaṇamukhehi paggharitapubbalohitakimikule nīlamakkhikasamparikiṇṇe anāthasālāya anāthamanusse disvā dayālukā purisā tesaṃ vaṇapaṭṭacoḷakāni ceva kapālādīhi bhesajjāni ca upanāmenti. Tattha coḷakānipi kesañci saṇhāni, kesañci thūlāni pāpuṇanti, bhesajjakapālānipi kesañci susaṇṭhānāni, kesañci dussaṇṭhānāni pāpuṇanti, na te tattha sumanā vā dummanā vā honti. Vaṇapaṭicchādanamatteneva hi coḷakena bhesajjapaṭiggahamatteneva ca kapālakena tesaṃ attho. Evameva yo bhikkhu vaṇacoḷakaṃ viya cīvaraṃ, bhesajjakapālakaṃ viya ca pattaṃ, kapāle bhesajjamiva ca patte laddhabhikkhaṃ sallakkheti. Ayaṃ saṅghāṭipattacīvaradhāraṇe asammohasampajaññena uttamasampajānakārīti veditabbo.
อสิตาทีสุ อสิเตติ ปิณฺฑปาตโภชเนฯ ปีเตติ ยาคุอาทิปาเนฯ ขายิเตติ ปิฎฺฐขชฺชกาทิขาทเนฯ สายิเตติ มธุผาณิตาทิสายเนฯ ตตฺถ ‘‘เนว ทวายา’’ติอาทินา นเยน วุโตฺต อฎฺฐวิโธปิ อโตฺถ อโตฺถ นาม, ตสฺส วเสน สาตฺถกสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Asitādīsu asiteti piṇḍapātabhojane. Pīteti yāguādipāne. Khāyiteti piṭṭhakhajjakādikhādane. Sāyiteti madhuphāṇitādisāyane. Tattha ‘‘neva davāyā’’tiādinā nayena vutto aṭṭhavidhopi attho attho nāma, tassa vasena sātthakasampajaññaṃ veditabbaṃ.
ลูขปณีตติตฺตมธุราทีสุ ปน เยน โภชเนน ยสฺส อผาสุ โหติ, ตํ ตสฺส อสปฺปายํฯ ยํ ปน นิมิตฺตกมฺมาทิวเสน ปฎิลทฺธํ, ยญฺจสฺส ภุญฺชโต อกุสลา ธมฺมา อภิวฑฺฒนฺติ, กุสลา ธมฺมา ปริหายนฺติ, ตํ เอกนฺตอสปฺปายเมวฯ วิปรีตํ สปฺปายํฯ ตสฺส วเสเนตฺถ สปฺปายสมฺปชญฺญํ, กมฺมฎฺฐานาวิชหนวเสเนว จ โคจรสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Lūkhapaṇītatittamadhurādīsu pana yena bhojanena yassa aphāsu hoti, taṃ tassa asappāyaṃ. Yaṃ pana nimittakammādivasena paṭiladdhaṃ, yañcassa bhuñjato akusalā dhammā abhivaḍḍhanti, kusalā dhammā parihāyanti, taṃ ekantaasappāyameva. Viparītaṃ sappāyaṃ. Tassa vasenettha sappāyasampajaññaṃ, kammaṭṭhānāvijahanavaseneva ca gocarasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อพฺภนฺตเร อตฺตา นาม โกจิ ภุญฺชโก นตฺถิ, วุตฺตปฺปการจิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรเนว ปตฺตปฎิคฺคหณํ นาม โหติ, จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรเนว หตฺถสฺส ปเตฺต โอตารณํ นาม โหติ, จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรเนว อาโลปกรณํ อาโลปุทฺธรณํ มุขวิวรณญฺจ โหติฯ น โกจิ กุญฺจิกาย น ยนฺตเกน หนุกฎฺฐีนิ วิวรติ, จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรเนว อาโลปสฺส มุเข ฐปนํ อุปริทนฺตานํ มุสลกิจฺจสาธนํ เหฎฺฐาทนฺตานํ อุทุกฺขลกิจฺจสาธนํ ชิวฺหาย หตฺถกิจฺจสาธนญฺจ โหติฯ อิติ นํ ตตฺถ อคฺคชิวฺหาย ตนุกเขโฬ, มูลชิวฺหาย พหลเขโฬ มเกฺขติฯ ตํ เหฎฺฐาทนฺตอุทุกฺขเล ชิวฺหาหตฺถปริวตฺติตํ เขฬอุทกเตมิตํ อุปริทนฺตมุสลสญฺจุณฺณิตํ โกจิ กฎจฺฉุนา วา ทพฺพิยา วา อโนฺต ปเวเสโนฺต นาม นตฺถิ, วาโยธาตุยาว ปวิสติฯ ปวิฎฺฐํ ปวิฎฺฐํ โกจิ ปลาลสนฺถรํ กตฺวา ธาเรโนฺต นาม นตฺถิ, วาโยธาตุวเสเนว ติฎฺฐติฯ ฐิตํ ฐิตํ โกจิ อุทฺธนํ กตฺวา อคฺคิํ ชาเลตฺวา ปจโนฺต นาม นตฺถิ, เตโชธาตุยาว ปจฺจติฯ ปกฺกํ ปกฺกํ โกจิ ทณฺฑเกน วา ยฎฺฐิยา วา พหิ นีหรโก นาม นตฺถิ, วาโยธาตุเยว นีหรติฯ อิติ วาโยธาตุ อติหรติ จ วีติหรติ จ ธาเรติ จ ปริวเตฺตติ จ สญฺจุเณฺณติ จ วิโสเสติ จ นีหรติ จ; ปถวีธาตุ ธาเรติ จ ปริวเตฺตติ จ สญฺจุเณฺณติ จ วิโสเสติ จ; อาโปธาตุ สิเนเหติ จ อลฺลตฺตญฺจ อนุปาเลติ; เตโชธาตุ อโนฺตปวิฎฺฐํ ปริปาเจติ; อากาสธาตุ อญฺชโส โหติ; วิญฺญาณธาตุ ตตฺถ ตตฺถ สมฺมาปโยคมนฺวาย อาภุชตีติ เอวํ ปวตฺตปฎิสงฺขานวเสเนตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Abbhantare attā nāma koci bhuñjako natthi, vuttappakāracittakiriyavāyodhātuvipphāreneva pattapaṭiggahaṇaṃ nāma hoti, cittakiriyavāyodhātuvipphāreneva hatthassa patte otāraṇaṃ nāma hoti, cittakiriyavāyodhātuvipphāreneva ālopakaraṇaṃ ālopuddharaṇaṃ mukhavivaraṇañca hoti. Na koci kuñcikāya na yantakena hanukaṭṭhīni vivarati, cittakiriyavāyodhātuvipphāreneva ālopassa mukhe ṭhapanaṃ uparidantānaṃ musalakiccasādhanaṃ heṭṭhādantānaṃ udukkhalakiccasādhanaṃ jivhāya hatthakiccasādhanañca hoti. Iti naṃ tattha aggajivhāya tanukakheḷo, mūlajivhāya bahalakheḷo makkheti. Taṃ heṭṭhādantaudukkhale jivhāhatthaparivattitaṃ kheḷaudakatemitaṃ uparidantamusalasañcuṇṇitaṃ koci kaṭacchunā vā dabbiyā vā anto pavesento nāma natthi, vāyodhātuyāva pavisati. Paviṭṭhaṃ paviṭṭhaṃ koci palālasantharaṃ katvā dhārento nāma natthi, vāyodhātuvaseneva tiṭṭhati. Ṭhitaṃ ṭhitaṃ koci uddhanaṃ katvā aggiṃ jāletvā pacanto nāma natthi, tejodhātuyāva paccati. Pakkaṃ pakkaṃ koci daṇḍakena vā yaṭṭhiyā vā bahi nīharako nāma natthi, vāyodhātuyeva nīharati. Iti vāyodhātu atiharati ca vītiharati ca dhāreti ca parivatteti ca sañcuṇṇeti ca visoseti ca nīharati ca; pathavīdhātu dhāreti ca parivatteti ca sañcuṇṇeti ca visoseti ca; āpodhātu sineheti ca allattañca anupāleti; tejodhātu antopaviṭṭhaṃ paripāceti; ākāsadhātu añjaso hoti; viññāṇadhātu tattha tattha sammāpayogamanvāya ābhujatīti evaṃ pavattapaṭisaṅkhānavasenettha asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อปิจ คมนโต, ปริเยสนโต, ปริโภคโต, อาสยโต, นิธานโต, อปริปกฺกโต, ปริปกฺกโต, ผลโต, นิสฺสนฺทโต, สมฺมกฺขนโตติ เอวํ ทสวิธํ ปฎิกูลภาวํ ปจฺจเวกฺขณโตเปตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ วิตฺถารกถา ปเนตฺถ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๒๙๔ อาทโย) อาหารปฎิกูลสญฺญานิเทฺทสโต คเหตพฺพาฯ
Apica gamanato, pariyesanato, paribhogato, āsayato, nidhānato, aparipakkato, paripakkato, phalato, nissandato, sammakkhanatoti evaṃ dasavidhaṃ paṭikūlabhāvaṃ paccavekkhaṇatopettha asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ. Vitthārakathā panettha visuddhimagge (visuddhi. 1.294 ādayo) āhārapaṭikūlasaññāniddesato gahetabbā.
อุจฺจารปสฺสาวกเมฺมติ อุจฺจารสฺส จ ปสฺสาวสฺส จ กรเณฯ ตตฺถ ปตฺตกาเล อุจฺจารปสฺสาวํ อกโรนฺตสฺส สกลสรีรโต เสทา มุจฺจนฺติ, อกฺขีนิ ภมนฺติ, จิตฺตํ น เอกคฺคํ โหติ, อเญฺญ จ โรคา อุปฺปชฺชนฺติฯ กโรนฺตสฺส ปน สพฺพํ ตํ น โหตีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ ตสฺส วเสน สาตฺถกสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ อฎฺฐาเน อุจฺจารปสฺสาวํ กโรนฺตสฺส ปน อาปตฺติ โหติ, อยโส วฑฺฒติ, ชีวิตนฺตราโยปิ โหติฯ ปติรูเป ฐาเน กโรนฺตสฺส สพฺพํ ตํ น โหตีติ อิทเมตฺถ สปฺปายํฯ ตสฺส วเสน สปฺปายสมฺปชญฺญํ, กมฺมฎฺฐานาวิชหนวเสน จ โคจรสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Uccārapassāvakammeti uccārassa ca passāvassa ca karaṇe. Tattha pattakāle uccārapassāvaṃ akarontassa sakalasarīrato sedā muccanti, akkhīni bhamanti, cittaṃ na ekaggaṃ hoti, aññe ca rogā uppajjanti. Karontassa pana sabbaṃ taṃ na hotīti ayamettha attho. Tassa vasena sātthakasampajaññaṃ veditabbaṃ. Aṭṭhāne uccārapassāvaṃ karontassa pana āpatti hoti, ayaso vaḍḍhati, jīvitantarāyopi hoti. Patirūpe ṭhāne karontassa sabbaṃ taṃ na hotīti idamettha sappāyaṃ. Tassa vasena sappāyasampajaññaṃ, kammaṭṭhānāvijahanavasena ca gocarasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อพฺภนฺตเร อตฺตา นาม โกจิ อุจฺจารปสฺสาวกมฺมํ กโรโนฺต นตฺถิ, จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรเนว ปน อุจฺจารปสฺสาวกมฺมํ โหติฯ ยถา ปน ปเกฺก คเณฺฑ คณฺฑเภเทน ปุพฺพโลหิตํ อกามตาย นิกฺขมติ, ยถา จ อติภริตา อุทกภาชนา อุทกํ อกามตาย นิกฺขมติ, เอวํ ปกฺกาสยมุตฺตวตฺถีสุ สนฺนิจิตา อุจฺจารปสฺสาวา วายุเวคสมุปฺปีฬิตา อกามตายปิ นิกฺขมนฺติฯ โส ปนายํ เอวํ นิกฺขมโนฺต อุจฺจารปสฺสาโว เนว ตสฺส ภิกฺขุโน อตฺตโน โหติ น ปรสฺส, เกวลํ สรีรนิสฺสโนฺทว โหติฯ ยถา กิํ? ยถา อุทกตุมฺพโต ปุราณอุทกํ ฉเฑฺฑนฺตสฺส เนว ตํ อตฺตโน โหติ น ปเรสํ, เกวลํ ปฎิชคฺคนมตฺตเมว โหติฯ เอวํ ปวตฺตปฎิสงฺขานวเสเนตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Abbhantare attā nāma koci uccārapassāvakammaṃ karonto natthi, cittakiriyavāyodhātuvipphāreneva pana uccārapassāvakammaṃ hoti. Yathā pana pakke gaṇḍe gaṇḍabhedena pubbalohitaṃ akāmatāya nikkhamati, yathā ca atibharitā udakabhājanā udakaṃ akāmatāya nikkhamati, evaṃ pakkāsayamuttavatthīsu sannicitā uccārapassāvā vāyuvegasamuppīḷitā akāmatāyapi nikkhamanti. So panāyaṃ evaṃ nikkhamanto uccārapassāvo neva tassa bhikkhuno attano hoti na parassa, kevalaṃ sarīranissandova hoti. Yathā kiṃ? Yathā udakatumbato purāṇaudakaṃ chaḍḍentassa neva taṃ attano hoti na paresaṃ, kevalaṃ paṭijagganamattameva hoti. Evaṃ pavattapaṭisaṅkhānavasenettha asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
คตาทีสุ คเตติ คมเนฯ ฐิเตติ ฐาเนฯ นิสิเนฺนติ นิสชฺชายฯ สุเตฺตติ สยเนฯ ชาคริเต ติ ชาครเณฯ ภาสิเตติ กถเนฯ ตุณฺหีภาเวติ อกถเนฯ เอตฺถ จ โย จิรํ คนฺตฺวา วา จงฺกมิตฺวา วา อปรภาเค ฐิโต อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ ‘‘จงฺกมนกาเล ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา เอเตฺถว นิรุทฺธา’’ติ, อยํ คเต สมฺปชานการี นามฯ
Gatādīsu gateti gamane. Ṭhiteti ṭhāne. Nisinneti nisajjāya. Sutteti sayane. Jāgarite ti jāgaraṇe. Bhāsiteti kathane. Tuṇhībhāveti akathane. Ettha ca yo ciraṃ gantvā vā caṅkamitvā vā aparabhāge ṭhito iti paṭisañcikkhati ‘‘caṅkamanakāle pavattā rūpārūpadhammā ettheva niruddhā’’ti, ayaṃ gate sampajānakārī nāma.
โย สชฺฌายํ วา กโรโนฺต ปญฺหํ วา วิสฺสเชฺชโนฺต กมฺมฎฺฐานํ วา มนสิกโรโนฺต จิรํ ฐตฺวา อปรภาเค นิสิโนฺน อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ ‘‘ฐิตกาเล ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา เอเตฺถว นิรุทฺธา’’ติ, อยํ ฐิเต สมฺปชานการี นามฯ
Yo sajjhāyaṃ vā karonto pañhaṃ vā vissajjento kammaṭṭhānaṃ vā manasikaronto ciraṃ ṭhatvā aparabhāge nisinno iti paṭisañcikkhati ‘‘ṭhitakāle pavattā rūpārūpadhammā ettheva niruddhā’’ti, ayaṃ ṭhite sampajānakārī nāma.
โย สชฺฌายาทิกรณวเสเนว จิรํ นิสีทิตฺวา อปรภาเค นิปโนฺน อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘‘นิสินฺนกาเล ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา เอเตฺถว นิรุทฺธา’’ติ, อยํ นิสิเนฺน สมฺปชานการี นามฯ
Yo sajjhāyādikaraṇavaseneva ciraṃ nisīditvā aparabhāge nipanno iti paṭisañcikkhati – ‘‘nisinnakāle pavattā rūpārūpadhammā ettheva niruddhā’’ti, ayaṃ nisinne sampajānakārī nāma.
โย ปน นิปนฺนโกว สชฺฌายํ กโรโนฺต กมฺมฎฺฐานํ วา มนสิกโรโนฺต นิทฺทํ โอกฺกมิตฺวา อปรภาเค อุฎฺฐาย อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘‘สยนกาเล ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา เอเตฺถว นิรุทฺธา’’ติ, อยํ สุเตฺต จ ชาคริเต จ สมฺปชานการี นามฯ กิริยมยจิตฺตานญฺหิ อปฺปวตฺตํ สุตฺตํ นาม, ปวตฺตํ ชาคริตํ นามาติฯ
Yo pana nipannakova sajjhāyaṃ karonto kammaṭṭhānaṃ vā manasikaronto niddaṃ okkamitvā aparabhāge uṭṭhāya iti paṭisañcikkhati – ‘‘sayanakāle pavattā rūpārūpadhammā ettheva niruddhā’’ti, ayaṃ sutte ca jāgarite ca sampajānakārī nāma. Kiriyamayacittānañhi appavattaṃ suttaṃ nāma, pavattaṃ jāgaritaṃ nāmāti.
โย ปน ภาสมาโน – ‘‘อยํ สโทฺท นาม โอเฎฺฐ จ ปฎิจฺจ ทเนฺต จ ชิวฺหญฺจ ตาลุญฺจ ปฎิจฺจ จิตฺตสฺส จ ตทนุรูปํ ปโยคํ ปฎิจฺจ ชายตี’’ติ สโต สมฺปชาโน ภาสติ, จิรํ วา ปน กาลํ สชฺฌายํ กตฺวา ธมฺมํ วา กเถตฺวา กมฺมฎฺฐานํ วา ปริวเตฺตตฺวา ปญฺหํ วา วิสฺสเชฺชตฺวา อปรภาเค ตุณฺหีภูโต อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ ‘‘ภาสิตกาเล อุปฺปนฺนา รูปารูปธมฺมา เอเตฺถว นิรุทฺธา’’ติ อยํ ภาสิเต สมฺปชานการี นามฯ
Yo pana bhāsamāno – ‘‘ayaṃ saddo nāma oṭṭhe ca paṭicca dante ca jivhañca tāluñca paṭicca cittassa ca tadanurūpaṃ payogaṃ paṭicca jāyatī’’ti sato sampajāno bhāsati, ciraṃ vā pana kālaṃ sajjhāyaṃ katvā dhammaṃ vā kathetvā kammaṭṭhānaṃ vā parivattetvā pañhaṃ vā vissajjetvā aparabhāge tuṇhībhūto iti paṭisañcikkhati ‘‘bhāsitakāle uppannā rūpārūpadhammā ettheva niruddhā’’ti ayaṃ bhāsite sampajānakārī nāma.
โย ตุณฺหีภูโต จิรํ ธมฺมํ วา กมฺมฎฺฐานํ วา มนสิกตฺวา อปรภาเค อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘‘ตุณฺหีภูตกาเล ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา เอเตฺถว นิรุทฺธา’’ติฯ อุปาทารูปปวตฺติยา สติ ภาสติ นาม, อสติ ตุณฺหี ภวติ นามาติ, อยํ ตุณฺหีภาเว สมฺปชานการี นามาติฯ เอวเมตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ ตสฺส วเสน สมฺปชานการิตา เวทิตพฺพาฯ อิมสฺมิํ สุเตฺต สติปฎฺฐานมิสฺสกสมฺปชญฺญํ ปุพฺพภาคํ กถิตํฯ
Yo tuṇhībhūto ciraṃ dhammaṃ vā kammaṭṭhānaṃ vā manasikatvā aparabhāge iti paṭisañcikkhati – ‘‘tuṇhībhūtakāle pavattā rūpārūpadhammā ettheva niruddhā’’ti. Upādārūpapavattiyā sati bhāsati nāma, asati tuṇhī bhavati nāmāti, ayaṃ tuṇhībhāve sampajānakārī nāmāti. Evamettha asammohasampajaññaṃ tassa vasena sampajānakāritā veditabbā. Imasmiṃ sutte satipaṭṭhānamissakasampajaññaṃ pubbabhāgaṃ kathitaṃ.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๒. สติสุตฺตํ • 2. Satisuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๒. สติสุตฺตวณฺณนา • 2. Satisuttavaṇṇanā