Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā)

    ๒. สติสุตฺตวณฺณนา

    2. Satisuttavaṇṇanā

    ๓๖๘. สรตีติ สโตฯ อยํ ปน น ยาย กายจิ สติยา สโต, อถ โข เอทิสายาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘กายาทิอนุปสฺสนาสติยา’’ติ อาหฯ จตุสมฺปชญฺญปญฺญายาติ จตุพฺพิธสมฺปชญฺญปญฺญาย, อภิกฺกมนํ อภิกฺกนฺตนฺติ อาห – ‘‘อภิกฺกนฺตํ วุจฺจติ คมน’’นฺติฯ ตถา ปฎิกฺกมนํ ปฎิกฺกนฺตนฺติ วุตฺตํ – ‘‘ปฎิกฺกนฺตํ นิวตฺตน’’นฺติฯ นิวตฺตนญฺจ นิวตฺติมตฺตํ, นิวตฺติตฺวา ปน คมนํ คมนเมวฯ กายํ อภิหรโนฺต อภิคมนวเสน กายํ นาเมโนฺตฯ ฐานนิสชฺชาสยเนสุ โย คมนาทิวิธินา กายสฺส ปุรโต อภิหาโร, โส อภิกฺกโม, ปจฺฉโต อปหรณํ ปฎิกฺกโมติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ฐาเนปี’’ติอาทิมาหฯ อาสนสฺสาติ ปีฐกาทิอาสนสฺสฯ ปุริมองฺคาภิมุโขติ อฎนิกาทิปุริมาวยวาภิมุโขฯ สํสรโนฺตติ สํสปฺปโนฺตฯ ปจฺจาสํสรโนฺตติ ปฎิอาสปฺปโนฺตฯ เอเสว นโยติ อิมินา สรีรเสฺสว อภิมุขสํสปฺปนปฎิอาสปฺปนานิ นิทเสฺสติฯ

    368. Saratīti sato. Ayaṃ pana na yāya kāyaci satiyā sato, atha kho edisāyāti dassento ‘‘kāyādianupassanāsatiyā’’ti āha. Catusampajaññapaññāyāti catubbidhasampajaññapaññāya, abhikkamanaṃ abhikkantanti āha – ‘‘abhikkantaṃ vuccati gamana’’nti. Tathā paṭikkamanaṃ paṭikkantanti vuttaṃ – ‘‘paṭikkantaṃ nivattana’’nti. Nivattanañca nivattimattaṃ, nivattitvā pana gamanaṃ gamanameva. Kāyaṃ abhiharanto abhigamanavasena kāyaṃ nāmento. Ṭhānanisajjāsayanesu yo gamanādividhinā kāyassa purato abhihāro, so abhikkamo, pacchato apaharaṇaṃ paṭikkamoti dassento ‘‘ṭhānepī’’tiādimāha. Āsanassāti pīṭhakādiāsanassa. Purimaaṅgābhimukhoti aṭanikādipurimāvayavābhimukho. Saṃsarantoti saṃsappanto. Paccāsaṃsarantoti paṭiāsappanto. Eseva nayoti iminā sarīrasseva abhimukhasaṃsappanapaṭiāsappanāni nidasseti.

    สมฺมา ปชานนํ สมฺปชานํฯ เตน อตฺตนา กาตพฺพกิจฺจสฺส กรณสีโล สมฺปชานการีติ อาห – ‘‘สมฺปชเญฺญน สพฺพกิจฺจการี’’ติฯ สมฺปชานเมว หิ สมฺปชญฺญํฯ สมฺปชญฺญเสฺสว วา การีติ สมฺปชญฺญเสฺสว กรณสีโลฯ สมฺปชญฺญํ กโรเตวาติ อภิกฺกนฺตาทีสุ อสโมฺมหํ อุปฺปาเทติ เอว, สมฺปชานเสฺสว วา กาโร เอตสฺส อตฺถีติ สมฺปชานการี

    Sammā pajānanaṃ sampajānaṃ. Tena attanā kātabbakiccassa karaṇasīlo sampajānakārīti āha – ‘‘sampajaññena sabbakiccakārī’’ti. Sampajānameva hi sampajaññaṃ. Sampajaññasseva vā kārīti sampajaññasseva karaṇasīlo. Sampajaññaṃ karotevāti abhikkantādīsu asammohaṃ uppādeti eva, sampajānasseva vā kāro etassa atthīti sampajānakārī.

    ธมฺมโต วฑฺฒิตสงฺขาเตน สห อเตฺถน วตฺตตีติ สาตฺถกํ, อภิกฺกนฺตาทิ, สาตฺถกสฺส สมฺปชานนํ สาตฺถกสมฺปชญฺญํฯ สปฺปายสฺส อตฺตโน อุปการาวหสฺส หิตสฺส สมฺปชานนํ สปฺปายสมฺปชญฺญํฯ อภิกฺกมาทีสุ ภิกฺขาจารโคจเร, อญฺญตฺถาปิ จ ปวเตฺตสุ อวิชหิเต กมฺมฎฺฐานสงฺขาเต โคจเร สมฺปชญฺญํ โคจรสมฺปชญฺญํฯ อภิกฺกมาทีสุ อสมฺมุยฺหนเมว สมฺปชญฺญํ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํฯ ปริคฺคณฺหิตฺวาติ ตุลยิตฺวา ตีเรตฺวา, ปฎิสงฺขายาติ อโตฺถฯ สงฺฆทสฺสเนเนว อุโปสถปวารณาทิอตฺถํ คมนํ สงฺคหิตํฯ อสุภทสฺสนาทีติ อาทิ-สเทฺทน กสิณปริกมฺมาทีนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ สเงฺขปโต วุตฺตมตฺถํ วิวริตุํ ‘‘เจติยํ ทิสฺวาปิ หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อรหตฺตํ ปาปุณาตีติ อุกฺกฎฺฐนิเทฺทโส เอโสฯ สมถวิปสฺสนุปฺปาทนมฺปิ หิ ภิกฺขุโน วุทฺธิ เอวฯ ทกฺขิณทฺวาเรติ เจติยงฺคณสฺส ทกฺขิณทฺวาเร, ตถา ปจฺฉิมทฺวาเรติอาทีสุฯ อภยวาปิ ปาฬิยนฺติ อภยวาปิยา ปุรตฺถิมตีเรฯ

    Dhammato vaḍḍhitasaṅkhātena saha atthena vattatīti sātthakaṃ, abhikkantādi, sātthakassa sampajānanaṃ sātthakasampajaññaṃ. Sappāyassa attano upakārāvahassa hitassa sampajānanaṃ sappāyasampajaññaṃ. Abhikkamādīsu bhikkhācāragocare, aññatthāpi ca pavattesu avijahite kammaṭṭhānasaṅkhāte gocare sampajaññaṃ gocarasampajaññaṃ. Abhikkamādīsu asammuyhanameva sampajaññaṃ asammohasampajaññaṃ. Pariggaṇhitvāti tulayitvā tīretvā, paṭisaṅkhāyāti attho. Saṅghadassaneneva uposathapavāraṇādiatthaṃ gamanaṃ saṅgahitaṃ. Asubhadassanādīti ādi-saddena kasiṇaparikammādīnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo. Saṅkhepato vuttamatthaṃ vivarituṃ ‘‘cetiyaṃ disvāpi hī’’tiādi vuttaṃ. Arahattaṃ pāpuṇātīti ukkaṭṭhaniddeso eso. Samathavipassanuppādanampi hi bhikkhuno vuddhi eva. Dakkhiṇadvāreti cetiyaṅgaṇassa dakkhiṇadvāre, tathā pacchimadvāretiādīsu. Abhayavāpi pāḷiyanti abhayavāpiyā puratthimatīre.

    พุทฺธวํส-อริยวํส-เจติยวํส-ทีปวํสาทิวํสกถนโต มหาอริยวํสภาณโก เถโรฯ ปญฺญายนฎฺฐาเนติ เจติยสฺส ปญฺญายนฎฺฐาเนฯ เอกปทุทฺธาเรติ ปทุทฺธารปติฎฺฐานปริวตฺตนํ อกตฺวา เอกสฺมิํเยว อวฎฺฐาเนฯ เกจีติ อภยคิริวาสิโนฯ

    Buddhavaṃsa-ariyavaṃsa-cetiyavaṃsa-dīpavaṃsādivaṃsakathanato mahāariyavaṃsabhāṇako thero. Paññāyanaṭṭhāneti cetiyassa paññāyanaṭṭhāne. Ekapaduddhāreti paduddhārapatiṭṭhānaparivattanaṃ akatvā ekasmiṃyeva avaṭṭhāne. Kecīti abhayagirivāsino.

    ตสฺมิํ ปนาติ สาตฺถกสมฺปชญฺญวเสน ปริคฺคหิตอเตฺถปิ คมเนฯ อโตฺถ นาม ธมฺมโต วฑฺฒีติ ยํ สาตฺถกนฺติ อธิเปฺปตํ คมนํ, ตํ สปฺปายเมวาติ สิยา กสฺสจิ อาสงฺกาติ ตนฺนิวตฺตนตฺถํ ‘‘เจติยทสฺสนํ ตาวา’’ติอาทิ อารทฺธํฯ จิตฺตกมฺมรูปกานิ วิยาติ จิตฺตกมฺมกตา ปฎิมาโย วิย, ยนฺตปโยเคน วา วิจิตฺตกมฺมา ปฎิมาย สทิสา ยนฺตรูปกา วิยฯ อสมเปกฺขนํ เคหสฺสิตอญฺญาณุเปกฺขาวเสน อารมฺมเณ อโยนิโส โอโลกนาทิฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา อุปฺปชฺชติ อุเปกฺขา พาลสฺส มูฬฺหสฺส ปุถุชฺชนสฺสา’’ติอาทิ (ม. นิ. ๓.๓๐๘)ฯ หตฺถิอาทิสมฺมเทฺทน ชีวิตนฺตราโยฯ วิสภาครูปทสฺสนาทินา พฺรหฺมจริยนฺตราโย

    Tasmiṃ panāti sātthakasampajaññavasena pariggahitaatthepi gamane. Attho nāma dhammato vaḍḍhīti yaṃ sātthakanti adhippetaṃ gamanaṃ, taṃ sappāyamevāti siyā kassaci āsaṅkāti tannivattanatthaṃ ‘‘cetiyadassanaṃ tāvā’’tiādi āraddhaṃ. Cittakammarūpakāni viyāti cittakammakatā paṭimāyo viya, yantapayogena vā vicittakammā paṭimāya sadisā yantarūpakā viya. Asamapekkhanaṃ gehassitaaññāṇupekkhāvasena ārammaṇe ayoniso olokanādi. Yaṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘cakkhunā rūpaṃ disvā uppajjati upekkhā bālassa mūḷhassa puthujjanassā’’tiādi (ma. ni. 3.308). Hatthiādisammaddena jīvitantarāyo. Visabhāgarūpadassanādinā brahmacariyantarāyo.

    ปพฺพชิตทิวสโต ปฎฺฐาย ภิกฺขูนํ อนุวตฺตนกถา อาจิณฺณา, อนนุวตฺตนกถา ปน ตสฺสา อปรา ทุติยา นาม โหตีติ อาห – ‘‘เทฺว กถา นาม น กถิตปุพฺพา’’ติฯ เอวนฺติ อิมินา ‘‘สเจ ปนา’’ติอาทิกํ สพฺพมฺปิ วุตฺตาการํ ปจฺจามสติ, น ‘‘ปุริสสฺส มาตุคามาสุภ’’นฺติอาทิกํ วุจฺจมานํฯ

    Pabbajitadivasato paṭṭhāya bhikkhūnaṃ anuvattanakathā āciṇṇā, ananuvattanakathā pana tassā aparā dutiyā nāma hotīti āha – ‘‘dve kathā nāma na kathitapubbā’’ti. Evanti iminā ‘‘sace panā’’tiādikaṃ sabbampi vuttākāraṃ paccāmasati, na ‘‘purisassa mātugāmāsubha’’ntiādikaṃ vuccamānaṃ.

    โยคกมฺมสฺส ปวตฺติฎฺฐานตาย ภาวนาย อารมฺมณํ กมฺมฎฺฐานํ วุจฺจตีติ อาห ‘‘กมฺมฎฺฐานสงฺขาตํ โคจร’’นฺติฯ อุคฺคเหตฺวาติ ยถา อุคฺคหนิมิตฺตํ อุปฺปชฺชติ, เอวํ อุคฺคหโกสลฺลสฺส สมฺปาทนวเสน อุคฺคเหตฺวาฯ

    Yogakammassa pavattiṭṭhānatāya bhāvanāya ārammaṇaṃ kammaṭṭhānaṃ vuccatīti āha ‘‘kammaṭṭhānasaṅkhātaṃ gocara’’nti. Uggahetvāti yathā uggahanimittaṃ uppajjati, evaṃ uggahakosallassa sampādanavasena uggahetvā.

    หรตีติ กมฺมฎฺฐานํ ปวเตฺตติ, ยาว ปิณฺฑปาตปฎิกฺกมา อนุยุญฺชตีติ อโตฺถฯ น ปจฺจาหรตีติ อาหารูปโภคโต ยาว ทิวาฎฺฐานุปสงฺกมนา กมฺมฎฺฐานํ น ปฎิเนติฯ สมาทาย วตฺตติ สมฺมา อาทิยิตฺวา เตสํ วตฺตานํ ปริปูรณวเสน วตฺตติฯ สรีรปริกมฺมนฺติ มุขโธวนาทิสรีรปฎิชคฺคนํฯ เทฺว ตโย ปลฺลเงฺกติ เทฺว ตโย นิสชฺชาวาเร เทฺว ตีณิ อุณฺหาสนานิฯ เตนาห – ‘‘อุสุมํ คาหาเปโนฺต’’ติฯ กมฺมฎฺฐานสีเสเนวาติ กมฺมฎฺฐานมุเขเนว กมฺมฎฺฐานํ อวิชหโนฺต เอวฯ เตน ‘‘ปโตฺตปิ อเจตโน’’ติอาทินา ปวเตฺตตพฺพกมฺมฎฺฐานํ, ยถาปริหริยมานํ วา กมฺมฎฺฐานํ อวิชหิตฺวาติ ทเสฺสติฯ ตเถวาติ ติกฺขตฺตุเมวฯ ปริโภคเจติยโต สรีรเจติยํ ครุตรนฺติ กตฺวา ‘‘เจติยํ วนฺทิตฺวา’’ติ เจติยวนฺทนาย ปฐมํ กรณียตา วุตฺตาฯ ตถา หิ อฎฺฐกถายํ – ‘‘เจติยํ พาธยมานา โพธิสาขา หริตพฺพา’’ติ วุตฺตาฯ พุทฺธคุณานุสฺสรณวเสเนว โพธิญฺจ ปณิปาตกรณนฺติ อาห – ‘‘พุทฺธสฺส ภควโต สมฺมุขา วิย นิปจฺจการํ ทเสฺสตฺวา’’ติฯ คามสมีเปติ คามสฺส อุปจารฎฺฐาเนฯ

    Haratīti kammaṭṭhānaṃ pavatteti, yāva piṇḍapātapaṭikkamā anuyuñjatīti attho. Na paccāharatīti āhārūpabhogato yāva divāṭṭhānupasaṅkamanā kammaṭṭhānaṃ na paṭineti. Samādāya vattati sammā ādiyitvā tesaṃ vattānaṃ paripūraṇavasena vattati. Sarīraparikammanti mukhadhovanādisarīrapaṭijagganaṃ. Dve tayo pallaṅketi dve tayo nisajjāvāre dve tīṇi uṇhāsanāni. Tenāha – ‘‘usumaṃ gāhāpento’’ti. Kammaṭṭhānasīsenevāti kammaṭṭhānamukheneva kammaṭṭhānaṃ avijahanto eva. Tena ‘‘pattopi acetano’’tiādinā pavattetabbakammaṭṭhānaṃ, yathāparihariyamānaṃ vā kammaṭṭhānaṃ avijahitvāti dasseti. Tathevāti tikkhattumeva. Paribhogacetiyato sarīracetiyaṃ garutaranti katvā ‘‘cetiyaṃ vanditvā’’ti cetiyavandanāya paṭhamaṃ karaṇīyatā vuttā. Tathā hi aṭṭhakathāyaṃ – ‘‘cetiyaṃ bādhayamānā bodhisākhā haritabbā’’ti vuttā. Buddhaguṇānussaraṇavaseneva bodhiñca paṇipātakaraṇanti āha – ‘‘buddhassa bhagavato sammukhā viya nipaccakāraṃ dassetvā’’ti. Gāmasamīpeti gāmassa upacāraṭṭhāne.

    ชนสงฺคหณตฺถนฺติ ‘‘มยิ อกเถเนฺต เอเตสํ โก กเถสฺสตี’’ติ ธมฺมานุคฺคเหน ชนสงฺคหณตฺถํฯ ตสฺมาติ ยสฺมา ‘‘ธมฺมกถา นาม กเถตพฺพา เอวา’’ติ อฎฺฐกถาจริยา วทนฺติ, ยสฺมา จ ธมฺมกถา กมฺมฎฺฐานวินิมุตฺตา นาม นตฺถิ, ตสฺมาฯ กมฺมฎฺฐานสีเสเนวาติ อตฺตนา ปริหริยมานํ กมฺมฎฺฐานํ อวิชหโนฺต ตทนุคุณํเยว ธมฺมกถํ กเถตฺวาฯ อนุโมทนํ กตฺวาติ เอตฺถาปิ ‘‘กมฺมฎฺฐานสีเสเนวา’’ติ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ สมฺปตฺตปริเจฺฉเทเนวาติ ปริจิโต อปริจิโตติอาทิวิภาคํ อกตฺวา สมฺปตฺตโกฎิยา เอว, สมาคมมเตฺตเนวาติ อโตฺถฯ ภเยติ ปรจกฺกาทิภเยฯ

    Janasaṅgahaṇatthanti ‘‘mayi akathente etesaṃ ko kathessatī’’ti dhammānuggahena janasaṅgahaṇatthaṃ. Tasmāti yasmā ‘‘dhammakathā nāma kathetabbā evā’’ti aṭṭhakathācariyā vadanti, yasmā ca dhammakathā kammaṭṭhānavinimuttā nāma natthi, tasmā. Kammaṭṭhānasīsenevāti attanā parihariyamānaṃ kammaṭṭhānaṃ avijahanto tadanuguṇaṃyeva dhammakathaṃ kathetvā. Anumodanaṃ katvāti etthāpi ‘‘kammaṭṭhānasīsenevā’’ti ānetvā sambandhitabbaṃ. Sampattaparicchedenevāti paricito aparicitotiādivibhāgaṃ akatvā sampattakoṭiyā eva, samāgamamattenevāti attho. Bhayeti paracakkādibhaye.

    กมฺมชเตโชติ คหณิํ สนฺธายาหฯ กมฺมฎฺฐานวีถิํ นาโรหติ ขุทาปริสฺสเมน กิลนฺตกายตฺตา สมาธานาภาวโตฯ อวเสสฎฺฐาเนติ ยาคุยา อคฺคหิตฎฺฐาเนฯ โปงฺขานุโปงฺขนฺติ กมฺมฎฺฐานุปฎฺฐานสฺส อวิเจฺฉท-ทสฺสนเมตํ, ยถา โปงฺขานุโปงฺขํ ปวตฺตาย สรปฎิปาฎิยา อนวิเจฺฉโท, เอวเมตสฺสปิ กมฺมฎฺฐานุปฎฺฐานสฺสาติ วุตฺตํ โหติฯ

    Kammajatejoti gahaṇiṃ sandhāyāha. Kammaṭṭhānavīthiṃ nārohati khudāparissamena kilantakāyattā samādhānābhāvato. Avasesaṭṭhāneti yāguyā aggahitaṭṭhāne. Poṅkhānupoṅkhanti kammaṭṭhānupaṭṭhānassa aviccheda-dassanametaṃ, yathā poṅkhānupoṅkhaṃ pavattāya sarapaṭipāṭiyā anavicchedo, evametassapi kammaṭṭhānupaṭṭhānassāti vuttaṃ hoti.

    นิกฺขิตฺตธุโร ภาวนานุโยเคฯ วตฺตปฎิปตฺติยา อปูรเณน สพฺพวตฺตานิ ภินฺทิตฺวาฯ กาเม อวีตราโค โหติฯ กาเย อวีตราโคฯ รูเป อวีตราโคฯ ยาวทตฺถํ อุทราวเทหํ ภุญฺชิตฺวา เสยฺยสุขํ ปสฺสสุขํ มิทฺธสุขํ อนุยุโตฺต วิหรติฯ อญฺญตรํ เทวนิกายํ ปณิธาย พฺรหฺมจริยํ จรตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๓๒๐; ม. นิ. ๑.๑๘๖) เอวํ วุตฺตํ ปญฺจวิธเจโตวินิพนฺธจิโตฺตฯ จริตฺวาติ ปวตฺติตฺวาฯ

    Nikkhittadhuro bhāvanānuyoge. Vattapaṭipattiyā apūraṇena sabbavattāni bhinditvā. Kāme avītarāgo hoti. Kāye avītarāgo. Rūpe avītarāgo. Yāvadatthaṃ udarāvadehaṃ bhuñjitvā seyyasukhaṃ passasukhaṃ middhasukhaṃ anuyutto viharati. Aññataraṃ devanikāyaṃ paṇidhāya brahmacariyaṃ caratī’’ti (dī. ni. 3.320; ma. ni. 1.186) evaṃ vuttaṃ pañcavidhacetovinibandhacitto. Caritvāti pavattitvā.

    คตปจฺจาคติกวตฺตวเสนาติ ภาวนาสหิตํเยว ภิกฺขาย คตปจฺจาคตํ คมนปจฺจาคมนํ เอตสฺส อตฺถีติ คตปจฺจาคติกํ, ตเทว วตฺตํ, ตสฺส วเสนฯ อตฺตโน หิตสุขํ กาเมนฺติ อิจฺฉนฺตีติ อตฺตกามา, ธมฺมจฺฉนฺทวโนฺตฯ ‘‘ธโมฺม’’ติ หิ หิตํ ตํนิมิตฺตกญฺจ สุขนฺติฯ อถ วา วิญฺญูนํ ธมฺมานํ อตฺตนิยตฺตา อตฺตภาวปริจฺฉนฺนตฺตา จ อตฺตา นาม ธโมฺมฯ เตนาห ภควา – ‘‘อตฺตทีปา, ภิกฺขเว, วิหรถ อตฺตสรณา’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๓.๔๓)ฯ ตํ กาเมนฺติ อิจฺฉนฺตีติ อตฺตกามาฯ อุสภํ นาม วีสติ ยฎฺฐิโยฯ ตาย สญฺญายาติ ตาย ปาสาณสญฺญาย, ‘‘เอตฺตกํ ฐานมาคตา’’ติ ชานนฺตาติ อธิปฺปาโยฯ โส เอว นโย อยํ ภิกฺขูติอาทิโก โย ฐาเน วุโตฺต, โส เอว นิสชฺชายปิ นโยฯ ปจฺฉโต อาคจฺฉนฺตานํ ฉินฺนภตฺตภาวภเยนปิ โยนิโสมนสิการํ ปริพฺรูเหติฯ

    Gatapaccāgatikavattavasenāti bhāvanāsahitaṃyeva bhikkhāya gatapaccāgataṃ gamanapaccāgamanaṃ etassa atthīti gatapaccāgatikaṃ, tadeva vattaṃ, tassa vasena. Attano hitasukhaṃ kāmenti icchantīti attakāmā, dhammacchandavanto. ‘‘Dhammo’’ti hi hitaṃ taṃnimittakañca sukhanti. Atha vā viññūnaṃ dhammānaṃ attaniyattā attabhāvaparicchannattā ca attā nāma dhammo. Tenāha bhagavā – ‘‘attadīpā, bhikkhave, viharatha attasaraṇā’’tiādi (saṃ. ni. 3.43). Taṃ kāmenti icchantīti attakāmā. Usabhaṃ nāma vīsati yaṭṭhiyo. Tāya saññāyāti tāya pāsāṇasaññāya, ‘‘ettakaṃ ṭhānamāgatā’’ti jānantāti adhippāyo. So eva nayo ayaṃ bhikkhūtiādiko yo ṭhāne vutto, so eva nisajjāyapi nayo. Pacchato āgacchantānaṃ chinnabhattabhāvabhayenapi yonisomanasikāraṃ paribrūheti.

    มทฺทนฺตาติ ธญฺญกรณฎฺฐาเน สาลิสีสานิ มทฺทนฺตาฯ มหาปธานํ ปูเชสฺสามีติ อมฺหากํ อตฺถาย โลกนาเถน ฉ วสฺสานิ กตํ ทุกฺกรจริยํ เอวาหํ ยถาสตฺติ ปูเชสฺสามีติฯ ปฎิปตฺติปูชา หิ สตฺถุปูชา, น อามิสปูชาติฯ ฐานจงฺกมเมวาติ อธิฎฺฐาตพฺพอิริยาปถกาลวเสน วุตฺตํ, น โภชนาทิกาเลสุ อวสฺสํ กาตพฺพนิสชฺชาย ปฎิเกฺขปวเสนฯ

    Maddantāti dhaññakaraṇaṭṭhāne sālisīsāni maddantā. Mahāpadhānaṃ pūjessāmīti amhākaṃ atthāya lokanāthena cha vassāni kataṃ dukkaracariyaṃ evāhaṃ yathāsatti pūjessāmīti. Paṭipattipūjā hi satthupūjā, na āmisapūjāti. Ṭhānacaṅkamamevāti adhiṭṭhātabbairiyāpathakālavasena vuttaṃ, na bhojanādikālesu avassaṃ kātabbanisajjāya paṭikkhepavasena.

    วีถิํ โอตริตฺวา อิโต จิโต อโนโลเกตฺวา ปฐมเมว วีถิโย สลฺลเกฺขตพฺพาติ อาห ‘‘วีถิโย สลฺลเกฺขตฺวา’’ติฯ ยํ สนฺธาย วุจฺจติ – ‘‘ปาสาทิเกน อภิกฺกเนฺตนา’’ติอาทิฯ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺถ จา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อาหาเร ปฎิกูลสญฺญํ อุปฎฺฐเปตฺวาติอาทีสุ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ เหฎฺฐา วุตฺตเมวฯ อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตนฺติ ‘‘ยาวเทว อิมสฺส กายสฺส ฐิติยา’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๒๓; ๒.๒๔; ๓.๗๕; สํ. นิ. ๔.๑๒๐; อ. นิ. ๖.๕๘; ๘.๙) วุเตฺตหิ อฎฺฐหิ อเงฺคหิ สมนฺนาคตํ กตฺวาฯ เนว ทวายาติอาทิ ปน ปฎิเกฺขปทสฺสนํฯ

    Vīthiṃ otaritvā ito cito anoloketvā paṭhamameva vīthiyo sallakkhetabbāti āha ‘‘vīthiyo sallakkhetvā’’ti. Yaṃ sandhāya vuccati – ‘‘pāsādikena abhikkantenā’’tiādi. Taṃ dassetuṃ ‘‘tattha cā’’tiādi vuttaṃ. Āhāre paṭikūlasaññaṃ upaṭṭhapetvātiādīsu yaṃ vattabbaṃ, taṃ heṭṭhā vuttameva. Aṭṭhaṅgasamannāgatanti ‘‘yāvadeva imassa kāyassa ṭhitiyā’’tiādinā (ma. ni. 1.23; 2.24; 3.75; saṃ. ni. 4.120; a. ni. 6.58; 8.9) vuttehi aṭṭhahi aṅgehi samannāgataṃ katvā. Neva davāyātiādi pana paṭikkhepadassanaṃ.

    ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกโรติ, ยทิ อุปนิสฺสยสมฺปโนฺน โหตีติ สมฺพโนฺธฯ อิทญฺจ ยถา เหฎฺฐา ตีสุ ฐาเนสุ, เอวํ อิโต ปเรสุ ฐาเนสุ อุปเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ ตตฺถ ปเจฺจกโพธิยา อุปนิสฺสยสมฺปทา กปฺปานํ เทฺว อสเงฺขฺยยฺยานิ สตสหสฺสญฺจ ตชฺชํ ปุญฺญญาณสมฺภารสมฺภรณํ, สาวกโพธิยํ อคฺคสาวกานํ เอกํ อสเงฺขฺยยฺยํ กปฺปสตสหสฺสญฺจ, มหาสาวกานํ กปฺปสตสหสฺสเมว ตชฺชํ สมฺภารสมฺภรณํ, อิตเรสํ อตีตาสุ ชาตีสุ วิวฎฺฎสนฺนิสฺสยวเสน นิพฺพตฺติตํ นิเพฺพธภาคิยํ กุสลํฯ พาหิโย ทารุจีริโยติ พาหิยวิสเย ชาตสํวทฺธตาย พาหิโย, ทารุจีรปริหรเณน ทารุจีริโยติ ลทฺธสมโญฺญฯ โส หิ อายสฺมา ‘‘ตสฺมาติห เต, พาหิย, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ – ทิเฎฺฐ ทิฎฺฐมตฺตํ ภวิสฺสตี’’ติอาทิวสปฺปวเตฺตน (อุทา. ๑๐) สํขิเตฺตเนว โอวาเทน ขิปฺปตรํ วิเสสํ อธิคจฺฉิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ขิปฺปาภิโญฺญ วา โหติ เสยฺยถาปิ เถโร พาหิโย ทารุจีริโย’’ติฯ เอวํ มหาปโญฺญ วาติอาทีสุ ยถารหํ วตฺตพฺพนฺติฯ

    Paccekabodhiṃ sacchikaroti, yadi upanissayasampanno hotīti sambandho. Idañca yathā heṭṭhā tīsu ṭhānesu, evaṃ ito paresu ṭhānesu upanetvā sambandhitabbaṃ. Tattha paccekabodhiyā upanissayasampadā kappānaṃ dve asaṅkhyeyyāni satasahassañca tajjaṃ puññañāṇasambhārasambharaṇaṃ, sāvakabodhiyaṃ aggasāvakānaṃ ekaṃ asaṅkhyeyyaṃ kappasatasahassañca, mahāsāvakānaṃ kappasatasahassameva tajjaṃ sambhārasambharaṇaṃ, itaresaṃ atītāsu jātīsu vivaṭṭasannissayavasena nibbattitaṃ nibbedhabhāgiyaṃ kusalaṃ. Bāhiyo dārucīriyoti bāhiyavisaye jātasaṃvaddhatāya bāhiyo, dārucīrapariharaṇena dārucīriyoti laddhasamañño. So hi āyasmā ‘‘tasmātiha te, bāhiya, evaṃ sikkhitabbaṃ – diṭṭhe diṭṭhamattaṃ bhavissatī’’tiādivasappavattena (udā. 10) saṃkhitteneva ovādena khippataraṃ visesaṃ adhigacchi. Tena vuttaṃ ‘‘khippābhiñño vā hoti seyyathāpi thero bāhiyo dārucīriyo’’ti. Evaṃ mahāpañño vātiādīsu yathārahaṃ vattabbanti.

    นฺติ อสมฺมุยฺหนํฯ เอวนฺติ อิทานิ วุจฺจมานาการทสฺสนํฯ อตฺตา อภิกฺกมตีติ อิมินา อนฺธปุถุชฺชนสฺส ทิฎฺฐิคฺคาหวเสน อภิกฺกเม สมฺมุยฺหนํ ทเสฺสติ, อหํ อภิกฺกมามีติ ปน อิมินา มานคฺคาหวเสน, ตทุภยํ ปน ตณฺหาย วินา น โหตีติ ตณฺหาคฺคาหวเสนปิ สมฺมุยฺหนํ ทสฺสิตเมว โหติ, ‘‘ตถา อสมฺมุยฺหโนฺต’’ติ วตฺวา ตํ อสมฺมุยฺหนํ เยน ฆนวินิโพฺภเคน โหติ, ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อภิกฺกมามีติ จิเตฺต อุปฺปชฺชมาเน’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยสฺมา วาโยธาตุยา อนุคตา เตโชธาตุ อุทฺธรณสฺส ปจฺจโยฯ อุทฺธรณคติกา หิ เตโชธาตูติ อุทฺธรเณ วาโยธาตุยา ตสฺสา อนุคตภาโว, ตสฺมา อิมาสํ ทฺวินฺนเมตฺถ ธาตูนํ สามตฺถิยโต อธิมตฺตตา, อิตราสญฺจ โอมตฺตตาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘เอเกกปาทุทฺธรเณ…เป.… พลวติโย’’ติ อาหฯ ยสฺมา ปน เตโชธาตุยา อนุคตา วาโยธาตุ อติหรณวีติหรณานํ ปจฺจโยฯ ติริยคติกาย หิ วาโยธาตุยา อติหรณวีติหรเณสุ สาติสโย พฺยาปาโรติ เตโชธาตุยา ตสฺสานุคตภาโว, ตสฺมา อิมาสํ ทฺวินฺนเมตฺถ สามตฺถิยโต อธิมตฺตตา, อิตราสญฺจ โอมตฺตตาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตถา อติหรณวีติหรเณสู’’ติ อาหฯ สติปิ อนุคมนานุคนฺตพฺพตาวิเสเส เตโชธาตุวาโยธาตุภาวมตฺตํ สนฺธาย ตถา-สทฺทคฺคหณํฯ

    Tanti asammuyhanaṃ. Evanti idāni vuccamānākāradassanaṃ. Attā abhikkamatīti iminā andhaputhujjanassa diṭṭhiggāhavasena abhikkame sammuyhanaṃ dasseti, ahaṃ abhikkamāmīti pana iminā mānaggāhavasena, tadubhayaṃ pana taṇhāya vinā na hotīti taṇhāggāhavasenapi sammuyhanaṃ dassitameva hoti, ‘‘tathā asammuyhanto’’ti vatvā taṃ asammuyhanaṃ yena ghanavinibbhogena hoti, taṃ dassento ‘‘abhikkamāmīti citte uppajjamāne’’tiādimāha. Tattha yasmā vāyodhātuyā anugatā tejodhātu uddharaṇassa paccayo. Uddharaṇagatikā hi tejodhātūti uddharaṇe vāyodhātuyā tassā anugatabhāvo, tasmā imāsaṃ dvinnamettha dhātūnaṃ sāmatthiyato adhimattatā, itarāsañca omattatāti dassento ‘‘ekekapāduddharaṇe…pe… balavatiyo’’ti āha. Yasmā pana tejodhātuyā anugatā vāyodhātu atiharaṇavītiharaṇānaṃ paccayo. Tiriyagatikāya hi vāyodhātuyā atiharaṇavītiharaṇesu sātisayo byāpāroti tejodhātuyā tassānugatabhāvo, tasmā imāsaṃ dvinnamettha sāmatthiyato adhimattatā, itarāsañca omattatāti dassento ‘‘tathā atiharaṇavītiharaṇesū’’ti āha. Satipi anugamanānugantabbatāvisese tejodhātuvāyodhātubhāvamattaṃ sandhāya tathā-saddaggahaṇaṃ.

    ตตฺถ อกฺกนฺตฎฺฐานโต ปาทสฺส อุกฺขิปนํ อุทฺธรณํ, ฐิตฎฺฐานํ อติกฺกมิตฺวา ปุรโต หรณํ อติหรณํฯ รุกฺขขาณุอาทิปริหรณตฺถํ, ปติฎฺฐิตปาทฆฎฺฎนปริหรณตฺถํ วา ปเสฺสน หรณํ วีติหรณํฯ ยาว ปติฎฺฐิตปาโท, ตาว อาหรณํ อติหรณํ, ตโต ปรํ หรณํ วีติหรณนฺติ อยํ วา เอเตสํ วิเสโสฯ ยสฺมา ปถวีธาตุยา อนุคตา อาโปธาตุ โวสฺสชฺชนสฺส ปจฺจโยฯ ครุตรสภาวา หิ อาโปธาตูติ โวสฺสชฺชเน ปถวีธาตุยา ตสฺสานุคตภาโว, ตสฺมา ตาสํ ทฺวินฺนเมตฺถ สามตฺถิยโต อธิมตฺตตา, อิตราสญฺจ โอมตฺตตาติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘โวสฺสชฺชเน…เป.… พลวติโย’’ติฯ ยสฺมา ปน อาโปธาตุยา อนุคตา ปถวีธาตุ สนฺนิเกฺขปนสฺส ปจฺจโยฯ ปติฎฺฐาภาเว วิย ปติฎฺฐาปเนปิ ตสฺสา สาติสยกิจฺจตฺตา อาโปธาตุยา ตสฺสา อนุคตภาโว, ตถา ฆฎฺฎนกิริยาย ปถวีธาตุยา วเสน สนฺนิรุมฺภนสฺส สิชฺฌนโต ตตฺถาปิ ปถวีธาตุยา อาโปธาตุอนุคตภาโว, ตสฺมา วุตฺตํ – ‘‘ตถา สนฺนิเกฺขปนสนฺนิรุมฺภเนสู’’ติฯ

    Tattha akkantaṭṭhānato pādassa ukkhipanaṃ uddharaṇaṃ, ṭhitaṭṭhānaṃ atikkamitvā purato haraṇaṃ atiharaṇaṃ. Rukkhakhāṇuādipariharaṇatthaṃ, patiṭṭhitapādaghaṭṭanapariharaṇatthaṃ vā passena haraṇaṃ vītiharaṇaṃ. Yāva patiṭṭhitapādo, tāva āharaṇaṃ atiharaṇaṃ, tato paraṃ haraṇaṃ vītiharaṇanti ayaṃ vā etesaṃ viseso. Yasmā pathavīdhātuyā anugatā āpodhātu vossajjanassa paccayo. Garutarasabhāvā hi āpodhātūti vossajjane pathavīdhātuyā tassānugatabhāvo, tasmā tāsaṃ dvinnamettha sāmatthiyato adhimattatā, itarāsañca omattatāti dassento āha ‘‘vossajjane…pe… balavatiyo’’ti. Yasmā pana āpodhātuyā anugatā pathavīdhātu sannikkhepanassa paccayo. Patiṭṭhābhāve viya patiṭṭhāpanepi tassā sātisayakiccattā āpodhātuyā tassā anugatabhāvo, tathā ghaṭṭanakiriyāya pathavīdhātuyā vasena sannirumbhanassa sijjhanato tatthāpi pathavīdhātuyā āpodhātuanugatabhāvo, tasmā vuttaṃ – ‘‘tathā sannikkhepanasannirumbhanesū’’ti.

    ตตฺถาติ ตสฺมิํ อภิกฺกมเน, เตสุ วา วุเตฺตสุ อุทฺธรณาทีสุ ฉสุ โกฎฺฐาเสสุฯ อุทฺธรเณติ อุทฺธรณกฺขเณฯ รูปารูปธมฺมาติ อุทฺธรณากาเรน ปวตฺตา รูปธมฺมา ตํสมุฎฺฐาปกา อรูปธมฺมา จฯ อติหรณํ น ปาปุณนฺติ ขณมตฺตาวฎฺฐานโตฯ ตตฺถ ตเตฺถวาติ ยตฺถ ยตฺถ อุปฺปนฺนา, ตตฺถ ตเตฺถวฯ น หิ ธมฺมานํ เทสนฺตรสงฺกมนํ อตฺถิฯ ปพฺพํ ปพฺพนฺติอาทิ อุทฺธรณาทิโกฎฺฐาเส สนฺธาย สภาคสนฺตติวเสน วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อติอิตฺตโร หิ รูปธมฺมานมฺปิ ปวตฺติกฺขโณ, คมนสฺสาทานํ เทวปุตฺตานํ เหฎฺฐุปริยาเยน ปฎิมุขํ ธาวนฺตานํ สิรสิ ปาเท จ พทฺธขุรธาราสมาคมโตปิ สีฆตโรฯ ยถา ติลานํ ภชฺชิยมานานํ ตฎตฎายเนน เภโท ลกฺขียติ, เอวํ สงฺขตธมฺมานํ อุปฺปาเทนาติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘ตฎตฎายนฺตา’’ติ วุตฺตํฯ อุปฺปนฺนา หิ เอกนฺตโต ภิชฺชนฺตีติฯ

    Tatthāti tasmiṃ abhikkamane, tesu vā vuttesu uddharaṇādīsu chasu koṭṭhāsesu. Uddharaṇeti uddharaṇakkhaṇe. Rūpārūpadhammāti uddharaṇākārena pavattā rūpadhammā taṃsamuṭṭhāpakā arūpadhammā ca. Atiharaṇaṃ na pāpuṇanti khaṇamattāvaṭṭhānato. Tattha tatthevāti yattha yattha uppannā, tattha tattheva. Na hi dhammānaṃ desantarasaṅkamanaṃ atthi. Pabbaṃ pabbantiādi uddharaṇādikoṭṭhāse sandhāya sabhāgasantativasena vuttanti veditabbaṃ. Atiittaro hi rūpadhammānampi pavattikkhaṇo, gamanassādānaṃ devaputtānaṃ heṭṭhupariyāyena paṭimukhaṃ dhāvantānaṃ sirasi pāde ca baddhakhuradhārāsamāgamatopi sīghataro. Yathā tilānaṃ bhajjiyamānānaṃ taṭataṭāyanena bhedo lakkhīyati, evaṃ saṅkhatadhammānaṃ uppādenāti dassanatthaṃ ‘‘taṭataṭāyantā’’ti vuttaṃ. Uppannā hi ekantato bhijjantīti.

    สทฺธิํ รูเปนาติ อิทํ ตสฺส ตสฺส จิตฺตสฺส นิโรเธน สทฺธิํ นิรุชฺฌนกรูปธมฺมวเสน วุตฺตํ, ยํ ตโต สตฺตรสมจิตฺตสฺส อุปฺปาทกฺขเณ อุปฺปนฺนํฯ อญฺญถา ยทิ รูปารูปธมฺมา สมานกฺขณา สิยุํ, ‘‘รูปํ ครุปริณามํ ทนฺธนิโรธ’’นฺติอาทิวจเนหิ วิโรโธ สิยาฯ ตถา – ‘‘นาหํ, ภิกฺขเว, อญฺญํ เอกธมฺมมฺปิ สมนุปสฺสามิ, ยํ เอวํ ลหุปริวตฺตํ, ยถยิทํ จิตฺต’’นฺติ (อ. นิ. ๑.๔๘) เอวมาทิปาฬิยา จฯ จิตฺตเจตสิกา หิ สารมฺมณสภาวา ยถาพลํ อตฺตโน อารมฺมณปจฺจยภูตมตฺถํ วิภาเวนฺตาเยว อุปฺปชฺชนฺตีติ เตสํ ตํสภาวนิปฺผตฺติอนนฺตรํ นิโรโธ, รูปธมฺมา ปน อนารมฺมณา ปกาเสตพฺพาฯ เอวํ เตสํ ปกาเสตพฺพภาวนิปฺผตฺติ โสฬสหิ จิเตฺตหิ โหตีติ ตงฺขณายุกตา เตสํ อิจฺฉิตา, ลหุกวิญฺญาณสฺส วิสยสงฺคติมตฺตปจฺจยตาย ติณฺณํ ขนฺธานํ, วิสยสงฺคติมตฺตตาย จ วิญฺญาณสฺส ลหุปริวตฺติตา, ทนฺธมหาภูตปจฺจยตาย รูปธมฺมานํ ทนฺธปริวตฺติตาฯ นานาธาตุยา ยถาภูตญาณํ โข ปน ตถาคตเสฺสว, เตน จ ปุเรชาตปจฺจโย รูปธโมฺมว วุโตฺต, ปจฺฉาชาตปจฺจโย จ ตเสฺสวาติ รูปารูปธมฺมานํ สมานกฺขณตา น ยุชฺชเตว, ตสฺมา วุตฺตนเยเนเวตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Saddhiṃ rūpenāti idaṃ tassa tassa cittassa nirodhena saddhiṃ nirujjhanakarūpadhammavasena vuttaṃ, yaṃ tato sattarasamacittassa uppādakkhaṇe uppannaṃ. Aññathā yadi rūpārūpadhammā samānakkhaṇā siyuṃ, ‘‘rūpaṃ garupariṇāmaṃ dandhanirodha’’ntiādivacanehi virodho siyā. Tathā – ‘‘nāhaṃ, bhikkhave, aññaṃ ekadhammampi samanupassāmi, yaṃ evaṃ lahuparivattaṃ, yathayidaṃ citta’’nti (a. ni. 1.48) evamādipāḷiyā ca. Cittacetasikā hi sārammaṇasabhāvā yathābalaṃ attano ārammaṇapaccayabhūtamatthaṃ vibhāventāyeva uppajjantīti tesaṃ taṃsabhāvanipphattianantaraṃ nirodho, rūpadhammā pana anārammaṇā pakāsetabbā. Evaṃ tesaṃ pakāsetabbabhāvanipphatti soḷasahi cittehi hotīti taṅkhaṇāyukatā tesaṃ icchitā, lahukaviññāṇassa visayasaṅgatimattapaccayatāya tiṇṇaṃ khandhānaṃ, visayasaṅgatimattatāya ca viññāṇassa lahuparivattitā, dandhamahābhūtapaccayatāya rūpadhammānaṃ dandhaparivattitā. Nānādhātuyā yathābhūtañāṇaṃ kho pana tathāgatasseva, tena ca purejātapaccayo rūpadhammova vutto, pacchājātapaccayo ca tassevāti rūpārūpadhammānaṃ samānakkhaṇatā na yujjateva, tasmā vuttanayenevettha attho veditabbo.

    อญฺญํ อุปฺปชฺชเต จิตฺตํ, อญฺญํ จิตฺตํ นิรุชฺฌตีติ ยํ ปุริมุปฺปนฺนํ จิตฺตํ, ตํ อญฺญํ, ตํ ปน นิรุชฺฌนฺตํ อปรสฺส อนนฺตราทิปจฺจโย หุตฺวา เอว นิรุชฺฌตีติ ตถาลทฺธปจฺจยํ อญฺญํ อุปฺปชฺชเต จิตฺตํฯ ยทิ เอวํ เตสํ อนฺตโร ลเพฺภยฺยาติ, โนติ อาห ‘‘อวีจิมนุปพโนฺธ’’ติฯ ยถา วีจิ อนฺตโร น ลพฺภติ, ‘‘ตเทเวต’’นฺติ อวิเสสวิทู มญฺญนฺติ, เอวํ อนุ อนุ ปพโนฺธ จิตฺตสนฺตาโน รูปสนฺตาโน จ นทีโสโตว นทิยํ อุทกปฺปวาโห วิย วตฺตติ

    Aññaṃuppajjate cittaṃ, aññaṃ cittaṃ nirujjhatīti yaṃ purimuppannaṃ cittaṃ, taṃ aññaṃ, taṃ pana nirujjhantaṃ aparassa anantarādipaccayo hutvā eva nirujjhatīti tathāladdhapaccayaṃ aññaṃ uppajjate cittaṃ. Yadi evaṃ tesaṃ antaro labbheyyāti, noti āha ‘‘avīcimanupabandho’’ti. Yathā vīci antaro na labbhati, ‘‘tadeveta’’nti avisesavidū maññanti, evaṃ anu anu pabandho cittasantāno rūpasantāno ca nadīsotova nadiyaṃ udakappavāho viya vattati.

    อภิมุขํ โลกิตํ อาโลกิตนฺติ อาห ‘‘ปุรโตเปกฺขน’’นฺติฯ ยสฺมา ยํทิสาภิมุโข คจฺฉติ ติฎฺฐติ นิสีทติ วา, ตทภิมุขํ เปกฺขนํ อาโลกิตํ , ตสฺมา ตทนุคตํ วิทิสาโลกนํ วิโลกิตนฺติ อาห ‘‘วิโลกิตํ นาม อนุทิสาเปกฺขน’’นฺติฯ สมฺมชฺชนปริภณฺฑาทิกรเณ โอโลกิตสฺส, อุโลฺลกาหรณาทีสุ อุโลฺลกิตสฺส, ปจฺฉโต อาคจฺฉนฺตสฺส ปริสฺสยสฺส ปริวชฺชนาทิวเสน อปโลกิตสฺส จ สิยา สมฺภโวติ อาห – ‘‘อิมินา วา มุเขน สพฺพานิปิ ตานิ คหิตาเนวา’’ติฯ

    Abhimukhaṃ lokitaṃ ālokitanti āha ‘‘puratopekkhana’’nti. Yasmā yaṃdisābhimukho gacchati tiṭṭhati nisīdati vā, tadabhimukhaṃ pekkhanaṃ ālokitaṃ , tasmā tadanugataṃ vidisālokanaṃ vilokitanti āha ‘‘vilokitaṃ nāma anudisāpekkhana’’nti. Sammajjanaparibhaṇḍādikaraṇe olokitassa, ullokāharaṇādīsu ullokitassa, pacchato āgacchantassa parissayassa parivajjanādivasena apalokitassa ca siyā sambhavoti āha – ‘‘iminā vā mukhena sabbānipi tāni gahitānevā’’ti.

    กายสกฺขินฺติ กาเยน สจฺฉิกตวนฺตํ, ปจฺจกฺขการินนฺติ อโตฺถฯ โสหายสฺมา วิปสฺสนากาเล เอว ‘‘ยเมวาหํ อินฺทฺริเยสุ อคุตฺตทฺวารตํ นิสฺสาย สาสเน อนภิรติอาทิวิปฺปการํ ปโตฺต, ตเมว สุฎฺฐุ นิคฺคเหสฺสามี’’ติ อุสฺสาหชาโต พลวหิโรตฺตโปฺป, ตตฺถ จ กตาธิการตฺตา อินฺทฺริยสํวเร อุกฺกํสปารมิปฺปโตฺต, เตเนว นํ สตฺถา – ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารานํ ยทิทํ นโนฺท’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๓๐) เอตทเคฺค ฐเปสิฯ

    Kāyasakkhinti kāyena sacchikatavantaṃ, paccakkhakārinanti attho. Sohāyasmā vipassanākāle eva ‘‘yamevāhaṃ indriyesu aguttadvārataṃ nissāya sāsane anabhiratiādivippakāraṃ patto, tameva suṭṭhu niggahessāmī’’ti ussāhajāto balavahirottappo, tattha ca katādhikārattā indriyasaṃvare ukkaṃsapāramippatto, teneva naṃ satthā – ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ indriyesu guttadvārānaṃ yadidaṃ nando’’ti (a. ni. 1.230) etadagge ṭhapesi.

    สาตฺถกตา จ สปฺปายตา จ เวทิตพฺพา อาโลกิตวิโลกิตสฺสาติ อาเนตฺวา สมฺพโนฺธฯ ตสฺมาติ กมฺมฎฺฐานาวิชหนเสฺสว โคจรสมฺปชญฺญภาวโตติ วุตฺตเมวตฺถํ เหตุภาเวน ปจฺจามสติฯ อตฺตโน กมฺมฎฺฐานวเสเนว อาโลกนวิโลกนํ กาตพฺพํ, ขนฺธาทิกมฺมฎฺฐานิเกหิ อโญฺญ อุปาโย น คเวสิตโพฺพติ อธิปฺปาโยฯ ยสฺมา อาโลกิตาทิสมญฺญาปิ ธมฺมมตฺตเสฺสว ปวตฺติวิเสโส, ตสฺมา ตสฺส ยาถาวโต ปชานนํ อสโมฺมหสมฺปชญฺญนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘อพฺภนฺตเร’’ติอาทิ วุตฺตํฯ จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผารวเสนาติ กิริยมยจิตฺตสมุฎฺฐานวาโยธาตุยา จลนาการปวตฺติวเสนฯ อโธ สีทตีติ โถกํ โอตรติฯ อุทฺธํ ลเงฺฆตีติ ลงฺฆนฺตํ วิย อุปริ คจฺฉติฯ

    Sātthakatā ca sappāyatā ca veditabbā ālokitavilokitassāti ānetvā sambandho. Tasmāti kammaṭṭhānāvijahanasseva gocarasampajaññabhāvatoti vuttamevatthaṃ hetubhāvena paccāmasati. Attano kammaṭṭhānavaseneva ālokanavilokanaṃ kātabbaṃ, khandhādikammaṭṭhānikehi añño upāyo na gavesitabboti adhippāyo. Yasmā ālokitādisamaññāpi dhammamattasseva pavattiviseso, tasmā tassa yāthāvato pajānanaṃ asammohasampajaññanti dassetuṃ ‘‘abbhantare’’tiādi vuttaṃ. Cittakiriyavāyodhātuvipphāravasenāti kiriyamayacittasamuṭṭhānavāyodhātuyā calanākārapavattivasena. Adho sīdatīti thokaṃ otarati. Uddhaṃ laṅghetīti laṅghantaṃ viya upari gacchati.

    องฺคกิจฺจํ สาธยมานนฺติ ปธานภูตํ องฺคกิจฺจํ นิปฺผาเทนฺตํ, อุปปตฺติภวสฺส สรีรํ หุตฺวาติ อโตฺถฯ ปฐมชวเนปิ…เป.… สตฺตมชวเนปิ น โหตีติ อิทํ ปญฺจทฺวารวิญฺญาณวีถิยํ ‘‘อิตฺถี ปุริโส’’ติ รชฺชนาทีนํ อภาวํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ตตฺถ หิ อาวชฺชนโวฎฺฐพฺพนานํ อโยนิโส อาวชฺชนโวฎฺฐพฺพนวเสน อิเฎฺฐ อิตฺถิรูปาทิมฺหิ โลภมตฺตํ, อนิเฎฺฐ ปฎิฆมตฺตํ อุปฺปชฺชติฯ มโนทฺวาเร ปน ‘‘อิตฺถี ปุริโส’’ติ รชฺชนาทิ โหติ, ตสฺส ปญฺจทฺวารชวนํ มูลํ, ยถาวุตฺตํ วา สพฺพํ ภวงฺคาทิฯ เอวํ มโนทฺวารชวนสฺส มูลภูตธมฺมปริชานนวเสเนว มูลปริญฺญา วุตฺตา, อาคนฺตุกตาวกาลิกตา ปน ปญฺจทฺวารชวนเสฺสว อปุพฺพภาววเสน เจว อิตฺตรภาววเสน จ วุตฺตาฯ เหฎฺฐุปริยวเสน ภิชฺชิตฺวา ปติเตสูติ เหฎฺฐิมสฺส อุปริมสฺส จ อปราปรํ ภงฺคปฺปตฺติมาหฯ

    Aṅgakiccaṃ sādhayamānanti padhānabhūtaṃ aṅgakiccaṃ nipphādentaṃ, upapattibhavassa sarīraṃ hutvāti attho. Paṭhamajavanepi…pe… sattamajavanepi na hotīti idaṃ pañcadvāraviññāṇavīthiyaṃ ‘‘itthī puriso’’ti rajjanādīnaṃ abhāvaṃ sandhāya vuttaṃ. Tattha hi āvajjanavoṭṭhabbanānaṃ ayoniso āvajjanavoṭṭhabbanavasena iṭṭhe itthirūpādimhi lobhamattaṃ, aniṭṭhe paṭighamattaṃ uppajjati. Manodvāre pana ‘‘itthī puriso’’ti rajjanādi hoti, tassa pañcadvārajavanaṃ mūlaṃ, yathāvuttaṃ vā sabbaṃ bhavaṅgādi. Evaṃ manodvārajavanassa mūlabhūtadhammaparijānanavaseneva mūlapariññā vuttā, āgantukatāvakālikatā pana pañcadvārajavanasseva apubbabhāvavasena ceva ittarabhāvavasena ca vuttā. Heṭṭhupariyavasena bhijjitvā patitesūti heṭṭhimassa uparimassa ca aparāparaṃ bhaṅgappattimāha.

    นฺติ ชวนํฯ ตสฺส ชวนสฺส น ยุตฺตนฺติ สมฺพโนฺธฯ อาคนฺตุโก อพฺภาคโตฯ อุทยพฺพยปริจฺฉิโนฺน ตาวตโก กาโล เอเตสนฺติ ตาวกาลิกานิ

    Tanti javanaṃ. Tassa javanassa na yuttanti sambandho. Āgantuko abbhāgato. Udayabbayaparicchinno tāvatako kālo etesanti tāvakālikāni.

    เอตํ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํฯ สมวาเยติ สามคฺคิยํฯ ตตฺถาติ ปญฺจกฺขนฺธวเสน อาโลกนวิโลกเน ปญฺญายมาเน ตพฺพินิมุโตฺต – โก เอโก อาโลเกติ, โก วิโลเกติฯ อุปนิสฺสยปจฺจโยติ อิทํ สุตฺตนฺตนเยน ปริยายโต วุตฺตํฯ สหชาตปจฺจโยติ นิทสฺสนมตฺตเมตํ อญฺญมญฺญสมฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตาทิปจฺจยานมฺปิ ลพฺภนโตฯ

    Etaṃ asammohasampajaññaṃ. Samavāyeti sāmaggiyaṃ. Tatthāti pañcakkhandhavasena ālokanavilokane paññāyamāne tabbinimutto – ko eko āloketi, ko viloketi. Upanissayapaccayoti idaṃ suttantanayena pariyāyato vuttaṃ. Sahajātapaccayoti nidassanamattametaṃ aññamaññasampayuttaatthiavigatādipaccayānampi labbhanato.

    กาเลติ สมิญฺชิตุํ ยุตฺตกาเล สมิญฺชนฺตสฺส, ตถา ปสาเรตุํ ยุตฺตกาเล ปสาเรนฺตสฺสฯ ‘‘มณิสโปฺป นาม เอกา สปฺปชาตี’’ติ วทนฺติฯ ลฬนนฺติ กมฺปนํ, ลีฬากรณํ วาฯ

    Kāleti samiñjituṃ yuttakāle samiñjantassa, tathā pasāretuṃ yuttakāle pasārentassa. ‘‘Maṇisappo nāma ekā sappajātī’’ti vadanti. Laḷananti kampanaṃ, līḷākaraṇaṃ vā.

    อุณฺหปกติโก ปริฬาหพหุลกาโยฯ สีลสฺส วิทูสเนน อหิตาวหตฺตา มิจฺฉาชีววเสน อุปฺปนฺนํ อสปฺปายํฯ ‘‘จีวรมฺปิ อเจตน’’นฺติอาทินา จีวรสฺส วิย กาโยปิ อเจตโนติ กายสฺส อตฺตสุญฺญตาวิภาวเนน ‘‘อพฺภนฺตเร’’ติอาทินา วุตฺตเมวตฺถํ ปริทีเปโนฺต อิตรีตรสโนฺตสสฺส การณํ ทเสฺสติฯ เตนาห ‘‘ตสฺมา’’ติอาทิฯ

    Uṇhapakatiko pariḷāhabahulakāyo. Sīlassa vidūsanena ahitāvahattā micchājīvavasena uppannaṃ asappāyaṃ. ‘‘Cīvarampi acetana’’ntiādinā cīvarassa viya kāyopi acetanoti kāyassa attasuññatāvibhāvanena ‘‘abbhantare’’tiādinā vuttamevatthaṃ paridīpento itarītarasantosassa kāraṇaṃ dasseti. Tenāha ‘‘tasmā’’tiādi.

    จตุปญฺจคณฺฐิกาหโตติ อาหตจตุปญฺจคณฺฐิโก, จตุปญฺจคณฺฐิกาหิ วา หตโสโภฯ

    Catupañcagaṇṭhikāhatoti āhatacatupañcagaṇṭhiko, catupañcagaṇṭhikāhi vā hatasobho.

    อฎฺฐวิโธปิ อโตฺถติ อฎฺฐวิโธปิ ปโยชนวิเสโสฯ มหาสิวเตฺถรวาทวเสน ‘‘อิมสฺส กายสฺส ฐิติยา’’ติอาทินา นเยน วุโตฺต ทฎฺฐโพฺพฯ อิมสฺมิํ ปเกฺข ‘‘เนว ทวายาติอาทินา นเยนา’’ติ ปน อิทํ ปฎิเกฺขปงฺคทสฺสนมุเขน ปาฬิ อาคตาติ กตฺวา วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Aṭṭhavidhopi atthoti aṭṭhavidhopi payojanaviseso. Mahāsivattheravādavasena ‘‘imassa kāyassa ṭhitiyā’’tiādinā nayena vutto daṭṭhabbo. Imasmiṃ pakkhe ‘‘neva davāyātiādinā nayenā’’ti pana idaṃ paṭikkhepaṅgadassanamukhena pāḷi āgatāti katvā vuttanti daṭṭhabbaṃ.

    ปถวีสนฺธารกชลสฺส ตํสนฺธารกวายุนา วิย ปริภุตฺตสฺส อาหารสฺส วาโยธาตุยาว อาสเย อวฎฺฐานนฺติ อาห – ‘‘วาโยธาตุวเสเนว ติฎฺฐตี’’ติฯ อติหรตีติ ยาว มุขา อภิหรติฯ วีติหรตีติ ตโต กุจฺฉิยํ วิมิสฺสํ กโรโนฺต หรติฯ อติหรตีติ วา มุขทฺวารํ อติกฺกาเมโนฺต หรติฯ วีติหรตีติ กุจฺฉิคตํ ปสฺสโต หรติฯ ปริวเตฺตตีติ อปราปรํ จาเรติฯ เอตฺถ จ อาหารสฺส ธารณปริวตฺตนสญฺจุณฺณนวิโสสนานิ ปถวีธาตุสหิตา เอว วาโยธาตุ กโรติ, น เกวลาติ ตานิ ปถวีธาตุยา กิจฺจภาเวน วุตฺตานิ, สา เอว ธารณาทีนิ กิจฺจานิ กโรนฺตสฺส สาธารณาติ วุตฺตานิฯ อลฺลตฺตญฺจ อนุปาเลตีติ ยถา วาโยธาตุอาทีหิ อเญฺญหิ วิโสสนํ น โหติ, ตถา อนุปาเลติ อลฺลภาวํฯ เตโชธาตูติ คหณีสงฺขาตา เตโชธาตุฯ สา หิ อโนฺตปวิฎฺฐํ อาหารํ ปริปาเจติฯ อญฺชโส โหตีติ อาหารสฺส ปวิสนาทีนํ มโคฺค โหติฯ อาภุชตีติ ปริเยสนวเสน, อโชฺฌหรณชิณฺณาชิณฺณตาทิปฎิสํเวทนวเสน จ อาวเชฺชติ, วิชานาตีติ อโตฺถฯ ตํตํวิชานนสฺส ปจฺจยภูโตเยว หิ ปโยโค ‘‘สมฺมาปโยโค’’ติ วุโตฺตฯ เยน หิ ปโยเคน ปริเยสนาทิ นิปฺผชฺชติ, โส ตพฺพิสยวิชานนมฺปิ นิปฺผาเทติ นาม ตทวินาภาวโตฯ อถ วา สมฺมาปโยคํ สมฺมาปฎิปตฺติํ อนฺวาย อาคมฺม อาภุชติ สมนฺนาหรติฯ อาโภคปุพฺพโก หิ สโพฺพปิ วิญฺญาณพฺยาปาโรติ ตถา วุตฺตํฯ

    Pathavīsandhārakajalassa taṃsandhārakavāyunā viya paribhuttassa āhārassa vāyodhātuyāva āsaye avaṭṭhānanti āha – ‘‘vāyodhātuvaseneva tiṭṭhatī’’ti. Atiharatīti yāva mukhā abhiharati. Vītiharatīti tato kucchiyaṃ vimissaṃ karonto harati. Atiharatīti vā mukhadvāraṃ atikkāmento harati. Vītiharatīti kucchigataṃ passato harati. Parivattetīti aparāparaṃ cāreti. Ettha ca āhārassa dhāraṇaparivattanasañcuṇṇanavisosanāni pathavīdhātusahitā eva vāyodhātu karoti, na kevalāti tāni pathavīdhātuyā kiccabhāvena vuttāni, sā eva dhāraṇādīni kiccāni karontassa sādhāraṇāti vuttāni. Allattañca anupāletīti yathā vāyodhātuādīhi aññehi visosanaṃ na hoti, tathā anupāleti allabhāvaṃ. Tejodhātūti gahaṇīsaṅkhātā tejodhātu. Sā hi antopaviṭṭhaṃ āhāraṃ paripāceti. Añjaso hotīti āhārassa pavisanādīnaṃ maggo hoti. Ābhujatīti pariyesanavasena, ajjhoharaṇajiṇṇājiṇṇatādipaṭisaṃvedanavasena ca āvajjeti, vijānātīti attho. Taṃtaṃvijānanassa paccayabhūtoyeva hi payogo ‘‘sammāpayogo’’ti vutto. Yena hi payogena pariyesanādi nipphajjati, so tabbisayavijānanampi nipphādeti nāma tadavinābhāvato. Atha vā sammāpayogaṃ sammāpaṭipattiṃ anvāya āgamma ābhujati samannāharati. Ābhogapubbako hi sabbopi viññāṇabyāpāroti tathā vuttaṃ.

    คมนโตติ ภิกฺขาจารวเสน โคจรคามํ อุทฺทิสฺส คมนโตฯ ปริเยสนโตติ โคจรคาเม ภิกฺขตฺถํ อาหิณฺฑนโตฯ ปริโภคโตติ อาหารสฺส ปริภุญฺชนโตฯ อาสยโตติ ปิตฺตาทิอาสยโตฯ อาสยติ เอตฺถ เอกชฺฌํ ปวตฺตมาโนปิ กมฺมพลววตฺถิโต หุตฺวา มริยาทวเสน อญฺญมญฺญํ อสงฺกรโต สยติ ติฎฺฐติ ปวตฺตตีติ อาสโย, อามาสยสฺส อุปริ ติฎฺฐนโก ปิตฺตาทิโกฯ มริยาทโตฺถ หิ อยมากาโรฯ นิเธติ ยถาภุโตฺต อาหาโร นิจิโต หุตฺวา ติฎฺฐติ เอตฺถาติ นิธานํ, อามาสโย, ตโต นิธานโตฯ อปริปกฺกโตติ คหณีสงฺขาเตน กมฺมชเตเชน อวิปกฺกโตฯ ปริปกฺกโตติ ยถาภุตฺตสฺส อาหารสฺส วิปกฺกภาวโตฯ ผลโตติ นิปฺผตฺติโตฯ นิสฺสนฺทโตติ อิโต จิโต จ วิสฺสนฺทนโต ฯ สมฺมกฺขนโตติ สพฺพโส มกฺขนโตฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน วิสุทฺธิมคฺคสํวณฺณนาย (วิสุทฺธิ. มหาฎี. ๑.๒๙๔) คเหตโพฺพฯ

    Gamanatoti bhikkhācāravasena gocaragāmaṃ uddissa gamanato. Pariyesanatoti gocaragāme bhikkhatthaṃ āhiṇḍanato. Paribhogatoti āhārassa paribhuñjanato. Āsayatoti pittādiāsayato. Āsayati ettha ekajjhaṃ pavattamānopi kammabalavavatthito hutvā mariyādavasena aññamaññaṃ asaṅkarato sayati tiṭṭhati pavattatīti āsayo, āmāsayassa upari tiṭṭhanako pittādiko. Mariyādattho hi ayamākāro. Nidheti yathābhutto āhāro nicito hutvā tiṭṭhati etthāti nidhānaṃ, āmāsayo, tato nidhānato. Aparipakkatoti gahaṇīsaṅkhātena kammajatejena avipakkato. Paripakkatoti yathābhuttassa āhārassa vipakkabhāvato. Phalatoti nipphattito. Nissandatoti ito cito ca vissandanato . Sammakkhanatoti sabbaso makkhanato. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana visuddhimaggasaṃvaṇṇanāya (visuddhi. mahāṭī. 1.294) gahetabbo.

    สรีรโต เสทา มุจฺจนฺตีติ เวคสนฺธารเณน อุปฺปนฺนปริฬาหโต สรีรโต เสทา มุจฺจนฺติฯ อเญฺญ จ โรคา กณฺณสูลภคนฺทราทโยฯ อฎฺฐาเนติ มนุสฺสามนุสฺสปริคฺคเห อยุตฺตฎฺฐาเน เขตฺตเทวายตนาทิเกฯ กุทฺธา หิ มนุสฺสา อมนุสฺสาปิ วา ชีวิตกฺขยํ ปาเปนฺติฯ วิสฺสฎฺฐตฺตา เนว ตสฺส ภิกฺขุโน อตฺตโน, กสฺสจิ อนิสฺสชฺชิตตฺตา ชิคุจฺฉนียตฺตา จ น ปรสฺส, อุทกตุมฺพโตติ เวฬุนาฬิอาทิอุทกภาชนโตฯ นฺติ ฉฑฺฑิตอุทกํฯ

    Sarīrato sedā muccantīti vegasandhāraṇena uppannapariḷāhato sarīrato sedā muccanti. Aññe ca rogā kaṇṇasūlabhagandarādayo. Aṭṭhāneti manussāmanussapariggahe ayuttaṭṭhāne khettadevāyatanādike. Kuddhā hi manussā amanussāpi vā jīvitakkhayaṃ pāpenti. Vissaṭṭhattā neva tassabhikkhuno attano, kassaci anissajjitattā jigucchanīyattā ca na parassa, udakatumbatoti veḷunāḷiādiudakabhājanato. Tanti chaḍḍitaudakaṃ.

    เอตฺถ จ เอโก อิริยาปโถ ทฺวีสุ ฐาเนสุ อาคโต, โส ปุเพฺพ อภิกฺกมปฎิกฺกมคหเณนฯ ‘‘คมเนปิ ปุรโต ปจฺฉโต จ กายสฺส อภิหรณํ วุตฺตนฺติ อิธ คมนเมว คหิต’’นฺติ อปเรฯ ยสฺมา อิธ สมฺปชญฺญกถายํ อสโมฺมหสมฺปชญฺญเมว ธุรํ, ตสฺมา อนฺตรนฺตเร อิริยาปเถ ปวตฺตานํ รูปารูปธมฺมานํ ตตฺถ ตเตฺถว นิโรธทสฺสนวเสน สมฺปชานการิตา คหิตาติฯ มชฺฌิมภาณกา ปน เอวํ วทนฺติ – เอโก หิ ภิกฺขุ คจฺฉโนฺต อญฺญํ จิเนฺตโนฺต, อญฺญํ วิตเกฺกโนฺต คจฺฉติ, เอโก กมฺมฎฺฐานํ อวิสฺสเชฺชตฺวาว คจฺฉติ, ตถา เอโก ติฎฺฐโนฺต, นิสีทโนฺต, สยโนฺต อญฺญํ จิเนฺตโนฺต, อญฺญํ วิตเกฺกโนฺต สยติ, เอโก กมฺมฎฺฐานํ อวิสฺสเชฺชตฺวาว สยติฯ เอตฺตเกน ปน น ปากฎํ โหตีติ จงฺกมเนน ทีเปนฺติฯ โย ภิกฺขุ จงฺกมนํ โอตริตฺวา จงฺกมนโกฎิยํ ฐิโต ปริคฺคณฺหาติ – ‘‘ปาจีนจงฺกมนโกฎิยํ ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา ปจฺฉิมจงฺกมนโกฎิํ อปฺปตฺวา เอเตฺถว นิรุทฺธา, ปจฺฉิมจงฺกมนโกฎิยํ ปวตฺตาปิ ปาจีนจงฺกมนโกฎิํ อปฺปตฺวา เอเตฺถว นิรุทฺธา, จงฺกมนมเชฺฌ ปวตฺตา อุโภ โกฎิโย อปฺปตฺวา เอเตฺถว นิรุทฺธา, จงฺกมเน ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา ฐานํ อปฺปตฺวา เอเตฺถว นิรุทฺธา, ฐาเน ปวตฺตา นิสชฺชํ อปฺปตฺวา เอเตฺถว นิรุทฺธา, นิสชฺชาย ปวตฺตา สยนํ อปฺปตฺวา เอเตฺถว นิรุทฺธา’’ติ, เอวํ ปริคฺคณฺหโนฺต ปริคฺคณฺหโนฺต เอว จิตฺตํ ภวงฺคํ โอตาเรติ, อุฎฺฐหโนฺต ปน กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวาว อุฎฺฐหติฯ อยํ ภิกฺขุ คตาทีสุ สมฺปชานการี นาม โหตีติฯ

    Ettha ca eko iriyāpatho dvīsu ṭhānesu āgato, so pubbe abhikkamapaṭikkamagahaṇena. ‘‘Gamanepi purato pacchato ca kāyassa abhiharaṇaṃ vuttanti idha gamanameva gahita’’nti apare. Yasmā idha sampajaññakathāyaṃ asammohasampajaññameva dhuraṃ, tasmā antarantare iriyāpathe pavattānaṃ rūpārūpadhammānaṃ tattha tattheva nirodhadassanavasena sampajānakāritā gahitāti. Majjhimabhāṇakā pana evaṃ vadanti – eko hi bhikkhu gacchanto aññaṃ cintento, aññaṃ vitakkento gacchati, eko kammaṭṭhānaṃ avissajjetvāva gacchati, tathā eko tiṭṭhanto, nisīdanto, sayanto aññaṃ cintento, aññaṃ vitakkento sayati, eko kammaṭṭhānaṃ avissajjetvāva sayati. Ettakena pana na pākaṭaṃ hotīti caṅkamanena dīpenti. Yo bhikkhu caṅkamanaṃ otaritvā caṅkamanakoṭiyaṃ ṭhito pariggaṇhāti – ‘‘pācīnacaṅkamanakoṭiyaṃ pavattā rūpārūpadhammā pacchimacaṅkamanakoṭiṃ appatvā ettheva niruddhā, pacchimacaṅkamanakoṭiyaṃ pavattāpi pācīnacaṅkamanakoṭiṃ appatvā ettheva niruddhā, caṅkamanamajjhe pavattā ubho koṭiyo appatvā ettheva niruddhā, caṅkamane pavattā rūpārūpadhammā ṭhānaṃ appatvā ettheva niruddhā, ṭhāne pavattā nisajjaṃ appatvā ettheva niruddhā, nisajjāya pavattā sayanaṃ appatvā ettheva niruddhā’’ti, evaṃ pariggaṇhanto pariggaṇhanto eva cittaṃ bhavaṅgaṃ otāreti, uṭṭhahanto pana kammaṭṭhānaṃ gahetvāva uṭṭhahati. Ayaṃ bhikkhu gatādīsu sampajānakārī nāma hotīti.

    เอวมฺปิ สุเตฺต กมฺมฎฺฐานํ อวิภูตํ โหติ, กมฺมฎฺฐานํ อวิภูตํ น กาตพฺพํ, ตสฺมา โส ภิกฺขุ ยาว สโกฺกติ, ตาว จงฺกมิตฺวา ฐตฺวา นิสีทิตฺวา สยมาโน เอวํ ปริคฺคเหตฺวา สยติ – ‘‘กาโย อเจตโน มโญฺจ อเจตโน, กาโย น ชานาติ ‘อหํ มเญฺจ สยิโต’ติ, มโญฺจปิ น ชานาติ ‘มยิ กาโย สยิโต’ติ, อเจตโน กาโย อเจตเน มเญฺจ สยิโต’’ติ, เอวํ ปริคฺคณฺหโนฺต เอว จิตฺตํ ภวงฺคํ โอตาเรติ, ปพุชฺฌโนฺต กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวาว ปพุชฺฌตีติ อยํ สุเตฺต สมฺปชานการี นาม โหติฯ กายิกาทิกิริยานิพฺพตฺตเนน ตมฺมยตฺตา อาวชฺชนกิริยานิพฺพตฺตกตฺตา อาวชฺชนกิริยาสมุฎฺฐิตตฺตา จ ชวนํ, สพฺพมฺปิ วา ฉทฺวารปฺปวตฺตํ กิริยามยปวตฺตํ นาม, ตสฺมิํ สติ ชาคริตํ นาม โหตีติ ปริคฺคณฺหโนฺต ชาคริเต สมฺปชานการี นามฯ อปิจ รตฺตินฺทิวํ ฉ โกฎฺฐาเส กตฺวา ปญฺจ โกฎฺฐาเส ชคฺคโนฺตปิ ชาคริเต สมฺปชานการี นาม โหตีติฯ

    Evampi sutte kammaṭṭhānaṃ avibhūtaṃ hoti, kammaṭṭhānaṃ avibhūtaṃ na kātabbaṃ, tasmā so bhikkhu yāva sakkoti, tāva caṅkamitvā ṭhatvā nisīditvā sayamāno evaṃ pariggahetvā sayati – ‘‘kāyo acetano mañco acetano, kāyo na jānāti ‘ahaṃ mañce sayito’ti, mañcopi na jānāti ‘mayi kāyo sayito’ti, acetano kāyo acetane mañce sayito’’ti, evaṃ pariggaṇhanto eva cittaṃ bhavaṅgaṃ otāreti, pabujjhanto kammaṭṭhānaṃ gahetvāva pabujjhatīti ayaṃ sutte sampajānakārī nāma hoti. Kāyikādikiriyānibbattanena tammayattā āvajjanakiriyānibbattakattā āvajjanakiriyāsamuṭṭhitattā ca javanaṃ, sabbampi vā chadvārappavattaṃ kiriyāmayapavattaṃ nāma, tasmiṃ sati jāgaritaṃ nāma hotīti pariggaṇhanto jāgarite sampajānakārī nāma. Apica rattindivaṃ cha koṭṭhāse katvā pañca koṭṭhāse jaggantopi jāgarite sampajānakārī nāma hotīti.

    วิมุตฺตายตนสีเส ฐตฺวา ธมฺมํ เทเสโนฺตปิ พาตฺติํสติรจฺฉานกถํ ปหาย ทสกถาวตฺถุนิสฺสิตสปฺปายกถํ กเถโนฺตปิ ภาสิเต สมฺปชานการี นาม โหติฯ อฎฺฐติํสาย อารมฺมเณสุ จิตฺตรุจิยํ อารมฺมณํ มนสิการํ ปวเตฺตโนฺตปิ ทุติยชฺฌานํ สมาปโนฺนปิ ตุณฺหีภาเว สมฺปชานการี นามฯ ทุติยญฺหิ ฌานํ วจีสงฺขารปฺปหานโต วิเสสโต ตุณฺหีภาโว นามาติฯ โอเฎฺฐ จาติอาทีสุ -สเทฺทน กณฺฐสีสนาภิอาทีนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ ตทนุรูปํ ปโยคนฺติ ตสฺส อุปฺปตฺติยา อนุจฺฉวิกํ จิตฺตสฺส ปวตฺติอาการสญฺญิตํ ปโยคํ, ยโต สเพฺพ วิจาราทโย นิปฺผชฺชนฺติฯ อุปาทารูปปวตฺติยาติ วิญฺญตฺติวิการสหิตสทฺทายตนุปฺปตฺติยาฯ เอวนฺติ วุตฺตปฺปกาเรนฯ สตฺตสุปิ ฐาเนสุ อสมฺมุยฺหนวเสน ‘‘มิสฺสก’’นฺติ วุตฺตํฯ มคฺคสมฺมาสติยาปิ กายานุปสฺสนาทิอนุรูปตฺตา สมฺปชญฺญานุรูปปุพฺพภาคํ สตฺตฎฺฐานิยสฺส เอกนฺตโลกิยตฺตาฯ

    Vimuttāyatanasīse ṭhatvā dhammaṃ desentopi bāttiṃsatiracchānakathaṃ pahāya dasakathāvatthunissitasappāyakathaṃ kathentopi bhāsite sampajānakārī nāma hoti. Aṭṭhatiṃsāya ārammaṇesu cittaruciyaṃ ārammaṇaṃ manasikāraṃ pavattentopi dutiyajjhānaṃ samāpannopi tuṇhībhāve sampajānakārī nāma. Dutiyañhi jhānaṃ vacīsaṅkhārappahānato visesato tuṇhībhāvo nāmāti. Oṭṭhe cātiādīsu ca-saddena kaṇṭhasīsanābhiādīnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo. Tadanurūpaṃ payoganti tassa uppattiyā anucchavikaṃ cittassa pavattiākārasaññitaṃ payogaṃ, yato sabbe vicārādayo nipphajjanti. Upādārūpapavattiyāti viññattivikārasahitasaddāyatanuppattiyā. Evanti vuttappakārena. Sattasupi ṭhānesu asammuyhanavasena ‘‘missaka’’nti vuttaṃ. Maggasammāsatiyāpi kāyānupassanādianurūpattā sampajaññānurūpapubbabhāgaṃ sattaṭṭhāniyassa ekantalokiyattā.

    สติสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Satisuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๒. สติสุตฺตํ • 2. Satisuttaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) / ๒. สติสุตฺตวณฺณนา • 2. Satisuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact