Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปฎิสมฺภิทามคฺค-อฎฺฐกถา • Paṭisambhidāmagga-aṭṭhakathā |
๕. สโตการิญาณนิเทฺทสวณฺณนา
5. Satokāriñāṇaniddesavaṇṇanā
๑๖๓. สโตการิญาณนิเทฺทเส มาติกายํ อิธ ภิกฺขูติ อิมสฺมิํ สาสเน ภิกฺขุฯ อยญฺหิ เอตฺถ อิธ-สโทฺท สพฺพปฺปการอานาปานสฺสติสมาธินิพฺพตฺตกสฺส ปุคฺคลสฺส สนฺนิสฺสยภูตสาสนปริทีปโน, อญฺญสาสนสฺส ตถาภาวปฎิเสธโน จฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘อิเธว, ภิกฺขเว, สมโณ…เป.… สุญฺญา ปรปฺปวาทา สมเณภิ อเญฺญหี’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๓๙; อ. นิ. ๔.๒๔๑)ฯ
163. Satokāriñāṇaniddese mātikāyaṃ idha bhikkhūti imasmiṃ sāsane bhikkhu. Ayañhi ettha idha-saddo sabbappakāraānāpānassatisamādhinibbattakassa puggalassa sannissayabhūtasāsanaparidīpano, aññasāsanassa tathābhāvapaṭisedhano ca. Vuttañhetaṃ – ‘‘idheva, bhikkhave, samaṇo…pe… suññā parappavādā samaṇebhi aññehī’’ti (ma. ni. 1.139; a. ni. 4.241).
อรญฺญคโต วา รุกฺขมูลคโต วา สุญฺญาคารคโต วาติ อิทมสฺส อานาปานสฺสติสมาธิ ภาวนานุรูปเสนาสนปริคฺคหปริทีปนํฯ อิมสฺส หิ ภิกฺขุโน ทีฆรตฺตํ รูปาทีสุ อารมฺมเณสุ อนุวิสฎํ จิตฺตํ อานาปานสฺสติสมาธิอารมฺมณํ อภิรุหิตุํ น อิจฺฉติ, กูฎโคณยุตฺตรโถ วิย อุปฺปถเมว ธาวติฯ ตสฺมา เสยฺยถาปิ นาม โคโป กูฎเธนุยา สพฺพํ ขีรํ ปิวิตฺวา วฑฺฒิตํ กูฎวจฺฉํ ทเมตุกาโม เธนุโต อปเนตฺวา เอกมเนฺต มหนฺตํ ถมฺภํ นิขณิตฺวา ตตฺถ โยเตฺตน พเนฺธยฺย, อถสฺส โส วโจฺฉ อิโต จิโต จ วิปฺผนฺทิตฺวา ปลายิตุํ อสโกฺกโนฺต ตเมว ถมฺภํ อุปนิสีเทยฺย วา อุปนิปเชฺชยฺย วา, เอวเมว อิมินาปิ ภิกฺขุนา ทีฆรตฺตํ รูปารมฺมณาทิรสปานวฑฺฒิตํ ทุฎฺฐจิตฺตํ ทเมตุกาเมน รูปาทิอารมฺมณโต อปเนตฺวา อรญฺญํ วา รุกฺขมูลํ วา สุญฺญาคารํ วา ปเวเสตฺวา ตตฺถ อสฺสาสปสฺสาสถเมฺภ สติโยเตฺตน พนฺธิตพฺพํฯ เอวมสฺส ตํ จิตฺตํ อิโต จิโต จ วิปฺผนฺทิตฺวาปิ ปุเพฺพ อาจิณฺณารมฺมณํ อลภมานํ สติโยตฺตํ ฉินฺทิตฺวา ปลายิตุํ อสโกฺกนฺตํ ตเมวารมฺมณํ อุปจารปฺปนาวเสน อุปนิสีทติ เจว อุปนิปชฺชติ จฯ เตนาหุ โปราณา –
Araññagato vā rukkhamūlagato vā suññāgāragato vāti idamassa ānāpānassatisamādhi bhāvanānurūpasenāsanapariggahaparidīpanaṃ. Imassa hi bhikkhuno dīgharattaṃ rūpādīsu ārammaṇesu anuvisaṭaṃ cittaṃ ānāpānassatisamādhiārammaṇaṃ abhiruhituṃ na icchati, kūṭagoṇayuttaratho viya uppathameva dhāvati. Tasmā seyyathāpi nāma gopo kūṭadhenuyā sabbaṃ khīraṃ pivitvā vaḍḍhitaṃ kūṭavacchaṃ dametukāmo dhenuto apanetvā ekamante mahantaṃ thambhaṃ nikhaṇitvā tattha yottena bandheyya, athassa so vaccho ito cito ca vipphanditvā palāyituṃ asakkonto tameva thambhaṃ upanisīdeyya vā upanipajjeyya vā, evameva imināpi bhikkhunā dīgharattaṃ rūpārammaṇādirasapānavaḍḍhitaṃ duṭṭhacittaṃ dametukāmena rūpādiārammaṇato apanetvā araññaṃ vā rukkhamūlaṃ vā suññāgāraṃ vā pavesetvā tattha assāsapassāsathambhe satiyottena bandhitabbaṃ. Evamassa taṃ cittaṃ ito cito ca vipphanditvāpi pubbe āciṇṇārammaṇaṃ alabhamānaṃ satiyottaṃ chinditvā palāyituṃ asakkontaṃ tamevārammaṇaṃ upacārappanāvasena upanisīdati ceva upanipajjati ca. Tenāhu porāṇā –
‘‘ยถา ถเมฺภ นิพเนฺธยฺย, วจฺฉํ ทมํ นโร อิธ;
‘‘Yathā thambhe nibandheyya, vacchaṃ damaṃ naro idha;
พเนฺธเยฺยวํ สกํ จิตฺตํ, สติยารมฺมเณ ทฬฺห’’นฺติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๒๑๗; ปารา. อฎฺฐ. ๒.๑๖๕; ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓๗๔; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๐๗) –
Bandheyyevaṃ sakaṃ cittaṃ, satiyārammaṇe daḷha’’nti. (visuddhi. 1.217; pārā. aṭṭha. 2.165; dī. ni. aṭṭha. 2.374; ma. ni. aṭṭha. 1.107) –
เอวมสฺส ตํ เสนาสนํ ภาวนานุรูปํ โหติฯ อถ วา ยสฺมา อิทํ กมฺมฎฺฐานปฺปเภเท มุทฺธภูตํ สพฺพพุทฺธปเจฺจกพุทฺธพุทฺธสาวกานํ วิเสสาธิคมทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารปทฎฺฐานํ อานาปานสฺสติกมฺมฎฺฐานํ อิตฺถิปุริสหตฺถิอสฺสาทิสทฺทสมากุลํ คามนฺตํ อปริจฺจชิตฺวา น สุกรํ ภาเวตุํ สทฺทกณฺฎกตฺตา ฌานสฺสฯ อคามเก ปน อรเญฺญ สุกรํ โยคาวจเรน อิทํ กมฺมฎฺฐานํ ปริคฺคเหตฺวา อานาปานจตุกฺกชฺฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา ตเทว ปาทกํ กตฺวา สงฺขาเร สมฺมสิตฺวา อคฺคผลํ อรหตฺตํ ปาปุณิตุํฯ ตสฺมา ตสฺส อนุรูปํ เสนาสนํ อุปทิสโนฺต ภควา ‘‘อรญฺญคโต วา’’ติอาทิมาห, ตเถว เถโรฯ
Evamassa taṃ senāsanaṃ bhāvanānurūpaṃ hoti. Atha vā yasmā idaṃ kammaṭṭhānappabhede muddhabhūtaṃ sabbabuddhapaccekabuddhabuddhasāvakānaṃ visesādhigamadiṭṭhadhammasukhavihārapadaṭṭhānaṃ ānāpānassatikammaṭṭhānaṃ itthipurisahatthiassādisaddasamākulaṃ gāmantaṃ apariccajitvā na sukaraṃ bhāvetuṃ saddakaṇṭakattā jhānassa. Agāmake pana araññe sukaraṃ yogāvacarena idaṃ kammaṭṭhānaṃ pariggahetvā ānāpānacatukkajjhānaṃ nibbattetvā tadeva pādakaṃ katvā saṅkhāre sammasitvā aggaphalaṃ arahattaṃ pāpuṇituṃ. Tasmā tassa anurūpaṃ senāsanaṃ upadisanto bhagavā ‘‘araññagato vā’’tiādimāha, tatheva thero.
วตฺถุวิชฺชาจริโย วิย หิ ภควา, โส ยถา วตฺถุวิชฺชาจริโย นครภูมิํ ปสฺสิตฺวา สุฎฺฐุ อุปปริกฺขิตฺวา ‘‘เอตฺถ นครํ มาเปถา’’ติ อุปทิสติ, โสตฺถินา จ นคเร นิฎฺฐิเต ราชกุลโต มหาสกฺการํ ลภติ, เอวเมวํ โยคาวจรสฺส อนุรูปํ เสนาสนํ อุปปริกฺขิตฺวา ‘‘เอตฺถ กมฺมฎฺฐานํ อนุยุญฺชิตพฺพ’’นฺติ อุปทิสติ, ตโต ตตฺถ กมฺมฎฺฐานมนุยุเตฺตน โยคินา กเมน อรหเตฺต ปเตฺต ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ วต โส ภควา’’ติ มหนฺตํ สกฺการํ ลภติฯ อยํ ปน ภิกฺขุ ‘‘ทีปิสทิโส’’ติ วุจฺจติฯ ยถา หิ มหาทีปิราชา อรเญฺญ ติณคหนํ วา วนคหนํ วา ปพฺพตคหนํ วา นิสฺสาย นิลียิตฺวา วนมหิํสโคกณฺณสูกราทโย มิเค คณฺหาติ, เอวเมวํ อยํ อรญฺญาทีสุ กมฺมฎฺฐานมนุยุญฺชโนฺต ภิกฺขุ ยถากฺกเมน โสตาปตฺติสกทาคามิอนาคามิอรหตฺตมเคฺค เจว อริยผลานิ จ คณฺหาตีติ เวทิตโพฺพฯ เตนาหุ โปราณา –
Vatthuvijjācariyo viya hi bhagavā, so yathā vatthuvijjācariyo nagarabhūmiṃ passitvā suṭṭhu upaparikkhitvā ‘‘ettha nagaraṃ māpethā’’ti upadisati, sotthinā ca nagare niṭṭhite rājakulato mahāsakkāraṃ labhati, evamevaṃ yogāvacarassa anurūpaṃ senāsanaṃ upaparikkhitvā ‘‘ettha kammaṭṭhānaṃ anuyuñjitabba’’nti upadisati, tato tattha kammaṭṭhānamanuyuttena yoginā kamena arahatte patte ‘‘sammāsambuddho vata so bhagavā’’ti mahantaṃ sakkāraṃ labhati. Ayaṃ pana bhikkhu ‘‘dīpisadiso’’ti vuccati. Yathā hi mahādīpirājā araññe tiṇagahanaṃ vā vanagahanaṃ vā pabbatagahanaṃ vā nissāya nilīyitvā vanamahiṃsagokaṇṇasūkarādayo mige gaṇhāti, evamevaṃ ayaṃ araññādīsu kammaṭṭhānamanuyuñjanto bhikkhu yathākkamena sotāpattisakadāgāmianāgāmiarahattamagge ceva ariyaphalāni ca gaṇhātīti veditabbo. Tenāhu porāṇā –
‘‘ยถาปิ ทีปิโก นาม, นิลียิตฺวา คณฺหเต มิเค;
‘‘Yathāpi dīpiko nāma, nilīyitvā gaṇhate mige;
ตเถวายํ พุทฺธปุโตฺต, ยุตฺตโยโค วิปสฺสโก;
Tathevāyaṃ buddhaputto, yuttayogo vipassako;
อรญฺญํ ปวิสิตฺวาน, คณฺหาติ ผลมุตฺตม’’นฺติฯ (มิ. ป. ๖.๑.๕);
Araññaṃ pavisitvāna, gaṇhāti phalamuttama’’nti. (mi. pa. 6.1.5);
เตนสฺส ปรกฺกมชวโยคฺคภูมิํ อรญฺญเสนาสนํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อรญฺญคโต วา’’ติอาทิมาหฯ
Tenassa parakkamajavayoggabhūmiṃ araññasenāsanaṃ dassento ‘‘araññagato vā’’tiādimāha.
ตตฺถ อรญฺญคโตติ อุปริ วุตฺตลกฺขณํ ยํกิญฺจิ ปวิเวกสุขํ อรญฺญํ คโตฯ รุกฺขมูลคโตติ รุกฺขสมีปํ คโตฯ สุญฺญาคารคโตติ สุญฺญํ วิวิโตฺตกาสํ คโตฯ เอตฺถ จ ฐเปตฺวา อรญฺญญฺจ รุกฺขมูลญฺจ อวเสสสตฺตวิธเสนาสนํ คโตปิ ‘‘สุญฺญาคารคโต’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ นววิธญฺหิ เสนาสนํฯ ยถาห – ‘‘โส วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภชติ อรญฺญํ รุกฺขมูลํ ปพฺพตํ กนฺทรํ คิริคุหํ สุสานํ วนปตฺถํ อโพฺภกาสํ ปลาลปุญฺช’’นฺติ (วิภ. ๕๐๘)ฯ เอวมสฺส อุตุตฺตยานุกูลํ ธาตุจริยานุกูลญฺจ อานาปานสฺสติภาวนานุรูปํ เสนาสนํ อุปทิสิตฺวา อลีนานุทฺธจฺจปกฺขิกํ สนฺตมิริยาปถํ อุปทิสโนฺต นิสีทตีติ อาหฯ อถสฺส นิสชฺชาย ทฬฺหภาวํ อสฺสาสปสฺสาสานํ ปวตฺตนสมตฺถตํ อารมฺมณปริคฺคหูปายญฺจ ทเสฺสโนฺต ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวาติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปลฺลงฺกนฺติ สมนฺตโต อูรุพทฺธาสนํฯ อาภุชิตฺวาติ พนฺธิตฺวาฯ อุชุํ กายํ ปณิธายาติ อุปริมสรีรํ อุชุกํ ฐเปตฺวา อฎฺฐารส ปิฎฺฐิกณฺฎเก โกฎิยา โกฎิํ ปฎิปาเทตฺวาฯ เอวญฺหิ นิสินฺนสฺส ธมฺมมํสนฺหารูนิ น ปณมนฺติฯ อถสฺส ยา เตสํ ปณมนปจฺจยา ขเณ ขเณ เวทนา อุปฺปเชฺชยฺยุํ, ตา น อุปฺปชฺชนฺติฯ ตาสุ อนุปฺปชฺชมานาสุ จิตฺตํ เอกคฺคํ โหติ, กมฺมฎฺฐานํ น ปริปตติ, วุทฺธิํ ผาติํ อุปคจฺฉติฯ
Tattha araññagatoti upari vuttalakkhaṇaṃ yaṃkiñci pavivekasukhaṃ araññaṃ gato. Rukkhamūlagatoti rukkhasamīpaṃ gato. Suññāgāragatoti suññaṃ vivittokāsaṃ gato. Ettha ca ṭhapetvā araññañca rukkhamūlañca avasesasattavidhasenāsanaṃ gatopi ‘‘suññāgāragato’’ti vattuṃ vaṭṭati. Navavidhañhi senāsanaṃ. Yathāha – ‘‘so vivittaṃ senāsanaṃ bhajati araññaṃ rukkhamūlaṃ pabbataṃ kandaraṃ giriguhaṃ susānaṃ vanapatthaṃ abbhokāsaṃ palālapuñja’’nti (vibha. 508). Evamassa ututtayānukūlaṃ dhātucariyānukūlañca ānāpānassatibhāvanānurūpaṃ senāsanaṃ upadisitvā alīnānuddhaccapakkhikaṃ santamiriyāpathaṃ upadisanto nisīdatīti āha. Athassa nisajjāya daḷhabhāvaṃ assāsapassāsānaṃ pavattanasamatthataṃ ārammaṇapariggahūpāyañca dassento pallaṅkaṃ ābhujitvātiādimāha. Tattha pallaṅkanti samantato ūrubaddhāsanaṃ. Ābhujitvāti bandhitvā. Ujuṃ kāyaṃ paṇidhāyāti uparimasarīraṃ ujukaṃ ṭhapetvā aṭṭhārasa piṭṭhikaṇṭake koṭiyā koṭiṃ paṭipādetvā. Evañhi nisinnassa dhammamaṃsanhārūni na paṇamanti. Athassa yā tesaṃ paṇamanapaccayā khaṇe khaṇe vedanā uppajjeyyuṃ, tā na uppajjanti. Tāsu anuppajjamānāsu cittaṃ ekaggaṃ hoti, kammaṭṭhānaṃ na paripatati, vuddhiṃ phātiṃ upagacchati.
ปริมุขํ สติํ อุปฎฺฐเปตฺวาติ กมฺมฎฺฐานาภิมุขํ สติํ ฐปยิตฺวาฯ โส สโตว อสฺสสติ สโต ปสฺสสตีติ โส ภิกฺขุ เอวํ นิสีทิตฺวา เอวญฺจ สติํ อุปฎฺฐเปตฺวา ตํ สติํ อวิชหโนฺต สโต เอว อสฺสสติ สโต ปสฺสสติ, สโตการี โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ
Parimukhaṃsatiṃ upaṭṭhapetvāti kammaṭṭhānābhimukhaṃ satiṃ ṭhapayitvā. So satova assasati sato passasatīti so bhikkhu evaṃ nisīditvā evañca satiṃ upaṭṭhapetvā taṃ satiṃ avijahanto sato eva assasati sato passasati, satokārī hotīti vuttaṃ hoti.
อิทานิ เยหิ ปกาเรหิ สโตการี โหติ, เต ปกาเร ทเสฺสตุํ ทีฆํ วา อสฺสสโนฺตติอาทิมาหฯ ตตฺถ ทีฆํ วา อสฺสสโนฺตติ ทีฆํ วา อสฺสาสํ ปวตฺตยโนฺตฯ ตถา รสฺสํฯ ยา ปน เนสํ ทีฆรสฺสตา, สา กาลวเสน เวทิตพฺพาฯ กทาจิ หิ มนุสฺสา หตฺถิอหิอาทโย วิย กาลวเสน ทีฆํ อสฺสสนฺติ จ ปสฺสสนฺติ จ, กทาจิ สุนขสสาทโย วิย รสฺสํฯ อญฺญถา หิ จุณฺณวิจุณฺณา อสฺสาสปสฺสาสา ทีฆรสฺสา นาม น โหนฺติ ฯ ตสฺมา เต ทีฆํ กาลํ ปวิสนฺตา จ นิกฺขมนฺตา จ ทีฆา, รสฺสํ กาลํ ปวิสนฺตา จ นิกฺขมนฺตา จ รสฺสาติ เวทิตพฺพาฯ ตตฺรายํ ภิกฺขุ อุปริ วุเตฺตหิ นวหากาเรหิ ทีฆํ อสฺสสโนฺต จ ปสฺสสโนฺต จ ทีฆํ อสฺสสามิ, ปสฺสสามีติ ปชานาติ, ตถา รสฺสํฯ
Idāni yehi pakārehi satokārī hoti, te pakāre dassetuṃ dīghaṃ vā assasantotiādimāha. Tattha dīghaṃ vā assasantoti dīghaṃ vā assāsaṃ pavattayanto. Tathā rassaṃ. Yā pana nesaṃ dīgharassatā, sā kālavasena veditabbā. Kadāci hi manussā hatthiahiādayo viya kālavasena dīghaṃ assasanti ca passasanti ca, kadāci sunakhasasādayo viya rassaṃ. Aññathā hi cuṇṇavicuṇṇā assāsapassāsā dīgharassā nāma na honti . Tasmā te dīghaṃ kālaṃ pavisantā ca nikkhamantā ca dīghā, rassaṃ kālaṃ pavisantā ca nikkhamantā ca rassāti veditabbā. Tatrāyaṃ bhikkhu upari vuttehi navahākārehi dīghaṃ assasanto ca passasanto ca dīghaṃ assasāmi, passasāmīti pajānāti, tathā rassaṃ.
เอวํ ปชานโต จ –
Evaṃ pajānato ca –
‘‘ทีโฆ รโสฺส จ อสฺสาโส, ปสฺสาโสปิ จ ตาทิโส;
‘‘Dīgho rasso ca assāso, passāsopi ca tādiso;
จตฺตาโร วณฺณา วตฺตนฺติ, นาสิกเคฺคว ภิกฺขุโน’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๒๑๙; ปารา. อฎฺฐ. ๒.๑๖๕);
Cattāro vaṇṇā vattanti, nāsikaggeva bhikkhuno’’ti. (visuddhi. 1.219; pārā. aṭṭha. 2.165);
นวนฺนญฺจสฺส อาการานํ เอเกนากาเรน กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานภาวนา สมฺปชฺชตีติ เวทิตพฺพาฯ สพฺพกายปฎิสํเวที อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติฯ สพฺพกายปฎิสํเวที ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขตีติ สกลสฺส อสฺสาสกายสฺสาทิมชฺฌปริโยสานํ วิทิตํ กโรโนฺต ปากฎํ กโรโนฺต อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติฯ สกลสฺส ปสฺสาสกายสฺสาทิมชฺฌปริโยสานํ วิทิตํ กโรโนฺต ปากฎํ กโรโนฺต ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติฯ เอวํ วิทิตํ กโรโนฺต ปากฎํ กโรโนฺต ญาณสมฺปยุตฺตจิเตฺตน อสฺสสติ เจว ปสฺสสติ จฯ ตสฺมา ‘‘อสฺสสิสฺสามิ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขตี’’ติ วุจฺจติฯ เอกสฺส หิ ภิกฺขุโน จุณฺณวิจุณฺณวิสเฎ (วิสุทฺธิ. ๑.๒๑๙; ปารา. ๒.๑๖๕) อสฺสาสกาเย, ปสฺสาสกาเย วา อาทิ ปากโฎ โหติ, น มชฺฌปริโยสานํฯ โส อาทิเมว ปริคฺคเหตุํ สโกฺกติ, มชฺฌปริโยสาเน กิลมติฯ เอกสฺส มชฺฌํ ปากฎํ โหติ, น อาทิปริโยสานํฯ โส มชฺฌเมว ปริคฺคเหตุํ สโกฺกติ, อาทิปริโยสาเน กิลมติฯ เอกสฺส ปริโยสานํ ปากฎํ โหติ, น อาทิมชฺฌํฯ โส ปริโยสานํเยว ปริคฺคเหตุํ สโกฺกติ, อาทิมเชฺฌ กิลมติฯ เอกสฺส สพฺพํ ปากฎํ โหติ, โส สพฺพมฺปิ ปริคฺคเหตุํ สโกฺกติ , น กตฺถจิ กิลมติฯ ตาทิเสน ภวิตพฺพนฺติ ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘สพฺพกายปฎิสํเวที’’ติอาทิฯ
Navannañcassa ākārānaṃ ekenākārena kāyānupassanāsatipaṭṭhānabhāvanā sampajjatīti veditabbā. Sabbakāyapaṭisaṃvedī assasissāmīti sikkhati. Sabbakāyapaṭisaṃvedī passasissāmīti sikkhatīti sakalassa assāsakāyassādimajjhapariyosānaṃ viditaṃ karonto pākaṭaṃ karonto assasissāmīti sikkhati. Sakalassa passāsakāyassādimajjhapariyosānaṃ viditaṃ karonto pākaṭaṃ karonto passasissāmīti sikkhati. Evaṃ viditaṃ karonto pākaṭaṃ karonto ñāṇasampayuttacittena assasati ceva passasati ca. Tasmā ‘‘assasissāmi passasissāmīti sikkhatī’’ti vuccati. Ekassa hi bhikkhuno cuṇṇavicuṇṇavisaṭe (visuddhi. 1.219; pārā. 2.165) assāsakāye, passāsakāye vā ādi pākaṭo hoti, na majjhapariyosānaṃ. So ādimeva pariggahetuṃ sakkoti, majjhapariyosāne kilamati. Ekassa majjhaṃ pākaṭaṃ hoti, na ādipariyosānaṃ. So majjhameva pariggahetuṃ sakkoti, ādipariyosāne kilamati. Ekassa pariyosānaṃ pākaṭaṃ hoti, na ādimajjhaṃ. So pariyosānaṃyeva pariggahetuṃ sakkoti, ādimajjhe kilamati. Ekassa sabbaṃ pākaṭaṃ hoti, so sabbampi pariggahetuṃ sakkoti , na katthaci kilamati. Tādisena bhavitabbanti dassento āha – ‘‘sabbakāyapaṭisaṃvedī’’tiādi.
ตตฺถ สิกฺขตีติ เอวํ ฆฎติ วายมติฯ โย วา ตถาภูตสฺส สํวโร, อยเมตฺถ อธิสีลสิกฺขาฯ โย ตถาภูตสฺส สมาธิ, อยํ อธิจิตฺตสิกฺขาฯ ยา ตถาภูตสฺส ปญฺญา, อยํ อธิปญฺญาสิกฺขาติ อิมา ติโสฺส สิกฺขาโย ตสฺมิํ อารมฺมเณ ตาย สติยา เตน มนสิกาเรน สิกฺขติ อาเสวติ ภาเวติ พหุลีกโรตีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ตตฺถ ยสฺมา ปุริมนเยน เกวลํ อสฺสสิตพฺพํ ปสฺสสิตพฺพเมว จ, น อญฺญํ กิญฺจิ กาตพฺพํ, อิโต ปฎฺฐาย ปน ญาณุปฺปาทนาทีสุ โยโค กรณีโยฯ ตสฺมา ตตฺถ ‘‘อสฺสสามีติ ปชานาติ ปสฺสสามีติ ปชานาติ’’เจฺจว วตฺตมานกาลวเสน ปาฬิํ วตฺวา อิโต ปฎฺฐาย กตฺตพฺพสฺส ญาณุปฺปาทนาทิโน อา-การสฺส ทสฺสนตฺถํ ‘‘สพฺพกายปฎิสํเวที อสฺสสิสฺสามี’’ติอาทินา นเยน อนาคตกาลวเสน ปาฬิ อาโรปิตาติ เวทิตพฺพาฯ
Tattha sikkhatīti evaṃ ghaṭati vāyamati. Yo vā tathābhūtassa saṃvaro, ayamettha adhisīlasikkhā. Yo tathābhūtassa samādhi, ayaṃ adhicittasikkhā. Yā tathābhūtassa paññā, ayaṃ adhipaññāsikkhāti imā tisso sikkhāyo tasmiṃ ārammaṇe tāya satiyā tena manasikārena sikkhati āsevati bhāveti bahulīkarotīti evamettha attho daṭṭhabbo. Tattha yasmā purimanayena kevalaṃ assasitabbaṃ passasitabbameva ca, na aññaṃ kiñci kātabbaṃ, ito paṭṭhāya pana ñāṇuppādanādīsu yogo karaṇīyo. Tasmā tattha ‘‘assasāmīti pajānāti passasāmīti pajānāti’’cceva vattamānakālavasena pāḷiṃ vatvā ito paṭṭhāya kattabbassa ñāṇuppādanādino ā-kārassa dassanatthaṃ ‘‘sabbakāyapaṭisaṃvedī assasissāmī’’tiādinā nayena anāgatakālavasena pāḷi āropitāti veditabbā.
ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ…เป.… สิกฺขตีติ โอฬาริกํ อสฺสาสปสฺสาสสงฺขาตํ กายสงฺขารํ ปสฺสเมฺภโนฺต ปฎิปฺปสฺสเมฺภโนฺต นิโรเธโนฺต วูปสเมโนฺต อสฺสสิสฺสามิ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติฯ
Passambhayaṃ kāyasaṅkhāraṃ…pe… sikkhatīti oḷārikaṃ assāsapassāsasaṅkhātaṃ kāyasaṅkhāraṃ passambhento paṭippassambhento nirodhento vūpasamento assasissāmi passasissāmīti sikkhati.
ตเตฺรวํ โอฬาริกสุขุมตา จ ปสฺสทฺธิ จ เวทิตพฺพา – อิมสฺส หิ ภิกฺขุโน ปุเพฺพ อปริคฺคหิตกาเล กาโย จ จิตฺตญฺจ สทรถา โหนฺติ โอฬาริกาฯ กายจิตฺตานํ โอฬาริกเตฺต อวูปสเนฺต อสฺสาสปสฺสาสาปิ โอฬาริกา โหนฺติ, พลวตรา หุตฺวา ปวตฺตนฺติ, นาสิกา นปฺปโหติ, มุเขน อสฺสสโนฺตปิ ปสฺสสโนฺตปิ ติฎฺฐติฯ ยทา ปนสฺส กาโยปิ จิตฺตมฺปิ ปริคฺคหิตา โหนฺติ, ตทา เต สนฺตา โหนฺติ วูปสนฺตาฯ เตสุ วูปสเนฺตสุ อสฺสาสปสฺสาสา สุขุมา หุตฺวา ปวตฺตนฺติ, ‘‘อตฺถิ นุ โข, นตฺถี’’ติ วิเจตพฺพาการปฺปตฺตา โหนฺติฯ เสยฺยถาปิ ปุริสสฺส ธาวิตฺวา ปพฺพตา วา โอโรหิตฺวา มหาภารํ วา สีสโต โอโรเปตฺวา ฐิตสฺส โอฬาริกา อสฺสาสปสฺสาสา โหนฺติ, นาสิกา นปฺปโหติ, มุเขน อสฺสสโนฺตปิ ปสฺสสโนฺตปิ ติฎฺฐติฯ ยทา ปเนส ตํ ปริสฺสมํ วิโนเทตฺวา นฺหตฺวา จ ปิวิตฺวา จ อลฺลสาฎกํ หทเย กตฺวา สีตาย ฉายาย นิปโนฺน โหติ, อถสฺส เต อสฺสาสปสฺสาสา สุขุมา โหนฺติ ‘‘อตฺถิ นุ โข, นตฺถี’’ติ วิเจตพฺพาการปฺปตฺตา, เอวเมวํ อิมสฺส ภิกฺขุโน อปริคฺคหิตกาเลติ วิตฺถาเรตพฺพํฯ ตถา หิสฺส ปุเพฺพ อปริคฺคหิตกาเล ‘‘โอฬาริโกฬาริเก กายสงฺขาเร ปสฺสเมฺภมี’’ติ อาโภคสมนฺนาหารมนสิกาโร นตฺถิ, ปริคฺคหิตกาเล ปน อตฺถิฯ เตนสฺส อปริคฺคหิตกาลโต ปริคฺคหิตกาเล กายสงฺขาโร สุขุโม โหติฯ เตนาหุ โปราณา –
Tatrevaṃ oḷārikasukhumatā ca passaddhi ca veditabbā – imassa hi bhikkhuno pubbe apariggahitakāle kāyo ca cittañca sadarathā honti oḷārikā. Kāyacittānaṃ oḷārikatte avūpasante assāsapassāsāpi oḷārikā honti, balavatarā hutvā pavattanti, nāsikā nappahoti, mukhena assasantopi passasantopi tiṭṭhati. Yadā panassa kāyopi cittampi pariggahitā honti, tadā te santā honti vūpasantā. Tesu vūpasantesu assāsapassāsā sukhumā hutvā pavattanti, ‘‘atthi nu kho, natthī’’ti vicetabbākārappattā honti. Seyyathāpi purisassa dhāvitvā pabbatā vā orohitvā mahābhāraṃ vā sīsato oropetvā ṭhitassa oḷārikā assāsapassāsā honti, nāsikā nappahoti, mukhena assasantopi passasantopi tiṭṭhati. Yadā panesa taṃ parissamaṃ vinodetvā nhatvā ca pivitvā ca allasāṭakaṃ hadaye katvā sītāya chāyāya nipanno hoti, athassa te assāsapassāsā sukhumā honti ‘‘atthi nu kho, natthī’’ti vicetabbākārappattā, evamevaṃ imassa bhikkhuno apariggahitakāleti vitthāretabbaṃ. Tathā hissa pubbe apariggahitakāle ‘‘oḷārikoḷārike kāyasaṅkhāre passambhemī’’ti ābhogasamannāhāramanasikāro natthi, pariggahitakāle pana atthi. Tenassa apariggahitakālato pariggahitakāle kāyasaṅkhāro sukhumo hoti. Tenāhu porāṇā –
‘‘สารเทฺธ กาเย จิเตฺต จ, อธิมตฺตํ ปวตฺตติ;
‘‘Sāraddhe kāye citte ca, adhimattaṃ pavattati;
อสารทฺธมฺหิ กายมฺหิ, สุขุมํ สมฺปวตฺตตี’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๒๒๐; ปารา. อฎฺฐ. ๒.๑๖๕);
Asāraddhamhi kāyamhi, sukhumaṃ sampavattatī’’ti. (visuddhi. 1.220; pārā. aṭṭha. 2.165);
ปริคฺคเหปิ โอฬาริโก, ปฐมชฺฌานูปจาเร สุขุโมฯ ตสฺมิมฺปิ โอฬาริโก, ปฐมชฺฌาเน สุขุโมฯ ปฐมชฺฌาเน จ ทุติยชฺฌานูปจาเร จ โอฬาริโก, ทุติยชฺฌาเน สุขุโมฯ ทุติยชฺฌาเน จ ตติยชฺฌานูปจาเร จ โอฬาริโก, ตติยชฺฌาเน สุขุโมฯ ตติยชฺฌาเน จ จตุตฺถชฺฌานูปจาเร จ โอฬาริโก, จตุตฺถชฺฌาเน อติสุขุโม อปฺปวตฺติเมว ปาปุณาติฯ อิทํ ตาว ทีฆภาณกสํยุตฺตภาณกานํ มตํฯ
Pariggahepi oḷāriko, paṭhamajjhānūpacāre sukhumo. Tasmimpi oḷāriko, paṭhamajjhāne sukhumo. Paṭhamajjhāne ca dutiyajjhānūpacāre ca oḷāriko, dutiyajjhāne sukhumo. Dutiyajjhāne ca tatiyajjhānūpacāre ca oḷāriko, tatiyajjhāne sukhumo. Tatiyajjhāne ca catutthajjhānūpacāre ca oḷāriko, catutthajjhāne atisukhumo appavattimeva pāpuṇāti. Idaṃ tāva dīghabhāṇakasaṃyuttabhāṇakānaṃ mataṃ.
มชฺฌิมภาณกา ปน ‘‘ปฐมชฺฌาเน โอฬาริโก, ทุติยชฺฌานูปจาเร สุขุโม’’ติ เอวํ เหฎฺฐิมเหฎฺฐิมชฺฌานโต อุปรูปริชฺฌานูปจาเรปิ สุขุมตรํ อิจฺฉนฺติฯ สเพฺพสํเยว ปน มเตน อปริคฺคหิตกาเล ปวตฺตกายสงฺขาโร ปริคฺคหิตกาเล ปฎิปฺปสฺสมฺภติ, ปริคฺคหิตกาเล ปวตฺตกายสงฺขาโร ปฐมชฺฌานูปจาเร…เป.… จตุตฺถชฺฌานูปจาเร ปวตฺตกายสงฺขาโร จตุตฺถชฺฌาเน ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ อยํ ตาว สมเถ นโยฯ
Majjhimabhāṇakā pana ‘‘paṭhamajjhāne oḷāriko, dutiyajjhānūpacāre sukhumo’’ti evaṃ heṭṭhimaheṭṭhimajjhānato uparūparijjhānūpacārepi sukhumataraṃ icchanti. Sabbesaṃyeva pana matena apariggahitakāle pavattakāyasaṅkhāro pariggahitakāle paṭippassambhati, pariggahitakāle pavattakāyasaṅkhāro paṭhamajjhānūpacāre…pe… catutthajjhānūpacāre pavattakāyasaṅkhāro catutthajjhāne paṭippassambhati. Ayaṃ tāva samathe nayo.
วิปสฺสนายํ ปน อปริคฺคหิตกาเล ปวตฺตกายสงฺขาโร โอฬาริโก, มหาภูตปริคฺคเห สุขุโมฯ โสปิ โอฬาริโก, อุปาทารูปปริคฺคเห สุขุโมฯ โสปิ โอฬาริโก, สกลรูปปริคฺคเห สุขุโมฯ โสปิ โอฬาริโก, อรูปปริคฺคเห สุขุโมฯ โสปิ โอฬาริโก, รูปารูปปริคฺคเห สุขุโมฯ โสปิ โอฬาริโก, ปจฺจยปริคฺคเห สุขุโมฯ โสปิ โอฬาริโก, สปฺปจฺจยนามรูปทสฺสเน สุขุโมฯ โสปิ โอฬาริโก, ลกฺขณารมฺมณิก วิปสฺสนาย สุขุโมฯ โสปิ ทุพฺพลวิปสฺสนาย โอฬาริโก, พลววิปสฺสนาย สุขุโมฯ ตตฺถ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว ปุริมสฺส ปุริมสฺส ปจฺฉิเมน ปจฺฉิเมน ปฎิปฺปสฺสทฺธิ เวทิตพฺพาฯ เอวเมตฺถ โอฬาริกสุขุมตา ปฎิปฺปสฺสทฺธิ จ เวทิตพฺพาฯ อยํ ตาเวตฺถ กายานุปสฺสนาวเสน วุตฺตสฺส ปฐมจตุกฺกสฺส อนุปุพฺพปทวณฺณนาฯ
Vipassanāyaṃ pana apariggahitakāle pavattakāyasaṅkhāro oḷāriko, mahābhūtapariggahe sukhumo. Sopi oḷāriko, upādārūpapariggahe sukhumo. Sopi oḷāriko, sakalarūpapariggahe sukhumo. Sopi oḷāriko, arūpapariggahe sukhumo. Sopi oḷāriko, rūpārūpapariggahe sukhumo. Sopi oḷāriko, paccayapariggahe sukhumo. Sopi oḷāriko, sappaccayanāmarūpadassane sukhumo. Sopi oḷāriko, lakkhaṇārammaṇika vipassanāya sukhumo. Sopi dubbalavipassanāya oḷāriko, balavavipassanāya sukhumo. Tattha pubbe vuttanayeneva purimassa purimassa pacchimena pacchimena paṭippassaddhi veditabbā. Evamettha oḷārikasukhumatā paṭippassaddhi ca veditabbā. Ayaṃ tāvettha kāyānupassanāvasena vuttassa paṭhamacatukkassa anupubbapadavaṇṇanā.
ยสฺมา ปเนตฺถ อิทเมว จตุกฺกํ อาทิกมฺมิกสฺส กมฺมฎฺฐานวเสน วุตฺตํ, อิตรานิ ปน ตีณิ จตุกฺกานิ เอตฺถ ปตฺตชฺฌานสฺส เวทนาจิตฺตธมฺมานุปสฺสนาวเสน, ตสฺมา อิมํ กมฺมฎฺฐานํ ภาเวตฺวา อานาปานจตุกฺกชฺฌานปทฎฺฐานาย วิปสฺสนาย สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิตุกาเมน อาทิกมฺมิเกน กุลปุเตฺตน วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตนเยน สีลปริโสธนาทีนิ สพฺพกิจฺจานิ กตฺวา สตฺตงฺคสมนฺนาคตสฺส อาจริยสฺส สนฺติเก ปญฺจสนฺธิกํ กมฺมฎฺฐานํ อุคฺคเหตพฺพํฯ ตตฺริเม ปญฺจ สนฺธโย อุคฺคโห ปริปุจฺฉา อุปฎฺฐานํ อปฺปนา ลกฺขณนฺติฯ ตตฺถ อุคฺคโห นาม กมฺมฎฺฐานสฺส อุคฺคณฺหนํฯ ปริปุจฺฉา นาม กมฺมฎฺฐานสฺส ปริปุจฺฉนํฯ อุปฎฺฐานํ นาม กมฺมฎฺฐานสฺส อุปฎฺฐานํฯ อปฺปนา นาม กมฺมฎฺฐานสฺส อปฺปนาฯ ลกฺขณํ นาม กมฺมฎฺฐานสฺส ลกฺขณํ, ‘‘เอวํ ลกฺขณมิทํ กมฺมฎฺฐาน’’นฺติ กมฺมฎฺฐานสภาวูปธารณนฺติ วุตฺตํ โหติฯ
Yasmā panettha idameva catukkaṃ ādikammikassa kammaṭṭhānavasena vuttaṃ, itarāni pana tīṇi catukkāni ettha pattajjhānassa vedanācittadhammānupassanāvasena, tasmā imaṃ kammaṭṭhānaṃ bhāvetvā ānāpānacatukkajjhānapadaṭṭhānāya vipassanāya saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇitukāmena ādikammikena kulaputtena visuddhimagge vuttanayena sīlaparisodhanādīni sabbakiccāni katvā sattaṅgasamannāgatassa ācariyassa santike pañcasandhikaṃ kammaṭṭhānaṃ uggahetabbaṃ. Tatrime pañca sandhayo uggaho paripucchā upaṭṭhānaṃ appanā lakkhaṇanti. Tattha uggaho nāma kammaṭṭhānassa uggaṇhanaṃ. Paripucchā nāma kammaṭṭhānassa paripucchanaṃ. Upaṭṭhānaṃ nāma kammaṭṭhānassa upaṭṭhānaṃ. Appanā nāma kammaṭṭhānassa appanā. Lakkhaṇaṃ nāma kammaṭṭhānassa lakkhaṇaṃ, ‘‘evaṃ lakkhaṇamidaṃ kammaṭṭhāna’’nti kammaṭṭhānasabhāvūpadhāraṇanti vuttaṃ hoti.
เอวํ ปญฺจสนฺธิกํ กมฺมฎฺฐานํ อุคฺคณฺหโนฺต อตฺตนาปิ น กิลมติ, อาจริยมฺปิ น วิเหเสติฯ ตสฺมา โถกํ อุทฺทิสาเปตฺวา พหุํ กาลํ สชฺฌายิตฺวา เอวํ ปญฺจสนฺธิกํ กมฺมฎฺฐานํ อุคฺคเหตฺวา อาจริยสฺส สนฺติเก วา อญฺญตฺถ วา อฎฺฐารส โทสยุเตฺต วิหาเร วเชฺชตฺวา ปญฺจงฺคสมนฺนาคเต เสนาสเน วสเนฺตน อุปจฺฉินฺนขุทฺทกปลิโพเธน กตภตฺตกิเจฺจน ภตฺตสมฺมทํ ปฎิวิโนเทตฺวา สุขนิสิเนฺนน รตนตฺตยคุณานุสฺสรเณน จิตฺตํ สมฺปหํเสตฺวา อาจริยุคฺคหโต เอกปทมฺปิ อปริหาเปเนฺตน อิทํ อานาปานสฺสติกมฺมฎฺฐานํ มนสิ กาตพฺพํฯ ตตฺรายํ มนสิการวิธิ –
Evaṃ pañcasandhikaṃ kammaṭṭhānaṃ uggaṇhanto attanāpi na kilamati, ācariyampi na viheseti. Tasmā thokaṃ uddisāpetvā bahuṃ kālaṃ sajjhāyitvā evaṃ pañcasandhikaṃ kammaṭṭhānaṃ uggahetvā ācariyassa santike vā aññattha vā aṭṭhārasa dosayutte vihāre vajjetvā pañcaṅgasamannāgate senāsane vasantena upacchinnakhuddakapalibodhena katabhattakiccena bhattasammadaṃ paṭivinodetvā sukhanisinnena ratanattayaguṇānussaraṇena cittaṃ sampahaṃsetvā ācariyuggahato ekapadampi aparihāpentena idaṃ ānāpānassatikammaṭṭhānaṃ manasi kātabbaṃ. Tatrāyaṃ manasikāravidhi –
‘‘คณนา อนุพนฺธนา, ผุสนา ฐปนา สลฺลกฺขณา;
‘‘Gaṇanā anubandhanā, phusanā ṭhapanā sallakkhaṇā;
วิวฎฺฎนา ปาริสุทฺธิ, เตสญฺจ ปฎิปสฺสนา’’ติฯ
Vivaṭṭanā pārisuddhi, tesañca paṭipassanā’’ti.
ตตฺถ คณนาติ คณนาเยวฯ อนุพนฺธนาติ อนุคมนาฯ ผุสนาติ ผุฎฺฐฎฺฐานํฯ ฐปนาติ อปฺปนาฯ สลฺลกฺขณาติ วิปสฺสนาฯ วิวฎฺฎนาติ มโคฺคฯ ปาริสุทฺธีติ ผลํฯ เตสญฺจ ปฎิปสฺสนาติ ปจฺจเวกฺขณาฯ ตตฺถ อิมินา อาทิกมฺมิเกน กุลปุเตฺตน ปฐมํ คณนาย อิทํ กมฺมฎฺฐานํ มนสิ กาตพฺพํฯ คเณเนฺตน ปน ปญฺจนฺนํ เหฎฺฐา น ฐเปตพฺพํ, ทสนฺนํ อุปริ น เนตพฺพํ, อนฺตรา ขณฺฑํ น ทเสฺสตพฺพํฯ ปญฺจนฺนํ เหฎฺฐา ฐเปนฺตสฺส หิ สมฺพาเธ โอกาเส จิตฺตุปฺปาโท วิปฺผนฺทติ สมฺพาเธ วเช สนฺนิรุทฺธโคคโณ วิยฯ ทสนฺนํ อุปริ เนนฺตสฺส คณนนิสฺสิโตว จิตฺตุปฺปาโท โหติฯ อนฺตรา ขณฺฑํ ทเสฺสนฺตสฺส ‘‘สิขาปฺปตฺตํ นุ โข เม กมฺมฎฺฐานํ, โน’’ติ จิตฺตํ วิกมฺปติ, ตสฺมา เอเต โทเส วเชฺชตฺวา คเณตพฺพํฯ
Tattha gaṇanāti gaṇanāyeva. Anubandhanāti anugamanā. Phusanāti phuṭṭhaṭṭhānaṃ. Ṭhapanāti appanā. Sallakkhaṇāti vipassanā. Vivaṭṭanāti maggo. Pārisuddhīti phalaṃ. Tesañca paṭipassanāti paccavekkhaṇā. Tattha iminā ādikammikena kulaputtena paṭhamaṃ gaṇanāya idaṃ kammaṭṭhānaṃ manasi kātabbaṃ. Gaṇentena pana pañcannaṃ heṭṭhā na ṭhapetabbaṃ, dasannaṃ upari na netabbaṃ, antarā khaṇḍaṃ na dassetabbaṃ. Pañcannaṃ heṭṭhā ṭhapentassa hi sambādhe okāse cittuppādo vipphandati sambādhe vaje sanniruddhagogaṇo viya. Dasannaṃ upari nentassa gaṇananissitova cittuppādo hoti. Antarā khaṇḍaṃ dassentassa ‘‘sikhāppattaṃ nu kho me kammaṭṭhānaṃ, no’’ti cittaṃ vikampati, tasmā ete dose vajjetvā gaṇetabbaṃ.
คเณเนฺตน จ ปฐมํ ทนฺธคณนาย ธญฺญมาปกคณนาย คเณตพฺพํฯ ธญฺญมาปโก หิ นาฬิํ ปูเรตฺวา ‘‘เอก’’นฺติ วตฺวา โอกิรติ, ปุน ปูเรโนฺต กิญฺจิ กจวรํ ทิสฺวา ฉเฑฺฑโนฺต ‘‘เอกํ เอก’’นฺติ วทติฯ เอเสว นโย เทฺว เทฺวติอาทีสุฯ เอวเมวํ อิมินาปิ อสฺสาสปสฺสาเสสุ โย อุปฎฺฐาติ, ตํ คเหตฺวา ‘‘เอกํ เอก’’นฺติอาทิํ กตฺวา ยาว ‘‘ทส ทสา’’ติ ปวตฺตมานํ ปวตฺตมานํ อุปลเกฺขตฺวาว คเณตพฺพํฯ ตสฺส เอวํ คณยโต นิกฺขมนฺตา จ ปวิสนฺตา จ อสฺสาสปสฺสาสา ปากฎา โหนฺติฯ
Gaṇentena ca paṭhamaṃ dandhagaṇanāya dhaññamāpakagaṇanāya gaṇetabbaṃ. Dhaññamāpako hi nāḷiṃ pūretvā ‘‘eka’’nti vatvā okirati, puna pūrento kiñci kacavaraṃ disvā chaḍḍento ‘‘ekaṃ eka’’nti vadati. Eseva nayo dve dvetiādīsu. Evamevaṃ imināpi assāsapassāsesu yo upaṭṭhāti, taṃ gahetvā ‘‘ekaṃ eka’’ntiādiṃ katvā yāva ‘‘dasa dasā’’ti pavattamānaṃ pavattamānaṃ upalakkhetvāva gaṇetabbaṃ. Tassa evaṃ gaṇayato nikkhamantā ca pavisantā ca assāsapassāsā pākaṭā honti.
อถาเนน ตํ ทนฺธคณนํ ธญฺญมาปกคณนํ ปหาย สีฆคณนาย โคปาลกคณนาย คเณตพฺพํฯ เฉโก หิ โคปาลโก สกฺขราทโย อุจฺฉเงฺคน คเหตฺวา รชฺชุทณฺฑหโตฺถ ปาโตว วชํ คนฺตฺวา คาโว ปิฎฺฐิยํ ปหริตฺวา ปลิฆตฺถมฺภมตฺถเก นิสิโนฺน ทฺวารํ ปตฺตํ ปตฺตํเยว คาวํ ‘‘เอโก เทฺว’’ติ สกฺขรํ ขิปิตฺวา ขิปิตฺวา คเณติฯ ติยามรตฺติํ สมฺพาเธ โอกาเส ทุกฺขํ วุตฺถโคคโณ นิกฺขมโนฺต อญฺญมญฺญํ อุปนิฆํสโนฺต เวเคน เวเคน ปุญฺชปุโญฺช หุตฺวา นิกฺขมติฯ โส เวเคน เวเคน ‘‘ตีณิ จตฺตาริ ปญฺจ ทสา’’ติ คเณติเยว, เอวมสฺสาปิ ปุริมนเยน คณยโต อสฺสาสปสฺสาสา ปากฎา หุตฺวา สีฆํ สีฆํ ปุนปฺปุนํ สญฺจรนฺติฯ ตโต เตน ‘‘ปุนปฺปุนํ สญฺจรนฺตี’’ติ ญตฺวา อโนฺต จ พหิ จ อคฺคเหตฺวา ทฺวารปฺปตฺตํ ทฺวารปฺปตฺตํเยว คเหตฺวา ‘‘เอโก เทฺว ตีณิ จตฺตาริ ปญฺจ, เอโก เทฺว ตีณิ จตฺตาริ ปญฺจ ฉ, เอโก เทฺว ตีณิ จตฺตาริ ปญฺจ ฉ สตฺต…เป.… อฎฺฐ นว ทสา’’ติ สีฆํ สีฆํ คเณตพฺพเมวฯ คณนาปฎิพเทฺธ หิ กมฺมฎฺฐาเน คณนพเลเนว จิตฺตํ เอกคฺคํ โหติ อริตฺตุปตฺถมฺภนวเสน จณฺฑโสเต นาวาฐปนมิวฯ
Athānena taṃ dandhagaṇanaṃ dhaññamāpakagaṇanaṃ pahāya sīghagaṇanāya gopālakagaṇanāya gaṇetabbaṃ. Cheko hi gopālako sakkharādayo ucchaṅgena gahetvā rajjudaṇḍahattho pātova vajaṃ gantvā gāvo piṭṭhiyaṃ paharitvā palighatthambhamatthake nisinno dvāraṃ pattaṃ pattaṃyeva gāvaṃ ‘‘eko dve’’ti sakkharaṃ khipitvā khipitvā gaṇeti. Tiyāmarattiṃ sambādhe okāse dukkhaṃ vutthagogaṇo nikkhamanto aññamaññaṃ upanighaṃsanto vegena vegena puñjapuñjo hutvā nikkhamati. So vegena vegena ‘‘tīṇi cattāri pañca dasā’’ti gaṇetiyeva, evamassāpi purimanayena gaṇayato assāsapassāsā pākaṭā hutvā sīghaṃ sīghaṃ punappunaṃ sañcaranti. Tato tena ‘‘punappunaṃ sañcarantī’’ti ñatvā anto ca bahi ca aggahetvā dvārappattaṃ dvārappattaṃyeva gahetvā ‘‘eko dve tīṇi cattāri pañca, eko dve tīṇi cattāri pañca cha, eko dve tīṇi cattāri pañca cha satta…pe… aṭṭha nava dasā’’ti sīghaṃ sīghaṃ gaṇetabbameva. Gaṇanāpaṭibaddhe hi kammaṭṭhāne gaṇanabaleneva cittaṃ ekaggaṃ hoti arittupatthambhanavasena caṇḍasote nāvāṭhapanamiva.
ตเสฺสวํ สีฆํ สีฆํ คณยโต กมฺมฎฺฐานํ นิรนฺตรํ ปวตฺตํ วิย หุตฺวา อุปฎฺฐาติฯ อถ ‘‘นิรนฺตรํ ปวตฺตตี’’ติ ญตฺวา อโนฺต จ พหิ จ วาตํ อปริคฺคเหตฺวา ปุริมนเยเนว เวเคน เวเคน คเณตพฺพํฯ อโนฺตปวิสนวาเตน หิ สทฺธิํ จิตฺตํ ปเวสยโต อพฺภนฺตรํ วาตพฺภาหตํ เมทปูริตํ วิย โหติฯ พหินิกฺขมนวาเตน สทฺธิํ จิตฺตํ นีหรโต พหิทฺธา ปุถุตฺตารมฺมเณ จิตฺตํ วิกฺขิปติฯ ผุฎฺฐผุโฎฺฐกาเส ปน สติํ ฐเปตฺวา ภาเวนฺตเสฺสว ภาวนา สมฺปชฺชติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อโนฺต จ พหิ จ วาตํ อปริคฺคเหตฺวา ปุริมนเยเนว เวเคน เวเคน คเณตพฺพ’’นฺติฯ
Tassevaṃ sīghaṃ sīghaṃ gaṇayato kammaṭṭhānaṃ nirantaraṃ pavattaṃ viya hutvā upaṭṭhāti. Atha ‘‘nirantaraṃ pavattatī’’ti ñatvā anto ca bahi ca vātaṃ apariggahetvā purimanayeneva vegena vegena gaṇetabbaṃ. Antopavisanavātena hi saddhiṃ cittaṃ pavesayato abbhantaraṃ vātabbhāhataṃ medapūritaṃ viya hoti. Bahinikkhamanavātena saddhiṃ cittaṃ nīharato bahiddhā puthuttārammaṇe cittaṃ vikkhipati. Phuṭṭhaphuṭṭhokāse pana satiṃ ṭhapetvā bhāventasseva bhāvanā sampajjati. Tena vuttaṃ – ‘‘anto ca bahi ca vātaṃ apariggahetvā purimanayeneva vegena vegena gaṇetabba’’nti.
กีวจิรํ ปเนตํ คเณตพฺพนฺติ? ยาว วินา คณนาย อสฺสาสปสฺสาสารมฺมเณ สติ สนฺติฎฺฐติฯ พหิ วิสฎวิตกฺกวิเจฺฉทํ กตฺวา อสฺสาสปสฺสาสารมฺมเณ สติ สณฺฐาปนตฺถํเยว หิ คณนาติฯ
Kīvaciraṃ panetaṃ gaṇetabbanti? Yāva vinā gaṇanāya assāsapassāsārammaṇe sati santiṭṭhati. Bahi visaṭavitakkavicchedaṃ katvā assāsapassāsārammaṇe sati saṇṭhāpanatthaṃyeva hi gaṇanāti.
เอวํ คณนาย มนสิ กตฺวา อนุพนฺธนาย มนสิ กาตพฺพํฯ อนุพนฺธนา นาม คณนํ ปฎิสํหริตฺวา สติยา นิรนฺตรํ อสฺสาสปสฺสาสานํ อนุคมนํฯ ตญฺจ โข น อาทิมชฺฌปริโยสานานุคมนวเสนฯ อาทิมชฺฌปริโยสานานิ ตสฺสานุคมเน อาทีนวา จ เหฎฺฐา วุตฺตาเยวฯ
Evaṃ gaṇanāya manasi katvā anubandhanāya manasi kātabbaṃ. Anubandhanā nāma gaṇanaṃ paṭisaṃharitvā satiyā nirantaraṃ assāsapassāsānaṃ anugamanaṃ. Tañca kho na ādimajjhapariyosānānugamanavasena. Ādimajjhapariyosānāni tassānugamane ādīnavā ca heṭṭhā vuttāyeva.
ตสฺมา อนุพนฺธนาย มนสิกโรเนฺตน น อาทิมชฺฌปริโยสานวเสน มนสิ กาตพฺพํ, อปิจ โข ผุสนาวเสน จ ฐปนาวเสน จ มนสิ กาตพฺพํฯ คณนานุพนฺธนาวเสน วิย หิ ผุสนาฐปนาวเสน วิสุํ มนสิกาโร นตฺถิ, ผุฎฺฐผุฎฺฐฎฺฐาเนเยว ปน คเณโนฺต คณนาย จ ผุสนาย จ มนสิ กโรติ, ตเตฺถว คณนํ ปฎิสํหริตฺวา เต สติยา อนุพนฺธโนฺต, อปฺปนาวเสน จ จิตฺตํ ฐเปโนฺต ‘‘อนุพนฺธนาย จ ผุสนาย จ ฐปนาย จ มนสิ กโรตี’’ติ วุจฺจติฯ สฺวายมโตฺถ อฎฺฐกถาสุ วุตฺตปงฺคุฬโทวาริโกปมาหิ อิเธว ปาฬิยํ วุตฺตกกจูปมาย จ เวทิตโพฺพฯ
Tasmā anubandhanāya manasikarontena na ādimajjhapariyosānavasena manasi kātabbaṃ, apica kho phusanāvasena ca ṭhapanāvasena ca manasi kātabbaṃ. Gaṇanānubandhanāvasena viya hi phusanāṭhapanāvasena visuṃ manasikāro natthi, phuṭṭhaphuṭṭhaṭṭhāneyeva pana gaṇento gaṇanāya ca phusanāya ca manasi karoti, tattheva gaṇanaṃ paṭisaṃharitvā te satiyā anubandhanto, appanāvasena ca cittaṃ ṭhapento ‘‘anubandhanāya ca phusanāya ca ṭhapanāya ca manasi karotī’’ti vuccati. Svāyamattho aṭṭhakathāsu vuttapaṅguḷadovārikopamāhi idheva pāḷiyaṃ vuttakakacūpamāya ca veditabbo.
ตตฺรายํ ปงฺคุโฬปมา – เสยฺยถาปิ ปงฺคุโฬ โทลาย กีฬตํ มาตาปุตฺตานํ โทลํ ขิปิตฺวา ตเตฺถว โทลาถมฺภมูเล นิสิโนฺน กเมน อาคจฺฉนฺตสฺส จ คจฺฉนฺตสฺส จ โทลาผลกสฺส อุโภ โกฎิโย มชฺฌญฺจ ปสฺสติ, น จ อุโภโกฎิมชฺฌานํ ทสฺสนตฺถํ พฺยาวโฎ โหติ, เอวเมว ภิกฺขุ สติวเสน อุปนิพนฺธนตฺถมฺภมูเล ฐตฺวา อสฺสาสปสฺสาสโทลํ ขิปิตฺวา ตเตฺถว นิมิเตฺต สติยา นิสีทโนฺต กเมน อาคจฺฉนฺตานญฺจ คจฺฉนฺตานญฺจ ผุฎฺฐฎฺฐาเน อสฺสาสปสฺสาสานํ อาทิมชฺฌปริโยสานํ สติยา อนุคจฺฉโนฺต ตเตฺถว (วิสุทฺธิ. ๑.๒๒๕) จิตฺตํ ฐเปตฺวา ปสฺสติ, น จ เตสํ ทสฺสนตฺถํ พฺยาวโฎ โหติฯ อยํ ปงฺคุโฬปมาฯ
Tatrāyaṃ paṅguḷopamā – seyyathāpi paṅguḷo dolāya kīḷataṃ mātāputtānaṃ dolaṃ khipitvā tattheva dolāthambhamūle nisinno kamena āgacchantassa ca gacchantassa ca dolāphalakassa ubho koṭiyo majjhañca passati, na ca ubhokoṭimajjhānaṃ dassanatthaṃ byāvaṭo hoti, evameva bhikkhu sativasena upanibandhanatthambhamūle ṭhatvā assāsapassāsadolaṃ khipitvā tattheva nimitte satiyā nisīdanto kamena āgacchantānañca gacchantānañca phuṭṭhaṭṭhāne assāsapassāsānaṃ ādimajjhapariyosānaṃ satiyā anugacchanto tattheva (visuddhi. 1.225) cittaṃ ṭhapetvā passati, na ca tesaṃ dassanatthaṃ byāvaṭo hoti. Ayaṃ paṅguḷopamā.
อยํ ปน โทวาริโกปมา – เสยฺยถาปิ โทวาริโก นครสฺส อโนฺต จ พหิ จ ปุริเส ‘‘โก ตฺวํ, กุโต วา อาคโต, กุหิํ วา คจฺฉสิ, กิํ วา เต หเตฺถ’’ติ น วีมํสติฯ น หิ ตสฺส เต ภารา, ทฺวารปฺปตฺตํ ทฺวารปฺปตฺตํเยว ปน วีมํสติ, เอวเมว อิมสฺส ภิกฺขุโน อโนฺตปวิฎฺฐวาตา จ พหินิกฺขนฺตวาตา จ น ภารา โหนฺติ, ทฺวารปฺปตฺตา ทฺวารปฺปตฺตาเยว ภาราติ อยํ โทวาริโกปมาฯ
Ayaṃ pana dovārikopamā – seyyathāpi dovāriko nagarassa anto ca bahi ca purise ‘‘ko tvaṃ, kuto vā āgato, kuhiṃ vā gacchasi, kiṃ vā te hatthe’’ti na vīmaṃsati. Na hi tassa te bhārā, dvārappattaṃ dvārappattaṃyeva pana vīmaṃsati, evameva imassa bhikkhuno antopaviṭṭhavātā ca bahinikkhantavātā ca na bhārā honti, dvārappattā dvārappattāyeva bhārāti ayaṃ dovārikopamā.
กกจูปมา ปน ‘‘นิมิตฺตํ อสฺสาสปสฺสาสา’’ติอาทินา (ปฎิ. ม. ๑.๑๕๙) นเยน อิธ วุตฺตาเยวฯ อิธ ปนสฺส อาคตาคตวเสน อมนสิการมตฺตเมว ปโยชนนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Kakacūpamā pana ‘‘nimittaṃ assāsapassāsā’’tiādinā (paṭi. ma. 1.159) nayena idha vuttāyeva. Idha panassa āgatāgatavasena amanasikāramattameva payojananti veditabbaṃ.
อิทํ กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรโต กสฺสจิ น จิเรเนว นิมิตฺตญฺจ อุปฺปชฺชติ, อวเสสฌานงฺคปฎิมณฺฑิตา อปฺปนาสงฺขาตา ฐปนา จ สมฺปชฺชติฯ กสฺสจิ ปน คณนาวเสเนว มนสิการกาลโต ปภุติ ยถา สารทฺธกายสฺส มเญฺจ วา ปีเฐ วา นิสีทโต มญฺจปีฐํ โอนมติ วิกูชติ, ปจฺจตฺถรณํ วลิํ คณฺหาติ, อสารทฺธกายสฺส ปน นิสีทโต เนว มญฺจปีฐํ โอนมติ น วิกูชติ, น ปจฺจตฺถรณํ วลิํ คณฺหาติ, ตูลปิจุปูริตํ วิย มญฺจปีฐํ โหติ ฯ กสฺมา? ยสฺมา อสารโทฺธ กาโย ลหุโก โหติ, เอวเมวํ คณนาวเสน มนสิการกาลโต ปภุติ อนุกฺกมโต โอฬาริกอสฺสาสปสฺสาสนิโรธวเสน กายทรเถ วูปสเนฺต กาโยปิ จิตฺตมฺปิ ลหุกํ โหติ, สรีรํ อากาเส ลงฺฆนาการปฺปตฺตํ วิย โหติฯ
Idaṃ kammaṭṭhānaṃ manasikaroto kassaci na cireneva nimittañca uppajjati, avasesajhānaṅgapaṭimaṇḍitā appanāsaṅkhātā ṭhapanā ca sampajjati. Kassaci pana gaṇanāvaseneva manasikārakālato pabhuti yathā sāraddhakāyassa mañce vā pīṭhe vā nisīdato mañcapīṭhaṃ onamati vikūjati, paccattharaṇaṃ valiṃ gaṇhāti, asāraddhakāyassa pana nisīdato neva mañcapīṭhaṃ onamati na vikūjati, na paccattharaṇaṃ valiṃ gaṇhāti, tūlapicupūritaṃ viya mañcapīṭhaṃ hoti . Kasmā? Yasmā asāraddho kāyo lahuko hoti, evamevaṃ gaṇanāvasena manasikārakālato pabhuti anukkamato oḷārikaassāsapassāsanirodhavasena kāyadarathe vūpasante kāyopi cittampi lahukaṃ hoti, sarīraṃ ākāse laṅghanākārappattaṃ viya hoti.
ตสฺส โอฬาริเก อสฺสาสปสฺสาเส นิรุเทฺธ สุขุมอสฺสาสปสฺสาสนิมิตฺตารมฺมณํ จิตฺตํ ปวตฺตติ ฯ ตสฺมิมฺปิ นิรุเทฺธ อปราปรํ ตโต สุขุมตรํ สุขุมตรํ อสฺสาสปสฺสาสนิมิตฺตารมฺมณํ ปวตฺตติเยวฯ สฺวายมโตฺถ อุปริ วุตฺตกํสถาโลปมาย เวทิตโพฺพฯ
Tassa oḷārike assāsapassāse niruddhe sukhumaassāsapassāsanimittārammaṇaṃ cittaṃ pavattati . Tasmimpi niruddhe aparāparaṃ tato sukhumataraṃ sukhumataraṃ assāsapassāsanimittārammaṇaṃ pavattatiyeva. Svāyamattho upari vuttakaṃsathālopamāya veditabbo.
ยถา หิ อญฺญานิ กมฺมฎฺฐานานิ อุปรูปริ วิภูตานิ โหนฺติ, น ตถา อิทํฯ อิทํ ปน อุปรูปริ ภาเวนฺตสฺส สุขุมตฺตํ คจฺฉติ, อุปฎฺฐานมฺปิ น อุปคจฺฉติฯ เอวํ อนุปฎฺฐหเนฺต ปน ตสฺมิํ เตน ภิกฺขุนา ‘‘อาจริยํ ปุจฺฉิสฺสามี’’ติ วา ‘‘นฎฺฐํ ทานิ เม กมฺมฎฺฐาน’’นฺติ วา อุฎฺฐายาสนา น คนฺตพฺพํฯ อิริยาปถํ วิโกเปตฺวา คจฺฉโต หิ กมฺมฎฺฐานํ นวนวเมว โหติฯ ตสฺมา ยถานิสิเนฺนเนว เทสโต อาหริตพฺพํฯ
Yathā hi aññāni kammaṭṭhānāni uparūpari vibhūtāni honti, na tathā idaṃ. Idaṃ pana uparūpari bhāventassa sukhumattaṃ gacchati, upaṭṭhānampi na upagacchati. Evaṃ anupaṭṭhahante pana tasmiṃ tena bhikkhunā ‘‘ācariyaṃ pucchissāmī’’ti vā ‘‘naṭṭhaṃ dāni me kammaṭṭhāna’’nti vā uṭṭhāyāsanā na gantabbaṃ. Iriyāpathaṃ vikopetvā gacchato hi kammaṭṭhānaṃ navanavameva hoti. Tasmā yathānisinneneva desato āharitabbaṃ.
ตตฺรายํ อาหรณูปาโย – เตน ภิกฺขุนา กมฺมฎฺฐานสฺส อนุปฎฺฐานภาวํ ญตฺวา อิติ ปฎิสญฺจิกฺขิตพฺพํ ‘‘อิเม อสฺสาสปสฺสาสา นาม กตฺถ อตฺถิ, กตฺถ นตฺถิฯ กสฺส วา อตฺถิ, กสฺส วา นตฺถี’’ติฯ อเถวํ ปฎิสญฺจิกฺขโต ‘‘อิเม อโนฺตมาตุกุจฺฉิยํ นตฺถิ, อุทเก นิมุคฺคานํ นตฺถิ, ตถา อสญฺญีภูตานํ มตานํ จตุตฺถชฺฌานสมาปนฺนานํ รูปารูปภวสมงฺคีนํ นิโรธสมาปนฺนาน’’นฺติ ญตฺวา เอวํ อตฺตนาว อตฺตา ปฎิโจเทตโพฺพ ‘‘นนุ, ตฺวํ ปณฺฑิต, เนว มาตุกุจฺฉิคโต, น อุทเก นิมุโคฺค, น อสญฺญีภูโต, น มโต, น จตุตฺถชฺฌานสมาปโนฺน, น รูปารูปภวสมงฺคี, น นิโรธสมาปโนฺนฯ อตฺถิเยว เต อสฺสาสปสฺสาสา, มนฺทปญฺญตาย ปน ปริคฺคเหตุํ น สโกฺกสี’’ติฯ อถาเนน ปกติผุฎฺฐวเสน จิตฺตํ ฐเปตฺวา มนสิกาโร ปวเตฺตตโพฺพฯ อิเม หิ ทีฆนาสิกสฺส นาสาปุฎํ ฆเฎฺฎนฺตา ปวตฺตนฺติ, รสฺสนาสิกสฺส อุตฺตโรฎฺฐํฯ ตสฺมาเนน อิมํ นาม ฐานํ ฆเฎฺฎนฺตีติ นิมิตฺตํ ฐเปตพฺพํฯ อิมเมว หิ อตฺถวสํ ปฎิจฺจ วุตฺตํ ภควตา – ‘‘นาหํ, ภิกฺขเว, มุฎฺฐสฺสติสฺส อสมฺปชานสฺส อานาปานสฺสติภาวนํ วทามี’’ติ (ม. นิ. ๓.๑๔๙; สํ. นิ. ๕.๙๙๒)ฯ กิญฺจาปิ หิ ยํกิญฺจิ กมฺมฎฺฐานํ สตสฺส สมฺปชานเสฺสว สมฺปชฺชติ, อิโต อญฺญํ ปน มนสิกโรนฺตสฺส ปากฎํ โหติฯ อิทํ ปน อานาปานสฺสติกมฺมฎฺฐานํ ครุกํ ครุกภาวนํ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธพุทฺธปุตฺตานํ มหาปุริสานํเยว มนสิการภูมิภูตํ, น เจว อิตฺตรํ, น จ อิตฺตรสตฺตสมาเสวิตํฯ ยถา ยถา มนสิ กรียติ, ตถา ตถา สนฺตเญฺจว โหติ สุขุมญฺจฯ ตสฺมา เอตฺถ พลวตี สติ จ ปญฺญา จ อิจฺฉิตพฺพาฯ
Tatrāyaṃ āharaṇūpāyo – tena bhikkhunā kammaṭṭhānassa anupaṭṭhānabhāvaṃ ñatvā iti paṭisañcikkhitabbaṃ ‘‘ime assāsapassāsā nāma kattha atthi, kattha natthi. Kassa vā atthi, kassa vā natthī’’ti. Athevaṃ paṭisañcikkhato ‘‘ime antomātukucchiyaṃ natthi, udake nimuggānaṃ natthi, tathā asaññībhūtānaṃ matānaṃ catutthajjhānasamāpannānaṃ rūpārūpabhavasamaṅgīnaṃ nirodhasamāpannāna’’nti ñatvā evaṃ attanāva attā paṭicodetabbo ‘‘nanu, tvaṃ paṇḍita, neva mātukucchigato, na udake nimuggo, na asaññībhūto, na mato, na catutthajjhānasamāpanno, na rūpārūpabhavasamaṅgī, na nirodhasamāpanno. Atthiyeva te assāsapassāsā, mandapaññatāya pana pariggahetuṃ na sakkosī’’ti. Athānena pakatiphuṭṭhavasena cittaṃ ṭhapetvā manasikāro pavattetabbo. Ime hi dīghanāsikassa nāsāpuṭaṃ ghaṭṭentā pavattanti, rassanāsikassa uttaroṭṭhaṃ. Tasmānena imaṃ nāma ṭhānaṃ ghaṭṭentīti nimittaṃ ṭhapetabbaṃ. Imameva hi atthavasaṃ paṭicca vuttaṃ bhagavatā – ‘‘nāhaṃ, bhikkhave, muṭṭhassatissa asampajānassa ānāpānassatibhāvanaṃ vadāmī’’ti (ma. ni. 3.149; saṃ. ni. 5.992). Kiñcāpi hi yaṃkiñci kammaṭṭhānaṃ satassa sampajānasseva sampajjati, ito aññaṃ pana manasikarontassa pākaṭaṃ hoti. Idaṃ pana ānāpānassatikammaṭṭhānaṃ garukaṃ garukabhāvanaṃ buddhapaccekabuddhabuddhaputtānaṃ mahāpurisānaṃyeva manasikārabhūmibhūtaṃ, na ceva ittaraṃ, na ca ittarasattasamāsevitaṃ. Yathā yathā manasi karīyati, tathā tathā santañceva hoti sukhumañca. Tasmā ettha balavatī sati ca paññā ca icchitabbā.
ยถา หิ มฎฺฐสาฎกสฺส ตุนฺนกรณกาเล สูจิปิ สุขุมา อิจฺฉิตพฺพา, สูจิปาสเวธนมฺปิ ตโต สุขุมตรํ, เอวเมวํ มฎฺฐสาฎกสทิสสฺส อิมสฺส กมฺมฎฺฐานสฺส ภาวนากาเล สูจิปฎิภาคา สติปิ สูจิปาสเวธนปฎิภาคา ตํสมฺปยุตฺตา ปญฺญาปิ พลวตี อิจฺฉิตพฺพาฯ ตาหิ จ ปน สติปญฺญาหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น เต อสฺสาสปสฺสาสา อญฺญตฺร ปกติผุโฎฺฐกาสา ปริเยสิตพฺพาฯ
Yathā hi maṭṭhasāṭakassa tunnakaraṇakāle sūcipi sukhumā icchitabbā, sūcipāsavedhanampi tato sukhumataraṃ, evamevaṃ maṭṭhasāṭakasadisassa imassa kammaṭṭhānassa bhāvanākāle sūcipaṭibhāgā satipi sūcipāsavedhanapaṭibhāgā taṃsampayuttā paññāpi balavatī icchitabbā. Tāhi ca pana satipaññāhi samannāgatena bhikkhunā na te assāsapassāsā aññatra pakatiphuṭṭhokāsā pariyesitabbā.
ยถา หิ กสฺสโก เขตฺตํ กสิตฺวา พลีพเทฺท มุญฺจิตฺวา โคจรมุเข กตฺวา ฉายาย นิสิโนฺน วิสฺสเมยฺย, อถสฺส เต พลีพทฺทา เวเคน อฎวิํ ปวิเสยฺยุํฯ โย โหติ เฉโก กสฺสโก, โส ปุน เต คเหตฺวา โยเชตุกาโม น เตสํ อนุปทํ คนฺตฺวา อฎวิํ อาหิณฺฑติฯ อถ โข รสฺมิญฺจ ปโตทญฺจ คเหตฺวา อุชุกเมว เตสํ นิปาตนติตฺถํ คนฺตฺวา นิสีทติ วา นิปชฺชติ วาฯ อถ เต โคเณ ทิวสภาคํ จริตฺวา นิปาตนติตฺถํ โอตริตฺวา นฺหตฺวา จ ปิวิตฺวา จ ปจฺจุตฺตริตฺวา ฐิเต ทิสฺวา รสฺมิยา พนฺธิตฺวา ปโตเทน วิชฺฌโนฺต อาเนตฺวา โยเชตฺวา ปุน กมฺมํ กโรติฯ เอวเมวํ เตน ภิกฺขุนา น เต อสฺสาสปสฺสาสา อญฺญตฺร ปกติผุโฎฺฐกาสา ปริเยสิตพฺพาฯ สติรสฺมิํ ปน ปญฺญาปโตทญฺจ คเหตฺวา ปกติผุโฎฺฐกาเส จิตฺตํ ฐเปตฺวา มนสิกาโร ปวเตฺตตโพฺพฯ เอวํ หิสฺส มนสิกโรโต น จิรเสฺสว เต อุปฎฺฐหนฺติ นิปาตนติเตฺถ วิย โคณาฯ ตโต เตน สติรสฺมิยา พนฺธิตฺวา ตสฺมิํเยว ฐาเน โยเชตฺวา ปญฺญาปโตเทน วิชฺฌเนฺตน ปุนปฺปุนํ กมฺมฎฺฐานํ อนุยุญฺชิตพฺพํฯ ตเสฺสวมนุยุญฺชโต น จิรเสฺสว นิมิตฺตํ อุปฎฺฐาติฯ ตํ ปเนตํ น สเพฺพสํ เอกสทิสํ โหติ, อปิจ โข กสฺสจิ สุขสมฺผสฺสํ อุปฺปาทยมาโน ตูลปิจุ วิย กปฺปาสปิจุ วิย วาตธารา วิย จ อุปฎฺฐาตีติ เอกเจฺจ อาหุฯ
Yathā hi kassako khettaṃ kasitvā balībadde muñcitvā gocaramukhe katvā chāyāya nisinno vissameyya, athassa te balībaddā vegena aṭaviṃ paviseyyuṃ. Yo hoti cheko kassako, so puna te gahetvā yojetukāmo na tesaṃ anupadaṃ gantvā aṭaviṃ āhiṇḍati. Atha kho rasmiñca patodañca gahetvā ujukameva tesaṃ nipātanatitthaṃ gantvā nisīdati vā nipajjati vā. Atha te goṇe divasabhāgaṃ caritvā nipātanatitthaṃ otaritvā nhatvā ca pivitvā ca paccuttaritvā ṭhite disvā rasmiyā bandhitvā patodena vijjhanto ānetvā yojetvā puna kammaṃ karoti. Evamevaṃ tena bhikkhunā na te assāsapassāsā aññatra pakatiphuṭṭhokāsā pariyesitabbā. Satirasmiṃ pana paññāpatodañca gahetvā pakatiphuṭṭhokāse cittaṃ ṭhapetvā manasikāro pavattetabbo. Evaṃ hissa manasikaroto na cirasseva te upaṭṭhahanti nipātanatitthe viya goṇā. Tato tena satirasmiyā bandhitvā tasmiṃyeva ṭhāne yojetvā paññāpatodena vijjhantena punappunaṃ kammaṭṭhānaṃ anuyuñjitabbaṃ. Tassevamanuyuñjato na cirasseva nimittaṃ upaṭṭhāti. Taṃ panetaṃ na sabbesaṃ ekasadisaṃ hoti, apica kho kassaci sukhasamphassaṃ uppādayamāno tūlapicu viya kappāsapicu viya vātadhārā viya ca upaṭṭhātīti ekacce āhu.
อยํ ปน อฎฺฐกถาสุ วินิจฺฉโย – อิทญฺหิ กสฺสจิ ตารกรูปํ วิย มณิคุฬิกา วิย มุตฺตาคุฬิกา วิย จ, กสฺสจิ ขรสมฺผสฺสํ หุตฺวา กปฺปาสฎฺฐิ วิย ทารุสารสูจิ วิย จ, กสฺสจิ ทีฆปามงฺคสุตฺตํ วิย กุสุมทามํ วิย ธูมสิขา วิย จ, กสฺสจิ วิตฺถตํ มกฺกฎกสุตฺตํ วิย วลาหกปฎลํ วิย ปทุมปุปฺผํ วิย รถจกฺกํ วิย จนฺทมณฺฑลํ วิย สูริยมณฺฑลํ วิย จ อุปฎฺฐาติ, ตญฺจ ปเนตํ ยถา สมฺพหุเลสุ ภิกฺขูสุ สุตฺตนฺตํ สชฺฌายิตฺวา นิสิเนฺนสุ เอเกน ภิกฺขุนา ‘‘ตุมฺหากํ กีทิสํ หุตฺวา อิทํ สุตฺตํ อุปฎฺฐาตี’’ติ วุเตฺต เอโก ‘‘มยฺหํ มหตี ปพฺพเตยฺยา นที วิย หุตฺวา อุปฎฺฐาตี’’ติ อาหฯ อปโร ‘‘มยฺหํ เอกา วนราชิ วิย’’ฯ อโญฺญ ‘‘มยฺหํ เอโก สีตจฺฉาโย สาขาสมฺปโนฺน ผลภารภริโต รุโกฺข วิยา’’ติฯ เตสญฺหิ ตํ เอกเมว สุตฺตํ สญฺญานานตาย นานโต อุปฎฺฐาติฯ เอวํ เอกเมว กมฺมฎฺฐานํ สญฺญานานตาย นานโต อุปฎฺฐาติฯ สญฺญชญฺหิ เอตํ สญฺญานิทานํ สญฺญาปภวํ, ตสฺมา สญฺญานานตาย นานโต อุปฎฺฐาตีติ เวทิตพฺพํฯ
Ayaṃ pana aṭṭhakathāsu vinicchayo – idañhi kassaci tārakarūpaṃ viya maṇiguḷikā viya muttāguḷikā viya ca, kassaci kharasamphassaṃ hutvā kappāsaṭṭhi viya dārusārasūci viya ca, kassaci dīghapāmaṅgasuttaṃ viya kusumadāmaṃ viya dhūmasikhā viya ca, kassaci vitthataṃ makkaṭakasuttaṃ viya valāhakapaṭalaṃ viya padumapupphaṃ viya rathacakkaṃ viya candamaṇḍalaṃ viya sūriyamaṇḍalaṃ viya ca upaṭṭhāti, tañca panetaṃ yathā sambahulesu bhikkhūsu suttantaṃ sajjhāyitvā nisinnesu ekena bhikkhunā ‘‘tumhākaṃ kīdisaṃ hutvā idaṃ suttaṃ upaṭṭhātī’’ti vutte eko ‘‘mayhaṃ mahatī pabbateyyā nadī viya hutvā upaṭṭhātī’’ti āha. Aparo ‘‘mayhaṃ ekā vanarāji viya’’. Añño ‘‘mayhaṃ eko sītacchāyo sākhāsampanno phalabhārabharito rukkho viyā’’ti. Tesañhi taṃ ekameva suttaṃ saññānānatāya nānato upaṭṭhāti. Evaṃ ekameva kammaṭṭhānaṃ saññānānatāya nānato upaṭṭhāti. Saññajañhi etaṃ saññānidānaṃ saññāpabhavaṃ, tasmā saññānānatāya nānato upaṭṭhātīti veditabbaṃ.
เอวํ อุปฎฺฐิเต ปน นิมิเตฺต เตน ภิกฺขุนา อาจริยสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา อาโรเจตพฺพํ ‘‘มยฺหํ, ภเนฺต, เอวรูปํ นาม อุปฎฺฐาตี’’ติฯ อาจริเยน ปน ‘‘นิมิตฺตมิทํ, อาวุโส, กมฺมฎฺฐานํ ปุนปฺปุนํ มนสิ กโรหิ สปฺปุริสา’’ติ วตฺตโพฺพฯ อถาเนน นิมิเตฺตเยว จิตฺตํ ฐเปตพฺพํฯ เอวมสฺสายํ อิโต ปภุติ ฐปนาวเสน ภาวนา โหติฯ วุตฺตเญฺหตํ โปราเณหิ –
Evaṃ upaṭṭhite pana nimitte tena bhikkhunā ācariyassa santikaṃ gantvā ārocetabbaṃ ‘‘mayhaṃ, bhante, evarūpaṃ nāma upaṭṭhātī’’ti. Ācariyena pana ‘‘nimittamidaṃ, āvuso, kammaṭṭhānaṃ punappunaṃ manasi karohi sappurisā’’ti vattabbo. Athānena nimitteyeva cittaṃ ṭhapetabbaṃ. Evamassāyaṃ ito pabhuti ṭhapanāvasena bhāvanā hoti. Vuttañhetaṃ porāṇehi –
‘‘นิมิเตฺต ฐปยํ จิตฺตํ, นานาการํ วิภาวยํ;
‘‘Nimitte ṭhapayaṃ cittaṃ, nānākāraṃ vibhāvayaṃ;
ธีโร อสฺสาสปสฺสาเส, สกํ จิตฺตํ นิพนฺธตี’’ติฯ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๑๖๕; วิสุทฺธิ. ๑.๒๓๒);
Dhīro assāsapassāse, sakaṃ cittaṃ nibandhatī’’ti. (pārā. aṭṭha. 2.165; visuddhi. 1.232);
ตเสฺสวํ นิมิตฺตุปฎฺฐานโต ปภุติ นีวรณานิ วิกฺขมฺภิตาเนว โหนฺติ, กิเลสา สนฺนิสินฺนาว, จิตฺตํ อุปจารสมาธินา สมาหิตเมวฯ อถาเนน ตํ นิมิตฺตํ เนว วณฺณโต มนสิ กาตพฺพํ, น ลกฺขณโต ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ, อปิจ โข ขตฺติยมเหสิยา จกฺกวตฺติคโพฺภ วิย กสฺสเกน สาลิยวคโพฺภ วิย จ อาวาสาทีนิ สตฺต อสปฺปายานิ วเชฺชตฺวา ตาเนว สตฺต สปฺปายานิ เสวเนฺตน สาธุกํ รกฺขิตพฺพํ, อถ นํ เอวํ รกฺขิตฺวา ปุนปฺปุนํ มนสิการวเสน วุทฺธิํ วิรูฬฺหิํ คมยิตฺวา ทสวิธํ อปฺปนาโกสลฺลํ สมฺปาเทตพฺพํ, วีริยสมตา โยเชตพฺพาฯ ตเสฺสวํ ฆเฎนฺตสฺส วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตานุกฺกเมน ตสฺมิํ นิมิเตฺต จตุกฺกปญฺจกชฺฌานานิ นิพฺพตฺตนฺติฯ เอวํ นิพฺพตฺตจตุกฺกปญฺจกชฺฌาโน ปเนตฺถ ภิกฺขุ สลฺลกฺขณาวิวฎฺฎนาวเสน กมฺมฎฺฐานํ วเฑฺฒตฺวา ปาริสุทฺธิํ ปตฺตุกาโม ตเทว ฌานํ ปญฺจหากาเรหิ วสิปฺปตฺตํ ปคุณํ กตฺวา นามรูปํ ววตฺถเปตฺวา วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปติฯ กถํ? โส หิ สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย อสฺสาสปสฺสาสานํ สมุทโย กรชกาโย จ จิตฺตญฺจาติ ปสฺสติฯ ยถา หิ กมฺมารคคฺคริยา ธมมานาย ภสฺตญฺจ ปุริสสฺส จ ตชฺชํ วายามํ ปฎิจฺจ วาโต สญฺจรติ, เอวเมวํ กายญฺจ จิตฺตญฺจ ปฎิจฺจ อสฺสาสปสฺสาสาติฯ ตโต อสฺสาสปสฺสาเส จ กายญฺจ รูปนฺติ, จิตฺตญฺจ ตํสมฺปยุเตฺต จ ธเมฺม อรูปนฺติ ววตฺถเปติฯ
Tassevaṃ nimittupaṭṭhānato pabhuti nīvaraṇāni vikkhambhitāneva honti, kilesā sannisinnāva, cittaṃ upacārasamādhinā samāhitameva. Athānena taṃ nimittaṃ neva vaṇṇato manasi kātabbaṃ, na lakkhaṇato paccavekkhitabbaṃ, apica kho khattiyamahesiyā cakkavattigabbho viya kassakena sāliyavagabbho viya ca āvāsādīni satta asappāyāni vajjetvā tāneva satta sappāyāni sevantena sādhukaṃ rakkhitabbaṃ, atha naṃ evaṃ rakkhitvā punappunaṃ manasikāravasena vuddhiṃ virūḷhiṃ gamayitvā dasavidhaṃ appanākosallaṃ sampādetabbaṃ, vīriyasamatā yojetabbā. Tassevaṃ ghaṭentassa visuddhimagge vuttānukkamena tasmiṃ nimitte catukkapañcakajjhānāni nibbattanti. Evaṃ nibbattacatukkapañcakajjhāno panettha bhikkhu sallakkhaṇāvivaṭṭanāvasena kammaṭṭhānaṃ vaḍḍhetvā pārisuddhiṃ pattukāmo tadeva jhānaṃ pañcahākārehi vasippattaṃ paguṇaṃ katvā nāmarūpaṃ vavatthapetvā vipassanaṃ paṭṭhapeti. Kathaṃ? So hi samāpattito vuṭṭhāya assāsapassāsānaṃ samudayo karajakāyo ca cittañcāti passati. Yathā hi kammāragaggariyā dhamamānāya bhastañca purisassa ca tajjaṃ vāyāmaṃ paṭicca vāto sañcarati, evamevaṃ kāyañca cittañca paṭicca assāsapassāsāti. Tato assāsapassāse ca kāyañca rūpanti, cittañca taṃsampayutte ca dhamme arūpanti vavatthapeti.
เอวํ นามรูปํ ววตฺถเปตฺวา ตสฺส ปจฺจยํ ปริเยสติ, ปริเยสโนฺต จ ตํ ทิสฺวา ตีสุปิ อทฺธาสุ นามรูปสฺส ปวตฺติํ อารพฺภ กงฺขํ วิตรติ, วิติณฺณกโงฺข กลาปสมฺมสนวเสน ‘‘อนิจฺจํ ทุกฺขมนตฺตา’’ติ ติลกฺขณํ อาโรเปตฺวา อุทยพฺพยานุปสฺสนาย ปุพฺพภาเค อุปฺปเนฺน โอภาสาทโย ทส วิปสฺสนุปกฺกิเลเส ปหาย อุปกฺกิเลสวิมุตฺตํ อุทยพฺพยานุปสฺสนาญาณํ ‘‘มโคฺค’’ติ ววตฺถเปตฺวา อุทยํ ปหาย ภงฺคานุปสฺสนํ ปตฺวา นิรนฺตรํ ภงฺคานุปสฺสเนน ภยโต อุปฎฺฐิเตสุ สพฺพสงฺขาเรสุ นิพฺพินฺทโนฺต วิรชฺชโนฺต วิมุจฺจโนฺต ยถากฺกเมน จตฺตาโร อริยมเคฺค ปาปุณิตฺวา อรหตฺตผเล ปติฎฺฐาย เอกูนวีสติเภทสฺส ปจฺจเวกฺขณาญาณสฺส ปริยนฺตํ ปโตฺต สเทวกสฺส โลกสฺส อคฺคทกฺขิเณโยฺย โหติฯ เอตฺตาวตา จสฺส คณนํ อาทิํ กตฺวา วิปสฺสนาปริโยสานา อานาปานสฺสติสมาธิภาวนา สมตฺตา โหตีติฯ อยํ สพฺพาการโต ปฐมจตุกฺกวณฺณนาฯ
Evaṃ nāmarūpaṃ vavatthapetvā tassa paccayaṃ pariyesati, pariyesanto ca taṃ disvā tīsupi addhāsu nāmarūpassa pavattiṃ ārabbha kaṅkhaṃ vitarati, vitiṇṇakaṅkho kalāpasammasanavasena ‘‘aniccaṃ dukkhamanattā’’ti tilakkhaṇaṃ āropetvā udayabbayānupassanāya pubbabhāge uppanne obhāsādayo dasa vipassanupakkilese pahāya upakkilesavimuttaṃ udayabbayānupassanāñāṇaṃ ‘‘maggo’’ti vavatthapetvā udayaṃ pahāya bhaṅgānupassanaṃ patvā nirantaraṃ bhaṅgānupassanena bhayato upaṭṭhitesu sabbasaṅkhāresu nibbindanto virajjanto vimuccanto yathākkamena cattāro ariyamagge pāpuṇitvā arahattaphale patiṭṭhāya ekūnavīsatibhedassa paccavekkhaṇāñāṇassa pariyantaṃ patto sadevakassa lokassa aggadakkhiṇeyyo hoti. Ettāvatā cassa gaṇanaṃ ādiṃ katvā vipassanāpariyosānā ānāpānassatisamādhibhāvanā samattā hotīti. Ayaṃ sabbākārato paṭhamacatukkavaṇṇanā.
อิตเรสุ ปน ตีสุ จตุเกฺกสุ ยสฺมา วิสุํ กมฺมฎฺฐานภาวนานโย นาม นตฺถิ, ตสฺมา อนุปทวณฺณนานเยเนว เตสํ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ปีติปฎิสํเวทีติ ปีติํ ปฎิสํวิทิตํ กโรโนฺต ปากฎํ กโรโนฺต อสฺสสิสฺสามิ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติฯ ตตฺถ ทฺวีหากาเรหิ ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหติ อารมฺมณโต จ อสโมฺมหโต จฯ
Itaresu pana tīsu catukkesu yasmā visuṃ kammaṭṭhānabhāvanānayo nāma natthi, tasmā anupadavaṇṇanānayeneva tesaṃ evamattho veditabbo. Pītipaṭisaṃvedīti pītiṃ paṭisaṃviditaṃ karonto pākaṭaṃ karonto assasissāmi passasissāmīti sikkhati. Tattha dvīhākārehi pīti paṭisaṃviditā hoti ārammaṇato ca asammohato ca.
กถํ อารมฺมณโต ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหติ? สปฺปีติเก เทฺว ฌาเน สมาปชฺชติ, ตสฺส สมาปตฺติกฺขเณ ฌานปฎิลาเภน อารมฺมณโต ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหติ อารมฺมณสฺส ปฎิสํวิทิตตฺตาฯ
Kathaṃ ārammaṇato pīti paṭisaṃviditā hoti? Sappītike dve jhāne samāpajjati, tassa samāpattikkhaṇe jhānapaṭilābhena ārammaṇato pīti paṭisaṃviditā hoti ārammaṇassa paṭisaṃviditattā.
กถํ อสโมฺมหโต? สปฺปีติเก เทฺว ฌาเน สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย ฌานสมฺปยุตฺตํ ปีติํ ขยโต วยโต สมฺมสติ, ตสฺส วิปสฺสนากฺขเณ ลกฺขณปฎิเวเธน อสโมฺมหโต ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหติฯ เอเตเนว นเยน อวเสสปทานิปิ อตฺถโต เวทิตพฺพานิฯ อิทํ ปเนตฺถ วิเสสมตฺตํ – ติณฺณํ ฌานานํ วเสน สุขปฎิสํวิทิตา โหติฯ จตุนฺนมฺปิ ฌานานํ วเสน จิตฺตสงฺขารปฎิสํวิทิตา เวทิตพฺพาฯ จิตฺตสงฺขาโรติ เวทนาสญฺญากฺขนฺธาฯ ปสฺสมฺภยํ จิตฺตสงฺขารนฺติ โอฬาริกํ โอฬาริกํ จิตฺตสงฺขารํ ปสฺสเมฺภโนฺต, นิโรเธโนฺตติ อโตฺถฯ โส วิตฺถารโต กายสงฺขาเร วุตฺตนเยน เวทิตโพฺพฯ อปิเจตฺถ ปีติปเท ปีติสีเสน เวทนา วุตฺตา, สุขปเท สรูเปเนว เวทนาฯ ทฺวีสุ จิตฺตสงฺขารปเทสุ ‘‘สญฺญา จ เวทนา จ เจตสิกา, เอเต ธมฺมา จิตฺตปฎิพทฺธา จิตฺตสงฺขารา’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๗๔; ม. นิ. ๑.๔๖๓) วจนโต สญฺญาสมฺปยุตฺตา เวทนาติ เอวํ เวทนานุปสฺสนานเยน อิทํ จตุกฺกํ ภาสิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Kathaṃ asammohato? Sappītike dve jhāne samāpajjitvā vuṭṭhāya jhānasampayuttaṃ pītiṃ khayato vayato sammasati, tassa vipassanākkhaṇe lakkhaṇapaṭivedhena asammohato pīti paṭisaṃviditā hoti. Eteneva nayena avasesapadānipi atthato veditabbāni. Idaṃ panettha visesamattaṃ – tiṇṇaṃ jhānānaṃ vasena sukhapaṭisaṃviditā hoti. Catunnampi jhānānaṃ vasena cittasaṅkhārapaṭisaṃviditā veditabbā. Cittasaṅkhāroti vedanāsaññākkhandhā. Passambhayaṃ cittasaṅkhāranti oḷārikaṃ oḷārikaṃ cittasaṅkhāraṃ passambhento, nirodhentoti attho. So vitthārato kāyasaṅkhāre vuttanayena veditabbo. Apicettha pītipade pītisīsena vedanā vuttā, sukhapade sarūpeneva vedanā. Dvīsu cittasaṅkhārapadesu ‘‘saññā ca vedanā ca cetasikā, ete dhammā cittapaṭibaddhā cittasaṅkhārā’’ti (paṭi. ma. 1.174; ma. ni. 1.463) vacanato saññāsampayuttā vedanāti evaṃ vedanānupassanānayena idaṃ catukkaṃ bhāsitanti veditabbaṃ.
ตติยจตุเกฺกปิ จตุนฺนํ ฌานานํ วเสน จิตฺตปฎิสํวิทิตา เวทิตพฺพาฯ อภิปฺปโมทยํ จิตฺตนฺติ จิตฺตํ โมเทโนฺต ปโมเทโนฺต หาเสโนฺต ปหาเสโนฺต อสฺสสิสฺสามิ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติฯ ตตฺถ ทฺวีหากาเรหิ อภิปฺปโมโท โหติ สมาธิวเสน จ วิปสฺสนาวเสน จฯ
Tatiyacatukkepi catunnaṃ jhānānaṃ vasena cittapaṭisaṃviditā veditabbā. Abhippamodayaṃ cittanti cittaṃ modento pamodento hāsento pahāsento assasissāmi passasissāmīti sikkhati. Tattha dvīhākārehi abhippamodo hoti samādhivasena ca vipassanāvasena ca.
กถํ สมาธิวเสน? สปฺปีติเก เทฺว ฌาเน สมาปชฺชติ, โส สมาปตฺติกฺขเณ สมฺปยุตฺตาย ปีติยา จิตฺตํ อาโมเทติ ปโมเทติฯ กถํ วิปสฺสนาวเสน? สปฺปีติเก เทฺว ฌาเน สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย ฌานสมฺปยุตฺตํ ปีติํ ขยโต วยโต สมฺมสติฯ เอวํ วิปสฺสนากฺขเณ ฌานสมฺปยุตฺตํ ปีติํ อารมฺมณํ กตฺวา จิตฺตํ อาโมเทติ ปโมเทติฯ เอวํ ปฎิปโนฺน ‘‘อภิปฺปโมทยํ จิตฺตํ อสฺสสิสฺสามิ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขตี’’ติ วุจฺจติฯ
Kathaṃ samādhivasena? Sappītike dve jhāne samāpajjati, so samāpattikkhaṇe sampayuttāya pītiyā cittaṃ āmodeti pamodeti. Kathaṃ vipassanāvasena? Sappītike dve jhāne samāpajjitvā vuṭṭhāya jhānasampayuttaṃ pītiṃ khayato vayato sammasati. Evaṃ vipassanākkhaṇe jhānasampayuttaṃ pītiṃ ārammaṇaṃ katvā cittaṃ āmodeti pamodeti. Evaṃ paṭipanno ‘‘abhippamodayaṃ cittaṃ assasissāmi passasissāmīti sikkhatī’’ti vuccati.
สมาทหํ จิตฺตนฺติ ปฐมชฺฌานาทิวเสน อารมฺมเณ จิตฺตํ สมํ อาทหโนฺต สมํ ฐเปโนฺต, ตานิ วา ปน ฌานานิ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย ฌานสมฺปยุตฺตํ จิตฺตํ ขยโต วยโต สมฺมสโต วิปสฺสนากฺขเณ ลกฺขณปฎิเวเธน อุปฺปชฺชติ ขณิกจิเตฺตกคฺคตา, เอวํ อุปฺปนฺนาย ขณิกจิเตฺตกคฺคตาย วเสนปิ อารมฺมเณ จิตฺตํ สมํ อาทหโนฺต สมํ ฐเปโนฺต ‘‘สมาทหํ จิตฺตํ อสฺสสิสฺสามิ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขตี’’ติ วุจฺจติฯ
Samādahaṃ cittanti paṭhamajjhānādivasena ārammaṇe cittaṃ samaṃ ādahanto samaṃ ṭhapento, tāni vā pana jhānāni samāpajjitvā vuṭṭhāya jhānasampayuttaṃ cittaṃ khayato vayato sammasato vipassanākkhaṇe lakkhaṇapaṭivedhena uppajjati khaṇikacittekaggatā, evaṃ uppannāya khaṇikacittekaggatāya vasenapi ārammaṇe cittaṃ samaṃ ādahanto samaṃ ṭhapento ‘‘samādahaṃ cittaṃ assasissāmi passasissāmīti sikkhatī’’ti vuccati.
วิโมจยํ จิตฺตนฺติ ปฐมชฺฌาเนน นีวรเณหิ จิตฺตํ โมเจโนฺต วิโมเจโนฺต, ทุติเยน วิตกฺกวิจาเรหิ, ตติเยน ปีติยา, จตุเตฺถน สุขทุเกฺขหิ จิตฺตํ โมเจโนฺต วิโมเจโนฺต, ตานิ วา ปน ฌานานิ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย ฌานสมฺปยุตฺตํ จิตฺตํ ขยโต วยโต สมฺมสติฯ โส วิปสฺสนากฺขเณ อนิจฺจานุปสฺสนาย นิจฺจสญฺญาโต จิตฺตํ โมเจโนฺต วิโมเจโนฺต, ทุกฺขานุปสฺสนาย สุขสญฺญาโต, อนตฺตานุปสฺสนาย อตฺตสญฺญาโต, นิพฺพิทานุปสฺสนาย นนฺทิโต, วิราคานุปสฺสนาย ราคโต, นิโรธานุปสฺสนาย สมุทยโต, ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสนาย อาทานโต จิตฺตํ โมเจโนฺต วิโมเจโนฺต อสฺสสติ เจว ปสฺสสติ จฯ เตน วุจฺจติ – ‘‘วิโมจยํ จิตฺตํ อสฺสสิสฺสามิ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขตี’’ติฯ เอวํ จิตฺตานุปสฺสนาวเสน อิทํ จตุกฺกํ ภาสิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Vimocayaṃcittanti paṭhamajjhānena nīvaraṇehi cittaṃ mocento vimocento, dutiyena vitakkavicārehi, tatiyena pītiyā, catutthena sukhadukkhehi cittaṃ mocento vimocento, tāni vā pana jhānāni samāpajjitvā vuṭṭhāya jhānasampayuttaṃ cittaṃ khayato vayato sammasati. So vipassanākkhaṇe aniccānupassanāya niccasaññāto cittaṃ mocento vimocento, dukkhānupassanāya sukhasaññāto, anattānupassanāya attasaññāto, nibbidānupassanāya nandito, virāgānupassanāya rāgato, nirodhānupassanāya samudayato, paṭinissaggānupassanāya ādānato cittaṃ mocento vimocento assasati ceva passasati ca. Tena vuccati – ‘‘vimocayaṃ cittaṃ assasissāmi passasissāmīti sikkhatī’’ti. Evaṃ cittānupassanāvasena idaṃ catukkaṃ bhāsitanti veditabbaṃ.
จตุตฺถจตุเกฺก ปน อนิจฺจานุปสฺสีติ เอตฺถ ตาว อนิจฺจํ เวทิตพฺพํ, อนิจฺจตา เวทิตพฺพา, อนิจฺจานุปสฺสนา เวทิตพฺพา, อนิจฺจานุปสฺสี เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ อนิจฺจนฺติ ปญฺจกฺขนฺธาฯ กสฺมา? อุปฺปาทวยญฺญถตฺตภาวาฯ อนิจฺจตาติ เตสํเยว อุปฺปาทวยญฺญถตฺตํ, หุตฺวา อภาโว วา, นิพฺพตฺตานํ เตเนวากาเรน อฎฺฐตฺวา ขณภเงฺคน เภโทติ อโตฺถฯ อนิจฺจานุปสฺสนาติ ตสฺสา อนิจฺจตาย วเสน รูปาทีสุ ‘‘อนิจฺจ’’นฺติ อนุปสฺสนาฯ อนิจฺจานุปสฺสีติ ตาย อนุปสฺสนาย สมนฺนาคโตฯ ตสฺมา เอวํภูโต อสฺสสโนฺต จ ปสฺสสโนฺต จ อิธ ‘‘อนิจฺจานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามิ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขตี’’ติ เวทิตโพฺพฯ
Catutthacatukke pana aniccānupassīti ettha tāva aniccaṃ veditabbaṃ, aniccatā veditabbā, aniccānupassanā veditabbā, aniccānupassī veditabbo. Tattha aniccanti pañcakkhandhā. Kasmā? Uppādavayaññathattabhāvā. Aniccatāti tesaṃyeva uppādavayaññathattaṃ, hutvā abhāvo vā, nibbattānaṃ tenevākārena aṭṭhatvā khaṇabhaṅgena bhedoti attho. Aniccānupassanāti tassā aniccatāya vasena rūpādīsu ‘‘anicca’’nti anupassanā. Aniccānupassīti tāya anupassanāya samannāgato. Tasmā evaṃbhūto assasanto ca passasanto ca idha ‘‘aniccānupassī assasissāmi passasissāmīti sikkhatī’’ti veditabbo.
วิราคานุปสฺสีติ เอตฺถ ปน เทฺว วิราคา ขยวิราโค จ อจฺจนฺตวิราโค จฯ ตตฺถ ขยวิราโคติ สงฺขารานํ ขณภโงฺคฯ อจฺจนฺตวิราโคติ นิพฺพานํฯ วิราคานุปสฺสนาติ ตทุภยทสฺสนวเสน ปวตฺตา วิปสฺสนา จ มโคฺค จฯ ตาย ทุวิธายปิ อนุปสฺสนาย สมนฺนาคโต หุตฺวา อสฺสสโนฺต จ ปสฺสสโนฺต จ ‘‘วิราคานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามิ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขตี’’ติ เวทิตโพฺพฯ นิโรธานุปสฺสีปเทปิ เอเสว นโยฯ
Virāgānupassīti ettha pana dve virāgā khayavirāgo ca accantavirāgo ca. Tattha khayavirāgoti saṅkhārānaṃ khaṇabhaṅgo. Accantavirāgoti nibbānaṃ. Virāgānupassanāti tadubhayadassanavasena pavattā vipassanā ca maggo ca. Tāya duvidhāyapi anupassanāya samannāgato hutvā assasanto ca passasanto ca ‘‘virāgānupassī assasissāmi passasissāmīti sikkhatī’’ti veditabbo. Nirodhānupassīpadepi eseva nayo.
ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสีติ เอตฺถาปิ เทฺว ปฎินิสฺสคฺคา ปริจฺจาคปฎินิสฺสโคฺค จ ปกฺขนฺทนปฎินิสฺสโคฺค จฯ ปฎินิสฺสโคฺคเยว อนุปสฺสนา ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสนา, วิปสฺสนามคฺคานเมตํ อธิวจนํฯ วิปสฺสนาติ ตทงฺควเสน สทฺธิํ ขนฺธาภิสงฺขาเรหิ กิเลเส ปริจฺจชติ, สงฺขตโทสทสฺสเนน จ ตพฺพิปรีเต นิพฺพาเน ตนฺนินฺนตาย ปกฺขนฺทตีติ ปริจฺจาคปฎินิสฺสโคฺค เจว ปกฺขนฺทนปฎินิสฺสโคฺค จาติ วุจฺจติฯ มโคฺค สมุเจฺฉทวเสน สทฺธิํ ขนฺธาภิสงฺขาเรหิ กิเลเส ปริจฺจชติ, อารมฺมณกรเณน จ นิพฺพาเน ปกฺขนฺทตีติ ปริจฺจาคปฎินิสฺสโคฺค เจว ปกฺขนฺทนปฎินิสฺสโคฺค จาติ วุจฺจติฯ อุภยมฺปิ ปน ปุริมปุริมญาณานํ อนุอนุ ปสฺสนโต อนุปสฺสนาติ วุจฺจติฯ ตาย ทุวิธายปิ ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสนาย สมนฺนาคโต หุตฺวา อสฺสสโนฺต จ ปสฺสสโนฺต จ ‘‘ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามิ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขตี’’ติ เวทิตโพฺพฯ
Paṭinissaggānupassīti etthāpi dve paṭinissaggā pariccāgapaṭinissaggo ca pakkhandanapaṭinissaggo ca. Paṭinissaggoyeva anupassanā paṭinissaggānupassanā, vipassanāmaggānametaṃ adhivacanaṃ. Vipassanāti tadaṅgavasena saddhiṃ khandhābhisaṅkhārehi kilese pariccajati, saṅkhatadosadassanena ca tabbiparīte nibbāne tanninnatāya pakkhandatīti pariccāgapaṭinissaggo ceva pakkhandanapaṭinissaggo cāti vuccati. Maggo samucchedavasena saddhiṃ khandhābhisaṅkhārehi kilese pariccajati, ārammaṇakaraṇena ca nibbāne pakkhandatīti pariccāgapaṭinissaggo ceva pakkhandanapaṭinissaggo cāti vuccati. Ubhayampi pana purimapurimañāṇānaṃ anuanu passanato anupassanāti vuccati. Tāya duvidhāyapi paṭinissaggānupassanāya samannāgato hutvā assasanto ca passasanto ca ‘‘paṭinissaggānupassī assasissāmi passasissāmīti sikkhatī’’ti veditabbo.
เอตฺถ จ ‘‘อนิจฺจานุปสฺสี’’ติ ตรุณวิปสฺสนาย วเสน วุตฺตํ, ‘‘วิราคานุปสฺสี’’ติ ตโต พลวตราย สงฺขาเรสุ วิรชฺชนสมตฺถาย วิปสฺสนาย วเสน, ‘‘นิโรธานุปสฺสี’’ติ ตโต พลวตราย กิเลสนิโรธนสมตฺถาย วิปสฺสนาย วเสน , ‘‘ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสี’’ติ มคฺคสฺส อาสนฺนภูตาย อติติกฺขาย วิปสฺสนาย วเสน วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ยตฺถ ปน มโคฺคปิ ลพฺภติ, โส อภิโนฺนเยวฯ เอวมิทํ จตุกฺกํ สุทฺธวิปสฺสนาวเสน วุตฺตํ, ปุริมานิ ปน ตีณิ สมถวิปสฺสนาวเสนาติฯ
Ettha ca ‘‘aniccānupassī’’ti taruṇavipassanāya vasena vuttaṃ, ‘‘virāgānupassī’’ti tato balavatarāya saṅkhāresu virajjanasamatthāya vipassanāya vasena, ‘‘nirodhānupassī’’ti tato balavatarāya kilesanirodhanasamatthāya vipassanāya vasena , ‘‘paṭinissaggānupassī’’ti maggassa āsannabhūtāya atitikkhāya vipassanāya vasena vuttanti veditabbaṃ. Yattha pana maggopi labbhati, so abhinnoyeva. Evamidaṃ catukkaṃ suddhavipassanāvasena vuttaṃ, purimāni pana tīṇi samathavipassanāvasenāti.
อานาปานสฺสติมาติกาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Ānāpānassatimātikāvaṇṇanā niṭṭhitā.
๑๖๔. อิทานิ ยถานิกฺขิตฺตํ มาติกํ ปฎิปาฎิยา ภาเชตฺวา ทเสฺสตุํ อิธาติ อิมิสฺสา ทิฎฺฐิยาติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ อิมิสฺสา ทิฎฺฐิยาติอาทีหิ ทสหิ ปเทหิ สิกฺขตฺตยสงฺขาตํ สพฺพญฺญุพุทฺธสาสนเมว กถิตํฯ ตญฺหิ พุเทฺธน ภควตา ทิฎฺฐตฺตา ทิฎฺฐีติ วุจฺจติ, ตเสฺสว ขมนวเสน ขนฺติ, รุจฺจนวเสน รุจิ, คหณวเสน อาทาโย, สภาวเฎฺฐน ธโมฺม, สิกฺขิตพฺพเฎฺฐน วินโย, ตทุภเยนปิ ธมฺมวินโย, ปวุตฺตวเสน ปาวจนํ, เสฎฺฐจริยเฎฺฐน พฺรหฺมจริยํ , อนุสิฎฺฐิทานวเสน สตฺถุสาสนนฺติ วุจฺจติฯ ตสฺมา ‘‘อิมิสฺสา ทิฎฺฐิยา’’ติอาทีสุ อิมิสฺสา พุทฺธทิฎฺฐิยา, อิมิสฺสา พุทฺธขนฺติยา, อิมิสฺสา พุทฺธรุจิยา, อิมสฺมิํ พุทฺธอาทาเย, อิมสฺมิํ พุทฺธธเมฺม, อิมสฺมิํ พุทฺธวินเย, อิมสฺมิํ พุทฺธธมฺมวินเย, อิมสฺมิํ พุทฺธปาวจเน, อิมสฺมิํ พุทฺธพฺรหฺมจริเย, อิมสฺมิํ พุทฺธสตฺถุสาสเนติ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อปิเจตํ สิกฺขตฺตยสงฺขาตํ สกลํ ปาวจนํ ภควตา ทิฎฺฐตฺตา สมฺมาทิฎฺฐิปจฺจยตฺตา สมฺมาทิฎฺฐิปุพฺพงฺคมตฺตา จ ทิฎฺฐิฯ ภควโต ขมนวเสน ขนฺติฯ รุจฺจนวเสน รุจิฯ คหณวเสน อาทาโย ฯ อตฺตโน การกํ อปาเย อปตมานํ ธาเรตีติ ธโมฺมฯ โสว สํกิเลสปกฺขํ วิเนตีติ วินโยฯ ธโมฺม จ โส วินโย จาติ ธมฺมวินโย, กุสลธเมฺมหิ วา อกุสลธมฺมานํ เอส วินโยติ ธมฺมวินโยฯ เตเนว วุตฺตํ – ‘‘เย จ โข ตฺวํ, โคตมิ, ธเมฺม ชาเนยฺยาสิ อิเม ธมฺมา วิราคาย สํวตฺตนฺติ, โน สราคาย…เป.… เอกํเสน, โคตมิ, ธาเรยฺยาสิ เอโส ธโมฺม เอโส วินโย เอตํ สตฺถุสาสน’’นฺติ (อ. นิ. ๘.๕๓; จูฬว. ๔๐๖)ฯ ธเมฺมน วา วินโย, น ทณฺฑาทีหีติ ธมฺมวินโยฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
164. Idāni yathānikkhittaṃ mātikaṃ paṭipāṭiyā bhājetvā dassetuṃ idhāti imissā diṭṭhiyātiādi āraddhaṃ. Tattha imissā diṭṭhiyātiādīhi dasahi padehi sikkhattayasaṅkhātaṃ sabbaññubuddhasāsanameva kathitaṃ. Tañhi buddhena bhagavatā diṭṭhattā diṭṭhīti vuccati, tasseva khamanavasena khanti, ruccanavasena ruci, gahaṇavasena ādāyo, sabhāvaṭṭhena dhammo, sikkhitabbaṭṭhena vinayo, tadubhayenapi dhammavinayo, pavuttavasena pāvacanaṃ, seṭṭhacariyaṭṭhena brahmacariyaṃ, anusiṭṭhidānavasena satthusāsananti vuccati. Tasmā ‘‘imissā diṭṭhiyā’’tiādīsu imissā buddhadiṭṭhiyā, imissā buddhakhantiyā, imissā buddharuciyā, imasmiṃ buddhaādāye, imasmiṃ buddhadhamme, imasmiṃ buddhavinaye, imasmiṃ buddhadhammavinaye, imasmiṃ buddhapāvacane, imasmiṃ buddhabrahmacariye, imasmiṃ buddhasatthusāsaneti attho veditabbo. Apicetaṃ sikkhattayasaṅkhātaṃ sakalaṃ pāvacanaṃ bhagavatā diṭṭhattā sammādiṭṭhipaccayattā sammādiṭṭhipubbaṅgamattā ca diṭṭhi. Bhagavato khamanavasena khanti. Ruccanavasena ruci. Gahaṇavasena ādāyo . Attano kārakaṃ apāye apatamānaṃ dhāretīti dhammo. Sova saṃkilesapakkhaṃ vinetīti vinayo. Dhammo ca so vinayo cāti dhammavinayo, kusaladhammehi vā akusaladhammānaṃ esa vinayoti dhammavinayo. Teneva vuttaṃ – ‘‘ye ca kho tvaṃ, gotami, dhamme jāneyyāsi ime dhammā virāgāya saṃvattanti, no sarāgāya…pe… ekaṃsena, gotami, dhāreyyāsi eso dhammo eso vinayo etaṃ satthusāsana’’nti (a. ni. 8.53; cūḷava. 406). Dhammena vā vinayo, na daṇḍādīhīti dhammavinayo. Vuttampi cetaṃ –
‘‘ทเณฺฑเนเก ทมยนฺติ, องฺกุเสหิ กสาหิ จ;
‘‘Daṇḍeneke damayanti, aṅkusehi kasāhi ca;
อทเณฺฑน อสเตฺถน, นาโค ทโนฺต มเหสินา’’ติฯ (ม. นิ. ๒.๓๕๒; จูฬว. ๓๔๒);
Adaṇḍena asatthena, nāgo danto mahesinā’’ti. (ma. ni. 2.352; cūḷava. 342);
ตถา ‘‘ธเมฺมน นยมานานํ, กา อุสูยา วิชานต’’นฺติ (มหาว. ๖๓)ฯ ธมฺมาย วา วินโย ธมฺมวินโยฯ อนวชฺชธมฺมตฺถํ เหส วินโย, น ภวโภคามิสตฺถํฯ เตนาห ภควา – ‘‘นยิทํ, ภิกฺขเว, พฺรหฺมจริยํ วุสฺสติ ชนกุหนตฺถ’’นฺติ (อิติวุ. ๓๕; อ. นิ. ๔.๒๕) วิตฺถาโรฯ ปุณฺณเตฺถโรปิ อาห – ‘‘อนุปาทาปรินิพฺพานตฺถํ โข, อาวุโส, ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๕๙)ฯ วิสุทฺธํ วา นยตีติ วินโย, ธมฺมโต วินโย ธมฺมวินโยฯ สํสารธมฺมโต หิ โสกาทิธมฺมโต วา เอส วิสุทฺธํ นิพฺพานํ นยติ, ธมฺมสฺส วา วินโย, น ติตฺถกรานนฺติ ธมฺมวินโยฯ ธมฺมภูโต หิ ภควา, ตเสฺสว เอส วินโยฯ ยสฺมา วา ธมฺมา เอว อภิเญฺญยฺยา ปริเญฺญยฺยา ปหาตพฺพา ภาเวตพฺพา สจฺฉิกาตพฺพา จ, ตสฺมา เอส ธเมฺมสุ วินโย, น สเตฺตสุ น ชีเวสุ จาติ ธมฺมวินโยฯ สาตฺถสพฺยญฺชนตาทีหิ อเญฺญสํ วจนโต ปธานํ วจนนฺติ ปวจนํ, ปวจนเมว ปาวจนํฯ สพฺพจริยาหิ วิสิฎฺฐจริยภาเวน พฺรหฺมจริยํฯ เทวมนุสฺสานํ สตฺถุภูตสฺส ภควโต สาสนนฺติ สตฺถุสาสนํ, สตฺถุภูตํ วา สาสนนฺติปิ สตฺถุสาสนํฯ ‘‘โย โว, อานนฺท, มยา ธโมฺม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญโตฺต, โส โว มมจฺจเยน สตฺถา’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๑๖) หิ ธมฺมวินโยว สตฺถาติ วุโตฺตฯ เอวเมเตสํ ปทานํ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ยสฺมา ปน อิมสฺมิํเยว สาสเน สพฺพาการอานาปานสฺสติสมาธินิพฺพตฺตโก ภิกฺขุ วิชฺชติ, น อญฺญตฺร, ตสฺมา ตตฺถ ตตฺถ ‘‘อิมิสฺสา’’ติ จ ‘‘อิมสฺมิ’’นฺติ จ อยํ นิยโม กโตติ เวทิตโพฺพฯ อยํ ‘‘อิธา’’ติมาติกาย นิเทฺทสสฺส อโตฺถฯ
Tathā ‘‘dhammena nayamānānaṃ, kā usūyā vijānata’’nti (mahāva. 63). Dhammāya vā vinayo dhammavinayo. Anavajjadhammatthaṃ hesa vinayo, na bhavabhogāmisatthaṃ. Tenāha bhagavā – ‘‘nayidaṃ, bhikkhave, brahmacariyaṃ vussati janakuhanattha’’nti (itivu. 35; a. ni. 4.25) vitthāro. Puṇṇattheropi āha – ‘‘anupādāparinibbānatthaṃ kho, āvuso, bhagavati brahmacariyaṃ vussatī’’ti (ma. ni. 1.259). Visuddhaṃ vā nayatīti vinayo, dhammato vinayo dhammavinayo. Saṃsāradhammato hi sokādidhammato vā esa visuddhaṃ nibbānaṃ nayati, dhammassa vā vinayo, na titthakarānanti dhammavinayo. Dhammabhūto hi bhagavā, tasseva esa vinayo. Yasmā vā dhammā eva abhiññeyyā pariññeyyā pahātabbā bhāvetabbā sacchikātabbā ca, tasmā esa dhammesu vinayo, na sattesu na jīvesu cāti dhammavinayo. Sātthasabyañjanatādīhi aññesaṃ vacanato padhānaṃ vacananti pavacanaṃ, pavacanameva pāvacanaṃ. Sabbacariyāhi visiṭṭhacariyabhāvena brahmacariyaṃ. Devamanussānaṃ satthubhūtassa bhagavato sāsananti satthusāsanaṃ, satthubhūtaṃ vā sāsanantipi satthusāsanaṃ. ‘‘Yo vo, ānanda, mayā dhammo ca vinayo ca desito paññatto, so vo mamaccayena satthā’’ti (dī. ni. 2.216) hi dhammavinayova satthāti vutto. Evametesaṃ padānaṃ attho veditabbo. Yasmā pana imasmiṃyeva sāsane sabbākāraānāpānassatisamādhinibbattako bhikkhu vijjati, na aññatra, tasmā tattha tattha ‘‘imissā’’ti ca ‘‘imasmi’’nti ca ayaṃ niyamo katoti veditabbo. Ayaṃ ‘‘idhā’’timātikāya niddesassa attho.
ปุถุชฺชนกลฺยาณโก วาติอาทินา จ ภิกฺขุสทฺทสฺส วจนตฺถํ อวตฺวา อิธาธิเปฺปตภิกฺขุเยว ทสฺสิโตฯ ตตฺถ ปุถุชฺชโน จ โส กิเลสานํ อสมุจฺฉินฺนตฺตา, กลฺยาโณ จ สีลาทิปฎิปตฺติยุตฺตตฺตาติ ปุถุชฺชนกลฺยาโณ, ปุถุชฺชนกลฺยาโณว ปุถุชฺชนกลฺยาณโกฯ อธิสีลาทีนิ สิกฺขตีติ เสโกฺขฯ โสตาปโนฺน วา สกทาคามี วา อนาคามี วาฯ อกุโปฺป จลยิตุมสกฺกุเณโยฺย อรหตฺตผลธโมฺม อสฺสาติ อกุปฺปธโมฺมฯ โสปิ หิ อิมํ สมาธิํ ภาเวติฯ
Puthujjanakalyāṇakovātiādinā ca bhikkhusaddassa vacanatthaṃ avatvā idhādhippetabhikkhuyeva dassito. Tattha puthujjano ca so kilesānaṃ asamucchinnattā, kalyāṇo ca sīlādipaṭipattiyuttattāti puthujjanakalyāṇo, puthujjanakalyāṇova puthujjanakalyāṇako. Adhisīlādīni sikkhatīti sekkho. Sotāpanno vā sakadāgāmī vā anāgāmī vā. Akuppo calayitumasakkuṇeyyo arahattaphaladhammo assāti akuppadhammo. Sopi hi imaṃ samādhiṃ bhāveti.
อรญฺญนิเทฺทเส วินยปริยาเยน ตาว ‘‘ฐเปตฺวา คามญฺจ คามูปจารญฺจ อวเสสํ อรญฺญ’’นฺติ (ปารา. ๙๒) อาคตํฯ สุตฺตนฺตปริยาเยน อารญฺญกํ ภิกฺขุํ สนฺธาย ‘‘อารญฺญกํ นาม เสนาสนํ ปญฺจธนุสติกํ ปจฺฉิม’’นฺติ (ปาจิ. ๕๗๓) อาคตํฯ วินยสุตฺตนฺตา ปน อุโภปิ ปริยายเทสนา นาม, อภิธโมฺม นิปฺปริยายเทสนาติ อภิธมฺมปริยาเยน (วิภ. ๕๒๙) อรญฺญํ ทเสฺสตุํ นิกฺขมิตฺวา พหิ อินฺทขีลาติ วุตฺตํ, อินฺทขีลโต พหิ นิกฺขมิตฺวาติ อโตฺถฯ นิกฺขมิตฺวา พหิ อินฺทขีลนฺติปิ ปาโฐ, อินฺทขีลํ อติกฺกมิตฺวา พหีติ วุตฺตํ โหติฯ อินฺทขีโลติ เจตฺถ คามสฺส วา นครสฺส วา อุมฺมาโรฯ
Araññaniddese vinayapariyāyena tāva ‘‘ṭhapetvā gāmañca gāmūpacārañca avasesaṃ arañña’’nti (pārā. 92) āgataṃ. Suttantapariyāyena āraññakaṃ bhikkhuṃ sandhāya ‘‘āraññakaṃ nāma senāsanaṃ pañcadhanusatikaṃ pacchima’’nti (pāci. 573) āgataṃ. Vinayasuttantā pana ubhopi pariyāyadesanā nāma, abhidhammo nippariyāyadesanāti abhidhammapariyāyena (vibha. 529) araññaṃ dassetuṃ nikkhamitvā bahi indakhīlāti vuttaṃ, indakhīlato bahi nikkhamitvāti attho. Nikkhamitvā bahi indakhīlantipi pāṭho, indakhīlaṃ atikkamitvā bahīti vuttaṃ hoti. Indakhīloti cettha gāmassa vā nagarassa vā ummāro.
รุกฺขมูลนิเทฺทเส รุกฺขมูลสฺส ปากฎตฺตา ตํ อวตฺวาว ยตฺถาติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยตฺถาติ ยสฺมิํ รุกฺขมูเลฯ อาสนฺติ นิสีทนฺติ เอตฺถาติ อาสนํฯ ปญฺญตฺตนฺติ ฐปิตํฯ มโญฺจ วาติอาทีนิ อาสนสฺส ปเภทวจนานิฯ มโญฺจปิ หิ นิสชฺชายปิ โอกาสตฺตา อิธ อาสเนสุ วุโตฺตฯ โส ปน มสารกพุนฺทิกาพทฺธกุฬีรปาทกอาหจฺจปาทกานํ อญฺญตโรฯ ปีฐํ เตสํ อญฺญตรเมวฯ ภิสีติ อุณฺณาภิสิโจฬภิสิวากภิสิติณภิสิปณฺณภิสีนํ อญฺญตราฯ ตฎฺฎิกาติ ตาลปณฺณาทีหิ จินิตฺวา กตาฯ จมฺมขโณฺฑติ นิสชฺชารโห โย โกจิ จมฺมขโณฺฑฯ ติณสนฺถราทโย ติณาทีนิ คุเมฺพตฺวา กตาฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ รุกฺขมูเลฯ จงฺกมติ วาติอาทีหิ รุกฺขมูลสฺส จตุอิริยาปถปวตฺตนโยคฺยตา กถิตาฯ ‘‘ยตฺถา’’ติอาทีหิ สพฺพปเทหิ รุกฺขมูลสฺส สนฺทจฺฉายตา ชนวิวิตฺตตา จ วุตฺตา โหติฯ เกนจีติ เกนจิ สมูเหนฯ ตํ สมูหํ ภินฺทิตฺวา วิตฺถาเรโนฺต คหเฎฺฐหิ วา ปพฺพชิเตหิ วาติ อาหฯ อนากิณฺณนฺติ อสํกิณฺณํ อสมฺพาธํฯ ยสฺส เสนาสนสฺส สมนฺตา คาวุตมฺปิ อฑฺฒโยชนมฺปิ ปพฺพตคหนํ วนคหนํ นทีคหนํ โหติ, น โกจิ อเวลาย อุปสงฺกมิตุํ สโกฺกติ, อิทํ สนฺติเกปิ อนากิณฺณํ นามฯ ยํ ปน อฑฺฒโยชนิกํ วา โยชนิกํ วา โหติ, อิทํ ทูรตาย เอว อนากิณฺณํ นามฯ
Rukkhamūlaniddese rukkhamūlassa pākaṭattā taṃ avatvāva yatthātiādimāha. Tattha yatthāti yasmiṃ rukkhamūle. Āsanti nisīdanti etthāti āsanaṃ. Paññattanti ṭhapitaṃ. Mañco vātiādīni āsanassa pabhedavacanāni. Mañcopi hi nisajjāyapi okāsattā idha āsanesu vutto. So pana masārakabundikābaddhakuḷīrapādakaāhaccapādakānaṃ aññataro. Pīṭhaṃ tesaṃ aññatarameva. Bhisīti uṇṇābhisicoḷabhisivākabhisitiṇabhisipaṇṇabhisīnaṃ aññatarā. Taṭṭikāti tālapaṇṇādīhi cinitvā katā. Cammakhaṇḍoti nisajjāraho yo koci cammakhaṇḍo. Tiṇasantharādayo tiṇādīni gumbetvā katā. Tatthāti tasmiṃ rukkhamūle. Caṅkamati vātiādīhi rukkhamūlassa catuiriyāpathapavattanayogyatā kathitā. ‘‘Yatthā’’tiādīhi sabbapadehi rukkhamūlassa sandacchāyatā janavivittatā ca vuttā hoti. Kenacīti kenaci samūhena. Taṃ samūhaṃ bhinditvā vitthārento gahaṭṭhehi vā pabbajitehi vāti āha. Anākiṇṇanti asaṃkiṇṇaṃ asambādhaṃ. Yassa senāsanassa samantā gāvutampi aḍḍhayojanampi pabbatagahanaṃ vanagahanaṃ nadīgahanaṃ hoti, na koci avelāya upasaṅkamituṃ sakkoti, idaṃ santikepi anākiṇṇaṃ nāma. Yaṃ pana aḍḍhayojanikaṃ vā yojanikaṃ vā hoti, idaṃ dūratāya eva anākiṇṇaṃ nāma.
วิหาโรติ อฑฺฒโยคาทิมุตฺตโก อวเสสาวาโสฯ อฑฺฒโยโคติ สุปณฺณวงฺกเคหํฯ ปาสาโทติ เทฺว กณฺณิกา คเหตฺวา กโต ทีฆปาสาโทฯ หมฺมิยนฺติ อุปริอากาสตเล ปติฎฺฐิตกูฎาคารปาสาโทเยวฯ คุหาติ อิฎฺฐกาคุหา สิลาคุหา ทารุคุหา ปํสุคุหาติ เอวญฺหิ ขนฺธกฎฺฐกถายํ (จูฬว. อฎฺฐ. ๒๙๔) วุตฺตํฯ วิภงฺคฎฺฐกถายํ ปน วิหาโรติ สมนฺตา ปริหารปถํ อโนฺตเยว รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานานิ จ ทเสฺสตฺวา กตเสนาสนํฯ คุหาติ ภูมิคุหา, ยตฺถ รตฺตินฺทิวํ ทีปํ ลทฺธุํ วฎฺฎติฯ ปพฺพตคุหา วา ภูมิคุหา วาติ อิทํ ทฺวยํ วิเสเสตฺวา วุตฺตํฯ มาติกาย สพฺพกาลสาธารณลกฺขณวเสน ‘‘นิสีทตี’’ติ วตฺตมานวจนํ กตํ, อิธ ปน นิสินฺนสฺส ภาวนารมฺภสพฺภาวโต นิสชฺชารมฺภปริโยสานทสฺสนตฺถํ นิสิโนฺนติ นิฎฺฐานวจนํ กตํฯ ยสฺมา ปน อุชุํ กายํ ปณิธาย นิสินฺนสฺส กาโย อุชุโก โหติ, ตสฺมา พฺยญฺชเน อาทรํ อกตฺวา อธิเปฺปตม เอว ทเสฺสโนฺต อุชุโกติอาทิมาหฯ ตตฺถ ฐิโต สุปณิหิโตติ อุชุกํ ปณิหิตตฺตา อุชุโก หุตฺวา ฐิโต, น สยเมวาติ อโตฺถฯ ปริคฺคหโฎฺฐติ ปริคฺคหิตโฎฺฐฯ กิํ ปริคฺคหิตํ? นิยฺยานํฯ กิํ นิยฺยานํ? อานาปานสฺสติสมาธิเยว ยาว อรหตฺตมคฺคา นิยฺยานํฯ เตนาหนิยฺยานโฎฺฐติ มุขสทฺทสฺส เชฎฺฐกตฺถวเสน สํสารโต นิยฺยานโฎฺฐ วุโตฺตฯ อุปฎฺฐานโฎฺฐติ สภาวโฎฺฐเยวฯ สเพฺพหิ ปเนเตหิ ปเทหิ ปริคฺคหิตนิยฺยานํ สติํ กตฺวาติ อโตฺถ วุโตฺต โหติฯ เกจิ ปน ‘‘ปริคฺคหโฎฺฐติ สติยา ปริคฺคหโฎฺฐ, นิยฺยานโฎฺฐติ อสฺสาสปสฺสาสานํ ปวิสนนิกฺขมนทฺวารโฎฺฐ’’ติ วณฺณยนฺติฯ ปริคฺคหิตอสฺสาสปสฺสาสนิยฺยานํ สติํ อุปฎฺฐเปตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ
Vihāroti aḍḍhayogādimuttako avasesāvāso. Aḍḍhayogoti supaṇṇavaṅkagehaṃ. Pāsādoti dve kaṇṇikā gahetvā kato dīghapāsādo. Hammiyanti upariākāsatale patiṭṭhitakūṭāgārapāsādoyeva. Guhāti iṭṭhakāguhā silāguhā dāruguhā paṃsuguhāti evañhi khandhakaṭṭhakathāyaṃ (cūḷava. aṭṭha. 294) vuttaṃ. Vibhaṅgaṭṭhakathāyaṃ pana vihāroti samantā parihārapathaṃ antoyeva rattiṭṭhānadivāṭṭhānāni ca dassetvā katasenāsanaṃ. Guhāti bhūmiguhā, yattha rattindivaṃ dīpaṃ laddhuṃ vaṭṭati. Pabbataguhā vā bhūmiguhā vāti idaṃ dvayaṃ visesetvā vuttaṃ. Mātikāya sabbakālasādhāraṇalakkhaṇavasena ‘‘nisīdatī’’ti vattamānavacanaṃ kataṃ, idha pana nisinnassa bhāvanārambhasabbhāvato nisajjārambhapariyosānadassanatthaṃ nisinnoti niṭṭhānavacanaṃ kataṃ. Yasmā pana ujuṃ kāyaṃ paṇidhāya nisinnassa kāyo ujuko hoti, tasmā byañjane ādaraṃ akatvā adhippetama eva dassento ujukotiādimāha. Tattha ṭhito supaṇihitoti ujukaṃ paṇihitattā ujuko hutvā ṭhito, na sayamevāti attho. Pariggahaṭṭhoti pariggahitaṭṭho. Kiṃ pariggahitaṃ? Niyyānaṃ. Kiṃ niyyānaṃ? Ānāpānassatisamādhiyeva yāva arahattamaggā niyyānaṃ. Tenāhaniyyānaṭṭhoti mukhasaddassa jeṭṭhakatthavasena saṃsārato niyyānaṭṭho vutto. Upaṭṭhānaṭṭhoti sabhāvaṭṭhoyeva. Sabbehi panetehi padehi pariggahitaniyyānaṃ satiṃ katvāti attho vutto hoti. Keci pana ‘‘pariggahaṭṭhoti satiyā pariggahaṭṭho, niyyānaṭṭhoti assāsapassāsānaṃ pavisananikkhamanadvāraṭṭho’’ti vaṇṇayanti. Pariggahitaassāsapassāsaniyyānaṃ satiṃ upaṭṭhapetvāti vuttaṃ hoti.
๑๖๕. พาตฺติํสาย อากาเรหีติ ตาสุ ตาสุ อวตฺถาสุ ยถากฺกเมน ลพฺภมานานํ อนวเสสปริยาทานวเสน วุตฺตํฯ ทีฆํ อสฺสาสวเสนาติ มาติกาย ‘‘ทีฆ’’นฺติวุตฺตอสฺสาสวเสนฯ เอวํ เสเสสุฯ เอกคฺคตนฺติ เอกคฺคภาวํฯ อวิเกฺขปนฺติ อวิกฺขิปนํฯ เอกคฺคตา เอว หิ นานารมฺมเณสุ จิตฺตสฺส อวิกฺขิปนโต อวิเกฺขโปติ วุจฺจติฯ ปชานโตติ อสโมฺมหวเสน ปชานนฺตสฺส, วินฺทนฺตสฺสาติ วา อโตฺถฯ ‘‘อวิเกฺขโป เม ปฎิลโทฺธ’’ติ อารมฺมณกรณวเสน ปชานนฺตสฺส วาฯ ตาย สติยาติ ตาย อุปฎฺฐิตาย สติยาฯ เตน ญาเณนาติ เตน อวิเกฺขปชานนญาเณนฯ สโต การี โหตีติ เอตฺถ ยสฺมา ญาณสมฺปยุตฺตา เอว สติ สตีติ อธิเปฺปตา, ยถาห – ‘‘สติมา โหติ ปรเมน สติเนปเกฺกน สมนฺนาคโต’’ติ (วิภ. ๔๖๗)ฯ ตสฺมา ‘‘สโต’’ติ วจเนเนว ญาณมฺปิ คหิตเมว โหติฯ
165.Bāttiṃsāya ākārehīti tāsu tāsu avatthāsu yathākkamena labbhamānānaṃ anavasesapariyādānavasena vuttaṃ. Dīghaṃ assāsavasenāti mātikāya ‘‘dīgha’’ntivuttaassāsavasena. Evaṃ sesesu. Ekaggatanti ekaggabhāvaṃ. Avikkhepanti avikkhipanaṃ. Ekaggatā eva hi nānārammaṇesu cittassa avikkhipanato avikkhepoti vuccati. Pajānatoti asammohavasena pajānantassa, vindantassāti vā attho. ‘‘Avikkhepo me paṭiladdho’’ti ārammaṇakaraṇavasena pajānantassa vā. Tāya satiyāti tāya upaṭṭhitāya satiyā. Tena ñāṇenāti tena avikkhepajānanañāṇena. Sato kārī hotīti ettha yasmā ñāṇasampayuttā eva sati satīti adhippetā, yathāha – ‘‘satimā hoti paramena satinepakkena samannāgato’’ti (vibha. 467). Tasmā ‘‘sato’’ti vacaneneva ñāṇampi gahitameva hoti.
๑๖๖. อทฺธานสงฺขาเตติ ทีฆสงฺขาเต กาเลฯ ทีโฆ หิ มโคฺค อทฺธาโนติ วุจฺจติฯ อยมฺปิ กาโล ทีฆตฺตา อทฺธาโน วิย อทฺธาโนติ วุโตฺตฯ ‘‘อสฺสสตี’’ติ จ ‘‘ปสฺสสตี’’ติ จ อสฺสาสญฺจ ปสฺสาสญฺจ วิสุํ วิสุํ วตฺวาปิ ภาวนาย นิรนฺตรปฺปวตฺติทสฺสนตฺถํ ‘‘อสฺสสติปิ ปสฺสสติปี’’ติ ปุน สมาเสตฺวา วุตฺตํฯ ฉโนฺท อุปฺปชฺชตีติ ภาวนาภิวุทฺธิยา ภิโยฺยภาวาย ฉโนฺท ชายติฯ สุขุมตรนฺติ ปสฺสมฺภนสพฺภาวโต วุตฺตํฯ ปาโมชฺชํ อุปฺปชฺชตีติ ภาวนาปาริปูริยา ปีติ ชายติฯ อสฺสาสปสฺสาสาปิ จิตฺตํ วิวตฺตตีติ อสฺสาสปสฺสาเส นิสฺสาย ปฎิภาคนิมิเตฺต อุปฺปชฺชเนฺต ปกติอสฺสาสปสฺสาสโต จิตฺตํ นิวตฺตติฯ อุเปกฺขา สณฺฐาตีติ ตสฺมิํ ปฎิภาคนิมิเตฺต อุปจารปฺปนาสมาธิปตฺติยา ปุน สมาธาเน พฺยาปาราภาวโต ตตฺรมชฺฌตฺตุเปกฺขา สณฺฐาติ นามฯ นวหากาเรหีติ เอตฺถ ภาวนารมฺภโต ปภุติ ปุเร ฉนฺทุปฺปาทา ‘‘อสฺสสติปิ ปสฺสสติปี’’ติ วุตฺตา ตโย อาการา, ฉนฺทุปฺปาทโต ปภุติ ปุเร ปาโมชฺชุปฺปาทา ตโย, ปาโมชฺชุปฺปาทโต ปภุติ ตโยติ นว อาการาฯ กาโยติ จุณฺณวิจุณฺณาปิ อสฺสาสปสฺสาสา สมูหเฎฺฐน กาโยฯ ปกติอสฺสาสปกติปสฺสาเส นิสฺสาย อุปฺปนฺนนิมิตฺตมฺปิ อสฺสาสปสฺสาสาติ นามํ ลภติฯ อุปฎฺฐานํ สตีติ ตํ อารมฺมณํ อุเปจฺจ ติฎฺฐตีติ สติ อุปฎฺฐานํ นามฯ อนุปสฺสนา ญาณนฺติ สมถวเสน นิมิตฺตกายานุปสฺสนา, วิปสฺสนาวเสน นามกายรูปกายานุปสฺสนา ญาณนฺติ อโตฺถฯ กาโย อุปฎฺฐานนฺติ โส กาโย อุเปจฺจ ติฎฺฐติ เอตฺถ สตีติ อุปฎฺฐานํ นามฯ โน สตีติ โส กาโย สติ นาม น โหตีติ อโตฺถฯ ตาย สติยาติ อิทานิ วุตฺตาย สติยาฯ เตน ญาเณนาติ อิทาเนว วุเตฺตน ญาเณนฯ ตํ กายํ อนุปสฺสตีติ สมถวิปสฺสนาวเสน ยถาวุตฺตํ กายํ อนุคนฺตฺวา ฌานสมฺปยุตฺตญาเณน วา วิปสฺสนาญาเณน วา ปสฺสติฯ
166.Addhānasaṅkhāteti dīghasaṅkhāte kāle. Dīgho hi maggo addhānoti vuccati. Ayampi kālo dīghattā addhāno viya addhānoti vutto. ‘‘Assasatī’’ti ca ‘‘passasatī’’ti ca assāsañca passāsañca visuṃ visuṃ vatvāpi bhāvanāya nirantarappavattidassanatthaṃ ‘‘assasatipi passasatipī’’ti puna samāsetvā vuttaṃ. Chando uppajjatīti bhāvanābhivuddhiyā bhiyyobhāvāya chando jāyati. Sukhumataranti passambhanasabbhāvato vuttaṃ. Pāmojjaṃ uppajjatīti bhāvanāpāripūriyā pīti jāyati. Assāsapassāsāpi cittaṃ vivattatīti assāsapassāse nissāya paṭibhāganimitte uppajjante pakatiassāsapassāsato cittaṃ nivattati. Upekkhā saṇṭhātīti tasmiṃ paṭibhāganimitte upacārappanāsamādhipattiyā puna samādhāne byāpārābhāvato tatramajjhattupekkhā saṇṭhāti nāma. Navahākārehīti ettha bhāvanārambhato pabhuti pure chanduppādā ‘‘assasatipi passasatipī’’ti vuttā tayo ākārā, chanduppādato pabhuti pure pāmojjuppādā tayo, pāmojjuppādato pabhuti tayoti nava ākārā. Kāyoti cuṇṇavicuṇṇāpi assāsapassāsā samūhaṭṭhena kāyo. Pakatiassāsapakatipassāse nissāya uppannanimittampi assāsapassāsāti nāmaṃ labhati. Upaṭṭhānaṃ satīti taṃ ārammaṇaṃ upecca tiṭṭhatīti sati upaṭṭhānaṃ nāma. Anupassanā ñāṇanti samathavasena nimittakāyānupassanā, vipassanāvasena nāmakāyarūpakāyānupassanā ñāṇanti attho. Kāyo upaṭṭhānanti so kāyo upecca tiṭṭhati ettha satīti upaṭṭhānaṃ nāma. No satīti so kāyo sati nāma na hotīti attho. Tāya satiyāti idāni vuttāya satiyā. Tena ñāṇenāti idāneva vuttena ñāṇena. Taṃ kāyaṃ anupassatīti samathavipassanāvasena yathāvuttaṃ kāyaṃ anugantvā jhānasampayuttañāṇena vā vipassanāñāṇena vā passati.
มาติกาย กายาทีนํ ปทานํ อภาเวปิ อิมสฺส จตุกฺกสฺส กายานุปสฺสนาวเสน วุตฺตตฺตา อิทานิ วตฺตพฺพํ ‘‘กาเย กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานภาวนา’’ติ วจนํ สนฺธาย กายปทนิเทฺทโส กโตฯ กาเย กายานุปสฺสนาติ พหุวิเธ กาเย ตสฺส ตสฺส กายสฺส อนุปสฺสนาฯ อถ วา กาเย กายานุปสฺสนา, น อญฺญธมฺมานุปสฺสนาติ วุตฺตํ โหติฯ อนิจฺจทุกฺขานตฺตาสุภภูเต กาเย น นิจฺจสุขตฺตสุภานุปสฺสนา, อถ โข อนิจฺจทุกฺขานตฺตาสุภโต กายเสฺสว อนุปสฺสนาฯ อถ วา กาเย อหนฺติ วา มมนฺติ วา อิตฺถีติ วา ปุริโสติ วา คเหตพฺพสฺส กสฺสจิ อนนุปสฺสนโต ตเสฺสว กายมตฺตสฺส อนุปสฺสนาติ วุตฺตํ โหติฯ อุปริ เวทนาสุ เวทนานุปสฺสนาติอาทีสุ ตีสุปิ เอเสว นโยฯ สติเยว อุปฎฺฐานํ สติปฎฺฐานํ, กายานุปสฺสนาย สมฺปยุตฺตํ สติปฎฺฐานํ กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานํ, ตสฺส ภาวนา กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานภาวนาฯ
Mātikāya kāyādīnaṃ padānaṃ abhāvepi imassa catukkassa kāyānupassanāvasena vuttattā idāni vattabbaṃ ‘‘kāye kāyānupassanāsatipaṭṭhānabhāvanā’’ti vacanaṃ sandhāya kāyapadaniddeso kato. Kāye kāyānupassanāti bahuvidhe kāye tassa tassa kāyassa anupassanā. Atha vā kāye kāyānupassanā, na aññadhammānupassanāti vuttaṃ hoti. Aniccadukkhānattāsubhabhūte kāye na niccasukhattasubhānupassanā, atha kho aniccadukkhānattāsubhato kāyasseva anupassanā. Atha vā kāye ahanti vā mamanti vā itthīti vā purisoti vā gahetabbassa kassaci ananupassanato tasseva kāyamattassa anupassanāti vuttaṃ hoti. Upari vedanāsu vedanānupassanātiādīsu tīsupi eseva nayo. Satiyeva upaṭṭhānaṃ satipaṭṭhānaṃ, kāyānupassanāya sampayuttaṃ satipaṭṭhānaṃ kāyānupassanāsatipaṭṭhānaṃ, tassa bhāvanā kāyānupassanāsatipaṭṭhānabhāvanā.
๑๖๗. ตํ กายนฺติ อนิทฺทิเฎฺฐปิ นามรูปกาเย กายสเทฺทน ตสฺสาปิ สงฺคหิตตฺตา นิทฺทิฎฺฐํ วิย กตฺวา วุตฺตํฯ อนิจฺจานุปสฺสนาทโย หิ นามรูปกาเย เอว ลพฺภนฺติ, น นิมิตฺตกาเยฯ อนุปสฺสนา จ ภาวนา จ วุตฺตตฺถา เอวฯ ทีฆํ อสฺสาสปสฺสาสวเสนาติอาทิ อานาปานสฺสติภาวนาย อานิสํสํ ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ ตสฺสา หิ สติเวปุลฺลตาญาณเวปุลฺลตา จ อานิสํโสฯ ตตฺถ จิตฺตสฺส เอกคฺคตํ อวิเกฺขปํ ปชานโตติ ปฎิลทฺธชฺฌานสฺส วิปสฺสนากาเล จิเตฺตกคฺคตํ สนฺธาย วุตฺตํฯ วิทิตา เวทนาติ สามญฺญโต อุทยทสฺสเนน วิทิตา เวทนาฯ วิทิตา อุปฎฺฐหนฺตีติ ขยโต วยโต สุญฺญโต วิทิตา อุปฎฺฐหนฺติฯ วิทิตา อพฺภตฺถํ คจฺฉนฺตีติ สามญฺญโต วยทสฺสเนน วิทิตา วินาสํ คจฺฉนฺติ, ภิชฺชนฺตีติ อโตฺถฯ สญฺญาวิตเกฺกสุปิ เอเสว นโยฯ อิเมสุ ปน ตีสุ วุเตฺตสุ เสสา รูปธมฺมาปิ วุตฺตา โหนฺติฯ กสฺมา ปน อิเม ตโย เอว วุตฺตาติ เจ? ทุปฺปริคฺคหตฺตาฯ เวทนาสุ ตาว สุขทุกฺขา ปากฎา, อุเปกฺขา ปน สุขุมา ทุปฺปริคฺคหา, น สุฎฺฐุ ปากฎาฯ สาปิ จสฺส ปากฎา โหติ, สญฺญา อาการมตฺตคฺคาหกตฺตา น ยถาสภาวคฺคาหินี ฯ สา จ สภาวสามญฺญลกฺขณคฺคาหเกน วิปสฺสนาญาเณน สมฺปยุตฺตา อติ วิย อปากฎาฯ สาปิ จสฺส ปากฎา โหติ, วิตโกฺก ญาณปติรูปกตฺตา ญาณโต วิสุํ กตฺวา ทุปฺปริคฺคโหฯ ญาณปติรูปโก หิ วิตโกฺกฯ ยถาห – ‘‘ยา จาวุโส วิสาข, สมฺมาทิฎฺฐิ โย จ สมฺมาสงฺกโปฺป, อิเม ธมฺมา ปญฺญากฺขเนฺธ สงฺคหิตา’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๖๒)ฯ โสปิ จสฺส วิตโกฺก ปากโฎ โหตีติ เอวํ ทุปฺปริคฺคเหสุ วุเตฺตสุ เสสา วุตฺตาว โหนฺตีติฯ อิเมสํ ปน ปทานํ นิเทฺทเส กถํ วิทิตา เวทนา อุปฺปชฺชนฺตีติ ปุจฺฉิตฺวา ตํ อวิสฺสเชฺชตฺวาว เวทนุปฺปาทสฺส วิทิตเตฺตเยว วิสฺสชฺชิเต เวทนาย วิทิตตฺตํ วิสฺสชฺชิตํ โหตีติ กถํ เวทนาย อุปฺปาโท วิทิโต โหตีติอาทิมาหฯ เสเสสุปิ เอเสว นโยฯ อวิชฺชาสมุทยา อวิชฺชานิโรธาติอาทโย เหฎฺฐา วุตฺตตฺถา เอวฯ อิมินาว นเยน สญฺญาวิตกฺกาปิ เวทิตพฺพาฯ วิตกฺกวาเร ปน ‘‘ผสฺสสมุทยา ผสฺสนิโรธา’’ติ อวตฺวา ผสฺสฎฺฐาเน สญฺญาสมุทยา สญฺญานิโรธาติ วุตฺตํฯ ตํ กสฺมา อิติ เจ? สญฺญามูลกตฺตา วิตกฺกสฺสฯ ‘‘สญฺญานานตฺตํ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชติ สงฺกปฺปนานตฺต’’นฺติ (ที. นิ. ๓.๓๕๙) หิ วุตฺตํฯ
167. Taṃ kāyanti aniddiṭṭhepi nāmarūpakāye kāyasaddena tassāpi saṅgahitattā niddiṭṭhaṃ viya katvā vuttaṃ. Aniccānupassanādayo hi nāmarūpakāye eva labbhanti, na nimittakāye. Anupassanā ca bhāvanā ca vuttatthā eva. Dīghaṃ assāsapassāsavasenātiādi ānāpānassatibhāvanāya ānisaṃsaṃ dassetuṃ vuttaṃ. Tassā hi sativepullatāñāṇavepullatā ca ānisaṃso. Tattha cittassa ekaggataṃ avikkhepaṃ pajānatoti paṭiladdhajjhānassa vipassanākāle cittekaggataṃ sandhāya vuttaṃ. Viditā vedanāti sāmaññato udayadassanena viditā vedanā. Viditā upaṭṭhahantīti khayato vayato suññato viditā upaṭṭhahanti. Viditā abbhatthaṃ gacchantīti sāmaññato vayadassanena viditā vināsaṃ gacchanti, bhijjantīti attho. Saññāvitakkesupi eseva nayo. Imesu pana tīsu vuttesu sesā rūpadhammāpi vuttā honti. Kasmā pana ime tayo eva vuttāti ce? Duppariggahattā. Vedanāsu tāva sukhadukkhā pākaṭā, upekkhā pana sukhumā duppariggahā, na suṭṭhu pākaṭā. Sāpi cassa pākaṭā hoti, saññā ākāramattaggāhakattā na yathāsabhāvaggāhinī . Sā ca sabhāvasāmaññalakkhaṇaggāhakena vipassanāñāṇena sampayuttā ati viya apākaṭā. Sāpi cassa pākaṭā hoti, vitakko ñāṇapatirūpakattā ñāṇato visuṃ katvā duppariggaho. Ñāṇapatirūpako hi vitakko. Yathāha – ‘‘yā cāvuso visākha, sammādiṭṭhi yo ca sammāsaṅkappo, ime dhammā paññākkhandhe saṅgahitā’’ti (ma. ni. 1.462). Sopi cassa vitakko pākaṭo hotīti evaṃ duppariggahesu vuttesu sesā vuttāva hontīti. Imesaṃ pana padānaṃ niddese kathaṃ viditā vedanā uppajjantīti pucchitvā taṃ avissajjetvāva vedanuppādassa viditatteyeva vissajjite vedanāya viditattaṃ vissajjitaṃ hotīti kathaṃ vedanāya uppādo vidito hotītiādimāha. Sesesupi eseva nayo. Avijjāsamudayā avijjānirodhātiādayo heṭṭhā vuttatthā eva. Imināva nayena saññāvitakkāpi veditabbā. Vitakkavāre pana ‘‘phassasamudayā phassanirodhā’’ti avatvā phassaṭṭhāne saññāsamudayā saññānirodhāti vuttaṃ. Taṃ kasmā iti ce? Saññāmūlakattā vitakkassa. ‘‘Saññānānattaṃ paṭicca uppajjati saṅkappanānatta’’nti (dī. ni. 3.359) hi vuttaṃ.
อนิจฺจโต มนสิกโรโตติอาทีสุ จ ‘‘เวทนํ อนิจฺจโต มนสิกโรโต’’ติอาทินา นเยน ตสฺมิํ ตสฺมิํ วาเร โส โสเยว ธโมฺม โยเชตโพฺพฯ ยสฺมา ปน วิปสฺสนาสมฺปยุตฺตา เวทนา วิปสฺสนากิจฺจกรเณ อสมตฺถตฺตา วิปสฺสนาย อนุปการิกา, ตสฺมาเยว จ โพธิปกฺขิยธเมฺมสุ นาคตาฯ วิปสฺสนาสมฺปยุตฺตาย ปน สญฺญาย กิจฺจเมว อปริพฺยตฺตํ, ตสฺมา สา วิปสฺสนาย เอกนฺตมนุปการิกา เอวฯ วิตกฺกํ ปน วินา วิปสฺสนากิจฺจเมว นตฺถิฯ วิตกฺกสหายา หิ วิปสฺสนา สกกิจฺจํ กโรติฯ ยถาห –
Aniccato manasikarototiādīsu ca ‘‘vedanaṃ aniccato manasikaroto’’tiādinā nayena tasmiṃ tasmiṃ vāre so soyeva dhammo yojetabbo. Yasmā pana vipassanāsampayuttā vedanā vipassanākiccakaraṇe asamatthattā vipassanāya anupakārikā, tasmāyeva ca bodhipakkhiyadhammesu nāgatā. Vipassanāsampayuttāya pana saññāya kiccameva aparibyattaṃ, tasmā sā vipassanāya ekantamanupakārikā eva. Vitakkaṃ pana vinā vipassanākiccameva natthi. Vitakkasahāyā hi vipassanā sakakiccaṃ karoti. Yathāha –
‘‘ปญฺญา อตฺตโน ธมฺมตาย อนิจฺจํ ทุกฺขมนตฺตาติ อารมฺมณํ นิเจฺฉตุํ น สโกฺกติ, วิตเกฺก ปน อาโกเฎตฺวา อาโกเฎตฺวา เทเนฺต สโกฺกติฯ กถํ? ยถา หิ เหรญฺญิโก กหาปณํ หเตฺถ ฐเปตฺวา สพฺพภาเคสุ โอโลเกตุกาโม สมาโนปิ น จกฺขุตเลเนว ปริวเตฺตตุํ สโกฺกติ, องฺคุลิปเพฺพหิ ปน ปริวเตฺตตฺวา ปริวเตฺตตฺวา อิโต จิโต จ โอโลเกตุํ สโกฺกติ, เอวเมว น ปญฺญา อตฺตโน ธมฺมตาย อนิจฺจาทิวเสน อารมฺมณํ นิเจฺฉตุํ สโกฺกติ, อภินิโรปนลกฺขเณน ปน อาหนนปริยาหนนรเสน วิตเกฺกน อาโกเฎเนฺตน วิย ปริวเตฺตเนฺตน วิย จ อาทายาทาย ทินฺนเมว นิเจฺฉตุํ สโกฺกตี’’ติ (วิสุทฺธิ. ๒.๕๖๘)ฯ
‘‘Paññā attano dhammatāya aniccaṃ dukkhamanattāti ārammaṇaṃ nicchetuṃ na sakkoti, vitakke pana ākoṭetvā ākoṭetvā dente sakkoti. Kathaṃ? Yathā hi heraññiko kahāpaṇaṃ hatthe ṭhapetvā sabbabhāgesu oloketukāmo samānopi na cakkhutaleneva parivattetuṃ sakkoti, aṅgulipabbehi pana parivattetvā parivattetvā ito cito ca oloketuṃ sakkoti, evameva na paññā attano dhammatāya aniccādivasena ārammaṇaṃ nicchetuṃ sakkoti, abhiniropanalakkhaṇena pana āhananapariyāhananarasena vitakkena ākoṭentena viya parivattentena viya ca ādāyādāya dinnameva nicchetuṃ sakkotī’’ti (visuddhi. 2.568).
ตสฺมา เวทนาสญฺญานํ วิปสฺสนาย อนุปการตฺตา ลกฺขณมตฺตวเสเนว ทเสฺสตุํ ‘‘เวทนาย สญฺญายา’’ติ ตตฺถ ตตฺถ เอกวจเนน นิเทฺทโส กโตฯ ยตฺตโก ปน วิปสฺสนาย เภโท, ตตฺตโก เอว วิตกฺกสฺสาติ ทเสฺสตุํ ‘‘วิตกฺกาน’’นฺติ ตตฺถ ตตฺถ พหุวจเนน นิเทฺทโส กโตติ วตฺตุํ ยุชฺชติฯ
Tasmā vedanāsaññānaṃ vipassanāya anupakārattā lakkhaṇamattavaseneva dassetuṃ ‘‘vedanāya saññāyā’’ti tattha tattha ekavacanena niddeso kato. Yattako pana vipassanāya bhedo, tattako eva vitakkassāti dassetuṃ ‘‘vitakkāna’’nti tattha tattha bahuvacanena niddeso katoti vattuṃ yujjati.
๑๖๘. ปุน ทีฆํ อสฺสาสปสฺสาสวเสนาติอาทิ อานาปานสฺสติภาวนาย สมฺปตฺติํ ภาวนาผลญฺจ ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ ตตฺถ สโมธาเนตีติ อารมฺมณํ ฐเปติ, อารมฺมณํ ปติฎฺฐาเปตีติ วา อโตฺถฯ สโมทหนพฺยาปาราภาเวปิ ภาวนาปาริปูริยา เอว สโมทหติ นามฯ โคจรนฺติ วิปสฺสนากฺขเณ สงฺขารารมฺมณํ, มคฺคกฺขเณ ผลกฺขเณ จ นิพฺพานารมฺมณํฯ สมตฺถนฺติ สมเมว อโตฺถ, สมสฺส วา อโตฺถติ สมโตฺถฯ ตํ สมตฺถํฯ เสเสสุปิ เอเสว นโยฯ มคฺคํ สโมธาเนตีติ มคฺคผลกฺขเณเยว โคจรํ นิพฺพานเมวฯ อยํ ปุคฺคโลติ อานาปานสฺสติภาวนํ อนุยุโตฺต โยคาวจโรวฯ อิมสฺมิํ อารมฺมเณติ เอตฺถ ปน ‘‘กาเย’’ติปเทน สงฺคหิเต นามรูปกายสงฺขาเต สงฺขตารมฺมเณ เตเนว กเมน มเคฺค นิพฺพานารมฺมเณ จฯ ยํ ตสฺสาติอาทีหิ อารมฺมณโคจรสทฺทานํ เอกตฺถตา วุตฺตาฯ ตสฺสาติ ตสฺส ปุคฺคลสฺสฯ ปชานาตีติ ปุคฺคโล ปชานนา ปญฺญาติ ปุคฺคโล ปญฺญาย ปชานาตีติ วุตฺตํ โหติฯ อารมฺมณสฺส อุปฎฺฐานนฺติ วิปสฺสนากฺขเณ สงฺขารารมฺมณสฺส, มคฺคผลกฺขเณ นิพฺพานารมฺมณสฺส อุปฎฺฐานํ สติฯ เอตฺถ จ กมฺมเตฺถ สามิวจนํ ยถา รโญฺญ อุปฎฺฐานนฺติฯ อวิเกฺขโปติ สมาธิฯ อธิฎฺฐานนฺติ ยถาวุตฺตสงฺขารารมฺมณํ นิพฺพานารมฺมณญฺจ ฯ ตญฺหิ อธิฎฺฐาติ เอตฺถ จิตฺตนฺติ อธิฎฺฐานํฯ โวทานนฺติ ญาณํฯ ตญฺหิ โวทายติ วิสุชฺฌติ เตน จิตฺตนฺติ โวทานํฯ ลีนปกฺขิโก สมาธิ อลีนภาวปฺปตฺติยา สมภูตตฺตา สมํ, อุทฺธจฺจปกฺขิกํ ญาณํ อนุทฺธตภาวปฺปตฺติยา สมภูตตฺตา สมํฯ เตน วิปสฺสนามคฺคผลกฺขเณสุ สมถวิปสฺสนานํ ยุคนทฺธตา วุตฺตา โหติฯ สติ ปน สพฺพตฺถิกตฺตา ตทุภยสมตาย อุปการิกาติ สมํ, อารมฺมณํ สมตาธิฎฺฐานตฺตา สมํฯ อนวชฺชโฎฺฐติ วิปสฺสนาย อนวชฺชสภาโวฯ นิเกฺลสโฎฺฐติ มคฺคสฺส นิกฺกิเลสสภาโวฯ นิกฺกิเลสโฎฺฐติ วา ปาโฐฯ โวทานโฎฺฐติ ผลสฺส ปริสุทฺธสภาโวฯ ปรมโฎฺฐติ นิพฺพานสฺส สพฺพธมฺมุตฺตมสภาโวฯ ปฎิวิชฺฌตีติ ตํ ตํ สภาวํ อสโมฺมหโต ปฎิวิชฺฌติฯ เอตฺถ จ ‘‘อารมฺมณสฺส อุปฎฺฐาน’’นฺติอาทีหิ สมฺมา ปฎิเวโธ วุโตฺตฯ เอเตฺถว จ โวทานฎฺฐปฎิเวธสฺส วุตฺตตฺตา เตน เอกลกฺขณา อนวชฺชฎฺฐนิกฺกิเลสฎฺฐปรมฎฺฐา ลกฺขณหารวเสน วุตฺตาเยว โหนฺติฯ ยถาห –
168. Puna dīghaṃ assāsapassāsavasenātiādi ānāpānassatibhāvanāya sampattiṃ bhāvanāphalañca dassetuṃ vuttaṃ. Tattha samodhānetīti ārammaṇaṃ ṭhapeti, ārammaṇaṃ patiṭṭhāpetīti vā attho. Samodahanabyāpārābhāvepi bhāvanāpāripūriyā eva samodahati nāma. Gocaranti vipassanākkhaṇe saṅkhārārammaṇaṃ, maggakkhaṇe phalakkhaṇe ca nibbānārammaṇaṃ. Samatthanti samameva attho, samassa vā atthoti samattho. Taṃ samatthaṃ. Sesesupi eseva nayo. Maggaṃ samodhānetīti maggaphalakkhaṇeyeva gocaraṃ nibbānameva. Ayaṃ puggaloti ānāpānassatibhāvanaṃ anuyutto yogāvacarova. Imasmiṃ ārammaṇeti ettha pana ‘‘kāye’’tipadena saṅgahite nāmarūpakāyasaṅkhāte saṅkhatārammaṇe teneva kamena magge nibbānārammaṇe ca. Yaṃ tassātiādīhi ārammaṇagocarasaddānaṃ ekatthatā vuttā. Tassāti tassa puggalassa. Pajānātīti puggalo pajānanā paññāti puggalo paññāya pajānātīti vuttaṃ hoti. Ārammaṇassa upaṭṭhānanti vipassanākkhaṇe saṅkhārārammaṇassa, maggaphalakkhaṇe nibbānārammaṇassa upaṭṭhānaṃ sati. Ettha ca kammatthe sāmivacanaṃ yathā rañño upaṭṭhānanti. Avikkhepoti samādhi. Adhiṭṭhānanti yathāvuttasaṅkhārārammaṇaṃ nibbānārammaṇañca . Tañhi adhiṭṭhāti ettha cittanti adhiṭṭhānaṃ. Vodānanti ñāṇaṃ. Tañhi vodāyati visujjhati tena cittanti vodānaṃ. Līnapakkhiko samādhi alīnabhāvappattiyā samabhūtattā samaṃ, uddhaccapakkhikaṃ ñāṇaṃ anuddhatabhāvappattiyā samabhūtattā samaṃ. Tena vipassanāmaggaphalakkhaṇesu samathavipassanānaṃ yuganaddhatā vuttā hoti. Sati pana sabbatthikattā tadubhayasamatāya upakārikāti samaṃ, ārammaṇaṃ samatādhiṭṭhānattā samaṃ. Anavajjaṭṭhoti vipassanāya anavajjasabhāvo. Niklesaṭṭhoti maggassa nikkilesasabhāvo. Nikkilesaṭṭhoti vā pāṭho. Vodānaṭṭhoti phalassa parisuddhasabhāvo. Paramaṭṭhoti nibbānassa sabbadhammuttamasabhāvo. Paṭivijjhatīti taṃ taṃ sabhāvaṃ asammohato paṭivijjhati. Ettha ca ‘‘ārammaṇassa upaṭṭhāna’’ntiādīhi sammā paṭivedho vutto. Ettheva ca vodānaṭṭhapaṭivedhassa vuttattā tena ekalakkhaṇā anavajjaṭṭhanikkilesaṭṭhaparamaṭṭhā lakkhaṇahāravasena vuttāyeva honti. Yathāha –
‘‘วุตฺตมฺหิ เอกธเมฺม, เย ธมฺมา เอกลกฺขณา เกจิ;
‘‘Vuttamhi ekadhamme, ye dhammā ekalakkhaṇā keci;
วุตฺตา ภวนฺติ สเพฺพ, โส หาโร ลกฺขโณ นามา’’ติฯ (เนตฺติ. ๔.๕ นิเทฺทสวาร);
Vuttā bhavanti sabbe, so hāro lakkhaṇo nāmā’’ti. (netti. 4.5 niddesavāra);
อนวชฺชโฎฺฐ นิกฺกิเลสโฎฺฐ เจตฺถ อวิเกฺขปสงฺขาตสฺส สมสฺส อโตฺถ ปโยชนนฺติ สมโตฺถ, โวทานโฎฺฐ วิปสฺสนามคฺคโวทานํ สนฺธาย สมเมว อโตฺถติ สมโตฺถ, ผลโวทานํ สนฺธาย มคฺคโวทานสงฺขาตสฺส สมสฺส อโตฺถติ สมโตฺถ, ปรมโฎฺฐ ปน สมเมว อโตฺถติ วา นิพฺพานปโยชนตฺตา สพฺพสฺส สมสฺส อโตฺถติ วา สมโตฺถ, ตํ วุตฺตปฺปการํ สมญฺจ สมตฺถญฺจ เอกเทสสรูเปกเสสํ กตฺวา สมตฺถญฺจ ปฎิวิชฺฌตีติ วุตฺตํฯ อินฺทฺริยพลโพชฺฌงฺคธมฺมา วิปสฺสนามคฺคผลกฺขเณปิ ลพฺภนฺติ, มโคฺค จ ติโสฺส จ วิสุทฺธิโย มคฺคผลกฺขเณเยว, วิโมโกฺข จ วิชฺชา จ ขเย ญาณญฺจ มคฺคกฺขเณเยว, วิมุตฺติ จ อนุปฺปาเท ญาณญฺจ ผลกฺขเณเยว, เสสา วิปสฺสนากฺขเณปีติฯ ธมฺมวาเร อิเม ธเมฺม อิมสฺมิํ อารมฺมเณ สโมธาเนตีติ นิพฺพานํ ฐเปตฺวา เสสา ยถาโยคํ เวทิตพฺพาฯ อิทํ ปน เยภุยฺยวเสน วุตฺตํฯ อวุตฺตตฺถา ปเนตฺถ เหฎฺฐา วุตฺตา เอวฯ เอเกกจตุกฺกวเสเนตฺถ นิยฺยาเน ทสฺสิเตปิ จตุกฺกโนฺตคธสฺส เอเกกสฺสาปิ ภาคสฺส นิยฺยานสฺส อุปนิสฺสยตฺตา เอเกกภาควเสน นิยฺยานํ ทสฺสิตํฯ น หิ เอเกกํ วินา นิยฺยานํ โหตีติฯ
Anavajjaṭṭho nikkilesaṭṭho cettha avikkhepasaṅkhātassa samassa attho payojananti samattho, vodānaṭṭho vipassanāmaggavodānaṃ sandhāya samameva atthoti samattho, phalavodānaṃ sandhāya maggavodānasaṅkhātassa samassa atthoti samattho, paramaṭṭho pana samameva atthoti vā nibbānapayojanattā sabbassa samassa atthoti vā samattho, taṃ vuttappakāraṃ samañca samatthañca ekadesasarūpekasesaṃ katvā samatthañca paṭivijjhatīti vuttaṃ. Indriyabalabojjhaṅgadhammā vipassanāmaggaphalakkhaṇepi labbhanti, maggo ca tisso ca visuddhiyo maggaphalakkhaṇeyeva, vimokkho ca vijjā ca khaye ñāṇañca maggakkhaṇeyeva, vimutti ca anuppāde ñāṇañca phalakkhaṇeyeva, sesā vipassanākkhaṇepīti. Dhammavāre ime dhamme imasmiṃ ārammaṇe samodhānetīti nibbānaṃ ṭhapetvā sesā yathāyogaṃ veditabbā. Idaṃ pana yebhuyyavasena vuttaṃ. Avuttatthā panettha heṭṭhā vuttā eva. Ekekacatukkavasenettha niyyāne dassitepi catukkantogadhassa ekekassāpi bhāgassa niyyānassa upanissayattā ekekabhāgavasena niyyānaṃ dassitaṃ. Na hi ekekaṃ vinā niyyānaṃ hotīti.
ทีฆํอสฺสาสปสฺสาสนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dīghaṃassāsapassāsaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
๑๖๙. รสฺสนิเทฺทเส อิตฺตรสงฺขาเตติ ปริตฺตสงฺขาเต กาเลฯ เสสเมตฺถ วุตฺตนเยน เวทิตพฺพํฯ
169. Rassaniddese ittarasaṅkhāteti parittasaṅkhāte kāle. Sesamettha vuttanayena veditabbaṃ.
๑๗๐. สพฺพกายปฎิสํเวทินิเทฺทเส อรูปธเมฺมสุ เวทนาย โอฬาริกตฺตา สุขคฺคหณตฺถํ ปฐมํ อิฎฺฐานิฎฺฐารมฺมณสํเวทิกา เวทนา วุตฺตา, ตโต ยํ เวเทติ, ตํ สญฺชานาตีติ เอวํ เวทนาวิสยสฺส อาการคฺคาหิกา สญฺญา, ตโต สญฺญาวเสน อภิสงฺขาริกา เจตนา, ตโต ‘‘ผุโฎฺฐ เวเทติ, ผุโฎฺฐ สญฺชานาติ, ผุโฎฺฐ เจเตตี’’ติ (สํ. นิ. ๔.๙๓) วจนโต ผโสฺส, ตโต สเพฺพสํ สาธารณลกฺขโณ มนสิกาโร, เจตนาทีหิ สงฺขารกฺขโนฺธ วุโตฺตฯ เอวํ ตีสุ ขเนฺธสุ วุเตฺตสุ ตํนิสฺสโย วิญฺญาณกฺขโนฺธ วุโตฺตว โหติฯ นามญฺจาติ วุตฺตปฺปการํ นามญฺจฯ นามกาโย จาติ อิทํ ปน นาเมน นิพฺพานสฺสปิ สงฺคหิตตฺตา โลกุตฺตรานญฺจ อวิปสฺสนุปคตฺตา ตํ อปเนตุํ วุตฺตํฯ ‘‘กาโย’’ติ หิ วจเนน นิพฺพานํ อปนีตํ โหติ นิพฺพานสฺส ราสิวินิมุตฺตตฺตาฯ เย จ วุจฺจนฺติ จิตฺตสงฺขาราติ ‘‘สญฺญา จ เวทนา จ เจตสิกา เอเต ธมฺมา จิตฺตปฎิพทฺธา จิตฺตสงฺขารา’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๗๔; ม. นิ. ๑.๔๖๓) เอวํ วุจฺจมานาปิ จิตฺตสงฺขารา อิธ นามกาเยเนว สงฺคหิตาติ วุตฺตํ โหติฯ มหาภูตาติ มหนฺตปาตุภาวโต มหาภูตสามญฺญโต มหาปริหารโต มหาวิการโต มหนฺตภูตตฺตา จาติ มหาภูตาฯ เต ปน – ปถวี อาโป เตโช วาโยติ จตฺตาโรฯ จตุนฺนญฺจ มหาภูตานํ อุปาทายรูปนฺติ อุปโยคเตฺถ สามิวจนํ, จตฺตาโร มหาภูเต อุปาทาย นิสฺสาย อมุญฺจิตฺวา ปวตฺตรูปนฺติ อโตฺถฯ ตํ ปน – จกฺขุ โสตํ ฆานํ ชิวฺหา กาโย รูปํ สโทฺท คโนฺธ รโส อิตฺถินฺทฺริยํ ปุริสินฺทฺริยํ ชีวิตินฺทฺริยํ หทยวตฺถุ โอชา กายวิญฺญตฺติ วจีวิญฺญตฺติ อากาสธาตุ รูปสฺส ลหุตา มุทุตา กมฺมญฺญตฺตา อุปจโย สนฺตติ ชรตา อนิจฺจตาติ จตุวีสติวิธํฯ อสฺสาโส จ ปสฺสาโส จาติ ปากติโกเยวฯ อสฺสาสปสฺสาเส นิสฺสาย อุปฺปนฺนํ ปฎิภาคนิมิตฺตมฺปิ ตเทว นามํ ลภติ ปถวีกสิณาทีนิ วิยฯ รูปสริกฺขกตฺตา รูปนฺติ จ นามํ ลภติ ‘‘พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสตี’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๒๐๔; ที. นิ. ๓.๓๓๘) วิยฯ นิมิตฺตญฺจ อุปนิพนฺธนาติ สติอุปนิพนฺธนาย นิมิตฺตภูตํ อสฺสาสปสฺสาสานํ ผุสนฎฺฐานํฯ เย จ วุจฺจนฺติ กายสงฺขาราติ ‘‘อสฺสาสปสฺสาสา กายิกา เอเต ธมฺมา กายปฎิพทฺธา กายสงฺขารา’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๗๑; ม. นิ. ๑.๔๖๓) เอวํ วุจฺจมานาปิ กายสงฺขารา อิธ รูปกาเยเนว สงฺคหิตาติ วุตฺตํ โหติฯ
170. Sabbakāyapaṭisaṃvediniddese arūpadhammesu vedanāya oḷārikattā sukhaggahaṇatthaṃ paṭhamaṃ iṭṭhāniṭṭhārammaṇasaṃvedikā vedanā vuttā, tato yaṃ vedeti, taṃ sañjānātīti evaṃ vedanāvisayassa ākāraggāhikā saññā, tato saññāvasena abhisaṅkhārikā cetanā, tato ‘‘phuṭṭho vedeti, phuṭṭho sañjānāti, phuṭṭho cetetī’’ti (saṃ. ni. 4.93) vacanato phasso, tato sabbesaṃ sādhāraṇalakkhaṇo manasikāro, cetanādīhi saṅkhārakkhandho vutto. Evaṃ tīsu khandhesu vuttesu taṃnissayo viññāṇakkhandho vuttova hoti. Nāmañcāti vuttappakāraṃ nāmañca. Nāmakāyo cāti idaṃ pana nāmena nibbānassapi saṅgahitattā lokuttarānañca avipassanupagattā taṃ apanetuṃ vuttaṃ. ‘‘Kāyo’’ti hi vacanena nibbānaṃ apanītaṃ hoti nibbānassa rāsivinimuttattā. Ye ca vuccanti cittasaṅkhārāti ‘‘saññā ca vedanā ca cetasikā ete dhammā cittapaṭibaddhā cittasaṅkhārā’’ti (paṭi. ma. 1.174; ma. ni. 1.463) evaṃ vuccamānāpi cittasaṅkhārā idha nāmakāyeneva saṅgahitāti vuttaṃ hoti. Mahābhūtāti mahantapātubhāvato mahābhūtasāmaññato mahāparihārato mahāvikārato mahantabhūtattā cāti mahābhūtā. Te pana – pathavī āpo tejo vāyoti cattāro. Catunnañca mahābhūtānaṃ upādāyarūpanti upayogatthe sāmivacanaṃ, cattāro mahābhūte upādāya nissāya amuñcitvā pavattarūpanti attho. Taṃ pana – cakkhu sotaṃ ghānaṃ jivhā kāyo rūpaṃ saddo gandho raso itthindriyaṃ purisindriyaṃ jīvitindriyaṃ hadayavatthu ojā kāyaviññatti vacīviññatti ākāsadhātu rūpassa lahutā mudutā kammaññattā upacayo santati jaratā aniccatāti catuvīsatividhaṃ. Assāso ca passāso cāti pākatikoyeva. Assāsapassāse nissāya uppannaṃ paṭibhāganimittampi tadeva nāmaṃ labhati pathavīkasiṇādīni viya. Rūpasarikkhakattā rūpanti ca nāmaṃ labhati ‘‘bahiddhā rūpāni passatī’’tiādīsu (dha. sa. 204; dī. ni. 3.338) viya. Nimittañca upanibandhanāti satiupanibandhanāya nimittabhūtaṃ assāsapassāsānaṃ phusanaṭṭhānaṃ. Ye ca vuccanti kāyasaṅkhārāti ‘‘assāsapassāsā kāyikā ete dhammā kāyapaṭibaddhā kāyasaṅkhārā’’ti (paṭi. ma. 1.171; ma. ni. 1.463) evaṃ vuccamānāpi kāyasaṅkhārā idha rūpakāyeneva saṅgahitāti vuttaṃ hoti.
เต กายา ปฎิวิทิตา โหนฺตีติ ฌานกฺขเณ อสฺสาสปสฺสาสนิมิตฺตกายา วิปสฺสนากฺขเณ อวเสสรูปารูปกายา อารมฺมณโต ปฎิวิทิตา โหนฺติ, มคฺคกฺขเณ อสโมฺมหโต ปฎิวิทิตา โหนฺติฯ อสฺสาสปสฺสาสวเสน ปฎิลทฺธชฺฌานสฺส โยคิสฺส อุปฺปนฺนวิปสฺสนามเคฺคปิ สนฺธาย ทีฆํ อสฺสาสปสฺสาสวเสนาติอาทิ วุตฺตํฯ
Tekāyā paṭividitā hontīti jhānakkhaṇe assāsapassāsanimittakāyā vipassanākkhaṇe avasesarūpārūpakāyā ārammaṇato paṭividitā honti, maggakkhaṇe asammohato paṭividitā honti. Assāsapassāsavasena paṭiladdhajjhānassa yogissa uppannavipassanāmaggepi sandhāya dīghaṃ assāsapassāsavasenātiādi vuttaṃ.
อาวชฺชโต ปชานโตติอาทีนิ สีลกถายํ วุตฺตตฺถานิฯ เต วุตฺตปฺปกาเร กาเย อโนฺตกริตฺวา ‘‘สพฺพกายปฎิสํเวที’’ติ วุตฺตํฯ
Āvajjato pajānatotiādīni sīlakathāyaṃ vuttatthāni. Te vuttappakāre kāye antokaritvā ‘‘sabbakāyapaṭisaṃvedī’’ti vuttaṃ.
สพฺพกายปฎิสํเวที อสฺสาสปสฺสาสานํ สํวรเฎฺฐนาติอาทีสุ ‘‘สพฺพกายปฎิสํเวที’’ติวุตฺตอสฺสาสปสฺสาสโต อุปฺปนฺนชฺฌานวิปสฺสนามเคฺคสุ สํวโรเยว สํวรเฎฺฐน สีลวิสุทฺธิฯ อวิเกฺขโปเยว อวิเกฺขปเฎฺฐน จิตฺตวิสุทฺธิฯ ปญฺญาเยว ทสฺสนเฎฺฐน ทิฎฺฐิวิสุทฺธิฯ ฌานวิปสฺสนาสุ วิรติอภาเวปิ ปาปาภาวมตฺตเมว สํวโร นามาติ เวทิตพฺพํฯ
Sabbakāyapaṭisaṃvedī assāsapassāsānaṃ saṃvaraṭṭhenātiādīsu ‘‘sabbakāyapaṭisaṃvedī’’tivuttaassāsapassāsato uppannajjhānavipassanāmaggesu saṃvaroyeva saṃvaraṭṭhena sīlavisuddhi. Avikkhepoyeva avikkhepaṭṭhena cittavisuddhi. Paññāyeva dassanaṭṭhena diṭṭhivisuddhi. Jhānavipassanāsu viratiabhāvepi pāpābhāvamattameva saṃvaro nāmāti veditabbaṃ.
๑๗๑. ปสฺสมฺภยนฺติอาทีนํ นิเทฺทเส กายิกาติ รูปกาเย ภวาฯ กายปฎิพทฺธาติ กายํ ปฎิพทฺธา กายํ นิสฺสิตา, กาเย สติ โหนฺติ, อสติ น โหนฺติ, ตสฺมาเยว เต กาเยน สงฺขรียนฺตีติ กายสงฺขาราฯ ปสฺสเมฺภโนฺตติ นิพฺพาเปโนฺต สนฺนิสีทาเปโนฺตฯ ปสฺสมฺภนวจเนเนว โอฬาริกานํ ปสฺสมฺภนํ สิทฺธํฯ นิโรเธโนฺตติ โอฬาริกานํ อนุปฺปาทเนน นิโรเธโนฺตฯ วูปสเมโนฺตติ โอฬาริเกเยว เอกสนฺตติปริณามนเยน สนฺตภาวํ นยโนฺตฯ สิกฺขตีติ อธิการวเสน อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขตีติ สมฺพโนฺธ, ติโสฺส สิกฺขา สิกฺขตีติ วา อโตฺถฯ
171.Passambhayantiādīnaṃ niddese kāyikāti rūpakāye bhavā. Kāyapaṭibaddhāti kāyaṃ paṭibaddhā kāyaṃ nissitā, kāye sati honti, asati na honti, tasmāyeva te kāyena saṅkharīyantīti kāyasaṅkhārā. Passambhentoti nibbāpento sannisīdāpento. Passambhanavacaneneva oḷārikānaṃ passambhanaṃ siddhaṃ. Nirodhentoti oḷārikānaṃ anuppādanena nirodhento. Vūpasamentoti oḷārikeyeva ekasantatipariṇāmanayena santabhāvaṃ nayanto. Sikkhatīti adhikāravasena assasissāmīti sikkhatīti sambandho, tisso sikkhā sikkhatīti vā attho.
อิทานิ โอฬาริกปสฺสมฺภนํ ทเสฺสตุํ ยถารูเปหีติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยถารูเปหีติ ยาทิเสหิฯ อานมนาติ ปจฺฉโต นมนาฯ วินมนาติ อุภยปสฺสโต นมนาฯ สนฺนมนาติ สพฺพโตปิ นมนฺตสฺส สุฎฺฐุ นมนาฯ ปณมนาติ ปุรโต นมนาฯ อิญฺชนาติ กมฺปนาฯ ผนฺทนาติ อีสกํ จลนาฯ ปกมฺปนาติ ภุสํ กมฺปนาฯ ยถารูเปหิ กายสงฺขาเรหิ กายสฺส อานมนา…เป.… ปกมฺปนา, ตถารูปํ กายสงฺขารํ ปสฺสมฺภยนฺติ จ, ยา กายสฺส อานมนา…เป.… ปกมฺปนา, ตญฺจ ปสฺสมฺภยนฺติ จ สมฺพโนฺธ กาตโพฺพฯ กายสงฺขาเรสุ หิ ปสฺสมฺภิเตสุ กายสฺส อานมนาทโย จ ปสฺสมฺภิตาเยว โหนฺตีติฯ ยถารูเปหิ กายสงฺขาเรหิ กายสฺส น อานมนาทิกา โหติ, ตถารูปํ สนฺตํ สุขุมมฺปิ กายสงฺขารํ ปสฺสมฺภยนฺติ จ, ยา กายสฺส น อานมนาทิกา, ตญฺจ สนฺตํ สุขุมํ ปสฺสมฺภยนฺติ จ สมฺพนฺธโต เวทิตพฺพํฯ สนฺตํ สุขุมนฺติ จ ภาวนปุํสกวจนเมตํฯ อิติ กิราติ เอตฺถ อิติ เอวมเตฺถ, กิร ยทิอเตฺถฯ ยทิ เอวํ สุขุมเกปิ อสฺสาสปสฺสาเส ปสฺสมฺภยํ อสฺสสิสฺสามิ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขตีติ โจทเกน โจทนา อารทฺธา โหติฯ อถ วา กิราติ โจทกวจนตฺตา อสทฺทหนเตฺถ อสหนเตฺถ ปโรกฺขเตฺถ จ ยุชฺชติเยว, เอวํ สุขุมานมฺปิ ปสฺสมฺภนํ สิกฺขตีติ น สทฺทหามิ น สหามิ อปจฺจกฺขํ เมติ วุตฺตํ โหติฯ
Idāni oḷārikapassambhanaṃ dassetuṃ yathārūpehītiādimāha. Tattha yathārūpehīti yādisehi. Ānamanāti pacchato namanā. Vinamanāti ubhayapassato namanā. Sannamanāti sabbatopi namantassa suṭṭhu namanā. Paṇamanāti purato namanā. Iñjanāti kampanā. Phandanāti īsakaṃ calanā. Pakampanāti bhusaṃ kampanā. Yathārūpehi kāyasaṅkhārehi kāyassa ānamanā…pe… pakampanā, tathārūpaṃ kāyasaṅkhāraṃ passambhayanti ca, yā kāyassa ānamanā…pe… pakampanā, tañca passambhayanti ca sambandho kātabbo. Kāyasaṅkhāresu hi passambhitesu kāyassa ānamanādayo ca passambhitāyeva hontīti. Yathārūpehi kāyasaṅkhārehi kāyassa na ānamanādikā hoti, tathārūpaṃ santaṃ sukhumampi kāyasaṅkhāraṃ passambhayanti ca, yā kāyassa na ānamanādikā, tañca santaṃ sukhumaṃ passambhayanti ca sambandhato veditabbaṃ. Santaṃ sukhumanti ca bhāvanapuṃsakavacanametaṃ. Iti kirāti ettha iti evamatthe, kira yadiatthe. Yadi evaṃ sukhumakepi assāsapassāse passambhayaṃ assasissāmi passasissāmīti sikkhatīti codakena codanā āraddhā hoti. Atha vā kirāti codakavacanattā asaddahanatthe asahanatthe parokkhatthe ca yujjatiyeva, evaṃ sukhumānampi passambhanaṃ sikkhatīti na saddahāmi na sahāmi apaccakkhaṃ meti vuttaṃ hoti.
เอวํ สเนฺตติ เอวํ สุขุมานํ ปสฺสมฺภเน สเนฺตฯ วาตูปลทฺธิยา จ ปภาวนา น โหตีติ อสฺสาสปสฺสาสวาตสฺส อุปลทฺธิยาฯ อุปลทฺธีติ วิญฺญาณํฯ อสฺสาสปสฺสาสวาตํ อุปลพฺภมานสฺส ตทารมฺมณสฺส ภาวนาวิญฺญาณสฺส ปภาวนา อุปฺปาทนา น โหติ, ตสฺส อารมฺมณสฺส ภาวนา น โหตีติ อโตฺถฯ อสฺสาสปสฺสาสานญฺจ ปภาวนา น โหตีติ ภาวนาย สุขุมกานมฺปิ อสฺสาสปสฺสาสานํ นิโรธนโต เตสญฺจ อุปฺปาทนา ปวตฺตนา น โหตีติ อโตฺถฯ อานาปานสฺสติยา จ ปภาวนา น โหตีติ อสฺสาสปสฺสาสาภาวโตเยว ตทารมฺมณาย ภาวนาวิญฺญาณสมฺปยุตฺตาย สติยา จ ปวตฺตนา น โหติฯ ตสฺมาเยว ตํสมฺปยุตฺตสฺส อานาปานสฺสติสมาธิสฺส จ ภาวนา น โหติฯ น จ นํ ตนฺติ เอตฺถ จ นนฺติ นิปาตมตฺตํ ‘‘ภิกฺขุ จ น’’นฺติอาทีสุ (ปารา. ๒๗๓) วิยฯ ตํ วุตฺตวิธิํ สมาปตฺติํ ปณฺฑิตา น สมาปชฺชนฺติปิ ตโต น วุฎฺฐหนฺติปีติ สมฺพโนฺธฯ โจทนาปกฺขสฺส ปริหารวจเน อิติ กิราติ เอวเมวฯ เอตฺถ เอวการเตฺถ กิรสโทฺท ทฎฺฐโพฺพฯ เอวํ สเนฺตติ เอวํ ปสฺสมฺภเน สเนฺต เอวฯ
Evaṃ santeti evaṃ sukhumānaṃ passambhane sante. Vātūpaladdhiyā ca pabhāvanā na hotīti assāsapassāsavātassa upaladdhiyā. Upaladdhīti viññāṇaṃ. Assāsapassāsavātaṃ upalabbhamānassa tadārammaṇassa bhāvanāviññāṇassa pabhāvanā uppādanā na hoti, tassa ārammaṇassa bhāvanā na hotīti attho. Assāsapassāsānañca pabhāvanā na hotīti bhāvanāya sukhumakānampi assāsapassāsānaṃ nirodhanato tesañca uppādanā pavattanā na hotīti attho. Ānāpānassatiyā ca pabhāvanā na hotīti assāsapassāsābhāvatoyeva tadārammaṇāya bhāvanāviññāṇasampayuttāya satiyā ca pavattanā na hoti. Tasmāyeva taṃsampayuttassa ānāpānassatisamādhissa ca bhāvanā na hoti. Na ca naṃ tanti ettha ca nanti nipātamattaṃ ‘‘bhikkhu ca na’’ntiādīsu (pārā. 273) viya. Taṃ vuttavidhiṃ samāpattiṃ paṇḍitā na samāpajjantipi tato na vuṭṭhahantipīti sambandho. Codanāpakkhassa parihāravacane iti kirāti evameva. Ettha evakāratthe kirasaddo daṭṭhabbo. Evaṃ santeti evaṃ passambhane sante eva.
ยถา กถํ วิยาติ ยถา ตํ วุตฺตวิธานํ โหติ, ตถา ตํ กถํ วิยาติ อุปมํ ปุจฺฉติฯ อิทานิ เสยฺยถาปีติ ตํ อุปมํ ทเสฺสติฯ กํเสติ กํสมยภาชเนฯ นิมิตฺตนฺติ เตสํ สทฺทานํ อาการํฯ ‘‘นิมิตฺต’’นฺติ จ สามิอเตฺถ อุปโยควจนํ, นิมิตฺตสฺสาติ อโตฺถฯ สทฺทนิมิตฺตญฺจ สทฺทโต อนญฺญํฯ สุคฺคหิตตฺตาติ สุฎฺฐุ อุคฺคหิตตฺตาฯ สุคหิตตฺตาติปิ ปาโฐ, สุฎฺฐุ คหิตตฺตาติ อโตฺถฯ สุมนสิกตตฺตาติ สุฎฺฐุ อาวชฺชิตตฺตาฯ สูปธาริตตฺตาติ สุฎฺฐุ จิเตฺต ฐปิตตฺตาฯ สุขุมสทฺทนิมิตฺตารมฺมณตาปีติ ตทา สุขุมานมฺปิ สทฺทานํ นิรุทฺธตฺตา อนุคฺคหิตสทฺทนิมิตฺตสฺส อนารมฺมณมฺปิ สุขุมตรํ สทฺทนิมิตฺตํ อารมฺมณํ กตฺวา สุขุมตรํ สทฺทนิมิตฺตารมฺมณมฺปิ จิตฺตํ ปวตฺตติ, สุขุมตรสทฺทนิมิตฺตารมฺมณภาวโตปีติ วา อโตฺถฯ อิมินาว นเยน อปฺปนายมฺปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Yathā kathaṃ viyāti yathā taṃ vuttavidhānaṃ hoti, tathā taṃ kathaṃ viyāti upamaṃ pucchati. Idāni seyyathāpīti taṃ upamaṃ dasseti. Kaṃseti kaṃsamayabhājane. Nimittanti tesaṃ saddānaṃ ākāraṃ. ‘‘Nimitta’’nti ca sāmiatthe upayogavacanaṃ, nimittassāti attho. Saddanimittañca saddato anaññaṃ. Suggahitattāti suṭṭhu uggahitattā. Sugahitattātipi pāṭho, suṭṭhu gahitattāti attho. Sumanasikatattāti suṭṭhu āvajjitattā. Sūpadhāritattāti suṭṭhu citte ṭhapitattā. Sukhumasaddanimittārammaṇatāpīti tadā sukhumānampi saddānaṃ niruddhattā anuggahitasaddanimittassa anārammaṇampi sukhumataraṃ saddanimittaṃ ārammaṇaṃ katvā sukhumataraṃ saddanimittārammaṇampi cittaṃ pavattati, sukhumatarasaddanimittārammaṇabhāvatopīti vā attho. Imināva nayena appanāyampi attho veditabbo.
ปสฺสมฺภยนฺติอาทีสุ ‘‘ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขาร’’นฺติ วุตฺตา อสฺสาสปสฺสาสา กาโยติ วา ‘‘ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขาร’’นฺติ เอตฺถ อสฺสาสปสฺสาสา กาโยติ วา โยชนา เวทิตพฺพาฯ ภาวนาวิสุทฺธิยา กายสงฺขาเร ปสฺสมฺภมาเนปิ โอฬาริกํ กายสงฺขารํ ปสฺสเมฺภมีติ โยคิโน อาโภเค สติ เตนาทเรน อติวิย ปสฺสมฺภติฯ อนุปฎฺฐหนฺตมฺปิ สุขุมํ สุอานยํ โหติฯ
Passambhayantiādīsu ‘‘passambhayaṃ kāyasaṅkhāra’’nti vuttā assāsapassāsā kāyoti vā ‘‘passambhayaṃ kāyasaṅkhāra’’nti ettha assāsapassāsā kāyoti vā yojanā veditabbā. Bhāvanāvisuddhiyā kāyasaṅkhāre passambhamānepi oḷārikaṃ kāyasaṅkhāraṃ passambhemīti yogino ābhoge sati tenādarena ativiya passambhati. Anupaṭṭhahantampi sukhumaṃ suānayaṃ hoti.
อฎฺฐ อนุปสฺสนาญาณานีติ ‘‘ทีฆํ รสฺสํ สพฺพกายปฎิสํเวที ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขาร’’นฺติ วุเตฺตสุ จตูสุ วตฺถูสุ อสฺสาสวเสน จตโสฺส, ปสฺสาสวเสน จตโสฺสติ อฎฺฐ อนุปสฺสนาญาณานิฯ อฎฺฐ จ อุปฎฺฐานานุสฺสติโยติ ‘‘ทีฆํ อสฺสาสวเสน จิตฺตสฺส เอกคฺคตํ อวิเกฺขปํ ปชานโต สติ อุปฎฺฐิตา โหตี’’ติอาทินา (ปฎิ. ม. ๑.๑๗๐) นเยน วุเตฺตสุ จตูสุ วตฺถูสุ อสฺสาสวเสน จตโสฺส, ปสฺสาสวเสน จตโสฺสติ อฎฺฐ จ อุปฎฺฐานานุสฺสติโยฯ อฎฺฐ จุปฎฺฐานานุสฺสติโยติปิ ปาโฐฯ จตฺตาริ สุตฺตนฺติกวตฺถูนีติ ภควตา อานาปานสฺสติสุตฺตเนฺต (ม. นิ. ๓.๑๔๔ อาทโย) วุตฺตตฺตา ปฐมจตุกฺกวเสน จตฺตาริ สุตฺตนฺติกวตฺถูนีติฯ
Aṭṭhaanupassanāñāṇānīti ‘‘dīghaṃ rassaṃ sabbakāyapaṭisaṃvedī passambhayaṃ kāyasaṅkhāra’’nti vuttesu catūsu vatthūsu assāsavasena catasso, passāsavasena catassoti aṭṭha anupassanāñāṇāni. Aṭṭha ca upaṭṭhānānussatiyoti ‘‘dīghaṃ assāsavasena cittassa ekaggataṃ avikkhepaṃ pajānato sati upaṭṭhitā hotī’’tiādinā (paṭi. ma. 1.170) nayena vuttesu catūsu vatthūsu assāsavasena catasso, passāsavasena catassoti aṭṭha ca upaṭṭhānānussatiyo. Aṭṭha cupaṭṭhānānussatiyotipi pāṭho. Cattāri suttantikavatthūnīti bhagavatā ānāpānassatisuttante (ma. ni. 3.144 ādayo) vuttattā paṭhamacatukkavasena cattāri suttantikavatthūnīti.
ปฐมจตุกฺกนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭhamacatukkaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
๑๗๒. ทุติยจตุกฺกสฺส ปีติปฎิสํเวทินิเทฺทเส อุปฺปชฺชติ ปีติ ปาโมชฺชนฺติ เอตฺถ ปีตีติ มูลปทํฯ ปาโมชฺชนฺติ ตสฺส อตฺถปทํ, ปมุทิตภาโวติ อโตฺถฯ ยา ปีติ ปาโมชฺชนฺติอาทีสุ ยา ‘‘ปีตี’’ติ จ ‘‘ปาโมชฺช’’นฺติ จ เอวมาทีนิ นามานิ ลภติ, สา ปีตีติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถ ปีตีติ สภาวปทํฯ ปมุทิตสฺส ภาโว ปาโมชฺชํฯ อาโมทนากาโร อาโมทนาฯ ปโมทนากาโร ปโมทนาฯ ยถา วา เภสชฺชานํ วา เตลานํ วา อุโณฺหทกสีโตทกานํ วา เอกโตกรณํ โมทนาติ วุจฺจติ, เอวมยมฺปิ ธมฺมานํ เอกโตกรเณน โมทนา, อุปสคฺควเสน ปน ปทํ มเณฺฑตฺวา อาโมทนา ปโมทนาติ วุตฺตํฯ หาเสตีติ หาโส, ปหาเสตีติ ปหาโส, หฎฺฐปหฎฺฐาการานเมตํ อธิวจนํฯ วิตฺตีติ วิตฺตํ, ธนเสฺสตํ นามํฯ อยํ ปน โสมนสฺสปจฺจยตฺตา วิตฺติสริกฺขตาย วิตฺติฯ ยถา หิ ธนิโน ธนํ ปฎิจฺจ โสมนสฺสํ อุปฺปชฺชติ, เอวํ ปีติมโตปิ ปีติํ ปฎิจฺจ โสมนสฺสํ อุปฺปชฺชติฯ ตสฺมา ‘‘วิตฺตี’’ติ วุตฺตาฯ ตุฎฺฐิสภาวสณฺฐิตาย หิ ปีติยา เอตํ นามํฯ ปีติมา ปน ปุคฺคโล กายจิตฺตานํ อุคฺคตตฺตา อพฺภุคฺคตตฺตา ‘‘อุทโคฺค’’ติ วุจฺจติ, อุทคฺคสฺส ภาโค โอทคฺยํฯ อตฺตโน มนตา อตฺตมนตาฯ อนภิรทฺธสฺส หิ มโน ทุกฺขปทฎฺฐานตฺตา น อตฺตโน มโน นาม โหติ, อภิรทฺธสฺส สุขปทฎฺฐานตฺตา อตฺตโน มโน นาม โหติ, อิติ อตฺตโน มนตา อตฺตมนตา, สกมนตา สกมนสฺส ภาโวติ อโตฺถฯ สา ปน ยสฺมา น อญฺญสฺส กสฺสจิ อตฺตโน มนตา, จิตฺตเสฺสว ปเนโส ภาโว เจตสิโก ธโมฺม, ตสฺมา อตฺตมนตา จิตฺตสฺสาติ วุตฺตาฯ เสสเมตฺถ จ อุปริ จ เหฎฺฐา วุตฺตนเยน โยเชตฺวา เวทิตพฺพํฯ
172. Dutiyacatukkassa pītipaṭisaṃvediniddese uppajjati pīti pāmojjanti ettha pītīti mūlapadaṃ. Pāmojjanti tassa atthapadaṃ, pamuditabhāvoti attho. Yā pīti pāmojjantiādīsu yā ‘‘pītī’’ti ca ‘‘pāmojja’’nti ca evamādīni nāmāni labhati, sā pītīti vuttaṃ hoti. Tattha pītīti sabhāvapadaṃ. Pamuditassa bhāvo pāmojjaṃ. Āmodanākāro āmodanā. Pamodanākāro pamodanā. Yathā vā bhesajjānaṃ vā telānaṃ vā uṇhodakasītodakānaṃ vā ekatokaraṇaṃ modanāti vuccati, evamayampi dhammānaṃ ekatokaraṇena modanā, upasaggavasena pana padaṃ maṇḍetvā āmodanā pamodanāti vuttaṃ. Hāsetīti hāso, pahāsetīti pahāso, haṭṭhapahaṭṭhākārānametaṃ adhivacanaṃ. Vittīti vittaṃ, dhanassetaṃ nāmaṃ. Ayaṃ pana somanassapaccayattā vittisarikkhatāya vitti. Yathā hi dhanino dhanaṃ paṭicca somanassaṃ uppajjati, evaṃ pītimatopi pītiṃ paṭicca somanassaṃ uppajjati. Tasmā ‘‘vittī’’ti vuttā. Tuṭṭhisabhāvasaṇṭhitāya hi pītiyā etaṃ nāmaṃ. Pītimā pana puggalo kāyacittānaṃ uggatattā abbhuggatattā ‘‘udaggo’’ti vuccati, udaggassa bhāgo odagyaṃ. Attano manatā attamanatā. Anabhiraddhassa hi mano dukkhapadaṭṭhānattā na attano mano nāma hoti, abhiraddhassa sukhapadaṭṭhānattā attano mano nāma hoti, iti attano manatā attamanatā, sakamanatā sakamanassa bhāvoti attho. Sā pana yasmā na aññassa kassaci attano manatā, cittasseva paneso bhāvo cetasiko dhammo, tasmā attamanatā cittassāti vuttā. Sesamettha ca upari ca heṭṭhā vuttanayena yojetvā veditabbaṃ.
๑๗๓. สุขปฎิสํเวทินิเทฺทเส เทฺว สุขานีติ สมถวิปสฺสนาภูมิทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ กายิกญฺหิ สุขํ วิปสฺสนาย ภูมิ, เจตสิกํ สุขํ สมถสฺส จ วิปสฺสนาย จ ภูมิฯ กายิกนฺติ ปสาทกายํ วินา อนุปฺปตฺติโต กาเย นิยุตฺตนฺติ กายิกํฯ เจตสิกนฺติ อวิปฺปโยควเสน เจตสิ นิยุตฺตนฺติ เจตสิกํฯ ตตฺถ กายิกปเทน เจตสิกํ สุขํ ปฎิกฺขิปติ, สุขปเทน กายิกํ ทุกฺขํฯ ตถา เจตสิกปเทน กายิกํ สุขํ ปฎิกฺขิปติ, สุขปเทน เจตสิกํ ทุกฺขํฯ สาตนฺติ มธุรํ สุมธุรํฯ สุขนฺติ สุขเมว, น ทุกฺขํฯ กายสมฺผสฺสชนฺติ กายสมฺผเสฺส ชาตํฯ สาตํ สุขํ เวทยิตนฺติ สาตํ เวทยิตํ, น อสาตํ เวทยิตํฯ สุขํ เวทยิตํ, น ทุกฺขํ เวทยิตํฯ ปรโต ตีณิ ปทานิ อิตฺถิลิงฺควเสน วุตฺตานิฯ สาตา เวทนา, น อสาตาฯ สุขา เวทนา, น ทุกฺขาติ อยเมว ปเนตฺถ อโตฺถฯ
173. Sukhapaṭisaṃvediniddese dve sukhānīti samathavipassanābhūmidassanatthaṃ vuttaṃ. Kāyikañhi sukhaṃ vipassanāya bhūmi, cetasikaṃ sukhaṃ samathassa ca vipassanāya ca bhūmi. Kāyikanti pasādakāyaṃ vinā anuppattito kāye niyuttanti kāyikaṃ. Cetasikanti avippayogavasena cetasi niyuttanti cetasikaṃ. Tattha kāyikapadena cetasikaṃ sukhaṃ paṭikkhipati, sukhapadena kāyikaṃ dukkhaṃ. Tathā cetasikapadena kāyikaṃ sukhaṃ paṭikkhipati, sukhapadena cetasikaṃ dukkhaṃ. Sātanti madhuraṃ sumadhuraṃ. Sukhanti sukhameva, na dukkhaṃ. Kāyasamphassajanti kāyasamphasse jātaṃ. Sātaṃ sukhaṃvedayitanti sātaṃ vedayitaṃ, na asātaṃ vedayitaṃ. Sukhaṃ vedayitaṃ, na dukkhaṃ vedayitaṃ. Parato tīṇi padāni itthiliṅgavasena vuttāni. Sātā vedanā, na asātā. Sukhā vedanā, na dukkhāti ayameva panettha attho.
เจตสิกสุขนิเทฺทโส วุตฺตปฎิปกฺขนเยน โยเชตโพฺพฯ เต สุขาติ ลิงฺควิปลฺลาโส กโต, ตานิ สุขานีติ วุตฺตํ โหติฯ เสสเมตฺถ จตุเกฺก เหฎฺฐา ปฐมจตุเกฺก วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ จตฺตาริ สุตฺตนฺติกวตฺถูนิ ทุติยจตุกฺกวเสน เวทิตพฺพานีติฯ
Cetasikasukhaniddeso vuttapaṭipakkhanayena yojetabbo. Te sukhāti liṅgavipallāso kato, tāni sukhānīti vuttaṃ hoti. Sesamettha catukke heṭṭhā paṭhamacatukke vuttanayeneva veditabbaṃ. Cattāri suttantikavatthūni dutiyacatukkavasena veditabbānīti.
ทุติยจตุกฺกนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dutiyacatukkaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
๑๗๖. ตติยจตุกฺกนิเทฺทเส จิตฺตนฺติ มูลปทํฯ วิญฺญาณนฺติ อตฺถปทํฯ ยํ จิตฺตนฺติอาทิ ปีติยํ วุตฺตนเยน โยเชตพฺพํฯ ตตฺถ จิตฺตนฺติอาทีสุ จิตฺตวิจิตฺตตาย จิตฺตํฯ อารมฺมณํ มินมานํ ชานาตีติ มโนฯ มานสนฺติ มโนเยวฯ ‘‘อนฺตลิกฺขจโร ปาโส, ยฺวายํ จรติ มานโส’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑๕๑; มหาว. ๓๓) หิ เอตฺถ ปน สมฺปยุตฺตกธโมฺม มานโสติ วุโตฺตฯ
176. Tatiyacatukkaniddese cittanti mūlapadaṃ. Viññāṇanti atthapadaṃ. Yaṃ cittantiādi pītiyaṃ vuttanayena yojetabbaṃ. Tattha cittantiādīsu cittavicittatāya cittaṃ. Ārammaṇaṃ minamānaṃ jānātīti mano. Mānasanti manoyeva. ‘‘Antalikkhacaro pāso, yvāyaṃ carati mānaso’’ti (saṃ. ni. 1.151; mahāva. 33) hi ettha pana sampayuttakadhammo mānasoti vutto.
‘‘กถญฺหิ ภควา ตุยฺหํ, สาวโก สาสเน รโต;
‘‘Kathañhi bhagavā tuyhaṃ, sāvako sāsane rato;
อปฺปตฺตมานโส เสโกฺข, กาลํ กยิรา ชเน สุตา’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๑๕๙) –
Appattamānaso sekkho, kālaṃ kayirā jane sutā’’ti. (saṃ. ni. 1.159) –
เอตฺถ อรหตฺตํ มานสนฺติ วุตฺตํฯ อิธ ปน มโนว มานสํฯ พฺยญฺชนวเสน เหตํ ปทํ วฑฺฒิตํฯ
Ettha arahattaṃ mānasanti vuttaṃ. Idha pana manova mānasaṃ. Byañjanavasena hetaṃ padaṃ vaḍḍhitaṃ.
หทยนฺติ จิตฺตํฯ ‘‘จิตฺตํ วา เต ขิปิสฺสามิ, หทยํ วา เต ผาเลสฺสามี’’ติ (สํ. นิ. ๑.๒๓๗; สุ. นิ. อาฬวกสุตฺต) เอตฺถ อุโร หทยนฺติ วุตฺตํฯ ‘‘หทยา หทยํ มเญฺญ อญฺญาย ตจฺฉตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๖๓) เอตฺถ จิตฺตํฯ ‘‘วกฺกํ หทย’’นฺติ (ที. นิ. ๒.๓๗๗; ม. นิ. ๑.๑๑๐) เอตฺถ หทยวตฺถุฯ อิธ ปน จิตฺตเมว อพฺภนฺตรเฎฺฐน ‘‘หทย’’นฺติ วุตฺตํฯ ตเทว ปริสุทฺธเฎฺฐน ปณฺฑรํฯ ภวงฺคํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ ยถาห – ‘‘ปภสฺสรมิทํ, ภิกฺขเว, จิตฺตํ, ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฎฺฐ’’นฺติ (อ. นิ. ๑.๔๙)ฯ ตโต นิกฺขนฺตตฺตา ปน อกุสลมฺปิ คงฺคาย นิกฺขนฺตา นที คงฺคา วิย, โคธาวริโต นิกฺขนฺตา โคธาวรี วิย จ ‘‘ปณฺฑร’’เนฺตฺวว วุตฺตํฯ ยสฺมา ปน อารมฺมณวิชานนลกฺขณํ จิตฺตํ อุปกฺกิเลเสน กิเลโส น โหติ, สภาวโต ปริสุทฺธเมว โหติ, อุปกฺกิเลสโยเค ปน สติ อุปกฺกิลิฎฺฐํ นาม โหติ, ตสฺมาปิ ‘‘ปณฺฑร’’นฺติ วตฺตุํ ยุชฺชติฯ
Hadayanti cittaṃ. ‘‘Cittaṃ vā te khipissāmi, hadayaṃ vā te phālessāmī’’ti (saṃ. ni. 1.237; su. ni. āḷavakasutta) ettha uro hadayanti vuttaṃ. ‘‘Hadayā hadayaṃ maññe aññāya tacchatī’’ti (ma. ni. 1.63) ettha cittaṃ. ‘‘Vakkaṃ hadaya’’nti (dī. ni. 2.377; ma. ni. 1.110) ettha hadayavatthu. Idha pana cittameva abbhantaraṭṭhena ‘‘hadaya’’nti vuttaṃ. Tadeva parisuddhaṭṭhena paṇḍaraṃ. Bhavaṅgaṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Yathāha – ‘‘pabhassaramidaṃ, bhikkhave, cittaṃ, tañca kho āgantukehi upakkilesehi upakkiliṭṭha’’nti (a. ni. 1.49). Tato nikkhantattā pana akusalampi gaṅgāya nikkhantā nadī gaṅgā viya, godhāvarito nikkhantā godhāvarī viya ca ‘‘paṇḍara’’ntveva vuttaṃ. Yasmā pana ārammaṇavijānanalakkhaṇaṃ cittaṃ upakkilesena kileso na hoti, sabhāvato parisuddhameva hoti, upakkilesayoge pana sati upakkiliṭṭhaṃ nāma hoti, tasmāpi ‘‘paṇḍara’’nti vattuṃ yujjati.
มโน มนายตนนฺติ อิธ ปน มโนคหณํ มนเสฺสว อายตนภาวทีปนตฺถํฯ เตเนตํ ทีเปติ – ‘‘นยิทํ เทวายตนํ วิย มนสฺส อายตนตฺตา มนายตนํ, อถ โข มโน เอว อายตนํ มนายตน’’นฺติฯ
Mano manāyatananti idha pana manogahaṇaṃ manasseva āyatanabhāvadīpanatthaṃ. Tenetaṃ dīpeti – ‘‘nayidaṃ devāyatanaṃ viya manassa āyatanattā manāyatanaṃ, atha kho mano eva āyatanaṃ manāyatana’’nti.
อายตนโฎฺฐ เหฎฺฐา วุโตฺตเยวฯ มนเต อิติ มโน, วิชานาตีติ อโตฺถฯ อฎฺฐกถาจริยา ปนาหุ – นาฬิยา มินมาโน วิย มหาตุลาย ธารยมาโน วิย จ อารมฺมณํ ชานาตีติ มโน, ตเทว มนนลกฺขเณ อินฺทฎฺฐํ กาเรตีติ อินฺทฺริยํ, มโนว อินฺทฺริยํ มนินฺทฺริยํฯ
Āyatanaṭṭho heṭṭhā vuttoyeva. Manate iti mano, vijānātīti attho. Aṭṭhakathācariyā panāhu – nāḷiyā minamāno viya mahātulāya dhārayamāno viya ca ārammaṇaṃ jānātīti mano, tadeva mananalakkhaṇe indaṭṭhaṃ kāretīti indriyaṃ, manova indriyaṃ manindriyaṃ.
วิชานาตีติ วิญฺญาณํฯ วิญฺญาณเมว ขโนฺธ วิญฺญาณกฺขโนฺธฯ รุฬฺหิโต ขโนฺธ วุโตฺตฯ ราสเฎฺฐน หิ วิญฺญาณกฺขนฺธสฺส เอกเทโส เอกํ วิญฺญาณํฯ ตสฺมา ยถา รุกฺขสฺส เอกเทสํ ฉินฺทโนฺต รุกฺขํ ฉินฺทตีติ วุจฺจติ, เอวเมว วิญฺญาณกฺขนฺธสฺส เอกเทสภูตํ เอกมฺปิ วิญฺญาณํ รุฬฺหิโต ‘‘วิญฺญาณกฺขโนฺธ’’ติ วุตฺตํฯ ยสฺมา ปน ราสโฎฺฐเยว ขนฺธโฎฺฐ น โหติ, โกฎฺฐาสโฎฺฐปิ ขนฺธโฎฺฐเยว, ตสฺมา โกฎฺฐาสเฎฺฐน วิญฺญาณโกฎฺฐาโสติปิ อโตฺถฯ ตชฺชา มโนวิญฺญาณธาตูติ เตสํ ผสฺสาทีนํ สมฺปยุตฺตธมฺมานํ อนุจฺฉวิกา มโนวิญฺญาณธาตุฯ อิมสฺมิญฺหิ ปเท เอกเมว จิตฺตํ มินนเฎฺฐน มโน, วิชานนเฎฺฐน วิญฺญาณํ, สภาวเฎฺฐน, นิสฺสตฺตเฎฺฐน วา ธาตูติ ตีหิ นาเมหิ วุตฺตํฯ
Vijānātīti viññāṇaṃ. Viññāṇameva khandho viññāṇakkhandho. Ruḷhito khandho vutto. Rāsaṭṭhena hi viññāṇakkhandhassa ekadeso ekaṃ viññāṇaṃ. Tasmā yathā rukkhassa ekadesaṃ chindanto rukkhaṃ chindatīti vuccati, evameva viññāṇakkhandhassa ekadesabhūtaṃ ekampi viññāṇaṃ ruḷhito ‘‘viññāṇakkhandho’’ti vuttaṃ. Yasmā pana rāsaṭṭhoyeva khandhaṭṭho na hoti, koṭṭhāsaṭṭhopi khandhaṭṭhoyeva, tasmā koṭṭhāsaṭṭhena viññāṇakoṭṭhāsotipi attho. Tajjā manoviññāṇadhātūti tesaṃ phassādīnaṃ sampayuttadhammānaṃ anucchavikā manoviññāṇadhātu. Imasmiñhi pade ekameva cittaṃ minanaṭṭhena mano, vijānanaṭṭhena viññāṇaṃ, sabhāvaṭṭhena, nissattaṭṭhena vā dhātūti tīhi nāmehi vuttaṃ.
๑๗๗.
177.
อภิปฺปโมโทติ อธิกา ตุฎฺฐิฯ
Abhippamodoti adhikā tuṭṭhi.
๑๗๘. สมาธินิเทฺทเส อจลภาเวน อารมฺมเณ ติฎฺฐตีติ ฐิติฯ ปรโต ปททฺวยํ อุปสคฺควเสน วฑฺฒิตํ ฯ อปิจ สมฺปยุตฺตธเมฺม อารมฺมณมฺหิ สมฺปิเณฺฑตฺวา ติฎฺฐตีติ สณฺฐิติฯ อารมฺมณํ โอคาเหตฺวา อนุปวิสิตฺวา ติฎฺฐตีติ อวฎฺฐิติฯ กุสลปกฺขสฺมิํ หิ จตฺตาโร ธมฺมา อารมฺมณํ โอคาหนฺติ สทฺธา สติ สมาธิ ปญฺญาติฯ เตเนว สทฺธา ‘‘โอกปฺปนา’’ติ วุตฺตา, สติ ‘‘อปิลาปนตา’’ติ, สมาธิ ‘‘อวฎฺฐิตี’’ติ, ปญฺญา ‘‘ปริโยคาหนา’’ติฯ อกุสลปเกฺข ปน ตโย ธมฺมา อารมฺมณํ โอคาหนฺติ ตณฺหา ทิฎฺฐิ อวิชฺชาติฯ เตเนว เต ‘‘โอฆา’’ติ วุตฺตาฯ อุทฺธจฺจวิจิกิจฺฉาวเสน ปวตฺตสฺส วิสาหารสฺส ปฎิปกฺขโต อวิสาหาโร, อวิสาหรณนฺติ อโตฺถฯ อุทฺธจฺจวิจิกิจฺฉาวเสเนว คจฺฉนฺตํ จิตฺตํ วิกฺขิปติ นาม, อยํ ปน ตถา น โหตีติ อวิเกฺขโปฯ อุทฺธจฺจวิจิกิจฺฉาวเสเนว จิตฺตํ วิสาหฎํ นาม โหติ, อิโต จิโต จ หรียติ, อยํ ปน อวิสาหฎสฺส มานสสฺส ภาโวติ อวิสาหฎมานสตาฯ
178. Samādhiniddese acalabhāvena ārammaṇe tiṭṭhatīti ṭhiti. Parato padadvayaṃ upasaggavasena vaḍḍhitaṃ . Apica sampayuttadhamme ārammaṇamhi sampiṇḍetvā tiṭṭhatīti saṇṭhiti. Ārammaṇaṃ ogāhetvā anupavisitvā tiṭṭhatīti avaṭṭhiti. Kusalapakkhasmiṃ hi cattāro dhammā ārammaṇaṃ ogāhanti saddhā sati samādhi paññāti. Teneva saddhā ‘‘okappanā’’ti vuttā, sati ‘‘apilāpanatā’’ti, samādhi ‘‘avaṭṭhitī’’ti, paññā ‘‘pariyogāhanā’’ti. Akusalapakkhe pana tayo dhammā ārammaṇaṃ ogāhanti taṇhā diṭṭhi avijjāti. Teneva te ‘‘oghā’’ti vuttā. Uddhaccavicikicchāvasena pavattassa visāhārassa paṭipakkhato avisāhāro, avisāharaṇanti attho. Uddhaccavicikicchāvaseneva gacchantaṃ cittaṃ vikkhipati nāma, ayaṃ pana tathā na hotīti avikkhepo. Uddhaccavicikicchāvaseneva cittaṃ visāhaṭaṃ nāma hoti, ito cito ca harīyati, ayaṃ pana avisāhaṭassa mānasassa bhāvoti avisāhaṭamānasatā.
สมโถติ ติวิโธ สมโถ จิตฺตสมโถ อธิกรณสมโถ สพฺพสงฺขารสมโถติฯ ตตฺถ อฎฺฐสุ สมาปตฺตีสุ จิเตฺตกคฺคตา จิตฺตสมโถ นามฯ ตญฺหิ อาคมฺม จิตฺตจลนํ จิตฺตวิปฺผนฺทนํ สมฺมติ วูปสมฺมติ, ตสฺมา โส ‘‘จิตฺตสมโถ’’ติ วุจฺจติฯ สมฺมุขาวินยาทิสตฺตวิโธ อธิกรณสมโถ นามฯ ตญฺหิ อาคมฺม ตานิ ตานิ อธิกรณานิ สมฺมนฺติ วูปสมฺมนฺติ, ตสฺมา โส ‘‘อธิกรณสมโถ’’ติ วุจฺจติฯ ยสฺมา ปน สเพฺพ สงฺขารา นิพฺพานํ อาคมฺม สมฺมนฺติ วูปสมฺมนฺติ, ตสฺมา ตํ สพฺพสงฺขารสมโถติ วุจฺจติฯ อิมสฺมิํ อเตฺถ จิตฺตสมโถ อธิเปฺปโตฯ สมาธิลกฺขเณ อินฺทฎฺฐํ กาเรตีติ สมาธินฺทฺริยํฯ อุทฺธเจฺจ น กมฺปตีติ สมาธิพลํฯ สมฺมาสมาธีติ ยาถาวสมาธิ นิยฺยานิกสมาธิ กุสลสมาธิฯ
Samathoti tividho samatho cittasamatho adhikaraṇasamatho sabbasaṅkhārasamathoti. Tattha aṭṭhasu samāpattīsu cittekaggatā cittasamatho nāma. Tañhi āgamma cittacalanaṃ cittavipphandanaṃ sammati vūpasammati, tasmā so ‘‘cittasamatho’’ti vuccati. Sammukhāvinayādisattavidho adhikaraṇasamatho nāma. Tañhi āgamma tāni tāni adhikaraṇāni sammanti vūpasammanti, tasmā so ‘‘adhikaraṇasamatho’’ti vuccati. Yasmā pana sabbe saṅkhārā nibbānaṃ āgamma sammanti vūpasammanti, tasmā taṃ sabbasaṅkhārasamathoti vuccati. Imasmiṃ atthe cittasamatho adhippeto. Samādhilakkhaṇe indaṭṭhaṃ kāretīti samādhindriyaṃ. Uddhacce na kampatīti samādhibalaṃ. Sammāsamādhīti yāthāvasamādhi niyyānikasamādhi kusalasamādhi.
๑๗๙. ราคโต วิโมจยํ จิตฺตนฺติอาทีหิ ทสหิ กิเลสวตฺถูหิ วิโมจนํ วุตฺตํฯ ถินคฺคหเณเนว เจตฺถ มิทฺธคฺคหณํ, อุทฺธจฺจคฺคหเณเนว จ กุกฺกุจฺจคฺคหณํ กตํ โหตีติ อเญฺญสุ ปาเฐสุ สหจาริตฺตา กิเลสวตฺถุโต วิโมจนวจเนเนว ปฐมชฺฌานาทีหิ นีวรณาทิโต วิโมจนํ, อนิจฺจานุปสฺสนาทีหิ นิจฺจสญฺญาทิโต จ วิโมจนํ วุตฺตเมว โหตีติฯ กถํ ตํ จิตฺตํ อนุปสฺสตีติ เอตฺถ เปยฺยาเล จ อนิจฺจานุปสฺสนาทีหิ นิจฺจสญฺญาทีนํ ปหานํ วุตฺตเมวฯ จตฺตาริ สุตฺตนฺติกวตฺถูนิ ตติยจตุกฺกวเสน เวทิตพฺพานีติฯ
179.Rāgato vimocayaṃ cittantiādīhi dasahi kilesavatthūhi vimocanaṃ vuttaṃ. Thinaggahaṇeneva cettha middhaggahaṇaṃ, uddhaccaggahaṇeneva ca kukkuccaggahaṇaṃ kataṃ hotīti aññesu pāṭhesu sahacārittā kilesavatthuto vimocanavacaneneva paṭhamajjhānādīhi nīvaraṇādito vimocanaṃ, aniccānupassanādīhi niccasaññādito ca vimocanaṃ vuttameva hotīti. Kathaṃ taṃ cittaṃ anupassatīti ettha peyyāle ca aniccānupassanādīhi niccasaññādīnaṃ pahānaṃ vuttameva. Cattāri suttantikavatthūni tatiyacatukkavasena veditabbānīti.
ตติยจตุกฺกนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Tatiyacatukkaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
๑๘๐. จตุตฺถจตุกฺกนิเทฺทเส ‘‘อนิทฺทิเฎฺฐ นปุํสก’’นฺติ วจนโต อสุกนฺติ อนิทฺทิฎฺฐตฺตา ‘‘อนิจฺจนฺติ กิํ อนิจฺจ’’นฺติ นปุํสกวจเนน ปุจฺฉา กตาฯ อุปฺปาทวยเฎฺฐนาติ อุปฺปาทวยสงฺขาเตน อเตฺถน, อุปฺปาทวยสภาเวนาติ อโตฺถฯ เอตฺถ จ ปญฺจกฺขนฺธา สภาวลกฺขณํ, ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ อุปฺปาทวยา วิการลกฺขณํฯ เอเตน หุตฺวา อภาเวน อนิจฺจาติ วุตฺตํ โหติฯ เตเนว จ อฎฺฐกถายํ ‘‘สงฺขตลกฺขณวเสน อนิจฺจตาติ เตสํเยว อุปฺปาทวยญฺญถตฺต’’นฺติ จ วตฺวาปิ ‘‘หุตฺวา อภาโว วา’’ติ วุตฺตํฯ เอเตน หุตฺวา อภาวากาโร อนิจฺจลกฺขณนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ อุทยพฺพยํ ปสฺสโนฺต อิมานิ ปญฺญาย ลกฺขณานี’’ติ เปยฺยาลํ กตฺวา วุตฺตํฯ ธมฺมาติ รูปกฺขนฺธาทโย ยถาวุตฺตธมฺมาฯ
180. Catutthacatukkaniddese ‘‘aniddiṭṭhe napuṃsaka’’nti vacanato asukanti aniddiṭṭhattā ‘‘aniccanti kiṃ anicca’’nti napuṃsakavacanena pucchā katā. Uppādavayaṭṭhenāti uppādavayasaṅkhātena atthena, uppādavayasabhāvenāti attho. Ettha ca pañcakkhandhā sabhāvalakkhaṇaṃ, pañcannaṃ khandhānaṃ uppādavayā vikāralakkhaṇaṃ. Etena hutvā abhāvena aniccāti vuttaṃ hoti. Teneva ca aṭṭhakathāyaṃ ‘‘saṅkhatalakkhaṇavasena aniccatāti tesaṃyeva uppādavayaññathatta’’nti ca vatvāpi ‘‘hutvā abhāvo vā’’ti vuttaṃ. Etena hutvā abhāvākāro aniccalakkhaṇanti vuttaṃ hoti. ‘‘Pañcannaṃ khandhānaṃ udayabbayaṃ passanto imāni paññāya lakkhaṇānī’’ti peyyālaṃ katvā vuttaṃ. Dhammāti rūpakkhandhādayo yathāvuttadhammā.
วิราคานุปสฺสีนิเทฺทเส รูเป อาทีนวํ ทิสฺวาติ ภงฺคานุปสฺสนโต ปฎฺฐาย ปรโต วุเตฺตหิ อนิจฺจฎฺฐาทีหิ รูปกฺขเนฺธ อาทีนวํ ทิสฺวาฯ รูปวิราเคติ นิพฺพาเนฯ นิพฺพานญฺหิ อาคมฺม รูปํ วิรชฺชติ อปุนรุปฺปตฺติธมฺมตํ อาปชฺชเนน นิรุชฺฌติ, ตสฺมา นิพฺพานํ ‘‘รูปวิราโค’’ติ วุจฺจติฯ ฉนฺทชาโต โหตีติ อนุสฺสววเสน อุปฺปนฺนธมฺมจฺฉโนฺท โหติฯ สทฺธาธิมุโตฺตติ ตสฺมิํเยว นิพฺพาเน สทฺธาย จ อธิมุโตฺต นิจฺฉิโตฯ จิตฺตญฺจสฺส สฺวาธิฎฺฐิตนฺติ อสฺส โยคิสฺส จิตฺตํ ขยวิราคสงฺขาเต รูปภเงฺค อารมฺมณวเสน , อจฺจนฺต วิราคสงฺขาเต รูปวิราเค นิพฺพาเน อนุสฺสววเสน สุฎฺฐุ อธิฎฺฐิตํ สุฎฺฐุ ปติฎฺฐิตํ โหตีติ สมฺพนฺธโต เวทิตพฺพํฯ รูเป วิราคานุปสฺสีติ รูปสฺส ขยวิราโค รูเป วิราโคติ ปกติภุมฺมวจเนน วุโตฺตฯ รูปสฺส อจฺจนฺตวิราโค รูเป วิราโคติ นิมิตฺตเตฺถ ภุมฺมวจเนน วุโตฺตฯ ตํ ทุวิธมฺปิ วิราคํ อารมฺมณโต อชฺฌาสยโต จ อนุปสฺสนสีโล ‘‘รูเป วิราคานุปสฺสี’’ติ วุโตฺตฯ เอส นโย เวทนาทีสุฯ นิโรธานุปสฺสีปทนิเทฺทเสปิ เอเสว นโยฯ
Virāgānupassīniddese rūpe ādīnavaṃ disvāti bhaṅgānupassanato paṭṭhāya parato vuttehi aniccaṭṭhādīhi rūpakkhandhe ādīnavaṃ disvā. Rūpavirāgeti nibbāne. Nibbānañhi āgamma rūpaṃ virajjati apunaruppattidhammataṃ āpajjanena nirujjhati, tasmā nibbānaṃ ‘‘rūpavirāgo’’ti vuccati. Chandajāto hotīti anussavavasena uppannadhammacchando hoti. Saddhādhimuttoti tasmiṃyeva nibbāne saddhāya ca adhimutto nicchito. Cittañcassa svādhiṭṭhitanti assa yogissa cittaṃ khayavirāgasaṅkhāte rūpabhaṅge ārammaṇavasena , accanta virāgasaṅkhāte rūpavirāge nibbāne anussavavasena suṭṭhu adhiṭṭhitaṃ suṭṭhu patiṭṭhitaṃ hotīti sambandhato veditabbaṃ. Rūpe virāgānupassīti rūpassa khayavirāgo rūpe virāgoti pakatibhummavacanena vutto. Rūpassa accantavirāgo rūpe virāgoti nimittatthe bhummavacanena vutto. Taṃ duvidhampi virāgaṃ ārammaṇato ajjhāsayato ca anupassanasīlo ‘‘rūpe virāgānupassī’’ti vutto. Esa nayo vedanādīsu. Nirodhānupassīpadaniddesepi eseva nayo.
๑๘๑. กติหากาเรหีติอาทิ ปเนตฺถ วิเสโส – ตตฺถ อวิชฺชาทีนํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทงฺคานํ อาทีนวนิโรธทสฺสเนเนว รูปาทีนมฺปิ อาทีนวนิโรธา ทสฺสิตา โหนฺติ เตสมฺปิ ปฎิจฺจสมุปฺปาทงฺคานติวตฺตนโตฯ อิมินา เอว จ วิเสสวจเนน วิราคานุปสฺสนโต นิโรธานุปสฺสนาย วิสิฎฺฐภาโว วุโตฺต โหติฯ ตตฺถ อนิจฺจเฎฺฐนาติ ขยเฎฺฐน, หุตฺวา อภาวเฎฺฐน วาฯ ทุกฺขเฎฺฐนาติ ภยเฎฺฐน, ปฎิปีฬนเฎฺฐน วาฯ อนตฺตเฎฺฐนาติ อสารกเฎฺฐน, อวสวตฺตนเฎฺฐน วาฯ สนฺตาปเฎฺฐนาติ กิเลสสนฺตาปนเฎฺฐนฯ วิปริณามเฎฺฐนาติ ชราภงฺควเสน ทฺวิธา ปริณามนเฎฺฐนฯ นิทานนิโรเธนาติ มูลปจฺจยาภาเวนฯ นิรุชฺฌตีติ น ภวติฯ สมุทยนิโรเธนาติ อาสนฺนปจฺจยาภาเวนฯ มูลปจฺจโย หิ พฺยาธิสฺส อสปฺปายโภชนํ วิย นิทานนฺติ วุโตฺต, อาสนฺนปจฺจโย พฺยาธิสฺส วาตปิตฺตเสมฺหา วิย สมุทโยติ วุโตฺตฯ นิทานญฺหิ นิจฺฉเยน ททาติ ผลมิติ นิทานํ, สมุทโย ปน สุฎฺฐุ อุเทติ เอตสฺมา ผลมิติ สมุทโยฯ ชาตินิโรเธนาติ มูลปจฺจยสฺส อุปฺปตฺติอภาเวนฯ ปภวนิโรเธนาติ อาสนฺนปจฺจยสฺส อุปฺปตฺติอภาเวนฯ ชาติเยว หิ ปภวติ เอตสฺมา ทุกฺขนฺติ ปภโวติ วตฺตุํ ยุชฺชติฯ เหตุนิโรเธนาติ ชนกปจฺจยาภาเวนฯ ปจฺจยนิโรเธนาติ อุปตฺถมฺภกปจฺจยาภาเวนฯ มูลปจฺจโยปิ หิ อาสนฺนปจฺจโย จ ชนกปจฺจโย อุปตฺถมฺภกปจฺจโย จ โหติเยวฯ เอเตหิ ติกฺขวิปสฺสนากฺขเณ ตทงฺคนิโรโธ, มคฺคกฺขเณ สมุเจฺฉทนิโรโธ วุโตฺต โหติฯ ญาณุปฺปาเทนาติ ติกฺขวิปสฺสนาญาณสฺส วา มคฺคญาณสฺส วา อุปฺปาเทนฯ นิโรธุปฎฺฐาเนนาติ วิปสฺสนากฺขเณ ปจฺจกฺขโต ขยนิโรธสฺส อนุสฺสววเสน นิโรธสงฺขาตสฺส นิพฺพานสฺส อุปฎฺฐาเนน, มคฺคกฺขเณ ปจฺจกฺขโต จ นิพฺพานสฺส อุปฎฺฐาเนนฯ เอเตหิ วิสยวิสยินิยโมว กโต โหติ, ตทงฺคสมุเจฺฉทนิโรโธ จ วุโตฺต โหติฯ
181.Katihākārehītiādi panettha viseso – tattha avijjādīnaṃ paṭiccasamuppādaṅgānaṃ ādīnavanirodhadassaneneva rūpādīnampi ādīnavanirodhā dassitā honti tesampi paṭiccasamuppādaṅgānativattanato. Iminā eva ca visesavacanena virāgānupassanato nirodhānupassanāya visiṭṭhabhāvo vutto hoti. Tattha aniccaṭṭhenāti khayaṭṭhena, hutvā abhāvaṭṭhena vā. Dukkhaṭṭhenāti bhayaṭṭhena, paṭipīḷanaṭṭhena vā. Anattaṭṭhenāti asārakaṭṭhena, avasavattanaṭṭhena vā. Santāpaṭṭhenāti kilesasantāpanaṭṭhena. Vipariṇāmaṭṭhenāti jarābhaṅgavasena dvidhā pariṇāmanaṭṭhena. Nidānanirodhenāti mūlapaccayābhāvena. Nirujjhatīti na bhavati. Samudayanirodhenāti āsannapaccayābhāvena. Mūlapaccayo hi byādhissa asappāyabhojanaṃ viya nidānanti vutto, āsannapaccayo byādhissa vātapittasemhā viya samudayoti vutto. Nidānañhi nicchayena dadāti phalamiti nidānaṃ, samudayo pana suṭṭhu udeti etasmā phalamiti samudayo. Jātinirodhenāti mūlapaccayassa uppattiabhāvena. Pabhavanirodhenāti āsannapaccayassa uppattiabhāvena. Jātiyeva hi pabhavati etasmā dukkhanti pabhavoti vattuṃ yujjati. Hetunirodhenāti janakapaccayābhāvena. Paccayanirodhenāti upatthambhakapaccayābhāvena. Mūlapaccayopi hi āsannapaccayo ca janakapaccayo upatthambhakapaccayo ca hotiyeva. Etehi tikkhavipassanākkhaṇe tadaṅganirodho, maggakkhaṇe samucchedanirodho vutto hoti. Ñāṇuppādenāti tikkhavipassanāñāṇassa vā maggañāṇassa vā uppādena. Nirodhupaṭṭhānenāti vipassanākkhaṇe paccakkhato khayanirodhassa anussavavasena nirodhasaṅkhātassa nibbānassa upaṭṭhānena, maggakkhaṇe paccakkhato ca nibbānassa upaṭṭhānena. Etehi visayavisayiniyamova kato hoti, tadaṅgasamucchedanirodho ca vutto hoti.
๑๘๒. ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสีปทนิเทฺทเส รูปํ ปริจฺจชตีติ อาทีนวทสฺสเนน นิรเปกฺขตาย รูปกฺขนฺธํ ปริจฺจชติฯ ปริจฺจาคปฎินิสฺสโคฺคติ ปริจฺจาคเฎฺฐน ปฎินิสฺสโคฺคติ วุตฺตํ โหติฯ เอเตน ปฎินิสฺสคฺคปทสฺส ปริจฺจาคโฎฺฐ วุโตฺต, ตสฺมา กิเลสานํ ปชหนนฺติ อโตฺถฯ เอตฺถ จ วุฎฺฐานคามินี วิปสฺสนา กิเลเส ตทงฺควเสน ปริจฺจชติ, มโคฺค สมุเจฺฉทวเสนฯ รูปนิโรเธ นิพฺพาเน จิตฺตํ ปกฺขนฺทตีติ วุฎฺฐานคามินี ตํนินฺนตาย ปกฺขนฺทติ, มโคฺค อารมฺมณกรเณนฯ ปกฺขนฺทนปฎินิสฺสโคฺคติ ปกฺขนฺทนเฎฺฐน ปฎินิสฺสโคฺคติ วุตฺตํ โหติฯ เอเตน ปฎินิสฺสคฺคปทสฺส ปกฺขนฺทนโฎฺฐ วุโตฺต, ตสฺมา จิตฺตสฺส นิพฺพาเน วิสฺสชฺชนนฺติ อโตฺถฯ จตฺตาริ สุตฺตนฺติกวตฺถูนิ จตุตฺถจตุกฺกวเสน เวทิตพฺพานิฯ อิมสฺมิํ จตุเกฺก ชรามรเณ วตฺตพฺพํเหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ สติปฎฺฐาเนสุ จ ‘‘กาเย กายานุปสฺสนา, จิเตฺต จิตฺตานุปสฺสนา’’ติ กายจิตฺตานํ เอกตฺตโวหารวเสน เอกวจนนิเทฺทโส กโตฯ ‘‘เวทนาสุ เวทนานุปสฺสนา, ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสนา’’ติ เวทนาธมฺมานํ นานตฺตโวหารวเสน พหุวจนนิเทฺทโส กโตติ เวทิตโพฺพติฯ
182. Paṭinissaggānupassīpadaniddese rūpaṃ pariccajatīti ādīnavadassanena nirapekkhatāya rūpakkhandhaṃ pariccajati. Pariccāgapaṭinissaggoti pariccāgaṭṭhena paṭinissaggoti vuttaṃ hoti. Etena paṭinissaggapadassa pariccāgaṭṭho vutto, tasmā kilesānaṃ pajahananti attho. Ettha ca vuṭṭhānagāminī vipassanā kilese tadaṅgavasena pariccajati, maggo samucchedavasena. Rūpanirodhe nibbāne cittaṃ pakkhandatīti vuṭṭhānagāminī taṃninnatāya pakkhandati, maggo ārammaṇakaraṇena. Pakkhandanapaṭinissaggoti pakkhandanaṭṭhena paṭinissaggoti vuttaṃ hoti. Etena paṭinissaggapadassa pakkhandanaṭṭho vutto, tasmā cittassa nibbāne vissajjananti attho. Cattāri suttantikavatthūni catutthacatukkavasena veditabbāni. Imasmiṃ catukke jarāmaraṇe vattabbaṃheṭṭhā vuttanayeneva veditabbaṃ. Satipaṭṭhānesu ca ‘‘kāye kāyānupassanā, citte cittānupassanā’’ti kāyacittānaṃ ekattavohāravasena ekavacananiddeso kato. ‘‘Vedanāsu vedanānupassanā, dhammesu dhammānupassanā’’ti vedanādhammānaṃ nānattavohāravasena bahuvacananiddeso katoti veditabboti.
จตุตฺถจตุกฺกนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Catutthacatukkaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
นิฎฺฐิตา จ สโตการิญาณนิเทฺทสวณฺณนาฯ
Niṭṭhitā ca satokāriñāṇaniddesavaṇṇanā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ปฎิสมฺภิทามคฺคปาฬิ • Paṭisambhidāmaggapāḷi / ๕. สโตการิญาณนิเทฺทโส • 5. Satokāriñāṇaniddeso