Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๔. สตฺตวสฺสานุพนฺธสุตฺตวณฺณนา
4. Sattavassānubandhasuttavaṇṇanā
๑๖๐. จตุเตฺถ สตฺต วสฺสานีติ ปุเร โพธิยา ฉพฺพสฺสานิ, โพธิโต ปจฺฉา เอกํ วสฺสํฯ โอตาราเปโกฺขติ ‘‘สเจ สมณสฺส โคตมสฺส กายทฺวาราทีสุ กิญฺจิเทว อนนุจฺฉวิกํ ปสฺสามิ, โจเทสฺสามิ น’’นฺติ เอวํ วิวรํ อเปกฺขมาโนฯ อลภมาโนติ รถเรณุมตฺตมฺปิ อวกฺขลิตํ อปสฺสโนฺตฯ เตนาห –
160. Catutthe satta vassānīti pure bodhiyā chabbassāni, bodhito pacchā ekaṃ vassaṃ. Otārāpekkhoti ‘‘sace samaṇassa gotamassa kāyadvārādīsu kiñcideva ananucchavikaṃ passāmi, codessāmi na’’nti evaṃ vivaraṃ apekkhamāno. Alabhamānoti rathareṇumattampi avakkhalitaṃ apassanto. Tenāha –
‘‘สตฺต วสฺสานิ ภควนฺตํ, อนุพนฺธิํ ปทาปทํ;
‘‘Satta vassāni bhagavantaṃ, anubandhiṃ padāpadaṃ;
โอตารํ นาธิคจฺฉิสฺสํ, สมฺพุทฺธสฺส สตีมโต’’ติฯ (สุ. นิ. ๔๔๘);
Otāraṃ nādhigacchissaṃ, sambuddhassa satīmato’’ti. (su. ni. 448);
อุปสงฺกมีติ ‘‘อชฺช สมณํ โคตมํ อติคเหตฺวา คมิสฺสามี’’ติ อุปสงฺกมิฯ
Upasaṅkamīti ‘‘ajja samaṇaṃ gotamaṃ atigahetvā gamissāmī’’ti upasaṅkami.
ฌายสีติ ฌายโนฺต อวชฺฌายโนฺต นิสิโนฺนสีติ วทติฯ วิตฺตํ นุ ชีโนติ สตํ วา สหสฺสํ วา ชิโตสิ นุฯ อาคุํ นุ คามสฺมินฺติ, กิํ นุ อโนฺตคาเม ปมาณาติกฺกนฺตํ ปาปกมฺมํ อกาสิ, เยน อเญฺญสํ มุขํ โอโลเกตุํ อวิสหโนฺต อรเญฺญ วิจรสิ? สกฺขินฺติ มิตฺตภาวํฯ
Jhāyasīti jhāyanto avajjhāyanto nisinnosīti vadati. Vittaṃ nu jīnoti sataṃ vā sahassaṃ vā jitosi nu. Āguṃ nu gāmasminti, kiṃ nu antogāme pamāṇātikkantaṃ pāpakammaṃ akāsi, yena aññesaṃ mukhaṃ oloketuṃ avisahanto araññe vicarasi? Sakkhinti mittabhāvaṃ.
ปลิขายาติ ขณิตฺวาฯ ภวโลภชปฺปนฺติ ภวโลภสงฺขาตํ ตณฺหํฯ อนาสโว ฌายามีติ นิตฺตโณฺห หุตฺวา ทฺวีหิ ฌาเนหิ ฌายามิฯ ปมตฺตพนฺธูติ มารํ อาลปติฯ โส หิ เยเกจิ โลเก ปมตฺตา, เตสํ พนฺธุฯ
Palikhāyāti khaṇitvā. Bhavalobhajappanti bhavalobhasaṅkhātaṃ taṇhaṃ. Anāsavo jhāyāmīti nittaṇho hutvā dvīhi jhānehi jhāyāmi. Pamattabandhūti māraṃ ālapati. So hi yekeci loke pamattā, tesaṃ bandhu.
สเจ มคฺคํ อนุพุทฺธนฺติ ยทิ ตยา มโคฺค อนุพุโทฺธฯ อเปหีติ อปยาหิฯ อมจฺจุเธยฺยนฺติ มจฺจุโน อโนกาสภูตํ นิพฺพานํฯ ปารคามิโนติ เยปิ ปารํ คตา, เตปิ ปารคามิโนฯ เยปิ ปารํ คจฺฉิสฺสนฺติ, เยปิ ปารํ คนฺตุกามา, เตปิ ปารคามิโนฯ
Sace maggaṃ anubuddhanti yadi tayā maggo anubuddho. Apehīti apayāhi. Amaccudheyyanti maccuno anokāsabhūtaṃ nibbānaṃ. Pāragāminoti yepi pāraṃ gatā, tepi pāragāmino. Yepi pāraṃ gacchissanti, yepi pāraṃ gantukāmā, tepi pāragāmino.
วิสูกายิกานีติ มารวิสูกานิฯ วิเสวิตานีติ วิรุทฺธเสวิตานิ, ‘‘อปฺปมายุ มนุสฺสานํ, อจฺจยนฺติ อโหรตฺตา’’ติ วุเตฺตฯ ‘‘ทีฆมายุ มนุสฺสานํ, นาจฺจยนฺติ อโหรตฺตา’’ติอาทีนิ ปฎิโลมการณานิฯ วิปฺผนฺทิตานีติ, ตมฺหิ ตมฺหิ กาเล หตฺถิราชวณฺณสปฺปวณฺณาทิทสฺสนานิฯ นิเพฺพชนียาติ อุกฺกณฺฐนียาฯ
Visūkāyikānīti māravisūkāni. Visevitānīti viruddhasevitāni, ‘‘appamāyu manussānaṃ, accayanti ahorattā’’ti vutte. ‘‘Dīghamāyu manussānaṃ, nāccayanti ahorattā’’tiādīni paṭilomakāraṇāni. Vipphanditānīti, tamhi tamhi kāle hatthirājavaṇṇasappavaṇṇādidassanāni. Nibbejanīyāti ukkaṇṭhanīyā.
อนุปริยคาติอาทีสุ กิญฺจาปิ อตีตวจนํ กตํ, อโตฺถ ปน วิกปฺปวเสน เวทิตโพฺพฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา เมทวณฺณํ ปาสาณํ วายโส ทิสฺวา – ‘‘อปิ นาเมตฺถ มุทุํ วิเนฺทยฺยาม, อปิ อสฺสาโท สิยา’’ติ อนุปริคเจฺฉยฺย, อถ โส ตตฺถ อสฺสาทํ อลภิตฺวาว วายโส เอโตฺต อปกฺกเมยฺย, ตโต ปาสาณา อปคเจฺฉยฺย, เอวํ มยมฺปิ โส กาโก วิย เสลํ โคตมํ อาสชฺช อสฺสาทํ วา สนฺถวํ วา อลภนฺตา โคตมา นิพฺพินฺทิตฺวา อปคจฺฉามฯ จตุตฺถํฯ
Anupariyagātiādīsu kiñcāpi atītavacanaṃ kataṃ, attho pana vikappavasena veditabbo. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā medavaṇṇaṃ pāsāṇaṃ vāyaso disvā – ‘‘api nāmettha muduṃ vindeyyāma, api assādo siyā’’ti anuparigaccheyya, atha so tattha assādaṃ alabhitvāva vāyaso etto apakkameyya, tato pāsāṇā apagaccheyya, evaṃ mayampi so kāko viya selaṃ gotamaṃ āsajja assādaṃ vā santhavaṃ vā alabhantā gotamā nibbinditvā apagacchāma. Catutthaṃ.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๔. สตฺตวสฺสานุพนฺธสุตฺตํ • 4. Sattavassānubandhasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๔. สตฺตวสฺสานุพนฺธสุตฺตวณฺณนา • 4. Sattavassānubandhasuttavaṇṇanā