Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เปตวตฺถุ-อฎฺฐกถา • Petavatthu-aṭṭhakathā |
๑๖. สฎฺฐิกูฎเปตวตฺถุวณฺณนา
16. Saṭṭhikūṭapetavatthuvaṇṇanā
กิํ นุ อุมฺมตฺตรูโปวาติ อิทํ สตฺถริ เวฬุวเน วิหรเนฺต อญฺญตรํ เปตํ อารพฺภ วุตฺตํฯ อตีเต กิร พาราณสินคเร อญฺญตโร ปีฐสปฺปี สาลิตฺตกปโยเค กุสโล, ตหิํ สกฺขรขิปนสิเปฺป นิปฺผตฺติํ คโต นครทฺวาเร นิโคฺรธรุกฺขมูเล นิสีทิตฺวา สกฺขรปหาเรหิ หตฺถิอสฺสมนุสฺสรถกูฎาคารธชปุณฺณฆฎาทิรูปานิ นิโคฺรธปเตฺตสุ ทเสฺสติฯ นครทารกา อตฺตโน กีฬนตฺถาย มายกฑฺฒมาสกาทีนิ ทตฺวา ยถารุจิ ตานิ สิปฺปานิ การาเปนฺติฯ
Kiṃnu ummattarūpovāti idaṃ satthari veḷuvane viharante aññataraṃ petaṃ ārabbha vuttaṃ. Atīte kira bārāṇasinagare aññataro pīṭhasappī sālittakapayoge kusalo, tahiṃ sakkharakhipanasippe nipphattiṃ gato nagaradvāre nigrodharukkhamūle nisīditvā sakkharapahārehi hatthiassamanussarathakūṭāgāradhajapuṇṇaghaṭādirūpāni nigrodhapattesu dasseti. Nagaradārakā attano kīḷanatthāya māyakaḍḍhamāsakādīni datvā yathāruci tāni sippāni kārāpenti.
อเถกทิวสํ พาราณสิราชา นครโต นิกฺขมิตฺวา ตํ นิโคฺรธมูลํ อุปคโต นิโคฺรธปเตฺตสุ หตฺถิรูปาทิวเสน นานาวิธรูปวิภตฺติโย อปฺปิตา ทิสฺวา มนุเสฺส ปุจฺฉิ – ‘‘เกน นุ โข อิเมสุ นิโคฺรธปเตฺตสุ เอวํ นานาวิธรูปวิภตฺติโย กตา’’ติ? มนุสฺสา ตํ ปีฐสปฺปิํ ทเสฺสสุํ ‘‘เทว, อิมินา กตา’’ติ ฯ ราชา ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา เอวมาห – ‘‘สกฺกา นุ โข, ภเณ, มยา ทสฺสิตสฺส เอกสฺส ปุริสสฺส กเถนฺตสฺส อชานนฺตเสฺสว กุจฺฉิยํ อชลณฺฑิกาหิ ปูเรตุ’’นฺติ? ‘‘สกฺกา, เทวา’’ติฯ ราชา ตํ อตฺตโน ราชภวนํ เนตฺวา พหุภาณิเก ปุโรหิเต นิพฺพินฺนรูโป ปุโรหิตํ ปโกฺกสาเปตฺวา เตน สห วิวิเตฺต โอกาเส สาณิปาการปริกฺขิเตฺต นิสีทิตฺวา มนฺตยมาโน ปีฐสปฺปิํ ปโกฺกสาเปสิฯ ปีฐสปฺปี นาฬิมตฺตา อชลณฺฑิกา อาทายาคนฺตฺวา รโญฺญ อาการํ ญตฺวา ปุโรหิตาภิมุโข นิสิโนฺน เตน มุเข วิวเฎ สาณิปาการวิวเรน เอเกกํ อชลณฺฑิกํ ตสฺส คลมูเล ปติฎฺฐาเปสิฯ โส ลชฺชาย อุคฺคิลิตุํ อสโกฺกโนฺต สพฺพา อโชฺฌหริฯ อถ นํ ราชา อชลณฺฑิกาหิ ปูริโตทรํ วิสฺสชฺชิ – ‘‘คจฺฉ, พฺราหฺมณ, ลทฺธํ ตยา พหุภาณิตาย ผลํ, มทฺทนผลปิยงฺคุตจาทีหิ อภิสงฺขตํ ปานกํ ปิวิตฺวา อุจฺฉเฑฺฑหิ, เอวํ เต โสตฺถิ ภวิสฺสตี’’ติฯ ตสฺส จ ปีฐสปฺปิสฺส เตน กเมฺมน อตฺตมโน หุตฺวา จุทฺทส คาเม อทาสิฯ โส คาเม ลภิตฺวา อตฺตานํ สุเขโนฺต ปีเณโนฺต ปริชนมฺปิ สุเขโนฺต ปีเณโนฺต สมณพฺราหฺมณาทีนํ ยถารหํ กิญฺจิ เทโนฺต ทิฎฺฐธมฺมิกํ สมฺปรายิกญฺจ อตฺถํ อหาเปโนฺต สุเขเนว ชีวติ, อตฺตโน สนฺติกํ อุปคตานํ สิปฺปํ สิกฺขนฺตานํ ภตฺตเวตนํ เทติฯ
Athekadivasaṃ bārāṇasirājā nagarato nikkhamitvā taṃ nigrodhamūlaṃ upagato nigrodhapattesu hatthirūpādivasena nānāvidharūpavibhattiyo appitā disvā manusse pucchi – ‘‘kena nu kho imesu nigrodhapattesu evaṃ nānāvidharūpavibhattiyo katā’’ti? Manussā taṃ pīṭhasappiṃ dassesuṃ ‘‘deva, iminā katā’’ti . Rājā taṃ pakkosāpetvā evamāha – ‘‘sakkā nu kho, bhaṇe, mayā dassitassa ekassa purisassa kathentassa ajānantasseva kucchiyaṃ ajalaṇḍikāhi pūretu’’nti? ‘‘Sakkā, devā’’ti. Rājā taṃ attano rājabhavanaṃ netvā bahubhāṇike purohite nibbinnarūpo purohitaṃ pakkosāpetvā tena saha vivitte okāse sāṇipākāraparikkhitte nisīditvā mantayamāno pīṭhasappiṃ pakkosāpesi. Pīṭhasappī nāḷimattā ajalaṇḍikā ādāyāgantvā rañño ākāraṃ ñatvā purohitābhimukho nisinno tena mukhe vivaṭe sāṇipākāravivarena ekekaṃ ajalaṇḍikaṃ tassa galamūle patiṭṭhāpesi. So lajjāya uggilituṃ asakkonto sabbā ajjhohari. Atha naṃ rājā ajalaṇḍikāhi pūritodaraṃ vissajji – ‘‘gaccha, brāhmaṇa, laddhaṃ tayā bahubhāṇitāya phalaṃ, maddanaphalapiyaṅgutacādīhi abhisaṅkhataṃ pānakaṃ pivitvā ucchaḍḍehi, evaṃ te sotthi bhavissatī’’ti. Tassa ca pīṭhasappissa tena kammena attamano hutvā cuddasa gāme adāsi. So gāme labhitvā attānaṃ sukhento pīṇento parijanampi sukhento pīṇento samaṇabrāhmaṇādīnaṃ yathārahaṃ kiñci dento diṭṭhadhammikaṃ samparāyikañca atthaṃ ahāpento sukheneva jīvati, attano santikaṃ upagatānaṃ sippaṃ sikkhantānaṃ bhattavetanaṃ deti.
อเถโก ปุริโส ตสฺส สนฺติกํ อุปคนฺตฺวา เอวมาห – ‘‘สาธุ, อาจริย, มมฺปิ เอตํ สิปฺปํ สิกฺขาเปหิ, มยฺหํ ปน อลํ ภตฺตเวตเนนา’’ติฯ โส ตํ ปุริสํ ตํ สิปฺปํ สิกฺขาเปสิฯ โส สิกฺขิตสิโปฺป สิปฺปํ วีมํสิตุกาโม คนฺตฺวา คงฺคาตีเร นิสินฺนสฺส สุเนตฺตสฺส นาม ปเจฺจกพุทฺธสฺส สกฺขราภิฆาเตน สีสํ ภินฺทิฯ ปเจฺจกพุโทฺธ ตเตฺถว คงฺคาตีเร ปรินิพฺพายิฯ มนุสฺสา ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ตํ ปุริสํ ตเตฺถว เลฑฺฑุทณฺฑาทีหิ ปหริตฺวา ชีวิตา โวโรเปสุํฯ โส กาลกโต อวีจิมหานิรเย นิพฺพตฺติตฺวา พหูนิ วสฺสสหสฺสานิ นิรเย ปจฺจิตฺวา ตเสฺสว กมฺมสฺส วิปากาวเสเสน อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท ราชคหนครสฺส อวิทูเร เปโต หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ ตสฺส กมฺมสฺส สริกฺขเกน วิปาเกน ภวิตพฺพนฺติ กมฺมเวคุกฺขิตฺตานิ ปุพฺพณฺหสมยํ มชฺฌนฺหิกสมยํ สายนฺหสมยญฺจ สฎฺฐิ อโยกูฎสหสฺสานิ มตฺถเก นิปตนฺติฯ โส ฉินฺนภินฺนสีโส อธิมตฺตเวทนาปฺปโตฺต ภูมิยํ นิปตติ, อโยกูเฎสุ ปน อปคตมเตฺตสุ ปฎิปากติกสิโร ติฎฺฐติฯ
Atheko puriso tassa santikaṃ upagantvā evamāha – ‘‘sādhu, ācariya, mampi etaṃ sippaṃ sikkhāpehi, mayhaṃ pana alaṃ bhattavetanenā’’ti. So taṃ purisaṃ taṃ sippaṃ sikkhāpesi. So sikkhitasippo sippaṃ vīmaṃsitukāmo gantvā gaṅgātīre nisinnassa sunettassa nāma paccekabuddhassa sakkharābhighātena sīsaṃ bhindi. Paccekabuddho tattheva gaṅgātīre parinibbāyi. Manussā taṃ pavattiṃ sutvā taṃ purisaṃ tattheva leḍḍudaṇḍādīhi paharitvā jīvitā voropesuṃ. So kālakato avīcimahāniraye nibbattitvā bahūni vassasahassāni niraye paccitvā tasseva kammassa vipākāvasesena imasmiṃ buddhuppāde rājagahanagarassa avidūre peto hutvā nibbatti. Tassa kammassa sarikkhakena vipākena bhavitabbanti kammavegukkhittāni pubbaṇhasamayaṃ majjhanhikasamayaṃ sāyanhasamayañca saṭṭhi ayokūṭasahassāni matthake nipatanti. So chinnabhinnasīso adhimattavedanāppatto bhūmiyaṃ nipatati, ayokūṭesu pana apagatamattesu paṭipākatikasiro tiṭṭhati.
อเถกทิวสํ อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน คิชฺฌกูฎปพฺพตา โอตรโนฺต ตํ ทิสฺวา –
Athekadivasaṃ āyasmā mahāmoggallāno gijjhakūṭapabbatā otaranto taṃ disvā –
๘๐๖.
806.
‘‘กิํ นุ อุมฺมตฺตรูโปว, มิโค ภโนฺตว ธาวสิ;
‘‘Kiṃ nu ummattarūpova, migo bhantova dhāvasi;
นิสฺสํสยํ ปาปกมฺมโนฺต, กิํ นุ สทฺทายเส ตุว’’นฺติฯ –
Nissaṃsayaṃ pāpakammanto, kiṃ nu saddāyase tuva’’nti. –
อิมาย คาถาย ปฎิปุจฺฉิฯ ตตฺถ อุมฺมตฺตรูโปวาติ อุมฺมตฺตกสภาโว วิย อุมฺมาทปฺปโตฺต วิยฯ มิโค ภโนฺตว ธาวสีติ ภนฺตมิโค วิย อิโต จิโต จ ธาวสิฯ โส หิ เตสุ อโยกูเฎสุ นิปตเนฺตสุ ปริตฺตาณํ อปสฺสโนฺต ‘‘น สิยา นุ โข เอวํ ปหาโร’’ติ อิโตปิ เอโตฺตปิ ปลายติฯ เต ปน กมฺมเวคุกฺขิตฺตา ยตฺถ กตฺถจิ ฐิตสฺส มตฺถเกเยว นิปตนฺติฯ กิํ นุ สทฺทายเส ตุวนฺติ กิํ นุ โข ตุวํ สทฺทํ กโรสิ, อติวิย วิสฺสรํ กโรโนฺต วิจรสิฯ
Imāya gāthāya paṭipucchi. Tattha ummattarūpovāti ummattakasabhāvo viya ummādappatto viya. Migo bhantova dhāvasīti bhantamigo viya ito cito ca dhāvasi. So hi tesu ayokūṭesu nipatantesu parittāṇaṃ apassanto ‘‘na siyā nu kho evaṃ pahāro’’ti itopi ettopi palāyati. Te pana kammavegukkhittā yattha katthaci ṭhitassa matthakeyeva nipatanti. Kiṃ nu saddāyase tuvanti kiṃ nu kho tuvaṃ saddaṃ karosi, ativiya vissaraṃ karonto vicarasi.
ตํ สุตฺวา เปโต –
Taṃ sutvā peto –
๘๐๗.
807.
‘‘อหํ ภทเนฺต เปโตมฺหิ, ทุคฺคโต ยมโลกิโก;
‘‘Ahaṃ bhadante petomhi, duggato yamalokiko;
ปาปกมฺมํ กริตฺวาน, เปตโลกํ อิโต คโตฯ
Pāpakammaṃ karitvāna, petalokaṃ ito gato.
๘๐๘.
808.
‘‘สฎฺฐิ กูฎสหสฺสานิ, ปริปุณฺณานิ สพฺพโส;
‘‘Saṭṭhi kūṭasahassāni, paripuṇṇāni sabbaso;
สีเส มยฺหํ นิปตนฺติ, เต ภินฺทนฺติ จ มตฺถก’’นฺติฯ –
Sīse mayhaṃ nipatanti, te bhindanti ca matthaka’’nti. –
ทฺวีหิ คาถาหิ ปฎิวจนํ อทาสิฯ ตตฺถ สฎฺฐิ กูฎสหสฺสานีติ สฎฺฐิมตฺตานิ อโยกูฎสหสฺสานิฯ ปริปุณฺณานีติ อนูนานิฯ สพฺพโสติ สพฺพภาคโตฯ ตสฺส กิร สฎฺฐิยา อโยกูฎสหสฺสานํ ปตนปฺปโหนกํ มหนฺตํ ปพฺพตกูฎปฺปมาณํ สีสํ นิพฺพตฺติฯ ตํ ตสฺส วาลคฺคโกฎินิตุทนมตฺตมฺปิ ฐานํ อเสเสตฺวา ตานิ กูฎานิ ปตนฺตานิ มตฺถกํ ภินฺทนฺติ, เตน โส อฎฺฎสฺสรํ กโรติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สพฺพโส สีเส มยฺหํ นิปตนฺติ, เต ภินฺทนฺติ จ มตฺถก’’นฺติฯ
Dvīhi gāthāhi paṭivacanaṃ adāsi. Tattha saṭṭhi kūṭasahassānīti saṭṭhimattāni ayokūṭasahassāni. Paripuṇṇānīti anūnāni. Sabbasoti sabbabhāgato. Tassa kira saṭṭhiyā ayokūṭasahassānaṃ patanappahonakaṃ mahantaṃ pabbatakūṭappamāṇaṃ sīsaṃ nibbatti. Taṃ tassa vālaggakoṭinitudanamattampi ṭhānaṃ asesetvā tāni kūṭāni patantāni matthakaṃ bhindanti, tena so aṭṭassaraṃ karoti. Tena vuttaṃ ‘‘sabbaso sīse mayhaṃ nipatanti, te bhindanti ca matthaka’’nti.
อถ นํ เถโร กตกมฺมํ ปุจฺฉโนฺต –
Atha naṃ thero katakammaṃ pucchanto –
๘๐๙.
809.
‘‘กิํ นุ กาเยน วาจาย, มนสา ทุกฺกฎํ กตํ;
‘‘Kiṃ nu kāyena vācāya, manasā dukkaṭaṃ kataṃ;
กิสฺส กมฺมวิปาเกน, อิทํ ทุกฺขํ นิคจฺฉสิฯ
Kissa kammavipākena, idaṃ dukkhaṃ nigacchasi.
๘๑๐.
810.
‘‘สฎฺฐิ กูฎสหสฺสานิ, ปริปุณฺณานิ สพฺพโส;
‘‘Saṭṭhi kūṭasahassāni, paripuṇṇāni sabbaso;
สีเส ตุยฺหํ นิปตนฺติ, เต ภินฺทนฺติ จ มตฺถก’’นฺติฯ –
Sīse tuyhaṃ nipatanti, te bhindanti ca matthaka’’nti. –
เทฺว คาถา อภาสิฯ
Dve gāthā abhāsi.
ตสฺส เปโต อตฺตนา กตกมฺมํ อาจิกฺขโนฺต –
Tassa peto attanā katakammaṃ ācikkhanto –
๘๑๑.
811.
‘‘อถทฺทสาสิํ สมฺพุทฺธํ, สุเนตฺตํ ภาวิตินฺทฺริยํ;
‘‘Athaddasāsiṃ sambuddhaṃ, sunettaṃ bhāvitindriyaṃ;
นิสินฺนํ รุกฺขมูลสฺมิํ, ฌายนฺตํ อกุโตภยํฯ
Nisinnaṃ rukkhamūlasmiṃ, jhāyantaṃ akutobhayaṃ.
๘๑๒.
812.
‘‘สาลิตฺตกปฺปหาเรน, ภินฺทิสฺสํ ตสฺส มตฺถกํ;
‘‘Sālittakappahārena, bhindissaṃ tassa matthakaṃ;
ตสฺสกมฺมวิปาเกน, อิทํ ทุกฺขํ นิคจฺฉิสํฯ
Tassakammavipākena, idaṃ dukkhaṃ nigacchisaṃ.
๘๑๓.
813.
‘‘สฎฺฐิ กูฎสหสฺสานิ, ปริปุณฺณานิ สพฺพโส;
‘‘Saṭṭhi kūṭasahassāni, paripuṇṇāni sabbaso;
สีเส มยฺหํ นิปตนฺติ, เต ภินฺทนฺติ จ มตฺถก’’นฺติฯ –
Sīse mayhaṃ nipatanti, te bhindanti ca matthaka’’nti. –
ติโสฺส คาถาโย อภาสิฯ
Tisso gāthāyo abhāsi.
๘๑๑. ตตฺถ สมฺพุทฺธนฺติ ปเจฺจกสมฺพุทฺธํฯ สุเนตฺตนฺติ เอวํนามกํฯ ภาวิตินฺทฺริยนฺติ อริยมคฺคภาวนาย ภาวิตสทฺธาทิอินฺทฺริยํฯ
811. Tattha sambuddhanti paccekasambuddhaṃ. Sunettanti evaṃnāmakaṃ. Bhāvitindriyanti ariyamaggabhāvanāya bhāvitasaddhādiindriyaṃ.
๘๑๒-๑๓. สาลิตฺตกปฺปหาเรนาติ สาลิตฺตกํ วุจฺจติ ธนุเกน, องฺคุลีหิ เอว วา สกฺขรขิปนปโยโคฯ ตถา หิ สกฺขราย ปหาเรนาติ วา ปาโฐฯ ภินฺทิสฺสนฺติ ภินฺทิํฯ
812-13.Sālittakappahārenāti sālittakaṃ vuccati dhanukena, aṅgulīhi eva vā sakkharakhipanapayogo. Tathā hi sakkharāya pahārenāti vā pāṭho. Bhindissanti bhindiṃ.
ตํ สุตฺวา เถโร ‘‘อตฺตโน กตกมฺมานุรูปเมว อิทานิ ปุราณกมฺมสฺส อิทํ ผลํ ปฎิลภตี’’ติ ทเสฺสโนฺต –
Taṃ sutvā thero ‘‘attano katakammānurūpameva idāni purāṇakammassa idaṃ phalaṃ paṭilabhatī’’ti dassento –
๘๑๔.
814.
‘‘ธเมฺมน เต กาปุริส;
‘‘Dhammena te kāpurisa;
สฎฺฐิ กูฎสหสฺสานิ, ปริปุณฺณานิ สพฺพโส;
Saṭṭhi kūṭasahassāni, paripuṇṇāni sabbaso;
สีเส ตุยฺหํ นิปตนฺติ, เต ภินฺทนฺติ จ มตฺถก’’นฺติฯ –
Sīse tuyhaṃ nipatanti, te bhindanti ca matthaka’’nti. –
โอสานคาถมาหฯ ตตฺถ ธเมฺมนาติ อนุรูปการเณนฯ เตติ ตว, ตสฺมิํ ปเจฺจกพุเทฺธ อปรชฺฌเนฺตน ตยา กตสฺส ปาปกมฺมสฺส อนุจฺฉวิกเมเวตํ ผลํ ตุยฺหํ อุปนีตํฯ ตสฺมา เกนจิ เทเวน วา มาเรน วา พฺรหฺมุนา วา อปิ สมฺมาสมฺพุเทฺธนปิ อปฺปฎิพาหนียเมตนฺติ ทเสฺสติฯ
Osānagāthamāha. Tattha dhammenāti anurūpakāraṇena. Teti tava, tasmiṃ paccekabuddhe aparajjhantena tayā katassa pāpakammassa anucchavikamevetaṃ phalaṃ tuyhaṃ upanītaṃ. Tasmā kenaci devena vā mārena vā brahmunā vā api sammāsambuddhenapi appaṭibāhanīyametanti dasseti.
เอวญฺจ ปน วตฺวา ตโต นคเร ปิณฺฑาย จริตฺวา กตภตฺตกิโจฺจ สายนฺหสมเย สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา ตํ ปวตฺติํ ภควโต อาโรเจสิฯ ภควา ตมตฺถํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา สมฺปตฺตปริสาย ธมฺมํ เทเสโนฺต ปเจฺจกพุทฺธานํ คุณานุภาวํ กมฺมานญฺจ อวญฺฌตํ ปกาเสสิ, มหาชโน สํเวคชาโต หุตฺวา ปาปํ ปหาย ทานาทิปุญฺญนิรโต อโหสีติฯ
Evañca pana vatvā tato nagare piṇḍāya caritvā katabhattakicco sāyanhasamaye satthāraṃ upasaṅkamitvā taṃ pavattiṃ bhagavato ārocesi. Bhagavā tamatthaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā sampattaparisāya dhammaṃ desento paccekabuddhānaṃ guṇānubhāvaṃ kammānañca avañjhataṃ pakāsesi, mahājano saṃvegajāto hutvā pāpaṃ pahāya dānādipuññanirato ahosīti.
สฎฺฐิกูฎเปตวตฺถุวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Saṭṭhikūṭapetavatthuvaṇṇanā niṭṭhitā.
อิติ ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย เปตวตฺถุสฺมิํ
Iti khuddaka-aṭṭhakathāya petavatthusmiṃ
โสฬสวตฺถุปฎิมณฺฑิตสฺส
Soḷasavatthupaṭimaṇḍitassa
จตุตฺถสฺส มหาวคฺคสฺส อตฺถสํวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Catutthassa mahāvaggassa atthasaṃvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เปตวตฺถุปาฬิ • Petavatthupāḷi / ๑๖. สฎฺฐิกูฎเปตวตฺถุ • 16. Saṭṭhikūṭapetavatthu