Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๕๐๓] ๗. สตฺติคุมฺพชาตกวณฺณนา

    [503] 7. Sattigumbajātakavaṇṇanā

    มิคลุโทฺท มหาราชาติ อิทํ สตฺถา มทฺทกุจฺฉิสฺมิํ มิคทาเย วิหรโนฺต เทวทตฺตํ อารพฺภ กเถสิฯ เทวทเตฺตน หิ สิลาย ปวิทฺธาย ภควโต ปาเท สกลิกาย ขเต พลวเวทนา อุปฺปชฺชิฯ ตถาคตสฺส ทสฺสนตฺถาย พหู ภิกฺขู สนฺนิปติํสุฯ อถ ภควา ปริสํ สนฺนิปติตํ ทิสฺวา ‘‘ภิกฺขเว, อิทํ เสนาสนํ อติสมฺพาธํ, สนฺนิปาโต มหา ภวิสฺสติ, มํ มญฺจสิวิกาย มทฺทกุจฺฉิํ เนถา’’ติ อาหฯ ภิกฺขู ตถา กริํสุฯ ชีวโก ตถาคตสฺส ปาทํ ผาสุกํ อกาสิฯ ภิกฺขู สตฺถุ สนฺติเก นิสินฺนาว กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, เทวทโตฺต สยมฺปิ ปาโป, ปริสาปิสฺส ปาปา, อิติ โส ปาโป ปาปปริวาโรว วิหรตี’’ติฯ สตฺถา ‘‘กิํ กเถถ, ภิกฺขเว’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิทํ นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ เทวทโตฺต ปาโป ปาปปริวาโรเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Migaluddomahārājāti idaṃ satthā maddakucchismiṃ migadāye viharanto devadattaṃ ārabbha kathesi. Devadattena hi silāya paviddhāya bhagavato pāde sakalikāya khate balavavedanā uppajji. Tathāgatassa dassanatthāya bahū bhikkhū sannipatiṃsu. Atha bhagavā parisaṃ sannipatitaṃ disvā ‘‘bhikkhave, idaṃ senāsanaṃ atisambādhaṃ, sannipāto mahā bhavissati, maṃ mañcasivikāya maddakucchiṃ nethā’’ti āha. Bhikkhū tathā kariṃsu. Jīvako tathāgatassa pādaṃ phāsukaṃ akāsi. Bhikkhū satthu santike nisinnāva kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, devadatto sayampi pāpo, parisāpissa pāpā, iti so pāpo pāpaparivārova viharatī’’ti. Satthā ‘‘kiṃ kathetha, bhikkhave’’ti pucchitvā ‘‘idaṃ nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi devadatto pāpo pāpaparivāroyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต อุตฺตรปญฺจาลนคเร ปญฺจาโล นาม ราชา รชฺชํ กาเรสิฯ มหาสโตฺต อรญฺญายตเน เอกสฺมิํ สานุปพฺพเต สิมฺพลิวเน เอกสฺส สุวรโญฺญ ปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติ, เทฺว ภาตโร อเหสุํฯ ตสฺส ปน ปพฺพตสฺส อุปริวาเต โจรคามโก อโหสิ ปญฺจนฺนํ โจรสตานํ นิวาโส, อโธวาเต อสฺสโม ปญฺจนฺนํ อิสิสตานํ นิวาโสฯ เตสํ สุวโปตกานํ ปกฺขนิกฺขมนกาเล วาตมณฺฑลิกา อุทปาทิฯ ตาย ปหโฎ เอโก สุวโปตโก โจรคามเก โจรานํ อาวุธนฺตเร ปติโต, ตสฺส ตตฺถ ปติตตฺตา ‘‘สตฺติคุโมฺพ’’เตฺวว นามํ กริํสุฯ เอโก อสฺสเม วาลุกตเล ปุปฺผนฺตเร ปติ, ตสฺส ตตฺถ ปติตตฺตา ‘‘ปุปฺผโก’’เตฺวว นามํ กริํสุฯ สตฺติคุโมฺพ โจรานํ อนฺตเร วฑฺฒิโต, ปุปฺผโก อิสีนํฯ

    Atīte uttarapañcālanagare pañcālo nāma rājā rajjaṃ kāresi. Mahāsatto araññāyatane ekasmiṃ sānupabbate simbalivane ekassa suvarañño putto hutvā nibbatti, dve bhātaro ahesuṃ. Tassa pana pabbatassa uparivāte coragāmako ahosi pañcannaṃ corasatānaṃ nivāso, adhovāte assamo pañcannaṃ isisatānaṃ nivāso. Tesaṃ suvapotakānaṃ pakkhanikkhamanakāle vātamaṇḍalikā udapādi. Tāya pahaṭo eko suvapotako coragāmake corānaṃ āvudhantare patito, tassa tattha patitattā ‘‘sattigumbo’’tveva nāmaṃ kariṃsu. Eko assame vālukatale pupphantare pati, tassa tattha patitattā ‘‘pupphako’’tveva nāmaṃ kariṃsu. Sattigumbo corānaṃ antare vaḍḍhito, pupphako isīnaṃ.

    อเถกทิวสํ ราชา สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิโต รถวรํ อภิรุหิตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน มิควธาย นครโต นาติทูเร สุปุปฺผิตผลิตํ รมณียํ อุปคุมฺพวนํ คนฺตฺวา ‘‘ยสฺส ปเสฺสน มิโค ปลายติ, ตเสฺสว คีวา’’ติ วตฺวา รถา โอรุยฺห ปฎิจฺฉาเทตฺวา ทิเนฺน โกฎฺฐเก ธนุํ อาทาย อฎฺฐาสิฯ ปุริเสหิ มิคานํ อุฎฺฐาปนตฺถาย วนคุเมฺพสุ โปถิยมาเนสุ เอโก เอณิมิโค อุฎฺฐาย คมนมคฺคํ โอโลเกโนฺต รโญฺญ ฐิตฎฺฐานเสฺสว วิวิตฺตตํ ทิสฺวา ตทภิมุโข ปกฺขนฺทิตฺวา ปลายิฯ อมจฺจา ‘‘กสฺส ปเสฺสน มิโค ปลายิโต’’ติ ปุจฺฉนฺตา ‘‘รโญฺญ ปเสฺสนา’’ติ ญตฺวา รญฺญา สทฺธิํ เกฬิํ กริํสุฯ ราชา อสฺมิมาเนน เตสํ เกฬิํ อสหโนฺต ‘‘อิทานิ ตํ มิคํ คเหสฺสามี’’ติ รถํ อารุยฺห ‘‘สีฆํ เปเสหี’’ติ สารถิํ อาณาเปตฺวา มิเคน คตมคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ รถํ เวเคน คจฺฉนฺตํ ปริสา อนุพนฺธิตุํ นาสกฺขิฯ ราชา สารถิทุติโย ยาว มชฺฌนฺหิกา คนฺตฺวา ตํ มิคํ อทิสฺวา นิวตฺตโนฺต ตสฺส โจรคามสฺส สนฺติเก รมณียํ กนฺทรํ ทิสฺวา รถา โอรุยฺห นฺหตฺวา จ ปิวิตฺวา จ ปจฺจุตฺตริฯ อถสฺส สารถิ รถสฺส อุตฺตรตฺถรณํ โอตาเรตฺวา สยนํ รุกฺขจฺฉายาย ปญฺญเปสิ, โส ตตฺถ นิปชฺชิฯ สารถิปิ ตสฺส ปาเท สมฺพาหโนฺต นิสีทิฯ ราชา อนฺตรนฺตรา นิทฺทายติ เจว ปพุชฺฌติ จฯ

    Athekadivasaṃ rājā sabbālaṅkārapaṭimaṇḍito rathavaraṃ abhiruhitvā mahantena parivārena migavadhāya nagarato nātidūre supupphitaphalitaṃ ramaṇīyaṃ upagumbavanaṃ gantvā ‘‘yassa passena migo palāyati, tasseva gīvā’’ti vatvā rathā oruyha paṭicchādetvā dinne koṭṭhake dhanuṃ ādāya aṭṭhāsi. Purisehi migānaṃ uṭṭhāpanatthāya vanagumbesu pothiyamānesu eko eṇimigo uṭṭhāya gamanamaggaṃ olokento rañño ṭhitaṭṭhānasseva vivittataṃ disvā tadabhimukho pakkhanditvā palāyi. Amaccā ‘‘kassa passena migo palāyito’’ti pucchantā ‘‘rañño passenā’’ti ñatvā raññā saddhiṃ keḷiṃ kariṃsu. Rājā asmimānena tesaṃ keḷiṃ asahanto ‘‘idāni taṃ migaṃ gahessāmī’’ti rathaṃ āruyha ‘‘sīghaṃ pesehī’’ti sārathiṃ āṇāpetvā migena gatamaggaṃ paṭipajji. Rathaṃ vegena gacchantaṃ parisā anubandhituṃ nāsakkhi. Rājā sārathidutiyo yāva majjhanhikā gantvā taṃ migaṃ adisvā nivattanto tassa coragāmassa santike ramaṇīyaṃ kandaraṃ disvā rathā oruyha nhatvā ca pivitvā ca paccuttari. Athassa sārathi rathassa uttarattharaṇaṃ otāretvā sayanaṃ rukkhacchāyāya paññapesi, so tattha nipajji. Sārathipi tassa pāde sambāhanto nisīdi. Rājā antarantarā niddāyati ceva pabujjhati ca.

    โจรคามวาสิโน โจราปิ รโญฺญ อารกฺขณตฺถาย อรญฺญเมว ปวิสิํสุฯ โจรคามเก สตฺติคุโมฺพ เจว ภตฺตรนฺธโก ปติโกลโมฺพ นาเมโก ปุริโส จาติ เทฺวว โอหียิํสุฯ ตสฺมิํ ขเณ สตฺติคุโมฺพ คามกา นิกฺขมิตฺวา ราชานํ ทิสฺวา ‘‘อิมํ นิทฺทายมานเมว มาเรตฺวา อาภรณานิ คเหสฺสามา’’ติ จิเนฺตตฺวา ปติโกลมฺพสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ตํ การณํ อาโรเจสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา ปญฺจ คาถา อภาสิ –

    Coragāmavāsino corāpi rañño ārakkhaṇatthāya araññameva pavisiṃsu. Coragāmake sattigumbo ceva bhattarandhako patikolambo nāmeko puriso cāti dveva ohīyiṃsu. Tasmiṃ khaṇe sattigumbo gāmakā nikkhamitvā rājānaṃ disvā ‘‘imaṃ niddāyamānameva māretvā ābharaṇāni gahessāmā’’ti cintetvā patikolambassa santikaṃ gantvā taṃ kāraṇaṃ ārocesi. Tamatthaṃ pakāsento satthā pañca gāthā abhāsi –

    ๑๕๙.

    159.

    ‘‘มิคลุโทฺท มหาราชา, ปญฺจาลานํ รเถสโภ;

    ‘‘Migaluddo mahārājā, pañcālānaṃ rathesabho;

    นิกฺขโนฺต สห เสนาย, โอคโณ วนมาคมาฯ

    Nikkhanto saha senāya, ogaṇo vanamāgamā.

    ๑๖๐.

    160.

    ‘‘ตตฺถทฺทสา อรญฺญสฺมิํ, ตกฺกรานํ กุฎิํ กตํ;

    ‘‘Tatthaddasā araññasmiṃ, takkarānaṃ kuṭiṃ kataṃ;

    ตสฺสา กุฎิยา นิกฺขมฺม, สุโว ลุทฺทานิ ภาสติฯ

    Tassā kuṭiyā nikkhamma, suvo luddāni bhāsati.

    ๑๖๑.

    161.

    ‘‘สมฺปนฺนวาหโน โปโส, ยุวา สมฺมฎฺฐกุณฺฑโล;

    ‘‘Sampannavāhano poso, yuvā sammaṭṭhakuṇḍalo;

    โสภติ โลหิตุณฺหีโส, ทิวา สูริโยว ภาสติฯ

    Sobhati lohituṇhīso, divā sūriyova bhāsati.

    ๑๖๒.

    162.

    ‘‘มชฺฌนฺหิเก สมฺปติเก, สุโตฺต ราชา สสารถิ;

    ‘‘Majjhanhike sampatike, sutto rājā sasārathi;

    หนฺทสฺสาภรณํ สพฺพํ, คณฺหาม สาหสา มยํฯ

    Handassābharaṇaṃ sabbaṃ, gaṇhāma sāhasā mayaṃ.

    ๑๖๓.

    163.

    ‘‘นิสีเถปิ รโหทานิ, สุโตฺต ราชา สสารถิ;

    ‘‘Nisīthepi rahodāni, sutto rājā sasārathi;

    อาทาย วตฺถํ มณิกุณฺฑลญฺจ, หนฺตฺวาน สาขาหิ อวตฺถรามา’’ติฯ

    Ādāya vatthaṃ maṇikuṇḍalañca, hantvāna sākhāhi avattharāmā’’ti.

    ตตฺถ มิคลุโทฺทติ ลุโทฺท วิย มิคานํ คเวสนโต ‘‘มิคลุโทฺท’’ติ วุโตฺตฯ โอคโณติ คณา โอหีโน ปริหีโน หุตฺวาฯ ตกฺกรานํ กุฎิํ กตนฺติ โส ราชา ตตฺถ อรเญฺญ โจรานํ วสนตฺถาย กตํ คามกํ อทฺทสฯ ตสฺสาติ ตโต โจรกุฎิโตฯ ลุทฺทานิ ภาสตีติ ปติโกลเมฺพน สทฺธิํ ทารุณานิ วจนานิ กเถติฯ สมฺปนฺนวาหโนติ สมฺปนฺนอสฺสวาหโนฯ โลหิตุณฺหีโสติ รเตฺตน อุณฺหีสปเฎฺฎน สมนฺนาคโตฯ สมฺปติเกติ สมฺปติ อิทานิ, เอวรูเป ฐิตมชฺฌนฺหิกกาเลติ อโตฺถฯ สาหสาติ สาหเสน ปสยฺหาการํ กตฺวา คณฺหามาติ วทติฯ นิสีเถปิ รโหทานีติ นิสีเถปิ อิทานิปิ รโหฯ อิทํ วทติ – ยถา นิสีเถ อฑฺฒรตฺตสมเย มนุสฺสา กิลนฺตา สยนฺติ, รโห นาม โหติ, อิทานิ ฐิตมชฺฌนฺหิเกปิ กาเล ตเถวาติฯ หนฺตฺวานาติ ราชานํ มาเรตฺวา วตฺถาภรณานิสฺส คเหตฺวา อถ นํ ปาเท คเหตฺวา กฑฺฒิตฺวา เอกมเนฺต สาขาหิ ปฎิจฺฉาเทมาติฯ

    Tattha migaluddoti luddo viya migānaṃ gavesanato ‘‘migaluddo’’ti vutto. Ogaṇoti gaṇā ohīno parihīno hutvā. Takkarānaṃ kuṭiṃ katanti so rājā tattha araññe corānaṃ vasanatthāya kataṃ gāmakaṃ addasa. Tassāti tato corakuṭito. Luddāni bhāsatīti patikolambena saddhiṃ dāruṇāni vacanāni katheti. Sampannavāhanoti sampannaassavāhano. Lohituṇhīsoti rattena uṇhīsapaṭṭena samannāgato. Sampatiketi sampati idāni, evarūpe ṭhitamajjhanhikakāleti attho. Sāhasāti sāhasena pasayhākāraṃ katvā gaṇhāmāti vadati. Nisīthepi rahodānīti nisīthepi idānipi raho. Idaṃ vadati – yathā nisīthe aḍḍharattasamaye manussā kilantā sayanti, raho nāma hoti, idāni ṭhitamajjhanhikepi kāle tathevāti. Hantvānāti rājānaṃ māretvā vatthābharaṇānissa gahetvā atha naṃ pāde gahetvā kaḍḍhitvā ekamante sākhāhi paṭicchādemāti.

    อิติ โส เวเคน สกิํ นิกฺขมติ, สกิํ ปติโกลมฺพสฺส สนฺติกํ คจฺฉติฯ โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา นิกฺขมิตฺวา โอโลเกโนฺต ราชภาวํ ญตฺวา ภีโต คาถมาห –

    Iti so vegena sakiṃ nikkhamati, sakiṃ patikolambassa santikaṃ gacchati. So tassa vacanaṃ sutvā nikkhamitvā olokento rājabhāvaṃ ñatvā bhīto gāthamāha –

    ๑๖๔.

    164.

    ‘‘กินฺนุ อุมฺมตฺตรูโปว, สตฺติคุมฺพ ปภาสสิ;

    ‘‘Kinnu ummattarūpova, sattigumba pabhāsasi;

    ทุราสทา หิ ราชาโน, อคฺคิ ปชฺชลิโต ยถา’’ติฯ

    Durāsadā hi rājāno, aggi pajjalito yathā’’ti.

    อถ นํ สุโว คาถาย อชฺฌภาสิ –

    Atha naṃ suvo gāthāya ajjhabhāsi –

    ๑๖๕.

    165.

    ‘‘อถ ตฺวํ ปติโกลมฺพ, มโตฺต ถุลฺลานิ คชฺชสิ;

    ‘‘Atha tvaṃ patikolamba, matto thullāni gajjasi;

    มาตริ มยฺห นคฺคาย, กินฺนุ ตฺวํ วิชิคุจฺฉเส’’ติฯ

    Mātari mayha naggāya, kinnu tvaṃ vijigucchase’’ti.

    ตตฺถ อถ ตฺวนฺติ นนุ ตฺวํฯ มโตฺตติ โจรานํ อุจฺฉิฎฺฐสุรํ ลภิตฺวา ตาย มโตฺต หุตฺวา ปุเพฺพ มหาคชฺชิตานิ คชฺชสิฯ มาตรีติ โจรเชฎฺฐกสฺส ภริยํ สนฺธายาหฯ สา กิร ตทา สาขาภงฺคํ นิวาเสตฺวา จรติฯ วิชิคุจฺฉเสติ มม มาตริ นคฺคาย กินฺนุ ตฺวํ อิทานิ โจรกมฺมํ ชิคุจฺฉสิ, กาตุํ น อิจฺฉสีติฯ

    Tattha atha tvanti nanu tvaṃ. Mattoti corānaṃ ucchiṭṭhasuraṃ labhitvā tāya matto hutvā pubbe mahāgajjitāni gajjasi. Mātarīti corajeṭṭhakassa bhariyaṃ sandhāyāha. Sā kira tadā sākhābhaṅgaṃ nivāsetvā carati. Vijigucchaseti mama mātari naggāya kinnu tvaṃ idāni corakammaṃ jigucchasi, kātuṃ na icchasīti.

    ราชา ปพุชฺฌิตฺวา ตสฺส เตน สทฺธิํ มนุสฺสภาสาย กเถนฺตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘สปฺปฎิภยํ อิทํ ฐาน’’นฺติ สารถิํ อุฎฺฐาเปโนฺต คาถมาห –

    Rājā pabujjhitvā tassa tena saddhiṃ manussabhāsāya kathentassa vacanaṃ sutvā ‘‘sappaṭibhayaṃ idaṃ ṭhāna’’nti sārathiṃ uṭṭhāpento gāthamāha –

    ๑๖๖.

    166.

    ‘‘อุเฎฺฐหิ สมฺม ตรมาโน, รถํ โยเชหิ สารถิ;

    ‘‘Uṭṭhehi samma taramāno, rathaṃ yojehi sārathi;

    สกุโณ เม น รุจฺจติ, อญฺญํ คจฺฉาม อสฺสม’’นฺติฯ

    Sakuṇo me na ruccati, aññaṃ gacchāma assama’’nti.

    โสปิ สีฆํ อุฎฺฐหิตฺวา รถํ โยเชตฺวา คาถมาห –

    Sopi sīghaṃ uṭṭhahitvā rathaṃ yojetvā gāthamāha –

    ๑๖๗.

    167.

    ‘‘ยุโตฺต รโถ มหาราช, ยุโตฺต จ พลวาหโน;

    ‘‘Yutto ratho mahārāja, yutto ca balavāhano;

    อธิติฎฺฐ มหาราช, อญฺญํ คจฺฉาม อสฺสม’’นฺติฯ

    Adhitiṭṭha mahārāja, aññaṃ gacchāma assama’’nti.

    ตตฺถ พลวาหโนติ พลววาหโน, มหาถามอสฺสสมฺปโนฺนติ อโตฺถฯ อธิติฎฺฐาติ อภิรุหฯ

    Tattha balavāhanoti balavavāhano, mahāthāmaassasampannoti attho. Adhitiṭṭhāti abhiruha.

    อภิรุฬฺหมเตฺตเยว จ ตสฺมิํ สินฺธวา วาตเวเคน ปกฺขนฺทิํสุฯ สตฺติคุโมฺพ รถํ คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา สํเวคปฺปโตฺต เทฺว คาถา อภาสิ –

    Abhiruḷhamatteyeva ca tasmiṃ sindhavā vātavegena pakkhandiṃsu. Sattigumbo rathaṃ gacchantaṃ disvā saṃvegappatto dve gāthā abhāsi –

    ๑๖๘.

    168.

    ‘‘โก นุเมว คตา สเพฺพ, เย อสฺมิํ ปริจารกา;

    ‘‘Ko numeva gatā sabbe, ye asmiṃ paricārakā;

    เอส คจฺฉติ ปญฺจาโล, มุโตฺต เตสํ อทสฺสนาฯ

    Esa gacchati pañcālo, mutto tesaṃ adassanā.

    ๑๖๙.

    169.

    ‘‘โกทณฺฑกานิ คณฺหถ, สตฺติโย โตมรานิ จ;

    ‘‘Kodaṇḍakāni gaṇhatha, sattiyo tomarāni ca;

    เอส คจฺฉติ ปญฺจาโล, มา โว มุญฺจิตฺถ ชีวต’’นฺติฯ

    Esa gacchati pañcālo, mā vo muñcittha jīvata’’nti.

    ตตฺถ โก นุเมติ กุหิํ นุ อิเมฯ อสฺมินฺติ อิมสฺมิํ อสฺสเมฯ ปริจารกาติ โจราฯ อทสฺสนาติ เอเตสํ โจรานํ อทสฺสเนน มุโตฺต เอส คจฺฉตีติ, เอเตสํ หตฺถโต มุโตฺต หุตฺวา เอส อทสฺสนํ คจฺฉตีติปิ อโตฺถฯ โกทณฺฑกานีติ ธนูนิฯ ชีวตนฺติ ตุมฺหากํ ชีวนฺตานํ มา มุญฺจิตฺถ, อาวุธหตฺถา ธาวิตฺวา คณฺหถ นนฺติฯ

    Tattha ko numeti kuhiṃ nu ime. Asminti imasmiṃ assame. Paricārakāti corā. Adassanāti etesaṃ corānaṃ adassanena mutto esa gacchatīti, etesaṃ hatthato mutto hutvā esa adassanaṃ gacchatītipi attho. Kodaṇḍakānīti dhanūni. Jīvatanti tumhākaṃ jīvantānaṃ mā muñcittha, āvudhahatthā dhāvitvā gaṇhatha nanti.

    เอวํ ตสฺส วิรวิตฺวา อปราปรํ ธาวนฺตเสฺสว ราชา อิสีนํ อสฺสมํ ปโตฺตฯ ตสฺมิํ ขเณ อิสโย ผลาผลตฺถาย คตา ฯ เอโก ปุปฺผกสุโวว อสฺสมปเท ฐิโต โหติฯ โส ราชานํ ทิสฺวา ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ปฎิสนฺถารมกาสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา จตโสฺส คาถา อภาสิ –

    Evaṃ tassa viravitvā aparāparaṃ dhāvantasseva rājā isīnaṃ assamaṃ patto. Tasmiṃ khaṇe isayo phalāphalatthāya gatā . Eko pupphakasuvova assamapade ṭhito hoti. So rājānaṃ disvā paccuggamanaṃ katvā paṭisanthāramakāsi. Tamatthaṃ pakāsento satthā catasso gāthā abhāsi –

    ๑๗๐.

    170.

    ‘‘อถาปโร ปฎินนฺทิตฺถ, สุโว โลหิตตุณฺฑโก;

    ‘‘Athāparo paṭinandittha, suvo lohitatuṇḍako;

    สฺวาคตํ เต มหาราช, อโถ เต อทุราคตํ;

    Svāgataṃ te mahārāja, atho te adurāgataṃ;

    อิสฺสโรสิ อนุปฺปโตฺต, ยํ อิธตฺถิ ปเวทยฯ

    Issarosi anuppatto, yaṃ idhatthi pavedaya.

    ๑๗๑.

    171.

    ‘‘ติณฺฑุกานิ ปิยาลานิ, มธุเก กาสุมาริโย;

    ‘‘Tiṇḍukāni piyālāni, madhuke kāsumāriyo;

    ผลานิ ขุทฺทกปฺปานิ, ภุญฺช ราช วรํ วรํฯ

    Phalāni khuddakappāni, bhuñja rāja varaṃ varaṃ.

    ๑๗๒.

    172.

    ‘‘อิทมฺปิ ปานียํ สีตํ, อาภตํ คิริคพฺภรา;

    ‘‘Idampi pānīyaṃ sītaṃ, ābhataṃ girigabbharā;

    ตโต ปิว มหาราช, สเจ ตฺวํ อภิกงฺขสิฯ

    Tato piva mahārāja, sace tvaṃ abhikaṅkhasi.

    ๑๗๓.

    173.

    ‘‘อรญฺญํ อุญฺฉาย คตา, เย อสฺมิํ ปริจารกา;

    ‘‘Araññaṃ uñchāya gatā, ye asmiṃ paricārakā;

    สยํ อุฎฺฐาย คณฺหโวฺห, หตฺถา เม นตฺถิ ทาตเว’’ติฯ

    Sayaṃ uṭṭhāya gaṇhavho, hatthā me natthi dātave’’ti.

    ตตฺถ ปฎินนฺทิตฺถาติ ราชานํ ทิสฺวาว ตุสฺสิฯ โลหิตตุณฺฑโกติ รตฺตตุโณฺฑ โสภคฺคปฺปโตฺต ฯ มธุเกติ มธุกผลานิฯ กาสุมาริโยติ เอวํนามกานิ ผลานิ, การผลานิ วาฯ ตโต ปิวาติ ตโต ปานียมาฬโต คเหตฺวา ปานียํ ปิวฯ เย อสฺมิํ ปริจารกาติ มหาราช, เย อิมสฺมิํ อสฺสเม วิจรณกา อิสโย, เต อรญฺญํ อุญฺฉาย คตาฯ คณฺหโวฺหติ ผลาผลานิ คณฺหถฯ ทาตเวติ ทาตุํฯ

    Tattha paṭinanditthāti rājānaṃ disvāva tussi. Lohitatuṇḍakoti rattatuṇḍo sobhaggappatto . Madhuketi madhukaphalāni. Kāsumāriyoti evaṃnāmakāni phalāni, kāraphalāni vā. Tato pivāti tato pānīyamāḷato gahetvā pānīyaṃ piva. Ye asmiṃ paricārakāti mahārāja, ye imasmiṃ assame vicaraṇakā isayo, te araññaṃ uñchāya gatā. Gaṇhavhoti phalāphalāni gaṇhatha. Dātaveti dātuṃ.

    ราชา ตสฺส ปฎิสนฺถาเร ปสีทิตฺวา คาถาทฺวยมาห –

    Rājā tassa paṭisanthāre pasīditvā gāthādvayamāha –

    ๑๗๔.

    174.

    ‘‘ภทฺทโก วตยํ ปกฺขี, ทิโช ปรมธมฺมิโก;

    ‘‘Bhaddako vatayaṃ pakkhī, dijo paramadhammiko;

    อเถโส อิตโร ปกฺขี, สุโว ลุทฺทานิ ภาสติฯ

    Atheso itaro pakkhī, suvo luddāni bhāsati.

    ๑๗๕.

    175.

    ‘‘‘เอตํ หนถ พนฺธถ, มา โว มุญฺจิตฺถ ชีวตํ’;

    ‘‘‘Etaṃ hanatha bandhatha, mā vo muñcittha jīvataṃ’;

    อิเจฺจวํ วิลปนฺตสฺส, โสตฺถิํ ปโตฺตสฺมิ อสฺสม’’นฺติฯ

    Iccevaṃ vilapantassa, sotthiṃ pattosmi assama’’nti.

    ตตฺถ อิตโรติ โจรกุฎิยํ สุวโกฯ อิเจฺจวนฺติ อหํ ปน ตสฺส เอวํ วิลปนฺตเสฺสว อิมํ อสฺสมํ โสตฺถินา ปโตฺตฯ

    Tattha itaroti corakuṭiyaṃ suvako. Iccevanti ahaṃ pana tassa evaṃ vilapantasseva imaṃ assamaṃ sotthinā patto.

    รโญฺญ กถํ สุตฺวา ปุปฺผโก เทฺว คาถา อภาสิ –

    Rañño kathaṃ sutvā pupphako dve gāthā abhāsi –

    ๑๗๖.

    176.

    ‘‘ภาตโรสฺม มหาราช, โสทริยา เอกมาตุกา;

    ‘‘Bhātarosma mahārāja, sodariyā ekamātukā;

    เอกรุกฺขสฺมิํ สํวฑฺฒา, นานาเขตฺตคตา อุโภฯ

    Ekarukkhasmiṃ saṃvaḍḍhā, nānākhettagatā ubho.

    ๑๗๗.

    177.

    ‘‘สตฺติคุโมฺพ จ โจรานํ, อหญฺจ อิสินํ อิธ;

    ‘‘Sattigumbo ca corānaṃ, ahañca isinaṃ idha;

    อสตํ โส, สตํ อหํ, เตน ธเมฺมน โน วินา’’ติฯ

    Asataṃ so, sataṃ ahaṃ, tena dhammena no vinā’’ti.

    ตตฺถ ภาตโรสฺมาติ มหาราช, โส จ อหญฺจ อุโภ ภาตโร โหมฯ โจรานนฺติ โส โจรานํ สนฺติเก สํวโฑฺฒ, อหํ อิสีนํ สนฺติเก ฯ อสตํ โส, สตํ อหนฺติ โส อสาธูนํ ทุสฺสีลานํ สนฺติกํ อุปคโต, อหํ สาธูนํ สีลวนฺตานํฯ เตน ธเมฺมน โน วินาติ มหาราช, ตํ สตฺติคุมฺพํ โจรา โจรธเมฺมน โจรกิริยาย วิเนสุํ, มํ อิสโย อิสิธเมฺมน อิสิสีลาจาเรน, ตสฺมา โสปิ เตน โจรธเมฺมน โน วินา โหติ, อหมฺปิ อิสิธเมฺมน โน วินา โหมีติฯ

    Tattha bhātarosmāti mahārāja, so ca ahañca ubho bhātaro homa. Corānanti so corānaṃ santike saṃvaḍḍho, ahaṃ isīnaṃ santike . Asataṃ so, sataṃ ahanti so asādhūnaṃ dussīlānaṃ santikaṃ upagato, ahaṃ sādhūnaṃ sīlavantānaṃ. Tena dhammena no vināti mahārāja, taṃ sattigumbaṃ corā coradhammena corakiriyāya vinesuṃ, maṃ isayo isidhammena isisīlācārena, tasmā sopi tena coradhammena no vinā hoti, ahampi isidhammena no vinā homīti.

    อิทานิ ตํ ธมฺมํ วิภชโนฺต คาถาทฺวยมาห –

    Idāni taṃ dhammaṃ vibhajanto gāthādvayamāha –

    ๑๗๘.

    178.

    ‘‘ตตฺถ วโธ จ พโนฺธ จ, นิกตี วญฺจนานิ จ;

    ‘‘Tattha vadho ca bandho ca, nikatī vañcanāni ca;

    อาโลปา สาหสาการา, ตานิ โส ตตฺถ สิกฺขติฯ

    Ālopā sāhasākārā, tāni so tattha sikkhati.

    ๑๗๙.

    179.

    ‘‘อิธ สจฺจญฺจ ธโมฺม จ, อหิํสา สํยโม ทโม;

    ‘‘Idha saccañca dhammo ca, ahiṃsā saṃyamo damo;

    อาสนูทกทายีนํ, อเงฺก วโทฺธสฺมิ ภารธา’’ติฯ

    Āsanūdakadāyīnaṃ, aṅke vaddhosmi bhāradhā’’ti.

    ตตฺถ นิกตีติ ปติรูปเกน วญฺจนาฯ วญฺจนานีติ อุชุกวญฺจนาเนวฯ อาโลปาติ ทิวา คามฆาตาฯ สาหสาการาติ เคหํ ปวิสิตฺวา มรเณน ตเชฺชตฺวา สาหสิกกมฺมกรณานิฯ สจฺจนฺติ สภาโวฯ ธโมฺมติ สุจริตธโมฺมฯ อหิํสาติ เมตฺตาปุพฺพภาโคฯ สํยโมติ สีลสํยโมฯ ทโมติ อินฺทฺริยทมนํฯ อาสนูทกทายีนนฺติ อพฺภาคตานํ อาสนญฺจ อุทกญฺจ ทานสีลานํฯ ภารธาติ ราชานํ อาลปติฯ

    Tattha nikatīti patirūpakena vañcanā. Vañcanānīti ujukavañcanāneva. Ālopāti divā gāmaghātā. Sāhasākārāti gehaṃ pavisitvā maraṇena tajjetvā sāhasikakammakaraṇāni. Saccanti sabhāvo. Dhammoti sucaritadhammo. Ahiṃsāti mettāpubbabhāgo. Saṃyamoti sīlasaṃyamo. Damoti indriyadamanaṃ. Āsanūdakadāyīnanti abbhāgatānaṃ āsanañca udakañca dānasīlānaṃ. Bhāradhāti rājānaṃ ālapati.

    อิทานิ รโญฺญ ธมฺมํ เทเสโนฺต อิมา คาถา อภาสิ –

    Idāni rañño dhammaṃ desento imā gāthā abhāsi –

    ๑๘๐.

    180.

    ‘‘ยํ ยญฺหิ ราช ภชติ, สนฺตํ วา ยทิ วา อสํ;

    ‘‘Yaṃ yañhi rāja bhajati, santaṃ vā yadi vā asaṃ;

    สีลวนฺตํ วิสีลํ วา, วสํ ตเสฺสว คจฺฉติฯ

    Sīlavantaṃ visīlaṃ vā, vasaṃ tasseva gacchati.

    ๑๘๑.

    181.

    ‘‘ยาทิสํ กุรุเต มิตฺตํ, ยาทิสํ จูปเสวติ;

    ‘‘Yādisaṃ kurute mittaṃ, yādisaṃ cūpasevati;

    โสปิ ตาทิสโก โหติ, สหวาโส หิ ตาทิโสฯ

    Sopi tādisako hoti, sahavāso hi tādiso.

    ๑๘๒.

    182.

    ‘‘เสวมาโน เสวมานํ, สมฺผุโฎฺฐ สมฺผุสํ ปรํ;

    ‘‘Sevamāno sevamānaṃ, samphuṭṭho samphusaṃ paraṃ;

    สโร ทิโทฺธ กลาปํว, อลิตฺตมุปลิมฺปติ;

    Saro diddho kalāpaṃva, alittamupalimpati;

    อุปเลปภยา ธีโร, เนว ปาปสขา สิยาฯ

    Upalepabhayā dhīro, neva pāpasakhā siyā.

    ๑๘๓.

    183.

    ‘‘ปูติมจฺฉํ กุสเคฺคน, โย นโร อุปนยฺหติ;

    ‘‘Pūtimacchaṃ kusaggena, yo naro upanayhati;

    กุสาปิ ปูติ วายนฺติ, เอวํ พาลูปเสวนาฯ

    Kusāpi pūti vāyanti, evaṃ bālūpasevanā.

    ๑๘๔.

    184.

    ‘‘ตครญฺจ ปลาเสน, โย นโร อุปนยฺหติ;

    ‘‘Tagarañca palāsena, yo naro upanayhati;

    ปตฺตาปิ สุรภิ วายนฺติ, เอวํ ธีรูปเสวนาฯ

    Pattāpi surabhi vāyanti, evaṃ dhīrūpasevanā.

    ๑๘๕.

    185.

    ‘‘ตสฺมา ปตฺตปุฎเสฺสว, ญตฺวา สมฺปากมตฺตโน;

    ‘‘Tasmā pattapuṭasseva, ñatvā sampākamattano;

    อสเนฺต โนปเสเวยฺย, สเนฺต เสเวยฺย ปณฺฑิโต;

    Asante nopaseveyya, sante seveyya paṇḍito;

    อสโนฺต นิรยํ เนนฺติ, สโนฺต ปาเปนฺติ สุคฺคติ’’นฺติฯ

    Asanto nirayaṃ nenti, santo pāpenti suggati’’nti.

    ตตฺถ สนฺตํ วา ยทิ วา อสนฺติ สปฺปุริสํ วา อสปฺปุริสํ วาฯ เสวมาโน เสวมานนฺติ เสวิยมาโน อาจริโย เสวมานํ อเนฺตวาสิกํฯ สมฺผุโฎฺฐติ อเนฺตวาสินา วา ผุโฎฺฐ อาจริโยฯ สมฺผุสํ ปรนฺติ ปรํ อาจริยํ สมฺผุสโนฺต อเนฺตวาสี วาฯ อลิตฺตนฺติ ตํ อเนฺตวาสิกํ ปาปธเมฺมน อลิตฺตํ โส อาจริโย วิสทิโทฺธ สโร เสสํ สรกลาปํ วิย ลิมฺปติฯ เอวํ พาลูปเสวนาติ พาลูปเสวี หิ ปูติมจฺฉํ อุปนยฺหนกุสคฺคํ วิย โหติ, ปาปกมฺมํ อกโรโนฺตปิ อวณฺณํ อกิตฺติํ ลภติฯ ธีรูปเสวนาติ ธีรูปเสวี ปุคฺคโล ตคราทิคนฺธชาติปลิเวฐนปตฺตํ วิย โหติ, ปณฺฑิโต ภวิตุํ อสโกฺกโนฺตปิ กลฺยาณมิตฺตเสวี คุณกิตฺติํ ลภติฯ ปตฺตปุฎเสฺสวาติ ทุคฺคนฺธสุคนฺธปลิเวฐนปณฺณเสฺสวฯ สมฺปากมตฺตโนติ กลฺยาณมิตฺตสํสคฺควเสน อตฺตโน ปริปากํ ปริภาวนํ ญตฺวาติ อโตฺถฯ ปาเปนฺติ สุคฺคตินฺติ สโนฺต สมฺมาทิฎฺฐิกา อตฺตานํ นิสฺสิเต สเตฺต สคฺคเมว ปาเปนฺตีติ เทสนํ ยถานุสนฺธิเมว ปาเปสิฯ

    Tattha santaṃ vā yadi vā asanti sappurisaṃ vā asappurisaṃ vā. Sevamāno sevamānanti seviyamāno ācariyo sevamānaṃ antevāsikaṃ. Samphuṭṭhoti antevāsinā vā phuṭṭho ācariyo. Samphusaṃ paranti paraṃ ācariyaṃ samphusanto antevāsī vā. Alittanti taṃ antevāsikaṃ pāpadhammena alittaṃ so ācariyo visadiddho saro sesaṃ sarakalāpaṃ viya limpati. Evaṃ bālūpasevanāti bālūpasevī hi pūtimacchaṃ upanayhanakusaggaṃ viya hoti, pāpakammaṃ akarontopi avaṇṇaṃ akittiṃ labhati. Dhīrūpasevanāti dhīrūpasevī puggalo tagarādigandhajātipaliveṭhanapattaṃ viya hoti, paṇḍito bhavituṃ asakkontopi kalyāṇamittasevī guṇakittiṃ labhati. Pattapuṭassevāti duggandhasugandhapaliveṭhanapaṇṇasseva. Sampākamattanoti kalyāṇamittasaṃsaggavasena attano paripākaṃ paribhāvanaṃ ñatvāti attho. Pāpenti suggatinti santo sammādiṭṭhikā attānaṃ nissite satte saggameva pāpentīti desanaṃ yathānusandhimeva pāpesi.

    ราชา ตสฺส ธมฺมกถาย ปสีทิ, อิสิคโณปิ อาคโตฯ ราชา อิสโย วนฺทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, มํ อนุกมฺปมานา มม วสนฎฺฐาเน วสถา’’ติ วตฺวา เตสํ ปฎิญฺญํ คเหตฺวา นครํ คนฺตฺวา สุวานํ อภยํ อทาสิฯ อิสโยปิ ตตฺถ อคมํสุฯ ราชา อิสิคณํ อุยฺยาเน วสาเปโนฺต ยาวชีวํ อุปฎฺฐหิตฺวา สคฺคปุรํ ปูเรสิฯ อถสฺส ปุโตฺตปิ ฉตฺตํ อุสฺสาเปโนฺต อิสิคณํ ปฎิชคฺคิเยวาติ ตสฺมิํ กุลปริวเฎฺฎ สตฺต ราชาโน อิสิคณสฺส ทานํ ปวตฺตยิํสุฯ มหาสโตฺต อรเญฺญ วสโนฺตเยว ยถากมฺมํ คโตฯ

    Rājā tassa dhammakathāya pasīdi, isigaṇopi āgato. Rājā isayo vanditvā ‘‘bhante, maṃ anukampamānā mama vasanaṭṭhāne vasathā’’ti vatvā tesaṃ paṭiññaṃ gahetvā nagaraṃ gantvā suvānaṃ abhayaṃ adāsi. Isayopi tattha agamaṃsu. Rājā isigaṇaṃ uyyāne vasāpento yāvajīvaṃ upaṭṭhahitvā saggapuraṃ pūresi. Athassa puttopi chattaṃ ussāpento isigaṇaṃ paṭijaggiyevāti tasmiṃ kulaparivaṭṭe satta rājāno isigaṇassa dānaṃ pavattayiṃsu. Mahāsatto araññe vasantoyeva yathākammaṃ gato.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘เอวํ, ภิกฺขเว, ปุเพฺพปิ เทวทโตฺต ปาโป ปาปปริวาโรเยวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา สตฺติคุโมฺพ เทวทโตฺต อโหสิ, โจรา เทวทตฺตปริสา , ราชา อานโนฺท, อิสิคณา พุทฺธปริสา, ปุปฺผกสุโว ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘evaṃ, bhikkhave, pubbepi devadatto pāpo pāpaparivāroyevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā sattigumbo devadatto ahosi, corā devadattaparisā , rājā ānando, isigaṇā buddhaparisā, pupphakasuvo pana ahameva ahosi’’nti.

    สตฺติคุมฺพชาตกวณฺณนา สตฺตมาฯ

    Sattigumbajātakavaṇṇanā sattamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๐๓. สตฺติคุมฺพชาตกํ • 503. Sattigumbajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact