Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๐๒] ๗. สตฺตุภสฺตชาตกวณฺณนา
[402] 7. Sattubhastajātakavaṇṇanā
วิพฺภนฺตจิโตฺตติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อตฺตโน ปญฺญาปารมิํ อารพฺภ กเถสิฯ ปจฺจุปฺปนฺนวตฺถุ อุมงฺคชาตเก (ชา. ๒.๒๒.๕๙๐ อาทโย) อาวิ ภวิสฺสติฯ
Vibbhantacittoti idaṃ satthā jetavane viharanto attano paññāpāramiṃ ārabbha kathesi. Paccuppannavatthu umaṅgajātake (jā. 2.22.590 ādayo) āvi bhavissati.
อตีเต พาราณสิยํ ชนโก นาม ราชา รชฺชํ กาเรสิฯ ตทา โพธิสโตฺต พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติ , เสนกกุมาโรติสฺส นามํ กริํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคณฺหิตฺวา พาราณสิํ ปจฺจาคนฺตฺวา ราชานํ ปสฺสิ, ราชา ตํ อมจฺจฎฺฐาเน ฐเปสิ, มหนฺตญฺจสฺส ยสํ อนุปฺปทาสิ ฯ โส รโญฺญ อตฺถญฺจ ธมฺมญฺจ อนุสาสิ, มธุรกโถ ธมฺมกถิโก หุตฺวา ราชานํ ปญฺจสุ สีเลสุ ปติฎฺฐาเปตฺวา ทาเน อุโปสถกเมฺม ทสสุ กุสลกมฺมปเถสูติ อิมาย กลฺยาณปฎิปทาย ปติฎฺฐาเปสิ , สกลรเฎฺฐ พุทฺธานํ อุปฺปนฺนกาโล วิย อโหสิฯ ปกฺขทิวเสสุ ราชา จ อุปราชาทโย จ สเพฺพ สนฺนิปติตฺวา ธมฺมสภํ สเชฺชนฺติฯ มหาสโตฺต สชฺชิตธมฺมสภายํ รตนปลฺลงฺกวรคโต พุทฺธลีฬาย ธมฺมํ เทเสติ, พุทฺธานํ ธมฺมกถาสทิสาวสฺส กถา โหติฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ janako nāma rājā rajjaṃ kāresi. Tadā bodhisatto brāhmaṇakule nibbatti , senakakumārotissa nāmaṃ kariṃsu. So vayappatto takkasilāyaṃ sabbasippāni uggaṇhitvā bārāṇasiṃ paccāgantvā rājānaṃ passi, rājā taṃ amaccaṭṭhāne ṭhapesi, mahantañcassa yasaṃ anuppadāsi . So rañño atthañca dhammañca anusāsi, madhurakatho dhammakathiko hutvā rājānaṃ pañcasu sīlesu patiṭṭhāpetvā dāne uposathakamme dasasu kusalakammapathesūti imāya kalyāṇapaṭipadāya patiṭṭhāpesi , sakalaraṭṭhe buddhānaṃ uppannakālo viya ahosi. Pakkhadivasesu rājā ca uparājādayo ca sabbe sannipatitvā dhammasabhaṃ sajjenti. Mahāsatto sajjitadhammasabhāyaṃ ratanapallaṅkavaragato buddhalīḷāya dhammaṃ deseti, buddhānaṃ dhammakathāsadisāvassa kathā hoti.
อถ อญฺญตโร มหลฺลกพฺราหฺมโณ ธนภิกฺขํ จริตฺวา กหาปณสหสฺสํ ลภิตฺวา เอกสฺมิํ พฺราหฺมณกุเล นิกฺขิปิตฺวา ปุน ‘‘ภิกฺขํ จริสฺสามี’’ติ คโตฯ ตสฺส คตกาเล ตํ กุลํ กหาปเณ วฬเญฺชสิฯ โส อาคนฺตฺวา กหาปเณ อาหราเปสิฯ พฺราหฺมโณ กหาปเณ ทาตุํ อสโกฺกโนฺต อตฺตโน ธีตรํ ตสฺส ปาทปริจาริกํ กตฺวา อทาสิฯ พฺราหฺมโณ ตํ คเหตฺวา พาราณสิโต อวิทูเร เอกสฺมิํ พฺราหฺมณคาเม วาสํ กเปฺปสิฯ อถสฺส ภริยา ทหรตาย กาเมสุ อติตฺตา อเญฺญน ตรุณพฺราหฺมเณน สทฺธิํ มิจฺฉาจารํ จริฯ โสฬส หิ อตปฺปนียวตฺถูนิ นามฯ กตมานิ โสฬส? สาคโร สพฺพสวนฺตีหิ น ตปฺปติ, อคฺคิ อุปาทาเนน น ตปฺปติ, ราชา รเฎฺฐน น ตปฺปติ, พาโล ปาเปหิ น ตปฺปติ, อิตฺถี เมถุนธเมฺมน อลงฺกาเรน วิชายเนนาติ อิเมหิ ตีหิ น ตปฺปติ, พฺราหฺมโณ มเนฺตหิ น ตปฺปติ, ฌายี วิหารสมาปตฺติยา น ตปฺปติ, เสโกฺข อปจเยน น ตปฺปติ, อปฺปิโจฺฉ ธุตงฺคคุเณน น ตปฺปติ, อารทฺธวีริโย วีริยารเมฺภน น ตปฺปติ, ธมฺมกถิโก สากจฺฉาย น ตปฺปติ, วิสารโท ปริสาย น ตปฺปติ, สโทฺธ สงฺฆุปฎฺฐาเนน น ตปฺปติ, ทายโก ปริจฺจาเคน น ตปฺปติ, ปณฺฑิโต ธมฺมสฺสวเนน น ตปฺปติ, จตโสฺส ปริสา ตถาคตทสฺสเนน น ตปฺปนฺตีติฯ
Atha aññataro mahallakabrāhmaṇo dhanabhikkhaṃ caritvā kahāpaṇasahassaṃ labhitvā ekasmiṃ brāhmaṇakule nikkhipitvā puna ‘‘bhikkhaṃ carissāmī’’ti gato. Tassa gatakāle taṃ kulaṃ kahāpaṇe vaḷañjesi. So āgantvā kahāpaṇe āharāpesi. Brāhmaṇo kahāpaṇe dātuṃ asakkonto attano dhītaraṃ tassa pādaparicārikaṃ katvā adāsi. Brāhmaṇo taṃ gahetvā bārāṇasito avidūre ekasmiṃ brāhmaṇagāme vāsaṃ kappesi. Athassa bhariyā daharatāya kāmesu atittā aññena taruṇabrāhmaṇena saddhiṃ micchācāraṃ cari. Soḷasa hi atappanīyavatthūni nāma. Katamāni soḷasa? Sāgaro sabbasavantīhi na tappati, aggi upādānena na tappati, rājā raṭṭhena na tappati, bālo pāpehi na tappati, itthī methunadhammena alaṅkārena vijāyanenāti imehi tīhi na tappati, brāhmaṇo mantehi na tappati, jhāyī vihārasamāpattiyā na tappati, sekkho apacayena na tappati, appiccho dhutaṅgaguṇena na tappati, āraddhavīriyo vīriyārambhena na tappati, dhammakathiko sākacchāya na tappati, visārado parisāya na tappati, saddho saṅghupaṭṭhānena na tappati, dāyako pariccāgena na tappati, paṇḍito dhammassavanena na tappati, catasso parisā tathāgatadassanena na tappantīti.
สาปิ พฺราหฺมณี เมถุนธเมฺมน, อติตฺตา ตํ พฺราหฺมณํ นีหริตฺวา วิสฺสตฺถา ปาปกมฺมํ กาตุกามา หุตฺวา เอกทิวสํ ทุมฺมนา นิปชฺชิตฺวา ‘‘กิํ โภตี’’ติ วุตฺตา ‘‘พฺราหฺมณ, อหํ ตว เคเห กมฺมํ กาตุํ น สโกฺกมิ, ทาสิทาสํ อาเนหี’’ติ อาหฯ ‘‘โภติ ธนํ เม นตฺถิ, กิํ ทตฺวา อาเนมี’’ติฯ ‘‘ภิกฺขํ จริตฺวา ธนํ ปริเยสิตฺวา อาเนหี’’ติฯ ‘‘เตน หิ โภติ ปาเถยฺยํ เม สเชฺชหี’’ติฯ ‘‘สา ตสฺส พทฺธสตฺตูนญฺจ อพทฺธสตฺตูนญฺจ จมฺมปสิพฺพกํ ปูเรตฺวา อทาสิ’’ฯ พฺราหฺมโณ คามนิคมราชธานีสุ จรโนฺต สตฺต กหาปณสตานิ ลภิตฺวา ‘‘อลํ เม เอตฺตกํ ธนํ ทาสิทาสมูลายา’’ติ นิวตฺติตฺวา อตฺตโน คามํ อาคจฺฉโนฺต เอกสฺมิํ อุทกผาสุกฎฺฐาเน ปสิพฺพกํ มุญฺจิตฺวา สตฺตุํ ขาทิตฺวา ปสิพฺพกมุขํ อพนฺธิตฺวาว ปานียํ ปิวิตุํ โอติโณฺณฯ อเถกสฺมิํ รุกฺขสุสิเร เอโก กณฺหสโปฺป สตฺตุคนฺธํ ฆายิตฺวา ปสิพฺพกํ ปวิสิตฺวา โภคํ อาภุชิตฺวา สตฺตุํ ขาทโนฺต นิปชฺชิฯ พฺราหฺมโณ อาคนฺตฺวา ปสิพฺพกสฺส อพฺภนฺตรํ อโนโลเกตฺวา ปสิพฺพกํ พนฺธิตฺวา อํเส กตฺวา ปายาสิฯ อนฺตรามเคฺค เอกสฺมิํ รุเกฺข นิพฺพตฺตเทวตา ขนฺธวิฎเป ฐตฺวา ‘‘พฺราหฺมณ, สเจ อนฺตรามเคฺค วสิสฺสสิ, สยํ มริสฺสสิ, สเจ อชฺช ฆรํ คมิสฺสสิ, ภริยา เต มริสฺสตี’’ติ วตฺวา อนฺตรธายิฯ โส โอโลเกโนฺต เทวตํ อทิสฺวา ภีโต มรณภยตชฺชิโต โรทโนฺต ปริเทวโนฺต พาราณสินครทฺวารํ สมฺปาปุณิฯ
Sāpi brāhmaṇī methunadhammena, atittā taṃ brāhmaṇaṃ nīharitvā vissatthā pāpakammaṃ kātukāmā hutvā ekadivasaṃ dummanā nipajjitvā ‘‘kiṃ bhotī’’ti vuttā ‘‘brāhmaṇa, ahaṃ tava gehe kammaṃ kātuṃ na sakkomi, dāsidāsaṃ ānehī’’ti āha. ‘‘Bhoti dhanaṃ me natthi, kiṃ datvā ānemī’’ti. ‘‘Bhikkhaṃ caritvā dhanaṃ pariyesitvā ānehī’’ti. ‘‘Tena hi bhoti pātheyyaṃ me sajjehī’’ti. ‘‘Sā tassa baddhasattūnañca abaddhasattūnañca cammapasibbakaṃ pūretvā adāsi’’. Brāhmaṇo gāmanigamarājadhānīsu caranto satta kahāpaṇasatāni labhitvā ‘‘alaṃ me ettakaṃ dhanaṃ dāsidāsamūlāyā’’ti nivattitvā attano gāmaṃ āgacchanto ekasmiṃ udakaphāsukaṭṭhāne pasibbakaṃ muñcitvā sattuṃ khāditvā pasibbakamukhaṃ abandhitvāva pānīyaṃ pivituṃ otiṇṇo. Athekasmiṃ rukkhasusire eko kaṇhasappo sattugandhaṃ ghāyitvā pasibbakaṃ pavisitvā bhogaṃ ābhujitvā sattuṃ khādanto nipajji. Brāhmaṇo āgantvā pasibbakassa abbhantaraṃ anoloketvā pasibbakaṃ bandhitvā aṃse katvā pāyāsi. Antarāmagge ekasmiṃ rukkhe nibbattadevatā khandhaviṭape ṭhatvā ‘‘brāhmaṇa, sace antarāmagge vasissasi, sayaṃ marissasi, sace ajja gharaṃ gamissasi, bhariyā te marissatī’’ti vatvā antaradhāyi. So olokento devataṃ adisvā bhīto maraṇabhayatajjito rodanto paridevanto bārāṇasinagaradvāraṃ sampāpuṇi.
ตทา จ ปนฺนรสุโปสโถ โหติ อลงฺกตธมฺมาสเน นิสีทิตฺวา โพธิสตฺตสฺส ธมฺมกถนทิวโสฯ มหาชโน นานาคนฺธปุปฺผาทิหโตฺถ วคฺควโคฺค หุตฺวา ธมฺมิํ กถํ โสตุํ คจฺฉติฯ พฺราหฺมโณ ตํ ทิสฺวา ‘‘กหํ คจฺฉถา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘พฺราหฺมณ, อชฺช เสนกปณฺฑิโต มธุรสฺสเรน พุทฺธลีฬาย ธมฺมํ เทเสติ, กิํ ตฺวมฺปิ น ชานาสี’’ติ วุเตฺต จิเนฺตสิ ‘‘ปณฺฑิโต กิร ธมฺมกถิโก, อหญฺจมฺหิ มรณภยตชฺชิโต, ปณฺฑิตา โข ปน มหนฺตมฺปิ โสกํ หริตุํ สโกฺกนฺติ, มยาปิ ตตฺถ คนฺตฺวา ธมฺมํ โสตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส เตหิ สทฺธิํ ตตฺถ คนฺตฺวา มหาสตฺตํ ปริวาเรตฺวา นิสินฺนาย สราชิกาย ปริสาย ปริยเนฺต สตฺตุปสิพฺพเกน ขนฺธคเตน ธมฺมาสนโต อวิทูเร มรณภยตชฺชิโต โรทมาโน อฎฺฐาสิฯ มหาสโตฺต อากาสคงฺคํ โอตรโนฺต วิย อมตวสฺสํ วเสฺสโนฺต วิย จ ธมฺมํ เทเสสิฯ มหาชโน สญฺชาตโสมนโสฺส สาธุการํ ทตฺวา ธมฺมํ อโสฺสสิฯ
Tadā ca pannarasuposatho hoti alaṅkatadhammāsane nisīditvā bodhisattassa dhammakathanadivaso. Mahājano nānāgandhapupphādihattho vaggavaggo hutvā dhammiṃ kathaṃ sotuṃ gacchati. Brāhmaṇo taṃ disvā ‘‘kahaṃ gacchathā’’ti pucchitvā ‘‘brāhmaṇa, ajja senakapaṇḍito madhurassarena buddhalīḷāya dhammaṃ deseti, kiṃ tvampi na jānāsī’’ti vutte cintesi ‘‘paṇḍito kira dhammakathiko, ahañcamhi maraṇabhayatajjito, paṇḍitā kho pana mahantampi sokaṃ harituṃ sakkonti, mayāpi tattha gantvā dhammaṃ sotuṃ vaṭṭatī’’ti. So tehi saddhiṃ tattha gantvā mahāsattaṃ parivāretvā nisinnāya sarājikāya parisāya pariyante sattupasibbakena khandhagatena dhammāsanato avidūre maraṇabhayatajjito rodamāno aṭṭhāsi. Mahāsatto ākāsagaṅgaṃ otaranto viya amatavassaṃ vassento viya ca dhammaṃ desesi. Mahājano sañjātasomanasso sādhukāraṃ datvā dhammaṃ assosi.
ปณฺฑิตา จ นาม ทิสาจกฺขุกา โหนฺติฯ ตสฺมิํ ขเณ มหาสโตฺต ปสนฺนปญฺจปสาทานิ อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา สมนฺตโต ปริสํ โอโลเกโนฺต ตํ พฺราหฺมณํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘เอตฺตกา ปริสา โสมนสฺสชาตา สาธุการํ ทตฺวา ธมฺมํ สุณนฺติ, อยํ ปเนโก พฺราหฺมโณ โทมนสฺสปฺปโตฺต โรทติ, เอตสฺส อพฺภนฺตเร อสฺสุชนนสมเตฺถน โสเกน ภวิตพฺพํ, ตมสฺส อมฺพิเลน ปหริตฺวา ตมฺพมลํ วิย ปทุมปลาสโต อุทกพินฺทุํ วิย วินิวเตฺตตฺวา เอเตฺถว นํ นิโสฺสกํ ตุฎฺฐมานสํ กตฺวา ธมฺมํ เทเสสฺสามี’’ติฯ โส ตํ อามเนฺตตฺวา ‘‘พฺราหฺมณ, เสนกปณฺฑิโต นามาหํ, อิทาเนว ตํ นิโสฺสกํ กริสฺสามิ, วิสฺสโตฺถ กเถหี’’ติ เตน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ปฐมํ คาถมาห –
Paṇḍitā ca nāma disācakkhukā honti. Tasmiṃ khaṇe mahāsatto pasannapañcapasādāni akkhīni ummīletvā samantato parisaṃ olokento taṃ brāhmaṇaṃ disvā cintesi ‘‘ettakā parisā somanassajātā sādhukāraṃ datvā dhammaṃ suṇanti, ayaṃ paneko brāhmaṇo domanassappatto rodati, etassa abbhantare assujananasamatthena sokena bhavitabbaṃ, tamassa ambilena paharitvā tambamalaṃ viya padumapalāsato udakabinduṃ viya vinivattetvā ettheva naṃ nissokaṃ tuṭṭhamānasaṃ katvā dhammaṃ desessāmī’’ti. So taṃ āmantetvā ‘‘brāhmaṇa, senakapaṇḍito nāmāhaṃ, idāneva taṃ nissokaṃ karissāmi, vissattho kathehī’’ti tena saddhiṃ sallapanto paṭhamaṃ gāthamāha –
๔๖.
46.
‘‘วิพฺภนฺตจิโตฺต กุปิตินฺทฺริโยสิ, เนเตฺตหิ เต วาริคณา สวนฺติ;
‘‘Vibbhantacitto kupitindriyosi, nettehi te vārigaṇā savanti;
กิํ เต นฎฺฐํ กิํ ปน ปตฺถยาโน, อิธาคมา พฺรเหฺม ตทิงฺฆ พฺรูหี’’ติฯ
Kiṃ te naṭṭhaṃ kiṃ pana patthayāno, idhāgamā brahme tadiṅgha brūhī’’ti.
ตตฺถ กุปิตินฺทฺริโยสีติ จกฺขุนฺทฺริยเมว สนฺธาย ‘‘กุปิตินฺทฺริโยสี’’ติ อาหฯ วาริคณาติ อสฺสุพินฺทูนิฯ อิงฺฆาติ โจทนเตฺถ นิปาโตฯ ตญฺหิ มหาสโตฺต โจเทโนฺต เอวมาห ‘‘พฺราหฺมณ, สตฺตา นาม ทฺวีหิ การเณหิ โสจนฺติ ปริเทวนฺติ สตฺตสงฺขาเรสุ กิสฺมิญฺจิเทว ปิยชาติเก นเฎฺฐ วา, กิญฺจิเทว ปิยชาติกํ ปเตฺถตฺวา อลภนฺตา วาฯ ตตฺถ กิํ เต นฎฺฐํ, กิํ วา ปน ปตฺถยโนฺต ตฺวํ อิธ อาคโต, อิทํ เม ขิปฺปํ พฺรูหี’’ติฯ
Tattha kupitindriyosīti cakkhundriyameva sandhāya ‘‘kupitindriyosī’’ti āha. Vārigaṇāti assubindūni. Iṅghāti codanatthe nipāto. Tañhi mahāsatto codento evamāha ‘‘brāhmaṇa, sattā nāma dvīhi kāraṇehi socanti paridevanti sattasaṅkhāresu kismiñcideva piyajātike naṭṭhe vā, kiñcideva piyajātikaṃ patthetvā alabhantā vā. Tattha kiṃ te naṭṭhaṃ, kiṃ vā pana patthayanto tvaṃ idha āgato, idaṃ me khippaṃ brūhī’’ti.
อถสฺส อตฺตโน โสกการณํ กเถโนฺต พฺราหฺมโณ ทุติยํ คาถมาห –
Athassa attano sokakāraṇaṃ kathento brāhmaṇo dutiyaṃ gāthamāha –
๔๗.
47.
‘‘มิเยฺยถ ภริยา วชโต มมชฺช, อคจฺฉโต มรณมาห ยโกฺข;
‘‘Miyyetha bhariyā vajato mamajja, agacchato maraṇamāha yakkho;
เอเตน ทุเกฺขน ปเวธิโตสฺมิ, อกฺขาหิ เม เสนก เอตมตฺถ’’นฺติฯ
Etena dukkhena pavedhitosmi, akkhāhi me senaka etamattha’’nti.
ตตฺถ วชโตติ เคหํ คจฺฉนฺตสฺสฯ อคจฺฉโตติ อคจฺฉนฺตสฺสฯ ยโกฺขติ อนฺตรามเคฺค เอกา รุกฺขเทวตา เอวมาหาติ วทติฯ สา กิร เทวตา ‘‘ปสิพฺพเก เต พฺราหฺมณ, กณฺหสโปฺป’’ติ อนาจิกฺขนฺตี โพธิสตฺตสฺส ญาณานุภาวปฺปกาสนตฺถํ นาจิกฺขิฯ เอเตน ทุเกฺขนาติ คจฺฉโต ภริยาย มรณทุเกฺขน, อคจฺฉโต อตฺตโน มรณทุเกฺขน, เตนสฺมิ ปเวธิโต ฆฎฺฎิโต กมฺปิโตฯ เอตมตฺถนฺติ เอตํ การณํฯ เยน เม การเณน คจฺฉโต ภริยาย มรณํ, อคจฺฉโต อตฺตโน มรณํ โหติ, เอตํ เม การณํ อาจิกฺขาหีติ อโตฺถฯ
Tattha vajatoti gehaṃ gacchantassa. Agacchatoti agacchantassa. Yakkhoti antarāmagge ekā rukkhadevatā evamāhāti vadati. Sā kira devatā ‘‘pasibbake te brāhmaṇa, kaṇhasappo’’ti anācikkhantī bodhisattassa ñāṇānubhāvappakāsanatthaṃ nācikkhi. Etena dukkhenāti gacchato bhariyāya maraṇadukkhena, agacchato attano maraṇadukkhena, tenasmi pavedhito ghaṭṭito kampito. Etamatthanti etaṃ kāraṇaṃ. Yena me kāraṇena gacchato bhariyāya maraṇaṃ, agacchato attano maraṇaṃ hoti, etaṃ me kāraṇaṃ ācikkhāhīti attho.
มหาสโตฺต พฺราหฺมณสฺส วจนํ สุตฺวา สมุทฺทมตฺถเก ชาลํ ขิปโนฺต วิย ญาณชาลํ ปตฺถริตฺวา ‘‘อิเมสํ สตฺตานํ พหูนิ มรณการณานิฯ สมุเทฺท นิมุคฺคาปิ มรนฺติ, ตตฺถ วาฬมเจฺฉหิ คหิตาปิ, คงฺคาย ปติตาปิ, ตตฺถ สุสุมาเรหิ คหิตาปิ, รุกฺขโต ปติตาปิ, กณฺฎเกน วิทฺธาปิ, นานปฺปกาเรหิ อาวุเธหิ ปหฎาปิ, วิสํ ขาทิตฺวาปิ, อุพฺพนฺธิตฺวาปิ, ปปาเต ปติตาปิ, อติสีตาทีหิ วา นานปฺปกาเรหิ วา โรเคหิ อุปทฺทุตาปิ มรนฺติเยว, เอวํ พหูสุ มรณการเณสุ กตเรน นุ โข การเณน อเชฺชส พฺราหฺมโณ อนฺตรามเคฺค วสโนฺต สยํ มริสฺสติ, เคหมสฺส วชโต ภริยา มริสฺสตี’’ติ จิเนฺตสิฯ จิเนฺตโนฺต เอว พฺราหฺมณสฺส ขเนฺธ ปสิพฺพกํ ทิสฺวา ‘‘อิมสฺมิํ ปสิพฺพเก เอเกน สเปฺปน ปวิเฎฺฐน ภวิตพฺพํ, ปวิสโนฺต จ ปเนโส อิมสฺมิํ พฺราหฺมเณ ปาตราสสมเย สตฺตุํ ขาทิตฺวา ปสิพฺพกมุขํ อพนฺธิตฺวา ปานียํ ปาตุํ คเต สตฺตุคเนฺธน สโปฺป ปวิโฎฺฐ ภวิสฺสติฯ พฺราหฺมโณปิ ปานียํ ปิวิตฺวา อาคโต สปฺปสฺส ปวิฎฺฐภาวํ อชานิตฺวา ปสิพฺพกํ พนฺธิตฺวา อาทาย ปกฺกโนฺต ภวิสฺสติ, สจายํ อนฺตรามเคฺค วสโนฺต สายํ วสนฎฺฐาเน ‘‘สตฺตุํ ขาทิสฺสามี’’ติ ปสิพฺพกํ มุญฺจิตฺวา หตฺถํ ปเวเสสฺสติ , อถ นํ สโปฺป หเตฺถ ฑํสิตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปสฺสติ, อิทมสฺส อนฺตรามเคฺค วสนฺตสฺส มรณการณํฯ สเจ ปน เคหํ คเจฺฉยฺย, ปสิพฺพโก ภริยาย หตฺถคโต ภวิสฺสติ, สา ‘อโนฺตภณฺฑํ โอโลเกสฺสามี’’ติ ปสิพฺพกํ มุญฺจิตฺวา หตฺถํ ปเวเสสฺสติ, อถ นํ สโปฺป ฑํสิตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปสฺสติ, อิทมสฺส อชฺช เคหํ คตสฺส ภริยาย มรณการณ’’นฺติ อุปายโกสลฺลญาเณเนว อญฺญาสิฯ
Mahāsatto brāhmaṇassa vacanaṃ sutvā samuddamatthake jālaṃ khipanto viya ñāṇajālaṃ pattharitvā ‘‘imesaṃ sattānaṃ bahūni maraṇakāraṇāni. Samudde nimuggāpi maranti, tattha vāḷamacchehi gahitāpi, gaṅgāya patitāpi, tattha susumārehi gahitāpi, rukkhato patitāpi, kaṇṭakena viddhāpi, nānappakārehi āvudhehi pahaṭāpi, visaṃ khāditvāpi, ubbandhitvāpi, papāte patitāpi, atisītādīhi vā nānappakārehi vā rogehi upaddutāpi marantiyeva, evaṃ bahūsu maraṇakāraṇesu katarena nu kho kāraṇena ajjesa brāhmaṇo antarāmagge vasanto sayaṃ marissati, gehamassa vajato bhariyā marissatī’’ti cintesi. Cintento eva brāhmaṇassa khandhe pasibbakaṃ disvā ‘‘imasmiṃ pasibbake ekena sappena paviṭṭhena bhavitabbaṃ, pavisanto ca paneso imasmiṃ brāhmaṇe pātarāsasamaye sattuṃ khāditvā pasibbakamukhaṃ abandhitvā pānīyaṃ pātuṃ gate sattugandhena sappo paviṭṭho bhavissati. Brāhmaṇopi pānīyaṃ pivitvā āgato sappassa paviṭṭhabhāvaṃ ajānitvā pasibbakaṃ bandhitvā ādāya pakkanto bhavissati, sacāyaṃ antarāmagge vasanto sāyaṃ vasanaṭṭhāne ‘‘sattuṃ khādissāmī’’ti pasibbakaṃ muñcitvā hatthaṃ pavesessati , atha naṃ sappo hatthe ḍaṃsitvā jīvitakkhayaṃ pāpessati, idamassa antarāmagge vasantassa maraṇakāraṇaṃ. Sace pana gehaṃ gaccheyya, pasibbako bhariyāya hatthagato bhavissati, sā ‘antobhaṇḍaṃ olokessāmī’’ti pasibbakaṃ muñcitvā hatthaṃ pavesessati, atha naṃ sappo ḍaṃsitvā jīvitakkhayaṃ pāpessati, idamassa ajja gehaṃ gatassa bhariyāya maraṇakāraṇa’’nti upāyakosallañāṇeneva aññāsi.
อถสฺส เอตทโหสิ ‘‘อิมินา กณฺหสเปฺปน สูเรน นิพฺภเยน ภวิตพฺพํฯ อยญฺหิ พฺราหฺมณสฺส มหาผาสุกํ ปหรโนฺตปิ ปสิพฺพเก อตฺตโน จลนํ วา ผนฺทนํ วา น ทเสฺสติ, เอวรูปาย ปริสาย มเชฺฌปิ อตฺตโน อตฺถิภาวํ น ทเสฺสติ, ตสฺมา อิมินา กณฺหสเปฺปน สูเรน นิพฺภเยน ภวิตพฺพ’’นฺติฯ อิทมฺปิ โส อุปายโกสลฺลญาเณเนว ทิพฺพจกฺขุนา ปสฺสโนฺต วิย อญฺญาสิฯ เอวํ สราชิกาย ปริสาย มเชฺฌ สปฺปํ ปสิพฺพกํ ปวิสนฺตํ ทิสฺวา ฐิตปุริโส วิย มหาสโตฺต อุปายโกสลฺลญาเณเนว ปริจฺฉินฺทิตฺวา พฺราหฺมณสฺส ปญฺหํ กเถโนฺต ตติยํ คาถมาห –
Athassa etadahosi ‘‘iminā kaṇhasappena sūrena nibbhayena bhavitabbaṃ. Ayañhi brāhmaṇassa mahāphāsukaṃ paharantopi pasibbake attano calanaṃ vā phandanaṃ vā na dasseti, evarūpāya parisāya majjhepi attano atthibhāvaṃ na dasseti, tasmā iminā kaṇhasappena sūrena nibbhayena bhavitabba’’nti. Idampi so upāyakosallañāṇeneva dibbacakkhunā passanto viya aññāsi. Evaṃ sarājikāya parisāya majjhe sappaṃ pasibbakaṃ pavisantaṃ disvā ṭhitapuriso viya mahāsatto upāyakosallañāṇeneva paricchinditvā brāhmaṇassa pañhaṃ kathento tatiyaṃ gāthamāha –
๔๘.
48.
‘‘พหูนิ ฐานานิ วิจินฺตยิตฺวา, ยเมตฺถ วกฺขามิ ตเทว สจฺจํ;
‘‘Bahūni ṭhānāni vicintayitvā, yamettha vakkhāmi tadeva saccaṃ;
มญฺญามิ เต พฺราหฺมณ สตฺตุภสฺตํ, อชานโต กณฺหสโปฺป ปวิโฎฺฐ’’ติฯ
Maññāmi te brāhmaṇa sattubhastaṃ, ajānato kaṇhasappo paviṭṭho’’ti.
ตตฺถ พหูนิ ฐานานีติ พหูนิ การณานิฯ วิจินฺตยิตฺวาติ ปฎิวิชฺฌิตฺวา จินฺตาวเสน ปวตฺตปฎิเวโธ หุตฺวาฯ ยเมตฺถ วกฺขามีติ ยํ เต อหํ เอเตสุ การเณสุ เอตํ การณํ วกฺขามิฯ ตเทว สจฺจนฺติ ตเทว ตถํ ทิพฺพจกฺขุนา ทิสฺวา กถิตสทิสํ ภวิสฺสตีติ ทีเปติฯ มญฺญามีติ สลฺลเกฺขมิฯ สตฺตุภสฺตนฺติ สตฺตุปสิพฺพกํฯ อชานโตติ อชานนฺตเสฺสว เอโก กณฺหสโปฺป ปวิโฎฺฐติ มญฺญามีติฯ
Tattha bahūni ṭhānānīti bahūni kāraṇāni. Vicintayitvāti paṭivijjhitvā cintāvasena pavattapaṭivedho hutvā. Yamettha vakkhāmīti yaṃ te ahaṃ etesu kāraṇesu etaṃ kāraṇaṃ vakkhāmi. Tadeva saccanti tadeva tathaṃ dibbacakkhunā disvā kathitasadisaṃ bhavissatīti dīpeti. Maññāmīti sallakkhemi. Sattubhastanti sattupasibbakaṃ. Ajānatoti ajānantasseva eko kaṇhasappo paviṭṭhoti maññāmīti.
เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘อตฺถิ เต พฺราหฺมณ, เอตสฺมิํ ปสิพฺพเก สตฺตู’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อตฺถิ, ปณฺฑิตา’’ติฯ ‘‘อชฺช ปาตราสเวลาย สตฺตุํ ขาที’’ติ? ‘‘อาม, ปณฺฑิตา’’ติฯ ‘‘กตฺถ นิสีทิตฺวา’’ติ? ‘‘อรเญฺญ รุกฺขมูลสฺมิํ, ปณฺฑิตา’’ติฯ ‘‘สตฺตุํ ขาทิตฺวา ปานียํ ปาตุํ คจฺฉโนฺต ปสิพฺพกมุขํ พนฺธิ, น พนฺธี’’ติ? ‘‘น พนฺธิํ, ปณฺฑิตา’’ติฯ ‘‘ปานียํ ปิวิตฺวา อาคโต ปสิพฺพกํ โอโลเกตฺวา พนฺธี’’ติฯ ‘‘อโนโลเกตฺวาว พนฺธิํ, ปณฺฑิตา’’ติฯ ‘‘พฺราหฺมณ, ตว ปานียํ ปาตุํ คตกาเล อชานนฺตเสฺสว เต สตฺตุคเนฺธน ปสิพฺพกํ สโปฺป ปวิโฎฺฐติ มญฺญามิ, เอวเมตฺถ อาคโต ตฺวํ, ตสฺมา ปสิพฺพกํ โอตาเรตฺวา ปริสมเชฺฌ ฐเปตฺวา ปสิพฺพกมุขํ โมเจตฺวา ปฎิกฺกมฺม ฐิโต เอกํ ทณฺฑกํ คเหตฺวา ปสิพฺพกํ ตาว ปหร, ตโต ปตฺถฎผณํ สุสูติสทฺทํ กตฺวา นิกฺขมนฺตํ กณฺหสปฺปํ ทิสฺวา นิกฺกโงฺข ภวิสฺสตี’’ติ จตุตฺถํ คาถมาห –
Evañca pana vatvā ‘‘atthi te brāhmaṇa, etasmiṃ pasibbake sattū’’ti pucchi. ‘‘Atthi, paṇḍitā’’ti. ‘‘Ajja pātarāsavelāya sattuṃ khādī’’ti? ‘‘Āma, paṇḍitā’’ti. ‘‘Kattha nisīditvā’’ti? ‘‘Araññe rukkhamūlasmiṃ, paṇḍitā’’ti. ‘‘Sattuṃ khāditvā pānīyaṃ pātuṃ gacchanto pasibbakamukhaṃ bandhi, na bandhī’’ti? ‘‘Na bandhiṃ, paṇḍitā’’ti. ‘‘Pānīyaṃ pivitvā āgato pasibbakaṃ oloketvā bandhī’’ti. ‘‘Anoloketvāva bandhiṃ, paṇḍitā’’ti. ‘‘Brāhmaṇa, tava pānīyaṃ pātuṃ gatakāle ajānantasseva te sattugandhena pasibbakaṃ sappo paviṭṭhoti maññāmi, evamettha āgato tvaṃ, tasmā pasibbakaṃ otāretvā parisamajjhe ṭhapetvā pasibbakamukhaṃ mocetvā paṭikkamma ṭhito ekaṃ daṇḍakaṃ gahetvā pasibbakaṃ tāva pahara, tato patthaṭaphaṇaṃ susūtisaddaṃ katvā nikkhamantaṃ kaṇhasappaṃ disvā nikkaṅkho bhavissatī’’ti catutthaṃ gāthamāha –
๔๙.
49.
‘‘อาทาย ทณฺฑํ ปริสุมฺภ ภสฺตํ, ปเสฺสฬมูคํ อุรคํ ทุชิวฺหํ;
‘‘Ādāya daṇḍaṃ parisumbha bhastaṃ, passeḷamūgaṃ uragaṃ dujivhaṃ;
ฉินฺทชฺช กงฺขํ วิจิกิจฺฉิตานิ, ภุชงฺคมํ ปสฺส ปมุญฺจ ภสฺต’’นฺติฯ
Chindajja kaṅkhaṃ vicikicchitāni, bhujaṅgamaṃ passa pamuñca bhasta’’nti.
ตตฺถ ปริสุมฺภาติ ปหรฯ ปเสฺสฬมูคนฺติ เอฬํ ปคฺฆรเนฺตน มุเขน เอฬมูคํ ปสิพฺพกโต นิกฺขมนฺตํ ทุชิวฺหํ อุรคํ ปสฺสฯ ฉนฺทชฺช กงฺขํ วิจิกิจฺฉิตานีติ ‘‘อตฺถิ นุ โข เม ปสิพฺพเก สโปฺป, อุทาหุ นตฺถี’’ติ กงฺขเมว ปุนปฺปุนํ อุปฺปชฺชมานานิ วิจิกิจฺฉิตานิ จ อชฺช ฉินฺท, มยฺหํ สทฺทห, อวิตถญฺหิ เม เวยฺยากรณํ, อิทาเนว นิกฺขมนฺตํ ภุชงฺคมํ ปสฺส ปมุญฺจ ภสฺตนฺติฯ
Tattha parisumbhāti pahara. Passeḷamūganti eḷaṃ paggharantena mukhena eḷamūgaṃ pasibbakato nikkhamantaṃ dujivhaṃ uragaṃ passa. Chandajja kaṅkhaṃ vicikicchitānīti ‘‘atthi nu kho me pasibbake sappo, udāhu natthī’’ti kaṅkhameva punappunaṃ uppajjamānāni vicikicchitāni ca ajja chinda, mayhaṃ saddaha, avitathañhi me veyyākaraṇaṃ, idāneva nikkhamantaṃ bhujaṅgamaṃ passa pamuñca bhastanti.
พฺราหฺมโณ มหาสตฺตสฺส กถํ สุตฺวา สํวิโคฺค ภยปฺปโตฺต ตถา อกาสิฯ สโปฺปปิ สตฺตุภเสฺต ทเณฺฑน ปหเฎ ปสิพฺพกมุขา นิกฺขมิตฺวา มหาชนํ โอโลเกโนฺต อฎฺฐาสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา ปญฺจมํ คาถมาห –
Brāhmaṇo mahāsattassa kathaṃ sutvā saṃviggo bhayappatto tathā akāsi. Sappopi sattubhaste daṇḍena pahaṭe pasibbakamukhā nikkhamitvā mahājanaṃ olokento aṭṭhāsi. Tamatthaṃ pakāsento satthā pañcamaṃ gāthamāha –
๕๐.
50.
‘‘สํวิคฺครูโป ปริสาย มเชฺฌ, โส พฺราหฺมโณ สตฺตุภสฺตํ ปมุญฺจิ;
‘‘Saṃviggarūpo parisāya majjhe, so brāhmaṇo sattubhastaṃ pamuñci;
อถ นิกฺขมิ อุรโค อุคฺคเตโช, อาสีวิโส สโปฺป ผณํ กริตฺวา’’ติฯ
Atha nikkhami urago uggatejo, āsīviso sappo phaṇaṃ karitvā’’ti.
สปฺปสฺส ผณํ กตฺวา นิกฺขนฺตกาเล ‘‘มหาสตฺตสฺส สพฺพญฺญุพุทฺธเสฺสว พฺยากรณํ อโหสี’’ติ มหาชโน เจลุเกฺขปสหสฺสานิ ปวเตฺตสิ, องฺคุลิโผฎนสหสฺสานิ ปริพฺภมิํสุ, ฆนเมฆวสฺสํ วิย สตฺตรตนวสฺสํ วสฺสิ, สาธุการสหสฺสานิ ปวตฺติํสุ, มหาปถวีภิชฺชนสโทฺท วิย อโหสิฯ อิทํ ปน พุทฺธลีฬาย เอวรูปสฺส ปญฺหสฺส กถนํ นาม เนว ชาติยา พลํ, น โคตฺตกุลปฺปเทสานํ พลํ, กสฺส ปเนตํ พลนฺติ? ปญฺญาย พลํฯ ปญฺญวา หิ ปุคฺคโล วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อริยมคฺคทฺวารํ วิวริตฺวา อมตมหานิพฺพานํ ปวิสติ, สาวกปารมิมฺปิ ปเจฺจกโพธิมฺปิ สมฺมาสโมฺพธิมฺปิ ปฎิวิชฺฌติฯ อมตมหานิพฺพานสมฺปาปเกสุ หิ ธเมฺมสุ ปญฺญาว เสฎฺฐา, อวเสสา ตสฺสา ปริวารา โหนฺติฯ เตเนตํ วุตฺตํ –
Sappassa phaṇaṃ katvā nikkhantakāle ‘‘mahāsattassa sabbaññubuddhasseva byākaraṇaṃ ahosī’’ti mahājano celukkhepasahassāni pavattesi, aṅguliphoṭanasahassāni paribbhamiṃsu, ghanameghavassaṃ viya sattaratanavassaṃ vassi, sādhukārasahassāni pavattiṃsu, mahāpathavībhijjanasaddo viya ahosi. Idaṃ pana buddhalīḷāya evarūpassa pañhassa kathanaṃ nāma neva jātiyā balaṃ, na gottakulappadesānaṃ balaṃ, kassa panetaṃ balanti? Paññāya balaṃ. Paññavā hi puggalo vipassanaṃ vaḍḍhetvā ariyamaggadvāraṃ vivaritvā amatamahānibbānaṃ pavisati, sāvakapāramimpi paccekabodhimpi sammāsambodhimpi paṭivijjhati. Amatamahānibbānasampāpakesu hi dhammesu paññāva seṭṭhā, avasesā tassā parivārā honti. Tenetaṃ vuttaṃ –
‘‘ปญฺญา หิ เสฎฺฐา กุสลา วทนฺติ, นกฺขตฺตราชาริว ตารกานํ;
‘‘Paññā hi seṭṭhā kusalā vadanti, nakkhattarājāriva tārakānaṃ;
สีลํ สิรี จาปิ สตญฺจ ธโมฺม, อนฺวายิกา ปญฺญวโต ภวนฺตี’’ติฯ (ชา. ๒.๑๗.๘๑);
Sīlaṃ sirī cāpi satañca dhammo, anvāyikā paññavato bhavantī’’ti. (jā. 2.17.81);
เอวํ กถิเต จ ปน มหาสเตฺตน ปเญฺห เอโก อหิตุณฺฑิโก สปฺปสฺส มุขพนฺธนํ กตฺวา สปฺปํ คเหตฺวา อรเญฺญ วิสฺสเชฺชสิฯ พฺราหฺมโณ ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ชยาเปตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคยฺห รโญฺญ ถุติํ กโรโนฺต อุปฑฺฒคาถมาห –
Evaṃ kathite ca pana mahāsattena pañhe eko ahituṇḍiko sappassa mukhabandhanaṃ katvā sappaṃ gahetvā araññe vissajjesi. Brāhmaṇo rājānaṃ upasaṅkamitvā jayāpetvā añjaliṃ paggayha rañño thutiṃ karonto upaḍḍhagāthamāha –
๕๑.
51.
‘‘สุลทฺธลาภา ชนกสฺส รโญฺญ;
‘‘Suladdhalābhā janakassa rañño;
โย ปสฺสตี เสนกํ สาธุปญฺญ’’นฺติฯ
Yo passatī senakaṃ sādhupañña’’nti.
ตสฺสโตฺถ – โย สาธุปญฺญํ อุตฺตมปญฺญํ เสนกปณฺฑิตํ อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา อิจฺฉิติจฺฉิตกฺขเณ ปิยจกฺขูหิ ปสฺสิตุํ ลภติ, ตสฺส รโญฺญ ชนกสฺส เอเต อิจฺฉิติจฺฉิตกฺขเณ ทสฺสนลาภา สุลทฺธลาภา วต, เอเตน ลเทฺธสุ สพฺพลาเภสุ เอเตว ลาภา สุลทฺธลาภา นามาติฯ
Tassattho – yo sādhupaññaṃ uttamapaññaṃ senakapaṇḍitaṃ akkhīni ummīletvā icchiticchitakkhaṇe piyacakkhūhi passituṃ labhati, tassa rañño janakassa ete icchiticchitakkhaṇe dassanalābhā suladdhalābhā vata, etena laddhesu sabbalābhesu eteva lābhā suladdhalābhā nāmāti.
พฺราหฺมโณปิ รโญฺญ ถุติํ กตฺวา ปุน ปสิพฺพกโต สตฺต กหาปณสตานิ คเหตฺวา มหาสตฺตสฺส ถุติํ กตฺวา ตุฎฺฐิทายํ ทาตุกาโม ทิยฑฺฒคาถมาห –
Brāhmaṇopi rañño thutiṃ katvā puna pasibbakato satta kahāpaṇasatāni gahetvā mahāsattassa thutiṃ katvā tuṭṭhidāyaṃ dātukāmo diyaḍḍhagāthamāha –
‘‘วิวฎฺฎฉโทฺท นุสิ สพฺพทสฺสี, ญาณํ นุ เต พฺราหฺมณ ภิํสรูปํฯ
‘‘Vivaṭṭachaddo nusi sabbadassī, ñāṇaṃ nu te brāhmaṇa bhiṃsarūpaṃ.
๕๒.
52.
‘‘อิมานิ เม สตฺตสตานิ อตฺถิ, คณฺหาหิ สพฺพานิ ททามิ ตุยฺหํ;
‘‘Imāni me sattasatāni atthi, gaṇhāhi sabbāni dadāmi tuyhaṃ;
ตยา หิ เม ชีวิตมชฺช ลทฺธํ, อโถปิ ภริยาย มกาสิ โสตฺถิ’’นฺติฯ
Tayā hi me jīvitamajja laddhaṃ, athopi bhariyāya makāsi sotthi’’nti.
ตตฺถ วิวฎฺฎฉโทฺท นุสิ สพฺพทสฺสีติ กิํ นุ โข ตฺวํ สเพฺพสุ ธมฺมากาเรสุ วิวฎฺฎฉทโน วิวฎฺฎเนยฺยธโมฺม สพฺพญฺญุพุโทฺธติ ถุติวเสน ปุจฺฉติฯ ญาณํ นุ เต พฺราหฺมณ ภิํสรูปนฺติ อุทาหุ อสพฺพญฺญุสฺสปิ สโต ตว ญาณํ อติวิย ภิํสรูปํ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ วิย พลวนฺติฯ ตยา หิ เมติ ตยา หิ ทินฺนตฺตา อชฺช มยา ชีวิตํ ลทฺธํฯ อโถปิ ภริยาย มกาสิ โสตฺถินฺติ อโถปิ เม ภริยาย ตฺวเมว โสตฺถิํ อกาสิฯ
Tattha vivaṭṭachaddo nusi sabbadassīti kiṃ nu kho tvaṃ sabbesu dhammākāresu vivaṭṭachadano vivaṭṭaneyyadhammo sabbaññubuddhoti thutivasena pucchati. Ñāṇaṃ nu te brāhmaṇa bhiṃsarūpanti udāhu asabbaññussapi sato tava ñāṇaṃ ativiya bhiṃsarūpaṃ sabbaññutaññāṇaṃ viya balavanti. Tayā hi meti tayā hi dinnattā ajja mayā jīvitaṃ laddhaṃ. Athopi bhariyāya makāsi sotthinti athopi me bhariyāya tvameva sotthiṃ akāsi.
อิติ โส วตฺวา ‘‘สเจปิ สตสหสฺสํ ภเวยฺย, ทเทยฺยเมวาหํ, เอตฺตกเมว เม ธนํ, อิมานิ เม สตฺต สตานิ คณฺหา’’ติ ปุนปฺปุนํ โพธิสตฺตํ ยาจิฯ ตํ สุตฺวา โพธิสโตฺต อฎฺฐมํ คาถมาห –
Iti so vatvā ‘‘sacepi satasahassaṃ bhaveyya, dadeyyamevāhaṃ, ettakameva me dhanaṃ, imāni me satta satāni gaṇhā’’ti punappunaṃ bodhisattaṃ yāci. Taṃ sutvā bodhisatto aṭṭhamaṃ gāthamāha –
๕๓.
53.
‘‘น ปณฺฑิตา เวตนมาทิยนฺติ, จิตฺราหิ คาถาหิ สุภาสิตาหิ;
‘‘Na paṇḍitā vetanamādiyanti, citrāhi gāthāhi subhāsitāhi;
อิโตปิ เต พฺรเหฺม ททนฺตุ วิตฺตํ, อาทาย ตฺวํ คจฺฉ สกํ นิเกต’’นฺติฯ
Itopi te brahme dadantu vittaṃ, ādāya tvaṃ gaccha sakaṃ niketa’’nti.
ตตฺถ เวตนนฺติ เวตฺตนํ, อยเมว วา ปาโฐฯ อิโตปิ เต พฺรเหฺมติ พฺราหฺมณ, อิโต มม ปาทมูลโตปิ ตุยฺหํ ธนํ ททนฺตุฯ วิตฺตํ อาทาย ตฺวํ คจฺฉาติ อิโต อญฺญานิ ตีณิ สตานิ คเหตฺวา สหสฺสภณฺฑิกํ อาทาย สกนิเวสนํ คจฺฉฯ
Tattha vetananti vettanaṃ, ayameva vā pāṭho. Itopi te brahmeti brāhmaṇa, ito mama pādamūlatopi tuyhaṃ dhanaṃ dadantu. Vittaṃ ādāya tvaṃ gacchāti ito aññāni tīṇi satāni gahetvā sahassabhaṇḍikaṃ ādāya sakanivesanaṃ gaccha.
เอวญฺจ ปน วตฺวา มหาสโตฺต พฺราหฺมณสฺส สหสฺสํ ปูราเปโนฺต กหาปเณ ทาเปตฺวา ‘‘พฺราหฺมณ, เกน ตฺวํ ธนภิกฺขาย เปสิโต’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ภริยาย เม ปณฺฑิตา’’ติฯ ‘‘ภริยา ปน เต มหลฺลิกา, ทหรา’’ติฯ ‘‘ทหรา, ปณฺฑิตา’’ติฯ ‘‘เตน หิ สา อเญฺญน สทฺธิํ อนาจารํ กโรนฺตี ‘นิพฺภยา หุตฺวา กริสฺสามี’ติ ตํ เปเสสิ, สเจ อิเม กหาปเณ ฆรํ เนสฺสสิ, สา เต ทุเกฺขน ลทฺธกหาปเณ อตฺตโน ชารสฺส ทสฺสติ, ตสฺมา ตฺวํ อุชุกเมว เคหํ อคนฺตฺวา พหิคาเม รุกฺขมูเล วา ยตฺถ กตฺถจิ วา กหาปเณ ฐเปตฺวา ปวิเสยฺยาสี’’ติ วตฺวา ตํ อุโยฺยเชสิฯ โส คามสมีปํ คนฺตฺวา เอกสฺมิํ รุกฺขมูเล กหาปเณ ฐเปตฺวา สายํ เคหํ อคมาสิฯ ภริยาปิสฺส ตสฺมิํ ขเณ ชาเรน สทฺธิํ นิสินฺนา อโหสิฯ พฺราหฺมโณ ทฺวาเร ฐตฺวา ‘‘โภตี’’ติ อาหฯ สา ตสฺส สทฺทํ สลฺลเกฺขตฺวา ทีปํ นิพฺพาเปตฺวา ทฺวารํ วิวริตฺวา พฺราหฺมเณ อโนฺต ปวิเฎฺฐ อิตรํ นีหริตฺวา ทฺวารมูเล ฐเปตฺวา เคหํ ปวิสิตฺวา ปสิพฺพเก กิญฺจิ อทิสฺวา ‘‘พฺราหฺมณ, กิํ เต ภิกฺขํ จริตฺวา ลทฺธ’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘สหสฺสํ เม ลทฺธ’’นฺติฯ ‘‘กหํ ปน ต’’นฺติฯ ‘‘อสุกฎฺฐาเน นาม ฐปิตํ, ปาโตว อาหริสฺสามิ, มา จินฺตยี’’ติฯ สา คนฺตฺวา ชารสฺส อาจิกฺขิฯ โส นิกฺขมิตฺวา อตฺตนา ฐปิตํ วิย คณฺหิฯ
Evañca pana vatvā mahāsatto brāhmaṇassa sahassaṃ pūrāpento kahāpaṇe dāpetvā ‘‘brāhmaṇa, kena tvaṃ dhanabhikkhāya pesito’’ti pucchi. ‘‘Bhariyāya me paṇḍitā’’ti. ‘‘Bhariyā pana te mahallikā, daharā’’ti. ‘‘Daharā, paṇḍitā’’ti. ‘‘Tena hi sā aññena saddhiṃ anācāraṃ karontī ‘nibbhayā hutvā karissāmī’ti taṃ pesesi, sace ime kahāpaṇe gharaṃ nessasi, sā te dukkhena laddhakahāpaṇe attano jārassa dassati, tasmā tvaṃ ujukameva gehaṃ agantvā bahigāme rukkhamūle vā yattha katthaci vā kahāpaṇe ṭhapetvā paviseyyāsī’’ti vatvā taṃ uyyojesi. So gāmasamīpaṃ gantvā ekasmiṃ rukkhamūle kahāpaṇe ṭhapetvā sāyaṃ gehaṃ agamāsi. Bhariyāpissa tasmiṃ khaṇe jārena saddhiṃ nisinnā ahosi. Brāhmaṇo dvāre ṭhatvā ‘‘bhotī’’ti āha. Sā tassa saddaṃ sallakkhetvā dīpaṃ nibbāpetvā dvāraṃ vivaritvā brāhmaṇe anto paviṭṭhe itaraṃ nīharitvā dvāramūle ṭhapetvā gehaṃ pavisitvā pasibbake kiñci adisvā ‘‘brāhmaṇa, kiṃ te bhikkhaṃ caritvā laddha’’nti pucchi. ‘‘Sahassaṃ me laddha’’nti. ‘‘Kahaṃ pana ta’’nti. ‘‘Asukaṭṭhāne nāma ṭhapitaṃ, pātova āharissāmi, mā cintayī’’ti. Sā gantvā jārassa ācikkhi. So nikkhamitvā attanā ṭhapitaṃ viya gaṇhi.
พฺราหฺมโณ ปุนทิวเส คนฺตฺวา กหาปเณ อปสฺสโนฺต โพธิสตฺตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘กิํ, พฺราหฺมณา’’ติ วุเตฺต ‘‘กหาปเณ น ปสฺสามิ, ปณฺฑิตา’’ติ อาหฯ ‘‘ภริยาย เต อาจิกฺขี’’ติ? ‘‘อาม, ปณฺฑิตา’’ติฯ มหาสโตฺต ตาย ชารสฺส อาจิกฺขิตภาวํ ญตฺวา ‘‘อตฺถิ ปน เต พฺราหฺมณ, ภริยาย กุลูปกพฺราหฺมโณ’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อตฺถิ, ปณฺฑิตา’’ติฯ ‘‘ตุยฺหมฺปิ อตฺถี’’ติ? ‘‘อาม, ปณฺฑิตา’’ติฯ อถสฺส มหาสโตฺต สตฺตนฺนํ ทิวสานํ ปริพฺพยํ ทาเปตฺวา ‘‘คจฺฉ ปฐมทิวเส ตว สตฺต, ภริยาย เต สตฺตาติ จุทฺทส พฺราหฺมเณ นิมเนฺตตฺวา โภเชถ, ปุนทิวสโต ปฎฺฐาย เอเกกํ หาเปตฺวา สตฺตเม ทิวเส ตว เอกํ, ภริยาย เต เอกนฺติ เทฺว พฺราหฺมเณ นิมเนฺตตฺวา ภริยาย เต สตฺต ทิวเส นิมนฺติตพฺราหฺมณสฺส นิพทฺธํ อาคมนภาวํ ญตฺวา มยฺหํ อาโรเจหี’’ติ อาหฯ พฺราหฺมโณ ตถา กตฺวา ‘‘สลฺลกฺขิโต เม ปณฺฑิต, นิพทฺธํ ภุญฺชนกพฺราหฺมโณ’’ติ มหาสตฺตสฺส อาโรเจสิฯ
Brāhmaṇo punadivase gantvā kahāpaṇe apassanto bodhisattassa santikaṃ gantvā ‘‘kiṃ, brāhmaṇā’’ti vutte ‘‘kahāpaṇe na passāmi, paṇḍitā’’ti āha. ‘‘Bhariyāya te ācikkhī’’ti? ‘‘Āma, paṇḍitā’’ti. Mahāsatto tāya jārassa ācikkhitabhāvaṃ ñatvā ‘‘atthi pana te brāhmaṇa, bhariyāya kulūpakabrāhmaṇo’’ti pucchi. ‘‘Atthi, paṇḍitā’’ti. ‘‘Tuyhampi atthī’’ti? ‘‘Āma, paṇḍitā’’ti. Athassa mahāsatto sattannaṃ divasānaṃ paribbayaṃ dāpetvā ‘‘gaccha paṭhamadivase tava satta, bhariyāya te sattāti cuddasa brāhmaṇe nimantetvā bhojetha, punadivasato paṭṭhāya ekekaṃ hāpetvā sattame divase tava ekaṃ, bhariyāya te ekanti dve brāhmaṇe nimantetvā bhariyāya te satta divase nimantitabrāhmaṇassa nibaddhaṃ āgamanabhāvaṃ ñatvā mayhaṃ ārocehī’’ti āha. Brāhmaṇo tathā katvā ‘‘sallakkhito me paṇḍita, nibaddhaṃ bhuñjanakabrāhmaṇo’’ti mahāsattassa ārocesi.
โพธิสโตฺต เตน สทฺธิํ ปุริเส เปเสตฺวา ตํ พฺราหฺมณํ อาหราเปตฺวา ‘‘อสุกรุกฺขมูลโต เต อิมสฺส พฺราหฺมณสฺส สนฺตกํ กหาปณสหสฺสํ คหิต’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘น คณฺหามิ, ปณฺฑิตา’’ติฯ ‘‘ตฺวํ มม เสนกปณฺฑิตภาวํ น ชานาสิ, อาหราเปสฺสามิ เต กหาปเณ’’ติฯ โส ภีโต ‘‘คหิตา เม’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ ‘‘กุหิํ เต ฐปิตา’’ติ? ‘‘ตเตฺถว, ปณฺฑิต, ฐปิตา’’ติฯ โพธิสโตฺต พฺราหฺมณํ ปุจฺฉิ ‘‘พฺราหฺมณ, กิํ เต สาเยว ภริยา โหตุ, อุทาหุ อญฺญํ คณฺหิสฺสสี’’ติฯ ‘‘สาเยว เม โหตุ, ปณฺฑิตา’’ติฯ โพธิสโตฺต มนุเสฺส เปเสตฺวา พฺราหฺมณสฺส กหาปเณ จ พฺราหฺมณิญฺจ อาหราเปตฺวา โจรพฺราหฺมณสฺส หตฺถโต กหาปเณ พฺราหฺมณสฺส ทาเปตฺวา อิตรสฺส ราชาณํ กาเรตฺวา นครา นีหราเปตฺวา พฺราหฺมณิยาปิ ราชาณํ กาเรตฺวา พฺราหฺมณสฺส มหนฺตํ ยสํ ทตฺวา อตฺตโนเยว สนฺติเก วสาเปสิฯ
Bodhisatto tena saddhiṃ purise pesetvā taṃ brāhmaṇaṃ āharāpetvā ‘‘asukarukkhamūlato te imassa brāhmaṇassa santakaṃ kahāpaṇasahassaṃ gahita’’nti pucchi. ‘‘Na gaṇhāmi, paṇḍitā’’ti. ‘‘Tvaṃ mama senakapaṇḍitabhāvaṃ na jānāsi, āharāpessāmi te kahāpaṇe’’ti. So bhīto ‘‘gahitā me’’ti sampaṭicchi. ‘‘Kuhiṃ te ṭhapitā’’ti? ‘‘Tattheva, paṇḍita, ṭhapitā’’ti. Bodhisatto brāhmaṇaṃ pucchi ‘‘brāhmaṇa, kiṃ te sāyeva bhariyā hotu, udāhu aññaṃ gaṇhissasī’’ti. ‘‘Sāyeva me hotu, paṇḍitā’’ti. Bodhisatto manusse pesetvā brāhmaṇassa kahāpaṇe ca brāhmaṇiñca āharāpetvā corabrāhmaṇassa hatthato kahāpaṇe brāhmaṇassa dāpetvā itarassa rājāṇaṃ kāretvā nagarā nīharāpetvā brāhmaṇiyāpi rājāṇaṃ kāretvā brāhmaṇassa mahantaṃ yasaṃ datvā attanoyeva santike vasāpesi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน พหู โสตาปตฺติผลาทีนิ สจฺฉิกริํสุฯ ตทา พฺราหฺมโณ อานโนฺท อโหสิ, รุกฺขเทวตา สาริปุโตฺต, ปริสา พุทฺธปริสา, เสนกปณฺฑิโต ปน อหเมว อโหสินฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne bahū sotāpattiphalādīni sacchikariṃsu. Tadā brāhmaṇo ānando ahosi, rukkhadevatā sāriputto, parisā buddhaparisā, senakapaṇḍito pana ahameva ahosinti.
สตฺตุภสฺตชาตกวณฺณนา สตฺตมาฯ
Sattubhastajātakavaṇṇanā sattamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๐๒. สตฺตุภสฺตชาตกํ • 402. Sattubhastajātakaṃ