Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā

    สวิภงฺคสิกฺขาปทวณฺณนา

    Savibhaṅgasikkhāpadavaṇṇanā

    ๑๙๗-๑๙๘. ยสฺมา ปนาติอาทิ ‘‘อสนฺตํ อภูตํ อสํวิชฺชมาน’’นฺติ เอเตสํ การณวจนํฯ ตตฺถ นฺติ ยํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํฯ อนภิชานนฺติ อตฺตนิ อตฺถิภาวํ อชานโนฺตฯ สมุทาจรตีติ ‘‘อตฺถิ มยฺหํ เอส ธโมฺม’’ติ กเถติ ชานาเปติ วาฯ ‘‘อสนฺตํ อภูต’’นฺติ อิมสฺส การณวจนํ สนฺตาเน อนุปฺปโนฺนติฯ ญาเณน จ อสจฺฉิกโตติ อิทํ ปน ‘‘อสํวิชฺชมาน’’นฺติ เอตสฺส การณวจนํฯ ปกติมนุเสฺสหิ อุตฺตริตรานํ พุทฺธาทิอุตฺตมปุริสานํ อธิคมธโมฺม อุตฺตริมนุสฺสธโมฺมติ อาห ‘‘อุตฺตริมนุสฺสาน’’นฺติอาทิฯ นฺติ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํฯ อถ ปทภาชเน พหุวจนนิเทฺทโส กสฺมา กโตติ อาห ‘‘ปทภาชเน ปนา’’ติอาทิฯ กิญฺจาปิ อุตฺตริมนุสฺสธโมฺม อพฺยากโตปิ โหติ, อาโรคฺยเฎฺฐน ปน พาหิติกสุเตฺต วิย ‘‘กุสเล ธเมฺม’’ติ วุตฺตํฯ อสฺสาติ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมสฺสฯ ขณลยมุหุตฺต-สทฺทา อญฺญตฺถ ภินฺนตฺถาปิ โหนฺติ, อิธ ปน ขณปริยายวเสเนว ‘‘ตํ ขณํ ตํ ลยํ ตํ มุหุตฺต’’นฺติ ปาฬิยํ วุตฺตํฯ

    197-198.Yasmā panātiādi ‘‘asantaṃ abhūtaṃ asaṃvijjamāna’’nti etesaṃ kāraṇavacanaṃ. Tattha yanti yaṃ uttarimanussadhammaṃ. Anabhijānanti attani atthibhāvaṃ ajānanto. Samudācaratīti ‘‘atthi mayhaṃ esa dhammo’’ti katheti jānāpeti vā. ‘‘Asantaṃ abhūta’’nti imassa kāraṇavacanaṃ santāne anuppannoti. Ñāṇena ca asacchikatoti idaṃ pana ‘‘asaṃvijjamāna’’nti etassa kāraṇavacanaṃ. Pakatimanussehi uttaritarānaṃ buddhādiuttamapurisānaṃ adhigamadhammo uttarimanussadhammoti āha ‘‘uttarimanussāna’’ntiādi. Tanti uttarimanussadhammaṃ. Atha padabhājane bahuvacananiddeso kasmā katoti āha ‘‘padabhājane panā’’tiādi. Kiñcāpi uttarimanussadhammo abyākatopi hoti, ārogyaṭṭhena pana bāhitikasutte viya ‘‘kusale dhamme’’ti vuttaṃ. Assāti uttarimanussadhammassa. Khaṇalayamuhutta-saddā aññattha bhinnatthāpi honti, idha pana khaṇapariyāyavaseneva ‘‘taṃ khaṇaṃ taṃ layaṃ taṃ muhutta’’nti pāḷiyaṃ vuttaṃ.

    อธิคนฺตพฺพโต อธิคโม, ฌานาทิ, อธิคมสฺส ปุจฺฉา อธิคมปุจฺฉาฯ เตนาห ‘‘ฌานวิโมกฺขาทีสู’’ติอาทิฯ อุปายปุจฺฉาติ อธิคมุปายปุจฺฉาฯ กินฺตีติ เกน ปกาเรน, เกน วิธินาติ อโตฺถฯ กตเมสํ ตฺวํ ธมฺมานํ ลาภีติ อิทํ ปน ปุเพฺพ ‘‘กิํ เต อธิคต’’นฺติ อนิทฺธาริตเภทา ฌานาทิวิเสสา ปุจฺฉิตาติ อิทานิ เตสํ นิทฺธาเรตฺวา ปุจฺฉนาการทสฺสนํฯ

    Adhigantabbato adhigamo, jhānādi, adhigamassa pucchā adhigamapucchā. Tenāha ‘‘jhānavimokkhādīsū’’tiādi. Upāyapucchāti adhigamupāyapucchā. Kintīti kena pakārena, kena vidhināti attho. Katamesaṃ tvaṃ dhammānaṃ lābhīti idaṃ pana pubbe ‘‘kiṃ te adhigata’’nti aniddhāritabhedā jhānādivisesā pucchitāti idāni tesaṃ niddhāretvā pucchanākāradassanaṃ.

    ตสฺมาติ ยสฺมา ยถาวุเตฺตหิ ฉหากาเรหิ อธิคมพฺยากรณํ โสเธตพฺพํ, ตสฺมาฯ เอตฺตาวตาวาติ เอตฺตเกน พฺยากรณมเตฺตเนว น สกฺกาตโพฺพฯ พฺยากรณญฺหิ เอกจฺจสฺส อยาถาวโตปิ โหตีติฯ อิเมสุ ปน ฉสุ ฐาเนสุ โสธนตฺถํ วตฺตโพฺพติ ยถา นาม ชาตรูปปติรูปกมฺปิ ชาตรูปํ วิย ขายตีติ ชาตรูปํ นิฆํสนตาปนเจฺฉทเนหิ โสเธตพฺพํ, เอวเมว อิเมสุ อิทาเนว วุเตฺตสุ ฉสุ ฐาเนสุ ปกฺขิปิตฺวา โสธนตฺถํ วตฺตโพฺพฯ วิโมกฺขาทีสูติ อาทิ-สเทฺทน สมาธิสมาปตฺติญาณทสฺสนมคฺคภาวนาผลสจฺฉิกิริยาทิํ สงฺคณฺหาติฯ ปากโฎ โหตีติ อธิคตวิเสสสฺส สติสโมฺมสาภาวโตฯ เสสปุจฺฉาสุปิ ปากโฎ โหตีติ ปเท เอเสว นโยฯ

    Tasmāti yasmā yathāvuttehi chahākārehi adhigamabyākaraṇaṃ sodhetabbaṃ, tasmā. Ettāvatāvāti ettakena byākaraṇamatteneva na sakkātabbo. Byākaraṇañhi ekaccassa ayāthāvatopi hotīti. Imesu pana chasu ṭhānesu sodhanatthaṃ vattabboti yathā nāma jātarūpapatirūpakampi jātarūpaṃ viya khāyatīti jātarūpaṃ nighaṃsanatāpanacchedanehi sodhetabbaṃ, evameva imesu idāneva vuttesu chasu ṭhānesu pakkhipitvā sodhanatthaṃ vattabbo. Vimokkhādīsūti ādi-saddena samādhisamāpattiñāṇadassanamaggabhāvanāphalasacchikiriyādiṃ saṅgaṇhāti. Pākaṭo hotīti adhigatavisesassa satisammosābhāvato. Sesapucchāsupi pākaṭo hotīti pade eseva nayo.

    สเพฺพสญฺหิ อตฺตนา อธิคตมเคฺคน ปหีนกิเลสา ปากฎา โหนฺตีติ อิทํ เยภุยฺยวเสน วุตฺตํฯ กสฺสจิ หิ อตฺตนา อธิคตมคฺควชฺฌกิเลเสสุ สเนฺทโห อุปฺปชฺชติเยว มหานามสฺส สกฺกสฺส วิยฯ โส หิ สกทาคามี สมาโนปิ ‘‘ตสฺส มยฺหํ, ภเนฺต, เอวํ โหติ ‘โก สุ นาม เม ธโมฺม อชฺฌตฺตํ อปฺปหีโน, เยน เม เอกทา โลภธมฺมาปิ จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐนฺติ, โทสธมฺมาปิ จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐนฺติ, โมหธมฺมาปิ จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐนฺตี’’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๗๕) ภควนฺตํ ปุจฺฉิฯ อยํ กิร ราชา สกทาคามิมเคฺคน โลภโทสโมหา นิรวเสสา ปหียนฺตีติ สญฺญี อโหสิฯ กิํ อริยสาวกสฺส เอวํ สเนฺทโห อุปฺปชฺชตีติ? อาม อุปฺปชฺชติฯ กสฺมา? ปณฺณตฺติยํ อโกวิทตฺตาฯ ‘‘อยํ กิเลโส อสุกมคฺควโชฺฌ’’ติ อิมิสฺสา ปณฺณตฺติยา อโกวิทสฺส หิ อริยสาวกสฺส เอวํ โหติฯ กิํ ตสฺส ปจฺจเวกฺขณา นตฺถีติ? อตฺถิ, สา ปน น สเพฺพสํ ปริปุณฺณา โหติฯ เอโก หิ ปหีนกิเลสเมว ปจฺจเวกฺขติ, เอโก อวสิฎฺฐกิเลสเมว, เอโก มคฺคเมว, เอโก ผลเมว, เอโก นิพฺพานเมวฯ อิมาสุ ปน ปญฺจสุ ปจฺจเวกฺขณาสุ เอกํ วา เทฺว วา โน ลทฺธุํ น วฎฺฎติฯ อิติ ยสฺส ปจฺจเวกฺขณา น ปริปุณฺณา, ตสฺส มคฺควชฺฌกิเลสปณฺณตฺติยํ อโกวิทตฺตา เอวํ โหติฯ อุคฺคหปริปุจฺฉากุสลาติ สชฺฌายมคฺคสํวณฺณนาสุ นิปุณาฯ

    Sabbesañhi attanā adhigatamaggena pahīnakilesā pākaṭā hontīti idaṃ yebhuyyavasena vuttaṃ. Kassaci hi attanā adhigatamaggavajjhakilesesu sandeho uppajjatiyeva mahānāmassa sakkassa viya. So hi sakadāgāmī samānopi ‘‘tassa mayhaṃ, bhante, evaṃ hoti ‘ko su nāma me dhammo ajjhattaṃ appahīno, yena me ekadā lobhadhammāpi cittaṃ pariyādāya tiṭṭhanti, dosadhammāpi cittaṃ pariyādāya tiṭṭhanti, mohadhammāpi cittaṃ pariyādāya tiṭṭhantī’’’ti (ma. ni. 1.175) bhagavantaṃ pucchi. Ayaṃ kira rājā sakadāgāmimaggena lobhadosamohā niravasesā pahīyantīti saññī ahosi. Kiṃ ariyasāvakassa evaṃ sandeho uppajjatīti? Āma uppajjati. Kasmā? Paṇṇattiyaṃ akovidattā. ‘‘Ayaṃ kileso asukamaggavajjho’’ti imissā paṇṇattiyā akovidassa hi ariyasāvakassa evaṃ hoti. Kiṃ tassa paccavekkhaṇā natthīti? Atthi, sā pana na sabbesaṃ paripuṇṇā hoti. Eko hi pahīnakilesameva paccavekkhati, eko avasiṭṭhakilesameva, eko maggameva, eko phalameva, eko nibbānameva. Imāsu pana pañcasu paccavekkhaṇāsu ekaṃ vā dve vā no laddhuṃ na vaṭṭati. Iti yassa paccavekkhaṇā na paripuṇṇā, tassa maggavajjhakilesapaṇṇattiyaṃ akovidattā evaṃ hoti. Uggahaparipucchākusalāti sajjhāyamaggasaṃvaṇṇanāsu nipuṇā.

    ยาย ปฎิปทาย ยสฺส อริยมโคฺค อาคจฺฉติ, สา ปุพฺพภาคปฎิปตฺติ อาคมนปฎิปทาโสเธตพฺพาติ สุทฺธา อุทาหุ น สุทฺธาติ วิจารณวเสน โสเธตพฺพาฯ น สุชฺฌตีติ ตตฺถ ตตฺถ ปมาทปฎิปตฺติสพฺภาวโตฯ อปเนตโพฺพติ อตฺตโน ปฎิญฺญาย อปเนตโพฺพฯ ‘‘สุชฺฌตี’’ติ วตฺวา สุชฺฌนาการํ ทเสฺสตุํ ‘‘ทีฆรตฺต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ปญฺญายตีติ เอตฺถาปิ ‘‘ยที’’ติ ปทํ อาเนตฺวา ยทิ โส ภิกฺขุ ตาย ปฎิปทาย ปญฺญายตีติ สมฺพโนฺธ ฯ จตูสุ ปจฺจเยสุ อลคฺคตฺตา ‘‘อากาเส ปาณิสเมน เจตสา’’ติ วุตฺตํฯ วุตฺตสทิสนฺติ ตสฺส ภิกฺขุโน พฺยากรณํ อิมสฺมิํ สุเตฺต วุเตฺตน สทิสํ, สมนฺติ อโตฺถฯ

    Yāya paṭipadāya yassa ariyamaggo āgacchati, sā pubbabhāgapaṭipatti āgamanapaṭipadā. Sodhetabbāti suddhā udāhu na suddhāti vicāraṇavasena sodhetabbā. Na sujjhatīti tattha tattha pamādapaṭipattisabbhāvato. Apanetabboti attano paṭiññāya apanetabbo. ‘‘Sujjhatī’’ti vatvā sujjhanākāraṃ dassetuṃ ‘‘dīgharatta’’ntiādi vuttaṃ. Paññāyatīti etthāpi ‘‘yadī’’ti padaṃ ānetvā yadi so bhikkhu tāya paṭipadāya paññāyatīti sambandho . Catūsu paccayesu alaggattā ‘‘ākāse pāṇisamena cetasā’’ti vuttaṃ. Vuttasadisanti tassa bhikkhuno byākaraṇaṃ imasmiṃ sutte vuttena sadisaṃ, samanti attho.

    ขีณาสวปฎิปตฺติสทิสา ปฎิปทา โหตีติ ทีฆรตฺตํ สุวิกฺขมฺภิตกิเลสตฺตาฯ ขีณาสวสฺส นาม…เป.… น โหตีติ ปหีนวิปลฺลาสตฺตา ชีวิตนิกนฺติยา จ อภาวโต น โหติฯ ปุถุชฺชนสฺส ปน อปฺปหีนวิปลฺลาสตฺตา ชีวิตนิกนฺติสพฺภาวโต จ อปฺปมตฺตเกนปิ โหติฯ

    Khīṇāsavapaṭipattisadisā paṭipadā hotīti dīgharattaṃ suvikkhambhitakilesattā. Khīṇāsavassa nāma…pe… na hotīti pahīnavipallāsattā jīvitanikantiyā ca abhāvato na hoti. Puthujjanassa pana appahīnavipallāsattā jīvitanikantisabbhāvato ca appamattakenapi hoti.

    ตตฺริมานิ วตฺถูนิ – ทีฆภาณกอภยเตฺถโร กิร เอกํ ปิณฺฑปาติกํ ปริคฺคเหตุํ อสโกฺกโนฺต ทหรสฺส สญฺญํ อทาสิฯ โส ตํ นหายมานํ กลฺยาณีนทีมุขทฺวาเร นิมุชฺชิตฺวา ปาเท อคฺคเหสิฯ ปิณฺฑปาติโก ‘‘กุมฺภีโล’’ติ สญฺญาย มหาสทฺทํ อกาสิ, ตทา นํ ‘‘ปุถุชฺชโน’’ติ ชานิํสุฯ จนฺทมุขติสฺสราชกาเล ปน มหาวิหาเร สงฺฆเตฺถโร ขีณาสโว ทุพฺพลจกฺขุโก วิหาเรเยว อจฺฉติฯ ตํ ราชา ‘‘เถรํ ปริคฺคณฺหิสฺสามี’’ติ ภิกฺขูสุ ภิกฺขาจารํ คเตสุ อปฺปสโทฺท อุปสงฺกมิตฺวา สโปฺป วิย ปาเท อคฺคเหสิฯ เถโร สิลาถโมฺภ วิย นิจฺจโล หุตฺวา ‘‘โก เอตฺถา’’ติ อาหฯ อหํ, ภเนฺต, ติโสฺสติฯ สุคนฺธํ วายสิ โน ติสฺสาติฯ เอวํ ขีณาสวสฺส ภยํ นาม นตฺถิฯ เอกโจฺจ ปน ปุถุชฺชโนปิ อติสูโร โหติ นิพฺภโย, โส รชนีเยน อารมฺมเณน ปริคฺคณฺหิตโพฺพฯ วสภราชาปิ หิ เอกํ เถรํ ปริคฺคณฺหมาโน ฆเร นิสีทาเปตฺวา ตสฺส สนฺติเก พทรสาฬวํ มทฺทมาโน นิสีทิฯ มหาเถรสฺส เขโฬ จลิโต, เถรสฺส ปุถุชฺชนภาโว อาวิภูโตฯ ขีณาสวสฺส หิ รสตณฺหา นาม สุปฺปหีนา, ทิเพฺพสุปิ รเสสุ นิกนฺติ นาม น โหติฯ ตสฺมา อิเมหิ อุปาเยหิ ปริคฺคเหตฺวา สจสฺส ภยํ วา ฉมฺภิตตฺตํ วา รสตณฺหา วา อุปฺปชฺชติ, ‘‘น ตฺวํ อรหา’’ติ อปเนตโพฺพฯ

    Tatrimāni vatthūni – dīghabhāṇakaabhayatthero kira ekaṃ piṇḍapātikaṃ pariggahetuṃ asakkonto daharassa saññaṃ adāsi. So taṃ nahāyamānaṃ kalyāṇīnadīmukhadvāre nimujjitvā pāde aggahesi. Piṇḍapātiko ‘‘kumbhīlo’’ti saññāya mahāsaddaṃ akāsi, tadā naṃ ‘‘puthujjano’’ti jāniṃsu. Candamukhatissarājakāle pana mahāvihāre saṅghatthero khīṇāsavo dubbalacakkhuko vihāreyeva acchati. Taṃ rājā ‘‘theraṃ pariggaṇhissāmī’’ti bhikkhūsu bhikkhācāraṃ gatesu appasaddo upasaṅkamitvā sappo viya pāde aggahesi. Thero silāthambho viya niccalo hutvā ‘‘ko etthā’’ti āha. Ahaṃ, bhante, tissoti. Sugandhaṃ vāyasi no tissāti. Evaṃ khīṇāsavassa bhayaṃ nāma natthi. Ekacco pana puthujjanopi atisūro hoti nibbhayo, so rajanīyena ārammaṇena pariggaṇhitabbo. Vasabharājāpi hi ekaṃ theraṃ pariggaṇhamāno ghare nisīdāpetvā tassa santike badarasāḷavaṃ maddamāno nisīdi. Mahātherassa kheḷo calito, therassa puthujjanabhāvo āvibhūto. Khīṇāsavassa hi rasataṇhā nāma suppahīnā, dibbesupi rasesu nikanti nāma na hoti. Tasmā imehi upāyehi pariggahetvā sacassa bhayaṃ vā chambhitattaṃ vā rasataṇhā vā uppajjati, ‘‘na tvaṃ arahā’’ti apanetabbo.

    อสนฺตคุณสมฺภาวนลกฺขณา ปาปิจฺฉาติ อาห – ‘‘ยา สา อิเธกโจฺจ…เป.… อาทินา นเยนา’’ติฯ อาทิ-สเทฺทน ‘‘อสฺสโทฺธ สมาโน ‘สโทฺธติ มํ ชโน ชานาตู’ติ อิจฺฉติ, อปฺปสฺสุโตว สมาโน ‘พหุสฺสุโตติ มํ ชโน ชานาตู’ติ อิจฺฉติ, สงฺคณิการาโมว สมาโน ‘ปวิวิโตฺตติ มํ ชโน ชานาตู’ติ อิจฺฉติ, กุสีโตว สมาโน ‘อารทฺธวีริโยติ มํ ชโน ชานาตู’ติ อิจฺฉติ, มุฎฺฐสฺสตีว สมาโน ‘อุปฎฺฐิตสฺสตีติ มํ ชโน ชานาตู’ติ อิจฺฉติ, อสมาหิโตว สมาโน ‘สมาหิโตติ มํ ชโน ชานาตู’ติ อิจฺฉติ, ทุปฺปโญฺญว สมาโน ‘ปญฺญวาติ มํ ชโน ชานาตู’ติ อิจฺฉติ, อขีณาสโวว สมาโน ‘ขีณาสโวติ มํ ชโน ชานาตู’ติ อิจฺฉติ, ยา เอวรูปา อิจฺฉา อิจฺฉาคตา ปาปิจฺฉตา ราโค สาราโค จิตฺตสฺส สาราโค, อยํ วุจฺจติ ปาปิจฺฉตา’’ติ (วิภ. ๘๕๑) เอวํ วุตฺตํ ปาฬิปเทสํ สงฺคณฺหาติฯ ปาปิกายาติ ลามิกาย อิจฺฉายฯ อปกโตติ ปาปิกาย อิจฺฉาย สมฺมาอาชีวโต อเปโต กโตติ อิจฺฉาย อปกโตฯ ตถาภูโต จ มิจฺฉาชีเวน อภิภูโต ปราชิโต นาม โหตีติ อาห ‘‘อภิภูโต ปราชิโต’’ติฯ

    Asantaguṇasambhāvanalakkhaṇā pāpicchāti āha – ‘‘yā sā idhekacco…pe… ādinā nayenā’’ti. Ādi-saddena ‘‘assaddho samāno ‘saddhoti maṃ jano jānātū’ti icchati, appassutova samāno ‘bahussutoti maṃ jano jānātū’ti icchati, saṅgaṇikārāmova samāno ‘pavivittoti maṃ jano jānātū’ti icchati, kusītova samāno ‘āraddhavīriyoti maṃ jano jānātū’ti icchati, muṭṭhassatīva samāno ‘upaṭṭhitassatīti maṃ jano jānātū’ti icchati, asamāhitova samāno ‘samāhitoti maṃ jano jānātū’ti icchati, duppaññova samāno ‘paññavāti maṃ jano jānātū’ti icchati, akhīṇāsavova samāno ‘khīṇāsavoti maṃ jano jānātū’ti icchati, yā evarūpā icchā icchāgatā pāpicchatā rāgo sārāgo cittassa sārāgo, ayaṃ vuccati pāpicchatā’’ti (vibha. 851) evaṃ vuttaṃ pāḷipadesaṃ saṅgaṇhāti. Pāpikāyāti lāmikāya icchāya. Apakatoti pāpikāya icchāya sammāājīvato apeto katoti icchāya apakato. Tathābhūto ca micchājīvena abhibhūto parājito nāma hotīti āha ‘‘abhibhūto parājito’’ti.

    สามญฺญํ ทุปฺปรามฎฺฐํ นิรยายุปกฑฺฒตีติ ยถา กุโส เยน ทุคฺคหิโต, ตสฺส หตฺถํ อนุกนฺตติ ผาเลติ, เอวเมว สมณธมฺมสงฺขาตํ สามญฺญมฺปิ ขณฺฑสีลาทิตาย ทุปฺปรามฎฺฐํ นิรยาย อุปกฑฺฒติ, นิรเย นิพฺพตฺตาเปตีติ อโตฺถฯ สิถิโลติ โอลียิตฺวา กรเณน สิถิลคฺคาเหน กโตฯ ปริพฺพาโชติ ขณฺฑาทิภาวปฺปโตฺต สมณธโมฺมฯ ภิโยฺย อากิรเต รชนฺติ อพฺภนฺตเร วิชฺชมานํ ราครชาทิํ เอวรูโป สมณธโมฺม อปเนตุํ น สโกฺกติ, อถ โข ตสฺส อุปริ อปรมฺปิ ราครชาทิํ อากิรตีติ อโตฺถฯ ภิกฺขุภาโวติ ปาราชิกํ อาปชฺชิตฺวา ‘‘สมโณ อห’’นฺติ ปฎิชานนโต โวหารมตฺตสิโทฺธ ภิกฺขุภาโวฯ อชานเมวาติ ปาเฐ เอวาติ อวธารณเตฺถ นิปาโตฯ อชานเมวนฺติ ปาเฐ ปน เอวํ ชานามิ เอวํ ปสฺสามีติ อวจนฺติ โยเชตพฺพํฯ

    Sāmaññaṃ dupparāmaṭṭhaṃ nirayāyupakaḍḍhatīti yathā kuso yena duggahito, tassa hatthaṃ anukantati phāleti, evameva samaṇadhammasaṅkhātaṃ sāmaññampi khaṇḍasīlāditāya dupparāmaṭṭhaṃ nirayāya upakaḍḍhati, niraye nibbattāpetīti attho. Sithiloti olīyitvā karaṇena sithilaggāhena kato. Paribbājoti khaṇḍādibhāvappatto samaṇadhammo. Bhiyyo ākirate rajanti abbhantare vijjamānaṃ rāgarajādiṃ evarūpo samaṇadhammo apanetuṃ na sakkoti, atha kho tassa upari aparampi rāgarajādiṃ ākiratīti attho. Bhikkhubhāvoti pārājikaṃ āpajjitvā ‘‘samaṇo aha’’nti paṭijānanato vohāramattasiddho bhikkhubhāvo. Ajānamevāti pāṭhe evāti avadhāraṇatthe nipāto. Ajānamevanti pāṭhe pana evaṃ jānāmi evaṃ passāmīti avacanti yojetabbaṃ.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๔. จตุตฺถปาราชิกํ • 4. Catutthapārājikaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๔. จตุตฺถปาราชิกํ • 4. Catutthapārājikaṃ

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / สวิภงฺคสิกฺขาปทวณฺณนา • Savibhaṅgasikkhāpadavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / สวิภงฺคสิกฺขาปทวณฺณนา • Savibhaṅgasikkhāpadavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact