Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๒. เสลสุตฺตวณฺณนา
2. Selasuttavaṇṇanā
๓๙๖. เอวํ เม สุตนฺติ เสลสุตฺตํฯ ตตฺถ องฺคุตฺตราเปสูติอาทิ โปตลิยสุเตฺต วิตฺถาริตเมวฯ อฑฺฒเตฬเสหีติ อเฑฺฒน เตฬเสหิ, ทฺวาทสหิ สเตหิ ปญฺญาสาย จ ภิกฺขูหิ สทฺธินฺติ วุตฺตํ โหติฯ เต ปน สาวกสนฺนิปาเต สนฺนิปติตา ภิกฺขูเยว สเพฺพ เอหิภิกฺขุปพฺพชฺชาย ปพฺพชิตา ขีณาสวาฯ เกณิโยติ ตสฺส นามํ, ชฎิโลติ ตาปโสฯ โส กิร พฺราหฺมณมหาสาโล, ธนรกฺขณตฺถาย ปน ตาปสปพฺพชฺชํ สมาทาย รโญฺญ ปณฺณาการํ ทตฺวา ภูมิภาคํ คเหตฺวา ตตฺถ อสฺสมํ กาเรตฺวา วสติ ปญฺจหิ สกฎสเตหิ วณิชฺชํ ปโยเชตฺวา กุลสหสฺสสฺส นิสฺสโย หุตฺวา, อสฺสเมปิ จสฺส เอโก ตาลรุโกฺข ทิวเส ทิวเส เอกํ โสวณฺณมยํ ตาลผลํ มุญฺจตีติ วทนฺติฯ โส ทิวา กาสายานิ ธาเรติ, ชฎา จ พนฺธติ, รตฺติํ กามสมฺปตฺติํ อนุภวติฯ ธมฺมิยา กถายาติ ปานกานิสํสปฎิสํยุตฺตาย ธมฺมิยา กถายฯ อยญฺหิ เกณิโย ตุจฺฉหโตฺถ ภควโต ทสฺสนาย คนฺตุํ ลชฺชายมาโน – ‘‘วิกาลโภชนา วิรตานมฺปิ ปานกํ กปฺปตี’’ติ จิเนฺตตฺวา สุสงฺขตพทรปานํ ปญฺจหิ กาชสเตหิ คาหาเปตฺวา อคมาสิฯ เอวํ คตภาโว จสฺส – ‘‘อถ โข เกณิยสฺส ชฎิลสฺส เอตทโหสิ กิํ นุ โข อหํ สมณสฺส โคตมสฺส หราเปยฺย’’นฺติ เภสชฺชกฺขนฺธเก (มหาว. ๓๐๐) ปาฬิอารุโฬฺหเยวฯ
396.Evaṃme sutanti selasuttaṃ. Tattha aṅguttarāpesūtiādi potaliyasutte vitthāritameva. Aḍḍhateḷasehīti aḍḍhena teḷasehi, dvādasahi satehi paññāsāya ca bhikkhūhi saddhinti vuttaṃ hoti. Te pana sāvakasannipāte sannipatitā bhikkhūyeva sabbe ehibhikkhupabbajjāya pabbajitā khīṇāsavā. Keṇiyoti tassa nāmaṃ, jaṭiloti tāpaso. So kira brāhmaṇamahāsālo, dhanarakkhaṇatthāya pana tāpasapabbajjaṃ samādāya rañño paṇṇākāraṃ datvā bhūmibhāgaṃ gahetvā tattha assamaṃ kāretvā vasati pañcahi sakaṭasatehi vaṇijjaṃ payojetvā kulasahassassa nissayo hutvā, assamepi cassa eko tālarukkho divase divase ekaṃ sovaṇṇamayaṃ tālaphalaṃ muñcatīti vadanti. So divā kāsāyāni dhāreti, jaṭā ca bandhati, rattiṃ kāmasampattiṃ anubhavati. Dhammiyā kathāyāti pānakānisaṃsapaṭisaṃyuttāya dhammiyā kathāya. Ayañhi keṇiyo tucchahattho bhagavato dassanāya gantuṃ lajjāyamāno – ‘‘vikālabhojanā viratānampi pānakaṃ kappatī’’ti cintetvā susaṅkhatabadarapānaṃ pañcahi kājasatehi gāhāpetvā agamāsi. Evaṃ gatabhāvo cassa – ‘‘atha kho keṇiyassa jaṭilassa etadahosi kiṃ nu kho ahaṃ samaṇassa gotamassa harāpeyya’’nti bhesajjakkhandhake (mahāva. 300) pāḷiāruḷhoyeva.
ทุติยมฺปิ โข ภควาติ กสฺมา ปุนปฺปุนํ ปฎิกฺขิปิ? ติตฺถิยานํ ปฎิเกฺขปปสนฺนตาย, อการณเมตํ, นตฺถิ พุทฺธานํ ปจฺจยเหตุ เอวรูปํ โกหญฺญํฯ อยํ ปน อฑฺฒเตฬสานิ ภิกฺขุสตานิ ทิสฺวา เอตฺตกานํเยว ภิกฺขํ ปฎิยาเทสฺสติ, เสฺวว เสโล ตีหิ ปุริสสเตหิ สทฺธิํ ปพฺพชิสฺสติฯ อยุตฺตํ โข ปน นวเก อญฺญโต เปเสตฺวา อิเมเหว สทฺธิํ คนฺตุํ, อิเม วา อญฺญโต เปเสตฺวา นวเกหิ สทฺธิํ คนฺตุํฯ อถาปิ สเพฺพ คเหตฺวา คมิสฺสามิ, ภิกฺขาหาโร นปฺปโหสฺสติฯ ตโต ภิกฺขูสุ ปิณฺฑาย จรเนฺตสุ มนุสฺสา อุชฺฌายิสฺสนฺติ – ‘‘จิรสฺสาปิ เกณิโย สมณํ โคตมํ นิมเนฺตตฺวา ยาปนมตฺตํ ทาตุํ นาสกฺขี’’ติ, สยมฺปิ วิปฺปฎิสารี ภวิสฺสติฯ ปฎิเกฺขเป ปน กเต ‘‘สมโณ โคตโม ปุนปฺปุนํ ‘ตฺวญฺจ พฺราหฺมเณสุ อภิปฺปสโนฺน’ติ พฺราหฺมณานํ นามํ คณฺหาตี’’ติ จิเนฺตตฺวา พฺราหฺมเณปิ นิมเนฺตตุกาโม ภวิสฺสติ, ตโต พฺราหฺมเณ ปาฎิเยกฺกํ นิมเนฺตสฺสติ , เต เตน นิมนฺติตา ภิกฺขู หุตฺวา ภุญฺชิสฺสนฺติฯ เอวมสฺส สทฺธา อนุรกฺขิตา ภวิสฺสตีติ ปุนปฺปุนํ ปฎิกฺขิปิฯ กิญฺจาปิ โข, โภติ อิมินา อิทํ ทีเปติ, – ‘‘โภ โคตม, กิํ ชาตํ ยทิ อหํ พฺราหฺมเณสุ อภิปฺปสโนฺน, อธิวาเสตุ ภวํ โคตโม, อหํ พฺราหฺมณานมฺปิ ทาตุํ สโกฺกมิ ตุมฺหากมฺปี’’ติฯ
Dutiyampi kho bhagavāti kasmā punappunaṃ paṭikkhipi? Titthiyānaṃ paṭikkhepapasannatāya, akāraṇametaṃ, natthi buddhānaṃ paccayahetu evarūpaṃ kohaññaṃ. Ayaṃ pana aḍḍhateḷasāni bhikkhusatāni disvā ettakānaṃyeva bhikkhaṃ paṭiyādessati, sveva selo tīhi purisasatehi saddhiṃ pabbajissati. Ayuttaṃ kho pana navake aññato pesetvā imeheva saddhiṃ gantuṃ, ime vā aññato pesetvā navakehi saddhiṃ gantuṃ. Athāpi sabbe gahetvā gamissāmi, bhikkhāhāro nappahossati. Tato bhikkhūsu piṇḍāya carantesu manussā ujjhāyissanti – ‘‘cirassāpi keṇiyo samaṇaṃ gotamaṃ nimantetvā yāpanamattaṃ dātuṃ nāsakkhī’’ti, sayampi vippaṭisārī bhavissati. Paṭikkhepe pana kate ‘‘samaṇo gotamo punappunaṃ ‘tvañca brāhmaṇesu abhippasanno’ti brāhmaṇānaṃ nāmaṃ gaṇhātī’’ti cintetvā brāhmaṇepi nimantetukāmo bhavissati, tato brāhmaṇe pāṭiyekkaṃ nimantessati , te tena nimantitā bhikkhū hutvā bhuñjissanti. Evamassa saddhā anurakkhitā bhavissatīti punappunaṃ paṭikkhipi. Kiñcāpi kho, bhoti iminā idaṃ dīpeti, – ‘‘bho gotama, kiṃ jātaṃ yadi ahaṃ brāhmaṇesu abhippasanno, adhivāsetu bhavaṃ gotamo, ahaṃ brāhmaṇānampi dātuṃ sakkomi tumhākampī’’ti.
กายเวยฺยาวฎิกนฺติ กายเวยฺยาวจฺจํฯ มณฺฑลมาฬนฺติ ทุสฺสมณฺฑปํฯ
Kāyaveyyāvaṭikanti kāyaveyyāvaccaṃ. Maṇḍalamāḷanti dussamaṇḍapaṃ.
๓๙๗. อาวาโหติ กญฺญาคหณํฯ วิวาโหติ กญฺญาทานํฯ โส เม นิมนฺติโตติ โส มยา นิมนฺติโตฯ อถ พฺราหฺมโณ ปริปโกฺกปนิสฺสยตฺตา พุทฺธสทฺทํ สุตฺวาว อมเตเนวาภิสิโตฺต ปสาทํ อาวิกโรโนฺต พุโทฺธติ , โภ เกณิย, วเทสีติ อาหฯ เกณิโย ยถาภูตํ อาจิกฺขโนฺต พุโทฺธติ, โภ เสล, วทามีติ อาหฯ ตโต นํ ปุนปิ ทฬฺหีกรณตฺถํ ปุจฺฉิ, อิตโรปิ ตเถว อาโรเจสิฯ
397.Āvāhoti kaññāgahaṇaṃ. Vivāhoti kaññādānaṃ. So me nimantitoti so mayā nimantito. Atha brāhmaṇo paripakkopanissayattā buddhasaddaṃ sutvāva amatenevābhisitto pasādaṃ āvikaronto buddhoti, bho keṇiya, vadesīti āha. Keṇiyo yathābhūtaṃ ācikkhanto buddhoti, bho sela, vadāmīti āha. Tato naṃ punapi daḷhīkaraṇatthaṃ pucchi, itaropi tatheva ārocesi.
๓๙๘. อถสฺส กปฺปสตสหเสฺสหิปิ พุทฺธสทฺทเสฺสว ทุลฺลภภาวํ สมฺปสฺสโตฯ เอตทโหสีติฯ เอตํ ‘‘โฆโสปิ โข’’ติอาทิ อโหสิฯ นีลวนราชีติ นีลวณฺณรุกฺขปนฺติฯ ปเท ปทนฺติ ปทปฺปมาเณ ปทํฯ อจฺจาสเนฺน หิ อติทูเร วา ปาเท นิกฺขิปมาเน สโทฺท อุฎฺฐาติ, ตํ ปฎิเสเธโนฺต เอวมาหฯ สีหาว เอกจราติ คณวาสี สีโห สีหโปตกาทีหิ สทฺธิํ ปมาทํ อาปชฺชติ, เอกจโร อปฺปมโตฺต โหติฯ อิติ อปฺปมาทวิหารํ ทเสฺสโนฺต เอกจรสีเหน โอปมฺมํ กโรติฯ มา เม โภโนฺตติ อาจารํ สิกฺขาเปโนฺต อาหฯ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโย – สเจ ตุเมฺห กถาวารํ อลภิตฺวา มม กถาย อนฺตเร กถํ ปเวเสสฺสถ, ‘‘อเนฺตวาสิเก สิกฺขาเปตุํ นาสกฺขี’’ติ มยฺหํ ครหา อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตสฺมา โอกาสํ ปสฺสิตฺวา มเนฺตยฺยาถาติฯ โน จ โข นํ ชานามีติ วิปสฺสีปิ โพธิสโตฺต จตุราสีติสหสฺสเตฺถรปพฺพชิตปริวาโร สตฺต มาสานิ โพธิสตฺตจาริกํ จริ, พุทฺธุปฺปาทกาโล วิย อโหสิฯ อมฺหากมฺปิ โพธิสโตฺต ฉพฺพสฺสานิ โพธิสตฺตจาริกํ จริฯ เอวํ ปริปุณฺณสรีรลกฺขเณหิ สมนฺนาคตาปิ พุทฺธา น โหนฺติฯ ตสฺมา พฺราหฺมโณ ‘‘โน จ โข นํ ชานามี’’ติ อาหฯ
398. Athassa kappasatasahassehipi buddhasaddasseva dullabhabhāvaṃ sampassato. Etadahosīti. Etaṃ ‘‘ghosopi kho’’tiādi ahosi. Nīlavanarājīti nīlavaṇṇarukkhapanti. Pade padanti padappamāṇe padaṃ. Accāsanne hi atidūre vā pāde nikkhipamāne saddo uṭṭhāti, taṃ paṭisedhento evamāha. Sīhāva ekacarāti gaṇavāsī sīho sīhapotakādīhi saddhiṃ pamādaṃ āpajjati, ekacaro appamatto hoti. Iti appamādavihāraṃ dassento ekacarasīhena opammaṃ karoti. Mā me bhontoti ācāraṃ sikkhāpento āha. Ayañhettha adhippāyo – sace tumhe kathāvāraṃ alabhitvā mama kathāya antare kathaṃ pavesessatha, ‘‘antevāsike sikkhāpetuṃ nāsakkhī’’ti mayhaṃ garahā uppajjissati, tasmā okāsaṃ passitvā manteyyāthāti. No ca kho naṃ jānāmīti vipassīpi bodhisatto caturāsītisahassattherapabbajitaparivāro satta māsāni bodhisattacārikaṃ cari, buddhuppādakālo viya ahosi. Amhākampi bodhisatto chabbassāni bodhisattacārikaṃ cari. Evaṃ paripuṇṇasarīralakkhaṇehi samannāgatāpi buddhā na honti. Tasmā brāhmaṇo ‘‘no ca kho naṃ jānāmī’’ti āha.
๓๙๙. ปริปุณฺณกาโยติ ลกฺขเณหิ ปริปุณฺณตาย อหีนงฺคตาย จ ปริปุณฺณสรีโรฯ สุรุจีติ สุนฺทรสรีรปฺปโภฯ สุชาโตติ อาโรหปริณาหสมฺปตฺติยา สณฺฐานสมฺปตฺติยา จ สุนิพฺพโตฺตฯ จารุทสฺสโนติ สุจิรมฺปิ ปสฺสนฺตานํ อติตฺติชนโก มโนหรทสฺสโนฯ สุวณฺณวโณฺณติ สุวณฺณสทิสวโณฺณฯ สุสุกฺกทาโฐติ สุฎฺฐุ สุกฺกทาโฐฯ มหาปุริสลกฺขณาติ ปฐมํ วุตฺตพฺยญฺชนาเนว วจนนฺตเรน นิคเมโนฺต อาหฯ
399.Paripuṇṇakāyoti lakkhaṇehi paripuṇṇatāya ahīnaṅgatāya ca paripuṇṇasarīro. Surucīti sundarasarīrappabho. Sujātoti ārohapariṇāhasampattiyā saṇṭhānasampattiyā ca sunibbatto. Cārudassanoti sucirampi passantānaṃ atittijanako manoharadassano. Suvaṇṇavaṇṇoti suvaṇṇasadisavaṇṇo. Susukkadāṭhoti suṭṭhu sukkadāṭho. Mahāpurisalakkhaṇāti paṭhamaṃ vuttabyañjanāneva vacanantarena nigamento āha.
อิทานิ เตสุ ลกฺขเณสุ อตฺตโน จิตฺตรุจิตานิ คเหตฺวา โถเมโนฺต ปสนฺนเนโตฺตติอาทิมาหฯ ภควา หิ ปญฺจวณฺณปสาทสมฺปตฺติยา ปสนฺนเนโตฺต, ปุณฺณจนฺทสทิสมุขตาย สุมุโข, อาโรหปริณาหสมฺปตฺติยา พฺรหา, พฺรหฺมุชุคตฺตตาย อุชุ, ชุติมนฺตตาย ปตาปวาฯ ยมฺปิ เจตฺถ ปุเพฺพ วุตฺตํ, ตํ ‘‘มเชฺฌ สมณสงฺฆสฺสา’’ติ อิมินา ปริยาเยน โถมยตา ปุน วุตฺตํฯ เอทิโส หิ เอวํ วิโรจติฯ อุตฺตรคาถายปิ เอเสว นโยฯ อุตฺตมวณฺณีโนติ อุตฺตมวณฺณสมฺปนฺนสฺสฯ รเถสโภติ อุตฺตมสารถิฯ ชมฺพุสณฺฑสฺสาติ ชมฺพุทีปสฺสฯ ปากเฎน อิสฺสริยํ อิสฺสโร โหติฯ
Idāni tesu lakkhaṇesu attano cittarucitāni gahetvā thomento pasannanettotiādimāha. Bhagavā hi pañcavaṇṇapasādasampattiyā pasannanetto, puṇṇacandasadisamukhatāya sumukho, ārohapariṇāhasampattiyā brahā, brahmujugattatāya uju, jutimantatāya patāpavā. Yampi cettha pubbe vuttaṃ, taṃ ‘‘majjhe samaṇasaṅghassā’’ti iminā pariyāyena thomayatā puna vuttaṃ. Ediso hi evaṃ virocati. Uttaragāthāyapi eseva nayo. Uttamavaṇṇīnoti uttamavaṇṇasampannassa. Rathesabhoti uttamasārathi. Jambusaṇḍassāti jambudīpassa. Pākaṭena issariyaṃ issaro hoti.
ขตฺติยาติ ชาติขตฺติยาฯ โภคีติ โภคิยาฯ ราชาโนติ เย เกจิ รชฺชํ กาเรนฺตาฯ ราชาภิราชาติ ราชูนํ ปูชนีโย, อธิราชา หุตฺวา, จกฺกวตฺตีติ อธิปฺปาโยฯ มนุชิโนฺทติ มนุสฺสาธิปติ ปรมิสฺสโร หุตฺวาฯ
Khattiyāti jātikhattiyā. Bhogīti bhogiyā. Rājānoti ye keci rajjaṃ kārentā. Rājābhirājāti rājūnaṃ pūjanīyo, adhirājā hutvā, cakkavattīti adhippāyo. Manujindoti manussādhipati paramissaro hutvā.
เอวํ วุเตฺต ภควา – ‘‘เย เต ภวนฺติ อรหโนฺต สมฺมาสมฺพุทฺธา, เต สกวเณฺณ ภญฺญมาเน อตฺตานํ ปาตุกโรนฺตี’’ติ อิมํ เสลสฺส มโนรถํ ปูเรโนฺต ราชาหมสฺมีติอาทิมาหฯ ตตฺรายมธิปฺปาโย – ยํ มํ ตฺวํ เสล ‘‘ราชา อรหสิ ภวิตุ’’นฺติ ยาจสิ, เอตฺถ อโปฺปสฺสุโกฺก โหติ ราชาหมสฺมิฯ สติ จ ราชเตฺต ยถา อโญฺญ ราชา โยชนสตํ วา อนุสาสติ โยชนสหสฺสํ วา, จกฺกวตฺตี หุตฺวาปิ จตุทีปปริยนฺตมตฺตํ วา, นาหเมวํ ปริจฺฉินฺนวิสโย, อหญฺหิ ธมฺมราชา อนุตฺตโร ภวคฺคโต อวีจิปริยนฺตํ กตฺวา ติริยํ อปฺปมาณโลกธาตุโย อนุสาสามิฯ ยาวตา หิ อปททฺวิปทาทิเภทา สตฺตา, อหํ เตสํ อโคฺคฯ น หิ เม โกจิ สีเลน วา…เป.… วิมุตฺติญาณทสฺสเนน วา ปฎิภาโค อตฺถิ, สฺวาหํ เอวํ ธมฺมราชา อนุตฺตโร อนุตฺตเรเนว จตุสติปฎฺฐานาทิเภเทน ธเมฺมน จกฺกํ วเตฺตมิฯ อิทํ ปชหถ, อิทํ อุปสมฺปชฺช วิหรถาติ อาณาจกฺกํ, อิทํ โข ปน, ภิกฺขเว, ทุกฺขํ อริยสจฺจนฺติอาทินา ปริยตฺติธเมฺมน ธมฺมจกฺกเมว วาฯ จกฺกํ อปฺปฎิวตฺติยนฺติ ยํ จกฺกํ อปฺปฎิวตฺติยํ โหติ สมเณน วา…เป.… เกนจิ วา โลกสฺมินฺติฯ
Evaṃ vutte bhagavā – ‘‘ye te bhavanti arahanto sammāsambuddhā, te sakavaṇṇe bhaññamāne attānaṃ pātukarontī’’ti imaṃ selassa manorathaṃ pūrento rājāhamasmītiādimāha. Tatrāyamadhippāyo – yaṃ maṃ tvaṃ sela ‘‘rājā arahasi bhavitu’’nti yācasi, ettha appossukko hoti rājāhamasmi. Sati ca rājatte yathā añño rājā yojanasataṃ vā anusāsati yojanasahassaṃ vā, cakkavattī hutvāpi catudīpapariyantamattaṃ vā, nāhamevaṃ paricchinnavisayo, ahañhi dhammarājā anuttaro bhavaggato avīcipariyantaṃ katvā tiriyaṃ appamāṇalokadhātuyo anusāsāmi. Yāvatā hi apadadvipadādibhedā sattā, ahaṃ tesaṃ aggo. Na hi me koci sīlena vā…pe… vimuttiñāṇadassanena vā paṭibhāgo atthi, svāhaṃ evaṃ dhammarājā anuttaro anuttareneva catusatipaṭṭhānādibhedena dhammena cakkaṃ vattemi. Idaṃ pajahatha, idaṃ upasampajja viharathāti āṇācakkaṃ, idaṃ kho pana, bhikkhave, dukkhaṃ ariyasaccantiādinā pariyattidhammena dhammacakkameva vā. Cakkaṃ appaṭivattiyanti yaṃ cakkaṃ appaṭivattiyaṃ hoti samaṇena vā…pe… kenaci vā lokasminti.
เอวํ อตฺตานํ อาวิกโรนฺตํ ภควนฺตํ ทิสฺวา ปีติโสมนสฺสชาโต เสโล ปุน ทฬฺหีกรณตฺถํ สมฺพุโทฺธ ปฎิชานาสีติ คาถาทฺวยมาหฯ ตตฺถ โก นุ เสนาปตีติ รโญฺญ โภโต ธเมฺมน ปวตฺติตสฺส จกฺกสฺส อนุปวตฺตโก เสนาปติ โก นูติ ปุจฺฉิฯ
Evaṃ attānaṃ āvikarontaṃ bhagavantaṃ disvā pītisomanassajāto selo puna daḷhīkaraṇatthaṃ sambuddho paṭijānāsīti gāthādvayamāha. Tattha ko nu senāpatīti rañño bhoto dhammena pavattitassa cakkassa anupavattako senāpati ko nūti pucchi.
เตน จ สมเยน ภควโต ทกฺขิณปเสฺส อายสฺมา สาริปุโตฺต นิสิโนฺน โหติ สุวณฺณปุโญฺช วิย สิริยา โสภมาโน, ตํ ทเสฺสโนฺต ภควา มยา ปวตฺติตนฺติ คาถมาหฯ ตตฺถ อนุชาโต ตถาคตนฺติ ตถาคตํ เหตุํ อนุชาโต, ตถาคเตน เหตุนา ชาโตติ อโตฺถฯ อปิจ อวชาโต อนุชาโต อติชาโตติ ตโย วุตฺตาฯ เตสุ อวชาโต ทุสฺสีโล, โส ตถาคตสฺส ปุโตฺต นาม น โหติฯ อติชาโต นาม ปิตรา อุตฺตริตโร, ตาทิโสปิ ตถาคตสฺส ปุโตฺต นตฺถิฯ ตถาคตสฺส ปน เอโก อนุชาโตว ปุโตฺต โหติ, ตํ ทเสฺสโนฺต เอวมาหฯ
Tena ca samayena bhagavato dakkhiṇapasse āyasmā sāriputto nisinno hoti suvaṇṇapuñjo viya siriyā sobhamāno, taṃ dassento bhagavā mayā pavattitanti gāthamāha. Tattha anujāto tathāgatanti tathāgataṃ hetuṃ anujāto, tathāgatena hetunā jātoti attho. Apica avajāto anujāto atijātoti tayo vuttā. Tesu avajāto dussīlo, so tathāgatassa putto nāma na hoti. Atijāto nāma pitarā uttaritaro, tādisopi tathāgatassa putto natthi. Tathāgatassa pana eko anujātova putto hoti, taṃ dassento evamāha.
เอวํ ‘‘โก นุ เสนาปตี’’ติ ปญฺหํ พฺยากริตฺวา ยํ เสโล อาห ‘‘สมฺพุโทฺธ ปฎิชานาสี’’ติ, ตตฺร นํ นิกฺกงฺขํ กาตุกาโม ‘‘นาหํ ปฎิญฺญามเตฺตเนว ปฎิชานามิ, อปิจาหํ อิมินา การเณน พุโทฺธ’’ติ ญาเปตุํ อภิเญฺญยฺยนฺติ คาถมาหฯ ตตฺร อภิเญฺญยฺยนฺติ วิชฺชา จ วิมุตฺติ จฯ ภาเวตพฺพํ มคฺคสจฺจํฯ ปหาตพฺพํ สมุทยสจฺจํฯ เหตุวจเนน ปน ผลสิทฺธิโต เตสํ ผลานิ นิโรธสจฺจทุกฺขสจฺจานิปิ วุตฺตาเนว โหนฺติฯ เอวํ สจฺฉิกาตพฺพํ สจฺฉิกตํ ปริญฺญาตพฺพํ ปริญฺญาตนฺติ อิทเมฺปตฺถ สงฺคหิตนฺติ จตุสจฺจภาวนาผลญฺจ วิมุตฺติญฺจ ทเสฺสโนฺต ‘‘พุชฺฌิตพฺพํ พุชฺฌิตฺวา พุโทฺธ ชาโตสฺมี’’ติ ยุตฺตเหตุนา พุทฺธภาวํ สาเธติฯ
Evaṃ ‘‘ko nu senāpatī’’ti pañhaṃ byākaritvā yaṃ selo āha ‘‘sambuddho paṭijānāsī’’ti, tatra naṃ nikkaṅkhaṃ kātukāmo ‘‘nāhaṃ paṭiññāmatteneva paṭijānāmi, apicāhaṃ iminā kāraṇena buddho’’ti ñāpetuṃ abhiññeyyanti gāthamāha. Tatra abhiññeyyanti vijjā ca vimutti ca. Bhāvetabbaṃ maggasaccaṃ. Pahātabbaṃ samudayasaccaṃ. Hetuvacanena pana phalasiddhito tesaṃ phalāni nirodhasaccadukkhasaccānipi vuttāneva honti. Evaṃ sacchikātabbaṃ sacchikataṃ pariññātabbaṃ pariññātanti idampettha saṅgahitanti catusaccabhāvanāphalañca vimuttiñca dassento ‘‘bujjhitabbaṃ bujjhitvā buddho jātosmī’’ti yuttahetunā buddhabhāvaṃ sādheti.
เอวํ นิปฺปริยาเยน อตฺตานํ อาวิกตฺวา อตฺตนิ กงฺขาวิตรณตฺถํ พฺราหฺมณํ อติจาริยมาโน วินยสฺสูติ คาถตฺตยมาหฯ ตตฺถ สลฺลกโตฺตติ ราคาทิสลฺลกนฺตโนฯ อนุตฺตโรติ ยถา พาหิรเวเชฺชน วูปสมิตโรโค อิมสฺมิเญฺญวตฺตภาเว กุปฺปติ, น เอวํฯ มยา วูปสมิตสฺส ปน โรคสฺส ภวนฺตเรปิ อุปฺปตฺติ นตฺถิ, ตสฺมา อหํ อนุตฺตโรติ อโตฺถฯ พฺรหฺมภูโตติ เสฎฺฐภูโตฯ อติตุโลติ ตุลํ อตีโต, นิรุปโมติ อโตฺถฯ มารเสนปฺปมทฺทโนติ กามา เต ปฐมา เสนาติ เอวํ อาคตาย มารเสนาย ปมทฺทโนฯ สพฺพามิเตฺตติ ขนฺธกิเลสาภิสงฺขารมจฺจุเทวปุตฺตมารสงฺขาเต สพฺพปจฺจตฺถิเกฯ วสีกตฺวาติ อตฺตโน วเส วเตฺตตฺวาฯ อกุโตภโยติ กุโตจิ อภโยฯ
Evaṃ nippariyāyena attānaṃ āvikatvā attani kaṅkhāvitaraṇatthaṃ brāhmaṇaṃ aticāriyamāno vinayassūti gāthattayamāha. Tattha sallakattoti rāgādisallakantano. Anuttaroti yathā bāhiravejjena vūpasamitarogo imasmiññevattabhāve kuppati, na evaṃ. Mayā vūpasamitassa pana rogassa bhavantarepi uppatti natthi, tasmā ahaṃ anuttaroti attho. Brahmabhūtoti seṭṭhabhūto. Atituloti tulaṃ atīto, nirupamoti attho. Mārasenappamaddanoti kāmā te paṭhamā senāti evaṃ āgatāya mārasenāya pamaddano. Sabbāmitteti khandhakilesābhisaṅkhāramaccudevaputtamārasaṅkhāte sabbapaccatthike. Vasīkatvāti attano vase vattetvā. Akutobhayoti kutoci abhayo.
เอวํ วุเตฺต เสโล พฺราหฺมโณ ตาวเทว ภควติ สญฺชาตปสาโท ปพฺพชฺชาเปโกฺข หุตฺวา อิมํ โภโนฺตติ คาถตฺตยมาหฯ ตตฺถ กณฺหาภิชาติโกติ จณฺฑาลาทินีจกุเล ชาโตฯ ตโต เตปิ มาณวกา ปพฺพชฺชาเปกฺขา หุตฺวา เอวเญฺจ รุจฺจติ, โภโตติ คาถมาหํสุฯ อถ เสโล เตสุ มาณวเกสุ ตุฎฺฐจิโตฺต เต จ ทเสฺสโนฺต ปพฺพชฺชํ ยาจโนฺต ‘‘พฺราหฺมณา’’ติ คาถมาหฯ
Evaṃ vutte selo brāhmaṇo tāvadeva bhagavati sañjātapasādo pabbajjāpekkho hutvā imaṃ bhontoti gāthattayamāha. Tattha kaṇhābhijātikoti caṇḍālādinīcakule jāto. Tato tepi māṇavakā pabbajjāpekkhā hutvā evañce ruccati, bhototi gāthamāhaṃsu. Atha selo tesu māṇavakesu tuṭṭhacitto te ca dassento pabbajjaṃ yācanto ‘‘brāhmaṇā’’ti gāthamāha.
ตโต ภควา ยสฺมา เสโล อตีเต ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต สาสเน เตสํเยว ติณฺณํ ปุริสสตานํ คณเสโฎฺฐ หุตฺวา เตหิ สทฺธิํ ปริเวณํ กาเรตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา เตน กเมฺมน เทวมนุสฺสสมฺปตฺติํ อนุภวมาโน ปจฺฉิเม ภเว เตสํเยว อาจริโย หุตฺวา นิพฺพโตฺต, ตญฺจ เตสํ กมฺมํ วิมุตฺติปริปากาย ปริปกฺกํ เอหิภิกฺขุภาวสฺส จ อุปนิสฺสยภูตํ, ตสฺมา เต สเพฺพว เอหิภิกฺขุปพฺพชฺชํ ปพฺพาเชโนฺต สฺวากฺขาตนฺติ คาถมาหฯ ตตฺถ สนฺทิฎฺฐิกนฺติ สยเมว ทฎฺฐพฺพํ ปจฺจกฺขํฯ อกาลิกนฺติ มคฺคานนฺตรผลุปฺปตฺติยา น กาลนฺตรํ ปตฺตพฺพผลํฯ ยตฺถ อโมฆาติ ยสฺมิํ มคฺคพฺรหฺมจริเย อปฺปมตฺตสฺส สิกฺขตฺตยปูรเณน สิกฺขโต ปพฺพชฺชา อโมฆา โหติ, สผลาติ อโตฺถฯ เอวญฺจ วตฺวา ‘‘เอถ ภิกฺขโว’’ติ ภควา อโวจฯ เต สเพฺพ ปตฺตจีวรธรา หุตฺวา อากาเสนาคนฺตฺวา วสฺสสติกเตฺถรา วิย สุวินีตา ภควนฺตํ อภิวาทยิํสุฯ เอวมิมํ เตสํ เอหิภิกฺขุภาวํ สนฺธาย ‘‘อลตฺถ โข เสโล’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
Tato bhagavā yasmā selo atīte padumuttarassa bhagavato sāsane tesaṃyeva tiṇṇaṃ purisasatānaṃ gaṇaseṭṭho hutvā tehi saddhiṃ pariveṇaṃ kāretvā dānādīni puññāni katvā tena kammena devamanussasampattiṃ anubhavamāno pacchime bhave tesaṃyeva ācariyo hutvā nibbatto, tañca tesaṃ kammaṃ vimuttiparipākāya paripakkaṃ ehibhikkhubhāvassa ca upanissayabhūtaṃ, tasmā te sabbeva ehibhikkhupabbajjaṃ pabbājento svākkhātanti gāthamāha. Tattha sandiṭṭhikanti sayameva daṭṭhabbaṃ paccakkhaṃ. Akālikanti maggānantaraphaluppattiyā na kālantaraṃ pattabbaphalaṃ. Yattha amoghāti yasmiṃ maggabrahmacariye appamattassa sikkhattayapūraṇena sikkhato pabbajjā amoghā hoti, saphalāti attho. Evañca vatvā ‘‘etha bhikkhavo’’ti bhagavā avoca. Te sabbe pattacīvaradharā hutvā ākāsenāgantvā vassasatikattherā viya suvinītā bhagavantaṃ abhivādayiṃsu. Evamimaṃ tesaṃ ehibhikkhubhāvaṃ sandhāya ‘‘alattha kho selo’’tiādi vuttaṃ.
๔๐๐. อิมาหีติ อิมาหิ เกณิยสฺส จิตฺตานุกูลาหิ คาถาหิฯ ตตฺถ อคฺคิปริจริยํ วินา พฺราหฺมณานํ ยญฺญาภาวโต ‘‘อคฺคิหุตฺตมุขา ยญฺญา’’ติ วุตฺตํฯ อคฺคิหุตฺตเสฎฺฐา อคฺคิชุหนปฺปธานาติ อโตฺถฯ เวเท สชฺฌายเนฺตหิ ปฐมํ สชฺฌายิตพฺพโต, สาวิตฺตี, ‘‘ฉนฺทโส มุข’’นฺติ วุโตฺตฯ มนุสฺสานํ เสฎฺฐโต ราชา ‘‘มุข’’นฺติ วุโตฺตฯ นทีนํ อาธารโต ปฎิสรณโต จ สาคโร ‘‘มุข’’นฺติ วุโตฺตฯ จนฺทโยควเสน ‘‘อชฺช กตฺติกา อชฺช โรหิณี’’ติ สญฺญาณโต อาโลกกรณโต โสมฺมภาวโต จ ‘‘นกฺขตฺตานํ มุขํ จโนฺท’’ติ วุตฺตํฯ ตปนฺตานํ อคฺคตฺตา อาทิโจฺจ ‘‘ตปตํ มุข’’นฺติ วุโตฺตฯ ทกฺขิเณยฺยานํ ปน อคฺคตฺตา วิเสเสน ตสฺมิํ สมเย พุทฺธปฺปมุขํ สงฺฆํ สนฺธาย ‘‘ปุญฺญํ อากงฺขมานานํ, สโงฺฆ เอว ยชตํ มุข’’นฺติ วุตฺตํฯ เตน สโงฺฆ ปุญฺญสฺส อายมุขนฺติ ทเสฺสติฯ
400.Imāhīti imāhi keṇiyassa cittānukūlāhi gāthāhi. Tattha aggiparicariyaṃ vinā brāhmaṇānaṃ yaññābhāvato ‘‘aggihuttamukhā yaññā’’ti vuttaṃ. Aggihuttaseṭṭhā aggijuhanappadhānāti attho. Vede sajjhāyantehi paṭhamaṃ sajjhāyitabbato, sāvittī, ‘‘chandaso mukha’’nti vutto. Manussānaṃ seṭṭhato rājā ‘‘mukha’’nti vutto. Nadīnaṃ ādhārato paṭisaraṇato ca sāgaro ‘‘mukha’’nti vutto. Candayogavasena ‘‘ajja kattikā ajja rohiṇī’’ti saññāṇato ālokakaraṇato sommabhāvato ca ‘‘nakkhattānaṃ mukhaṃ cando’’ti vuttaṃ. Tapantānaṃ aggattā ādicco ‘‘tapataṃ mukha’’nti vutto. Dakkhiṇeyyānaṃ pana aggattā visesena tasmiṃ samaye buddhappamukhaṃ saṅghaṃ sandhāya ‘‘puññaṃ ākaṅkhamānānaṃ, saṅgho eva yajataṃ mukha’’nti vuttaṃ. Tena saṅgho puññassa āyamukhanti dasseti.
ยํ ตํ สรณนฺติ อญฺญํ พฺยากรณคาถมาหฯ ตสฺสโตฺถ – ปญฺจหิ จกฺขูหิ จกฺขุมา ภควา ยสฺมา มยํ อิโต อฎฺฐเม ทิวเส ตํ สรณํ อาคตมฺหา, ตสฺมา อตฺตนา ตว สาสเน อนุตฺตเรน ทมเถน ทนฺตามฺหา, อโห เต สรณสฺส อานุภาโวติฯ
Yaṃ taṃ saraṇanti aññaṃ byākaraṇagāthamāha. Tassattho – pañcahi cakkhūhi cakkhumā bhagavā yasmā mayaṃ ito aṭṭhame divase taṃ saraṇaṃ āgatamhā, tasmā attanā tava sāsane anuttarena damathena dantāmhā, aho te saraṇassa ānubhāvoti.
ตโต ปรํ ภควนฺตํ ทฺวีหิ คาถาหิ โถเมตฺวา ตติยาย วนฺทนํ ยาจโนฺต ภิกฺขโว ติสตา อิเมติอาทิมาหาติฯ
Tato paraṃ bhagavantaṃ dvīhi gāthāhi thometvā tatiyāya vandanaṃ yācanto bhikkhavo tisatā imetiādimāhāti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
เสลสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Selasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๒. เสลสุตฺตํ • 2. Selasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๒. เสลสุตฺตวณฺณนา • 2. Selasuttavaṇṇanā