Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิมานวตฺถุ-อฎฺฐกถา • Vimānavatthu-aṭṭhakathā |
๑๐. เสรีสกวิมานวณฺณนา
10. Serīsakavimānavaṇṇanā
สุโณถ ยกฺขสฺส จ วาณิชาน จาติ เสรีสกวิมานํฯ ตสฺส กา อุปฺปตฺติ? ภควติ ปรินิพฺพุเต อายสฺมา กุมารกสฺสโป ปญฺจหิ ภิกฺขุสเตหิ สทฺธิํ เสตพฺยนครํ สมฺปโตฺตฯ ตตฺถ ปายาสิราชญฺญํ อตฺตโน สนฺติกํ อุปคตํ วิปรีตคฺคาหโต วิเวเจตฺวา สมฺมาทสฺสเน ปติฎฺฐาเปสิฯ โส ตโต ปฎฺฐาย ปุญฺญปสุโต หุตฺวา สมณพฺราหฺมณานํ ทานํ เทโนฺต ตตฺถ อกตปริจยตาย อสกฺกจฺจํ ทานํ ทตฺวา อปรภาเค กาลํ กตฺวา จาตุมหาราชิกภวเน สุเญฺญ เสรีสเก วิมาเน นิพฺพตฺติฯ
Suṇothayakkhassa ca vāṇijāna cāti serīsakavimānaṃ. Tassa kā uppatti? Bhagavati parinibbute āyasmā kumārakassapo pañcahi bhikkhusatehi saddhiṃ setabyanagaraṃ sampatto. Tattha pāyāsirājaññaṃ attano santikaṃ upagataṃ viparītaggāhato vivecetvā sammādassane patiṭṭhāpesi. So tato paṭṭhāya puññapasuto hutvā samaṇabrāhmaṇānaṃ dānaṃ dento tattha akataparicayatāya asakkaccaṃ dānaṃ datvā aparabhāge kālaṃ katvā cātumahārājikabhavane suññe serīsake vimāne nibbatti.
อตีเต กิร กสฺสปสฺส ภควโต กาเล เอโก ขีณาสวเตฺถโร อญฺญตรสฺมิํ คาเม ปิณฺฑาย จริตฺวา พหิคาเม เทวสิกํ เอกสฺมิํ ปเทเส ภตฺตกิจฺจํ อกาสิฯ ตํ ทิสฺวา เอโก โคปาลโก ‘‘อโยฺย สูริยาตเปน กิลมตี’’ติ ปสนฺนจิโตฺต จตูหิ สิรีสถเมฺภหิ สาขามณฺฑปํ กตฺวา อทาสิ, มณฺฑปสฺส สมีเป สิรีสรุกฺขํ โรเปสีติ จ วทนฺติฯ โส กาลํ กตฺวา เตเนว ปุญฺญกเมฺมน จาตุมหาราชิเกสุ นิพฺพตฺติ, ตสฺส ปุริมกมฺมสฺส สูจกํ วิมานทฺวาเร สิรีสวนํ นิพฺพตฺติ วณฺณคนฺธสมฺปเนฺนหิ ปุเปฺผหิ สพฺพกาลํ อุปโสภมานํ, เตน ตํ วิมานํ ‘‘เสรีสก’’นฺติ ปญฺญายิตฺถฯ โส จ เทวปุโตฺต เอกํ พุทฺธนฺตรํ เทเวสุ เจว มนุเสฺสสุ จ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท ยสเตฺถรสฺส จตูสุ วิมลาทีสุ คิหิสหาเยสุ ควมฺปติ นาม หุตฺวา ภควโต ธมฺมเทสนาย อรหเตฺต ปติฎฺฐิโต ปุพฺพาจิณฺณวเสน ตํ สุญฺญวิมานํ ทิสฺวา อภิณฺหํ ทิวาวิหารํ คจฺฉติฯ
Atīte kira kassapassa bhagavato kāle eko khīṇāsavatthero aññatarasmiṃ gāme piṇḍāya caritvā bahigāme devasikaṃ ekasmiṃ padese bhattakiccaṃ akāsi. Taṃ disvā eko gopālako ‘‘ayyo sūriyātapena kilamatī’’ti pasannacitto catūhi sirīsathambhehi sākhāmaṇḍapaṃ katvā adāsi, maṇḍapassa samīpe sirīsarukkhaṃ ropesīti ca vadanti. So kālaṃ katvā teneva puññakammena cātumahārājikesu nibbatti, tassa purimakammassa sūcakaṃ vimānadvāre sirīsavanaṃ nibbatti vaṇṇagandhasampannehi pupphehi sabbakālaṃ upasobhamānaṃ, tena taṃ vimānaṃ ‘‘serīsaka’’nti paññāyittha. So ca devaputto ekaṃ buddhantaraṃ devesu ceva manussesu ca saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde yasattherassa catūsu vimalādīsu gihisahāyesu gavampati nāma hutvā bhagavato dhammadesanāya arahatte patiṭṭhito pubbāciṇṇavasena taṃ suññavimānaṃ disvā abhiṇhaṃ divāvihāraṃ gacchati.
โส อปรภาเค ปายาสิเทวปุตฺตํ ตตฺถ ทิสฺวา ‘‘โกสิ ตฺวํ, อาวุโส’’ติ ปุจฺฉิตฺวา เตน ‘‘อหํ, ภเนฺต, ปายาสิราชโญฺญ อิธูปปโนฺน’’ติ วุเตฺต ‘‘นนุ ตฺวํ มิจฺฉาทิฎฺฐิโก วิปรีตทสฺสโน กถมิธูปปโนฺน’’ติ อาหฯ อถ นํ ปายาสิเทวปุโตฺต ‘‘อเยฺยนมฺหิ กุมารกสฺสปเตฺถเรน มิจฺฉาทสฺสนโต วิเวจิโต, ปุญฺญกิริยานํ อสกฺกจฺจการิตาย ปน สุเญฺญ วิมาเน นิพฺพโตฺตฯ สาธุ, ภเนฺต, มนุสฺสโลกํ คตกาเล มม ปริชนสฺส อาโรเจถ ‘ปายาสิราชโญฺญ อสกฺกจฺจํ ทานํ ทตฺวา สุญฺญํ เสรีสกวิมานํ อุปปโนฺน, ตุเมฺห ปน สกฺกจฺจํ ปุญฺญานิ กตฺวา ตตฺรูปปตฺติยา จิตฺตํ ปณิทหถา’’ติฯ เถโร ตสฺสานุกมฺปาย ตถา อกาสิฯ เตปิ เถรสฺส วจนํ สุตฺวา ตถา จิตฺตํ ปณิธาย ปุญฺญานิ กตฺวา เสรีสเก วิมาเน นิพฺพตฺติํสุฯ เสรีสกเทวปุตฺตํ ปน เวสฺสวณมหาราชา มรุภูมิยํ ฉายูทกรหิเต มเคฺค มคฺคปฎิปนฺนานํ มนุสฺสานํ อมนุสฺสปริปนฺถ โมจนตฺถํ มคฺครกฺขกํ ฐเปสิฯ
So aparabhāge pāyāsidevaputtaṃ tattha disvā ‘‘kosi tvaṃ, āvuso’’ti pucchitvā tena ‘‘ahaṃ, bhante, pāyāsirājañño idhūpapanno’’ti vutte ‘‘nanu tvaṃ micchādiṭṭhiko viparītadassano kathamidhūpapanno’’ti āha. Atha naṃ pāyāsidevaputto ‘‘ayyenamhi kumārakassapattherena micchādassanato vivecito, puññakiriyānaṃ asakkaccakāritāya pana suññe vimāne nibbatto. Sādhu, bhante, manussalokaṃ gatakāle mama parijanassa ārocetha ‘pāyāsirājañño asakkaccaṃ dānaṃ datvā suññaṃ serīsakavimānaṃ upapanno, tumhe pana sakkaccaṃ puññāni katvā tatrūpapattiyā cittaṃ paṇidahathā’’ti. Thero tassānukampāya tathā akāsi. Tepi therassa vacanaṃ sutvā tathā cittaṃ paṇidhāya puññāni katvā serīsake vimāne nibbattiṃsu. Serīsakadevaputtaṃ pana vessavaṇamahārājā marubhūmiyaṃ chāyūdakarahite magge maggapaṭipannānaṃ manussānaṃ amanussaparipantha mocanatthaṃ maggarakkhakaṃ ṭhapesi.
อถ อปเรน สมเยน องฺคมคธวาสิโน วาณิชา สกฎสหสฺสํ ภณฺฑสฺส ปูเรตฺวา สินฺธุโสวีรเทสํ คจฺฉนฺตา มรุกนฺตาเร ทิวา อุณฺหภเยน มคฺคํ อปฺปฎิปชฺชิตฺวา รตฺติํ นกฺขตฺตสญฺญาย มคฺคํ ปฎิปชฺชิํสุฯ เต มคฺคมูฬฺหา หุตฺวา อญฺญํ ทิสํ อคมํสุฯ เตสํ อนฺตเร เอโก อุปาสโก อโหสิ สโทฺธ ปสโนฺน สีลสมฺปโนฺน อรหตฺตปฺปตฺติยา อุปนิสฺสยสมฺปโนฺน มาตาปิตูนํ อุปฎฺฐานตฺถํ วณิชฺชาย คโตฯ ตํ อนุคฺคณฺหโนฺต เสรีสกเทวปุโตฺต สห วิมาเนน อตฺตานํ ทเสฺสสิฯ ทเสฺสตฺวา จ ปน ‘‘กสฺมา ตุเมฺห อิมํ ฉายูทกรหิตํ วาลุกากนฺตารํ ปฎิปนฺนา’’ติ ปุจฺฉิฯ เต จสฺส ตตฺถ อตฺตโน อาคตปฺปการํ กเถสุํ, ตทตฺถทีปนา เทวปุตฺตสฺส วาณิชานญฺจ วจนปฎิวจนคาถา โหนฺติฯ อาทิโต ปน เทฺว คาถา ตาสํ สมฺพนฺธทสฺสนตฺถํ ธมฺมสงฺคาหเกหิ ฐปิตา –
Atha aparena samayena aṅgamagadhavāsino vāṇijā sakaṭasahassaṃ bhaṇḍassa pūretvā sindhusovīradesaṃ gacchantā marukantāre divā uṇhabhayena maggaṃ appaṭipajjitvā rattiṃ nakkhattasaññāya maggaṃ paṭipajjiṃsu. Te maggamūḷhā hutvā aññaṃ disaṃ agamaṃsu. Tesaṃ antare eko upāsako ahosi saddho pasanno sīlasampanno arahattappattiyā upanissayasampanno mātāpitūnaṃ upaṭṭhānatthaṃ vaṇijjāya gato. Taṃ anuggaṇhanto serīsakadevaputto saha vimānena attānaṃ dassesi. Dassetvā ca pana ‘‘kasmā tumhe imaṃ chāyūdakarahitaṃ vālukākantāraṃ paṭipannā’’ti pucchi. Te cassa tattha attano āgatappakāraṃ kathesuṃ, tadatthadīpanā devaputtassa vāṇijānañca vacanapaṭivacanagāthā honti. Ādito pana dve gāthā tāsaṃ sambandhadassanatthaṃ dhammasaṅgāhakehi ṭhapitā –
๑๒๒๘.
1228.
‘‘สุโณถ ยกฺขสฺส จ วาณิชาน จ, สมาคโม ยตฺถ ตทา อโหสิ;
‘‘Suṇotha yakkhassa ca vāṇijāna ca, samāgamo yattha tadā ahosi;
ยถา กถํ อิตริตเรน จาปิ, สุภาสิตํ ตญฺจ สุณาถ สเพฺพฯ
Yathā kathaṃ itaritarena cāpi, subhāsitaṃ tañca suṇātha sabbe.
๑๒๒๙.
1229.
‘‘โย โส อหุ ราชา ปายาสิ นาม, ภุมฺมานํ สหพฺยคโต ยสสฺสี;
‘‘Yo so ahu rājā pāyāsi nāma, bhummānaṃ sahabyagato yasassī;
โส โมทมาโนว สเก วิมาเน, อมานุโส มานุเส อชฺฌภาสี’’ติฯ
So modamānova sake vimāne, amānuso mānuse ajjhabhāsī’’ti.
๑๒๒๘-๙. ตตฺถ สุโณถาติ สวนาณตฺติกวจนํฯ ยํ มยํ อิทานิ ภณาม, ตํ สุโณถาติฯ ยกฺขสฺสาติ เทวสฺสฯ เทโว หิ มนุสฺสานํ เอกจฺจานํ เทวานญฺจ ปูชนียภาวโต ‘‘ยโกฺข’’ติ วุจฺจติฯ อปิจ สโกฺกปิ จตฺตาโร มหาราชาโนปิ เวสฺสวณปาริสชฺชาปิ ปุริโสปิ ‘‘ยโกฺข’’ติ วุจฺจติฯ ตถา หิ ‘‘อติพาฬฺหํ โข อยํ ยโกฺข ปมโตฺต วิหรติ, ยํนูนาหํ อิมํ ยกฺขํ สํเวเชยฺย’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๙๓) สโกฺก ‘‘ยโกฺข’’ติ วุโตฺตฯ ‘‘จตฺตาโร ยกฺขา ขคฺคหตฺถา’’ติอาทีสุ มหาราชาโนฯ ‘‘สนฺติ หิ, ภเนฺต, อุฬารา ยกฺขา ภควโต อปฺปสนฺนา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๒๗๖) เวสฺสวณปาริสชฺชาฯ ‘‘เอตฺตาวตา ยกฺขสฺส สุทฺธี’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๔๘๒) ปุริโสฯ อิธ ปน เวสฺสวณปาริสโชฺช อธิเปฺปโตฯ วาณิชาน จาติ คาถาพนฺธสุขตฺถํ อนุนาสิกโลปํ กตฺวา วุตฺตํฯ สมาคโมติ สโมธานํฯ ยตฺถาติ ยสฺมิํ วณฺณุปเถฯ ตทาติ ตสฺมิํ มคฺคมูฬฺหา หุตฺวา คมนกาเลฯ อิตริตเรน จาปีติ อิตรีตรญฺจาปิ, อิทํ ยถาติ อิมินา โยเชตพฺพํฯ อยเญฺหตฺถ อโตฺถ – เสรีสกเทวปุตฺตสฺส วาณิชานญฺจ ตทา ยตฺถ สมาคโม อโหสิ, ตํ สุโณถ, ยถา วาปิ เตหิ อญฺญมญฺญํ สุภาสิตํ สุลปิตํ กถํ ปวตฺติตํ, ตญฺจ สเพฺพ โอหิตจิตฺตา สุณาถาติฯ ภุมฺมานนฺติ ภุมฺมเทวานํฯ
1228-9. Tattha suṇothāti savanāṇattikavacanaṃ. Yaṃ mayaṃ idāni bhaṇāma, taṃ suṇothāti. Yakkhassāti devassa. Devo hi manussānaṃ ekaccānaṃ devānañca pūjanīyabhāvato ‘‘yakkho’’ti vuccati. Apica sakkopi cattāro mahārājānopi vessavaṇapārisajjāpi purisopi ‘‘yakkho’’ti vuccati. Tathā hi ‘‘atibāḷhaṃ kho ayaṃ yakkho pamatto viharati, yaṃnūnāhaṃ imaṃ yakkhaṃ saṃvejeyya’’ntiādīsu (ma. ni. 1.393) sakko ‘‘yakkho’’ti vutto. ‘‘Cattāro yakkhā khaggahatthā’’tiādīsu mahārājāno. ‘‘Santi hi, bhante, uḷārā yakkhā bhagavato appasannā’’tiādīsu (dī. ni. 3.276) vessavaṇapārisajjā. ‘‘Ettāvatā yakkhassa suddhī’’tiādīsu (su. ni. 482) puriso. Idha pana vessavaṇapārisajjo adhippeto. Vāṇijāna cāti gāthābandhasukhatthaṃ anunāsikalopaṃ katvā vuttaṃ. Samāgamoti samodhānaṃ. Yatthāti yasmiṃ vaṇṇupathe. Tadāti tasmiṃ maggamūḷhā hutvā gamanakāle. Itaritarena cāpīti itarītarañcāpi, idaṃ yathāti iminā yojetabbaṃ. Ayañhettha attho – serīsakadevaputtassa vāṇijānañca tadā yattha samāgamo ahosi, taṃ suṇotha, yathā vāpi tehi aññamaññaṃ subhāsitaṃ sulapitaṃ kathaṃ pavattitaṃ, tañca sabbe ohitacittā suṇāthāti. Bhummānanti bhummadevānaṃ.
อิทานิ ยกฺขสฺส ปุจฺฉาคาถาโย โหนฺติ –
Idāni yakkhassa pucchāgāthāyo honti –
๑๒๓๐.
1230.
‘‘วเงฺก อรเญฺญ อมนุสฺสฎฺฐาเน, กนฺตาเร อโปฺปทเก อปฺปภเกฺข;
‘‘Vaṅke araññe amanussaṭṭhāne, kantāre appodake appabhakkhe;
สุทุคฺคเม วณฺณุปถสฺส มเชฺฌ, วงฺกํภยา นฎฺฐมนา มนุสฺสาฯ
Suduggame vaṇṇupathassa majjhe, vaṅkaṃbhayā naṭṭhamanā manussā.
๑๒๓๑.
1231.
‘‘นยิธ ผลา มูลมยา จ สนฺติ, อุปาทานํ นตฺถิ กุโตธ ภโกฺข;
‘‘Nayidha phalā mūlamayā ca santi, upādānaṃ natthi kutodha bhakkho;
อญฺญตฺร ปํสูหิ จ วาลุกาหิ จ, ตตฺตาหิ อุณฺหาหิ จ ทารุณาหิ จฯ
Aññatra paṃsūhi ca vālukāhi ca, tattāhi uṇhāhi ca dāruṇāhi ca.
๑๒๓๒.
1232.
‘‘อุชฺชงฺคลํ ตตฺตมิวํ กปาลํ, อนายสํ ปรโลเกน ตุลฺยํ;
‘‘Ujjaṅgalaṃ tattamivaṃ kapālaṃ, anāyasaṃ paralokena tulyaṃ;
ลุทฺทานมาวาสมิทํ ปุราณํ, ภูมิปฺปเทโส อภิสตฺตรูโปฯ
Luddānamāvāsamidaṃ purāṇaṃ, bhūmippadeso abhisattarūpo.
๑๒๓๓.
1233.
‘‘อถ ตุเมฺห เกน วเณฺณน, กิมาสมานา อิมํ ปเทสญฺหิ;
‘‘Atha tumhe kena vaṇṇena, kimāsamānā imaṃ padesañhi;
อนุปวิฎฺฐา สหสา สเมจฺจ, โลภา ภยา อถ วา สมฺปมูฬฺหา’’ติฯ
Anupaviṭṭhā sahasā samecca, lobhā bhayā atha vā sampamūḷhā’’ti.
๑๒๓๐. ตตฺถ วเงฺกติ สํสยฎฺฐาเนฯ ยตฺถ ปวิฎฺฐานํ ‘‘ชีวิสฺสาม นุ โข, มริสฺสาม นุ โข’’ติ ชีวิเต สํสโย โหติ, ตาทิเส อรเญฺญฯ อมนุสฺสฎฺฐาเนติ อมนุสฺสานํ ปิสาจาทีนํ สญฺจรณฎฺฐาเน, มนุสฺสานํ วา อโคจรฎฺฐาเนฯ กนฺตาเรติ นิรุทเก อิริเณ, กํ ตาเรนฺติ นยนฺติ เอตฺถาติ หิ กนฺตาโร, อุทกํ คเหตฺวา ตริตพฺพฎฺฐานํฯ เตนาห ‘‘อโปฺปทเก’’ติฯ อปฺป-สโทฺท เหตฺถ อภาวโตฺถ ‘‘อปฺปิโจฺฉ อปฺปนิโคฺฆโส’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๘.๒๓; จูฬว. ๔๕๖) วิยฯ วณฺณุปถสฺส มเชฺฌติ วาลุกากนฺตารมเชฺฌติ อโตฺถฯ วงฺกํภยาติ วเงฺกหิ ภีตาฯ วเงฺกหิ ภยํ เอเตสนฺติ ‘‘วงฺกภยา’’ติ วตฺตเพฺพ คาถาสุขตฺถํ สานุนาสิกํ กตฺวา ‘‘วงฺกํภยา’’ติ วุตฺตํฯ อิทญฺจ วาลุกากนฺตารปเวสนโต ปุเพฺพ เตสํ อุปฺปนฺนภยํ สนฺธาย วุตฺตํฯ นฎฺฐมนาติ มคฺคสติวิปฺปวาเสน นฎฺฐมานสา, มคฺคมูฬฺหาติ อโตฺถฯ มนุสฺสาติ เตสํ อาลปนํฯ
1230. Tattha vaṅketi saṃsayaṭṭhāne. Yattha paviṭṭhānaṃ ‘‘jīvissāma nu kho, marissāma nu kho’’ti jīvite saṃsayo hoti, tādise araññe. Amanussaṭṭhāneti amanussānaṃ pisācādīnaṃ sañcaraṇaṭṭhāne, manussānaṃ vā agocaraṭṭhāne. Kantāreti nirudake iriṇe, kaṃ tārenti nayanti etthāti hi kantāro, udakaṃ gahetvā taritabbaṭṭhānaṃ. Tenāha ‘‘appodake’’ti. Appa-saddo hettha abhāvattho ‘‘appiccho appanigghoso’’tiādīsu (a. ni. 8.23; cūḷava. 456) viya. Vaṇṇupathassa majjheti vālukākantāramajjheti attho. Vaṅkaṃbhayāti vaṅkehi bhītā. Vaṅkehi bhayaṃ etesanti ‘‘vaṅkabhayā’’ti vattabbe gāthāsukhatthaṃ sānunāsikaṃ katvā ‘‘vaṅkaṃbhayā’’ti vuttaṃ. Idañca vālukākantārapavesanato pubbe tesaṃ uppannabhayaṃ sandhāya vuttaṃ. Naṭṭhamanāti maggasativippavāsena naṭṭhamānasā, maggamūḷhāti attho. Manussāti tesaṃ ālapanaṃ.
๑๒๓๑. อิธาติ อิมสฺมิํ มรุกนฺตาเรฯ ผลาติ อมฺพชมฺพุตาลนาฬิเกราทิผลานิ น สนฺตีติ โยชนาฯ มูลมยา จาติ มูลานิเยว มูลมยา, วลฺลิกนฺทาทีนิ สนฺธาย วทติฯ อุปาทานํ นตฺถีติ กิญฺจาปิ กิญฺจิ ภกฺขํ นตฺถิ, อุปาทานํ วา อินฺธนํ, อคฺคิสฺส อินฺธนมตฺตมฺปิ นตฺถิ, กุโต เกน การเณน อิธ มรุกนฺตาเร ภโกฺข สิยาติ อโตฺถฯ ยํ ปน อตฺถิ ตตฺถ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อญฺญตฺร ปํสูหี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
1231.Idhāti imasmiṃ marukantāre. Phalāti ambajambutālanāḷikerādiphalāni na santīti yojanā. Mūlamayā cāti mūlāniyeva mūlamayā, vallikandādīni sandhāya vadati. Upādānaṃnatthīti kiñcāpi kiñci bhakkhaṃ natthi, upādānaṃ vā indhanaṃ, aggissa indhanamattampi natthi, kuto kena kāraṇena idha marukantāre bhakkho siyāti attho. Yaṃ pana atthi tattha, taṃ dassetuṃ ‘‘aññatra paṃsūhī’’tiādi vuttaṃ.
๑๒๓๒. อุชฺชงฺคลนฺติ ชงฺคลํ วุจฺจติ ลูขธูสโร อนุทโก ภูมิปฺปเทโส, ตํ ปน ฐานํ ชงฺคลโตปิ อุกฺกํเสน ชงฺคลนฺติ อาห ‘‘อุชฺชงฺคล’’นฺติฯ เตนาห ‘‘ตตฺตมิวํ กปาล’’นฺติ, ตตฺตํ อโยกปาลสทิสนฺติ อโตฺถฯ คาถาสุขตฺถเญฺจตฺถ สานุนาสิกํ กตฺวา วุตฺตํ, ตตฺตมิวอิเจฺจว ทฎฺฐพฺพํฯ อนายสนฺติ นตฺถิ เอตฺถ อาโย สุขนฺติ อนายํ, ตโต เอว ชีวิตํ สียติ วินาเสตีติ อนายสํฯ อถ วา น อายสนฺติ อนายสํฯ ปรโลเกนาติ นรเกน ตุลฺยํฯ นรกญฺหิ สตฺตานํ เอกนฺตานตฺถตาย ปรภูโต ปฎิสตฺตุภูโต โลโกติ วิเสสโต ‘‘ปรโลโก’’ติ วุจฺจติ, สมนฺตโต อโยมยตฺตา อายสญฺจ, อิทํ ปน ตทภาวโต อนายสํ, มหโต ทุกฺขสฺส อุปฺปตฺติฎฺฐานตาย ปรโลกสทิสนฺติ ทเสฺสติ, ‘‘อนสฺสย’’นฺติ จ เกจิ ปฐนฺติ, สุขสฺส อปฺปติฎฺฐานภูตนฺติ อโตฺถฯ ลุทฺทานมาวาสมิทํ ปุราณนฺติ อิทํ ฐานํ จิรกาลโต ปฎฺฐาย ลุทฺทานํ ทารุณานํ ปิสาจาทีนํ อาวาสภูตํฯ อภิสตฺตรูโปติ ‘‘เอวํ ลูโข โฆรากาโร โหตู’’ติ โปราเณหิ อิสีหิ สปิตสทิโส, ทินฺนสโป วิยาติ อโตฺถฯ
1232.Ujjaṅgalanti jaṅgalaṃ vuccati lūkhadhūsaro anudako bhūmippadeso, taṃ pana ṭhānaṃ jaṅgalatopi ukkaṃsena jaṅgalanti āha ‘‘ujjaṅgala’’nti. Tenāha ‘‘tattamivaṃ kapāla’’nti, tattaṃ ayokapālasadisanti attho. Gāthāsukhatthañcettha sānunāsikaṃ katvā vuttaṃ, tattamivaicceva daṭṭhabbaṃ. Anāyasanti natthi ettha āyo sukhanti anāyaṃ, tato eva jīvitaṃ sīyati vināsetīti anāyasaṃ. Atha vā na āyasanti anāyasaṃ. Paralokenāti narakena tulyaṃ. Narakañhi sattānaṃ ekantānatthatāya parabhūto paṭisattubhūto lokoti visesato ‘‘paraloko’’ti vuccati, samantato ayomayattā āyasañca, idaṃ pana tadabhāvato anāyasaṃ, mahato dukkhassa uppattiṭṭhānatāya paralokasadisanti dasseti, ‘‘anassaya’’nti ca keci paṭhanti, sukhassa appatiṭṭhānabhūtanti attho. Luddānamāvāsamidaṃ purāṇanti idaṃ ṭhānaṃ cirakālato paṭṭhāya luddānaṃ dāruṇānaṃ pisācādīnaṃ āvāsabhūtaṃ. Abhisattarūpoti ‘‘evaṃ lūkho ghorākāro hotū’’ti porāṇehi isīhi sapitasadiso, dinnasapo viyāti attho.
๑๒๓๓. เกน วเณฺณนาติ เกน การเณนฯ กิมาสมานาติ กิํ ปจฺจาสีสนฺตาฯ หีติ นิปาตมตฺตํฯ ‘‘ปเทสมฺปี’’ติ จ ปฐนฺติ, อิมมฺปิ นาม ปเทสนฺติ อโตฺถฯ สหสา สเมจฺจาติ สหสา อาทีนวานิสํเส อวิจาเรตฺวา สมวาเยน อนุปวิฎฺฐา สปฺปวิฎฺฐาฯ โลภา ภยา อถ วา เกนจิ อนตฺถกาเมน ปโลภิตา โลภโต เกนจิ อมนุสฺสาทินา ปริปาติตา ภยา วาฯ อถ วา สมฺปมูฬฺหาติ มคฺควิปฺปนฎฺฐา อิมํ ปเทสํ อนุปวิฎฺฐาติ โยชนาฯ
1233.Kena vaṇṇenāti kena kāraṇena. Kimāsamānāti kiṃ paccāsīsantā. Hīti nipātamattaṃ. ‘‘Padesampī’’ti ca paṭhanti, imampi nāma padesanti attho. Sahasā sameccāti sahasā ādīnavānisaṃse avicāretvā samavāyena anupaviṭṭhā sappaviṭṭhā. Lobhā bhayā atha vā kenaci anatthakāmena palobhitā lobhato kenaci amanussādinā paripātitā bhayā vā. Atha vā sampamūḷhāti maggavippanaṭṭhā imaṃ padesaṃ anupaviṭṭhāti yojanā.
อิทานิ วาณิชา อาหํสุ –
Idāni vāṇijā āhaṃsu –
๑๒๓๔.
1234.
‘‘มคเธสุ อเงฺคสุ จ สตฺถวาหา, อาโรปยิตฺวา ปณิยํ ปุถุตฺตํ;
‘‘Magadhesu aṅgesu ca satthavāhā, āropayitvā paṇiyaṃ puthuttaṃ;
เต ยามเส สินฺธุโสวีรภูมิํ, ธนตฺถิกา อุทฺทยํ ปตฺถยานาฯ
Te yāmase sindhusovīrabhūmiṃ, dhanatthikā uddayaṃ patthayānā.
๑๒๓๕.
1235.
‘‘ทิวา ปิปาสํนธิวาสยนฺตา, โยคฺคานุกมฺปญฺจ สเมกฺขมานา;
‘‘Divā pipāsaṃnadhivāsayantā, yoggānukampañca samekkhamānā;
เอเตน เวเคน อายาม สเพฺพ, รตฺติํ มคฺคํ ปฎิปนฺนา วิกาเลฯ
Etena vegena āyāma sabbe, rattiṃ maggaṃ paṭipannā vikāle.
๑๒๓๖.
1236.
‘‘เต ทุปฺปยาตา อปรทฺธมคฺคา, อนฺธากุลา วิปฺปนฎฺฐา อรเญฺญ;
‘‘Te duppayātā aparaddhamaggā, andhākulā vippanaṭṭhā araññe;
สุทุคฺคเม วณฺณุปถสฺส มเชฺฌ, ทิสํ น ชานาม ปมูฬฺหจิตฺตาฯ
Suduggame vaṇṇupathassa majjhe, disaṃ na jānāma pamūḷhacittā.
๑๒๓๗.
1237.
‘‘อิทญฺจ ทิสฺวาน อทิฎฺฐปุพฺพํ, วิมานเสฎฺฐญฺจ ตวญฺจ ยกฺข;
‘‘Idañca disvāna adiṭṭhapubbaṃ, vimānaseṭṭhañca tavañca yakkha;
ตตุตฺตริํ ชีวิตมาสมานา, ทิสฺวา ปตีตา สุมนา อุทคฺคา’’ติฯ
Tatuttariṃ jīvitamāsamānā, disvā patītā sumanā udaggā’’ti.
๑๒๓๔. ตตฺถ มคเธสุ อเงฺคสุ จ สตฺถวาหาติ มคธรเฎฺฐ จ องฺครเฎฺฐ จ ชาตา สํวฑฺฒา ตํนิวาสิโน สเตฺถ สตฺถสฺส จ วาหนกา สตฺถกา เจว สตฺถสามิกา จฯ ปณิยนฺติ ภณฺฑํฯ เตติ เต มยํฯ ยามเสติ คจฺฉามฯ สินฺธุโสวีรภูมินฺติ สินฺธุเทสํ โสวีรเทสญฺจฯ อุทฺทยนฺติ อานิสํสํ อติเรกลาภํฯ
1234. Tattha magadhesu aṅgesu ca satthavāhāti magadharaṭṭhe ca aṅgaraṭṭhe ca jātā saṃvaḍḍhā taṃnivāsino satthe satthassa ca vāhanakā satthakā ceva satthasāmikā ca. Paṇiyanti bhaṇḍaṃ. Teti te mayaṃ. Yāmaseti gacchāma. Sindhusovīrabhūminti sindhudesaṃ sovīradesañca. Uddayanti ānisaṃsaṃ atirekalābhaṃ.
๑๒๓๕. อนธิวาสยนฺตาติ อธิวาเสตุํ อสโกฺกนฺตาฯ โยคฺคานุกมฺปนฺติ โคณาทีนํ สตฺตานํ อนุคฺคหํฯ เอเตน เวเคนาติ อิมินา ชเวน, เยน ตว ทสฺสนโต ปุเพฺพ อายาม อาคตมฺหฯ รตฺติํ มคฺคํ ปฎิปนฺนาติ รตฺติยํ มคฺคํ ปฎิปนฺนาฯ วิกาเลติ อกาเล อเวลายํฯ
1235.Anadhivāsayantāti adhivāsetuṃ asakkontā. Yoggānukampanti goṇādīnaṃ sattānaṃ anuggahaṃ. Etena vegenāti iminā javena, yena tava dassanato pubbe āyāma āgatamha. Rattiṃ maggaṃ paṭipannāti rattiyaṃ maggaṃ paṭipannā. Vikāleti akāle avelāyaṃ.
๑๒๓๖. ทุปฺปยาตาติ ทุฎฺฐุ ปยาตา อปเถ คตา, ตโต เอว อปรทฺธมคฺคาฯ อนฺธากุลาติ อนฺธา วิย อากุลา, มคฺคชานนสมตฺถสฺส ปญฺญาจกฺขุโน อภาเวน อนฺธา, ตโต เอว อากุลา, วิปฺปนฎฺฐา จ มคฺคสมฺมูฬฺหตายฯ ทิสนฺติ คนฺตพฺพทิสํ, ยสฺสํ ทิสายํ สินฺธุโสวีรเทโส, ตํ ทิสํฯ ปมูฬฺหจิตฺตาติ ทิสาสํสยสุมูฬฺหจิตฺตาฯ
1236.Duppayātāti duṭṭhu payātā apathe gatā, tato eva aparaddhamaggā. Andhākulāti andhā viya ākulā, maggajānanasamatthassa paññācakkhuno abhāvena andhā, tato eva ākulā, vippanaṭṭhā ca maggasammūḷhatāya. Disanti gantabbadisaṃ, yassaṃ disāyaṃ sindhusovīradeso, taṃ disaṃ. Pamūḷhacittāti disāsaṃsayasumūḷhacittā.
๑๒๓๗. ตวญฺจาติ ตุวญฺจฯ ยกฺขาติ อาลปนํฯ ตตุตฺตริํ ชีวิตมาสมานาติ โย ‘‘อิโต ปรํ อมฺหากํ ชีวิตํ นตฺถี’’ติ ชีวิตสํสโย อุปฺปโนฺน, อิทานิ ตโต อุตฺตริมฺปิ ชีวิตํ อาสีสนฺตาฯ ทิสฺวาติ ทสฺสนเหตุฯ ปตีตาติ ปหฎฺฐาฯ สุมนาติ โสมนสฺสปฺปตฺตาฯ อุทคฺคาติ อุทคฺคาย ปีติยา อุทคฺคจิตฺตาฯ
1237.Tavañcāti tuvañca. Yakkhāti ālapanaṃ. Tatuttariṃ jīvitamāsamānāti yo ‘‘ito paraṃ amhākaṃ jīvitaṃ natthī’’ti jīvitasaṃsayo uppanno, idāni tato uttarimpi jīvitaṃ āsīsantā. Disvāti dassanahetu. Patītāti pahaṭṭhā. Sumanāti somanassappattā. Udaggāti udaggāya pītiyā udaggacittā.
เอวํ วาณิเชหิ อตฺตโน ปวตฺติยา ปกาสิตาย ปุน เทวปุโตฺต ทฺวีหิ คาถาหิ ปุจฺฉิ –
Evaṃ vāṇijehi attano pavattiyā pakāsitāya puna devaputto dvīhi gāthāhi pucchi –
๑๒๓๘.
1238.
‘‘ปารํ สมุทฺทสฺส อิมญฺจ วณฺณุํ, เวตฺตาจรํ สงฺกุปถญฺจ มคฺคํ;
‘‘Pāraṃ samuddassa imañca vaṇṇuṃ, vettācaraṃ saṅkupathañca maggaṃ;
นทิโย ปน ปพฺพตานญฺจ ทุคฺคา, ปุถุทฺทิสา คจฺฉถ โภคเหตุฯ
Nadiyo pana pabbatānañca duggā, puthuddisā gacchatha bhogahetu.
๑๒๓๙.
1239.
‘‘ปกฺขนฺทิยาน วิชิตํ ปเรสํ, เวรชฺชเก มานุเส เปกฺขมานา;
‘‘Pakkhandiyāna vijitaṃ paresaṃ, verajjake mānuse pekkhamānā;
ยํ โว สุตํ วา อถ วาปิ ทิฎฺฐํ, อเจฺฉรกํ ตํ โว สุโณม ตาตา’’ติฯ
Yaṃ vo sutaṃ vā atha vāpi diṭṭhaṃ, accherakaṃ taṃ vo suṇoma tātā’’ti.
ตสฺสโตฺถ – ปารํ สมุทฺทสฺสาติ สมุทฺทสฺส ปรตีรํ, อิมญฺจ อีทิสํ, วณฺณุํ วณฺณุปถํ เวตฺตลตา พนฺธิตฺวา อาจริตพฺพโต เวตฺตาจรํ มคฺคํ, สงฺกุเก ขาณุเก โกเฎฺฎตฺวา คนฺตพฺพโต สงฺกุปถํ มคฺคํ, นทิโย ปน จนฺทภาคาทิกา, ปพฺพตานญฺจ วิสมปฺปเทสาติ เอวํ ทุคฺคา ปุถุทฺทิสา โภคนิมิตฺตํ คจฺฉถ, เอวํ คจฺฉนฺตา จ ปกฺขนฺทิยาน ปกฺขนฺทิตฺวา อนุปวิสิตฺวา, ปเรสํ ราชูนํ วิชิตํ ตตฺถ เวรชฺชเก วิเทสวาสิเก มนุเสฺส เปกฺขมานา คจฺฉถ, เอวํภูเตหิ โว ตุเมฺหหิ ยํ สุตํ วา อถ วา ทิฎฺฐํ วา อเจฺฉรกํ อจฺฉริยํ, ตํ โว สนฺติเก ตาตา วาณิชา สุโณมาติ อตฺตโน วิมานสฺส อจฺฉริยภาวํ เตหิ กถาเปตุกาโม ปุจฺฉติฯ
Tassattho – pāraṃ samuddassāti samuddassa paratīraṃ, imañca īdisaṃ, vaṇṇuṃ vaṇṇupathaṃ vettalatā bandhitvā ācaritabbato vettācaraṃ maggaṃ, saṅkuke khāṇuke koṭṭetvā gantabbato saṅkupathaṃ maggaṃ, nadiyo pana candabhāgādikā, pabbatānañca visamappadesāti evaṃ duggā puthuddisā bhoganimittaṃ gacchatha, evaṃ gacchantā ca pakkhandiyāna pakkhanditvā anupavisitvā, paresaṃ rājūnaṃ vijitaṃ tattha verajjake videsavāsike manusse pekkhamānā gacchatha, evaṃbhūtehi vo tumhehi yaṃ sutaṃ vā atha vā diṭṭhaṃ vā accherakaṃ acchariyaṃ, taṃ vo santike tātā vāṇijā suṇomāti attano vimānassa acchariyabhāvaṃ tehi kathāpetukāmo pucchati.
เอวํ เทวปุเตฺตน ปุฎฺฐา วาณิชา อาหํสุ –
Evaṃ devaputtena puṭṭhā vāṇijā āhaṃsu –
๑๒๔๐.
1240.
‘‘อิโตปิ อเจฺฉรตรํ กุมาร, น โน สุตํ วา อถ วาปิ ทิฎฺฐํ;
‘‘Itopi accherataraṃ kumāra, na no sutaṃ vā atha vāpi diṭṭhaṃ;
อตีตมานุสกเมว สพฺพํ, ทิสฺวา น ตปฺปาม อโนมวณฺณํฯ
Atītamānusakameva sabbaṃ, disvā na tappāma anomavaṇṇaṃ.
๑๒๔๑.
1241.
‘‘เวหายสํ โปกฺขรโญฺญ สวนฺติ, ปหูตมลฺยา พหุปุณฺฑรีกา;
‘‘Vehāyasaṃ pokkharañño savanti, pahūtamalyā bahupuṇḍarīkā;
ทุมา จิเม นิจฺจผลูปปนฺนา, อตีว คนฺธา สุรภิํ ปวายนฺติฯ
Dumā cime niccaphalūpapannā, atīva gandhā surabhiṃ pavāyanti.
๑๒๔๒.
1242.
‘‘เวฬูริยถมฺภา สตมุสฺสิตาเส, สิลาปวาฬสฺส จ อายตํสา;
‘‘Veḷūriyathambhā satamussitāse, silāpavāḷassa ca āyataṃsā;
มสารคลฺลา สหโลหิตงฺคา, ถมฺภา อิเม โชติรสามยาเสฯ
Masāragallā sahalohitaṅgā, thambhā ime jotirasāmayāse.
๑๒๔๓.
1243.
‘‘สหสฺสถมฺภํ อตุลานุภาวํ, เตสูปริ สาธุมิทํ วิมานํ;
‘‘Sahassathambhaṃ atulānubhāvaṃ, tesūpari sādhumidaṃ vimānaṃ;
รตนนฺตรํ กญฺจนเวทิมิสฺสํ, ตปนียปเฎฺฎหิ จ สาธุฉนฺนํฯ
Ratanantaraṃ kañcanavedimissaṃ, tapanīyapaṭṭehi ca sādhuchannaṃ.
๑๒๔๔.
1244.
‘‘ชโมฺพนทุตฺตตฺตมิทํ สุมโฎฺฐ, ปาสาทโสปานผลูปปโนฺน;
‘‘Jambonaduttattamidaṃ sumaṭṭho, pāsādasopānaphalūpapanno;
ทโฬฺห จ วคฺคุ จ สุสงฺคโต จ, อตีว นิชฺฌานขโม มนุโญฺญฯ
Daḷho ca vaggu ca susaṅgato ca, atīva nijjhānakhamo manuñño.
๑๒๔๕.
1245.
‘‘รตนนฺตรสฺมิํ พหุอนฺนปานํ, ปริวาริโต อจฺฉราสงฺคเณน;
‘‘Ratanantarasmiṃ bahuannapānaṃ, parivārito accharāsaṅgaṇena;
มุรชอาลมฺพรตูริยฆุโฎฺฐ, อภิวนฺทิโตสิ ถุติวนฺทนายฯ
Murajaālambaratūriyaghuṭṭho, abhivanditosi thutivandanāya.
๑๒๔๖.
1246.
‘‘โส โมทสิ นาริคณปฺปโพธโน, วิมานปาสาทวเร มโนรเม;
‘‘So modasi nārigaṇappabodhano, vimānapāsādavare manorame;
อจินฺติโย สพฺพคุณูปปโนฺน, ราชา ยถา เวสฺสวโณ นฬินฺยาฯ
Acintiyo sabbaguṇūpapanno, rājā yathā vessavaṇo naḷinyā.
๑๒๔๗.
1247.
‘‘เทโว นุ อาสิ อุทวาสิ ยโกฺข,
‘‘Devo nu āsi udavāsi yakkho,
อุทาหุ เทวิโนฺท มนุสฺสภูโต;
Udāhu devindo manussabhūto;
ปุจฺฉนฺติ ตํ วาณิชา สตฺถวาหา,
Pucchanti taṃ vāṇijā satthavāhā,
อาจิกฺข โก นาม ตุวํสิ ยโกฺข’’ติฯ
Ācikkha ko nāma tuvaṃsi yakkho’’ti.
๑๒๔๐-๒. ตตฺถ กุมาราติ ปฐมวเย ฐิตตฺตา เทวปุตฺตํ อาลปติฯ สพฺพนฺติ เทวปุตฺตํ ตสฺส วิมานปฎิพทฺธญฺจ สนฺธาย วทติฯ โปกฺขรโญฺญติ โปกฺขรณิโยฯ สตมุสฺสิตาเสติ สตรตนุเพฺพธาฯ สิลาปวาฬสฺสาติ สิลาย ปวาฬสฺส จ, สิลามยา ปวาฬมยาติ อโตฺถฯ อายตํสาติ ทีฆํสาฯ อถ วา อายตา หุตฺวา อฎฺฐโสฬสทฺวตฺติํสาทิอํสวโนฺตฯ
1240-2. Tattha kumārāti paṭhamavaye ṭhitattā devaputtaṃ ālapati. Sabbanti devaputtaṃ tassa vimānapaṭibaddhañca sandhāya vadati. Pokkharaññoti pokkharaṇiyo. Satamussitāseti sataratanubbedhā. Silāpavāḷassāti silāya pavāḷassa ca, silāmayā pavāḷamayāti attho. Āyataṃsāti dīghaṃsā. Atha vā āyatā hutvā aṭṭhasoḷasadvattiṃsādiaṃsavanto.
๑๒๔๒. เตสูปรีติ เตสํ ถมฺภานํ อุปริฯ สาธุมิทนฺติ สุนฺทรํ อิทํ ตว วิมานํฯ รตนนฺตรนฺติ รตนนฺตรวนฺตํ, ภิตฺติถมฺภโสปานาทีสุ นานาวิเธหิ อเญฺญหิ รตเนหิ ยุตฺตํฯ กญฺจนเวทิมิสฺสนฺติ สุวณฺณมยาย เวทิกาย สหิตํ ปริกฺขิตฺตํฯ ตปนียปเฎฺฎหิ จ สาธุฉนฺนนฺติ ตปนียมเยหิ อเนกรตนมเยหิ จ ฉทเนหิ ตตฺถ ตตฺถ สุฎฺฐุ ฉาทิตํฯ
1242.Tesūparīti tesaṃ thambhānaṃ upari. Sādhumidanti sundaraṃ idaṃ tava vimānaṃ. Ratanantaranti ratanantaravantaṃ, bhittithambhasopānādīsu nānāvidhehi aññehi ratanehi yuttaṃ. Kañcanavedimissanti suvaṇṇamayāya vedikāya sahitaṃ parikkhittaṃ. Tapanīyapaṭṭehi ca sādhuchannanti tapanīyamayehi anekaratanamayehi ca chadanehi tattha tattha suṭṭhu chāditaṃ.
๑๒๔๔. ชโมฺพนทุตฺตตฺตมิทนฺติ อิทํ ตว วิมานํ เยภุเยฺยน อุตฺตตฺตชมฺพุนทภาสุรํฯ สุมโฎฺฐ ปาสาทโสปานผลูปปโนฺนติ ตสฺส จ โส โส ปเทโส สุมโฎฺฐ สุฎฺฐุ มชฺชิโต, เตหิ เตหิ อนนฺตรปาสาเทหิ โสปานวิเสเสหิ รมณีเยหิ ผลเกหิ จ ยุโตฺตฯ ทโฬฺหติ ถิโรฯ วคฺคูติ อภิรูโป สมุคฺคโตฯ สุสงฺคโตติ สุฎฺฐุ สงฺคตาวยโว อญฺญมญฺญานุรูปปาสาทาวยโวฯ อตีว นิชฺฌานขโมติ ปภสฺสรภาเวปิ อติวิย โอโลกนกฺขโมฯ มนุโญฺญติ มโนรโมฯ
1244.Jambonaduttattamidanti idaṃ tava vimānaṃ yebhuyyena uttattajambunadabhāsuraṃ. Sumaṭṭho pāsādasopānaphalūpapannoti tassa ca so so padeso sumaṭṭho suṭṭhu majjito, tehi tehi anantarapāsādehi sopānavisesehi ramaṇīyehi phalakehi ca yutto. Daḷhoti thiro. Vaggūti abhirūpo samuggato. Susaṅgatoti suṭṭhu saṅgatāvayavo aññamaññānurūpapāsādāvayavo. Atīva nijjhānakhamoti pabhassarabhāvepi ativiya olokanakkhamo. Manuññoti manoramo.
๑๒๔๕. รตนนฺตรสฺมินฺติ รตนมเย, รตนภูเต วา สารภูเต วิมานสฺส อพฺภนฺตเรฯ พหุอนฺนปานนฺติ เปสลํ ปหูตํ อนฺนญฺจ ปานญฺจ วิชฺชติ, อุปลพฺภตีติ อธิปฺปาโยฯ มุรชอาลมฺพรตูริยฆุโฎฺฐติ มุทิงฺคานํ อาลมฺพรานํ อวสิฎฺฐตูริยานญฺจ สเทฺทหิ นิจฺจโฆสิโตฯ อภิวนฺทิโตสีติ นมสฺสิโต, โถมิโต วา อสิฯ เตนาห ‘‘ถูติวนฺทนายา’’ติฯ
1245.Ratanantarasminti ratanamaye, ratanabhūte vā sārabhūte vimānassa abbhantare. Bahuannapānanti pesalaṃ pahūtaṃ annañca pānañca vijjati, upalabbhatīti adhippāyo. Murajaālambaratūriyaghuṭṭhoti mudiṅgānaṃ ālambarānaṃ avasiṭṭhatūriyānañca saddehi niccaghosito. Abhivanditosīti namassito, thomito vā asi. Tenāha ‘‘thūtivandanāyā’’ti.
๑๒๔๖. อจินฺติโยติ อจิเนฺตยฺยานุภาโวฯ นฬินฺยาติ เอวํนามเก กีฬนฎฺฐาเน ยถา เวสฺสวโณ มหาราชา, เอวํ ตฺวํ โมทสีติ โยชนาฯ
1246.Acintiyoti acinteyyānubhāvo. Naḷinyāti evaṃnāmake kīḷanaṭṭhāne yathā vessavaṇo mahārājā, evaṃ tvaṃ modasīti yojanā.
๑๒๔๗. อาสีติ อสิ ภวสิฯ เทวิโนฺทติ สโกฺก เทวราชาฯ มนุสฺสภูโตติ มนุเสฺสสุ ภูโต มนุสฺสชาติโกฯ ยโกฺขติ เทวาทิภาวํ ปุจฺฉิตฺวาปิ ยกฺขภาวํ อาสงฺกนฺตา วทนฺติฯ
1247.Āsīti asi bhavasi. Devindoti sakko devarājā. Manussabhūtoti manussesu bhūto manussajātiko. Yakkhoti devādibhāvaṃ pucchitvāpi yakkhabhāvaṃ āsaṅkantā vadanti.
อิทานิ โส เทวปุโตฺต อตฺตานํ ชานาเปโนฺต –
Idāni so devaputto attānaṃ jānāpento –
๑๒๔๘.
1248.
‘‘เสรีสโก นาม อหมฺหิ ยโกฺข, กนฺตาริโย วณฺณุปถมฺหิ คุโตฺต;
‘‘Serīsako nāma ahamhi yakkho, kantāriyo vaṇṇupathamhi gutto;
อิมํ ปเทสํ อภิปาลยามิ, วจนกโร เวสฺสวณสฺส รโญฺญ’’ติฯ –
Imaṃ padesaṃ abhipālayāmi, vacanakaro vessavaṇassa rañño’’ti. –
อาหฯ ตตฺถ อหมฺหี ยโกฺขติ อหํ ยโกฺข อมฺหิฯ กนฺตาริโยติ อารกฺขณตฺถํ กนฺตาเร นิยุโตฺตฯ คุโตฺตติ โคปโกฯ เตนาห ‘‘อภิปาลยามี’’ติฯ
Āha. Tattha ahamhī yakkhoti ahaṃ yakkho amhi. Kantāriyoti ārakkhaṇatthaṃ kantāre niyutto. Guttoti gopako. Tenāha ‘‘abhipālayāmī’’ti.
อิทานิ วาณิชา ตสฺส กมฺมาทีนิ ปุจฺฉนฺตา อาหํสุ –
Idāni vāṇijā tassa kammādīni pucchantā āhaṃsu –
๑๒๔๙.
1249.
‘‘อธิจฺจลทฺธํ ปริณามชํ เต, สยํกตํ อุทาหุ เทเวหิ ทินฺนํ;
‘‘Adhiccaladdhaṃ pariṇāmajaṃ te, sayaṃkataṃ udāhu devehi dinnaṃ;
ปุจฺฉนฺติ ตํ วาณิชา สตฺถวาหา, กถํ ตยา ลทฺธมิทํ มนุญฺญ’’นฺติฯ
Pucchanti taṃ vāṇijā satthavāhā, kathaṃ tayā laddhamidaṃ manuñña’’nti.
ตตฺถ อธิจฺจลทฺธนฺติ อธิจฺจสมุปฺปตฺติกํ, ยทิจฺฉกํ ลทฺธนฺติ อโตฺถฯ ปริณามชํ เตติ นิยติสงฺคติภาวปริณตํ, กาลปริณตํ วาฯ สยํกตนฺติ ตยา สยเมว กตํ, เทวิทฺธิยา ตยา สยเมว นิพฺพตฺติตนฺติ อโตฺถฯ อุทาหุ เทเวหิ ทินฺนนฺติ ตยา อาราธิเตหิ เทเวหิ ปสาทวเสน นิสฺสฎฺฐํฯ
Tattha adhiccaladdhanti adhiccasamuppattikaṃ, yadicchakaṃ laddhanti attho. Pariṇāmajaṃ teti niyatisaṅgatibhāvapariṇataṃ, kālapariṇataṃ vā. Sayaṃkatanti tayā sayameva kataṃ, deviddhiyā tayā sayameva nibbattitanti attho. Udāhu devehi dinnanti tayā ārādhitehi devehi pasādavasena nissaṭṭhaṃ.
อิทานิ เทวปุโตฺต จตุโรปิ ปกาเร ปฎิกฺขิปิตฺวา ปุญฺญเมว อปทิสโนฺต –
Idāni devaputto caturopi pakāre paṭikkhipitvā puññameva apadisanto –
๑๒๕๐.
1250.
‘‘นาธิจฺจลทฺธํ น ปริณามชํ เม, น สยํกตํ น หิ เทเวหิ ทินฺนํ;
‘‘Nādhiccaladdhaṃ na pariṇāmajaṃ me, na sayaṃkataṃ na hi devehi dinnaṃ;
สเกหิ กเมฺมหิ อปาปเกหิ, ปุเญฺญหิ เม ลทฺธมิทํ มนุญฺญ’’นฺติฯ –
Sakehi kammehi apāpakehi, puññehi me laddhamidaṃ manuñña’’nti. –
คาถมาหฯ
Gāthamāha.
ตํ สุตฺวา วาณิชา ปุน ‘‘นาธิจฺจลทฺธ’’นฺติ คาถายํ ปุญฺญาธิกเมว เต จตุโร ปกาเร อาโรเปตฺวา ปุญฺญสฺส จ สรูปํ ปุจฺฉิํสุ –
Taṃ sutvā vāṇijā puna ‘‘nādhiccaladdha’’nti gāthāyaṃ puññādhikameva te caturo pakāre āropetvā puññassa ca sarūpaṃ pucchiṃsu –
๑๒๕๑.
1251.
‘‘กิํ เต วตํ กิํ ปน พฺรหฺมจริยํ, กิสฺส สุจิณฺณสฺส อยํ วิปาโก;
‘‘Kiṃ te vataṃ kiṃ pana brahmacariyaṃ, kissa suciṇṇassa ayaṃ vipāko;
ปุจฺฉนฺติ ตํ วาณิชา สตฺถวาหา, กถํ ตยา ลทฺธมิทํ วิมาน’’นฺติฯ
Pucchanti taṃ vāṇijā satthavāhā, kathaṃ tayā laddhamidaṃ vimāna’’nti.
ตตฺถ วตนฺติ วตสมาทานํฯ พฺรหฺมจริยนฺติ เสฎฺฐจริยํฯ
Tattha vatanti vatasamādānaṃ. Brahmacariyanti seṭṭhacariyaṃ.
ปุน เทวปุโตฺต เต ปฎิกฺขิปิตฺวา อตฺตานํ ยถูปจิตํ ปุญฺญญฺจ ทเสฺสโนฺต –
Puna devaputto te paṭikkhipitvā attānaṃ yathūpacitaṃ puññañca dassento –
๑๒๕๒.
1252.
‘‘มมํ ปายาสีติ อหุ สมญฺญา, รชฺชํ ยทา การยิํ โกสลานํ;
‘‘Mamaṃ pāyāsīti ahu samaññā, rajjaṃ yadā kārayiṃ kosalānaṃ;
นตฺถิกทิฎฺฐิ กทริโย ปาปธโมฺม, อุเจฺฉทวาที จ ตทา อโหสิํฯ
Natthikadiṭṭhi kadariyo pāpadhammo, ucchedavādī ca tadā ahosiṃ.
๑๒๕๓.
1253.
‘‘สมโณ จ โข อาสิ กุมารกสฺสโป, พหุสฺสุโต จิตฺตกถี อุฬาโร;
‘‘Samaṇo ca kho āsi kumārakassapo, bahussuto cittakathī uḷāro;
โส เม ตทา ธมฺมกถํ อภาสิ, ทิฎฺฐิวิสูกานิ วิโนทยี เมฯ
So me tadā dhammakathaṃ abhāsi, diṭṭhivisūkāni vinodayī me.
๑๒๕๔.
1254.
‘‘ตาหํ ตสฺส ธมฺมกถํ สุณิตฺวา, อุปาสกตฺตํ ปฎิเวทยิสฺสํ;
‘‘Tāhaṃ tassa dhammakathaṃ suṇitvā, upāsakattaṃ paṭivedayissaṃ;
ปาณาติปาตา วิรโต อโหสิํ, โลเก อทินฺนํ ปริวชฺชยิสฺสํ;
Pāṇātipātā virato ahosiṃ, loke adinnaṃ parivajjayissaṃ;
อมชฺชโป โน จ มุสา อภาณิํ, สเกน ทาเรน จ อโหสิํ ตุโฎฺฐฯ
Amajjapo no ca musā abhāṇiṃ, sakena dārena ca ahosiṃ tuṭṭho.
๑๒๕๕.
1255.
‘‘ตํ เม วตํ ตํ ปน พฺรหฺมจริยํ, ตสฺส สุจิณฺณสฺส อยํ วิปาโก;
‘‘Taṃ me vataṃ taṃ pana brahmacariyaṃ, tassa suciṇṇassa ayaṃ vipāko;
เตเหว กเมฺมหิ อปาปเกหิ, ปุเญฺญหิ เม ลทฺธมิทํ วิมาน’’นฺติฯ –
Teheva kammehi apāpakehi, puññehi me laddhamidaṃ vimāna’’nti. –
อาหฯ ตํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ
Āha. Taṃ suviññeyyameva.
อถ วาณิชา เทวปุตฺตํ วิมานญฺจสฺส ปจฺจกฺขโต ทิสฺวา กมฺมผลํ สทฺทหิตฺวา อตฺตโน กมฺมผเล สทฺธํ ปเวเทนฺตา –
Atha vāṇijā devaputtaṃ vimānañcassa paccakkhato disvā kammaphalaṃ saddahitvā attano kammaphale saddhaṃ pavedentā –
๑๒๕๖.
1256.
‘‘สจฺจํ กิราหํสุ นรา สปญฺญา, อนญฺญถา วจนํ ปณฺฑิตานํ;
‘‘Saccaṃ kirāhaṃsu narā sapaññā, anaññathā vacanaṃ paṇḍitānaṃ;
ยหิํ ยหิํ คจฺฉติ ปุญฺญกโมฺม, ตหิํ ตหิํ โมทติ กามกามีฯ
Yahiṃ yahiṃ gacchati puññakammo, tahiṃ tahiṃ modati kāmakāmī.
๑๒๕๗.
1257.
‘‘ยหิํ ยหิํ โสกปริทฺทโว จ, วโธ จ พโนฺธ จ ปริกฺกิเลโส;
‘‘Yahiṃ yahiṃ sokapariddavo ca, vadho ca bandho ca parikkileso;
ตหิํ ตหิํ คจฺฉติ ปาปกโมฺม, น มุจฺจติ ทุคฺคติยา กทาจี’’ติฯ –
Tahiṃ tahiṃ gacchati pāpakammo, na muccati duggatiyā kadācī’’ti. –
คาถาทฺวยํ อโวจุํฯ ตตฺถ โสกปริทฺทโวติ โสโก จ ปริเทโว จฯ ปริกฺกิเลโสติ วุตฺตา อนตฺถุปฺปตฺติฯ
Gāthādvayaṃ avocuṃ. Tattha sokapariddavoti soko ca paridevo ca. Parikkilesoti vuttā anatthuppatti.
เอวํ เตสุ กเถเนฺตสุเยว วิมานทฺวาเร สิรีสรุกฺขโต ปริปาเกน มุตฺตพนฺธนา ปริปกฺกา สิปาฎิกา ปติ, เตน เทวปุโตฺต สปริชโน โทมนสฺสปฺปโตฺต อโหสิฯ ตํ ทิสฺวา วาณิชา –
Evaṃ tesu kathentesuyeva vimānadvāre sirīsarukkhato paripākena muttabandhanā paripakkā sipāṭikā pati, tena devaputto saparijano domanassappatto ahosi. Taṃ disvā vāṇijā –
๑๒๕๘.
1258.
‘‘สมฺมูฬฺหรูโปว ชโน อโหสิ, อสฺมิํ มุหุเตฺต กลลีกโตว;
‘‘Sammūḷharūpova jano ahosi, asmiṃ muhutte kalalīkatova;
ชนสฺสิมสฺส ตุยฺหญฺจ กุมาร, อปฺปจฺจโย เกน นุ โข อโหสี’’ติฯ –
Janassimassa tuyhañca kumāra, appaccayo kena nu kho ahosī’’ti. –
คาถมาหํสุฯ ตตฺถ สมฺมูฬฺหรูโปวาติ โสกวเสน สพฺพโส มูฬฺหสภาโว วิยฯ ชโนติ เทวชโนฯ อสฺมิํ มุหุเตฺตติ อิมสฺมิํ มุหุตฺตมเตฺต ฯ กลลีกโตติ กลลํ วิย กโต, กลลนิสฺสิตอุทกีภูโต วิย อาวิโลติ อธิปฺปาโยฯ ชนสฺสิมสฺส ตุยฺหญฺจาติ อิมสฺส ตว ปริชนสฺส ตุยฺหญฺจฯ อปฺปจฺจโยติ โทมนสฺสํฯ
Gāthamāhaṃsu. Tattha sammūḷharūpovāti sokavasena sabbaso mūḷhasabhāvo viya. Janoti devajano. Asmiṃ muhutteti imasmiṃ muhuttamatte . Kalalīkatoti kalalaṃ viya kato, kalalanissitaudakībhūto viya āviloti adhippāyo. Janassimassa tuyhañcāti imassa tava parijanassa tuyhañca. Appaccayoti domanassaṃ.
ตํ สุตฺวา เทวปุโตฺต –
Taṃ sutvā devaputto –
๑๒๕๙.
1259.
‘‘อิเม จ สิรีสวนา ตาตา, ทิพฺพา คนฺธา สุรภี สมฺปวนฺติ;
‘‘Ime ca sirīsavanā tātā, dibbā gandhā surabhī sampavanti;
เต สมฺปวายนฺติ อิมํ วิมานํ, ทิวา จ รโตฺต จ ตมํ นิหนฺตฺวาฯ
Te sampavāyanti imaṃ vimānaṃ, divā ca ratto ca tamaṃ nihantvā.
๑๒๖๐.
1260.
‘‘อิเมสญฺจ โข วสฺสสตจฺจเยน, สิปาฎิกา ผลติ เอกเมกา;
‘‘Imesañca kho vassasataccayena, sipāṭikā phalati ekamekā;
มานุสฺสกํ วสฺสสตํ อตีตํ, ยทเคฺค กายมฺหิ อิธูปปโนฺนฯ
Mānussakaṃ vassasataṃ atītaṃ, yadagge kāyamhi idhūpapanno.
๑๒๖๑.
1261.
‘‘ทิสฺวานหํ วสฺสสตานิ ปญฺจ,
‘‘Disvānahaṃ vassasatāni pañca,
อสฺมิํ วิมาเน ฐตฺวาน ตาตา;
Asmiṃ vimāne ṭhatvāna tātā;
อายุกฺขยา ปุญฺญกฺขยา จวิสฺสํ,
Āyukkhayā puññakkhayā cavissaṃ,
เตเนว โสเกน ปมุจฺฉิโตสฺมี’’ติฯ – อาห;
Teneva sokena pamucchitosmī’’ti. – āha;
๑๒๕๖. ตตฺถ สิรีสวนาติ สิรีสวิปินโตฯ ตาตาติ วาณิเช อาลปติฯ อิเม ตุมฺหากํ มยฺหญฺจ ปจฺจกฺขภูตา ทิพฺพา คนฺธา สุรภี อติวิย สุคนฺธาเยว สมนฺตโต ปวนฺติ ปวายนฺติฯ เต ทิพฺพา คนฺธา เอวํ วายนฺตา อิมํ วิมานํ สมฺปวายนฺติ สมฺมเทว คนฺธํ คาหาเปนฺติ, น เกวลํ สมฺปวายนเมว, อถ โข อตฺตโน ปภาย ตมมฺปิ นิหนฺติฯ เตนาห ‘‘ทิวา จ รโตฺต จ ตมํ นิหนฺตฺวา’’ติฯ
1256. Tattha sirīsavanāti sirīsavipinato. Tātāti vāṇije ālapati. Ime tumhākaṃ mayhañca paccakkhabhūtā dibbā gandhā surabhī ativiya sugandhāyeva samantato pavanti pavāyanti. Te dibbā gandhā evaṃ vāyantā imaṃ vimānaṃ sampavāyanti sammadeva gandhaṃ gāhāpenti, na kevalaṃ sampavāyanameva, atha kho attano pabhāya tamampi nihanti. Tenāha ‘‘divā ca ratto ca tamaṃ nihantvā’’ti.
๑๒๖๐-๖๑. อิเมสนฺติ สิรีสานํฯ สิปาฎิกาติ ผลกุฎฺฐิลิกาฯ ผลตีติ ปจฺจิตฺวา วณฺฎโต มุจฺจติ, ปุฎเภทํ วา ปตฺวา สิสฺสติฯ มานุสฺสกํ วสฺสสตํ อตีตนฺติ ยสฺมา วสฺสสตสฺส อจฺจเยน อิมสฺส สิรีสสฺส สิปาฎิกา ผลติ, อยญฺจ ผลิตา, ตสฺมา มยฺหํ มานุสฺสกํ วสฺสสตํ อตีตํฯ ยทเคฺค ยโต ปฎฺฐาย, กายมฺหิ อิธ อิมสฺมิํ เทวนิกาเย อุปปโนฺน นิพฺพโตฺตฯ มยฺหญฺจ เทวคณนาย ปญฺจ วสฺสสตานิ อายุ, ตสฺมา ขียติ เม อายูติ โสกวเสน สมฺปมูโฬฺหติ ทเสฺสติฯ เตนาห ‘‘ทิสฺวานหํ วสฺสสตานิ ปญฺจ…เป.… เตเนว โสเกน ปมุจฺฉิโตสฺมี’’ติฯ
1260-61.Imesanti sirīsānaṃ. Sipāṭikāti phalakuṭṭhilikā. Phalatīti paccitvā vaṇṭato muccati, puṭabhedaṃ vā patvā sissati. Mānussakaṃ vassasataṃ atītanti yasmā vassasatassa accayena imassa sirīsassa sipāṭikā phalati, ayañca phalitā, tasmā mayhaṃ mānussakaṃ vassasataṃ atītaṃ. Yadagge yato paṭṭhāya, kāyamhi idha imasmiṃ devanikāye upapanno nibbatto. Mayhañca devagaṇanāya pañca vassasatāni āyu, tasmā khīyati me āyūti sokavasena sampamūḷhoti dasseti. Tenāha ‘‘disvānahaṃ vassasatāni pañca…pe… teneva sokena pamucchitosmī’’ti.
อถ นํ วาณิชา สมสฺสาเสโนฺต –
Atha naṃ vāṇijā samassāsento –
๑๒๖๒.
1262.
‘‘กถํ นุ โสเจยฺย ตถาวิโธ โส, ลทฺธา วิมานํ อตุลํ จิราย;
‘‘Kathaṃ nu soceyya tathāvidho so, laddhā vimānaṃ atulaṃ cirāya;
เย จาปิ โข อิตฺตรมุปปนฺนา, เต นูน โสเจยฺยุํ ปริตฺตปุญฺญา’’ติฯ –
Ye cāpi kho ittaramupapannā, te nūna soceyyuṃ parittapuññā’’ti. –
อาหํสุฯ ตตฺถ ยาทิเสหิ อปฺปายุเกหิ มรณํ ปฎิจฺจ โสจิตพฺพํ สิยา, ตาทิโส ปน เอวํ ทิพฺพานุภาวสมฺปโนฺน นวุติวสฺสสตสหสฺสายุโก กถํ นุ โสเจยฺย, น โสจิตพฺพเมวาติ อธิปฺปาโยฯ
Āhaṃsu. Tattha yādisehi appāyukehi maraṇaṃ paṭicca socitabbaṃ siyā, tādiso pana evaṃ dibbānubhāvasampanno navutivassasatasahassāyuko kathaṃ nu soceyya, na socitabbamevāti adhippāyo.
เทวปุโตฺต ตตฺตเกเนว สมสฺสาเสตฺวา เตสํ วจนํ สมฺปฎิจฺฉโนฺต เตสญฺจ อุปเทสํ เทโนฺต –
Devaputto tattakeneva samassāsetvā tesaṃ vacanaṃ sampaṭicchanto tesañca upadesaṃ dento –
๑๒๖๓.
1263.
‘‘อนุจฺฉวิํ โอวทิยญฺจ เมตํ, ยํ มํ ตุเมฺห เปยฺยวาจํ วเทถ;
‘‘Anucchaviṃ ovadiyañca metaṃ, yaṃ maṃ tumhe peyyavācaṃ vadetha;
ตุเมฺห จ โข ตาตา มยานุคุตฺตา, เยหิจฺฉกํ เตน ปเลถ โสตฺถิ’’นฺติฯ –
Tumhe ca kho tātā mayānuguttā, yehicchakaṃ tena paletha sotthi’’nti. –
คาถมาหฯ ตตฺถ อนุจฺฉวินฺติ อนุจฺฉวิกํ, ตุมฺหากเมว ตํ ยุตฺตรูปํฯ โอวทิยญฺจ เมตนฺติ เม มยฺหํ ตุเมฺหหิ โอวทิยํ โอวาทวเสน วตฺตพฺพเมตํฯ ยํ ยสฺมา, มํ มยฺหํ, ตุเมฺห ‘‘กถํ นุ โสเจยฺย’’นฺติอาทินา เปยฺยวาจํ ปิยวจนํ วเทถฯ ยํ วา เปยฺยวาจาย วทนํ กถนํ, ตํ ตุมฺหากเมว อนุจฺฉวิกนฺติ โยชนาฯ อถ วา ยํ ยสฺมา ตุเมฺห เปยฺยวาจํ วเทถ, ตสฺมา อนุจฺฉวิกํ โอวทิยญฺจ โอวทิตพฺพํ โอวาทานุรูปํ กาตพฺพญฺจ เม มยา กตํ, กิํ ปน ตนฺติ อาห ‘‘ตุเมฺห จ โข ตาตา’’ติอาทิฯ ตตฺถ มยานุคุตฺตาติ อิมสฺมิํ อมนุสฺสปริคฺคเห มรุกนฺตาเร ยาว กนฺตาราติกฺกมา มยา อนุคุตฺตา รกฺขิตา, เยนิจฺฉกํ ยถารุจิเตน, โสตฺถิํ เขเมน, ปเลถ คจฺฉถาติ อโตฺถฯ
Gāthamāha. Tattha anucchavinti anucchavikaṃ, tumhākameva taṃ yuttarūpaṃ. Ovadiyañca metanti me mayhaṃ tumhehi ovadiyaṃ ovādavasena vattabbametaṃ. Yaṃ yasmā, maṃ mayhaṃ, tumhe ‘‘kathaṃ nu soceyya’’ntiādinā peyyavācaṃ piyavacanaṃ vadetha. Yaṃ vā peyyavācāya vadanaṃ kathanaṃ, taṃ tumhākameva anucchavikanti yojanā. Atha vā yaṃ yasmā tumhe peyyavācaṃ vadetha, tasmā anucchavikaṃ ovadiyañca ovaditabbaṃ ovādānurūpaṃ kātabbañca me mayā kataṃ, kiṃ pana tanti āha ‘‘tumhe ca kho tātā’’tiādi. Tattha mayānuguttāti imasmiṃ amanussapariggahe marukantāre yāva kantārātikkamā mayā anuguttā rakkhitā, yenicchakaṃ yathārucitena, sotthiṃ khemena, paletha gacchathāti attho.
อถ วาณิชา กตญฺญุภาวํ ปกาเสนฺตา –
Atha vāṇijā kataññubhāvaṃ pakāsentā –
๑๒๖๔.
1264.
‘‘คนฺตฺวา มยํ สินฺธุโสวีรภูมิํ, ธนตฺถิกา อุทฺทยํ ปตฺถยานา;
‘‘Gantvā mayaṃ sindhusovīrabhūmiṃ, dhanatthikā uddayaṃ patthayānā;
ยถาปโยคา ปริปุณฺณจาคา, กาหาม เสรีสมหํ อุฬารนฺติฯ –
Yathāpayogā paripuṇṇacāgā, kāhāma serīsamahaṃ uḷāranti. –
คาถมาหํสุฯ ตตฺถ ยถาปโยคาติ อิทานิ กตปฎิญฺญานุรูปปโยคาฯ ปริปุณฺณจาคาติ สมตฺตจาคา, อุฬารสฺส มหสฺส ปริยตฺตปริจฺจาคาฯ มหนฺติ อุสฺสวปูชํฯ
Gāthamāhaṃsu. Tattha yathāpayogāti idāni katapaṭiññānurūpapayogā. Paripuṇṇacāgāti samattacāgā, uḷārassa mahassa pariyattapariccāgā. Mahanti ussavapūjaṃ.
ปุน เทวปุโตฺต มหกรณํ ปฎิกฺขิปโนฺต กตฺตเพฺพสุ จ เต นิโยเชโนฺต –
Puna devaputto mahakaraṇaṃ paṭikkhipanto kattabbesu ca te niyojento –
๑๒๖๕.
1265.
‘‘มา เจว เสรีสมหํ อกตฺถ, สพฺพญฺจ โว ภวิสฺสติ ยํ วเทถ;
‘‘Mā ceva serīsamahaṃ akattha, sabbañca vo bhavissati yaṃ vadetha;
ปาปานิ กมฺมานิ วิวชฺชยาถ, ธมฺมานุโยคญฺจ อธิฎฺฐหาถา’’ติฯ –
Pāpāni kammāni vivajjayātha, dhammānuyogañca adhiṭṭhahāthā’’ti. –
คาถมาหฯ ตตฺถ ยํ วเทถาติ ยํ ตุเมฺห เขเมน สินฺธุโสวีรเทสปตฺติํ ตตฺถ จ วิปุลํ อุทฺทยํ ลาภํ ปจฺจาสีสนฺตา ‘‘คนฺตฺวา มย’’นฺติอาทีนิ วทถฯ สพฺพํ ตํ โว ตุมฺหากํ ตเถว ภวิสฺสติ, ตตฺถ นิกฺกงฺขา โหถ, ตุเมฺห ปน อิโต ปฎฺฐาย ปาปานิ กมฺมานิ ปาณาติปาตาทีนิ วิวชฺชยาถ ปริวเชฺชถฯ ธมฺมานุโยคนฺติ ทานาทิกุสลธมฺมสฺส อนุยุญฺชนํฯ อธิฎฺฐหาถาติ อนุสิกฺขถ อิทํ เสรีสกมหนฺติ ทเสฺสติฯ
Gāthamāha. Tattha yaṃ vadethāti yaṃ tumhe khemena sindhusovīradesapattiṃ tattha ca vipulaṃ uddayaṃ lābhaṃ paccāsīsantā ‘‘gantvā maya’’ntiādīni vadatha. Sabbaṃ taṃ vo tumhākaṃ tatheva bhavissati, tattha nikkaṅkhā hotha, tumhe pana ito paṭṭhāya pāpāni kammāni pāṇātipātādīni vivajjayātha parivajjetha. Dhammānuyoganti dānādikusaladhammassa anuyuñjanaṃ. Adhiṭṭhahāthāti anusikkhatha idaṃ serīsakamahanti dasseti.
ยํ ปน อุปาสกํ อนุคฺคณฺหโนฺต เตสํ รกฺขาวรณํ กาตุกาโม อโหสิ, ตสฺส คุณํ กิเตฺตตฺวา ตํ เตสํ อุทฺทิสโนฺต อิมา คาถาโย อาห –
Yaṃ pana upāsakaṃ anuggaṇhanto tesaṃ rakkhāvaraṇaṃ kātukāmo ahosi, tassa guṇaṃ kittetvā taṃ tesaṃ uddisanto imā gāthāyo āha –
๑๒๖๖.
1266.
‘‘อุปาสโก อตฺถิ อิมมฺหิ สเงฺฆ, พหุสฺสุโต สีลวตูปปโนฺน;
‘‘Upāsako atthi imamhi saṅghe, bahussuto sīlavatūpapanno;
สโทฺธ จ จาคี จ สุเปสโล จ, วิจกฺขโณ สนฺตุสิโต มุตีมาฯ
Saddho ca cāgī ca supesalo ca, vicakkhaṇo santusito mutīmā.
๑๒๖๗.
1267.
‘‘สญฺชานมาโน น มุสา ภเณยฺย, ปรูปฆาตาย น เจตเยยฺย;
‘‘Sañjānamāno na musā bhaṇeyya, parūpaghātāya na cetayeyya;
เวภูติกํ เปสุณํ โน กเรยฺย, สณฺหญฺจ วาจํ สขิลํ ภเณยฺยฯ
Vebhūtikaṃ pesuṇaṃ no kareyya, saṇhañca vācaṃ sakhilaṃ bhaṇeyya.
๑๒๖๘.
1268.
‘‘สคารโว สปฺปติโสฺส วินีโต, อปาปโก อธิสีเล วิสุโทฺธ;
‘‘Sagāravo sappatisso vinīto, apāpako adhisīle visuddho;
โส มาตรํ ปิตรญฺจาปิ ชนฺตุ, ธเมฺมน โปเสติ อริยวุตฺติฯ
So mātaraṃ pitarañcāpi jantu, dhammena poseti ariyavutti.
๑๒๖๙.
1269.
‘‘มเญฺญ โส มาตาปิตูนํ การณา, โภคานิ ปริเยสติ น อตฺตเหตุ;
‘‘Maññe so mātāpitūnaṃ kāraṇā, bhogāni pariyesati na attahetu;
มาตาปิตูนญฺจ โย อจฺจเยน, เนกฺขมฺมโปโณ จริสฺสติ พฺรหฺมจริยํฯ
Mātāpitūnañca yo accayena, nekkhammapoṇo carissati brahmacariyaṃ.
๑๒๗๐.
1270.
‘‘อุชู อวโงฺก อสโฐ อมาโย, น เลสกเปฺปน จ โวหเรยฺย;
‘‘Ujū avaṅko asaṭho amāyo, na lesakappena ca vohareyya;
โส ตาทิโส สุกตกมฺมการี, ธเมฺม ฐิโต กินฺติ ลเภถ ทุกฺขํฯ
So tādiso sukatakammakārī, dhamme ṭhito kinti labhetha dukkhaṃ.
๑๒๗๑.
1271.
‘‘ตํการณา ปาตุกโตมฺหิ อตฺตนา, ตสฺมา ธมฺมํ ปสฺสถ วาณิชาเส;
‘‘Taṃkāraṇā pātukatomhi attanā, tasmā dhammaṃ passatha vāṇijāse;
อญฺญตฺร เตนิห ภสฺมี ภเวถ, อนฺธากุลา วิปฺปนฎฺฐา อรเญฺญ;
Aññatra teniha bhasmī bhavetha, andhākulā vippanaṭṭhā araññe;
ตํ ขิปฺปมาเนน ลหุํ ปเรน, สุโข หเว สปฺปุริเสน สงฺคโม’’ติฯ
Taṃ khippamānena lahuṃ parena, sukho have sappurisena saṅgamo’’ti.
๑๒๖๖. ตตฺถ สเงฺฆติ สตฺตสมูเหฯ วิจกฺขโณติ ตตฺถ ตตฺถ กตฺตพฺพตาย กุสโลฯ สนฺตุสิโตติ สนฺตุโฎฺฐฯ มุตีมาติ กมฺมสฺสกตญาณาทินา อิธโลกปรโลกหิตานํ มุนนโต มุติมาฯ
1266. Tattha saṅgheti sattasamūhe. Vicakkhaṇoti tattha tattha kattabbatāya kusalo. Santusitoti santuṭṭho. Mutīmāti kammassakatañāṇādinā idhalokaparalokahitānaṃ munanato mutimā.
๑๒๖๗. สญฺชานมาโน น มุสา ภเณยฺยาติ สมฺปชานมุสา น ภาเสยฺยฯ เวภูติกนฺติ สหิตานํ วินาภาวกรณโต ‘‘เวภูติก’’นฺติ ลทฺธนามํ ปิสุณํ, โน กเรยฺย น วเทยฺยฯ
1267.Sañjānamāno na musā bhaṇeyyāti sampajānamusā na bhāseyya. Vebhūtikanti sahitānaṃ vinābhāvakaraṇato ‘‘vebhūtika’’nti laddhanāmaṃ pisuṇaṃ, no kareyya na vadeyya.
๑๒๖๘. สปฺปติโสฺสติ ปติสฺสโย ครุฎฺฐานิเยสุ นิวาตวุตฺติกตฺตา โสรจฺจํ, สห ปติเสฺสนาติ สปฺปติโสฺสฯ อธิสีเลติ อุปาสเกน รกฺขิตพฺพอธิสีลสิกฺขายฯ อริยวุตฺตีติ ปริสุทฺธวุตฺติฯ
1268.Sappatissoti patissayo garuṭṭhāniyesu nivātavuttikattā soraccaṃ, saha patissenāti sappatisso. Adhisīleti upāsakena rakkhitabbaadhisīlasikkhāya. Ariyavuttīti parisuddhavutti.
๑๒๖๙. เนกฺขมฺมโปโณติ นิพฺพานนิโนฺนฯ จริสฺสติ พฺรหฺมจริยนฺติ ปพฺพชฺชํ สาสนพฺรหฺมจริยํ จริสฺสติฯ
1269.Nekkhammapoṇoti nibbānaninno. Carissati brahmacariyanti pabbajjaṃ sāsanabrahmacariyaṃ carissati.
๑๒๗๐. เลสกเปฺปนาติ กปฺปิยเลเสนฯ น จ โวหเรยฺยาติ มายาสาเฐยฺยวเสน วจนํ น นิจฺฉาเรยฺยฯ ธเมฺม ฐิโต กินฺติ ลเภถ ทุกฺขนฺติ เอวํ วุตฺตนเยน ธเมฺม ฐิโต ธมฺมจารี สมจารี กินฺติ เกน ปกาเรน ทุกฺขํ ลเภถ ปาปุเณยฺยฯ
1270.Lesakappenāti kappiyalesena. Na ca vohareyyāti māyāsāṭheyyavasena vacanaṃ na nicchāreyya. Dhamme ṭhito kinti labhetha dukkhanti evaṃ vuttanayena dhamme ṭhito dhammacārī samacārī kinti kena pakārena dukkhaṃ labhetha pāpuṇeyya.
๑๒๗๑. ตํการณาติ ตนฺนิมิตฺตํ ตสฺส อุปาสกสฺส เหตุฯ ปาตุกโตมฺหิ อตฺตนาติ สยเมว ตุมฺหากํ อหํ ปาตุรโหสิํฯ ‘‘อตฺตาน’’นฺติปิ ปาโฐ, มม อตฺตานํ ตุมฺหากํ ปาตฺวากาสินฺติ อโตฺถฯ ตสฺมาติ ยสฺมา อหํ ธมฺมํ อปจายมาโน ตํ รกฺขโนฺต ตุเมฺหปิ รกฺขามิ, ตสฺมา ธมฺมํ ปสฺสถ ธมฺมเมว จริตพฺพํ กตฺวา โอโลเกถฯ อญฺญตฺร เตนิห ภสฺมี ภเวถาติ เตน อุปาสเกน วินา เจ อาคตา, อิมสฺมิํ มรุกนฺตาเร อนาถา อปฺปฎิสรณา ภสฺมภาวํ คเจฺฉยฺยาถฯ ขิปฺปมาเนนาติ เอวํ ขิปฺปเนฺตน วมฺภเนฺตน ปีฬเนฺตนฯ ลหุนฺติ สุกรํฯ ปเรนาติ อธิกํ, อเญฺญน วาฯ ตสฺมา สุโข หเว สปฺปุริเสน สงฺคโมติฯ โส หิ ขนฺติโสรเจฺจ นิวิโฎฺฐ เกนจิ กิญฺจิ วุโตฺตปิ น ปฎิปฺผรตีติ อธิปฺปาโยฯ
1271.Taṃkāraṇāti tannimittaṃ tassa upāsakassa hetu. Pātukatomhi attanāti sayameva tumhākaṃ ahaṃ pāturahosiṃ. ‘‘Attāna’’ntipi pāṭho, mama attānaṃ tumhākaṃ pātvākāsinti attho. Tasmāti yasmā ahaṃ dhammaṃ apacāyamāno taṃ rakkhanto tumhepi rakkhāmi, tasmā dhammaṃ passatha dhammameva caritabbaṃ katvā oloketha. Aññatra teniha bhasmī bhavethāti tena upāsakena vinā ce āgatā, imasmiṃ marukantāre anāthā appaṭisaraṇā bhasmabhāvaṃ gaccheyyātha. Khippamānenāti evaṃ khippantena vambhantena pīḷantena. Lahunti sukaraṃ. Parenāti adhikaṃ, aññena vā. Tasmā sukho have sappurisena saṅgamoti. So hi khantisoracce niviṭṭho kenaci kiñci vuttopi na paṭippharatīti adhippāyo.
เอวํ สามญฺญโต กิตฺติตํ สรูปโต ญาตุกามา วาณิชา –
Evaṃ sāmaññato kittitaṃ sarūpato ñātukāmā vāṇijā –
๑๒๗๒.
1272.
‘‘กิํ นาม โส กิญฺจ กโรติ กมฺมํ,
‘‘Kiṃ nāma so kiñca karoti kammaṃ,
กิํ นามเธยฺยํ กิํ ปน ตสฺส โคตฺตํ;
Kiṃ nāmadheyyaṃ kiṃ pana tassa gottaṃ;
มยมฺปิ นํ ทฎฺฐุกามมฺห ยกฺข, ยสฺสานุกมฺปาย อิธาคโตสิ;
Mayampi naṃ daṭṭhukāmamha yakkha, yassānukampāya idhāgatosi;
ลาภา หิ ตสฺส ยสฺส ตุวํ ปิเหสี’’ติฯ –
Lābhā hi tassa yassa tuvaṃ pihesī’’ti. –
คาถมาหํสุฯ ตตฺถ กิํ นาม โสติ นามโต โส ชนฺตุ สโตฺต โก นามฯ กิญฺจ กโรติ กมฺมนฺติ กสิวณิชฺชาทีสุ กีทิสํ กมฺมํ กโรติฯ กิํ นามเธยฺยนฺติ มาตาปิตูหิ กตํ ปน ‘‘ติโสฺส ผุโสฺส’’ติอาทีสุ ตสฺส กิํ นามเธยฺยํ, ‘‘ภคฺคโว ภารทฺวาโช’’ติอาทีสุ กิํ วา ตสฺส โคตฺตํฯ ยสฺส ตุวํ ปิเหสีติ ยํ ตุวํ ปิยายสิฯ
Gāthamāhaṃsu. Tattha kiṃ nāma soti nāmato so jantu satto ko nāma. Kiñca karoti kammanti kasivaṇijjādīsu kīdisaṃ kammaṃ karoti. Kiṃnāmadheyyanti mātāpitūhi kataṃ pana ‘‘tisso phusso’’tiādīsu tassa kiṃ nāmadheyyaṃ, ‘‘bhaggavo bhāradvājo’’tiādīsu kiṃ vā tassa gottaṃ. Yassa tuvaṃ pihesīti yaṃ tuvaṃ piyāyasi.
อิทานิ เทวปุโตฺต ตํ นามโคตฺตาทิวเสน ทเสฺสโนฺต –
Idāni devaputto taṃ nāmagottādivasena dassento –
๑๒๗๓.
1273.
‘‘โย กปฺปโก สมฺภวนามเธโยฺย,
‘‘Yo kappako sambhavanāmadheyyo,
อุปาสโก โกจฺฉผลูปชีวี;
Upāsako kocchaphalūpajīvī;
ชานาถ นํ ตุมฺหากํ เปสิโย โส,
Jānātha naṃ tumhākaṃ pesiyo so,
มา โข นํ หีฬิตฺถ สุเปสโล โส’’ติฯ –
Mā kho naṃ hīḷittha supesalo so’’ti. –
อาหฯ ตตฺถ กปฺปโกติ นฺหาปิโตฯ สมฺภวนามเธโยฺยติ สมฺภโวติ เอวํนาโมฯ โกจฺฉผลูปชีวีติ โกจฺฉญฺจ ผลญฺจ อุปนิสฺสาย ชีวนโกฯ ตตฺถ โกจฺฉํ นาม อาฬกาทิสณฺฐาปนตฺถํ เกสาทีนํ อุลฺลิขนสาธนํฯ เปสิโย เปสนการโก เวยฺยาวจฺจกโรฯ
Āha. Tattha kappakoti nhāpito. Sambhavanāmadheyyoti sambhavoti evaṃnāmo. Kocchaphalūpajīvīti kocchañca phalañca upanissāya jīvanako. Tattha kocchaṃ nāma āḷakādisaṇṭhāpanatthaṃ kesādīnaṃ ullikhanasādhanaṃ. Pesiyo pesanakārako veyyāvaccakaro.
อิทานิ วาณิชา ตํ สญฺชานิตฺวา อาหํสุ –
Idāni vāṇijā taṃ sañjānitvā āhaṃsu –
๑๒๗๔.
1274.
‘‘ชานามเส ยํ ตฺวํ ปวเทสิ ยกฺข, น โข นํ ชานาม ส เอทิโสติ;
‘‘Jānāmase yaṃ tvaṃ pavadesi yakkha, na kho naṃ jānāma sa edisoti;
มยมฺปิ นํ ปูชยิสฺสาม ยกฺข, สุตฺวาน ตุยฺหํ วจนํ อุฬาร’’นฺติฯ
Mayampi naṃ pūjayissāma yakkha, sutvāna tuyhaṃ vacanaṃ uḷāra’’nti.
ตตฺถ ชานามเสติ ยํ ตฺวํ วเทสิ, ตํ มยํ สรูปโต ชานามฯ เอทิโสติ คุณโต ปน ยถา ตยา กิตฺติตํ, เอวํ เอทิโสติ ตํ น โข ชานาม, ยถา ตํ อวิทฺทสุโนติ อธิปฺปาโยฯ
Tattha jānāmaseti yaṃ tvaṃ vadesi, taṃ mayaṃ sarūpato jānāma. Edisoti guṇato pana yathā tayā kittitaṃ, evaṃ edisoti taṃ na kho jānāma, yathā taṃ aviddasunoti adhippāyo.
อิทานิ เทวปุโตฺต เต อตฺตโน วิมานํ อาโรเปตฺวา อนุสาสนตฺถํ –
Idāni devaputto te attano vimānaṃ āropetvā anusāsanatthaṃ –
๑๒๗๕.
1275.
‘‘เย เกจิ อิมสฺมิํ สเตฺถ มนุสฺสา, ทหรา มหนฺตา อถวาปิ มชฺฌิมา;
‘‘Ye keci imasmiṃ satthe manussā, daharā mahantā athavāpi majjhimā;
สเพฺพว เต อาลมฺพนฺตุ วิมานํ, ปสฺสนฺตุ ปุญฺญานํ ผลํ กทริยา’’ติฯ –
Sabbeva te ālambantu vimānaṃ, passantu puññānaṃ phalaṃ kadariyā’’ti. –
คาถมาห ฯ ตตฺถ มหนฺตาติ วุฑฺฒาฯ อาลมฺพนฺตูติ อาโรหนฺตุฯ กทริยาติ มจฺฉริโน อทานสีลาฯ
Gāthamāha . Tattha mahantāti vuḍḍhā. Ālambantūti ārohantu. Kadariyāti maccharino adānasīlā.
อิทานิ ปริโยสาเน ฉ คาถา ธมฺมสงฺคาหเกหิ วุตฺตา –
Idāni pariyosāne cha gāthā dhammasaṅgāhakehi vuttā –
๑๒๗๖.
1276.
‘‘เต ตตฺถ สเพฺพว อหํ ปุเรติ, ตํ กปฺปกํ ตตฺถ ปุรกฺขตฺวา;
‘‘Te tattha sabbeva ahaṃ pureti, taṃ kappakaṃ tattha purakkhatvā;
สเพฺพว เต อาลมฺพิํสุ วิมานํ, มสกฺกสารํ วิย วาสวสฺสฯ
Sabbeva te ālambiṃsu vimānaṃ, masakkasāraṃ viya vāsavassa.
๑๒๗๗.
1277.
‘‘เต ตตฺถ สเพฺพว อหํ ปุเรติ, อุปาสกตฺตํ ปฎิเวทยิํสุ;
‘‘Te tattha sabbeva ahaṃ pureti, upāsakattaṃ paṭivedayiṃsu;
ปาณาติปาตา วิรตา อเหสุํ, โลเก อทินฺนํ ปริวชฺชยิํสุ;
Pāṇātipātā viratā ahesuṃ, loke adinnaṃ parivajjayiṃsu;
อมชฺชปา โน จ มุสา ภณิํสุ, สเกน ทาเรน จ อเหสุํ ตุฎฺฐาฯ
Amajjapā no ca musā bhaṇiṃsu, sakena dārena ca ahesuṃ tuṭṭhā.
๑๒๗๘.
1278.
‘‘เต ตตฺถ สเพฺพว อหํ ปุเรติ, อุปาสกตฺตํ ปฎิเวทยิตฺวา;
‘‘Te tattha sabbeva ahaṃ pureti, upāsakattaṃ paṭivedayitvā;
ปกฺกามิ สโตฺถ อนุโมทมาโน, ยกฺขิทฺธิยา อนุมโต ปุนปฺปุนํฯ
Pakkāmi sattho anumodamāno, yakkhiddhiyā anumato punappunaṃ.
๑๒๗๙.
1279.
‘‘คนฺตฺวาน เต สินฺธุโสวีรภูมิํ, ธนตฺถิกา อุทฺทยํ ปตฺถยานา;
‘‘Gantvāna te sindhusovīrabhūmiṃ, dhanatthikā uddayaṃ patthayānā;
ยถาปโยคา ปริปุณฺณลาภา, ปจฺจาคมุํ ปาฎลิปุตฺตมกฺขตํฯ
Yathāpayogā paripuṇṇalābhā, paccāgamuṃ pāṭaliputtamakkhataṃ.
๑๒๘๐.
1280.
‘‘คนฺตฺวาน เต สงฺฆรํ โสตฺถิวโนฺต, ปุเตฺตหิ ทาเรหิ สมงฺคิภูตา;
‘‘Gantvāna te saṅgharaṃ sotthivanto, puttehi dārehi samaṅgibhūtā;
อานนฺที วิตฺตา สุมนา ปตีตา, อกํสุ เสรีสมหํ อุฬารํ;
Ānandī vittā sumanā patītā, akaṃsu serīsamahaṃ uḷāraṃ;
เสรีสกํ เต ปริเวณํ มาปยิํสุฯ
Serīsakaṃ te pariveṇaṃ māpayiṃsu.
๑๒๘๑.
1281.
‘‘เอตาทิสา สปฺปุริสาน เสวนา, มหตฺถิกา ธมฺมคุณาน เสวนา;
‘‘Etādisā sappurisāna sevanā, mahatthikā dhammaguṇāna sevanā;
เอกสฺส อตฺถาย อุปาสกสฺส, สเพฺพว สตฺตา สุขิตา อเหสุ’’นฺติฯ
Ekassa atthāya upāsakassa, sabbeva sattā sukhitā ahesu’’nti.
๑๒๗๖. ตตฺถ อหํ ปุเรติ อหํ ปุริมํ อหํ ปุริมนฺติ อหมหํกราติ อโตฺถฯ ‘‘เต ตตฺถ สเพฺพวา’’ติ วตฺวา ปุน ‘‘สเพฺพว เต’’ติ วจนํ ‘‘สเพฺพว เต ยถา วิมานสฺส อารุหเน อุสฺสุกฺกชาตา อเหสุํ, ตถา สเพฺพว ตํ อารุหิํสุ, น กสฺสจิ อารุหเน อนฺตราโย อโหสี’’ติ ทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ มสกฺกสารํ วิย วาสวสฺสาติ ‘‘มสกฺกสาร’’นฺติ จ ตาวติํสภวนํ วุจฺจติ, สพฺพํ วา เทวภวนํ, อิธ ปน สกฺกภวนํ เวทิตพฺพํฯ เตนาห ‘‘มสกฺกสารํ วิย วาสวสฺสา’’ติฯ
1276. Tattha ahaṃ pureti ahaṃ purimaṃ ahaṃ purimanti ahamahaṃkarāti attho. ‘‘Te tattha sabbevā’’ti vatvā puna ‘‘sabbeva te’’ti vacanaṃ ‘‘sabbeva te yathā vimānassa āruhane ussukkajātā ahesuṃ, tathā sabbeva taṃ āruhiṃsu, na kassaci āruhane antarāyo ahosī’’ti dassanatthaṃ vuttaṃ. Masakkasāraṃ viya vāsavassāti ‘‘masakkasāra’’nti ca tāvatiṃsabhavanaṃ vuccati, sabbaṃ vā devabhavanaṃ, idha pana sakkabhavanaṃ veditabbaṃ. Tenāha ‘‘masakkasāraṃ viya vāsavassā’’ti.
๑๒๗๗-๘. อถ เต วาณิชา วิมานํ ปสฺสิตฺวา ปสนฺนจิตฺตา ตสฺส เทวปุตฺตสฺส โอวาเท ฐตฺวา สรเณสุ จ สีเลสุ จ ปติฎฺฐาย ตสฺส อานุภาเวน โสตฺถินา อิจฺฉิตํ เทสํ อคมํสุฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เต ตตฺถ สเพฺพวา’’ติอาทิฯ ตตฺถ อนุมโต ปกฺกามิ สโตฺถ ยกฺขิทฺธิยา ปุนปฺปุนํ อนุโมทมาโนติ โยชนาฯ เกน ปน อนุมโตติ? ยเกฺขนาติ ปากโฎยมโตฺถฯ
1277-8. Atha te vāṇijā vimānaṃ passitvā pasannacittā tassa devaputtassa ovāde ṭhatvā saraṇesu ca sīlesu ca patiṭṭhāya tassa ānubhāvena sotthinā icchitaṃ desaṃ agamaṃsu. Tena vuttaṃ ‘‘te tattha sabbevā’’tiādi. Tattha anumato pakkāmi sattho yakkhiddhiyā punappunaṃ anumodamānoti yojanā. Kena pana anumatoti? Yakkhenāti pākaṭoyamattho.
๑๒๗๙. ยถาปโยคาติ ยถาอชฺฌาสยํ กตปโยคาฯ ปริปุณฺณลาภาติ สมิทฺธลาภาฯ อกฺขตนฺติ อนุปทฺทุตํ ปาฎลิปุตฺตํฯ อกฺขตนฺติ วา อนาพาธํ อนุปฺปีฬํ, อนนฺตราเยนาติ อโตฺถฯ
1279.Yathāpayogāti yathāajjhāsayaṃ katapayogā. Paripuṇṇalābhāti samiddhalābhā. Akkhatanti anupaddutaṃ pāṭaliputtaṃ. Akkhatanti vā anābādhaṃ anuppīḷaṃ, anantarāyenāti attho.
๑๒๘๐. สงฺฆรนฺติ สกํ เคหํฯ โสตฺถิวโนฺตติ โสตฺถิภาเวน ยุตฺตา เขมิโนฯ อานนฺทีติอาทีหิ จตูหิ ปเทหิ โสมนสฺสิตภาวเมว วทติฯ เสรีสกํ เต ปริเวณํ มาปยิํสูติ กตญฺญุตาย ฐตฺวา ปฎิสฺสวโมจนตฺถญฺจ เทวปุตฺตสฺส นาเมน เสรีสกํ นาม ปริเจฺฉทวเสน เวณิยโต เปกฺขิตพฺพโต ปริเวณํ ปาสาทกูฎาคารรตฺติฎฺฐานาทิสมฺปนฺนํ ปาการปริกฺขิตฺตํ ทฺวารโกฎฺฐกยุตฺตํ อาวาสํ อกํสุฯ
1280.Saṅgharanti sakaṃ gehaṃ. Sotthivantoti sotthibhāvena yuttā khemino. Ānandītiādīhi catūhi padehi somanassitabhāvameva vadati. Serīsakaṃ te pariveṇaṃ māpayiṃsūti kataññutāya ṭhatvā paṭissavamocanatthañca devaputtassa nāmena serīsakaṃ nāma paricchedavasena veṇiyato pekkhitabbato pariveṇaṃ pāsādakūṭāgārarattiṭṭhānādisampannaṃ pākāraparikkhittaṃ dvārakoṭṭhakayuttaṃ āvāsaṃ akaṃsu.
๑๒๘๑. เอตาทิสาติ เอทิสี, เอวํ อนตฺถปฎิพาหินี อตฺถสาธิกา จฯ มหตฺถิกาติ มหาปโยชนา มหานิสํสาฯ ธมฺมคุณานนฺติ อวิปรีตคุณานํฯ เอกสฺส สตฺตสฺส หิตตฺถํ สเพฺพว สตฺตา สเพฺพ เอว เต สตฺถปริยาปนฺนา สตฺตา, สุขิตา สุขปฺปตฺตา เขมปฺปตฺตา อเหสุํฯ
1281.Etādisāti edisī, evaṃ anatthapaṭibāhinī atthasādhikā ca. Mahatthikāti mahāpayojanā mahānisaṃsā. Dhammaguṇānanti aviparītaguṇānaṃ. Ekassa sattassa hitatthaṃ sabbeva sattā sabbe eva te satthapariyāpannā sattā, sukhitā sukhappattā khemappattā ahesuṃ.
สมฺภโว ปน อุปาสโก ปายาสิสฺส เทวปุตฺตสฺส เตสญฺจ วาณิชานํ วจนปฎิวจนวเสน ปวตฺตํ คาถาพนฺธํ สุตนิยาเมเนว อุคฺคเหตฺวา เถรานํ อาโรเจสิฯ ปายาสิเทวปุโตฺต อายสฺมโต สมฺภวเตฺถรสฺส กเถสีติ อปเรฯ ตํ ยสเตฺถรปฺปมุขา มหาเถรา ทุติยสงฺคีติยํ สงฺคหํ อาโรเปสุํฯ สมฺภโว ปน อุปาสโก มาตาปิตูนํ อจฺจเยน ปพฺพชิตฺวา อรหเตฺต ปติฎฺฐาสิฯ
Sambhavo pana upāsako pāyāsissa devaputtassa tesañca vāṇijānaṃ vacanapaṭivacanavasena pavattaṃ gāthābandhaṃ sutaniyāmeneva uggahetvā therānaṃ ārocesi. Pāyāsidevaputto āyasmato sambhavattherassa kathesīti apare. Taṃ yasattherappamukhā mahātherā dutiyasaṅgītiyaṃ saṅgahaṃ āropesuṃ. Sambhavo pana upāsako mātāpitūnaṃ accayena pabbajitvā arahatte patiṭṭhāsi.
เสรีสกวิมานวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Serīsakavimānavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / วิมานวตฺถุปาฬิ • Vimānavatthupāḷi / ๑๐. เสรีสกวิมานวตฺถุ • 10. Serīsakavimānavatthu