Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๓๗๗] ๒. เสตเกตุชาตกวณฺณนา
[377] 2. Setaketujātakavaṇṇanā
มา ตาต กุชฺฌิ น หิ สาธุ โกโธติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต กุหกภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิ, ปจฺจุปฺปนฺนวตฺถุ อุทฺทาลชาตเก (ชา. ๑.๑๔.๖๒ อาทโย) อาวิ ภวิสฺสติฯ
Mā tāta kujjhi na hi sādhu kodhoti idaṃ satthā jetavane viharanto kuhakabhikkhuṃ ārabbha kathesi, paccuppannavatthu uddālajātake (jā. 1.14.62 ādayo) āvi bhavissati.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต พาราณสิยํ ทิสาปาโมโกฺข อาจริโย หุตฺวา ปญฺจสเต มาณเว มเนฺต วาเจสิฯ เตสํ เชฎฺฐโก เสตเกตุ นาม อุทิจฺจพฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺตมาณโว, ตสฺส ชาติํ นิสฺสาย มหโนฺต มาโน อโหสิฯ โส เอกทิวสํ อเญฺญหิ มาณเวหิ สทฺธิํ นครา นิกฺขมโนฺต นครํ ปวิสนฺตํ เอกํ จณฺฑาลํ ทิสฺวา ‘‘โกสิ ตฺว’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘จณฺฑาโลหมสฺมี’’ติ วุเตฺต ตสฺส สรีรํ ปหริตฺวา อาคตวาตสฺส อตฺตโน สรีเร ผุสนภเยน ‘‘นสฺส, จณฺฑาล, กาฬกณฺณี, อโธวาตํ ยาหี’’ติ วตฺวา เวเคน ตสฺส อุปริวาตํ อคมาสิฯ จณฺฑาโล สีฆตรํ คนฺตฺวา ตสฺส อุปริวาเต อฎฺฐาสิฯ อถ นํ โส ‘‘นสฺส กาฬกณฺณี’’ติ สุฎฺฐุตรํ อโกฺกสิ ปริภาสิฯ ตํ สุตฺวา จณฺฑาโล ‘‘ตฺวํ โกสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘พฺราหฺมณมาณโวหมสฺมี’’ติ ฯ ‘‘พฺราหฺมโณ โหตุ, มยา ปน ปุฎฺฐปญฺหํ กเถตุํ สกฺขิสฺสสี’’ติฯ ‘‘อาม, สกฺขิสฺสามี’’ติฯ ‘‘สเจ น สโกฺกสิ, ปาทนฺตเรน ตํ คเมมี’’ติฯ โส อตฺตานํ ตเกฺกตฺวา ‘‘คเมหี’’ติ อาหฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto bārāṇasiyaṃ disāpāmokkho ācariyo hutvā pañcasate māṇave mante vācesi. Tesaṃ jeṭṭhako setaketu nāma udiccabrāhmaṇakule nibbattamāṇavo, tassa jātiṃ nissāya mahanto māno ahosi. So ekadivasaṃ aññehi māṇavehi saddhiṃ nagarā nikkhamanto nagaraṃ pavisantaṃ ekaṃ caṇḍālaṃ disvā ‘‘kosi tva’’nti pucchitvā ‘‘caṇḍālohamasmī’’ti vutte tassa sarīraṃ paharitvā āgatavātassa attano sarīre phusanabhayena ‘‘nassa, caṇḍāla, kāḷakaṇṇī, adhovātaṃ yāhī’’ti vatvā vegena tassa uparivātaṃ agamāsi. Caṇḍālo sīghataraṃ gantvā tassa uparivāte aṭṭhāsi. Atha naṃ so ‘‘nassa kāḷakaṇṇī’’ti suṭṭhutaraṃ akkosi paribhāsi. Taṃ sutvā caṇḍālo ‘‘tvaṃ kosī’’ti pucchi. ‘‘Brāhmaṇamāṇavohamasmī’’ti . ‘‘Brāhmaṇo hotu, mayā pana puṭṭhapañhaṃ kathetuṃ sakkhissasī’’ti. ‘‘Āma, sakkhissāmī’’ti. ‘‘Sace na sakkosi, pādantarena taṃ gamemī’’ti. So attānaṃ takketvā ‘‘gamehī’’ti āha.
จณฺฑาลปุโตฺต ตสฺส กถํ ปริสํ คาหาเปตฺวา ‘‘มาณว, ทิสา นาม กตรา’’ติ ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ ‘‘ทิสา นาม ปุรตฺถิมาทโย จตโสฺส ทิสา’’ติฯ จณฺฑาโล ‘‘นาหํ ตํ เอตํ ทิสํ ปุจฺฉามิ, ตฺวํ เอตฺตกมฺปิ อชานโนฺต มม สรีเร ปหฎวาตํ ชิคุจฺฉสี’’ติ ตํ ขนฺธฎฺฐิเก คเหตฺวา โอนเมตฺวา อตฺตโน ปาทนฺตเรน คเมสิฯ มาณวา ตํ ปวตฺติํ อาจริยสฺส อาจิกฺขิํสุฯ ตํ สุตฺวา อาจริโย ‘‘สจฺจํ กิร, ตาต, เสตเกตุ จณฺฑาเลนาสิ ปาทนฺตเรน คมิโต’’ติ? ‘‘อาม, อาจริย, โส มํ จณฺฑาลทาสิปุโตฺต ทิสามตฺตมฺปิ น ชานาสี’’ติ อตฺตโน ปาทนฺตเรน คเมสิ, อิทานิ ทิสฺวา กตฺตพฺพํ อสฺส ชานิสฺสามีติ กุโทฺธ จณฺฑาลปุตฺตํ อโกฺกสิ ปริภาสิฯ อถ นํ อาจริโย ‘ตาต, เสตเกตุ มา ตสฺส กุชฺฌิ, ปณฺฑิโต จณฺฑาลทาสิปุโตฺต , น โส ตํ เอตํ ทิสํ ปุจฺฉติ, อญฺญํ ทิสํ ปุจฺฉิ, ตยา ปน ทิฎฺฐสุตวิญฺญาตโต อทิฎฺฐาสุตาวิญฺญาตเมว พหุตร’’นฺติ โอวทโนฺต เทฺว คาถา อภาสิ –
Caṇḍālaputto tassa kathaṃ parisaṃ gāhāpetvā ‘‘māṇava, disā nāma katarā’’ti pañhaṃ pucchi. ‘‘Disā nāma puratthimādayo catasso disā’’ti. Caṇḍālo ‘‘nāhaṃ taṃ etaṃ disaṃ pucchāmi, tvaṃ ettakampi ajānanto mama sarīre pahaṭavātaṃ jigucchasī’’ti taṃ khandhaṭṭhike gahetvā onametvā attano pādantarena gamesi. Māṇavā taṃ pavattiṃ ācariyassa ācikkhiṃsu. Taṃ sutvā ācariyo ‘‘saccaṃ kira, tāta, setaketu caṇḍālenāsi pādantarena gamito’’ti? ‘‘Āma, ācariya, so maṃ caṇḍāladāsiputto disāmattampi na jānāsī’’ti attano pādantarena gamesi, idāni disvā kattabbaṃ assa jānissāmīti kuddho caṇḍālaputtaṃ akkosi paribhāsi. Atha naṃ ācariyo ‘tāta, setaketu mā tassa kujjhi, paṇḍito caṇḍāladāsiputto , na so taṃ etaṃ disaṃ pucchati, aññaṃ disaṃ pucchi, tayā pana diṭṭhasutaviññātato adiṭṭhāsutāviññātameva bahutara’’nti ovadanto dve gāthā abhāsi –
๘.
8.
‘‘มา ตาต กุชฺฌิ น หิ สาธุ โกโธ, พหุมฺปิ เต อทิฎฺฐมสฺสุตญฺจ;
‘‘Mā tāta kujjhi na hi sādhu kodho, bahumpi te adiṭṭhamassutañca;
มาตา ปิตา ทิสตา เสตเกตุ, อาจริยมาหุ ทิสตํ ปสตฺถาฯ
Mātā pitā disatā setaketu, ācariyamāhu disataṃ pasatthā.
๙.
9.
‘‘อคาริโน อนฺนทปานวตฺถทา, อวฺหายิกา ตมฺปิ ทิสํ วทนฺติ;
‘‘Agārino annadapānavatthadā, avhāyikā tampi disaṃ vadanti;
เอสา ทิสา ปรมา เสตเกตุ, ยํ ปตฺวา ทุกฺขี สุขิโน ภวนฺตี’’ติฯ
Esā disā paramā setaketu, yaṃ patvā dukkhī sukhino bhavantī’’ti.
ตตฺถ น หิ สาธุ โกโธติ โกโธ นาม อุปฺปชฺชมาโน สุภาสิตทุพฺภาสิตํ อตฺถานตฺถํ หิตาหิตํ ชานิตุํ น เทตีติ น สาธุ น ลทฺธโกฯ พหุมฺปิ เต อทิฎฺฐนฺติ ตยา จกฺขุนา อทิฎฺฐํ โสเตน จ อสฺสุตเมว พหุตรํฯ ทิสตาติ ทิสาฯ มาตาปิตโร ปุตฺตานํ ปุริมตรํ อุปฺปนฺนตฺตา ปุรตฺถิมทิสา นาม ชาตาติ วทติฯ อาจริยมาหุ ทิสตํ ปสตฺถาติ อาจริยา ปน ทกฺขิเณยฺยตฺตา ทิสตํ ปสตฺถา ทกฺขิณา ทิสาติ พุทฺธาทโย อริยา อาหุ กเถนฺติ ทีเปนฺติฯ
Tattha na hi sādhu kodhoti kodho nāma uppajjamāno subhāsitadubbhāsitaṃ atthānatthaṃ hitāhitaṃ jānituṃ na detīti na sādhu na laddhako. Bahumpi te adiṭṭhanti tayā cakkhunā adiṭṭhaṃ sotena ca assutameva bahutaraṃ. Disatāti disā. Mātāpitaro puttānaṃ purimataraṃ uppannattā puratthimadisā nāma jātāti vadati. Ācariyamāhu disataṃ pasatthāti ācariyā pana dakkhiṇeyyattā disataṃ pasatthā dakkhiṇā disāti buddhādayo ariyā āhu kathenti dīpenti.
อคาริโนติ คหฎฺฐาฯ อนฺนทปานวตฺถทาติ อนฺนทา, ปานทา, วตฺถทา จฯ อวฺหายิกาติ ‘‘เอถ เทยฺยธมฺมํ ปฎิคฺคณฺหถา’’ติ ปโกฺกสนกาฯ ตมฺปิ ทิสํ วทนฺตีติ ตมฺปิ พุทฺธาทโย อริยา เอกํ ทิสํ วทนฺติฯ อิมินา จตุปจฺจยทายกา คหฎฺฐา ปจฺจเย อปทิสิตฺวา ธมฺมิกสมณพฺราหฺมเณหิ อุปคนฺตพฺพตฺตา เอกา ทิสา นามาติ ทีเปติฯ อปโร นโย – เย เอเต อคาริโน อนฺนปานวตฺถทา, เตสํ ฉกามสคฺคสมฺปตฺติทายกเฎฺฐน อุปรูปริ อวฺหายนโต เย อวฺหายิกา ธมฺมิกสมณพฺราหฺมณา, ตมฺปิ ทิสํ วทนฺติ, พุทฺธาทโย อริยา อุปริมทิสํ นาม วทนฺตีติ ทีเปติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
Agārinoti gahaṭṭhā. Annadapānavatthadāti annadā, pānadā, vatthadā ca. Avhāyikāti ‘‘etha deyyadhammaṃ paṭiggaṇhathā’’ti pakkosanakā. Tampi disaṃ vadantīti tampi buddhādayo ariyā ekaṃ disaṃ vadanti. Iminā catupaccayadāyakā gahaṭṭhā paccaye apadisitvā dhammikasamaṇabrāhmaṇehi upagantabbattā ekā disā nāmāti dīpeti. Aparo nayo – ye ete agārino annapānavatthadā, tesaṃ chakāmasaggasampattidāyakaṭṭhena uparūpari avhāyanato ye avhāyikā dhammikasamaṇabrāhmaṇā, tampi disaṃ vadanti, buddhādayo ariyā uparimadisaṃ nāma vadantīti dīpeti. Vuttampi cetaṃ –
‘‘มาตา ปิตา ทิสา ปุพฺพา, อาจริยา ทกฺขิณา ทิสา;
‘‘Mātā pitā disā pubbā, ācariyā dakkhiṇā disā;
ปุตฺตทารา ทิสา ปจฺฉา, มิตฺตามจฺจา จ อุตฺตราฯ
Puttadārā disā pacchā, mittāmaccā ca uttarā.
‘‘ทาสกมฺมกรา เหฎฺฐา, อุทฺธํ สมณพฺราหฺมณา;
‘‘Dāsakammakarā heṭṭhā, uddhaṃ samaṇabrāhmaṇā;
เอตา ทิสา นมเสฺสยฺย, อลมโตฺต กุเล คิหี’’ติฯ (ที. นิ. ๓.๒๗๓);
Etā disā namasseyya, alamatto kule gihī’’ti. (dī. ni. 3.273);
เอสา ทิสาติ อิทํ ปน นิพฺพานํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ชาติอาทินา หิ นานปฺปกาเรน ทุเกฺขน ทุกฺขิตา สตฺตา ยํ ปตฺวา นิทฺทุกฺขา สุขิโน ภวนฺติ, เอสา เอว จ สเตฺตหิ อคตปุพฺพา ทิสา นามฯ เตเนว จ นิพฺพานํ ‘‘ปรมา’’ติ อาหฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
Esā disāti idaṃ pana nibbānaṃ sandhāya vuttaṃ. Jātiādinā hi nānappakārena dukkhena dukkhitā sattā yaṃ patvā niddukkhā sukhino bhavanti, esā eva ca sattehi agatapubbā disā nāma. Teneva ca nibbānaṃ ‘‘paramā’’ti āha. Vuttampi cetaṃ –
‘‘สมติตฺติกํ อนวเสสกํ, เตลปตฺตํ ยถา ปริหเรยฺย;
‘‘Samatittikaṃ anavasesakaṃ, telapattaṃ yathā parihareyya;
เอวํ สจิตฺตมนุรเกฺข, ปตฺถยาโน ทิสํ อคตปุพฺพ’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑.๙๖);
Evaṃ sacittamanurakkhe, patthayāno disaṃ agatapubba’’nti. (jā. 1.1.96);
เอวํ มหาสโตฺต มาณวสฺส ทิสา กเถสิฯ โส ปน ‘‘จณฺฑาเลนมฺหิ ปาทนฺตเรน คมิโต’’ติ ตสฺมิํ ฐาเน อวสิตฺวา ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา ทิสาปาโมกฺขาจริยสฺส สนฺติเก สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคณฺหิตฺวา อาจริเยน อนุญฺญาโต ตกฺกสิลโต นิกฺขมิตฺวา สพฺพสมยสิปฺปํ สิกฺขโนฺต วิจริฯ โส เอกํ ปจฺจนฺตคามํ ปตฺวา ตํ นิสฺสาย วสเนฺต ปญฺจสเต ตาปเส ทิสฺวา เตสํ สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา ยํ เต ชานนฺติ สิปฺปมนฺตจรณํ, ตํ อุคฺคณฺหิตฺวา คณสตฺถา หุตฺวา เตหิ ปริวาริโต พาราณสิํ คนฺตฺวา ปุนทิวเส ภิกฺขํ จรโนฺต ราชงฺคณํ อคมาสิฯ ราชา ตาปสานํ อิริยาปเถ ปสีทิตฺวา อโนฺตนิเวสเน โภเชตฺวา เต อตฺตโน อุยฺยาเน วสาเปสิฯ โส เอกทิวสํ ตาปเส ปริวิสิตฺวา ‘‘อชฺช สายเนฺห อุยฺยานํ คนฺตฺวา อเยฺย วนฺทิสฺสามี’’ติ อาหฯ
Evaṃ mahāsatto māṇavassa disā kathesi. So pana ‘‘caṇḍālenamhi pādantarena gamito’’ti tasmiṃ ṭhāne avasitvā takkasilaṃ gantvā disāpāmokkhācariyassa santike sabbasippāni uggaṇhitvā ācariyena anuññāto takkasilato nikkhamitvā sabbasamayasippaṃ sikkhanto vicari. So ekaṃ paccantagāmaṃ patvā taṃ nissāya vasante pañcasate tāpase disvā tesaṃ santike pabbajitvā yaṃ te jānanti sippamantacaraṇaṃ, taṃ uggaṇhitvā gaṇasatthā hutvā tehi parivārito bārāṇasiṃ gantvā punadivase bhikkhaṃ caranto rājaṅgaṇaṃ agamāsi. Rājā tāpasānaṃ iriyāpathe pasīditvā antonivesane bhojetvā te attano uyyāne vasāpesi. So ekadivasaṃ tāpase parivisitvā ‘‘ajja sāyanhe uyyānaṃ gantvā ayye vandissāmī’’ti āha.
เสตเกตุ อุยฺยานํ คนฺตฺวา ตาปเส สนฺนิปาเตตฺวา ‘‘มาริสา, อชฺช ราชา อาคมิสฺสติ, ราชาโน จ นาม สกิํ อาราเธตฺวา ยาวตายุกํ สุขํ ชีวิตุํ สกฺกา, อชฺช เอกเจฺจ วคฺคุลิวตํ จรถ, เอกเจฺจ กณฺฎกเสยฺยํ กเปฺปถ, เอกเจฺจ ปญฺจาตปํ ตเปฺปถ, เอกเจฺจ อุกฺกุฎิกปฺปธานมนุยุญฺชถ, เอกเจฺจ อุทโกโรหณกมฺมํ กโรถ, เอกเจฺจ มเนฺต สชฺฌายถา’’ติ วิจาเรตฺวา สยํ ปกฺกสาลทฺวาเร อปสฺสยปีฐเก นิสีทิตฺวา ปญฺจวณฺณรงฺคสมุชฺชลวาสนํ เอกํ โปตฺถกํ วิจิตฺรวเณฺณ อาธารเก ฐเปตฺวา สุสิกฺขิเตหิ จตูหิ ปญฺจหิ มาณเวหิ ปุจฺฉิเต ปุจฺฉิเต ปเญฺห กเถสิฯ ตสฺมิํ ขเณ ราชา อาคนฺตฺวา เต มิจฺฉาตปํ กโรเนฺต ทิสฺวา ตุโฎฺฐ เสตเกตุํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสิโนฺน ปุโรหิเตน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ตติยํ คาถมาห –
Setaketu uyyānaṃ gantvā tāpase sannipātetvā ‘‘mārisā, ajja rājā āgamissati, rājāno ca nāma sakiṃ ārādhetvā yāvatāyukaṃ sukhaṃ jīvituṃ sakkā, ajja ekacce vaggulivataṃ caratha, ekacce kaṇṭakaseyyaṃ kappetha, ekacce pañcātapaṃ tappetha, ekacce ukkuṭikappadhānamanuyuñjatha, ekacce udakorohaṇakammaṃ karotha, ekacce mante sajjhāyathā’’ti vicāretvā sayaṃ pakkasāladvāre apassayapīṭhake nisīditvā pañcavaṇṇaraṅgasamujjalavāsanaṃ ekaṃ potthakaṃ vicitravaṇṇe ādhārake ṭhapetvā susikkhitehi catūhi pañcahi māṇavehi pucchite pucchite pañhe kathesi. Tasmiṃ khaṇe rājā āgantvā te micchātapaṃ karonte disvā tuṭṭho setaketuṃ upasaṅkamitvā vanditvā ekamantaṃ nisinno purohitena saddhiṃ sallapanto tatiyaṃ gāthamāha –
๑๐.
10.
‘‘ขราชินา ชฎิลา ปงฺกทนฺตา, ทุมฺมกฺขรูปา เยเม ชปฺปนฺติ มเนฺต;
‘‘Kharājinā jaṭilā paṅkadantā, dummakkharūpā yeme jappanti mante;
กจฺจิ นุ เต มานุสเก ปโยเค, อิทํ วิทู ปริมุตฺตา อปายา’’ติฯ
Kacci nu te mānusake payoge, idaṃ vidū parimuttā apāyā’’ti.
ตตฺถ ขราชินาติ สขุเรหิ อชินจเมฺมหิ สมนฺนาคตาฯ ปงฺกทนฺตาติ ทนฺตกฎฺฐสฺส อขาทเนน มลคฺคหิตทนฺตาฯ ทุมฺมกฺขรูปาติ อนญฺชิตามณฺฑิตลูขนิวาสนปารุปนา มาลาคนฺธวิเลปนวชฺชิตา , กิลิฎฺฐรูปาติ วุตฺตํ โหติฯ เยเม ชปฺปนฺตีติ เย อิเม มเนฺต สชฺฌายนฺติฯ มานุสเก ปโยเคติ มนุเสฺสหิ กตฺตพฺพปโยเค ฐิตาฯ อิทํ วิทู ปริมุตฺตา อปายาติ อิมสฺมิํ ปโยเค ฐตฺวา อิมํ โลกํ วิทิตฺวา ปากฎํ กตฺวา ‘‘กจฺจิ เอเต อิสโย จตูหิ อปาเยหิ มุตฺตา’’ติ ปุจฺฉติฯ
Tattha kharājināti sakhurehi ajinacammehi samannāgatā. Paṅkadantāti dantakaṭṭhassa akhādanena malaggahitadantā. Dummakkharūpāti anañjitāmaṇḍitalūkhanivāsanapārupanā mālāgandhavilepanavajjitā , kiliṭṭharūpāti vuttaṃ hoti. Yeme jappantīti ye ime mante sajjhāyanti. Mānusake payogeti manussehi kattabbapayoge ṭhitā. Idaṃ vidū parimuttā apāyāti imasmiṃ payoge ṭhatvā imaṃ lokaṃ viditvā pākaṭaṃ katvā ‘‘kacci ete isayo catūhi apāyehi muttā’’ti pucchati.
ตํ สุตฺวา ปุโรหิโต จตุตฺถํ คาถมาห –
Taṃ sutvā purohito catutthaṃ gāthamāha –
๑๑.
11.
‘‘ปาปานิ กมฺมานิ กริตฺว ราช, พหุสฺสุโต เจ น จเรยฺย ธมฺมํ;
‘‘Pāpāni kammāni karitva rāja, bahussuto ce na careyya dhammaṃ;
สหสฺสเวโทปิ น ตํ ปฎิจฺจ, ทุกฺขา ปมุเญฺจ จรณํ อปตฺวา’’ติฯ
Sahassavedopi na taṃ paṭicca, dukkhā pamuñce caraṇaṃ apatvā’’ti.
ตตฺถ กริตฺวาติ กตฺวาฯ จรณนฺติ สห สีเลน อฎฺฐ สมาปตฺติโยฯ อิทํ วุตฺตํ โหติฯ มหาราช, ‘‘อหํ พหุสฺสุโตมฺหี’’ติ สหสฺสเวโทปิ เจ ติวิธํ สุจริตธมฺมํ น จเรยฺย, ปาปาเนว กเรยฺย, โส ตานิ ปาปานิ กมฺมานิ กตฺวา ตํ พาหุสจฺจํ ปฎิจฺจ สีลสมาปตฺติสงฺขาตํ จรณํ อปฺปตฺวา ทุกฺขา น ปมุเญฺจ, อปายทุกฺขโต น มุจฺจเตวาติฯ
Tattha karitvāti katvā. Caraṇanti saha sīlena aṭṭha samāpattiyo. Idaṃ vuttaṃ hoti. Mahārāja, ‘‘ahaṃ bahussutomhī’’ti sahassavedopi ce tividhaṃ sucaritadhammaṃ na careyya, pāpāneva kareyya, so tāni pāpāni kammāni katvā taṃ bāhusaccaṃ paṭicca sīlasamāpattisaṅkhātaṃ caraṇaṃ appatvā dukkhā na pamuñce, apāyadukkhato na muccatevāti.
ตํ สุตฺวา ราชา ตาปเสสุ ปสาทํ หริฯ ตโต เสตเกตุ จิเนฺตสิ ‘‘อิมสฺส รโญฺญ ตาปเสสุ ปสาโท อุทปาทิ, ตํ ปเนส ปุโรหิโต วาสิยา ปหริตฺวา วิย ฉินฺทิ, มยา เอเตน สทฺธิํ กเถตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส เตน สทฺธิํ กเถโนฺต ปญฺจมํ คาถมาห –
Taṃ sutvā rājā tāpasesu pasādaṃ hari. Tato setaketu cintesi ‘‘imassa rañño tāpasesu pasādo udapādi, taṃ panesa purohito vāsiyā paharitvā viya chindi, mayā etena saddhiṃ kathetuṃ vaṭṭatī’’ti. So tena saddhiṃ kathento pañcamaṃ gāthamāha –
๑๒.
12.
‘‘สหสฺสเวโทปิ น ตํ ปฎิจฺจ, ทุกฺขา ปมุเญฺจ จรณํ อปตฺวา;
‘‘Sahassavedopi na taṃ paṭicca, dukkhā pamuñce caraṇaṃ apatvā;
มญฺญามิ เวทา อผลา ภวนฺติ, สสํยมํ จรณเมว สจฺจ’’นฺติฯ
Maññāmi vedā aphalā bhavanti, sasaṃyamaṃ caraṇameva sacca’’nti.
ตสฺสโตฺถ – สเจ สหสฺสเวโทปิ ตํ พาหุสจฺจํ ปฎิจฺจ จรณํ อปฺปตฺวา อตฺตานํ ทุกฺขา น ปมุเญฺจ, เอวํ สเนฺต อหํ มญฺญามิ ‘‘ตโย เวทา อผลา โหนฺติ, สสีลํ สมาปตฺติจรณเมว สจฺจํ โหตี’’ติฯ
Tassattho – sace sahassavedopi taṃ bāhusaccaṃ paṭicca caraṇaṃ appatvā attānaṃ dukkhā na pamuñce, evaṃ sante ahaṃ maññāmi ‘‘tayo vedā aphalā honti, sasīlaṃ samāpatticaraṇameva saccaṃ hotī’’ti.
ตํ สุตฺวา ปุโรหิโต ฉฎฺฐํ คาถมาห –
Taṃ sutvā purohito chaṭṭhaṃ gāthamāha –
๑๓.
13.
‘‘น เหว เวทา อผลา ภวนฺติ, สสํยมํ จรณเมว สจฺจํ;
‘‘Na heva vedā aphalā bhavanti, sasaṃyamaṃ caraṇameva saccaṃ;
กิตฺติญฺหิ ปโปฺปติ อธิจฺจ เวเท, สนฺติํ ปุเณติ จรเณน ทโนฺต’’ติฯ
Kittiñhi pappoti adhicca vede, santiṃ puṇeti caraṇena danto’’ti.
ตสฺสโตฺถ – ตโย เวทา อผลา น ภวนฺติ, สสํยมํ จรณเมว สจฺจํ เสยฺยํ อุตฺตมํ ปวรํ น เหว โหติฯ กิํการณา? กิตฺติญฺหิ ปโปฺปติ อธิจฺจ เวเทติ ตโย เวเท อธิจฺจ ทิฎฺฐธเมฺม กิตฺติมตฺตํ ยสมตฺตํ ลาภมตฺตํ ลภติ, อิโต ปรํ อญฺญํ นตฺถิ, ตสฺมา น เต อผลาฯ สนฺติํ ปุเณติ จรเณน ทโนฺตติ สีเล ปติฎฺฐาย สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตตฺวา สมาปตฺติปทฎฺฐานํ วิปสฺสนํ วเฑฺฒโนฺต อจฺจนฺตํ สนฺตํ นิพฺพานํ นาม ตํ เอติ ปาปุณาติฯ
Tassattho – tayo vedā aphalā na bhavanti, sasaṃyamaṃ caraṇameva saccaṃ seyyaṃ uttamaṃ pavaraṃ na heva hoti. Kiṃkāraṇā? Kittiñhi pappoti adhicca vedeti tayo vede adhicca diṭṭhadhamme kittimattaṃ yasamattaṃ lābhamattaṃ labhati, ito paraṃ aññaṃ natthi, tasmā na te aphalā. Santiṃ puṇeti caraṇena dantoti sīle patiṭṭhāya samāpattiyo nibbattetvā samāpattipadaṭṭhānaṃ vipassanaṃ vaḍḍhento accantaṃ santaṃ nibbānaṃ nāma taṃ eti pāpuṇāti.
อิติ ปุโรหิโต เสตเกตุโน วาทํ ภินฺทิตฺวา เต สเพฺพ คิหี กาเรตฺวา ผลกาวุธานิ คาหาเปตฺวา มหนฺตตรเก กตฺวา รโญฺญ อุปฎฺฐาเก กาเรสิฯ อยํ กิร มหนฺตตรกานํ วํโสฯ
Iti purohito setaketuno vādaṃ bhinditvā te sabbe gihī kāretvā phalakāvudhāni gāhāpetvā mahantatarake katvā rañño upaṭṭhāke kāresi. Ayaṃ kira mahantatarakānaṃ vaṃso.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา เสตเกตุ กุหกภิกฺขุ อโหสิ, จณฺฑาโล สาริปุโตฺต, ราชา อานโนฺท, ปุโรหิโต ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā setaketu kuhakabhikkhu ahosi, caṇḍālo sāriputto, rājā ānando, purohito pana ahameva ahosi’’nti.
เสตเกตุชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ
Setaketujātakavaṇṇanā dutiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๗๗. เสตเกตุชาตกํ • 377. Setaketujātakaṃ