Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เถรคาถา-อฎฺฐกถา • Theragāthā-aṭṭhakathā

    ๒. เสตุจฺฉเตฺถรคาถาวณฺณนา

    2. Setucchattheragāthāvaṇṇanā

    มาเนน วญฺจิตาเสติ อายสฺมโต เสตุจฺฉเตฺถรสฺส คาถาฯ กา อุปฺปตฺติ? อยมฺปิ ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ตตฺถ ตตฺถ ภเว วิวฎฺฎูปนิสฺสยํ ปุญฺญํ อุปจินโนฺต ติสฺสสฺส สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส กาเล กุลเคเห นิพฺพตฺติตฺวา วิญฺญุตํ ปโตฺต เอกทิวสํ ติสฺสํ ภควนฺตํ ทิสฺวา ปสนฺนมานโส สุมธุรํ ปนสผลํ อภิสงฺขตํ นาฬิเกรสาฬวํ อทาสิฯ โส เตน ปุญฺญกเมฺมน เทวโลเก นิพฺพตฺติตฺวา อปราปรํ เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท อญฺญตรสฺส มณฺฑลิกรโญฺญ ปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติ, เสตุโจฺฉติสฺส นามํ อโหสิฯ โส ปิตริ มเต รเชฺช ปติฎฺฐิโต อุสฺสาหสตฺตีนํ อภาเวน ราชกิจฺจานิ วิราเธโนฺต รชฺชํ ปรหตฺถคตํ กตฺวา ทุกฺขปฺปตฺติยา สํเวคชาโต ชนปทจาริกํ จรนฺตํ ภควนฺตํ ทิสฺวา อุปสงฺกมิตฺวา ธมฺมํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ ปพฺพชิตฺวา ปริกมฺมํ กโรโนฺต ตทเหว อรหตฺตํ ปาปุณิฯ เตน วุตฺตํ อปทาเน (อป. เถร ๑.๑๗.๑๓-๑๗) –

    Mānenavañcitāseti āyasmato setucchattherassa gāthā. Kā uppatti? Ayampi purimabuddhesu katādhikāro tattha tattha bhave vivaṭṭūpanissayaṃ puññaṃ upacinanto tissassa sammāsambuddhassa kāle kulagehe nibbattitvā viññutaṃ patto ekadivasaṃ tissaṃ bhagavantaṃ disvā pasannamānaso sumadhuraṃ panasaphalaṃ abhisaṅkhataṃ nāḷikerasāḷavaṃ adāsi. So tena puññakammena devaloke nibbattitvā aparāparaṃ devamanussesu saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde aññatarassa maṇḍalikarañño putto hutvā nibbatti, setucchotissa nāmaṃ ahosi. So pitari mate rajje patiṭṭhito ussāhasattīnaṃ abhāvena rājakiccāni virādhento rajjaṃ parahatthagataṃ katvā dukkhappattiyā saṃvegajāto janapadacārikaṃ carantaṃ bhagavantaṃ disvā upasaṅkamitvā dhammaṃ sutvā paṭiladdhasaddho pabbajitvā parikammaṃ karonto tadaheva arahattaṃ pāpuṇi. Tena vuttaṃ apadāne (apa. thera 1.17.13-17) –

    ‘‘ติสฺสสฺส โข ภควโต, ปุเพฺพ ผลมทาสหํ;

    ‘‘Tissassa kho bhagavato, pubbe phalamadāsahaṃ;

    นาฬิเกรญฺจ ปาทาสิํ, ขชฺชกํ อภิสมฺมตํฯ

    Nāḷikerañca pādāsiṃ, khajjakaṃ abhisammataṃ.

    ‘‘พุทฺธสฺส ตมหํ ทตฺวา, ติสฺสสฺส ตุ มเหสิโน;

    ‘‘Buddhassa tamahaṃ datvā, tissassa tu mahesino;

    โมทามหํ กามกามี, อุปปชฺชิํ ยมิจฺฉกํฯ

    Modāmahaṃ kāmakāmī, upapajjiṃ yamicchakaṃ.

    ‘‘เทฺวนวุเต อิโต กเปฺป, ยํ ทานมททิํ ตทา;

    ‘‘Dvenavute ito kappe, yaṃ dānamadadiṃ tadā;

    ทุคฺคติํ นาภิชานามิ, ผลทานสฺสิทํ ผลํฯ

    Duggatiṃ nābhijānāmi, phaladānassidaṃ phalaṃ.

    ‘‘อิโต เตรสกปฺปมฺหิ, ราชา อินฺทสโม อหุ;

    ‘‘Ito terasakappamhi, rājā indasamo ahu;

    สตฺตรตนสมฺปโนฺน, จกฺกวตฺตี มหพฺพโลฯ

    Sattaratanasampanno, cakkavattī mahabbalo.

    ‘‘กิเลสา ฌาปิตา มยฺหํ…เป.… กตํ พุทฺธสฺส สาสน’’นฺติฯ

    ‘‘Kilesā jhāpitā mayhaṃ…pe… kataṃ buddhassa sāsana’’nti.

    อรหตฺตํ ปน ปตฺวา กิเลเส ครหโนฺต –

    Arahattaṃ pana patvā kilese garahanto –

    ๑๐๒.

    102.

    ‘‘มาเนน วญฺจิตาเส, สงฺขาเรสุ สํกิลิสฺสมานาเส;

    ‘‘Mānena vañcitāse, saṅkhāresu saṃkilissamānāse;

    ลาภาลาเภน มถิตา, สมาธิํ นาธิคจฺฉนฺตี’’ติฯ – คาถํ อภาสิ;

    Lābhālābhena mathitā, samādhiṃ nādhigacchantī’’ti. – gāthaṃ abhāsi;

    ตตฺถ มาเนน วญฺจิตาเสติ ‘‘เสโยฺยหมสฺมี’’ติอาทินยปฺปวเตฺตน มาเนน อตฺตุกฺกํสนปรวมฺภนาทิวเสน กุสลภณฺฑเจฺฉทเนน วิปฺปลทฺธาฯ สงฺขาเรสุ สํกิลิสฺสมานาเสติ อชฺฌตฺติกพาหิเรสุ จกฺขาทีสุ เจว รูปาทีสุ จ สงฺขตธเมฺมสุ สํกิลิสฺสมานา, ‘‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา’’ติ ตํนิมิตฺตํ ตณฺหาคาหาทิวเสน สํกิเลสํ อาปชฺชมานาฯ ลาภาลาเภน มถิตาติ ปตฺตจีวราทีนเญฺจว วตฺถาทีนญฺจ ลาเภน เตสํเยว จ อลาเภน ตํนิมิตฺตํ อุปฺปเนฺนหิ อนุนยปฎิเฆหิ มถิตา มทฺทิตา อภิภูตาฯ นิทสฺสนมตฺตเญฺจตํ อวสิฎฺฐโลกธมฺมานเมฺปตฺถ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ สมาธิํ นาธิคจฺฉนฺตีติ เต เอวรูปา ปุคฺคลา สมาธิํ สมถวิปสฺสนาวเสน จิเตฺตกคฺคตํ กทาจิปิ น วินฺทนฺติ น ปฎิลภนฺติ น ปาปุณนฺติ สมาธิสํวตฺตนิกานํ ธมฺมานํ อภาวโต, อิตเรสญฺจ ภาวโตฯ อิธาปิ ยถา มานาทีหิ อภิภูตา อวิทฺทสุโน สมาธิํ นาธิคจฺฉนฺติ, น เอวํ วิทฺทสุโนฯ เต ปน มาทิสา เตหิ อนภิภูตา สมาธิํ อธิคจฺฉเนฺตวาติ พฺยติเรกมุเขน อญฺญาพฺยากรณนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Tattha mānena vañcitāseti ‘‘seyyohamasmī’’tiādinayappavattena mānena attukkaṃsanaparavambhanādivasena kusalabhaṇḍacchedanena vippaladdhā. Saṅkhāresu saṃkilissamānāseti ajjhattikabāhiresu cakkhādīsu ceva rūpādīsu ca saṅkhatadhammesu saṃkilissamānā, ‘‘etaṃ mama, esohamasmi, eso me attā’’ti taṃnimittaṃ taṇhāgāhādivasena saṃkilesaṃ āpajjamānā. Lābhālābhena mathitāti pattacīvarādīnañceva vatthādīnañca lābhena tesaṃyeva ca alābhena taṃnimittaṃ uppannehi anunayapaṭighehi mathitā madditā abhibhūtā. Nidassanamattañcetaṃ avasiṭṭhalokadhammānampettha saṅgaho daṭṭhabbo. Samādhiṃ nādhigacchantīti te evarūpā puggalā samādhiṃ samathavipassanāvasena cittekaggataṃ kadācipi na vindanti na paṭilabhanti na pāpuṇanti samādhisaṃvattanikānaṃ dhammānaṃ abhāvato, itaresañca bhāvato. Idhāpi yathā mānādīhi abhibhūtā aviddasuno samādhiṃ nādhigacchanti, na evaṃ viddasuno. Te pana mādisā tehi anabhibhūtā samādhiṃ adhigacchantevāti byatirekamukhena aññābyākaraṇanti veditabbaṃ.

    เสตุจฺฉเตฺถรคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Setucchattheragāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เถรคาถาปาฬิ • Theragāthāpāḷi / ๒. เสตุจฺฉเตฺถรคาถา • 2. Setucchattheragāthā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact