Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๒๘๒] ๒. เสยฺยชาตกวณฺณนา
[282] 2. Seyyajātakavaṇṇanā
เสยฺยํโส เสยฺยโส โหตีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ โกสลรโญฺญ อมจฺจํ อารพฺภ กเถสิฯ โส กิร รโญฺญ พหูปกาโร สพฺพกิจฺจนิปฺผาทโก อโหสิฯ ราชา ‘‘พหูปกาโร เม อย’’นฺติ ตสฺส มหนฺตํ ยสํ อทาสิฯ ตํ อสหมานา อเญฺญ รโญฺญ เปสุญฺญํ อุปสํหริตฺวา ตํ ปริภินฺทิํสุฯ ราชา เตสํ วจนํ สทฺทหิตฺวา โทสํ อนุปปริกฺขิตฺวาว ตํ สีลวนฺตํ นิโทฺทสํ สงฺขลิกพนฺธเนน พนฺธาเปตฺวา พนฺธนาคาเร ปกฺขิปาเปสิฯ โส ตตฺถ เอกโก วสโนฺต สีลสมฺปตฺติํ นิสฺสาย จิเตฺตกคฺคตํ ลภิตฺวา เอกคฺคจิโตฺต สงฺขาเร สมฺมสิตฺวา โสตาปตฺติผลํ ปาปุณิฯ อถสฺส ราชา อปรภาเค นิโทฺทสภาวํ ญตฺวา สงฺขลิกพนฺธนํ ภินฺทาเปตฺวา ปุริมยสโต มหนฺตตรํ ยสํ อทาสิฯ โส ‘‘สตฺถารํ วนฺทิสฺสามี’’ติ พหูนิ มาลาคนฺธาทีนิ อาทาย วิหารํ คนฺตฺวา ตถาคตํ ปูเชตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ สตฺถา เตน สทฺธิํ ปฎิสนฺถารํ กโรโนฺต ‘‘อนโตฺถ กิร เต อุปฺปโนฺนติ อสฺสุมฺหา’’ติ อาหฯ ‘‘อาม, ภเนฺต, อุปฺปโนฺน, อหํ ปน เตน อนเตฺถน อตฺถํ อกาสิํ, พนฺธนาคาเร นิสีทิตฺวา โสตาปตฺติผลํ นิพฺพเตฺตสิ’’นฺติฯ สตฺถา ‘‘น โข, อุปาสก, ตฺวเญฺญว อนเตฺถน อตฺถํ อาหริ, โปราณกปณฺฑิตาปิ อตฺตโน อนเตฺถน อตฺถํ อาหริํ สุเยวา’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Seyyaṃsoseyyaso hotīti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ kosalarañño amaccaṃ ārabbha kathesi. So kira rañño bahūpakāro sabbakiccanipphādako ahosi. Rājā ‘‘bahūpakāro me aya’’nti tassa mahantaṃ yasaṃ adāsi. Taṃ asahamānā aññe rañño pesuññaṃ upasaṃharitvā taṃ paribhindiṃsu. Rājā tesaṃ vacanaṃ saddahitvā dosaṃ anupaparikkhitvāva taṃ sīlavantaṃ niddosaṃ saṅkhalikabandhanena bandhāpetvā bandhanāgāre pakkhipāpesi. So tattha ekako vasanto sīlasampattiṃ nissāya cittekaggataṃ labhitvā ekaggacitto saṅkhāre sammasitvā sotāpattiphalaṃ pāpuṇi. Athassa rājā aparabhāge niddosabhāvaṃ ñatvā saṅkhalikabandhanaṃ bhindāpetvā purimayasato mahantataraṃ yasaṃ adāsi. So ‘‘satthāraṃ vandissāmī’’ti bahūni mālāgandhādīni ādāya vihāraṃ gantvā tathāgataṃ pūjetvā vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Satthā tena saddhiṃ paṭisanthāraṃ karonto ‘‘anattho kira te uppannoti assumhā’’ti āha. ‘‘Āma, bhante, uppanno, ahaṃ pana tena anatthena atthaṃ akāsiṃ, bandhanāgāre nisīditvā sotāpattiphalaṃ nibbattesi’’nti. Satthā ‘‘na kho, upāsaka, tvaññeva anatthena atthaṃ āhari, porāṇakapaṇḍitāpi attano anatthena atthaṃ āhariṃ suyevā’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ตสฺส อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคณฺหิตฺวา ปิตุ อจฺจเยน รเชฺช ปติฎฺฐาย ทส ราชธเมฺม อโกเปตฺวา ทานํ เทติ, ปญฺจ สีลานิ รกฺขติ , อุโปสถกมฺมํ กโรติฯ อถเสฺสโก อมโจฺจ อเนฺตปุเร ปทุสฺสิฯ ปาทมูลิกาทโย ญตฺวา ‘‘อสุกอมโจฺจ อเนฺตปุเร ปทุโฎฺฐ’’ติ รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา ปริคฺคณฺหโนฺต ยถาสภาวโต ญตฺวา ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘มา มํ อิโต ปฎฺฐาย อุปฎฺฐาหี’’ติ นิพฺพิสยํ อกาสิฯ โส คนฺตฺวา อญฺญตรํ สามนฺตราชานํ อุปฎฺฐหีติ สพฺพํ วตฺถุ เหฎฺฐา มหาสีลวชาตเก (ชา. ๑.๑.๕๑) กถิตสทิสเมวฯ อิธาปิ โส ราชา ติกฺขตฺตุํ วีมํสิตฺวา ตสฺส อมจฺจสฺส วจนํ สทฺทหิตฺวา ‘‘พาราณสิรชฺชํ คณฺหิสฺสามี’’ติ มหเนฺตน ปริวาเรน รชฺชสีมํ ปาปุณิฯ พาราณสิรโญฺญ สตฺตสตมตฺตา มหาโยธา ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ‘‘เทว, อสุโก นาม กิร ราชา พาราณสิรชฺชํ คณฺหิสฺสามี’ติ ชนปทํ ภินฺทโนฺต อาคจฺฉติ, เอเตฺถว นํ คนฺตฺวา คณฺหิสฺสามา’’ติ อาหํสุฯ ‘‘มยฺหํ ปรวิหิํสาย ลเทฺธน รเชฺชน กิจฺจํ นตฺถิ, มา กิญฺจิ กริตฺถา’’ติ?
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto tassa aggamahesiyā kucchimhi nibbattitvā vayappatto takkasilāyaṃ sabbasippāni uggaṇhitvā pitu accayena rajje patiṭṭhāya dasa rājadhamme akopetvā dānaṃ deti, pañca sīlāni rakkhati , uposathakammaṃ karoti. Athasseko amacco antepure padussi. Pādamūlikādayo ñatvā ‘‘asukaamacco antepure paduṭṭho’’ti rañño ārocesuṃ. Rājā pariggaṇhanto yathāsabhāvato ñatvā pakkosāpetvā ‘‘mā maṃ ito paṭṭhāya upaṭṭhāhī’’ti nibbisayaṃ akāsi. So gantvā aññataraṃ sāmantarājānaṃ upaṭṭhahīti sabbaṃ vatthu heṭṭhā mahāsīlavajātake (jā. 1.1.51) kathitasadisameva. Idhāpi so rājā tikkhattuṃ vīmaṃsitvā tassa amaccassa vacanaṃ saddahitvā ‘‘bārāṇasirajjaṃ gaṇhissāmī’’ti mahantena parivārena rajjasīmaṃ pāpuṇi. Bārāṇasirañño sattasatamattā mahāyodhā taṃ pavattiṃ sutvā ‘‘deva, asuko nāma kira rājā bārāṇasirajjaṃ gaṇhissāmī’ti janapadaṃ bhindanto āgacchati, ettheva naṃ gantvā gaṇhissāmā’’ti āhaṃsu. ‘‘Mayhaṃ paravihiṃsāya laddhena rajjena kiccaṃ natthi, mā kiñci karitthā’’ti?
โจรราชา อาคนฺตฺวา นครํ ปริกฺขิปิ, ปุน อมจฺจา ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘เทว, มา เอวํ กริตฺถ, คณฺหิสฺสาม น’’นฺติ อาหํสุฯ ราชา ‘‘น ลพฺภา กิญฺจิ กาตุํ, นครทฺวารานิ วิวรถา’’ติ วตฺวา สยํ อมจฺจคณปริวุโต มหาตเล ราชปลฺลเงฺก นิสีทิฯ โจรราชา จตูสุ ทฺวาเรสุ มนุเสฺส โปเถโนฺต นครํ ปวิสิตฺวา ปาสาทํ อภิรุยฺห อมจฺจปริวุตํ ราชานํ คาหาเปตฺวา สงฺขลิกาหิ พนฺธาเปตฺวา พนฺธนาคาเร ปกฺขิปาเปสิฯ ราชา พนฺธนาคาเร นิสิโนฺนว โจรราชานํ เมตฺตายโนฺต เมตฺตชฺฌานํ อุปฺปาเทสิฯ ตสฺส เมตฺตานุภาเวน โจรรโญฺญ กาเย ฑาโห อุปฺปชฺชิ, สกลสรีรํ ยมกอุกฺกาหิ ฌาปิยมานํ วิย ชาตํฯ โส มหาทุกฺขาภิตุโนฺน ‘‘กิํ นุ โข การณ’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ตุเมฺห สีลวนฺตํ ราชานํ พนฺธนาคาเร ปกฺขิเปถ, เตน โว อิทํ ทุกฺขํ อุปฺปนฺนํ ภวิสฺสตี’’ติฯ โส คนฺตฺวา โพธิสตฺตํ ขมาเปตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ รชฺชํ ตุมฺหากเมว โหตู’’ติ รชฺชํ ตเสฺสว นิยฺยาเทตฺวา ‘‘อิโต ปฎฺฐาย ตุมฺหากํ ปจฺจตฺถิโก เม ภาโร โหตู’’ติ วตฺวา ปทุฎฺฐามจฺจสฺส ราชาณํ กาเรตฺวา อตฺตโน นครเมว คโตฯ
Corarājā āgantvā nagaraṃ parikkhipi, puna amaccā rājānaṃ upasaṅkamitvā ‘‘deva, mā evaṃ karittha, gaṇhissāma na’’nti āhaṃsu. Rājā ‘‘na labbhā kiñci kātuṃ, nagaradvārāni vivarathā’’ti vatvā sayaṃ amaccagaṇaparivuto mahātale rājapallaṅke nisīdi. Corarājā catūsu dvāresu manusse pothento nagaraṃ pavisitvā pāsādaṃ abhiruyha amaccaparivutaṃ rājānaṃ gāhāpetvā saṅkhalikāhi bandhāpetvā bandhanāgāre pakkhipāpesi. Rājā bandhanāgāre nisinnova corarājānaṃ mettāyanto mettajjhānaṃ uppādesi. Tassa mettānubhāvena corarañño kāye ḍāho uppajji, sakalasarīraṃ yamakaukkāhi jhāpiyamānaṃ viya jātaṃ. So mahādukkhābhitunno ‘‘kiṃ nu kho kāraṇa’’nti pucchi. ‘‘Tumhe sīlavantaṃ rājānaṃ bandhanāgāre pakkhipetha, tena vo idaṃ dukkhaṃ uppannaṃ bhavissatī’’ti. So gantvā bodhisattaṃ khamāpetvā ‘‘tumhākaṃ rajjaṃ tumhākameva hotū’’ti rajjaṃ tasseva niyyādetvā ‘‘ito paṭṭhāya tumhākaṃ paccatthiko me bhāro hotū’’ti vatvā paduṭṭhāmaccassa rājāṇaṃ kāretvā attano nagarameva gato.
โพธิสโตฺต อลงฺกตมหาตเล สมุสฺสิตเสตจฺฉเตฺต ราชปลฺลเงฺก นิสิโนฺน อมเจฺจหิ สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ปุริมา เทฺวคาถา อโวจ –
Bodhisatto alaṅkatamahātale samussitasetacchatte rājapallaṅke nisinno amaccehi saddhiṃ sallapanto purimā dvegāthā avoca –
๙๔.
94.
‘‘เสยฺยํโส เสยฺยโส โหติ, โย เสยฺยมุปเสวติ;
‘‘Seyyaṃso seyyaso hoti, yo seyyamupasevati;
เอเกน สนฺธิํ กตฺวาน, สตํ วเชฺฌ อโมจยิํฯ
Ekena sandhiṃ katvāna, sataṃ vajjhe amocayiṃ.
๙๕.
95.
‘‘ตสฺมา สเพฺพน โลเกน, สนฺธิํ กตฺวาน เอกโต;
‘‘Tasmā sabbena lokena, sandhiṃ katvāna ekato;
เปจฺจ สคฺคํ นิคเจฺฉยฺย, อิทํ สุณาถ กาสิยา’’ติฯ
Pecca saggaṃ nigaccheyya, idaṃ suṇātha kāsiyā’’ti.
ตตฺถ เสยฺยํโส เสยฺยโส โหติ, โย เสยฺยมุปเสวตีติ อนวชฺชอุตฺตมธมฺมสงฺขาโต เสโยฺย อํโส โกฎฺฐาโส อสฺสาติ เสยฺยํโส, กุสลธมฺมนิสฺสิตปุคฺคโลฯ โย ปุนปฺปุนํ ตํ เสยฺยํ กุสลธมฺมภาวนํ กุสลาภิรตํ วา อุตฺตมปุคฺคลมุปเสวติ, โส เสยฺยโส โหติ ปาสํสตโร เจว อุตฺตริตโร จ โหติฯ เอเกน สนฺธิํ กตฺวาน, สตํ วเชฺฌ อโมจยินฺติ ตทมินาปิ เจตํ เวทิตพฺพํ – อหญฺหิ เสยฺยํ เมตฺตาภาวนํ อุปเสวโนฺต ตาย เมตฺตาภาวนาย เอเกน โจรรญฺญา สนฺธิํ สนฺถวํ กตฺวา เมตฺตาภาวนํ ภาเวตฺวา ตุเมฺห สตชเน วเชฺฌ อโมจยิํฯ
Tattha seyyaṃso seyyaso hoti, yo seyyamupasevatīti anavajjauttamadhammasaṅkhāto seyyo aṃso koṭṭhāso assāti seyyaṃso, kusaladhammanissitapuggalo. Yo punappunaṃ taṃ seyyaṃ kusaladhammabhāvanaṃ kusalābhirataṃ vā uttamapuggalamupasevati, so seyyaso hoti pāsaṃsataro ceva uttaritaro ca hoti. Ekena sandhiṃ katvāna, sataṃ vajjhe amocayinti tadamināpi cetaṃ veditabbaṃ – ahañhi seyyaṃ mettābhāvanaṃ upasevanto tāya mettābhāvanāya ekena coraraññā sandhiṃ santhavaṃ katvā mettābhāvanaṃ bhāvetvā tumhe satajane vajjhe amocayiṃ.
ทุติยคาถาย อโตฺถ – ยสฺมา อหํ เอเกน สทฺธิํ เอกโต เมตฺตาภาวนาย สนฺธิํ กตฺวา ตุเมฺห วชฺฌปฺปเตฺต สตชเน โมจยิํ, ตสฺมา เวทิตพฺพเมเวตํ, ตสฺมา สเพฺพน โลเกน สทฺธิํ เมตฺตาภาวนาย สนฺธิํ กตฺวา เอกโต ปุคฺคโล เปจฺจ ปรโลเก สคฺคํ นิคเจฺฉยฺยฯ เมตฺตาย หิ อุปจารํ กามาวจเร ปฎิสนฺธิํ เทติ, อปฺปนา พฺรหฺมโลเกฯ อิทํ มม วจนํ สเพฺพปิ ตุเมฺห กาสิรฎฺฐวาสิโน สุณาถาติฯ
Dutiyagāthāya attho – yasmā ahaṃ ekena saddhiṃ ekato mettābhāvanāya sandhiṃ katvā tumhe vajjhappatte satajane mocayiṃ, tasmā veditabbamevetaṃ, tasmā sabbena lokena saddhiṃ mettābhāvanāya sandhiṃ katvā ekato puggalo pecca paraloke saggaṃ nigaccheyya. Mettāya hi upacāraṃ kāmāvacare paṭisandhiṃ deti, appanā brahmaloke. Idaṃ mama vacanaṃ sabbepi tumhe kāsiraṭṭhavāsino suṇāthāti.
เอวํ มหาสโตฺต มหาชนสฺส เมตฺตาภาวนาย คุณํ วเณฺณตฺวา ทฺวาทสโยชนิเก พาราณสินคเร เสตจฺฉตฺตํ ปหาย หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิฯ สตฺถา สมฺมาสมฺพุโทฺธ หุตฺวา ตติยํ คาถมาห –
Evaṃ mahāsatto mahājanassa mettābhāvanāya guṇaṃ vaṇṇetvā dvādasayojanike bārāṇasinagare setacchattaṃ pahāya himavantaṃ pavisitvā isipabbajjaṃ pabbaji. Satthā sammāsambuddho hutvā tatiyaṃ gāthamāha –
๙๖.
96.
‘‘อิทํ วตฺวา มหาราชา, กํโส พาราณสิคฺคโห;
‘‘Idaṃ vatvā mahārājā, kaṃso bārāṇasiggaho;
ธนุํ กณฺฑญฺจ นิกฺขิปฺป, สํยมํ อชฺฌุปาคมี’’ติฯ
Dhanuṃ kaṇḍañca nikkhippa, saṃyamaṃ ajjhupāgamī’’ti.
ตตฺถ มหโนฺต ราชาติ มหาราชาฯ กํโสติ ตสฺส นามํฯ พาราณสิํ คเหตฺวา อชฺฌาวสนโต พาราณสิคฺคโหฯ โส ราชา อิทํ วจนํ วตฺวา ธนุญฺจ สรสงฺขาตํ กณฺฑญฺจ นิกฺขิปฺป โอหาย ฉเฑฺฑตฺวา สีลสํยมํ อุปคโต ปพฺพชิโต, ปพฺพชิตฺวา จ ปน ฌานํ อุปฺปาเทตฺวา อปริหีนชฺฌาโน พฺรหฺมโลเก อุปฺปโนฺนติฯ
Tattha mahanto rājāti mahārājā. Kaṃsoti tassa nāmaṃ. Bārāṇasiṃ gahetvā ajjhāvasanato bārāṇasiggaho. So rājā idaṃ vacanaṃ vatvā dhanuñca sarasaṅkhātaṃ kaṇḍañca nikkhippa ohāya chaḍḍetvā sīlasaṃyamaṃ upagato pabbajito, pabbajitvā ca pana jhānaṃ uppādetvā aparihīnajjhāno brahmaloke uppannoti.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา โจรราชา อานโนฺท อโหสิ, พาราณสิราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā corarājā ānando ahosi, bārāṇasirājā pana ahameva ahosi’’nti.
เสยฺยชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ
Seyyajātakavaṇṇanā dutiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๘๒. เสยฺยชาตกํ • 282. Seyyajātakaṃ