Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / พุทฺธวํส-อฎฺฐกถา • Buddhavaṃsa-aṭṭhakathā

    ๑๘. สิทฺธตฺถพุทฺธวํสวณฺณนา

    18. Siddhatthabuddhavaṃsavaṇṇanā

    ธมฺมทสฺสิมฺหิ ภควติ ปรินิพฺพุเต อนฺตรหิเต จสฺส สาสเน ตสฺมิํ กเปฺป อตีเต กปฺปสหเสฺส จ สตฺตสุ กปฺปสเตสุ จ ฉสุ กเปฺปสุ จ อติกฺกเนฺตสุ อิโต จตุนวุติกปฺปมตฺถเก เอกสฺมิํ กเปฺป เอโกว โลกตฺถจโร อธิคตปรมโตฺถ สิทฺธโตฺถ นาม สตฺถา โลเก ปาตุรโหสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Dhammadassimhi bhagavati parinibbute antarahite cassa sāsane tasmiṃ kappe atīte kappasahasse ca sattasu kappasatesu ca chasu kappesu ca atikkantesu ito catunavutikappamatthake ekasmiṃ kappe ekova lokatthacaro adhigataparamattho siddhattho nāma satthā loke pāturahosi. Tena vuttaṃ –

    .

    1.

    ‘‘ธมฺมทสฺสิสฺส อปเรน, สิทฺธโตฺถ โลกนายโก;

    ‘‘Dhammadassissa aparena, siddhattho lokanāyako;

    นิหนิตฺวา ตมํ สพฺพํ, สูริโย อพฺภุคฺคโต ยถา’’ติฯ

    Nihanitvā tamaṃ sabbaṃ, sūriyo abbhuggato yathā’’ti.

    สิทฺธโตฺถ โพธิสโตฺตปิ ปารมิโย ปูเรตฺวา ตุสิตภวเน นิพฺพตฺติตฺวา ตโต จวิตฺวา เวภารนคเร อุเทนสฺส นาม รโญฺญ อคฺคมเหสิยา สุผสฺสาย นาม เทวิยา กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา ทสนฺนํ มาสานํ อจฺจเยน วีริยุยฺยาเน มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขมิฯ ชาเต ปน มหาปุริเส สเพฺพสํ อารทฺธกมฺมนฺตา จ อิจฺฉิตา จ อตฺถา สิทฺธิมคมํสุฯ ตสฺมา ปนสฺส ญาตกา ‘‘สิทฺธโตฺถ’’ติ นามมกํสุฯ โส ทสวสฺสสหสฺสานิ อคารมเชฺฌ วสิฯ ตสฺส โกกา-สุปฺปล-ปทุมนามกา ตโย ปาสาทา อเหสุํฯ โสมนสฺสาเทวิปฺปมุขานิ อฎฺฐจตฺตาลีส อิตฺถิสหสฺสานิ ปจฺจุปฎฺฐิตานิ อเหสุํฯ

    Siddhattho bodhisattopi pāramiyo pūretvā tusitabhavane nibbattitvā tato cavitvā vebhāranagare udenassa nāma rañño aggamahesiyā suphassāya nāma deviyā kucchismiṃ paṭisandhiṃ gahetvā dasannaṃ māsānaṃ accayena vīriyuyyāne mātukucchito nikkhami. Jāte pana mahāpurise sabbesaṃ āraddhakammantā ca icchitā ca atthā siddhimagamaṃsu. Tasmā panassa ñātakā ‘‘siddhattho’’ti nāmamakaṃsu. So dasavassasahassāni agāramajjhe vasi. Tassa kokā-suppala-padumanāmakā tayo pāsādā ahesuṃ. Somanassādevippamukhāni aṭṭhacattālīsa itthisahassāni paccupaṭṭhitāni ahesuṃ.

    โส จตฺตาริ นิมิตฺตานิ ทิสฺวา โสมนสฺสาเทวิยา ปุเตฺต อนุปมกุมาเร อุปฺปเนฺน อาสาฬฺหิปุณฺณมิยํ สุวณฺณสิวิกาย นิกฺขมิตฺวา วีริยุยฺยานํ คนฺตฺวา ปพฺพชิฯ ตํ โกฎิสตสหสฺสมนุสฺสา อนุปพฺพชิํสุฯ มหาปุริโส กิร เตหิ สทฺธิํ ทส มาเส ปธานจริยํ จริตฺวา วิสาขปุณฺณมายํ อสทิสพฺราหฺมณคาเม สุเนตฺตาย นาม พฺราหฺมณกญฺญาย ทินฺนํ มธุปายาสํ ปริภุญฺชิตฺวา พทรวเน ทิวาวิหารํ วีตินาเมตฺวา สายนฺหสมเย วรุเณน นาม ยวปาเลน ทินฺนา อฎฺฐ ติณมุฎฺฐิโย คเหตฺวา กณิการโพธิํ อุปคนฺตฺวา จตฺตาลีสหตฺถวิตฺถตํ ติณสนฺถรํ สนฺถริตฺวา ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา สพฺพญฺญุตํ ปาปุณิตฺวา – ‘‘อเนกชาติสํสารํ…เป.… ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา’’ติ อุทานํ อุทาเนตฺวา สตฺตสตฺตาหํ วีตินาเมตฺวา อตฺตนา สห ปพฺพชิตานํ ภิกฺขูนํ โกฎิสตสหสฺสานํ จตุสจฺจปฎิเวธสมตฺถตํ ทิสฺวา อนิลปเถน คนฺตฺวา คยามิคทาเย โอตริตฺวา เตสํ ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตสิ, ตทา โกฎิสตสหสฺสานํ ปฐโม อภิสมโย อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –

    So cattāri nimittāni disvā somanassādeviyā putte anupamakumāre uppanne āsāḷhipuṇṇamiyaṃ suvaṇṇasivikāya nikkhamitvā vīriyuyyānaṃ gantvā pabbaji. Taṃ koṭisatasahassamanussā anupabbajiṃsu. Mahāpuriso kira tehi saddhiṃ dasa māse padhānacariyaṃ caritvā visākhapuṇṇamāyaṃ asadisabrāhmaṇagāme sunettāya nāma brāhmaṇakaññāya dinnaṃ madhupāyāsaṃ paribhuñjitvā badaravane divāvihāraṃ vītināmetvā sāyanhasamaye varuṇena nāma yavapālena dinnā aṭṭha tiṇamuṭṭhiyo gahetvā kaṇikārabodhiṃ upagantvā cattālīsahatthavitthataṃ tiṇasantharaṃ santharitvā pallaṅkaṃ ābhujitvā sabbaññutaṃ pāpuṇitvā – ‘‘anekajātisaṃsāraṃ…pe… taṇhānaṃ khayamajjhagā’’ti udānaṃ udānetvā sattasattāhaṃ vītināmetvā attanā saha pabbajitānaṃ bhikkhūnaṃ koṭisatasahassānaṃ catusaccapaṭivedhasamatthataṃ disvā anilapathena gantvā gayāmigadāye otaritvā tesaṃ dhammacakkaṃ pavattesi, tadā koṭisatasahassānaṃ paṭhamo abhisamayo ahosi. Tena vuttaṃ –

    .

    2.

    ‘‘โสปิ ปตฺวาน สโมฺพธิํ, สนฺตาเรโนฺต สเทวกํ;

    ‘‘Sopi patvāna sambodhiṃ, santārento sadevakaṃ;

    อภิวสฺสิ ธมฺมเมเฆน, นิพฺพาเปโนฺต สเทวกํฯ

    Abhivassi dhammameghena, nibbāpento sadevakaṃ.

    .

    3.

    ‘‘ตสฺสาปิ อตุลเตชสฺส, อเหสุํ อภิสมยา ตโย;

    ‘‘Tassāpi atulatejassa, ahesuṃ abhisamayā tayo;

    โกฎิสตสหสฺสานํ, ปฐมาภิสมโย อหู’’ติฯ

    Koṭisatasahassānaṃ, paṭhamābhisamayo ahū’’ti.

    ตตฺถ สเทวกนฺติ สเทวกํ โลกํฯ ธมฺมเมเฆนาติ ธมฺมกถาเมฆวเสฺสนฯ ปุน ภีมรถนคเร ภีมรเถน นาม รญฺญา นิมนฺติโต นครมเชฺฌ กเต สนฺถาคาเร นิสิโนฺน กรวีกรุตมญฺชุนา สวนสุเขน ปรมมธุเรน ปณฺฑิตชนหทยงฺคเมน อมตาภิเสกสทิเสน พฺรหฺมสฺสเรน ทส ทิสา ปริปูเรโนฺต ธมฺมามตทุนฺทุภิมาหนิ, ตทา นวุติโกฎีนํ ทุติโย อภิสมโย อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Tattha sadevakanti sadevakaṃ lokaṃ. Dhammameghenāti dhammakathāmeghavassena. Puna bhīmarathanagare bhīmarathena nāma raññā nimantito nagaramajjhe kate santhāgāre nisinno karavīkarutamañjunā savanasukhena paramamadhurena paṇḍitajanahadayaṅgamena amatābhisekasadisena brahmassarena dasa disā paripūrento dhammāmatadundubhimāhani, tadā navutikoṭīnaṃ dutiyo abhisamayo ahosi. Tena vuttaṃ –

    .

    4.

    ‘‘ปุนาปรํ ภีมรเถ, ยทา อาหนิ ทุนฺทุภิํ;

    ‘‘Punāparaṃ bhīmarathe, yadā āhani dundubhiṃ;

    ตทา นวุติโกฎีนํ, ทุติยาภิสมโย อหู’’ติฯ

    Tadā navutikoṭīnaṃ, dutiyābhisamayo ahū’’ti.

    ยทา ปน เวภารนคเร ญาติสมาคเม พุทฺธวํสํ เทเสโนฺต นวุติโกฎีนํ ธมฺมจกฺขุํ อุปฺปาเทสิ, โส ตติโย อภิสมโย อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Yadā pana vebhāranagare ñātisamāgame buddhavaṃsaṃ desento navutikoṭīnaṃ dhammacakkhuṃ uppādesi, so tatiyo abhisamayo ahosi. Tena vuttaṃ –

    .

    5.

    ‘‘ยทา พุโทฺธ ธมฺมํ เทเสสิ, เวภาเร โส ปุรุตฺตเม;

    ‘‘Yadā buddho dhammaṃ desesi, vebhāre so puruttame;

    ตทา นวุติโกฎีนํ, ตติยาภิสมโย อหู’’ติฯ

    Tadā navutikoṭīnaṃ, tatiyābhisamayo ahū’’ti.

    อมรรุจิรทสฺสเน อมรนคเร นาม สมฺพโล จ สุมิโตฺต จ เทฺว ภาตโร รชฺชํ กาเรสุํฯ อถ สิทฺธโตฺถ สตฺถา เตสํ ราชูนํ อุปนิสฺสยสมฺปตฺติํ ทิสฺวา คคนตเลน คนฺตฺวา อมรนครมเชฺฌ โอตริตฺวา จกฺกาลงฺกตตเลหิ จรเณหิ ปถวิตลํ มทฺทโนฺต วิย ปทเจติยานิ ทเสฺสตฺวา อมรุยฺยานํ คนฺตฺวา ปรมรมณีเย อตฺตโน กรุณาสีตเล สิลาตเล นิสีทิฯ ตโต เทฺวปิ ภาติกราชาโน ทสพลสฺส ปทเจติยานิ ทิสฺวา ปทานิ อนุคนฺตฺวา สิทฺธตฺถํ อธิคตปรมตฺถํ สตฺถารํ สพฺพโลกเนตารํ สปริวารํ อุปสงฺกมิตฺวา อภิวาเทตฺวา ภควนฺตํ ปริวาเรตฺวา นิสีทิํสุฯ เตสํ ภควา อชฺฌาสยานุรูปํ ธมฺมํ เทเสสิฯ ตสฺส เต ธมฺมกถํ สุตฺวา สญฺชาตสทฺธา หุตฺวา สเพฺพว ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ เตสํ โกฎิสตานํ ขีณาสวานํ มเชฺฌ ภควา ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิ, โส ปฐโม สนฺนิปาโต อโหสิฯ เวภารนคเร ญาติสมาคเม ปพฺพชิตานํ นวุติโกฎีนํ มเชฺฌ ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิ, โส ทุติโย สนฺนิปาโต อโหสิฯ สุทสฺสนวิหาเร สนฺนิปติตานํ อสีติโกฎีนํ มเชฺฌ ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิ, โส ตติโย สนฺนิปาโต อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Amararuciradassane amaranagare nāma sambalo ca sumitto ca dve bhātaro rajjaṃ kāresuṃ. Atha siddhattho satthā tesaṃ rājūnaṃ upanissayasampattiṃ disvā gaganatalena gantvā amaranagaramajjhe otaritvā cakkālaṅkatatalehi caraṇehi pathavitalaṃ maddanto viya padacetiyāni dassetvā amaruyyānaṃ gantvā paramaramaṇīye attano karuṇāsītale silātale nisīdi. Tato dvepi bhātikarājāno dasabalassa padacetiyāni disvā padāni anugantvā siddhatthaṃ adhigataparamatthaṃ satthāraṃ sabbalokanetāraṃ saparivāraṃ upasaṅkamitvā abhivādetvā bhagavantaṃ parivāretvā nisīdiṃsu. Tesaṃ bhagavā ajjhāsayānurūpaṃ dhammaṃ desesi. Tassa te dhammakathaṃ sutvā sañjātasaddhā hutvā sabbeva pabbajitvā arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Tesaṃ koṭisatānaṃ khīṇāsavānaṃ majjhe bhagavā pātimokkhaṃ uddisi, so paṭhamo sannipāto ahosi. Vebhāranagare ñātisamāgame pabbajitānaṃ navutikoṭīnaṃ majjhe pātimokkhaṃ uddisi, so dutiyo sannipāto ahosi. Sudassanavihāre sannipatitānaṃ asītikoṭīnaṃ majjhe pātimokkhaṃ uddisi, so tatiyo sannipāto ahosi. Tena vuttaṃ –

    .

    6.

    ‘‘สนฺนิปาตา ตโย อาสุํ, ตสฺมิมฺปิ ทฺวิปทุตฺตเม;

    ‘‘Sannipātā tayo āsuṃ, tasmimpi dvipaduttame;

    ขีณาสวานํ วิมลานํ, สนฺตจิตฺตาน ตาทินํฯ

    Khīṇāsavānaṃ vimalānaṃ, santacittāna tādinaṃ.

    .

    7.

    ‘‘โกฎิสตานํ นวุตีนํ, อสีติยาปิ จ โกฎินํ;

    ‘‘Koṭisatānaṃ navutīnaṃ, asītiyāpi ca koṭinaṃ;

    เอเต อาสุํ ตโย ฐานา, วิมลานํ สมาคเม’’ติฯ

    Ete āsuṃ tayo ṭhānā, vimalānaṃ samāgame’’ti.

    ตตฺถ นวุตีนํ, อสีติยาปิ จ โกฎินนฺติ นวุตีนํ โกฎีนํ อสีติยาปิ จ โกฎีนํ สนฺนิปาตา อเหสุนฺติ อโตฺถฯ เอเต อาสุํ ตโย ฐานาติ เอตานิ ตีณิ สนฺนิปาตฎฺฐานานิ อเหสุนฺติ อโตฺถฯ ‘‘ฐานาเน ตานิ ตีณิ อเหสุ’’นฺติปิ ปาโฐฯ

    Tattha navutīnaṃ, asītiyāpi ca koṭinanti navutīnaṃ koṭīnaṃ asītiyāpi ca koṭīnaṃ sannipātā ahesunti attho. Ete āsuṃ tayo ṭhānāti etāni tīṇi sannipātaṭṭhānāni ahesunti attho. ‘‘Ṭhānāne tāni tīṇi ahesu’’ntipi pāṭho.

    ตทา อมฺหากํ โพธิสโตฺต สุรเสนนคเร มงฺคโล นาม พฺราหฺมโณ หุตฺวา เวทเวทงฺคานํ ปารํ คนฺตฺวา อเนกโกฎิสงฺขํ ธนสนฺนิจยํ ทีนานาถาทีนํ ปริจฺจชิตฺวา วิเวการาโม หุตฺวา ตาปสปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ฌานาภิญฺญาโย นิพฺพเตฺตตฺวา วิหรโนฺต – ‘‘สิทฺธโตฺถ นาม พุโทฺธ โลเก อุปฺปโนฺน’’ติ สุตฺวา ตํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา ตสฺส ธมฺมกถํ สุตฺวา ยาย ชมฺพุยา อยํ ชมฺพุทีโป ปญฺญายติ, อิทฺธิยา ตํ ชมฺพุํ อุปสงฺกมิตฺวา ตโต ผลํ อาหริตฺวา นวุติโกฎิภิกฺขุปริวารํ สิทฺธตฺถํ สตฺถารํ สุรเสนวิหาเร นิสีทาเปตฺวา ชมฺพุผเลหิ สนฺตเปฺปสิ สมฺปวาเรสิ ฯ อถ สตฺถา ตํ ผลํ ปริภุญฺชิตฺวา – ‘‘อิโต จตุนวุติกปฺปมตฺถเก โคตโม นาม พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ พฺยากาสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Tadā amhākaṃ bodhisatto surasenanagare maṅgalo nāma brāhmaṇo hutvā vedavedaṅgānaṃ pāraṃ gantvā anekakoṭisaṅkhaṃ dhanasannicayaṃ dīnānāthādīnaṃ pariccajitvā vivekārāmo hutvā tāpasapabbajjaṃ pabbajitvā jhānābhiññāyo nibbattetvā viharanto – ‘‘siddhattho nāma buddho loke uppanno’’ti sutvā taṃ upasaṅkamitvā vanditvā tassa dhammakathaṃ sutvā yāya jambuyā ayaṃ jambudīpo paññāyati, iddhiyā taṃ jambuṃ upasaṅkamitvā tato phalaṃ āharitvā navutikoṭibhikkhuparivāraṃ siddhatthaṃ satthāraṃ surasenavihāre nisīdāpetvā jambuphalehi santappesi sampavāresi . Atha satthā taṃ phalaṃ paribhuñjitvā – ‘‘ito catunavutikappamatthake gotamo nāma buddho bhavissatī’’ti byākāsi. Tena vuttaṃ –

    .

    8.

    ‘‘อหํ เตน สมเยน, มงฺคโล นาม ตาปโส;

    ‘‘Ahaṃ tena samayena, maṅgalo nāma tāpaso;

    อุคฺคเตโช ทุปฺปสโห, อภิญฺญาพลสมาหิโตฯ

    Uggatejo duppasaho, abhiññābalasamāhito.

    .

    9.

    ‘‘ชมฺพุโต ผลมาเนตฺวา, สิทฺธตฺถสฺส อทาสหํ;

    ‘‘Jambuto phalamānetvā, siddhatthassa adāsahaṃ;

    ปฎิคฺคเหตฺวา สมฺพุโทฺธ, อิทํ วจนมพฺรวิฯ

    Paṭiggahetvā sambuddho, idaṃ vacanamabravi.

    ๑๐.

    10.

    ‘‘ปสฺสถ อิมํ ตาปสํ, ชฎิลํ อุคฺคตาปนํ;

    ‘‘Passatha imaṃ tāpasaṃ, jaṭilaṃ uggatāpanaṃ;

    จตุนวุติโต กเปฺป, อยํ พุโทฺธ ภวิสฺสติฯ

    Catunavutito kappe, ayaṃ buddho bhavissati.

    ๑๑.

    11.

    ‘‘ปธานํ ปทหิตฺวาน…เป.… เหสฺสาม สมฺมุขา อิมํฯ

    ‘‘Padhānaṃ padahitvāna…pe… hessāma sammukhā imaṃ.

    ๑๒.

    12.

    ‘‘ตสฺสาปิ วจนํ สุตฺวา, ภิโยฺย จิตฺตํ ปสาทยิํ;

    ‘‘Tassāpi vacanaṃ sutvā, bhiyyo cittaṃ pasādayiṃ;

    อุตฺตริํ วตมธิฎฺฐาสิํ, ทสปารมิปูริยา’’ติฯ

    Uttariṃ vatamadhiṭṭhāsiṃ, dasapāramipūriyā’’ti.

    ตตฺถ ทุปฺปสโหติ ทุราสโทฯ อยเมว วา ปาโฐฯ ตสฺส ปน ภควโต นครํ เวภารํ นาม อโหสิฯ อุเทโน นาม ราชา ปิตา, ชยเสโนติปิ ตเสฺสว นามํ, สุผสฺสา นาม มาตา, สมฺพโล จ สุมิโตฺต จ เทฺว อคฺคสาวกา, เรวโต นามุปฎฺฐาโก, สีวลา จ สุรามา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, กณิการรุโกฺข โพธิ, สรีรํ สฎฺฐิหตฺถุเพฺพธํ อโหสิฯ วสฺสสตสหสฺสํ อายุ, โสมนสฺสา นาม อคฺคมเหสี อโหสิ, อนุปโม นาม ปุโตฺต, สุวณฺณสิวิกาย นิกฺขมิฯ เตน วุตฺตํ –

    Tattha duppasahoti durāsado. Ayameva vā pāṭho. Tassa pana bhagavato nagaraṃ vebhāraṃ nāma ahosi. Udeno nāma rājā pitā, jayasenotipi tasseva nāmaṃ, suphassā nāma mātā, sambalo ca sumitto ca dve aggasāvakā, revato nāmupaṭṭhāko, sīvalā ca surāmā ca dve aggasāvikā, kaṇikārarukkho bodhi, sarīraṃ saṭṭhihatthubbedhaṃ ahosi. Vassasatasahassaṃ āyu, somanassā nāma aggamahesī ahosi, anupamo nāma putto, suvaṇṇasivikāya nikkhami. Tena vuttaṃ –

    ๑๓.

    13.

    ‘‘เวภารํ นาม นครํ, อุเทโน นาม ขตฺติโย;

    ‘‘Vebhāraṃ nāma nagaraṃ, udeno nāma khattiyo;

    สุผสฺสา นาม ชนิกา, สิทฺธิตฺถสฺส มเหสิโนฯ

    Suphassā nāma janikā, siddhitthassa mahesino.

    ๑๘.

    18.

    ‘‘สมฺพโล จ สุมิโตฺต จ, อเหสุํ อคฺคสาวกา;

    ‘‘Sambalo ca sumitto ca, ahesuṃ aggasāvakā;

    เรวโต นามุปฎฺฐาโก, สิทฺธตฺถสฺส มเหสิโนฯ

    Revato nāmupaṭṭhāko, siddhatthassa mahesino.

    ๑๙.

    19.

    ‘‘สีวลา จ สุรามา จ, อเหสุํ อคฺคสาวิกา;

    ‘‘Sīvalā ca surāmā ca, ahesuṃ aggasāvikā;

    โพธิ ตสฺส ภควโต, กณิกาโรติ วุจฺจติฯ

    Bodhi tassa bhagavato, kaṇikāroti vuccati.

    ๒๑.

    21.

    ‘‘โส พุโทฺธ สฎฺฐิรตนํ, อโหสิ นภมุคฺคโต;

    ‘‘So buddho saṭṭhiratanaṃ, ahosi nabhamuggato;

    กญฺจนคฺฆิยสงฺกาโส, ทสสหสฺสี วิโรจติฯ

    Kañcanagghiyasaṅkāso, dasasahassī virocati.

    ๒๒.

    22.

    ‘‘โสปิ พุโทฺธ อสมสโม, อตุโล อปฺปฎิปุคฺคโล;

    ‘‘Sopi buddho asamasamo, atulo appaṭipuggalo;

    วสฺสสตสหสฺสานิ, โลเก อฎฺฐาสิ จกฺขุมาฯ

    Vassasatasahassāni, loke aṭṭhāsi cakkhumā.

    ๒๓.

    23.

    ‘‘วิปุลํ ปภํ ทสฺสยิตฺวา, ปุปฺผาเปตฺวาน สาวเก;

    ‘‘Vipulaṃ pabhaṃ dassayitvā, pupphāpetvāna sāvake;

    วิลาเสตฺวา สมาปตฺยา, นิพฺพุโต โส สสาวโก’’ติฯ

    Vilāsetvā samāpatyā, nibbuto so sasāvako’’ti.

    ตตฺถ สฎฺฐิรตนนฺติ สฎฺฐิรตนปฺปมาณํ นภํ อุคฺคโตติ อโตฺถฯ กญฺจนคฺฆิยสงฺกาโสติ นานารตนวิจิตฺตกนกมยอคฺฆิยสทิสทสฺสโนติ อโตฺถฯ ทสสหสฺสี วิโรจตีติ ทสสหสฺสิยํ วิโรจติฯ วิปุลนฺติ อุฬารํ โอภาสํฯ ปุปฺผาเปตฺวานาติ ฌานาภิญฺญามคฺคผลสมาปตฺติปุเปฺผหิ ปุปฺผิเต ปรมโสภคฺคปฺปเตฺต กตฺวาติ อโตฺถฯ วิลาเสตฺวาติ วิลาสยิตฺวา กีฬิตฺวาฯ สมาปตฺยาติ โลกิยโลกุตฺตราหิ สมาปตฺตีหิ อภิญฺญาหิ จฯ นิพฺพุโตติ อนุปาทาปรินิพฺพาเนน นิพฺพุโตฯ

    Tattha saṭṭhiratananti saṭṭhiratanappamāṇaṃ nabhaṃ uggatoti attho. Kañcanagghiyasaṅkāsoti nānāratanavicittakanakamayaagghiyasadisadassanoti attho. Dasasahassī virocatīti dasasahassiyaṃ virocati. Vipulanti uḷāraṃ obhāsaṃ. Pupphāpetvānāti jhānābhiññāmaggaphalasamāpattipupphehi pupphite paramasobhaggappatte katvāti attho. Vilāsetvāti vilāsayitvā kīḷitvā. Samāpatyāti lokiyalokuttarāhi samāpattīhi abhiññāhi ca. Nibbutoti anupādāparinibbānena nibbuto.

    สิทฺธโตฺถ กิร สตฺถา กญฺจนเวฬุนคเร อโนมุยฺยาเน ปรินิพฺพายิฯ ตเตฺถวสฺส รตนมยํ จตุโยชนุเพฺพธํ เจติยมกํสูติฯ เสสคาถาสุ สพฺพตฺถ ปากฎเมวาติฯ

    Siddhattho kira satthā kañcanaveḷunagare anomuyyāne parinibbāyi. Tatthevassa ratanamayaṃ catuyojanubbedhaṃ cetiyamakaṃsūti. Sesagāthāsu sabbattha pākaṭamevāti.

    สิทฺธตฺถพุทฺธวํสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Siddhatthabuddhavaṃsavaṇṇanā niṭṭhitā.

    นิฎฺฐิโต โสฬสโม พุทฺธวํโสฯ

    Niṭṭhito soḷasamo buddhavaṃso.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / พุทฺธวํสปาฬิ • Buddhavaṃsapāḷi / ๑๘. สิทฺธตฺถพุทฺธวํโส • 18. Siddhatthabuddhavaṃso


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact