Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya |
๔. สีหเสนาปติสุตฺตํ
4. Sīhasenāpatisuttaṃ
๕๗. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา เวสาลิยํ วิหรติ มหาวเน กูฎาคารสาลายํฯ อถ โข สีโห เสนาปติ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข สีโห เสนาปติ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘สกฺกา นุ โข, ภเนฺต, สนฺทิฎฺฐิกํ ทานผลํ ปญฺญาเปตุ’’นฺติ?
57. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā vesāliyaṃ viharati mahāvane kūṭāgārasālāyaṃ. Atha kho sīho senāpati yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho sīho senāpati bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘sakkā nu kho, bhante, sandiṭṭhikaṃ dānaphalaṃ paññāpetu’’nti?
‘‘เตน หิ, สีห, ตเญฺญเวตฺถ ปฎิปุจฺฉิสฺสามิ, ยถา เต ขเมยฺย ตถา นํ พฺยากเรยฺยาสิฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, สีห, อิธ เทฺว ปุริสา – เอโก ปุริโส อสฺสโทฺธ มจฺฉรี กทริโย ปริภาสโก, เอโก ปุริโส สโทฺธ ทานปติ อนุปฺปทานรโตฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, สีห, กํ นุ โข 1 อรหโนฺต ปฐมํ อนุกมฺปนฺตา อนุกเมฺปยฺยุํ – ‘โย วา โส ปุริโส อสฺสโทฺธ มจฺฉรี กทริโย ปริภาสโก, โย วา โส ปุริโส สโทฺธ ทานปติ อนุปฺปทานรโต’’’ติ?
‘‘Tena hi, sīha, taññevettha paṭipucchissāmi, yathā te khameyya tathā naṃ byākareyyāsi. Taṃ kiṃ maññasi, sīha, idha dve purisā – eko puriso assaddho maccharī kadariyo paribhāsako, eko puriso saddho dānapati anuppadānarato. Taṃ kiṃ maññasi, sīha, kaṃ nu kho 2 arahanto paṭhamaṃ anukampantā anukampeyyuṃ – ‘yo vā so puriso assaddho maccharī kadariyo paribhāsako, yo vā so puriso saddho dānapati anuppadānarato’’’ti?
‘‘โย โส, ภเนฺต, ปุริโส อสฺสโทฺธ มจฺฉรี กทริโย ปริภาสโก, กินฺตํ 3 อรหโนฺต ปฐมํ อนุกมฺปนฺตา อนุกมฺปิสฺสนฺติ! โย จ โข โส, ภเนฺต, ปุริโส สโทฺธ ทานปติ อนุปฺปทานรโต ตํเยว อรหโนฺต ปฐมํ อนุกมฺปนฺตา อนุกเมฺปยฺยุํ’’ฯ
‘‘Yo so, bhante, puriso assaddho maccharī kadariyo paribhāsako, kintaṃ 4 arahanto paṭhamaṃ anukampantā anukampissanti! Yo ca kho so, bhante, puriso saddho dānapati anuppadānarato taṃyeva arahanto paṭhamaṃ anukampantā anukampeyyuṃ’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, สีห, กํ นุ โข อรหโนฺต ปฐมํ อุปสงฺกมนฺตา อุปสงฺกเมยฺยุํ – ‘โย วา โส ปุริโส อสฺสโทฺธ มจฺฉรี กทริโย ปริภาสโก, โย วา โส ปุริโส สโทฺธ ทานปติ อนุปฺปทานรโต’’’ติ? ‘‘โย โส, ภเนฺต, ปุริโส อสฺสโทฺธ มจฺฉรี กทริโย ปริภาสโก, กินฺตํ อรหโนฺต ปฐมํ อุปสงฺกมนฺตา อุปสงฺกมิสฺสนฺติ! โย จ โข โส, ภเนฺต, ปุริโส สโทฺธ ทานปติ อนุปฺปทานรโต ตํเยว อรหโนฺต ปฐมํ อุปสงฺกมนฺตา อุปสงฺกเมยฺยุํ’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, sīha, kaṃ nu kho arahanto paṭhamaṃ upasaṅkamantā upasaṅkameyyuṃ – ‘yo vā so puriso assaddho maccharī kadariyo paribhāsako, yo vā so puriso saddho dānapati anuppadānarato’’’ti? ‘‘Yo so, bhante, puriso assaddho maccharī kadariyo paribhāsako, kintaṃ arahanto paṭhamaṃ upasaṅkamantā upasaṅkamissanti! Yo ca kho so, bhante, puriso saddho dānapati anuppadānarato taṃyeva arahanto paṭhamaṃ upasaṅkamantā upasaṅkameyyuṃ’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, สีห, กสฺส นุ โข อรหโนฺต ปฐมํ ปฎิคฺคณฺหนฺตา ปฎิคฺคเณฺหยฺยุํ – ‘โย วา โส ปุริโส อสฺสโทฺธ มจฺฉรี กทริโย ปริภาสโก, โย วา โส ปุริโส สโทฺธ ทานปติ อนุปฺปทานรโต’’’ติ? ‘‘โย โส, ภเนฺต, ปุริโส อสฺสโทฺธ มจฺฉรี กทริโย ปริภาสโก, กินฺตํ ตสฺส อรหโนฺต ปฐมํ ปฎิคฺคณฺหนฺตา ปฎิคฺคณฺหิสฺสนฺติ! โย จ โข โส, ภเนฺต, ปุริโส สโทฺธ ทานปติ อนุปฺปทานรโต ตเสฺสว อรหโนฺต ปฐมํ ปฎิคฺคณฺหนฺตา ปฎิคฺคเณฺหยฺยุํ’’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, sīha, kassa nu kho arahanto paṭhamaṃ paṭiggaṇhantā paṭiggaṇheyyuṃ – ‘yo vā so puriso assaddho maccharī kadariyo paribhāsako, yo vā so puriso saddho dānapati anuppadānarato’’’ti? ‘‘Yo so, bhante, puriso assaddho maccharī kadariyo paribhāsako, kintaṃ tassa arahanto paṭhamaṃ paṭiggaṇhantā paṭiggaṇhissanti! Yo ca kho so, bhante, puriso saddho dānapati anuppadānarato tasseva arahanto paṭhamaṃ paṭiggaṇhantā paṭiggaṇheyyuṃ’’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, สีห, กสฺส นุ โข อรหโนฺต ปฐมํ ธมฺมํ เทเสนฺตา เทเสยฺยุํ – ‘โย วา โส ปุริโส อสฺสโทฺธ มจฺฉรี กทริโย ปริภาสโก, โย วา โส ปุริโส สโทฺธ ทานปติ อนุปฺปทานรโต’’’ติ? ‘‘โย โส, ภเนฺต, ปุริโส อสฺสโทฺธ มจฺฉรี กทริโย ปริภาสโก, กินฺตํ ตสฺส อรหโนฺต ปฐมํ ธมฺมํ เทเสนฺตา เทเสสฺสนฺติ! โย จ โข โส, ภเนฺต, ปุริโส สโทฺธ ทานปติ อนุปฺปทานรโต ตเสฺสว อรหโนฺต ปฐมํ ธมฺมํ เทเสนฺตา เทเสยฺยุํ’’ ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, sīha, kassa nu kho arahanto paṭhamaṃ dhammaṃ desentā deseyyuṃ – ‘yo vā so puriso assaddho maccharī kadariyo paribhāsako, yo vā so puriso saddho dānapati anuppadānarato’’’ti? ‘‘Yo so, bhante, puriso assaddho maccharī kadariyo paribhāsako, kintaṃ tassa arahanto paṭhamaṃ dhammaṃ desentā desessanti! Yo ca kho so, bhante, puriso saddho dānapati anuppadānarato tasseva arahanto paṭhamaṃ dhammaṃ desentā deseyyuṃ’’ .
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, สีห, กสฺส นุ โข กลฺยาโณ กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคเจฺฉยฺย – ‘โย วา โส ปุริโส อสฺสโทฺธ มจฺฉรี กทริโย ปริภาสโก, โย วา โส ปุริโส สโทฺธ ทานปติ อนุปฺปทานรโต’’’ติ? ‘‘โย โส, ภเนฺต, ปุริโส อสฺสโทฺธ มจฺฉรี กทริโย ปริภาสโก, กินฺตํ ตสฺส กลฺยาโณ กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคจฺฉิสฺสติ! โย จ โข โส, ภเนฺต, ปุริโส สโทฺธ ทานปติ อนุปฺปทานรโต ตเสฺสว กลฺยาโณ กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคเจฺฉยฺย’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, sīha, kassa nu kho kalyāṇo kittisaddo abbhuggaccheyya – ‘yo vā so puriso assaddho maccharī kadariyo paribhāsako, yo vā so puriso saddho dānapati anuppadānarato’’’ti? ‘‘Yo so, bhante, puriso assaddho maccharī kadariyo paribhāsako, kintaṃ tassa kalyāṇo kittisaddo abbhuggacchissati! Yo ca kho so, bhante, puriso saddho dānapati anuppadānarato tasseva kalyāṇo kittisaddo abbhuggaccheyya’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, สีห, โก นุ โข ยํยเทว ปริสํ อุปสงฺกเมยฺย, ยทิ ขตฺติยปริสํ ยทิ พฺราหฺมณปริสํ ยทิ คหปติปริสํ ยทิ สมณปริสํ วิสารโท อุปสงฺกเมยฺย อมงฺกุภูโต – ‘โย วา โส ปุริโส อสฺสโทฺธ มจฺฉรี กทริโย ปริภาสโก, โย วา โส ปุริโส สโทฺธ ทานปติ อนุปฺปทานรโต’’’ติ? ‘‘โย โส, ภเนฺต, ปุริโส อสฺสโทฺธ มจฺฉรี กทริโย ปริภาสโก, กิํ โส ยํยเทว ปริสํ อุปสงฺกมิสฺสติ, ยทิ ขตฺติยปริสํ ยทิ พฺราหฺมณปริสํ ยทิ คหปติปริสํ ยทิ สมณปริสํ วิสารโท อุปสงฺกมิสฺสติ อมงฺกุภูโต! โย จ โข โส, ภเนฺต, ปุริโส สโทฺธ ทานปติ อนุปฺปทานรโต โส ยํยเทว ปริสํ อุปสงฺกเมยฺย, ยทิ ขตฺติยปริสํ ยทิ พฺราหฺมณปริสํ ยทิ คหปติปริสํ ยทิ สมณปริสํ วิสารโท อุปสงฺกเมยฺย อมงฺกุภูโต’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, sīha, ko nu kho yaṃyadeva parisaṃ upasaṅkameyya, yadi khattiyaparisaṃ yadi brāhmaṇaparisaṃ yadi gahapatiparisaṃ yadi samaṇaparisaṃ visārado upasaṅkameyya amaṅkubhūto – ‘yo vā so puriso assaddho maccharī kadariyo paribhāsako, yo vā so puriso saddho dānapati anuppadānarato’’’ti? ‘‘Yo so, bhante, puriso assaddho maccharī kadariyo paribhāsako, kiṃ so yaṃyadeva parisaṃ upasaṅkamissati, yadi khattiyaparisaṃ yadi brāhmaṇaparisaṃ yadi gahapatiparisaṃ yadi samaṇaparisaṃ visārado upasaṅkamissati amaṅkubhūto! Yo ca kho so, bhante, puriso saddho dānapati anuppadānarato so yaṃyadeva parisaṃ upasaṅkameyya, yadi khattiyaparisaṃ yadi brāhmaṇaparisaṃ yadi gahapatiparisaṃ yadi samaṇaparisaṃ visārado upasaṅkameyya amaṅkubhūto’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, สีห, โก นุ โข กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปเชฺชยฺย – ‘โย วา โส ปุริโส อสฺสโทฺธ มจฺฉรี กทริโย ปริภาสโก, โย วา โส ปุริโส สโทฺธ ทานปติ อนุปฺปทานรโต’’’ติ ? ‘‘โย โส, ภเนฺต, ปุริโส อสฺสโทฺธ มจฺฉรี กทริโย ปริภาสโก, กิํ โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสติ! โย จ โข โส, ภเนฺต, ปุริโส สโทฺธ ทานปติ อนุปฺปทานรโต โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปเชฺชยฺย’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, sīha, ko nu kho kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjeyya – ‘yo vā so puriso assaddho maccharī kadariyo paribhāsako, yo vā so puriso saddho dānapati anuppadānarato’’’ti ? ‘‘Yo so, bhante, puriso assaddho maccharī kadariyo paribhāsako, kiṃ so kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjissati! Yo ca kho so, bhante, puriso saddho dānapati anuppadānarato so kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjeyya’’.
‘‘ยานิมานิ, ภเนฺต, ภควตา สนฺทิฎฺฐิกานิ ทานผลานิ อกฺขาตานิ, นาหํ เอตฺถ ภควโต สทฺธาย คจฺฉามิฯ อหมฺปิ เอตานิ ชานามิฯ อหํ, ภเนฺต, ทายโก ทานปติ, มํ อรหโนฺต ปฐมํ อนุกมฺปนฺตา อนุกมฺปนฺติฯ อหํ, ภเนฺต, ทายโก ทานปติ, มํ อรหโนฺต ปฐมํ อุปสงฺกมนฺตา อุปสงฺกมนฺติฯ อหํ, ภเนฺต, ทายโก ทานปติ, มยฺหํ อรหโนฺต ปฐมํ ปฎิคฺคณฺหนฺตา ปฎิคฺคณฺหนฺติ ฯ อหํ, ภเนฺต, ทายโก ทานปติ, มยฺหํ อรหโนฺต ปฐมํ ธมฺมํ เทเสนฺตา เทเสนฺติฯ อหํ, ภเนฺต, ทายโก ทานปติ, มยฺหํ กลฺยาโณ กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคโต – ‘สีโห เสนาปติ ทายโก การโก สงฺฆุปฎฺฐาโก’ติ ฯ อหํ, ภเนฺต, ทายโก ทานปติ ยํยเทว ปริสํ อุปสงฺกมามิ, ยทิ ขตฺติยปริสํ…เป.… ยทิ สมณปริสํ วิสารโท อุปสงฺกมามิ อมงฺกุภูโตฯ ยานิมานิ, ภเนฺต, ภควตา สนฺทิฎฺฐิกานิ ทานผลานิ อกฺขาตานิ, นาหํ เอตฺถ ภควโต สทฺธาย คจฺฉามิฯ อหมฺปิ เอตานิ ชานามิฯ ยญฺจ โข มํ, ภเนฺต, ภควา เอวมาห – ‘ทายโก, สีห, ทานปติ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชตี’ติ ฯ เอตาหํ น ชานามิ, เอตฺถ จ ปนาหํ, ภควโต สทฺธาย คจฺฉามี’’ติฯ ‘‘เอวเมตํ, สีห ; เอวเมตํ, สีห! ทายโก, สีห, ทานปติ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชตี’’ติฯ จตุตฺถํฯ
‘‘Yānimāni, bhante, bhagavatā sandiṭṭhikāni dānaphalāni akkhātāni, nāhaṃ ettha bhagavato saddhāya gacchāmi. Ahampi etāni jānāmi. Ahaṃ, bhante, dāyako dānapati, maṃ arahanto paṭhamaṃ anukampantā anukampanti. Ahaṃ, bhante, dāyako dānapati, maṃ arahanto paṭhamaṃ upasaṅkamantā upasaṅkamanti. Ahaṃ, bhante, dāyako dānapati, mayhaṃ arahanto paṭhamaṃ paṭiggaṇhantā paṭiggaṇhanti . Ahaṃ, bhante, dāyako dānapati, mayhaṃ arahanto paṭhamaṃ dhammaṃ desentā desenti. Ahaṃ, bhante, dāyako dānapati, mayhaṃ kalyāṇo kittisaddo abbhuggato – ‘sīho senāpati dāyako kārako saṅghupaṭṭhāko’ti . Ahaṃ, bhante, dāyako dānapati yaṃyadeva parisaṃ upasaṅkamāmi, yadi khattiyaparisaṃ…pe… yadi samaṇaparisaṃ visārado upasaṅkamāmi amaṅkubhūto. Yānimāni, bhante, bhagavatā sandiṭṭhikāni dānaphalāni akkhātāni, nāhaṃ ettha bhagavato saddhāya gacchāmi. Ahampi etāni jānāmi. Yañca kho maṃ, bhante, bhagavā evamāha – ‘dāyako, sīha, dānapati kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjatī’ti . Etāhaṃ na jānāmi, ettha ca panāhaṃ, bhagavato saddhāya gacchāmī’’ti. ‘‘Evametaṃ, sīha ; evametaṃ, sīha! Dāyako, sīha, dānapati kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjatī’’ti. Catutthaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๔. สีหเสนาปติสุตฺตวณฺณนา • 4. Sīhasenāpatisuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๔-๗. สีหเสนาปติสุตฺตาทิวณฺณนา • 4-7. Sīhasenāpatisuttādivaṇṇanā