Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā |
สิกฺขาสาชีวปทภาชนียวณฺณนา
Sikkhāsājīvapadabhājanīyavaṇṇanā
สิกฺขิตพฺพาติ อาเสวิตพฺพาฯ อุตฺตมนฺติ วิสิฎฺฐํฯ อธิสีลาทีสุ วิชฺชมาเนสุ สีลาทีหิปิ ภวิตพฺพํฯ ยถา หิ โอมกตรปฺปมาณํ ฉตฺตํ วา ธชํ วา อุปาทาย อติเรกปฺปมาณํ ‘‘อติฉตฺตํ อติธโช’’ติ วุจฺจติ, เอวมิหาปิ ‘‘อนุกฺกฎฺฐสีลํ อุปาทาย อธิสีเลน ภวิตพฺพํ, ตถา อนุกฺกฎฺฐํ จิตฺตํ ปญฺญญฺจ อุปาทาย อธิจิเตฺตน อธิปญฺญาย จ ภวิตพฺพ’’นฺติ มนสิ กตฺวา สีลาทิํ สรูปโต วิภาเวตุกาโม ‘‘กตมํ ปเนตฺถ สีล’’นฺติอาทิมาหฯ อฎฺฐงฺคสีลํ ทสงฺคสีเลเสฺวว อโนฺตคธตฺตา วิสุํ อคฺคเหตฺวา ‘‘ปญฺจงฺคทสงฺคสีล’’นฺติ เอตฺตกเมว วุตฺตํฯ ปาติโมกฺขสํวรสีลนฺติ จาริตฺตวาริตฺตวเสน ทุวิธํ วินยปิฎกปริยาปนฺนํ สิกฺขาปทสีลํฯ ตญฺหิ โย นํ ปาติ รกฺขติ, ตํ โมเกฺขติ โมเจติ อาปายิกาทีหิ ทุเกฺขหีติ ปาติโมกฺขนฺติ วุจฺจติฯ สํวรณํ สํวโร , กายวาจาหิ อวีติกฺกโมฯ ปาติโมกฺขเมว สํวโร ปาติโมกฺขสํวโรฯ โส เอว สีลนเฎฺฐน สีลนฺติ ปาติโมกฺขสํวรสีลํฯ
Sikkhitabbāti āsevitabbā. Uttamanti visiṭṭhaṃ. Adhisīlādīsu vijjamānesu sīlādīhipi bhavitabbaṃ. Yathā hi omakatarappamāṇaṃ chattaṃ vā dhajaṃ vā upādāya atirekappamāṇaṃ ‘‘atichattaṃ atidhajo’’ti vuccati, evamihāpi ‘‘anukkaṭṭhasīlaṃ upādāya adhisīlena bhavitabbaṃ, tathā anukkaṭṭhaṃ cittaṃ paññañca upādāya adhicittena adhipaññāya ca bhavitabba’’nti manasi katvā sīlādiṃ sarūpato vibhāvetukāmo ‘‘katamaṃ panettha sīla’’ntiādimāha. Aṭṭhaṅgasīlaṃ dasaṅgasīlesveva antogadhattā visuṃ aggahetvā ‘‘pañcaṅgadasaṅgasīla’’nti ettakameva vuttaṃ. Pātimokkhasaṃvarasīlanti cārittavārittavasena duvidhaṃ vinayapiṭakapariyāpannaṃ sikkhāpadasīlaṃ. Tañhi yo naṃ pāti rakkhati, taṃ mokkheti moceti āpāyikādīhi dukkhehīti pātimokkhanti vuccati. Saṃvaraṇaṃ saṃvaro , kāyavācāhi avītikkamo. Pātimokkhameva saṃvaro pātimokkhasaṃvaro. So eva sīlanaṭṭhena sīlanti pātimokkhasaṃvarasīlaṃ.
อปโร นโย (อุทา. อฎฺฐ. ๓๑; อิติวุ. อฎฺฐ. ๙๗) – กิเลสานํ พลวภาวโต ปาปกิริยาย สุกรภาวโต ปุญฺญกิริยาย จ ทุกฺกรภาวโต พหุกฺขตฺตุํ อปาเยสุ ปตนสีโลติ ปาตี, ปุถุชฺชโนฯ อนิจฺจตาย วา ภวาภวาทีสุ กมฺมเวคกฺขิโตฺต ฆฎิยนฺตํ วิย อนวฎฺฐาเนน ปริพฺภมนโต คมนสีโลติ ปาตี, มรณวเสน วา ตมฺหิ ตมฺหิ สตฺตนิกาเย อตฺตภาวสฺส ปตนสีโลติ ปาตี, สตฺตสนฺตาโน, จิตฺตเมว วาฯ ตํ ปาตินํ สํสารทุกฺขโต โมเกฺขตีติ ปาติโมกฺขํฯ จิตฺตสฺส หิ วิโมเกฺขน สโตฺต วิมุโตฺตติ วุจฺจติฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘จิตฺตโวทานา วิสุชฺฌนฺตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๑๐๐), ‘‘อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตํ วิมุตฺต’’นฺติ (มหาว. ๒๘) จฯ
Aparo nayo (udā. aṭṭha. 31; itivu. aṭṭha. 97) – kilesānaṃ balavabhāvato pāpakiriyāya sukarabhāvato puññakiriyāya ca dukkarabhāvato bahukkhattuṃ apāyesu patanasīloti pātī, puthujjano. Aniccatāya vā bhavābhavādīsu kammavegakkhitto ghaṭiyantaṃ viya anavaṭṭhānena paribbhamanato gamanasīloti pātī, maraṇavasena vā tamhi tamhi sattanikāye attabhāvassa patanasīloti pātī, sattasantāno, cittameva vā. Taṃ pātinaṃ saṃsāradukkhato mokkhetīti pātimokkhaṃ. Cittassa hi vimokkhena satto vimuttoti vuccati. Vuttañhi ‘‘cittavodānā visujjhantī’’ti (saṃ. ni. 3.100), ‘‘anupādāya āsavehi cittaṃ vimutta’’nti (mahāva. 28) ca.
อถ วา อวิชฺชาทินา เหตุนา สํสาเร ปตติ คจฺฉติ ปวตฺตตีติ ปาติฯ ‘‘อวิชฺชานีวรณานํ สตฺตานํ ตณฺหาสํโยชนานํ สนฺธาวตํ สํสรต’’นฺติ (สํ. นิ. ๒.๑๒๔) หิ วุตฺตํฯ ตสฺส ปาติโน สตฺตสฺส ตณฺหาทิสํกิเลสตฺตยโต โมโกฺข เอเตนาติ ปาติโมโกฺขฯ ‘‘กเณฺฐกาโฬ’’ติอาทีนํ วิยสฺส สมาสสิทฺธิ เวทิตพฺพาฯ
Atha vā avijjādinā hetunā saṃsāre patati gacchati pavattatīti pāti. ‘‘Avijjānīvaraṇānaṃ sattānaṃ taṇhāsaṃyojanānaṃ sandhāvataṃ saṃsarata’’nti (saṃ. ni. 2.124) hi vuttaṃ. Tassa pātino sattassa taṇhādisaṃkilesattayato mokkho etenāti pātimokkho. ‘‘Kaṇṭhekāḷo’’tiādīnaṃ viyassa samāsasiddhi veditabbā.
อถ วา ปาเตติ วินิปาเตติ ทุเกฺขหีติ ปาติ, จิตฺตํฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘จิเตฺตน นียติ โลโก, จิเตฺตน ปริกสฺสตี’’ติ (สํ. นิ. ๑.๖๒)ฯ ตสฺส ปาติโน โมโกฺข เอเตนาติ ปาติโมโกฺขฯ ปตติ วา เอเตน อปายทุเกฺข สํสารทุเกฺข จาติ ปาติ, ตณฺหาสํกิเลโสฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘ตณฺหา ชเนติ ปุริสํ (สํ. นิ. ๑.๕๕-๕๗), ตณฺหาทุติโย ปุริโส’’ติ (อ. นิ. ๔.๙; อิติวุ. ๑๕, ๑๐๕) จ อาทิฯ ตโต ปาติโต โมโกฺขติ ปาติโมโกฺขฯ
Atha vā pāteti vinipāteti dukkhehīti pāti, cittaṃ. Vuttañhi ‘‘cittena nīyati loko, cittena parikassatī’’ti (saṃ. ni. 1.62). Tassa pātino mokkho etenāti pātimokkho. Patati vā etena apāyadukkhe saṃsāradukkhe cāti pāti, taṇhāsaṃkileso. Vuttañhi ‘‘taṇhā janeti purisaṃ (saṃ. ni. 1.55-57), taṇhādutiyo puriso’’ti (a. ni. 4.9; itivu. 15, 105) ca ādi. Tato pātito mokkhoti pātimokkho.
อถ วา ปตติ เอตฺถาติ ปาติ, ฉ อชฺฌตฺติกพาหิรานิ อายตนานิฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘ฉสุ โลโก สมุปฺปโนฺน, ฉสุ กุพฺพติ สนฺถว’’นฺติ (สํ. นิ. ๑.๗๐; สุ. นิ. ๑๗๑)ฯ ตโต ฉอชฺฌตฺติกพาหิรายตนสงฺขาตโต ปาติโต โมโกฺขติ ปาติโมโกฺขฯ
Atha vā patati etthāti pāti, cha ajjhattikabāhirāni āyatanāni. Vuttañhi ‘‘chasu loko samuppanno, chasu kubbati santhava’’nti (saṃ. ni. 1.70; su. ni. 171). Tato chaajjhattikabāhirāyatanasaṅkhātato pātito mokkhoti pātimokkho.
อถ วา ปาโต วินิปาโต อสฺส อตฺถีติ ปาตี, สํสาโรฯ ตโต โมโกฺขติ ปาติโมโกฺขฯ
Atha vā pāto vinipāto assa atthīti pātī, saṃsāro. Tato mokkhoti pātimokkho.
อถ วา สพฺพโลกาธิปติภาวโต ธมฺมิสฺสโร ภควา ปตีติ วุจฺจติ, มุจฺจติ เอเตนาติ โมโกฺข, ปติโน โมโกฺข เตน ปญฺญตฺตตฺตาติ ปติโมโกฺข, ปติโมโกฺข เอว ปาติโมโกฺขฯ สพฺพคุณานํ วา มูลภาวโต อุตฺตมเฎฺฐน ปติ จ โส ยถาวุเตฺตน อเตฺถน โมโกฺข จาติ ปติโมโกฺข, ปติโมโกฺข เอว ปาติโมโกฺขฯ ตถา หิ วุตฺตํ ‘‘ปาติโมกฺขนฺติ มุขเมตํ ปมุขเมต’’นฺติ (มหาว. ๑๓๕) วิตฺถาโรฯ
Atha vā sabbalokādhipatibhāvato dhammissaro bhagavā patīti vuccati, muccati etenāti mokkho, patino mokkho tena paññattattāti patimokkho, patimokkho eva pātimokkho. Sabbaguṇānaṃ vā mūlabhāvato uttamaṭṭhena pati ca so yathāvuttena atthena mokkho cāti patimokkho, patimokkho eva pātimokkho. Tathā hi vuttaṃ ‘‘pātimokkhanti mukhametaṃ pamukhameta’’nti (mahāva. 135) vitthāro.
อถ วา ป-อิติ ปกาเร, อตีติ อจฺจนฺตเตฺถ นิปาโต, ตสฺมา ปกาเรหิ อจฺจนฺตํ โมเกฺขตีติ ปาติโมโกฺขฯ อิทญฺหิ สีลํ สยํ ตทงฺควเสน สมาธิสหิตํ ปญฺญาสหิตญฺจ วิกฺขมฺภนวเสน สมุเจฺฉทวเสน จ อจฺจนฺตํ โมเกฺขติ โมเจตีติ ปาติโมโกฺขฯ
Atha vā pa-iti pakāre, atīti accantatthe nipāto, tasmā pakārehi accantaṃ mokkhetīti pātimokkho. Idañhi sīlaṃ sayaṃ tadaṅgavasena samādhisahitaṃ paññāsahitañca vikkhambhanavasena samucchedavasena ca accantaṃ mokkheti mocetīti pātimokkho.
ปติ ปติ โมโกฺขติ วา ปติโมโกฺข, ตมฺหา ตมฺหา วีติกฺกมโทสโต ปเจฺจกํ โมเกฺขตีติ อโตฺถ, ปติโมโกฺข เอว ปาติโมโกฺขฯ โมโกฺข วา นิพฺพานํ, ตสฺส โมกฺขสฺส ปฎิพิมฺพภูโตติ ปติโมโกฺขฯ สีลสํวโร หิ สูริยสฺส อรุณุคฺคมนํ วิย นิพฺพานสฺส อุทยภูโต ตปฺปฎิภาโค จ ยถารหํ กิเลสนิพฺพาปนโต, ปติโมโกฺขเยว ปาติโมโกฺขฯ ปติวตฺตติ โมกฺขาภิมุขนฺติ วา ปติโมกฺขํ, ปติโมกฺขเมว ปาติโมกฺขนฺติ เอวํ ตาเวตฺถ ปาติโมกฺขสทฺทสฺส อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Pati pati mokkhoti vā patimokkho, tamhā tamhā vītikkamadosato paccekaṃ mokkhetīti attho, patimokkho eva pātimokkho. Mokkho vā nibbānaṃ, tassa mokkhassa paṭibimbabhūtoti patimokkho. Sīlasaṃvaro hi sūriyassa aruṇuggamanaṃ viya nibbānassa udayabhūto tappaṭibhāgo ca yathārahaṃ kilesanibbāpanato, patimokkhoyeva pātimokkho. Pativattati mokkhābhimukhanti vā patimokkhaṃ, patimokkhameva pātimokkhanti evaṃ tāvettha pātimokkhasaddassa attho veditabbo.
สํวรติ ปิทหติ เอเตนาติ สํวโร, ปาติโมกฺขเมว สํวโร ปาติโมกฺขสํวโรฯ โส เอว สีลํ ปาติโมกฺขสํวรสีลํ, อตฺถโต ปน ตโต ตโต วีติกฺกมิตพฺพโต วิรติโย เจว เจตนา จฯ
Saṃvarati pidahati etenāti saṃvaro, pātimokkhameva saṃvaro pātimokkhasaṃvaro. So eva sīlaṃ pātimokkhasaṃvarasīlaṃ, atthato pana tato tato vītikkamitabbato viratiyo ceva cetanā ca.
อธิสีลนฺติ วุจฺจตีติ อนวเสสโต กายิกวาจสิกสํวรภาวโต จ มคฺคสีลสฺส ปทฎฺฐานภาวโต จ ปาติโมกฺขสํวรสีลํ อธิกํ วิสิฎฺฐํ สีลํ อธิสีลนฺติ วุจฺจติฯ ปโชฺชตานนฺติ อาโลกานํฯ นนุ จ ปเจฺจกพุทฺธาปิ ธมฺมตาวเสน ปาติโมกฺขสํวรสีเลน สมนฺนาคตาว โหนฺติ, เอวํ สติ กสฺมา ‘‘พุทฺธุปฺปาเทเยว ปวตฺตติ, น วินา พุทฺธุปฺปาทา’’ติ นิยเมตฺวา วุตฺตนฺติ อาห – ‘‘น หิ ตํ ปญฺญตฺติํ อุทฺธริตฺวา’’ติอาทิฯ กิญฺจาปิ ปเจฺจกพุทฺธา ปาติโมกฺขสํวรสมฺปนฺนาคตา โหนฺติ, น ปน เตสํ วเสน วิตฺถาริตํ หุตฺวา ปวตฺตตีติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘อิมสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ อิมสฺมิํ วีติกฺกเม อิทํ นาม โหตี’’ติ ปญฺญปนํ อเญฺญสํ อวิสโย, พุทฺธานํเยว เอส วิสโย, พุทฺธานํ พลนฺติ อาห – ‘‘พุทฺธาเยว ปนา’’ติอาทิฯ โลกิยสีลสฺส อธิสีลภาโว ปริยาเยนาติ นิปฺปริยายเมว ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ปาติโมกฺขสํวรโตปิ จ มคฺคผลสมฺปยุตฺตเมว สีลํ อธิสีล’’นฺติ วุตฺตํฯ น หิ ตํ สมาปโนฺน ภิกฺขูติ คหเฎฺฐสุ โสตาปนฺนานํ สทารวีติกฺกมสมฺภวโต วุตฺตํฯ ตถา หิ เต สปุตฺตทารา อคารํ อชฺฌาวสนฺติฯ
Adhisīlanti vuccatīti anavasesato kāyikavācasikasaṃvarabhāvato ca maggasīlassa padaṭṭhānabhāvato ca pātimokkhasaṃvarasīlaṃ adhikaṃ visiṭṭhaṃ sīlaṃ adhisīlanti vuccati. Pajjotānanti ālokānaṃ. Nanu ca paccekabuddhāpi dhammatāvasena pātimokkhasaṃvarasīlena samannāgatāva honti, evaṃ sati kasmā ‘‘buddhuppādeyeva pavattati, na vinā buddhuppādā’’ti niyametvā vuttanti āha – ‘‘na hi taṃ paññattiṃ uddharitvā’’tiādi. Kiñcāpi paccekabuddhā pātimokkhasaṃvarasampannāgatā honti, na pana tesaṃ vasena vitthāritaṃ hutvā pavattatīti adhippāyo. ‘‘Imasmiṃ vatthusmiṃ imasmiṃ vītikkame idaṃ nāma hotī’’ti paññapanaṃ aññesaṃ avisayo, buddhānaṃyeva esa visayo, buddhānaṃ balanti āha – ‘‘buddhāyeva panā’’tiādi. Lokiyasīlassa adhisīlabhāvo pariyāyenāti nippariyāyameva taṃ dassetuṃ ‘‘pātimokkhasaṃvaratopi ca maggaphalasampayuttameva sīlaṃ adhisīla’’nti vuttaṃ. Na hi taṃ samāpanno bhikkhūti gahaṭṭhesu sotāpannānaṃ sadāravītikkamasambhavato vuttaṃ. Tathā hi te saputtadārā agāraṃ ajjhāvasanti.
สมาทาปนํ สมาทานญฺจาติ อเญฺญสํ สมาทาปนํ สยํ สมาทานญฺจฯ อธิจิตฺตนฺติ วุจฺจตีติ มคฺคสมาธิสฺส อธิฎฺฐานภาวโต อธิจิตฺตนฺติ วุจฺจติฯ น วินา พุทฺธุปฺปาทาติ กิญฺจาปิ ปเจฺจกพุทฺธานํ วิปสฺสนาปาทกํ อฎฺฐสมาปตฺติจิตฺตํ โหติเยว, น ปน เต ตตฺถ อเญฺญ สมาทาเปตุํ สโกฺกนฺตีติ น เตสํ วเสน วิตฺถาริตํ หุตฺวา ปวตฺตตีติ อธิปฺปาโยฯ วิปสฺสนาปญฺญายปิ อธิปญฺญตาสาธเน ‘‘น วินา พุทฺธุปฺปาทา’’ติ วจนํ อิมินาว อธิปฺปาเยน วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ โลกิยจิตฺตสฺส อธิจิตฺตตา ปริยาเยนาติ นิปฺปริยายเมว ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตโตปิ จ มคฺคผลจิตฺตเมว อธิจิตฺต’’นฺติ อาหฯ ตํ ปน อิธ อนธิเปฺปตนฺติ อิมินา อฎฺฐกถาวจเนน โลกิยจิตฺตสฺส วเสน อธิจิตฺตสิกฺขาปิ อิธ อธิเปฺปตาติ วิญฺญายติฯ น หิ ตํ สมาปโนฺน ภิกฺขุ เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวตีติ จ อิมินา โลกิยอธิจิตฺตํ สมาปโนฺน เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวตีติ อาปนฺนํฯ อธิปญฺญานิเทฺทเส จ ‘‘ตโตปิ จ มคฺคผลปญฺญาว อธิปญฺญา’’ติ วตฺวา ‘‘สา ปน อิธ อนธิเปฺปตาฯ น หิ ตํ สมาปโนฺน ภิกฺขุ เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวตี’’ติ วุตฺตตฺตา โลกิยปญฺญาวเสน อธิปญฺญาสิกฺขายปิ อิธาธิเปฺปตภาโว ตํ สมาปนฺนสฺส เมถุนธมฺมปฎิเสวนญฺจ อฎฺฐกถายํ อนุญฺญาตนฺติ วิญฺญายติฯ อิทญฺจ สพฺพํ ‘‘ตตฺร ยายํ อธิสีลสิกฺขา, อยํ อิมสฺมิํ อเตฺถ อธิเปฺปตา สิกฺขา’’ติ อิมาย ปาฬิยา น สเมติฯ อยญฺหิ ปาฬิ อธิสีลสิกฺขาว อิธ อธิเปฺปตา, น อิตราติ ทีเปติ, ตสฺมา ปาฬิยา อฎฺฐกถาย จ เอวมธิปฺปาโย เวทิตโพฺพ – โลกิยอธิจิตฺตอธิปญฺญาสมาปนฺนสฺส ตถารูปปจฺจยํ ปฎิจฺจ ‘‘เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวิสฺสามี’’ติ จิเตฺต อุปฺปเนฺน ตโต อธิจิตฺตโต อธิปญฺญโต จ ปริหานิ สมฺภวตีติ ตํ ทฺวยํ สมาปเนฺนน น สกฺกา เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวิตุนฺติ ปาฬิยํ อธิสีลสิกฺขาว วุตฺตาฯ อธิสีลสิกฺขญฺหิ ยาว วีติกฺกมํ น กโรติ, ตาว สมาปโนฺนว โหติฯ น หิ จิตฺตุปฺปาทมเตฺตน ปาติโมกฺขสํวรสีลํ ภินฺนํ นาม โหตีติฯ อฎฺฐกถายํ ปน โลกิยอธิจิตฺตโต อธิปญฺญโต จ ปริหายิตฺวาปิ ภิกฺขุโน เมถุนธมฺมปฎิเสวนํ กทาจิ ภเวยฺยาติ ตํ ทฺวยํ อปฺปฎิกฺขิปิตฺวา มคฺคผลธมฺมานํ อกุปฺปสภาวตฺตา ตํ สมาปนฺนสฺส ภิกฺขุโน ตโต ปริหายิตฺวา เมถุนธมฺมปฎิเสวนํ นาม น กทาจิ สมฺภวตีติ โลกุตฺตราธิจิตฺตอธิปญฺญานํเยว ปฎิเกฺขโป กโตติ เวทิตโพฺพฯ
Samādāpanaṃsamādānañcāti aññesaṃ samādāpanaṃ sayaṃ samādānañca. Adhicittanti vuccatīti maggasamādhissa adhiṭṭhānabhāvato adhicittanti vuccati. Na vinā buddhuppādāti kiñcāpi paccekabuddhānaṃ vipassanāpādakaṃ aṭṭhasamāpatticittaṃ hotiyeva, na pana te tattha aññe samādāpetuṃ sakkontīti na tesaṃ vasena vitthāritaṃ hutvā pavattatīti adhippāyo. Vipassanāpaññāyapi adhipaññatāsādhane ‘‘na vinā buddhuppādā’’ti vacanaṃ imināva adhippāyena vuttanti veditabbaṃ. Lokiyacittassa adhicittatā pariyāyenāti nippariyāyameva taṃ dassetuṃ ‘‘tatopi ca maggaphalacittameva adhicitta’’nti āha. Taṃ pana idha anadhippetanti iminā aṭṭhakathāvacanena lokiyacittassa vasena adhicittasikkhāpi idha adhippetāti viññāyati. Na hi taṃ samāpanno bhikkhu methunaṃ dhammaṃ paṭisevatīti ca iminā lokiyaadhicittaṃ samāpanno methunaṃ dhammaṃ paṭisevatīti āpannaṃ. Adhipaññāniddese ca ‘‘tatopi ca maggaphalapaññāva adhipaññā’’ti vatvā ‘‘sā pana idha anadhippetā. Na hi taṃ samāpanno bhikkhu methunaṃ dhammaṃ paṭisevatī’’ti vuttattā lokiyapaññāvasena adhipaññāsikkhāyapi idhādhippetabhāvo taṃ samāpannassa methunadhammapaṭisevanañca aṭṭhakathāyaṃ anuññātanti viññāyati. Idañca sabbaṃ ‘‘tatra yāyaṃ adhisīlasikkhā, ayaṃ imasmiṃ atthe adhippetā sikkhā’’ti imāya pāḷiyā na sameti. Ayañhi pāḷi adhisīlasikkhāva idha adhippetā, na itarāti dīpeti, tasmā pāḷiyā aṭṭhakathāya ca evamadhippāyo veditabbo – lokiyaadhicittaadhipaññāsamāpannassa tathārūpapaccayaṃ paṭicca ‘‘methunaṃ dhammaṃ paṭisevissāmī’’ti citte uppanne tato adhicittato adhipaññato ca parihāni sambhavatīti taṃ dvayaṃ samāpannena na sakkā methunaṃ dhammaṃ paṭisevitunti pāḷiyaṃ adhisīlasikkhāva vuttā. Adhisīlasikkhañhi yāva vītikkamaṃ na karoti, tāva samāpannova hoti. Na hi cittuppādamattena pātimokkhasaṃvarasīlaṃ bhinnaṃ nāma hotīti. Aṭṭhakathāyaṃ pana lokiyaadhicittato adhipaññato ca parihāyitvāpi bhikkhuno methunadhammapaṭisevanaṃ kadāci bhaveyyāti taṃ dvayaṃ appaṭikkhipitvā maggaphaladhammānaṃ akuppasabhāvattā taṃ samāpannassa bhikkhuno tato parihāyitvā methunadhammapaṭisevanaṃ nāma na kadāci sambhavatīti lokuttarādhicittaadhipaññānaṃyeva paṭikkhepo katoti veditabbo.
อตฺถิ ทินฺนํ อตฺถิ ยิฎฺฐนฺติอาทินยปฺปวตฺตนฺติ อิมินา –
Atthi dinnaṃ atthi yiṭṭhantiādinayappavattanti iminā –
‘‘ตตฺถ กตมํ กมฺมสฺสกตญฺญาณํ? ‘อตฺถิ ทินฺนํ, อตฺถิ ยิฎฺฐํ, อตฺถิ หุตํ, อตฺถิ สุกตทุกฺกฎานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก, อตฺถิ อยํ โลโก, อตฺถิ ปโร โลโก, อตฺถิ มาตา, อตฺถิ ปิตา, อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, อตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา สมฺมคฺคตา สมฺมา ปฎิปนฺนา, เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตี’ติ ยา เอวรูปา ปญฺญา ปชานนา…เป.… อโมโห ธมฺมวิจโย สมฺมาทิฎฺฐิ, อิทํ วุจฺจติ กมฺมสฺสกตญฺญาณํฯ ฐเปตฺวา สจฺจานุโลมิกํ ญาณํ สพฺพาปิ สาสวา กุสลา ปญฺญา กมฺมสฺสกตญฺญาณ’’นฺติ (วิภ. ๗๙๓) –
‘‘Tattha katamaṃ kammassakataññāṇaṃ? ‘Atthi dinnaṃ, atthi yiṭṭhaṃ, atthi hutaṃ, atthi sukatadukkaṭānaṃ kammānaṃ phalaṃ vipāko, atthi ayaṃ loko, atthi paro loko, atthi mātā, atthi pitā, atthi sattā opapātikā, atthi loke samaṇabrāhmaṇā sammaggatā sammā paṭipannā, ye imañca lokaṃ parañca lokaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedentī’ti yā evarūpā paññā pajānanā…pe… amoho dhammavicayo sammādiṭṭhi, idaṃ vuccati kammassakataññāṇaṃ. Ṭhapetvā saccānulomikaṃ ñāṇaṃ sabbāpi sāsavā kusalā paññā kammassakataññāṇa’’nti (vibha. 793) –
อิมํ วิภงฺคปาฬิํ สงฺคณฺหาติฯ
Imaṃ vibhaṅgapāḷiṃ saṅgaṇhāti.
ตตฺถ (วิภ. อฎฺฐ. ๗๙๓) อตฺถิ ทินฺนนฺติอาทีสุ ทินฺนปจฺจยา ผลํ อตฺถีติ อิมินา อุปาเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ทินฺนนฺติ จ เทยฺยธมฺมสีเสน ทานํ วุตฺตํฯ ยิฎฺฐนฺติ มหายาโค, สพฺพสาธารณํ มหาทานนฺติ อโตฺถฯ หุตนฺติ ปโหนกสกฺกาโร อธิเปฺปโตฯ อตฺถิ มาตา, อตฺถิ ปิตาติ มาตาปิตูสุ สมฺมาปฎิปตฺติมิจฺฉาปฎิปตฺติอาทีนํ ผลสมฺภโว วุโตฺตฯ อิทํ วุจฺจตีติ ยํ ญาณํ ‘‘อิทํ กมฺมํ สกํ, อิทํ โน สก’’นฺติ ชานาติ, อิทํ กมฺมสฺสกตญฺญาณํ นาม วุจฺจตีติ อโตฺถฯ ตตฺถ ติวิธํ กายทุจฺจริตํ จตุพฺพิธํ วจีทุจฺจริตํ ติวิธํ มโนทุจฺจริตนฺติ อิทํ น สกกมฺมํ นาม, ตีสุ ทฺวาเรสุ ทสวิธมฺปิ สุจริตํ สกกมฺมํ นามฯ อตฺตโน วาปิ โหตุ ปรสฺส วา, สพฺพมฺปิ อกุสลํ น สกกมฺมํ นามฯ กสฺมา? อตฺถภญฺชนโต อนตฺถชนนโต จฯ อตฺตโน วา โหตุ ปรสฺส วา, สพฺพมฺปิ กุสลํ สกกมฺมํ นามฯ กสฺมา? อนตฺถภญฺชนโต อตฺถชนนโต จฯ เอวํ ชานนสมเตฺถ อิมสฺมิํ กมฺมสฺสกตญฺญาเณ ฐตฺวา พหุํ ทานํ ทตฺวา สีลํ ปูเรตฺวา อุโปสถํ สมาทิยิตฺวา สุเขน สุขํ สมฺปตฺติยา สมฺปตฺติํ อนุภวิตฺวา นิพฺพานํ ปตฺตานํ สตฺตานํ คณนปริเจฺฉโท นตฺถิฯ ฐเปตฺวา สจฺจานุโลมิกํ ญาณนฺติ มคฺคสจฺจสฺส ปรมตฺถสจฺจสฺส จ อนุโลมนโต สจฺจานุโลมิกนฺติ ลทฺธนามํ วิปสฺสนาญาณํ ฐเปตฺวา อวเสสา สพฺพาปิ สาสวา กุสลา ปญฺญา กมฺมสฺสกตญฺญาณเมวาติ อโตฺถฯ
Tattha (vibha. aṭṭha. 793) atthi dinnantiādīsu dinnapaccayā phalaṃ atthīti iminā upāyena attho veditabbo. Dinnanti ca deyyadhammasīsena dānaṃ vuttaṃ. Yiṭṭhanti mahāyāgo, sabbasādhāraṇaṃ mahādānanti attho. Hutanti pahonakasakkāro adhippeto. Atthi mātā, atthi pitāti mātāpitūsu sammāpaṭipattimicchāpaṭipattiādīnaṃ phalasambhavo vutto. Idaṃ vuccatīti yaṃ ñāṇaṃ ‘‘idaṃ kammaṃ sakaṃ, idaṃ no saka’’nti jānāti, idaṃ kammassakataññāṇaṃ nāma vuccatīti attho. Tattha tividhaṃ kāyaduccaritaṃ catubbidhaṃ vacīduccaritaṃ tividhaṃ manoduccaritanti idaṃ na sakakammaṃ nāma, tīsu dvāresu dasavidhampi sucaritaṃ sakakammaṃ nāma. Attano vāpi hotu parassa vā, sabbampi akusalaṃ na sakakammaṃ nāma. Kasmā? Atthabhañjanato anatthajananato ca. Attano vā hotu parassa vā, sabbampi kusalaṃ sakakammaṃ nāma. Kasmā? Anatthabhañjanato atthajananato ca. Evaṃ jānanasamatthe imasmiṃ kammassakataññāṇe ṭhatvā bahuṃ dānaṃ datvā sīlaṃ pūretvā uposathaṃ samādiyitvā sukhena sukhaṃ sampattiyā sampattiṃ anubhavitvā nibbānaṃ pattānaṃ sattānaṃ gaṇanaparicchedo natthi. Ṭhapetvā saccānulomikaṃ ñāṇanti maggasaccassa paramatthasaccassa ca anulomanato saccānulomikanti laddhanāmaṃ vipassanāñāṇaṃ ṭhapetvā avasesā sabbāpi sāsavā kusalā paññā kammassakataññāṇamevāti attho.
ติลกฺขณาการปริเจฺฉทกนฺติ อนิจฺจาทิลกฺขณตฺตยสฺส หุตฺวา อภาวาทิอาการปอจฺฉินฺทนกํฯ อธิปญฺญาติ วุจฺจตีติ มคฺคปญฺญาย อธิฎฺฐานภาวโต วิปสฺสนาญาณํ อธิปญฺญาติ วุจฺจติฯ
Tilakkhaṇākāraparicchedakanti aniccādilakkhaṇattayassa hutvā abhāvādiākārapaacchindanakaṃ. Adhipaññāti vuccatīti maggapaññāya adhiṭṭhānabhāvato vipassanāñāṇaṃ adhipaññāti vuccati.
‘‘กลฺยาณการี กลฺยาณํ, ปาปการี จ ปาปกํ;
‘‘Kalyāṇakārī kalyāṇaṃ, pāpakārī ca pāpakaṃ;
อนุโภติ ทฺวยเมตํ, อนุพนฺธติ การก’’นฺติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๕๖);
Anubhoti dvayametaṃ, anubandhati kāraka’’nti. (saṃ. ni. 1.256);
เอวํ อตีเต อนาคเต จ วฎฺฎมูลกทุกฺขสลฺลกฺขณวเสน สํเวควตฺถุตาย วิมุตฺติอากงฺขาย ปจฺจยภูตา กมฺมสฺสกตปญฺญา อธิปญฺญาติปิ วทนฺติฯ โลกิยปญฺญาย อธิปญฺญาภาโว ปริยาเยนาติ นิปฺปริยายเมว ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตโตปิ จ มคฺคผลปญฺญาว อธิปญฺญา’’ติ วุตฺตํฯ
Evaṃ atīte anāgate ca vaṭṭamūlakadukkhasallakkhaṇavasena saṃvegavatthutāya vimuttiākaṅkhāya paccayabhūtā kammassakatapaññā adhipaññātipi vadanti. Lokiyapaññāya adhipaññābhāvo pariyāyenāti nippariyāyameva taṃ dassetuṃ ‘‘tatopi ca maggaphalapaññāva adhipaññā’’ti vuttaṃ.
สห อาชีวนฺติ เอตฺถาติ สาชีโวติ สพฺพสิกฺขาปทํ วุตฺตนฺติ อาห – ‘‘สพฺพมฺปิ…เป.… ตสฺมา สาชีวนฺติ วุจฺจตี’’ติฯ ตตฺถ สิกฺขาปทนฺติ ‘‘นามกาโย ปทกาโย นิรุตฺติกาโย พฺยญฺชนกาโย’’ติ วุตฺตํ ภควโต วจนสงฺขาตํ สิกฺขาปทํฯ สภาควุตฺติโนติ สมานวุตฺติกา, สทิสปฺปวตฺติกาติ อโตฺถฯ ตสฺมิํ สิกฺขตีติ เอตฺถ อาเธยฺยาเปกฺขตฺตา อธิกรณสฺส กิมาเธยฺยมเปกฺขิตฺวา ‘‘ตสฺมิ’’นฺติ อธิกรณํ นิทฺทิฎฺฐนฺติ อาห – ‘‘ตํ สิกฺขาปทํ จิตฺตสฺส อธิกรณํ กตฺวา’’ติ, ตํ สาชีวสงฺขาตํ สิกฺขาปทํ ‘‘ยถาสิกฺขาปทํ นุ โข สิกฺขามิ, น สิกฺขามี’’ติ เอวํ ปวตฺติวเสน สิกฺขาปทวิสยตฺตา ตทาเธยฺยภูตสฺส จิตฺตสฺส อธิกรณํ กตฺวาติ อโตฺถฯ นนุ จ ‘‘สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน’’ติ อิมสฺส ปทภาชนํ กโรเนฺตน ‘‘ยํ สิกฺขํ สาชีวญฺจ สมาปโนฺน, ตทุภยํ ทเสฺสตฺวา เตสุ สิกฺขติ, เตน วุจฺจติ สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน’’ติ วตฺตพฺพํ สิยา, เอวมวตฺวา ‘‘ตสฺมิํ สิกฺขติ, เตน วุจฺจติ สาชีวสมาปโนฺน’’ติ เอตฺตกเมว กสฺมา วุตฺตนฺติ อโนฺตลีนโจทนํ สนฺธายาห ‘‘น เกวลญฺจายเมตสฺมิ’’นฺติอาทิฯ
Saha ājīvanti etthāti sājīvoti sabbasikkhāpadaṃ vuttanti āha – ‘‘sabbampi…pe… tasmā sājīvanti vuccatī’’ti. Tattha sikkhāpadanti ‘‘nāmakāyo padakāyo niruttikāyo byañjanakāyo’’ti vuttaṃ bhagavato vacanasaṅkhātaṃ sikkhāpadaṃ. Sabhāgavuttinoti samānavuttikā, sadisappavattikāti attho. Tasmiṃ sikkhatīti ettha ādheyyāpekkhattā adhikaraṇassa kimādheyyamapekkhitvā ‘‘tasmi’’nti adhikaraṇaṃ niddiṭṭhanti āha – ‘‘taṃ sikkhāpadaṃ cittassa adhikaraṇaṃ katvā’’ti, taṃ sājīvasaṅkhātaṃ sikkhāpadaṃ ‘‘yathāsikkhāpadaṃ nu kho sikkhāmi, na sikkhāmī’’ti evaṃ pavattivasena sikkhāpadavisayattā tadādheyyabhūtassa cittassa adhikaraṇaṃ katvāti attho. Nanu ca ‘‘sikkhāsājīvasamāpanno’’ti imassa padabhājanaṃ karontena ‘‘yaṃ sikkhaṃ sājīvañca samāpanno, tadubhayaṃ dassetvā tesu sikkhati, tena vuccati sikkhāsājīvasamāpanno’’ti vattabbaṃ siyā, evamavatvā ‘‘tasmiṃ sikkhati, tena vuccati sājīvasamāpanno’’ti ettakameva kasmā vuttanti antolīnacodanaṃ sandhāyāha ‘‘na kevalañcāyametasmi’’ntiādi.
ตสฺสา จ สิกฺขายาติ ตสฺสา อธิสีลสงฺขาตาย สิกฺขายฯ สิกฺขํ ปริปูเรโนฺตติ
Tassā ca sikkhāyāti tassā adhisīlasaṅkhātāya sikkhāya. Sikkhaṃ paripūrentoti
สีลสํวรํ ปริปูเรโนฺต, วาริตฺตสีลวเสน วิรติสมฺปยุตฺตํ เจตนํ จาริตฺตสีลวเสน วิรติวิปฺปยุตฺตํ เจตนญฺจ อตฺตนิ ปวเตฺตโนฺตติ อโตฺถฯ ตสฺมิญฺจ สิกฺขาปเท อวีติกฺกมโนฺต สิกฺขตีติ ‘‘นามกาโย ปทกาโย นิรุตฺติกาโย พฺยญฺชนกาโย’’ติ เอวํ วุตฺตํ ภควโต วจนสงฺขาตํ สิกฺขาปทํ อวีติกฺกมโนฺต หุตฺวา ตสฺมิํ ยถาวุตฺตสิกฺขาปเท สิกฺขตีติ อโตฺถฯ สีลสํวรปูรณํ สาชีวานติกฺกมนญฺจาติ อิทเมว จ ทฺวยํ อิธ สิกฺขนํ นามาติ อธิปฺปาโยฯ ตตฺถ สาชีวานติกฺกโม สิกฺขาปาริปูริยา ปจฺจโยฯ สาชีวานติกฺกมโต หิ ยาว มคฺคา สิกฺขาปาริปูรี โหติฯ อปิเจตฺถ ‘‘สิกฺขํ ปริปูเรโนฺต สิกฺขตี’’ติ อิมินา วิรติเจตนาสงฺขาตสฺส สีลสํวรสฺส วิเสสโต สนฺตาเน ปวตฺตนกาโลว คหิโต, ‘‘อวีติกฺกมโนฺต สิกฺขตี’’ติ อิมินา ปน อปฺปวตฺตนกาโลปิฯ สิกฺขญฺหิ ปริปูรณวเสน อตฺตนิ ปวเตฺตโนฺตปิ นิทฺทาทิวเสน อปฺปวเตฺตโนฺตปิ วีติกฺกมาภาวา ‘‘อวีติกฺกมโนฺต สิกฺขตี’’ติ วุจฺจตีติฯ
Sīlasaṃvaraṃ paripūrento, vārittasīlavasena viratisampayuttaṃ cetanaṃ cārittasīlavasena virativippayuttaṃ cetanañca attani pavattentoti attho. Tasmiñca sikkhāpade avītikkamanto sikkhatīti ‘‘nāmakāyo padakāyo niruttikāyo byañjanakāyo’’ti evaṃ vuttaṃ bhagavato vacanasaṅkhātaṃ sikkhāpadaṃ avītikkamanto hutvā tasmiṃ yathāvuttasikkhāpade sikkhatīti attho. Sīlasaṃvarapūraṇaṃ sājīvānatikkamanañcāti idameva ca dvayaṃ idha sikkhanaṃ nāmāti adhippāyo. Tattha sājīvānatikkamo sikkhāpāripūriyā paccayo. Sājīvānatikkamato hi yāva maggā sikkhāpāripūrī hoti. Apicettha ‘‘sikkhaṃ paripūrento sikkhatī’’ti iminā viraticetanāsaṅkhātassa sīlasaṃvarassa visesato santāne pavattanakālova gahito, ‘‘avītikkamanto sikkhatī’’ti iminā pana appavattanakālopi. Sikkhañhi paripūraṇavasena attani pavattentopi niddādivasena appavattentopi vītikkamābhāvā ‘‘avītikkamanto sikkhatī’’ti vuccatīti.
สิกฺขาสาชีวปทภาชนียวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sikkhāsājīvapadabhājanīyavaṇṇanā niṭṭhitā.