Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā)

    ๒. สีลสุตฺตวณฺณนา

    2. Sīlasuttavaṇṇanā

    ๑๒. ทุติเย สมฺปนฺนสีลาติ เอตฺถ ติวิธํ สมฺปนฺนํ ปริปุณฺณสมงฺคิมธุรวเสนฯ ตตฺถ –

    12. Dutiye sampannasīlāti ettha tividhaṃ sampannaṃ paripuṇṇasamaṅgimadhuravasena. Tattha –

    ‘‘สมฺปนฺนํ สาลิเกทารํ, สุวา ภุญฺชนฺติ โกสิย;

    ‘‘Sampannaṃ sālikedāraṃ, suvā bhuñjanti kosiya;

    ปฎิเวเทมิ เต พฺรเหฺม, น เน วาเรตุมุสฺสเห’’ติฯ (ชา. ๑.๑๔.๑) –

    Paṭivedemi te brahme, na ne vāretumussahe’’ti. (jā. 1.14.1) –

    อิทํ ปริปุณฺณสมฺปนฺนํ นามฯ ‘‘อิมินา ปาติโมกฺขสํวเรน อุเปโต โหติ สมุเปโต อุปาคโต สมุปาคโต อุปปโนฺน สมฺปโนฺน สมนฺนาคโต’’ติ (วิภ. ๕๑๑) อิทํ สมงฺคิสมฺปนฺนํ นามฯ ‘‘อิมิสฺสา, ภเนฺต, มหาปถวิยา เหฎฺฐิมตลํ สมฺปนฺนํ, เสยฺยถาปิ ขุทฺทมธุํ อนีลกํ, เอวมสฺสาท’’นฺติ (ปารา. ๑๗) อิทํ มธุรสมฺปนฺนํ นามฯ อิธ ปริปุณฺณสมฺปนฺนวเสน อตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘สมฺปนฺนสีลาติ ปริปุณฺณสีลา’’ติ อาหฯ สมงฺคิสมฺปนฺนวเสนปิ อโตฺถ ยุชฺชติเยว, ตสฺมา สมฺปนฺนสีลาติ ปริปุณฺณสีลา หุตฺวาติปิ สีลสมงฺคิโน หุตฺวาติปิ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ตตฺถ สีลสฺส อนวเสสสมาทาเนน อขณฺฑาทิภาวปฺปตฺติยา ปริปุณฺณสีลา, สมาทานโต ปฎฺฐาย อวิจฺฉินฺทนโต สีลสมงฺคิโนฯ สมาทานวโต หิ อจฺจนฺตวิโรธิธมฺมานุปฺปตฺติยา สีลสมงฺคิตา เวทิตพฺพา, เจตนาทีนํ ปน สีลนลกฺขณานํ ธมฺมานํ ปวตฺติลกฺขเณน วตฺตพฺพเมว นตฺถิฯ

    Idaṃ paripuṇṇasampannaṃ nāma. ‘‘Iminā pātimokkhasaṃvarena upeto hoti samupeto upāgato samupāgato upapanno sampanno samannāgato’’ti (vibha. 511) idaṃ samaṅgisampannaṃ nāma. ‘‘Imissā, bhante, mahāpathaviyā heṭṭhimatalaṃ sampannaṃ, seyyathāpi khuddamadhuṃ anīlakaṃ, evamassāda’’nti (pārā. 17) idaṃ madhurasampannaṃ nāma. Idha paripuṇṇasampannavasena atthaṃ dassento ‘‘sampannasīlāti paripuṇṇasīlā’’ti āha. Samaṅgisampannavasenapi attho yujjatiyeva, tasmā sampannasīlāti paripuṇṇasīlā hutvātipi sīlasamaṅgino hutvātipi evamettha attho daṭṭhabbo. Tattha sīlassa anavasesasamādānena akhaṇḍādibhāvappattiyā paripuṇṇasīlā, samādānato paṭṭhāya avicchindanato sīlasamaṅgino. Samādānavato hi accantavirodhidhammānuppattiyā sīlasamaṅgitā veditabbā, cetanādīnaṃ pana sīlanalakkhaṇānaṃ dhammānaṃ pavattilakkhaṇena vattabbameva natthi.

    ตตฺถ ‘‘ปริปุณฺณสีลา’’ติ อิมินา อเตฺถน เขตฺตโทสวิคเมน เขตฺตปาริปูรี วิย สีลโทสวิคเมน สีลปาริปูรี วุตฺตา โหติฯ ยถา หิ เขตฺตํ พีชขณฺฑํ, วปฺปขณฺฑํ, อุทกขณฺฑํ, อูสขณฺฑนฺติ จตุโทสสมนฺนาคตํ อปริปูรํ โหติฯ ตตฺถ พีชขณฺฑํ นาม ยตฺถ อนฺตรนฺตรา พีชานิ ขณฺฑานิ วา ปูตีนิ วา โหนฺติ, ตานิ ยตฺถ ปตนฺติ, ตตฺถ สสฺสํ น อุเฎฺฐติ, เขตฺตํ ขณฺฑํ โหติ, อปริปูรํ โหตีติ อโตฺถฯ วปฺปขณฺฑํ นาม ยตฺถ อกุสโล พีชานิ วปโนฺต อนฺตรนฺตรา นิปาเตติฯ เอวญฺหิ สพฺพตฺถ สสฺสํ น อุเฎฺฐติ, เขตฺตํ ขณฺฑํ โหติฯ อุทกขณฺฑํ นาม ยตฺถ กตฺถจิ อุทกํ อติพหุํ วา โหติ, น วา โหติฯ ตตฺราปิ หิ สสฺสานิ น อุเฎฺฐนฺติ, เขตฺตํ ขณฺฑํ โหติฯ อูสขณฺฑํ นาม ยตฺถ กสฺสโก กิสฺมิญฺจิ ปเทเส นงฺคเลน ภูมิํ จตฺตาโร ปญฺจ วาเร กสโนฺต อติคมฺภีรํ กโรติ, ตโต อูสํ อุปฺปชฺชติฯ ตตฺราปิ หิ สสฺสํ น อุเฎฺฐติ, เขตฺตํ ขณฺฑํ โหติ, ตาทิสญฺจ เขตฺตํ น มหปฺผลํ โหติ น มหานิสํสํฯ ตตฺราปิ พหุมฺปิ วปิตฺวา อปฺปํ ลภติฯ อิเมสํ ปน จตุนฺนํ โทสานํ วิคมา เขตฺตํ ปริปุณฺณํ โหติ, ตาทิสญฺจ เขตฺตํ มหปฺผลํ โหติ มหานิสํสํฯ เอวเมว ขณฺฑํ, ฉิทฺทํ, สพลํ, กมฺมาสนฺติ จตุโทสสมนฺนาคตํ สีลํ อปริปูรํ โหติ, ตาทิสญฺจ สีลํ น มหปฺผลํ โหติ น มหานิสํสํฯ อิเมสํ ปน จตุนฺนํ โทสานํ วิคมา สีลํ ปริปุณฺณํ โหติ, ตาทิสญฺจ สีลํ มหปฺผลํ โหติ มหานิสํสํฯ

    Tattha ‘‘paripuṇṇasīlā’’ti iminā atthena khettadosavigamena khettapāripūrī viya sīladosavigamena sīlapāripūrī vuttā hoti. Yathā hi khettaṃ bījakhaṇḍaṃ, vappakhaṇḍaṃ, udakakhaṇḍaṃ, ūsakhaṇḍanti catudosasamannāgataṃ aparipūraṃ hoti. Tattha bījakhaṇḍaṃ nāma yattha antarantarā bījāni khaṇḍāni vā pūtīni vā honti, tāni yattha patanti, tattha sassaṃ na uṭṭheti, khettaṃ khaṇḍaṃ hoti, aparipūraṃ hotīti attho. Vappakhaṇḍaṃ nāma yattha akusalo bījāni vapanto antarantarā nipāteti. Evañhi sabbattha sassaṃ na uṭṭheti, khettaṃ khaṇḍaṃ hoti. Udakakhaṇḍaṃ nāma yattha katthaci udakaṃ atibahuṃ vā hoti, na vā hoti. Tatrāpi hi sassāni na uṭṭhenti, khettaṃ khaṇḍaṃ hoti. Ūsakhaṇḍaṃ nāma yattha kassako kismiñci padese naṅgalena bhūmiṃ cattāro pañca vāre kasanto atigambhīraṃ karoti, tato ūsaṃ uppajjati. Tatrāpi hi sassaṃ na uṭṭheti, khettaṃ khaṇḍaṃ hoti, tādisañca khettaṃ na mahapphalaṃ hoti na mahānisaṃsaṃ. Tatrāpi bahumpi vapitvā appaṃ labhati. Imesaṃ pana catunnaṃ dosānaṃ vigamā khettaṃ paripuṇṇaṃ hoti, tādisañca khettaṃ mahapphalaṃ hoti mahānisaṃsaṃ. Evameva khaṇḍaṃ, chiddaṃ, sabalaṃ, kammāsanti catudosasamannāgataṃ sīlaṃ aparipūraṃ hoti, tādisañca sīlaṃ na mahapphalaṃ hoti na mahānisaṃsaṃ. Imesaṃ pana catunnaṃ dosānaṃ vigamā sīlaṃ paripuṇṇaṃ hoti, tādisañca sīlaṃ mahapphalaṃ hoti mahānisaṃsaṃ.

    ‘‘สีลสมงฺคิโน’’ติ อิมินา ปนเตฺถน สีเลน สมงฺคิภูตา สโมธานคตา สมนฺนาคตา หุตฺวา วิหรถาติ อิทเมว วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถ ทฺวีหิ การเณหิ สมฺปนฺนสีลตา โหติ สีลวิปตฺติยา อาทีนวทสฺสเนน, สีลสมฺปตฺติยา จ อานิสํสทสฺสเนนฯ ตทุภยมฺปิ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๑๔) วิตฺถาริตํ ฯ ตตฺถ ‘‘สมฺปนฺนสีลาติ เอตฺตาวตา จ กิร ภควา จตุปาริสุทฺธิสีลํ อุทฺทิสิตฺวา ‘ปาติโมกฺขสํวรสํวุตา’ติ อิมินา ตตฺถ เชฎฺฐกสีลํ วิตฺถาเรตฺวา ทเสฺสตี’’ติ ทิวาวิหารวาสี สุมเตฺถโร อาหฯ อเนฺตวาสิโก ปนสฺส เตปิฎกจูฬนาคเตฺถโร อาห – ‘‘อุภยตฺถาปิ ปาติโมกฺขสํวโร ภควตา วุโตฺต, ปาติโมกฺขสํวโรเยว หิ สีลํ, อิตรานิ ปน ตีณิ สีลนฺติ วุตฺตฎฺฐานํ นาม อตฺถี’’ติ วตฺวา ตํ อนนุชานโนฺต อาห – ‘‘อินฺทฺริยสํวโร นาม ฉทฺวารรกฺขามตฺตกเมว, อาชีวปาริสุทฺธิ ธเมฺมน สเมน ปจฺจยุปฺปตฺติมตฺตกํ, ปจฺจยนิสฺสิตํ ปฎิลทฺธปจฺจเย อิทมตฺถนฺติ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปริภุญฺชนมตฺตกํฯ นิปฺปริยาเยน ปาติโมกฺขสํวโรว สีลํฯ ยสฺส โส ภิโนฺน, อยํ ฉินฺนสีโส วิย ปุริโส หตฺถปาเท, เสสานิ รกฺขิสฺสตีติ น วตฺตโพฺพฯ ยสฺส ปน โส อโรโค, อยํ อจฺฉินฺนสีโส วิย ปุริโส ชีวิตํ, เสสานิ ปุน ปากติกานิ กตฺวา รกฺขิตุํ สโกฺกติฯ ตสฺมา ‘สมฺปนฺนสีลา’ติ อิมินา ปาติโมกฺขสํวรํ อุทฺทิสิตฺวา ‘สมฺปนฺนปาติโมกฺขา’ติ ตเสฺสว เววจนํ วตฺวา ตํ วิตฺถาเรตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘ปาติโมกฺขสํวรสํวุตา’ติอาทิมาหา’’ติฯ

    ‘‘Sīlasamaṅgino’’ti iminā panatthena sīlena samaṅgibhūtā samodhānagatā samannāgatā hutvā viharathāti idameva vuttaṃ hoti. Tattha dvīhi kāraṇehi sampannasīlatā hoti sīlavipattiyā ādīnavadassanena, sīlasampattiyā ca ānisaṃsadassanena. Tadubhayampi visuddhimagge (visuddhi. 1.14) vitthāritaṃ . Tattha ‘‘sampannasīlāti ettāvatā ca kira bhagavā catupārisuddhisīlaṃ uddisitvā ‘pātimokkhasaṃvarasaṃvutā’ti iminā tattha jeṭṭhakasīlaṃ vitthāretvā dassetī’’ti divāvihāravāsī sumatthero āha. Antevāsiko panassa tepiṭakacūḷanāgatthero āha – ‘‘ubhayatthāpi pātimokkhasaṃvaro bhagavatā vutto, pātimokkhasaṃvaroyeva hi sīlaṃ, itarāni pana tīṇi sīlanti vuttaṭṭhānaṃ nāma atthī’’ti vatvā taṃ ananujānanto āha – ‘‘indriyasaṃvaro nāma chadvārarakkhāmattakameva, ājīvapārisuddhi dhammena samena paccayuppattimattakaṃ, paccayanissitaṃ paṭiladdhapaccaye idamatthanti paccavekkhitvā paribhuñjanamattakaṃ. Nippariyāyena pātimokkhasaṃvarova sīlaṃ. Yassa so bhinno, ayaṃ chinnasīso viya puriso hatthapāde, sesāni rakkhissatīti na vattabbo. Yassa pana so arogo, ayaṃ acchinnasīso viya puriso jīvitaṃ, sesāni puna pākatikāni katvā rakkhituṃ sakkoti. Tasmā ‘sampannasīlā’ti iminā pātimokkhasaṃvaraṃ uddisitvā ‘sampannapātimokkhā’ti tasseva vevacanaṃ vatvā taṃ vitthāretvā dassento ‘pātimokkhasaṃvarasaṃvutā’tiādimāhā’’ti.

    ปาติโมกฺขสํวรสีเลน สํวุตาติ โย นํ ปาติ รกฺขติ, ตํ โมเกฺขติ โมเจติ อาปายิกาทีหิ ทุเกฺขหีติ ปาติโมกฺขนฺติ ลทฺธนาเมน สิกฺขาปทสีเลน ปิหิตกายวจีทฺวาราฯ เอวํภูตา จ เตน อุเปตา สมนฺนาคตา นาม โหนฺตีติ อาห ‘‘อุเปตา หุตฺวา’’ติฯ อาจาเรน จ โคจเรน จ สมฺปนฺนาติ กายิกวาจสิกอวีติกฺกมสงฺขาเตน อาจาเรน, น-เวสิยโคจรตาทิสงฺขาเตน โคจเรน จ สมฺปนฺนา, สมฺปนฺนอาจารโคจราติ อโตฺถฯ อณุปฺปมาเณสูติ อติปริตฺตเกสุ อนาปตฺติคมนีเยสุฯ ทุกฺกฎทุพฺภาสิตมเตฺตสูติ อปเรฯ โทเสสูติ คารเยฺหสุ อกุสลธเมฺมสุฯ ภยโต ทสฺสนสีลาติ ปรมาณุมตฺตมฺปิ วชฺชํ สิเนรุปฺปมาณํ วิย กตฺวา ภายนสีลาฯ สพฺพสิกฺขาโกฎฺฐาเสสูติ มูลปญฺญตฺติอนุปญฺญตฺติสพฺพตฺถปญฺญตฺติปเทสปญฺญตฺติอาทิเภเทสุฯ ตํ ตํ สมาทาตพฺพํ สมาทายาติ ยํ กิญฺจิ สิกฺขาโกฎฺฐาเสสุ มูลปญฺญตฺติอาทิเภเทสุ สิกฺขิตพฺพํ ปฎิปชฺชิตพฺพํ ปูริตพฺพํ กายิกํ วาจสิกํ วา สีลํ, ตํ สพฺพํ สมฺมา อาทาย, สมฺมเทว สกฺกจฺจํ สพฺพโส จ อาทิยิตฺวาติ อโตฺถฯ

    Pātimokkhasaṃvarasīlena saṃvutāti yo naṃ pāti rakkhati, taṃ mokkheti moceti āpāyikādīhi dukkhehīti pātimokkhanti laddhanāmena sikkhāpadasīlena pihitakāyavacīdvārā. Evaṃbhūtā ca tena upetā samannāgatā nāma hontīti āha ‘‘upetā hutvā’’ti. Ācārena ca gocarena ca sampannāti kāyikavācasikaavītikkamasaṅkhātena ācārena, na-vesiyagocaratādisaṅkhātena gocarena ca sampannā, sampannaācāragocarāti attho. Aṇuppamāṇesūti atiparittakesu anāpattigamanīyesu. Dukkaṭadubbhāsitamattesūti apare. Dosesūti gārayhesu akusaladhammesu. Bhayato dassanasīlāti paramāṇumattampi vajjaṃ sineruppamāṇaṃ viya katvā bhāyanasīlā. Sabbasikkhākoṭṭhāsesūti mūlapaññattianupaññattisabbatthapaññattipadesapaññattiādibhedesu. Taṃ taṃ samādātabbaṃ samādāyāti yaṃ kiñci sikkhākoṭṭhāsesu mūlapaññattiādibhedesu sikkhitabbaṃ paṭipajjitabbaṃ pūritabbaṃ kāyikaṃ vācasikaṃ vā sīlaṃ, taṃ sabbaṃ sammā ādāya, sammadeva sakkaccaṃ sabbaso ca ādiyitvāti attho.

    อุทยํ ปสฺสโนฺต ปญฺจวีสติ ลกฺขณานิ ปสฺสตีติ ‘‘อวิชฺชาสมุทยา รูปสมุทโยติ ปจฺจยสมุทยเฎฺฐน รูปกฺขนฺธสฺส อุทยํ ปสฺสติฯ ตณฺหาสมุทยา…เป.… กมฺมสมุทยา…เป.… อาหารสมุทยา รูปสมุทโยติ ปจฺจยสมุทยเฎฺฐน รูปกฺขนฺธสฺส อุทยํ ปสฺสติฯ นิพฺพตฺติลกฺขณํ ปสฺสโนฺตปิ รูปกฺขนฺธสฺส อุทยํ ปสฺสติฯ รูปกฺขนฺธสฺส อุทยํ ปสฺสโนฺต อิมานิ ปญฺจ ลกฺขณานิ ปสฺสติฯ ตถา อวิชฺชาสมุทยา เวทนาสมุทโยติ ปจฺจยสมุทยเฎฺฐน เวทนากฺขนฺธสฺส อุทยํ ปสฺสติฯ ตณฺหาสมุทยา…เป.… กมฺมสมุทยา…เป.… ผสฺสสมุทยา เวทนาสมุทโยติ ปจฺจยสมุทยเฎฺฐน เวทนากฺขนฺธสฺส อุทยํ ปสฺสติฯ นิพฺพตฺติลกฺขณํ ปสฺสโนฺตปิ เวทนากฺขนฺธสฺส อุทยํ ปสฺสติฯ เวทนากฺขนฺธสฺส อุทยํ ปสฺสโนฺต อิมานิ ปญฺจ ลกฺขณานิ ปสฺสตี’’ติอาทินา นเยน เอเกกสฺมิํ ขเนฺธ ปญฺจ ปญฺจ กตฺวา วุตฺตานิ ปญฺจวีสติ อุทยลกฺขณานิ ปสฺสติฯ

    Udayaṃ passanto pañcavīsati lakkhaṇāni passatīti ‘‘avijjāsamudayā rūpasamudayoti paccayasamudayaṭṭhena rūpakkhandhassa udayaṃ passati. Taṇhāsamudayā…pe… kammasamudayā…pe… āhārasamudayā rūpasamudayoti paccayasamudayaṭṭhena rūpakkhandhassa udayaṃ passati. Nibbattilakkhaṇaṃ passantopi rūpakkhandhassa udayaṃ passati. Rūpakkhandhassa udayaṃ passanto imāni pañca lakkhaṇāni passati. Tathā avijjāsamudayā vedanāsamudayoti paccayasamudayaṭṭhena vedanākkhandhassa udayaṃ passati. Taṇhāsamudayā…pe… kammasamudayā…pe… phassasamudayā vedanāsamudayoti paccayasamudayaṭṭhena vedanākkhandhassa udayaṃ passati. Nibbattilakkhaṇaṃ passantopi vedanākkhandhassa udayaṃ passati. Vedanākkhandhassa udayaṃ passanto imāni pañca lakkhaṇāni passatī’’tiādinā nayena ekekasmiṃ khandhe pañca pañca katvā vuttāni pañcavīsati udayalakkhaṇāni passati.

    วยํ ปสฺสโนฺต ปญฺจวีสติ ลกฺขณานิ ปสฺสตีติ ‘‘อวิชฺชานิโรธา รูปนิโรโธติ ปจฺจยนิโรธเฎฺฐน รูปกฺขนฺธสฺส วยํ ปสฺสติฯ ตณฺหานิโรธา…เป.… กมฺมนิโรธา…เป.… อาหารนิโรธา รูปนิโรโธติ ปจฺจยนิโรธเฎฺฐน รูปกฺขนฺธสฺส วยํ ปสฺสติฯ วิปริณามลกฺขณํ ปสฺสโนฺตปิ รูปกฺขนฺธสฺส วยํ ปสฺสติฯ รูปกฺขนฺธสฺส วยํ ปสฺสโนฺต อิมานิ ปญฺจ ลกฺขณานิ ปสฺสติฯ อวิชฺชานิโรธา…เป.… ตณฺหานิโรธา…เป.… ผสฺสนิโรธา เวทนานิโรโธติ ปจฺจยนิโรธเฎฺฐน เวทนากฺขนฺธสฺส วยํ ปสฺสติฯ วิปริณามลกฺขณํ ปสฺสโนฺตปิ เวทนากฺขนฺธสฺส วยํ ปสฺสตีฯ เวทนากฺขนฺธสฺส วยํ ปสฺสโนฺต อิมานิ ปญฺจ ลกฺขณานิ ปสฺสติ’’ติอาทินา นเยน เอเกกสฺมิํ ขเนฺธ ปญฺจ ปญฺจ กตฺวา วุตฺตานิ ปญฺจวีสติ วยลกฺขณานิ ปสฺสติฯ เปสิตโตฺตติ นิพฺพานํ ปติ เปสิตจิโตฺตฯ กถยนฺตีติ ตถาวิธํ ภิกฺขุํ พุทฺธาทโย อริยา อาจิกฺขนฺติฯ

    Vayaṃ passanto pañcavīsati lakkhaṇāni passatīti ‘‘avijjānirodhā rūpanirodhoti paccayanirodhaṭṭhena rūpakkhandhassa vayaṃ passati. Taṇhānirodhā…pe… kammanirodhā…pe… āhāranirodhā rūpanirodhoti paccayanirodhaṭṭhena rūpakkhandhassa vayaṃ passati. Vipariṇāmalakkhaṇaṃ passantopi rūpakkhandhassa vayaṃ passati. Rūpakkhandhassa vayaṃ passanto imāni pañca lakkhaṇāni passati. Avijjānirodhā…pe… taṇhānirodhā…pe… phassanirodhā vedanānirodhoti paccayanirodhaṭṭhena vedanākkhandhassa vayaṃ passati. Vipariṇāmalakkhaṇaṃ passantopi vedanākkhandhassa vayaṃ passatī. Vedanākkhandhassa vayaṃ passanto imāni pañca lakkhaṇāni passati’’tiādinā nayena ekekasmiṃ khandhe pañca pañca katvā vuttāni pañcavīsati vayalakkhaṇāni passati. Pesitattoti nibbānaṃ pati pesitacitto. Kathayantīti tathāvidhaṃ bhikkhuṃ buddhādayo ariyā ācikkhanti.

    ยตํ จเรติ วายมมาโน จเรยฺย, จงฺกมนาทิวเสน คมนํ กเปฺปโนฺตปิ ‘‘อนุปฺปนฺนานํ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ อนุปฺปาทาย ฉนฺทํ ชเนติ วายมตี’’ติอาทินา (วิภ. ๔๓๒) นเยน วุตฺตปฺปธานวีริยํ กโรโนฺต ฆเฎโนฺต วายมโนฺต ยถา อกุสลธมฺมา ปหียนฺติ, กุสลธมฺมา ภาวนาปาริปูริํ คจฺฉนฺติ, เอวํ คมนํ กเปฺปยฺยาติ อโตฺถฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ ยตเมนํ ปสารเยติ เอตํ ปสาเรตพฺพํ หตฺถปาทาทิํ ยตํ ยตมาโน ยถาวุตฺตวีริยสมงฺคี หุตฺวา ปสาเรยฺย, สพฺพตฺถ ปธานํ น ชเหยฺยาติ อธิปฺปาโยฯ

    Yataṃcareti vāyamamāno careyya, caṅkamanādivasena gamanaṃ kappentopi ‘‘anuppannānaṃ pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ anuppādāya chandaṃ janeti vāyamatī’’tiādinā (vibha. 432) nayena vuttappadhānavīriyaṃ karonto ghaṭento vāyamanto yathā akusaladhammā pahīyanti, kusaladhammā bhāvanāpāripūriṃ gacchanti, evaṃ gamanaṃ kappeyyāti attho. Esa nayo sesesupi. Yatamenaṃ pasārayeti etaṃ pasāretabbaṃ hatthapādādiṃ yataṃ yatamāno yathāvuttavīriyasamaṅgī hutvā pasāreyya, sabbattha padhānaṃ na jaheyyāti adhippāyo.

    อิทานิ ยถา ปฎิปชฺชโนฺต ยตํ ยตโนฺต นาม โหติ, ตํ ปฎิปทํ ทเสฺสตุํ ‘‘อุทฺธ’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อุทฺธนฺติ อุปริฯ ติริยนฺติ ปริโต, ปุรตฺถิมทิสาทิวเสน สมนฺตโต ทิสาภาเคสูติ อโตฺถฯ อปาจีนนฺติ เหฎฺฐาฯ ยาวตา ชคโต คตีติ ยตฺตกา สตฺตสงฺขารเภทสฺส โลกสฺส ปวตฺติ, ตตฺถ สพฺพตฺถาติ อโตฺถฯ เอตฺตาวตา อนวเสสตา สมฺมสนญาณสฺส วิสยํ สงฺคเหตฺวา ทเสฺสติฯ สมเวกฺขิตาติ สมา เหตุนา ญาเยน อเวกฺขิตา, อนิจฺจาทิวเสน วิปสฺสิตาติ วุตฺตํ โหติฯ ธมฺมานนฺติ สตฺตสุญฺญานํฯ ขนฺธานนฺติ รูปาทีนํ ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํฯ อุทยพฺพยนฺติ อุทยญฺจ วยญฺจฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อุปริ ติริยํ อโธติ ติธา สงฺคหิเต สพฺพสฺมิํ โลเก อตีตาทิเภทภินฺนานํ ปญฺจุปาทานกฺขนฺธสงฺขาตานํ สเพฺพสํ รูปารูปธมฺมานํ อนิจฺจาทิสมฺมสนาธิคเตน อุทยพฺพยญาเณน ปญฺจวีสติยา อากาเรหิ อุทยํ, ปญฺจวีสติยา อากาเรหิ วยํ สมเวกฺขิตา สมนุปสฺสิตา ภเวยฺยาติฯ

    Idāni yathā paṭipajjanto yataṃ yatanto nāma hoti, taṃ paṭipadaṃ dassetuṃ ‘‘uddha’’ntiādi vuttaṃ. Tattha uddhanti upari. Tiriyanti parito, puratthimadisādivasena samantato disābhāgesūti attho. Apācīnanti heṭṭhā. Yāvatā jagato gatīti yattakā sattasaṅkhārabhedassa lokassa pavatti, tattha sabbatthāti attho. Ettāvatā anavasesatā sammasanañāṇassa visayaṃ saṅgahetvā dasseti. Samavekkhitāti samā hetunā ñāyena avekkhitā, aniccādivasena vipassitāti vuttaṃ hoti. Dhammānanti sattasuññānaṃ. Khandhānanti rūpādīnaṃ pañcannaṃ khandhānaṃ. Udayabbayanti udayañca vayañca. Idaṃ vuttaṃ hoti – upari tiriyaṃ adhoti tidhā saṅgahite sabbasmiṃ loke atītādibhedabhinnānaṃ pañcupādānakkhandhasaṅkhātānaṃ sabbesaṃ rūpārūpadhammānaṃ aniccādisammasanādhigatena udayabbayañāṇena pañcavīsatiyā ākārehi udayaṃ, pañcavīsatiyā ākārehi vayaṃ samavekkhitā samanupassitā bhaveyyāti.

    เจโตสมถสามีจินฺติ จิตฺตสํกิเลสานํ อจฺจนฺตวูปสมนโต เจโตสมถสงฺขาตสฺส อริยมคฺคสฺส อนุจฺฉวิกํ ปฎิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธิํฯ สิกฺขมานนฺติ ปฎิปชฺชมานํ ภาเวนฺตํ ญาณปรมฺปรา นิพฺพเตฺตนฺตํฯ สทาติ สพฺพกาลํ รตฺติเญฺจว ทิวา จฯ สตนฺติ จตุสมฺปชญฺญสมนฺนาคตาย สติยา สโตการีฯ เอวเมฺปตฺถ คาถาวณฺณนา ทฎฺฐพฺพาฯ เสสเมตฺถ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    Cetosamathasāmīcinti cittasaṃkilesānaṃ accantavūpasamanato cetosamathasaṅkhātassa ariyamaggassa anucchavikaṃ paṭipadāñāṇadassanavisuddhiṃ. Sikkhamānanti paṭipajjamānaṃ bhāventaṃ ñāṇaparamparā nibbattentaṃ. Sadāti sabbakālaṃ rattiñceva divā ca. Satanti catusampajaññasamannāgatāya satiyā satokārī. Evampettha gāthāvaṇṇanā daṭṭhabbā. Sesamettha suviññeyyameva.

    สีลสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Sīlasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๒. สีลสุตฺตํ • 2. Sīlasuttaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๒. สีลสุตฺตวณฺณนา • 2. Sīlasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact