Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เถรคาถา-อฎฺฐกถา • Theragāthā-aṭṭhakathā

    ๑๒. ทฺวาทสกนิปาโต

    12. Dvādasakanipāto

    ๑. สีลวเตฺถรคาถาวณฺณนา

    1. Sīlavattheragāthāvaṇṇanā

    ทฺวาทสกนิปาเต สีลเมวาติอาทิกา อายสฺมโต สีลวเตฺถรสฺส คาถาฯ กา อุปฺปตฺติ? อยมฺปิ ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ตตฺถ ตตฺถ ภเว วิวฎฺฎูปนิสฺสยํ กุสลํ อุปจินิตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท ราชคเห พิมฺพิสารรโญฺญ ปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติ, สีลวาติสฺส นามํ อโหสิฯ ตํ วยปฺปตฺตํ ราชา อชาตสตฺตุ มาเรตุกาโม จณฺฑํ มตฺตหตฺถิํ อาโรเปตฺวา นานาวิเธหิ อุปาเยหิ อุปกฺกมโนฺตปิ มาเรตุํ นาสกฺขิ ปจฺฉิมภวิกสฺส อรหตฺตํ อปฺปตฺวา อนฺตรา ชีวิตนฺตรายาภาวโตฯ ตสฺส ปวตฺติํ ทิสฺวา ภควา มหาโมคฺคลฺลานเตฺถรํ อาณาเปสิ – ‘‘สีลวกุมารํ อาเนหี’’ติฯ เถโร อิทฺธิพเลน สทฺธิํ หตฺถินา ตํ อาเนสิฯ กุมาโร หตฺถิโต โอรุยฺห ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ ภควา ตสฺส อชฺฌาสยานุรูปํ ธมฺมํ เทเสสิฯ โส ธมฺมํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสนาย กมฺมํ กโรโนฺต นจิรเสฺสว อรหตฺตํ ปตฺวา โกสลรเฎฺฐ วสติฯ อถ นํ อชาตสตฺตุ ‘‘มาเรถา’’ติ ปุริเส อาณาเปสิฯ เต เถรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ฐิตา เถเรน กถิตํ ธมฺมกถํ สุตฺวา สญฺชาตสํเวคา ปสนฺนจิตฺตา หุตฺวา ปพฺพชิํสุฯ เถโร เตสํ –

    Dvādasakanipāte sīlamevātiādikā āyasmato sīlavattherassa gāthā. Kā uppatti? Ayampi purimabuddhesu katādhikāro tattha tattha bhave vivaṭṭūpanissayaṃ kusalaṃ upacinitvā imasmiṃ buddhuppāde rājagahe bimbisārarañño putto hutvā nibbatti, sīlavātissa nāmaṃ ahosi. Taṃ vayappattaṃ rājā ajātasattu māretukāmo caṇḍaṃ mattahatthiṃ āropetvā nānāvidhehi upāyehi upakkamantopi māretuṃ nāsakkhi pacchimabhavikassa arahattaṃ appatvā antarā jīvitantarāyābhāvato. Tassa pavattiṃ disvā bhagavā mahāmoggallānattheraṃ āṇāpesi – ‘‘sīlavakumāraṃ ānehī’’ti. Thero iddhibalena saddhiṃ hatthinā taṃ ānesi. Kumāro hatthito oruyha bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Bhagavā tassa ajjhāsayānurūpaṃ dhammaṃ desesi. So dhammaṃ sutvā paṭiladdhasaddho pabbajitvā vipassanāya kammaṃ karonto nacirasseva arahattaṃ patvā kosalaraṭṭhe vasati. Atha naṃ ajātasattu ‘‘mārethā’’ti purise āṇāpesi. Te therassa santikaṃ gantvā ṭhitā therena kathitaṃ dhammakathaṃ sutvā sañjātasaṃvegā pasannacittā hutvā pabbajiṃsu. Thero tesaṃ –

    ๖๐๘.

    608.

    ‘‘สีลเมวิธ สิเกฺขถ, อสฺมิํ โลเก สุสิกฺขิตํฯ

    ‘‘Sīlamevidha sikkhetha, asmiṃ loke susikkhitaṃ.

    สีลญฺหิ สพฺพสมฺปตฺติํ, อุปนาเมติ เสวิตํฯ

    Sīlañhi sabbasampattiṃ, upanāmeti sevitaṃ.

    ๖๐๙.

    609.

    ‘‘สีลํ รเกฺขยฺย เมธาวี, ปตฺถยาโน ตโย สุเข;

    ‘‘Sīlaṃ rakkheyya medhāvī, patthayāno tayo sukhe;

    ปสํสํ วิตฺติลาภญฺจ, เปจฺจ สเคฺค ปโมทนํฯ

    Pasaṃsaṃ vittilābhañca, pecca sagge pamodanaṃ.

    ๖๑๐.

    610.

    ‘‘สีลวา หิ พหู มิเตฺต, สญฺญเมนาธิคจฺฉติ;

    ‘‘Sīlavā hi bahū mitte, saññamenādhigacchati;

    ทุสฺสีโล ปน มิเตฺตหิ, ธํสเต ปาปมาจรํฯ

    Dussīlo pana mittehi, dhaṃsate pāpamācaraṃ.

    ๖๑๑.

    611.

    ‘‘อวณฺณญฺจ อกิตฺติญฺจ, ทุสฺสีโล ลภเต นโร;

    ‘‘Avaṇṇañca akittiñca, dussīlo labhate naro;

    วณฺณํ กิตฺติํ ปสํสญฺจ, สทา ลภติ สีลวาฯ

    Vaṇṇaṃ kittiṃ pasaṃsañca, sadā labhati sīlavā.

    ๖๑๒.

    612.

    ‘‘อาทิ สีลํ ปติฎฺฐา จ, กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ;

    ‘‘Ādi sīlaṃ patiṭṭhā ca, kalyāṇānañca mātukaṃ;

    ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ, ตสฺมา สีลํ วิโสธเยฯ

    Pamukhaṃ sabbadhammānaṃ, tasmā sīlaṃ visodhaye.

    ๖๑๓.

    613.

    ‘‘เวลา จ สํวรํ สีลํ, จิตฺตสฺส อภิหาสนํ;

    ‘‘Velā ca saṃvaraṃ sīlaṃ, cittassa abhihāsanaṃ;

    ติตฺถญฺจ สพฺพพุทฺธานํ, ตสฺมา สีลํ วิโสธเยฯ

    Titthañca sabbabuddhānaṃ, tasmā sīlaṃ visodhaye.

    ๖๑๔.

    614.

    ‘‘สีลํ พลํ อปฺปฎิมํ, สีลํ อาวุธมุตฺตมํ;

    ‘‘Sīlaṃ balaṃ appaṭimaṃ, sīlaṃ āvudhamuttamaṃ;

    สีลมาภรณํ เสฎฺฐํ, สีลํ กวจมพฺภุตํฯ

    Sīlamābharaṇaṃ seṭṭhaṃ, sīlaṃ kavacamabbhutaṃ.

    ๖๑๕.

    615.

    ‘‘สีลํ เสตุ มเหสโกฺข, สีลํ คโนฺธ อนุตฺตโร;

    ‘‘Sīlaṃ setu mahesakkho, sīlaṃ gandho anuttaro;

    สีลํ วิเลปนํ เสฎฺฐํ, เยน วาติ ทิโสทิสํฯ

    Sīlaṃ vilepanaṃ seṭṭhaṃ, yena vāti disodisaṃ.

    ๖๑๖.

    616.

    ‘‘สีลํ สมฺพลเมวคฺคํ, สีลํ ปาเถยฺยมุตฺตมํ;

    ‘‘Sīlaṃ sambalamevaggaṃ, sīlaṃ pātheyyamuttamaṃ;

    สีลํ เสโฎฺฐ อติวาโห, เยน ยาติ ทิโสทิสํฯ

    Sīlaṃ seṭṭho ativāho, yena yāti disodisaṃ.

    ๖๑๗.

    617.

    ‘‘อิเธว นินฺทํ ลภติ, เปจฺจาปาเย จ ทุมฺมโน;

    ‘‘Idheva nindaṃ labhati, peccāpāye ca dummano;

    สพฺพตฺถ ทุมฺมโน พาโล, สีเลสุ อสมาหิโตฯ

    Sabbattha dummano bālo, sīlesu asamāhito.

    ๖๑๘.

    618.

    ‘‘อิเธว กิตฺติํ ลภติ, เปจฺจ สเคฺค จ สุมฺมโน;

    ‘‘Idheva kittiṃ labhati, pecca sagge ca summano;

    สพฺพตฺถ สุมโน ธีโร, สีเลสุ สุสมาหิโตฯ

    Sabbattha sumano dhīro, sīlesu susamāhito.

    ๖๑๙.

    619.

    ‘‘สีลเมว อิธ อคฺคํ, ปญฺญวา ปน อุตฺตโม;

    ‘‘Sīlameva idha aggaṃ, paññavā pana uttamo;

    มนุเสฺสสุ จ เทเวสุ, สีลปญฺญาณโต ชย’’นฺติฯ –

    Manussesu ca devesu, sīlapaññāṇato jaya’’nti. –

    อิมาหิ คาถาหิ ธมฺมํ เทเสสิฯ

    Imāhi gāthāhi dhammaṃ desesi.

    ตตฺถ สีลเมวิธ สิเกฺขถ, อสฺมิํ โลเกติ อิธาติ, นิปาตมตฺตํ, อิมสฺมิํ สตฺตโลเก อตฺถกาโม กุลปุโตฺต จาริตฺตวาริตฺตาทิเภทํ อาทิโต สีลเมว สิเกฺขยฺย, สิกฺขโนฺต จ นํ สุสิกฺขิตํ อขณฺฑาทิภาวาปาทเนน สุฎฺฐุ สิกฺขิตํ สุปริสุทฺธํ ปริปุณฺณญฺจ กตฺวา สิเกฺขยฺยฯ อสฺมิํ โลเกติ วา อิมสฺมิํ สงฺขารโลเก สิกฺขิตพฺพธเมฺมสุ สีลํ อาทิโต สิเกฺขยฺยฯ ทิฎฺฐิสมฺปตฺติยาปิ สีลสฺส ปติฎฺฐาภาวโต อาห ‘‘สีลํ หี’’ติอาทิฯ ตตฺถ หีติ การณวจนํฯ ยสฺมา สีลํ เสวิตํ ปริจิตํ รกฺขิตํ มนุสฺสสมฺปตฺติ, ทิพฺพสมฺปตฺติ, นิพฺพานสมฺปตฺตีติ เอตํ สพฺพสมฺปตฺติํ ตํสมงฺคิโน สตฺตสฺส อุปนาเมติ อาวหติฯ

    Tattha sīlamevidha sikkhetha, asmiṃ loketi idhāti, nipātamattaṃ, imasmiṃ sattaloke atthakāmo kulaputto cārittavārittādibhedaṃ ādito sīlameva sikkheyya, sikkhanto ca naṃ susikkhitaṃ akhaṇḍādibhāvāpādanena suṭṭhu sikkhitaṃ suparisuddhaṃ paripuṇṇañca katvā sikkheyya. Asmiṃloketi vā imasmiṃ saṅkhāraloke sikkhitabbadhammesu sīlaṃ ādito sikkheyya. Diṭṭhisampattiyāpi sīlassa patiṭṭhābhāvato āha ‘‘sīlaṃ hī’’tiādi. Tattha ti kāraṇavacanaṃ. Yasmā sīlaṃ sevitaṃ paricitaṃ rakkhitaṃ manussasampatti, dibbasampatti, nibbānasampattīti etaṃ sabbasampattiṃ taṃsamaṅgino sattassa upanāmeti āvahati.

    สีลํ สพฺพสมฺปตฺติํ อุปนาเมตีติ สเงฺขปโต วุตฺตมตฺถํ วิตฺถารโต ทเสฺสโนฺต ‘‘สีลํ รเกฺขยฺยา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ รเกฺขยฺยาติ โคเปยฺยฯ ปาณาติปาตาทิโต หิ วิรมโนฺต วตฺตปฎิวตฺตญฺจ ปูเรโนฺต ปฎิปกฺขาภิภวนโต ตํ รกฺขติ นามฯ เมธาวีติ ปญฺญวา, อิทํ ตสฺส รกฺขนุปายทสฺสนํ ญาณพเลน หิสฺส สมาทานํ อวิโกปนญฺจ โหติฯ ปตฺถยาโนติ อิจฺฉโนฺตฯ ตโย สุเขติ ตีณิ สุขานิฯ สุขนิมิตฺตํ วา ‘‘สุข’’นฺติ อธิเปฺปตํฯ ปสํสนฺติ กิตฺติํ, วิญฺญูหิ วา ปสํสนํฯ วิตฺติลาภนฺติ ตุฎฺฐิลาภํฯ ‘‘วิตฺตลาภ’’นฺติ จ ปฐนฺติ, ธนลาภนฺติ อโตฺถฯ สีลวา หิ อปฺปมตฺตตาย มหนฺตํ โภคกฺขนฺธํ อธิคจฺฉติฯ เปจฺจาติ กาลงฺกตฺวาฯ สเคฺค ปโมทนนฺติ เทวโลเก อิเฎฺฐหิ กามคุเณหิ, โมทนญฺจ ปตฺถยมาโนติ สมฺพโนฺธฯ อิธโลเก ปสํสํ วิตฺติลาภํ ปรโลเก ทิพฺพสมฺปตฺติยา โมทนญฺจ อิจฺฉโนฺต สีลํ รเกฺขยฺยาติ โยชนาฯ

    Sīlaṃ sabbasampattiṃ upanāmetīti saṅkhepato vuttamatthaṃ vitthārato dassento ‘‘sīlaṃ rakkheyyā’’tiādimāha. Tattha rakkheyyāti gopeyya. Pāṇātipātādito hi viramanto vattapaṭivattañca pūrento paṭipakkhābhibhavanato taṃ rakkhati nāma. Medhāvīti paññavā, idaṃ tassa rakkhanupāyadassanaṃ ñāṇabalena hissa samādānaṃ avikopanañca hoti. Patthayānoti icchanto. Tayo sukheti tīṇi sukhāni. Sukhanimittaṃ vā ‘‘sukha’’nti adhippetaṃ. Pasaṃsanti kittiṃ, viññūhi vā pasaṃsanaṃ. Vittilābhanti tuṭṭhilābhaṃ. ‘‘Vittalābha’’nti ca paṭhanti, dhanalābhanti attho. Sīlavā hi appamattatāya mahantaṃ bhogakkhandhaṃ adhigacchati. Peccāti kālaṅkatvā. Sagge pamodananti devaloke iṭṭhehi kāmaguṇehi, modanañca patthayamānoti sambandho. Idhaloke pasaṃsaṃ vittilābhaṃ paraloke dibbasampattiyā modanañca icchanto sīlaṃ rakkheyyāti yojanā.

    สญฺญเมนาติ กายาทีนํ สํยเมนฯ สํยโต หิ กายทุจฺจริตาทีหิ กญฺจิ อวิเหเฐโนฺต อภยทานํ ททโนฺต ปิยมนาปตาย มิตฺตานิ คนฺถติฯ ธํสเตติ อเปติฯ ปาปมาจรนฺติ ปาณาติปาตาทิปาปกมฺมํ กโรโนฺตฯ ทุสฺสีลญฺหิ ปุคฺคลํ อตฺถกามา สตฺตา น ภชนฺติ, อญฺญทตฺถุ ปริวเชฺชนฺติฯ

    Saññamenāti kāyādīnaṃ saṃyamena. Saṃyato hi kāyaduccaritādīhi kañci aviheṭhento abhayadānaṃ dadanto piyamanāpatāya mittāni ganthati. Dhaṃsateti apeti. Pāpamācaranti pāṇātipātādipāpakammaṃ karonto. Dussīlañhi puggalaṃ atthakāmā sattā na bhajanti, aññadatthu parivajjenti.

    อวณฺณนฺติ อคุณํ, สมฺมุขา ครหํ วาฯ อกิตฺตินฺติ, อยสํ อสิโลกํฯ วณฺณนฺติ คุณํฯ กิตฺตินฺติ สิโลกํ ปตฺถฎยสตํฯ ปสํสนฺติ สมฺมุขา โถมนํฯ

    Avaṇṇanti aguṇaṃ, sammukhā garahaṃ vā. Akittinti, ayasaṃ asilokaṃ. Vaṇṇanti guṇaṃ. Kittinti silokaṃ patthaṭayasataṃ. Pasaṃsanti sammukhā thomanaṃ.

    อาทีติ มูลํฯ สีลญฺหิ กุสลานํ ธมฺมานํ อาทิฯ ยถาห – ‘‘ตสฺมาติห ตฺวํ, ภิกฺขุ, อาทิเมว วิโสเธหิ กุสเลสุ ธเมฺมสุฯ โก จาทิ กุสลานํ ธมฺมานํ? สีลญฺจ สุวิสุทฺธ’’นฺติ (สํ. นิ. ๕.๓๖๙)ฯ ปติฎฺฐาติ อธิฎฺฐานํฯ สีลญฺหิ สเพฺพสํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมานํ ปติฎฺฐาฯ เตนาห – ‘‘สีเล ปติฎฺฐายา’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๑.๒๓; ๑๙๒; เปฎโก. ๒๒; มิ. ป. ๒.๑.๙)ฯ กลฺยาณานญฺจ มาตุกนฺติ สมถวิปสฺสนาทีนํ กลฺยาณธมฺมานํ มาตุภูตํ , ชนกนฺติ, อโตฺถฯ ปมุขํ สพฺพธมฺมานนฺติ, สเพฺพสํ ปาโมชฺชาทีนํ อนวชฺชธมฺมานํ ปมุขํ มุขภูตํ, ปวตฺติทฺวารนฺติ อโตฺถฯ ตสฺมาติ อาทิภาวาทิโตฯ วิโสธเยติ อกฺขณฺฑาทิภาเวน สมฺปาเทยฺยฯ

    Ādīti mūlaṃ. Sīlañhi kusalānaṃ dhammānaṃ ādi. Yathāha – ‘‘tasmātiha tvaṃ, bhikkhu, ādimeva visodhehi kusalesu dhammesu. Ko cādi kusalānaṃ dhammānaṃ? Sīlañca suvisuddha’’nti (saṃ. ni. 5.369). Patiṭṭhāti adhiṭṭhānaṃ. Sīlañhi sabbesaṃ uttarimanussadhammānaṃ patiṭṭhā. Tenāha – ‘‘sīle patiṭṭhāyā’’tiādi (saṃ. ni. 1.23; 192; peṭako. 22; mi. pa. 2.1.9). Kalyāṇānañca mātukanti samathavipassanādīnaṃ kalyāṇadhammānaṃ mātubhūtaṃ , janakanti, attho. Pamukhaṃ sabbadhammānanti, sabbesaṃ pāmojjādīnaṃ anavajjadhammānaṃ pamukhaṃ mukhabhūtaṃ, pavattidvāranti attho. Tasmāti ādibhāvādito. Visodhayeti akkhaṇḍādibhāvena sampādeyya.

    เวลาติ ทุจฺจริเตหิ อนติกฺกมนียเฎฺฐน เวลา, สีมาติ อโตฺถ ฯ เวลายติ วา ทุสฺสิลฺยํ จลยติ วิทฺธํเสตีติ เวลาฯ สํวรํ สีลํ กายทุจฺจริตาทีนํ อุปฺปตฺติทฺวารสฺส ปิทหนโตฯ อภิหาสนนฺติ โตสนํ อวิปฺปฎิสารเหตุตาย จิตฺตสฺสาภิปฺปโมทนโตฯ ติตฺถญฺจ สพฺพพุทฺธานนฺติ สาวกพุทฺธา, ปเจฺจกพุทฺธา, สมฺมาสมฺพุทฺธาติ สเพฺพสํ พุทฺธานํ กิเลสมลปฺปวาหเน นิพฺพานมหาสมุทฺทาวคาหเณ จ ติตฺถภูตญฺจฯ

    Velāti duccaritehi anatikkamanīyaṭṭhena velā, sīmāti attho . Velāyati vā dussilyaṃ calayati viddhaṃsetīti velā. Saṃvaraṃ sīlaṃ kāyaduccaritādīnaṃ uppattidvārassa pidahanato. Abhihāsananti tosanaṃ avippaṭisārahetutāya cittassābhippamodanato. Titthañca sabbabuddhānanti sāvakabuddhā, paccekabuddhā, sammāsambuddhāti sabbesaṃ buddhānaṃ kilesamalappavāhane nibbānamahāsamuddāvagāhaṇe ca titthabhūtañca.

    สีลํ พลํ อปฺปฎิมนฺติ มารเสนปฺปมทฺทเน อสทิสํ พลํ เสนาถาโม จฯ อาวุธมุตฺตมนฺติ สํกิเลสธมฺมานํ เฉทเน อุตฺตมํ ปหรณํฯ คุณสรีโรปโสภนเฎฺฐน อาภรณํฯ เสฎฺฐนฺติ สพฺพกาลํ อุตฺตมํ ทพฺพญฺจฯ สปาณปริตฺตานโต กวจมพฺภุตํฯ ‘‘อพฺภิท’’นฺติ จ ปฐนฺติ, อเภชฺชนฺติ อโตฺถฯ

    Sīlaṃ balaṃ appaṭimanti mārasenappamaddane asadisaṃ balaṃ senāthāmo ca. Āvudhamuttamanti saṃkilesadhammānaṃ chedane uttamaṃ paharaṇaṃ. Guṇasarīropasobhanaṭṭhena ābharaṇaṃ. Seṭṭhanti sabbakālaṃ uttamaṃ dabbañca. Sapāṇaparittānato kavacamabbhutaṃ. ‘‘Abbhida’’nti ca paṭhanti, abhejjanti attho.

    อปายมโหฆาติกฺกมเน สํสารมโหฆาติกฺกมเน จ กิเลเสหิ อสํสีทนเฎฺฐน เสตุฯ มเหสโกฺขติ มหพฺพโลฯ คโนฺธ อนุตฺตโรติ ปฎิวาตํ สพฺพทิสาสุ วายนโต อนุตฺตโร คโนฺธ สพฺพชนมโนหรตฺตาฯ เตนาห ‘‘เยน วาติ ทิโสทิส’’นฺติ เยน สีลคเนฺธน ตํสมงฺคี ทิโสทิสํ สพฺพา ทิสา วายติฯ ‘‘ทิโสทิสา’’ติปิ ปาฬิ, ทส ทิสาติ อโตฺถฯ

    Apāyamahoghātikkamane saṃsāramahoghātikkamane ca kilesehi asaṃsīdanaṭṭhena setu. Mahesakkhoti mahabbalo. Gandho anuttaroti paṭivātaṃ sabbadisāsu vāyanato anuttaro gandho sabbajanamanoharattā. Tenāha ‘‘yena vāti disodisa’’nti yena sīlagandhena taṃsamaṅgī disodisaṃ sabbā disā vāyati. ‘‘Disodisā’’tipi pāḷi, dasa disāti attho.

    สมฺพลเมวคฺคนฺติ สมฺพลํ นาม ปุฎภตฺตํฯ ยถา ปุฎภตฺตํ คเหตฺวา มคฺคํ คจฺฉโนฺต ปุริโส อนฺตรามเคฺค ชิฆจฺฉาทุเกฺขน น กิลมติ, เอวํ สีลสมฺปโนฺนปิ สุทฺธํ สีลสมฺพลํ คเหตฺวา สํสารกนฺตารํ ปฎิปโนฺน คตคตฎฺฐาเน น กิลมตีติ สีลํ อคฺคํ สมฺพลํ นามฯ ตถา สีลํ ปาเถยฺยมุตฺตมํ โจราทีหิ อสาธารณตฺตา ตตฺถ ตตฺถ อิจฺฉิตพฺพสมฺปตฺตินิปฺผาทนโต จฯ อติกฺกาเมโนฺต ตํ ตํ ฐานํ ยถิจฺฉิตฎฺฐานํ วา วาเหติ สมฺปาเปตีติ อติวาโห, ยานํฯ เกนจิ อนุปทฺทุตํ หุตฺวา อิจฺฉิตฎฺฐานปฺปตฺติเหตุตาย สีลํ เสฎฺฐํ อติวาโหฯ เยนาติ เยน อติวาเหน ยาติ ทิโสทิสนฺติ อคติํ คติญฺจาปิ ตํ ตํ ทิสํ สุเขเนว คจฺฉติฯ

    Sambalamevagganti sambalaṃ nāma puṭabhattaṃ. Yathā puṭabhattaṃ gahetvā maggaṃ gacchanto puriso antarāmagge jighacchādukkhena na kilamati, evaṃ sīlasampannopi suddhaṃ sīlasambalaṃ gahetvā saṃsārakantāraṃ paṭipanno gatagataṭṭhāne na kilamatīti sīlaṃ aggaṃ sambalaṃ nāma. Tathā sīlaṃ pātheyyamuttamaṃ corādīhi asādhāraṇattā tattha tattha icchitabbasampattinipphādanato ca. Atikkāmento taṃ taṃ ṭhānaṃ yathicchitaṭṭhānaṃ vā vāheti sampāpetīti ativāho, yānaṃ. Kenaci anupaddutaṃ hutvā icchitaṭṭhānappattihetutāya sīlaṃ seṭṭhaṃ ativāho. Yenāti yena ativāhena yāti disodisanti agatiṃ gatiñcāpi taṃ taṃ disaṃ sukheneva gacchati.

    อิเธว นินฺทํ ลภตีติ อิธโลเกปิ ทุมฺมโน ราคาทีหิ ทูสิตจิโตฺต ‘‘ทุสฺสีโล ปาปธโมฺม’’ติ นินฺทํ ครหํ ลภติฯ เปจฺจ ปรโลเกปิ อปาเย ‘‘ปุริสตฺตกลิ อวชาตา’’ติอาทินา ยมปุริสาทีหิ จ นินฺทํ ลภติฯ น เกวลํ นินฺทเมว ลภติ, อถ โข สพฺพตฺถ ทุมฺมโน พาโล อิธโลเก ทุจฺจริตจรเณน ทูสิตจิโตฺต ปรโลเก กมฺมการณาทิวเสน ทุกฺขุปฺปตฺติยาติ สพฺพตฺถ พาโล ทุมฺมโน โหติฯ กถํ? สีเลสุ อสมาหิโต สมฺมา สีเลสุ น ฐปิตจิโตฺต อปฺปติฎฺฐิตจิโตฺตฯ

    Idheva nindaṃ labhatīti idhalokepi dummano rāgādīhi dūsitacitto ‘‘dussīlo pāpadhammo’’ti nindaṃ garahaṃ labhati. Pecca paralokepi apāye ‘‘purisattakali avajātā’’tiādinā yamapurisādīhi ca nindaṃ labhati. Na kevalaṃ nindameva labhati, atha kho sabbattha dummano bālo idhaloke duccaritacaraṇena dūsitacitto paraloke kammakāraṇādivasena dukkhuppattiyāti sabbattha bālo dummano hoti. Kathaṃ? Sīlesu asamāhito sammā sīlesu na ṭhapitacitto appatiṭṭhitacitto.

    อิเธว กิตฺติํ ลภตีติ อิธโลเกปิ สุมโน ‘‘สปฺปุริโส สีลวา กลฺยาณธโมฺม’’ติ กิตฺติํ ลภติฯ เปจฺจ ปรโลเกปิ สเคฺค ‘‘อยํ สปฺปุริโส สีลวา กลฺยาณธโมฺมฯ ตถา หิ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปโนฺน’’ติอาทินา กิตฺติํ ลภติฯ น เกวลํ กิตฺติเมว ลภติ, อถ โข ธีโร ธิติสมฺปโนฺน สีเลสุ สุฎฺฐุ สมาหิโต อปฺปิตจิโตฺต สุปติฎฺฐิตจิโตฺต สพฺพตฺถ อิธโลเก สุจริตจรเณน, ปรโลเก สมฺปตฺติปฎิลาเภน สุมโน โสมนสฺสปฺปโตฺต โหติฯ สีลเมว อิธ อคฺคนฺติ ทุวิธํ สีลํ โลกิยํ โลกุตฺตรนฺติฯ ตตฺถ โลกิยํ ตาว กามโลเก ขตฺติยมหาสาลาทีสุ, เทวโลเก พฺรหฺมโลเก จ อุปปตฺติวิเสสํ อาวหติ, ลาภีภาวาทิกสฺส จ การณํ โหติฯ โลกุตฺตรํ ปน สกลมฺปิ วฎฺฎทุกฺขํ อติกฺกาเมตีติ สีลํ อคฺคเมวฯ ตถา หิ วุตฺตํ –

    Idheva kittiṃ labhatīti idhalokepi sumano ‘‘sappuriso sīlavā kalyāṇadhammo’’ti kittiṃ labhati. Pecca paralokepi sagge ‘‘ayaṃ sappuriso sīlavā kalyāṇadhammo. Tathā hi devānaṃ sahabyataṃ upapanno’’tiādinā kittiṃ labhati. Na kevalaṃ kittimeva labhati, atha kho dhīro dhitisampanno sīlesu suṭṭhu samāhito appitacitto supatiṭṭhitacitto sabbattha idhaloke sucaritacaraṇena, paraloke sampattipaṭilābhena sumano somanassappatto hoti. Sīlameva idha agganti duvidhaṃ sīlaṃ lokiyaṃ lokuttaranti. Tattha lokiyaṃ tāva kāmaloke khattiyamahāsālādīsu, devaloke brahmaloke ca upapattivisesaṃ āvahati, lābhībhāvādikassa ca kāraṇaṃ hoti. Lokuttaraṃ pana sakalampi vaṭṭadukkhaṃ atikkāmetīti sīlaṃ aggameva. Tathā hi vuttaṃ –

    ‘‘หีเนน พฺรหฺมจริเยน, ขตฺติเย อุปปชฺชติ;

    ‘‘Hīnena brahmacariyena, khattiye upapajjati;

    มชฺฌิเมน จ เทวตฺตํ, อุตฺตเมน วิสุชฺฌตี’’ติฯ (ชา. ๑.๘.๗๕);

    Majjhimena ca devattaṃ, uttamena visujjhatī’’ti. (jā. 1.8.75);

    อากเงฺขยฺย เจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ – ‘‘ลาภี อสฺสํ จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาราน’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๖๕), ‘‘สีเลเสฺววสฺส ปริปูรการี’’ติ (ม. นิ. ๑.๖๕), ‘‘อิชฺฌติ, ภิกฺขเว, สีลวโต เจโตปณิธิ วิสุทฺธตฺตา’’ติ (อ. นิ. ๘.๓๕; ที. นิ. ๓.๓๓๗) จฯ

    Ākaṅkheyya ce, bhikkhave, bhikkhu – ‘‘lābhī assaṃ cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānapaccayabhesajjaparikkhārāna’’nti (ma. ni. 1.65), ‘‘sīlesvevassa paripūrakārī’’ti (ma. ni. 1.65), ‘‘ijjhati, bhikkhave, sīlavato cetopaṇidhi visuddhattā’’ti (a. ni. 8.35; dī. ni. 3.337) ca.

    โลกุตฺตรสีลสฺส ปน สพฺพโส ปหีนปฎิปกฺขสฺส สตฺตมภวโต ปฎฺฐาย สํสารทุกฺขํ วินิวเตฺตนฺตสฺส อคฺคภาเว วตฺตพฺพเมว นตฺถิฯ ปญฺญวา ปน อุตฺตโมติ ‘‘ปญฺญวา ปน ปุคฺคโล อุตฺตโม ปรโม เสโฎฺฐเยวา’’ติ ปุคฺคลาธิฎฺฐาเนน ปญฺญาย เอว เสฎฺฐภาวํ วทติฯ อิทานิ สีลปญฺญานํ เสฎฺฐภาวํ กิจฺจโต ทเสฺสโนฺต ‘‘สีลปญฺญาณโต ชย’’นฺติ อาหฯ ชยนฺติ จ ลิงฺควิปลฺลาโส ทฎฺฐโพฺพ, อหูติ วา วจนเสโสฯ ตตฺถ ปชานนเฎฺฐน ปญฺญาณํ, สีลโต ปญฺญาณโต จ ปฎิปกฺขชโยฯ น หิ สีเลน วินา ปญฺญา สมฺภวติ, ปญฺญาย จ วินา สีลํ กิจฺจกรํ, อญฺญมโญฺญปการกเญฺจตํฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘สีลปริโธตา ปญฺญา, ปญฺญาปริโธตํ สีล’’นฺติ (ที. นิ. ๑.๓๑๗) มนุเสฺสสุ จ เทเวสูติ อิทํ เนสํ ฐานวิเสสทสฺสนํฯ ตตฺถ หิ ตานิ สวิเสสานิ วตฺตนฺติ, สมาธิ ปเนตฺถ สีลปกฺขิโก ปญฺญาย อธิฎฺฐานภาวโต, ปญฺญาปกฺขิโก วา ภาเวตพฺพโต สีลาธิฎฺฐานโต จฯ

    Lokuttarasīlassa pana sabbaso pahīnapaṭipakkhassa sattamabhavato paṭṭhāya saṃsāradukkhaṃ vinivattentassa aggabhāve vattabbameva natthi. Paññavā pana uttamoti ‘‘paññavā pana puggalo uttamo paramo seṭṭhoyevā’’ti puggalādhiṭṭhānena paññāya eva seṭṭhabhāvaṃ vadati. Idāni sīlapaññānaṃ seṭṭhabhāvaṃ kiccato dassento ‘‘sīlapaññāṇato jaya’’nti āha. Jayanti ca liṅgavipallāso daṭṭhabbo, ahūti vā vacanaseso. Tattha pajānanaṭṭhena paññāṇaṃ, sīlato paññāṇato ca paṭipakkhajayo. Na hi sīlena vinā paññā sambhavati, paññāya ca vinā sīlaṃ kiccakaraṃ, aññamaññopakārakañcetaṃ. Vuttañhi ‘‘sīlaparidhotā paññā, paññāparidhotaṃ sīla’’nti (dī. ni. 1.317) manussesu ca devesūti idaṃ nesaṃ ṭhānavisesadassanaṃ. Tattha hi tāni savisesāni vattanti, samādhi panettha sīlapakkhiko paññāya adhiṭṭhānabhāvato, paññāpakkhiko vā bhāvetabbato sīlādhiṭṭhānato ca.

    เอวํ เถโร เตสํ ภิกฺขูนํ สีลมุเขน ธมฺมํ เทเสโนฺต อตฺตโน สุวิสุทฺธสีลาทิคุณตาทีปเนน อญฺญํ พฺยากาสิฯ

    Evaṃ thero tesaṃ bhikkhūnaṃ sīlamukhena dhammaṃ desento attano suvisuddhasīlādiguṇatādīpanena aññaṃ byākāsi.

    สีลวเตฺถรคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Sīlavattheragāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เถรคาถาปาฬิ • Theragāthāpāḷi / ๑. สีลวเตฺถรคาถา • 1. Sīlavattheragāthā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact