Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๓๖๒] ๒. สีลวีมํสชาตกวณฺณนา
[362] 2. Sīlavīmaṃsajātakavaṇṇanā
สีลํ เสโยฺยติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ สีลวีมํสกพฺราหฺมณํ อารพฺภ กเถสิฯ ตํ กิร ราชา ‘‘เอส สีลสมฺปโนฺน’’ติ อเญฺญหิ พฺราหฺมเณหิ อติเรกํ กตฺวา ปสฺสติฯ โส จิเนฺตสิ ‘‘กิํ นุ โข มํ ราชา ‘สีลสมฺปโนฺน’ติ อเญฺญหิ อติเรกํ กตฺวา ปสฺสติ, อุทาหุ ‘สุตธรยุโตฺต’ติ, วีมํสิสฺสามิ ตาว สีลสฺส วา สุตสฺส วา มหนฺตภาว’’นฺติฯ โส เอกทิวสํ เหรญฺญิกผลกโต กหาปณํ คณฺหิฯ เหรญฺญิโก ครุภาเวน น กิญฺจิ อาห, ทุติยวาเรปิ น กิญฺจิ อาหฯ ตติยวาเร ปน ตํ ‘‘วิโลปขาทโก’’ติ คาหาเปตฺวา รโญฺญ ทเสฺสตฺวา ‘‘กิํ อิมินา กต’’นฺติ วุเตฺต ‘‘กุฎุมฺพํ วิลุมฺปตี’’ติ อาหฯ ‘‘สจฺจํ กิร , พฺราหฺมณา’’ติ? ‘‘น, มหาราช, กุฎุมฺพํ วิลุมฺปามิ, มยฺหํ ปน ‘สีลํ นุ โข มหนฺตํ, สุตํ นุ โข’ติ กุกฺกุจฺจํ อโหสิ, สฺวาหํ ‘เอเตสุ กตรํ นุ โข มหนฺต’นฺติ วีมํสโนฺต ตโย วาเร กหาปณํ คณฺหิํ, ตํ มํ เอส พนฺธาเปตฺวา ตุมฺหากํ ทเสฺสติฯ อิทานิ เม สุตโต สีลสฺส มหนฺตภาโว ญาโต, น เม ฆราวาเสนโตฺถ, ปพฺพชิสฺสามห’’นฺติ ปพฺพชฺชํ อนุชานาเปตฺวา ฆรทฺวารํ อโนโลเกตฺวาว เชตวนํ คนฺตฺวา สตฺถารํ ปพฺพชฺชํ ยาจิฯ ตสฺส สตฺถา ปพฺพชฺชญฺจ อุปสมฺปทญฺจ ทาเปสิฯ โส อจิรูปสมฺปโนฺน วิปสฺสนํ วิปสฺสิตฺวา อคฺคผเล ปติฎฺฐหิฯ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, อสุกพฺราหฺมโณ อตฺตโน สีลํ วีมํสิตฺวา ปพฺพชิโต วิปสฺสิตฺวา อรหตฺตํ ปโตฺต’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทานิ อยเมว, ปุเพฺพ ปณฺฑิตาปิ สีลํ วีมํสิตฺวา ปพฺพชิตฺวา อตฺตโน ปติฎฺฐํ กริํสุเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Sīlaṃ seyyoti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ sīlavīmaṃsakabrāhmaṇaṃ ārabbha kathesi. Taṃ kira rājā ‘‘esa sīlasampanno’’ti aññehi brāhmaṇehi atirekaṃ katvā passati. So cintesi ‘‘kiṃ nu kho maṃ rājā ‘sīlasampanno’ti aññehi atirekaṃ katvā passati, udāhu ‘sutadharayutto’ti, vīmaṃsissāmi tāva sīlassa vā sutassa vā mahantabhāva’’nti. So ekadivasaṃ heraññikaphalakato kahāpaṇaṃ gaṇhi. Heraññiko garubhāvena na kiñci āha, dutiyavārepi na kiñci āha. Tatiyavāre pana taṃ ‘‘vilopakhādako’’ti gāhāpetvā rañño dassetvā ‘‘kiṃ iminā kata’’nti vutte ‘‘kuṭumbaṃ vilumpatī’’ti āha. ‘‘Saccaṃ kira , brāhmaṇā’’ti? ‘‘Na, mahārāja, kuṭumbaṃ vilumpāmi, mayhaṃ pana ‘sīlaṃ nu kho mahantaṃ, sutaṃ nu kho’ti kukkuccaṃ ahosi, svāhaṃ ‘etesu kataraṃ nu kho mahanta’nti vīmaṃsanto tayo vāre kahāpaṇaṃ gaṇhiṃ, taṃ maṃ esa bandhāpetvā tumhākaṃ dasseti. Idāni me sutato sīlassa mahantabhāvo ñāto, na me gharāvāsenattho, pabbajissāmaha’’nti pabbajjaṃ anujānāpetvā gharadvāraṃ anoloketvāva jetavanaṃ gantvā satthāraṃ pabbajjaṃ yāci. Tassa satthā pabbajjañca upasampadañca dāpesi. So acirūpasampanno vipassanaṃ vipassitvā aggaphale patiṭṭhahi. Bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, asukabrāhmaṇo attano sīlaṃ vīmaṃsitvā pabbajito vipassitvā arahattaṃ patto’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāni ayameva, pubbe paṇḍitāpi sīlaṃ vīmaṃsitvā pabbajitvā attano patiṭṭhaṃ kariṃsuyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคณฺหิตฺวา พาราณสิํ อาคนฺตฺวา ราชานํ ปสฺสิฯ ราชา ตสฺส ปุโรหิตฎฺฐานํ อทาสิฯ โส ปญฺจ สีลานิ รกฺขติฯ ราชาปิ นํ ‘‘สีลวา’’ติ ครุํ กตฺวา ปสฺสิฯ โส จิเนฺตสิ ‘‘กิํ นุ โข ราชา ‘สีลวา’ติ มํ ครุํ กตฺวา ปสฺสติ, อุทาหุ ‘สุตธรยุโตฺต’’’ติฯ สพฺพํ ปจฺจุปฺปนฺนวตฺถุสทิสเมวฯ อิธ ปน โส พฺราหฺมโณ ‘‘อิทานิ เม สุตโต สีลสฺส มหนฺตภาโว ญาโต’’ติ วตฺวา อิมา ปญฺจ คาถา อภาสิ –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto brāhmaṇakule nibbattitvā vayappatto takkasilāyaṃ sabbasippāni uggaṇhitvā bārāṇasiṃ āgantvā rājānaṃ passi. Rājā tassa purohitaṭṭhānaṃ adāsi. So pañca sīlāni rakkhati. Rājāpi naṃ ‘‘sīlavā’’ti garuṃ katvā passi. So cintesi ‘‘kiṃ nu kho rājā ‘sīlavā’ti maṃ garuṃ katvā passati, udāhu ‘sutadharayutto’’’ti. Sabbaṃ paccuppannavatthusadisameva. Idha pana so brāhmaṇo ‘‘idāni me sutato sīlassa mahantabhāvo ñāto’’ti vatvā imā pañca gāthā abhāsi –
๖๕.
65.
‘‘สีลํ เสโยฺย สุตํ เสโยฺย, อิติ เม สํสโย อหุ;
‘‘Sīlaṃ seyyo sutaṃ seyyo, iti me saṃsayo ahu;
สีลเมว สุตา เสโยฺย, อิติ เม นตฺถิ สํสโยฯ
Sīlameva sutā seyyo, iti me natthi saṃsayo.
๖๖.
66.
‘‘โมฆา ชาติ จ วโณฺณ จ, สีลเมว กิรุตฺตมํ;
‘‘Moghā jāti ca vaṇṇo ca, sīlameva kiruttamaṃ;
สีเลน อนุเปตสฺส, สุเตนโตฺถ น วิชฺชติฯ
Sīlena anupetassa, sutenattho na vijjati.
๖๗.
67.
‘‘ขตฺติโย จ อธมฺมโฎฺฐ, เวโสฺส จาธมฺมนิสฺสิโต;
‘‘Khattiyo ca adhammaṭṭho, vesso cādhammanissito;
เต ปริจฺจชฺชุโภ โลเก, อุปปชฺชนฺติ ทุคฺคติํฯ
Te pariccajjubho loke, upapajjanti duggatiṃ.
๖๘.
68.
‘‘ขตฺติยา พฺราหฺมณา เวสฺสา, สุทฺทา จณฺฑาลปุกฺกุสา;
‘‘Khattiyā brāhmaṇā vessā, suddā caṇḍālapukkusā;
อิธ ธมฺมํ จริตฺวาน, ภวนฺติ ติทิเว สมาฯ
Idha dhammaṃ caritvāna, bhavanti tidive samā.
๖๙.
69.
‘‘น เวทา สมฺปรายาย, น ชาติ นาปิ พนฺธวา;
‘‘Na vedā samparāyāya, na jāti nāpi bandhavā;
สกญฺจ สีลํ สํสุทฺธํ, สมฺปรายาย สุขาย จา’’ติฯ
Sakañca sīlaṃ saṃsuddhaṃ, samparāyāya sukhāya cā’’ti.
ตตฺถ สีลเมว สุตา เสโยฺยติ สุตปริยตฺติโต สตคุเณน สหสฺสคุเณน สีลเมว อุตฺตริตรนฺติฯ เอวญฺจ ปน วตฺวา สีลํ นาเมตํ เอกวิธํ สํวรวเสน, ทุวิธํ จาริตฺตวาริตฺตวเสน, ติวิธํ กายิกวาจสิกมานสิกวเสน, จตุพฺพิธํ ปาติโมกฺขสํวรอินฺทฺริยสํวรอาชีวปาริสุทฺธิปจฺจยสนฺนิสฺสิตวเสนาติ มาติกํ ฐเปตฺวา วิตฺถาเรโนฺต สีลสฺส วณฺณํ อภาสิฯ
Tattha sīlameva sutā seyyoti sutapariyattito sataguṇena sahassaguṇena sīlameva uttaritaranti. Evañca pana vatvā sīlaṃ nāmetaṃ ekavidhaṃ saṃvaravasena, duvidhaṃ cārittavārittavasena, tividhaṃ kāyikavācasikamānasikavasena, catubbidhaṃ pātimokkhasaṃvaraindriyasaṃvaraājīvapārisuddhipaccayasannissitavasenāti mātikaṃ ṭhapetvā vitthārento sīlassa vaṇṇaṃ abhāsi.
โมฆาติ อผลา ตุจฺฉาฯ ชาตีติ ขตฺติยกุลาทีสุ นิพฺพตฺติฯ วโณฺณติ สรีรวโณฺณ อภิรูปภาโวฯ ยา หิ ยสฺมา สีลรหิตสฺส ชาติสมฺปทา วา วณฺณสมฺปทา วา สคฺคสุขํ ทาตุํ น สโกฺกติ, ตสฺมา อุภยมฺปิ ตํ ‘‘โมฆ’’นฺติ อาหฯ สีลเมว กิราติ อนุสฺสววเสน วทติ, น ปน สยํ ชานาติฯ อนุเปตสฺสาติ อนุปคตสฺสฯ สุเตนโตฺถ น วิชฺชตีติ สีลรหิตสฺส สุตปริยตฺติมเตฺตน อิธโลเก วา ปรโลเก วา กาจิ วฑฺฒิ นาม นตฺถิฯ
Moghāti aphalā tucchā. Jātīti khattiyakulādīsu nibbatti. Vaṇṇoti sarīravaṇṇo abhirūpabhāvo. Yā hi yasmā sīlarahitassa jātisampadā vā vaṇṇasampadā vā saggasukhaṃ dātuṃ na sakkoti, tasmā ubhayampi taṃ ‘‘mogha’’nti āha. Sīlameva kirāti anussavavasena vadati, na pana sayaṃ jānāti. Anupetassāti anupagatassa. Sutenattho na vijjatīti sīlarahitassa sutapariyattimattena idhaloke vā paraloke vā kāci vaḍḍhi nāma natthi.
ตโต ปรา เทฺว คาถา ชาติยา โมฆภาวทสฺสนตฺถํ วุตฺตาฯ ตตฺถ เต ปริจฺจชฺชุโภ โลเกติ เต ทุสฺสีลา เทวโลกญฺจ มนุสฺสโลกญฺจาติ อุโภปิ โลเก ปริจฺจชิตฺวา ทุคฺคติํ อุปปชฺชนฺติฯ จณฺฑาลปุกฺกุสาติ ฉวฉฑฺฑกจณฺฑาลา จ ปุปฺผฉฑฺฑกปุกฺกุสา จฯ ภวนฺติ ติทิเว สมาติ เอเต สเพฺพปิ สีลานุภาเวน เทวโลเก นิพฺพตฺตา สมา โหนฺติ นิพฺพิเสสา, เทวาเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉนฺติฯ
Tato parā dve gāthā jātiyā moghabhāvadassanatthaṃ vuttā. Tattha te pariccajjubho loketi te dussīlā devalokañca manussalokañcāti ubhopi loke pariccajitvā duggatiṃ upapajjanti. Caṇḍālapukkusāti chavachaḍḍakacaṇḍālā ca pupphachaḍḍakapukkusā ca. Bhavanti tidive samāti ete sabbepi sīlānubhāvena devaloke nibbattā samā honti nibbisesā, devātveva saṅkhyaṃ gacchanti.
ปญฺจมคาถา สเพฺพสมฺปิ สุตาทีนํ โมฆภาวทสฺสนตฺถํ วุตฺตาฯ ตสฺสโตฺถ – มหาราช, เอเต เวทาทโย ฐเปตฺวา อิธโลเก ยสมตฺตทานํ สมฺปราเย ทุติเย วา ตติเย วา ภเว ยสํ วา สุขํ วา ทาตุํ นาม น สโกฺกนฺติ, ปริสุทฺธํ ปน อตฺตโน สีลเมว ตํ ทาตุํ สโกฺกตีติฯ
Pañcamagāthā sabbesampi sutādīnaṃ moghabhāvadassanatthaṃ vuttā. Tassattho – mahārāja, ete vedādayo ṭhapetvā idhaloke yasamattadānaṃ samparāye dutiye vā tatiye vā bhave yasaṃ vā sukhaṃ vā dātuṃ nāma na sakkonti, parisuddhaṃ pana attano sīlameva taṃ dātuṃ sakkotīti.
เอวํ มหาสโตฺต สีลคุเณ โถเมตฺวา ราชานํ ปพฺพชฺชํ อนุชานาเปตฺวา ตํ ทิวสเมว หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา อภิญฺญา จ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา อปริหีนชฺฌาโน พฺรหฺมโลกปรายโณ อโหสิฯ
Evaṃ mahāsatto sīlaguṇe thometvā rājānaṃ pabbajjaṃ anujānāpetvā taṃ divasameva himavantaṃ pavisitvā isipabbajjaṃ pabbajitvā abhiññā ca samāpattiyo ca nibbattetvā aparihīnajjhāno brahmalokaparāyaṇo ahosi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา สีลํ วีมํสิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิโต อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā sīlaṃ vīmaṃsitvā isipabbajjaṃ pabbajito ahameva ahosi’’nti.
สีลวีมํสชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ
Sīlavīmaṃsajātakavaṇṇanā dutiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๖๒. สีลวีมํสชาตกํ • 362. Sīlavīmaṃsajātakaṃ