Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๘๖] ๖. สีลวีมํสกชาตกวณฺณนา
[86] 6. Sīlavīmaṃsakajātakavaṇṇanā
สีลํ กิเรว กลฺยาณนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ สีลวีมํสกํ พฺราหฺมณํ อารพฺภ กเถสิฯ โส กิร โกสลราชานํ นิสฺสาย ชีวติ ติสรณํ คโต อขณฺฑปญฺจสีโล ติณฺณํ เวทานํ ปารคูฯ ราชา ‘‘อยํ สีลวา’’ติ ตสฺส อติเรกสมฺมานํ กโรติฯ โส จิเนฺตสิ ‘‘อยํ ราชา มยฺหํ อเญฺญหิ พฺราหฺมเณหิ อติเรกสมฺมานํ กโรติ, อติวิย มํ ครุํ กตฺวา ปสฺสติ, กิํ นุ โข เอส มม ชาติโคตฺตกุลปฺปเทสสิปฺปสมฺปตฺติํ นิสฺสาย อิมํ สมฺมานํ กโรติ, อุทาหุ สีลสมฺปตฺติํ, วีมํสิสฺสามิ ตาวา’’ติฯ โส เอกทิวสํ ราชูปฎฺฐานํ คนฺตฺวา ฆรํ อาคจฺฉโนฺต เอกสฺส เหรญฺญิกสฺส ผลกโต อนาปุจฺฉิตฺวา เอกํ กหาปณํ คเหตฺวา อคมาสิ, เหรญฺญิโก พฺราหฺมเณ ครุภาเวน กิญฺจิ อวตฺวา นิสีทิฯ ปุนทิวเส เทฺว กหาปเณ คณฺหิ, เหรญฺญิโก ตเถว อธิวาเสสิฯ ตติยทิวเส กหาปณมุฎฺฐิํ อคฺคเหสิ, อถ นํ เหรญฺญิโก ‘‘อชฺช เต ตติโย ทิวโส ราชกุฎุมฺพํ วิลุมฺปนฺตสฺสา’’ติ ‘‘ราชกุฎุมฺพวิลุมฺปกโจโร เม คหิโต’’ติ ติกฺขตฺตุํ วิรวิฯ อถ นํ มนุสฺสา อิโต จิโต จ อาคนฺตฺวา ‘‘จิรํทานิ ตฺวํ สีลวา วิย วิจรี’’ติ เทฺว ตโย ปหาเร ทตฺวา พนฺธิตฺวา รโญฺญ ทเสฺสสุํฯ
Sīlaṃkireva kalyāṇanti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ sīlavīmaṃsakaṃ brāhmaṇaṃ ārabbha kathesi. So kira kosalarājānaṃ nissāya jīvati tisaraṇaṃ gato akhaṇḍapañcasīlo tiṇṇaṃ vedānaṃ pāragū. Rājā ‘‘ayaṃ sīlavā’’ti tassa atirekasammānaṃ karoti. So cintesi ‘‘ayaṃ rājā mayhaṃ aññehi brāhmaṇehi atirekasammānaṃ karoti, ativiya maṃ garuṃ katvā passati, kiṃ nu kho esa mama jātigottakulappadesasippasampattiṃ nissāya imaṃ sammānaṃ karoti, udāhu sīlasampattiṃ, vīmaṃsissāmi tāvā’’ti. So ekadivasaṃ rājūpaṭṭhānaṃ gantvā gharaṃ āgacchanto ekassa heraññikassa phalakato anāpucchitvā ekaṃ kahāpaṇaṃ gahetvā agamāsi, heraññiko brāhmaṇe garubhāvena kiñci avatvā nisīdi. Punadivase dve kahāpaṇe gaṇhi, heraññiko tatheva adhivāsesi. Tatiyadivase kahāpaṇamuṭṭhiṃ aggahesi, atha naṃ heraññiko ‘‘ajja te tatiyo divaso rājakuṭumbaṃ vilumpantassā’’ti ‘‘rājakuṭumbavilumpakacoro me gahito’’ti tikkhattuṃ viravi. Atha naṃ manussā ito cito ca āgantvā ‘‘ciraṃdāni tvaṃ sīlavā viya vicarī’’ti dve tayo pahāre datvā bandhitvā rañño dassesuṃ.
ราชา วิปฺปฎิสารี หุตฺวา ‘‘กสฺมา, พฺราหฺมณ, เอวรูปํ ทุสฺสีลกมฺมํ กโรสี’’ติ วตฺวา ‘‘คจฺฉถ, ตสฺส ราชาณํ กโรถา’’ติ อาหฯ พฺราหฺมโณ ‘‘นาหํ, มหาราช, โจโร’’ติ อาหฯ อถ ‘‘กสฺมา ราชกุฎุมฺพิกสฺส ผลกโต กหาปเณ คณฺหี’’ติ? ‘‘เอตํ มยา ตยิ มม อติสมฺมานํ กโรเนฺต ‘กิํ นุ โข ราชา มม ชาติอาทีนิ นิสฺสาย อติสมฺมานํ กโรติ, อุทาหุ สีลํ นิสฺสายา’ติ วีมํสนตฺถาย กตํ, อิทานิ ปน มยา เอกํเสน ญาตํฯ ยถา สีลเมว นิสฺสาย ตยา มม สมฺมาโน กโต, น ชาติอาทีนิฯ ตถา หิ เม อิทานิ ราชาณํ กาเรสิ, สฺวาหํ อิมินา การเณน ‘อิมสฺมิํ โลเก สีลเมว อุตฺตมํ สีลํ ปมุข’นฺติ สนฺนิฎฺฐานํ คโตฯ อิมสฺส ปนาหํ สีลสฺส อนุจฺฉวิกํ กโรโนฺต เคเห ฐิโต กิเลเส ปริภุญฺชโนฺต น สกฺขิสฺสามิ กาตุํ, อเชฺชว เชตวนํ คนฺตฺวา สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิสฺสามิ, ปพฺพชฺชํ เม เทถ, เทวา’’ติ วตฺวา ราชานํ อนุชานาเปตฺวา เชตวนาภิมุโข ปายาสิฯ
Rājā vippaṭisārī hutvā ‘‘kasmā, brāhmaṇa, evarūpaṃ dussīlakammaṃ karosī’’ti vatvā ‘‘gacchatha, tassa rājāṇaṃ karothā’’ti āha. Brāhmaṇo ‘‘nāhaṃ, mahārāja, coro’’ti āha. Atha ‘‘kasmā rājakuṭumbikassa phalakato kahāpaṇe gaṇhī’’ti? ‘‘Etaṃ mayā tayi mama atisammānaṃ karonte ‘kiṃ nu kho rājā mama jātiādīni nissāya atisammānaṃ karoti, udāhu sīlaṃ nissāyā’ti vīmaṃsanatthāya kataṃ, idāni pana mayā ekaṃsena ñātaṃ. Yathā sīlameva nissāya tayā mama sammāno kato, na jātiādīni. Tathā hi me idāni rājāṇaṃ kāresi, svāhaṃ iminā kāraṇena ‘imasmiṃ loke sīlameva uttamaṃ sīlaṃ pamukha’nti sanniṭṭhānaṃ gato. Imassa panāhaṃ sīlassa anucchavikaṃ karonto gehe ṭhito kilese paribhuñjanto na sakkhissāmi kātuṃ, ajjeva jetavanaṃ gantvā satthu santike pabbajissāmi, pabbajjaṃ me detha, devā’’ti vatvā rājānaṃ anujānāpetvā jetavanābhimukho pāyāsi.
อถ นํ ญาติสุหชฺชพนฺธวา สนฺนิปติตฺวา นิวาเรตุํ อสโกฺกนฺตา นิวตฺติํสุฯ โส สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจิตฺวา ปพฺพชฺชญฺจ อุปสมฺปทญฺจ ลภิตฺวา อวิสฺสฎฺฐกมฺมฎฺฐาโน วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ภเนฺต, มยฺหํ ปพฺพชฺชา มตฺถกํ ปตฺตา’’ติ อญฺญํ พฺยากาสิฯ ตสฺส ตํ อญฺญพฺยากรณํ ภิกฺขุสเงฺฆ ปากฎํ ชาตํฯ อเถกทิวสํ ธมฺมสภายํ สนฺนิปติตา ภิกฺขู ‘‘อาวุโส, อสุโก นาม รโญฺญ อุปฎฺฐากพฺราหฺมโณ อตฺตโน สีลํ วีมํสิตฺวา ราชานํ อาปุจฺฉิตฺวา ปพฺพชิตฺวา อรหเตฺต ปติฎฺฐิโต’’ติ ตสฺส คุณํ กถยมานา นิสีทิํสุฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทานิ อยเมว พฺราหฺมโณ อตฺตโน สีลํ วีมํสิตฺวา ปพฺพชิตฺวา อตฺตโน ปติฎฺฐํ อกาสิ, ปุเพฺพปิ ปณฺฑิตา อตฺตโน สีลํ วีมํสิตฺวา ปพฺพชิตฺวา อตฺตโน ปติฎฺฐํ กริํสู’’ติ วตฺวา เตหิ ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Atha naṃ ñātisuhajjabandhavā sannipatitvā nivāretuṃ asakkontā nivattiṃsu. So satthu santikaṃ gantvā pabbajjaṃ yācitvā pabbajjañca upasampadañca labhitvā avissaṭṭhakammaṭṭhāno vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ patvā satthāraṃ upasaṅkamitvā ‘‘bhante, mayhaṃ pabbajjā matthakaṃ pattā’’ti aññaṃ byākāsi. Tassa taṃ aññabyākaraṇaṃ bhikkhusaṅghe pākaṭaṃ jātaṃ. Athekadivasaṃ dhammasabhāyaṃ sannipatitā bhikkhū ‘‘āvuso, asuko nāma rañño upaṭṭhākabrāhmaṇo attano sīlaṃ vīmaṃsitvā rājānaṃ āpucchitvā pabbajitvā arahatte patiṭṭhito’’ti tassa guṇaṃ kathayamānā nisīdiṃsu. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāni ayameva brāhmaṇo attano sīlaṃ vīmaṃsitvā pabbajitvā attano patiṭṭhaṃ akāsi, pubbepi paṇḍitā attano sīlaṃ vīmaṃsitvā pabbajitvā attano patiṭṭhaṃ kariṃsū’’ti vatvā tehi yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ตสฺส ปุโรหิโต อโหสิ ทานาธิมุโตฺต สีลชฺฌาสโย อขณฺฑปญฺจสีโลฯ ราชา เสสพฺราหฺมเณหิ อติเรกํ ตสฺส สมฺมานํ กโรตีติ สพฺพํ ปุริมสทิสเมวฯ โพธิสเตฺต ปน พนฺธิตฺวา รโญฺญ สนฺติกํ นียมาเน อหิตุณฺฑิกา อนฺตรวีถิยํ สปฺปํ กีฬาเปนฺตา นงฺคุเฎฺฐ คณฺหนฺติ, คีวาย คณฺหนฺติ, คเล เวเฐนฺติฯ โพธิสโตฺต เต ทิสฺวา ‘‘มา, ตาตา, เอวํ สปฺปํ นงฺคุเฎฺฐ คณฺหถ, มา คีวาย คณฺหถ, มา คเล เวเฐถฯ อยญฺหิ โว ฑํสิตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปยฺยา’’ติ อาหฯ อหิตุณฺฑิกา ‘‘อยํ, พฺราหฺมณ, สโปฺป สีลวา อาจารสมฺปโนฺน ตาทิโส ทุสฺสีโล น โหติ, ตฺวํ ปน อตฺตโน ทุสฺสีลตาย อนาจาเรน ราชกุฎุมฺพวิลุมฺปกโจโรติ พนฺธิตฺวา นียสี’’ติ อาหํสุฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto tassa purohito ahosi dānādhimutto sīlajjhāsayo akhaṇḍapañcasīlo. Rājā sesabrāhmaṇehi atirekaṃ tassa sammānaṃ karotīti sabbaṃ purimasadisameva. Bodhisatte pana bandhitvā rañño santikaṃ nīyamāne ahituṇḍikā antaravīthiyaṃ sappaṃ kīḷāpentā naṅguṭṭhe gaṇhanti, gīvāya gaṇhanti, gale veṭhenti. Bodhisatto te disvā ‘‘mā, tātā, evaṃ sappaṃ naṅguṭṭhe gaṇhatha, mā gīvāya gaṇhatha, mā gale veṭhetha. Ayañhi vo ḍaṃsitvā jīvitakkhayaṃ pāpeyyā’’ti āha. Ahituṇḍikā ‘‘ayaṃ, brāhmaṇa, sappo sīlavā ācārasampanno tādiso dussīlo na hoti, tvaṃ pana attano dussīlatāya anācārena rājakuṭumbavilumpakacoroti bandhitvā nīyasī’’ti āhaṃsu.
โส จิเนฺตสิ ‘‘สปฺปาปิ ตาว อฑํสนฺตา อวิเหเฐนฺตา ‘สีลวโนฺต’ติ นามํ ลภนฺติ, กิมงฺคํ ปน มนุสฺสภูตาฯ สีลเมว อิมสฺมิํ โลเก อุตฺตมํ, นตฺถิ ตโต อุตฺตริตร’’นฺติฯ อถ นํ เนตฺวา รโญฺญ ทเสฺสสุํฯ ราชา ‘‘กิํ อิทํ, ตาตา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ราชกุฎุมฺพวิลุมฺปโก โจโร, เทวา’’ติฯ ‘‘เตน หิสฺส ราชาณํ กโรถา’’ติฯ พฺราหฺมโณ ‘‘นาหํ, มหาราช, โจโร’’ติ อาหฯ ‘‘อถ กสฺมา กหาปเณ อคฺคเหสี’’ติ จ วุเตฺต ปุริมนเยเนว สพฺพํ อาโรเจโนฺต ‘‘สฺวาหํ อิมินา การเณน ‘อิมสฺมิํ โลเก สีลเมว อุตฺตมํ, สีลํ ปาโมกฺข’นฺติ สนฺนิฎฺฐานํ คโต’’ติ วตฺวา ‘‘ติฎฺฐตุ ตาว อิทํ, อาสีวิโสปิ ตาว อฑํสโนฺต อวิเหเฐโนฺต ‘สีลวา’ติ วตฺตพฺพตํ ลภติฯ อิมินาปิ การเณน สีลเมว อุตฺตมํ, สีลํ ปวร’’นฺติ สีลํ วเณฺณโนฺต อิมํ คาถมาห –
So cintesi ‘‘sappāpi tāva aḍaṃsantā aviheṭhentā ‘sīlavanto’ti nāmaṃ labhanti, kimaṅgaṃ pana manussabhūtā. Sīlameva imasmiṃ loke uttamaṃ, natthi tato uttaritara’’nti. Atha naṃ netvā rañño dassesuṃ. Rājā ‘‘kiṃ idaṃ, tātā’’ti pucchi. ‘‘Rājakuṭumbavilumpako coro, devā’’ti. ‘‘Tena hissa rājāṇaṃ karothā’’ti. Brāhmaṇo ‘‘nāhaṃ, mahārāja, coro’’ti āha. ‘‘Atha kasmā kahāpaṇe aggahesī’’ti ca vutte purimanayeneva sabbaṃ ārocento ‘‘svāhaṃ iminā kāraṇena ‘imasmiṃ loke sīlameva uttamaṃ, sīlaṃ pāmokkha’nti sanniṭṭhānaṃ gato’’ti vatvā ‘‘tiṭṭhatu tāva idaṃ, āsīvisopi tāva aḍaṃsanto aviheṭhento ‘sīlavā’ti vattabbataṃ labhati. Imināpi kāraṇena sīlameva uttamaṃ, sīlaṃ pavara’’nti sīlaṃ vaṇṇento imaṃ gāthamāha –
๘๖.
86.
‘‘สีลํ กิเรว กลฺยาณํ, สีลํ โลเก อนุตฺตรํ;
‘‘Sīlaṃ kireva kalyāṇaṃ, sīlaṃ loke anuttaraṃ;
ปสฺส โฆรวิโส นาโค, สีลวาติ น หญฺญตี’’ติฯ
Passa ghoraviso nāgo, sīlavāti na haññatī’’ti.
ตตฺถ สีลํ กิเรวาติ กายวาจาจิเตฺตหิ อวีติกฺกมสงฺขาตํ อาจารสีลเมวฯ กิราติ อนุสฺสววเสน วทติฯ กลฺยาณนฺติ สุนฺทรตรํฯ อนุตฺตรนฺติ เชฎฺฐกํ สพฺพคุณทายกํฯ ปสฺสาติ อตฺตนา ทิฎฺฐการณํ อภิมุขํ กโรโนฺต กเถติฯ สีลวาติ น หญฺญตีติ โฆรวิโสปิ สมาโน อฑํสนอวิเหฐนมตฺตเกน สีลวาติ ปสํสํ ลภติ, น หญฺญติ น วิหญฺญตีติฯ อิมินาปิ การเณน สีลเมว อุตฺตมนฺติฯ
Tattha sīlaṃ kirevāti kāyavācācittehi avītikkamasaṅkhātaṃ ācārasīlameva. Kirāti anussavavasena vadati. Kalyāṇanti sundarataraṃ. Anuttaranti jeṭṭhakaṃ sabbaguṇadāyakaṃ. Passāti attanā diṭṭhakāraṇaṃ abhimukhaṃ karonto katheti. Sīlavāti na haññatīti ghoravisopi samāno aḍaṃsanaaviheṭhanamattakena sīlavāti pasaṃsaṃ labhati, na haññati na vihaññatīti. Imināpi kāraṇena sīlameva uttamanti.
เอวํ โพธิสโตฺต อิมาย คาถาย รโญฺญ ธมฺมํ เทเสตฺวา กาเม ปหาย อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา ปญฺจาภิญฺญา อฎฺฐ สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตตฺวา พฺรหฺมโลกปรายโณ อโหสิฯ
Evaṃ bodhisatto imāya gāthāya rañño dhammaṃ desetvā kāme pahāya isipabbajjaṃ pabbajitvā himavantaṃ pavisitvā pañcābhiññā aṭṭha samāpattiyo nibbattetvā brahmalokaparāyaṇo ahosi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ราชา อานโนฺท อโหสิ, ราชปริสา พุทฺธปริสา, ปุโรหิโต ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā rājā ānando ahosi, rājaparisā buddhaparisā, purohito pana ahameva ahosi’’nti.
สีลวีมํสกชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐาฯ
Sīlavīmaṃsakajātakavaṇṇanā chaṭṭhā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๘๖. สีลวีมํสกชาตกํ • 86. Sīlavīmaṃsakajātakaṃ