Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๓๐๕] ๕. สีลวีมํสนชาตกวณฺณนา
[305] 5. Sīlavīmaṃsanajātakavaṇṇanā
นตฺถิ โลเก รโห นามาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต กิเลสนิคฺคหํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ เอกาทสกนิปาเต ปานียชาตเก (ชา. ๑.๑๑.๕๙ อาทโย) อาวิ ภวิสฺสติฯ อยํ ปเนตฺถ สเงฺขโป – ปญฺจสตา ภิกฺขู อโนฺตเชตวเน วสนฺตา มชฺฌิมยามสมนนฺตเร กามวิตกฺกํ วิตกฺกยิํสุฯ สตฺถา ฉสุปิ รตฺติทิวาโกฎฺฐาเสสุ ยถา เอกจกฺขุโก จกฺขุํ, เอกปุโตฺต ปุตฺตํ, จามรี วาลํ อปฺปมาเทน รกฺขติ, เอวํ นิจฺจกาลํ ภิกฺขู โอโลเกติฯ โส รตฺติภาเค ทิพฺพจกฺขุนา เชตวนํ โอโลเกโนฺต จกฺกวตฺติรโญฺญ อตฺตโน นิเวสเน อุปฺปนฺนโจเร วิย เต ภิกฺขู ทิสฺวา คนฺธกุฎิํ วิวริตฺวา อานนฺทเตฺถรํ อามเนฺตตฺวา ‘‘อานนฺท, อโนฺตเชตวเน โกฎิสนฺถาเร วสนกภิกฺขู สนฺนิปาตาเปตฺวา คนฺธกุฎิทฺวาเร อาสนํ ปญฺญาเปหี’’ติ อาหฯ โส ตถา กตฺวา สตฺถุ ปฎิเวเทสิฯ สตฺถา ปญฺญตฺตาสเน นิสีทิตฺวา สพฺพสงฺคาหิกวเสน อามเนฺตตฺวา ‘‘ภิกฺขเว, โปราณกปณฺฑิตา ‘ปาปกรเณ รโห นาม นตฺถี’ติ ปาปํ น กริํสู’’ติ วตฺวา เตหิ ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Natthiloke raho nāmāti idaṃ satthā jetavane viharanto kilesaniggahaṃ ārabbha kathesi. Vatthu ekādasakanipāte pānīyajātake (jā. 1.11.59 ādayo) āvi bhavissati. Ayaṃ panettha saṅkhepo – pañcasatā bhikkhū antojetavane vasantā majjhimayāmasamanantare kāmavitakkaṃ vitakkayiṃsu. Satthā chasupi rattidivākoṭṭhāsesu yathā ekacakkhuko cakkhuṃ, ekaputto puttaṃ, cāmarī vālaṃ appamādena rakkhati, evaṃ niccakālaṃ bhikkhū oloketi. So rattibhāge dibbacakkhunā jetavanaṃ olokento cakkavattirañño attano nivesane uppannacore viya te bhikkhū disvā gandhakuṭiṃ vivaritvā ānandattheraṃ āmantetvā ‘‘ānanda, antojetavane koṭisanthāre vasanakabhikkhū sannipātāpetvā gandhakuṭidvāre āsanaṃ paññāpehī’’ti āha. So tathā katvā satthu paṭivedesi. Satthā paññattāsane nisīditvā sabbasaṅgāhikavasena āmantetvā ‘‘bhikkhave, porāṇakapaṇḍitā ‘pāpakaraṇe raho nāma natthī’ti pāpaṃ na kariṃsū’’ti vatvā tehi yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต ตเตฺถว พาราณสิยํ ทิสาปาโมกฺขสฺส อาจริยสฺส สนฺติเก ปญฺจนฺนํ มาณวกสตานํ เชฎฺฐโก หุตฺวา สิปฺปํ อุคฺคณฺหาติฯ อาจริยสฺส ปน วยปฺปตฺตา ธีตา อตฺถิฯ โส จิเนฺตสิ ‘‘อิเมสํ มาณวกานํ สีลํ วีมํสิตฺวา สีลสมฺปนฺนเสฺสว ธีตรํ ทสฺสามี’’ติฯ โส เอกทิวสํ มาณวเก อามเนฺตตฺวา ‘‘ตาตา, มยฺหํ ธีตา วยปฺปตฺตา, วิวาหมสฺสา กาเรสฺสามิ, วตฺถาลงฺการํ ลทฺธุํ วฎฺฎติ, คจฺฉถ ตุเมฺห อตฺตโน อตฺตโน ญาตกานํ อปสฺสนฺตานเญฺญว เถเนตฺวา วตฺถาลงฺกาเร อาหรถ, เกนจิ อทิฎฺฐเมว คณฺหามิ, ทเสฺสตฺวา อาภตํ น คณฺหามี’’ติ อาหฯ เต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตโต ปฎฺฐาย ญาตกานํ อปสฺสนฺตานํ เถเนตฺวา วตฺถปิฬนฺธนาทีนิ อาหรนฺติฯ อาจริโย อาภตาภตํ วิสุํ วิสุํ ฐเปสิฯ โพธิสโตฺต ปน น กิญฺจิ อาหริฯ อถ นํ อาจริโย อาห ‘‘ตฺวํ ปน, ตาต, น กิญฺจิ อาหรสี’’ติฯ ‘‘อาม, อาจริยา’’ติฯ ‘‘กสฺมา, ตาตา’’ติฯ ‘‘ตุเมฺห น กสฺสจิ ปสฺสฺสนฺตสฺส อาภตํ คณฺหถ, อหํ ปน ปาปกรเณ รโห นาม น ปสฺสามี’’ติ ทีเปโนฺต อิมา เทฺว คาถา อาห –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto brāhmaṇakule nibbattitvā vayappatto tattheva bārāṇasiyaṃ disāpāmokkhassa ācariyassa santike pañcannaṃ māṇavakasatānaṃ jeṭṭhako hutvā sippaṃ uggaṇhāti. Ācariyassa pana vayappattā dhītā atthi. So cintesi ‘‘imesaṃ māṇavakānaṃ sīlaṃ vīmaṃsitvā sīlasampannasseva dhītaraṃ dassāmī’’ti. So ekadivasaṃ māṇavake āmantetvā ‘‘tātā, mayhaṃ dhītā vayappattā, vivāhamassā kāressāmi, vatthālaṅkāraṃ laddhuṃ vaṭṭati, gacchatha tumhe attano attano ñātakānaṃ apassantānaññeva thenetvā vatthālaṅkāre āharatha, kenaci adiṭṭhameva gaṇhāmi, dassetvā ābhataṃ na gaṇhāmī’’ti āha. Te ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā tato paṭṭhāya ñātakānaṃ apassantānaṃ thenetvā vatthapiḷandhanādīni āharanti. Ācariyo ābhatābhataṃ visuṃ visuṃ ṭhapesi. Bodhisatto pana na kiñci āhari. Atha naṃ ācariyo āha ‘‘tvaṃ pana, tāta, na kiñci āharasī’’ti. ‘‘Āma, ācariyā’’ti. ‘‘Kasmā, tātā’’ti. ‘‘Tumhe na kassaci passsantassa ābhataṃ gaṇhatha, ahaṃ pana pāpakaraṇe raho nāma na passāmī’’ti dīpento imā dve gāthā āha –
๑๗.
17.
‘‘นตฺถิ โลเก รโห นาม, ปาปกมฺมํ ปกุพฺพโต;
‘‘Natthi loke raho nāma, pāpakammaṃ pakubbato;
ปสฺสนฺติ วนภูตานิ, ตํ พาโล มญฺญตี รโหฯ
Passanti vanabhūtāni, taṃ bālo maññatī raho.
๑๘.
18.
‘‘อหํ รโห น ปสฺสามิ, สุญฺญํ วาปิ น วิชฺชติ;
‘‘Ahaṃ raho na passāmi, suññaṃ vāpi na vijjati;
ยตฺถ อญฺญํ น ปสฺสามิ, อสุญฺญํ โหติ ตํ มยา’’ติฯ
Yattha aññaṃ na passāmi, asuññaṃ hoti taṃ mayā’’ti.
ตตฺถ รโหติ ปฎิจฺฉนฺนฎฺฐานํฯ วนภูตานีติ วเน นิพฺพตฺตภูตานิฯ ตํ พาโลติ ตํ ปาปกมฺมํ รโห มยา กตนฺติ พาโล มญฺญติฯ สุญฺญํ วาปีติ ยํ วา ฐานํ สเตฺตหิ สุญฺญํ ตุจฺฉํ ภเวยฺย, ตมฺปิ นตฺถีติ อาหฯ
Tattha rahoti paṭicchannaṭṭhānaṃ. Vanabhūtānīti vane nibbattabhūtāni. Taṃ bāloti taṃ pāpakammaṃ raho mayā katanti bālo maññati. Suññaṃ vāpīti yaṃ vā ṭhānaṃ sattehi suññaṃ tucchaṃ bhaveyya, tampi natthīti āha.
อาจริโย ตสฺส ปสีทิตฺวา ‘‘ตาต, น มยฺหํ เคเห ธนํ นตฺถิ, อหํ ปน สีลสมฺปนฺนสฺส ธีตรํ ทาตุกาโม อิเม มาณวเก วีมํสโนฺต เอวมกาสิํ, มม ธีตา ตุยฺหเมว อนุจฺฉวิกา’’ติ ธีตรํ อลงฺกริตฺวา โพธิสตฺตสฺส อทาสิฯ เสสมาณวเก ‘‘ตุเมฺหหิ อาภตาภตํ ตุมฺหากํ เคหเมว เนถา’’ติ อาหฯ
Ācariyo tassa pasīditvā ‘‘tāta, na mayhaṃ gehe dhanaṃ natthi, ahaṃ pana sīlasampannassa dhītaraṃ dātukāmo ime māṇavake vīmaṃsanto evamakāsiṃ, mama dhītā tuyhameva anucchavikā’’ti dhītaraṃ alaṅkaritvā bodhisattassa adāsi. Sesamāṇavake ‘‘tumhehi ābhatābhataṃ tumhākaṃ gehameva nethā’’ti āha.
สตฺถา ‘‘อิติ โข, ภิกฺขเว, เต ทุสฺสีลมาณวกา อตฺตโน ทุสฺสีลตาย ตํ อิตฺถิํ น ลภิํสุ, อิตโร ปณฺฑิตมาณโว สีลสมฺปนฺนตาย ลภี’’ติ วตฺวา อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา อิตรา เทฺว คาถา อภาสิ –
Satthā ‘‘iti kho, bhikkhave, te dussīlamāṇavakā attano dussīlatāya taṃ itthiṃ na labhiṃsu, itaro paṇḍitamāṇavo sīlasampannatāya labhī’’ti vatvā abhisambuddho hutvā itarā dve gāthā abhāsi –
๑๙.
19.
‘‘ทุชฺชโจฺจ จ สุชโจฺจ จ, นโนฺท จ สุขวฑฺฒิโต;
‘‘Dujjacco ca sujacco ca, nando ca sukhavaḍḍhito;
วโชฺช จ อทฺธุวสีโล จ, เต ธมฺมํ ชหุมตฺถิกาฯ
Vajjo ca addhuvasīlo ca, te dhammaṃ jahumatthikā.
๒๐.
20.
‘‘พฺราหฺมโณ จ กถํ ชเห, สพฺพธมฺมาน ปารคู;
‘‘Brāhmaṇo ca kathaṃ jahe, sabbadhammāna pāragū;
โย ธมฺมมนุปาเลติ, ธิติมา สจฺจนิกฺกโม’’ติฯ
Yo dhammamanupāleti, dhitimā saccanikkamo’’ti.
ตตฺถ ทุชฺชโจฺจติอาทโย ฉ เชฎฺฐกมาณวา, เตสํ นามํ คณฺหิ, อวเสสานํ นามํ อคฺคเหตฺวา สพฺพสงฺคาหิกวเสเนว ‘‘เต ธมฺมํ ชหุมตฺถิกา’’ติ อาหฯ ตตฺถ เตติ สเพฺพปิ เต มาณวาฯ ธมฺมนฺติ อิตฺถิปฎิลาภสภาวํ ฯ ชหุมตฺถิกาติ ชหุํ อตฺถิกา, อยเมว วา ปาโฐฯ มกาโร ปทพฺยญฺชนสนฺธิวเสน วุโตฺตฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – สเพฺพปิ เต มาณวา ตาย อิตฺถิยา อตฺถิกาว หุตฺวา อตฺตโน ทุสฺสีลตาย ตํ อิตฺถิปฎิลาภสภาวํ ชหิํสุฯ
Tattha dujjaccotiādayo cha jeṭṭhakamāṇavā, tesaṃ nāmaṃ gaṇhi, avasesānaṃ nāmaṃ aggahetvā sabbasaṅgāhikavaseneva ‘‘te dhammaṃ jahumatthikā’’ti āha. Tattha teti sabbepi te māṇavā. Dhammanti itthipaṭilābhasabhāvaṃ . Jahumatthikāti jahuṃ atthikā, ayameva vā pāṭho. Makāro padabyañjanasandhivasena vutto. Idaṃ vuttaṃ hoti – sabbepi te māṇavā tāya itthiyā atthikāva hutvā attano dussīlatāya taṃ itthipaṭilābhasabhāvaṃ jahiṃsu.
พฺราหฺมโณ จาติ อิตโร ปน สีลสมฺปโนฺน พฺราหฺมโณฯ กถํ ชเหติ เกน การเณน ตํ อิตฺถิปฎิลาภสภาวํ ชหิสฺสติฯ สพฺพธมฺมานนฺติ อิมสฺมิํ ฐาเน โลกิยานิ ปญฺจ สีลานิ, ทส สีลานิ, ตีณิ สุจริตานิ จ, สพฺพธมฺมา นาม, เตสํ โส ปารํ คโตติ ปารคูฯ ธมฺมนฺติ วุตฺตปฺปการเมว ธมฺมํ โย อนุปาเลติ รกฺขติฯ ธิติมาติ สีลรกฺขนธิติยา สมนฺนาคโตฯ สจฺจนิกฺกโมติ สเจฺจ สภาวภูเต ยถาวุเตฺต สีลธเมฺม นิกฺกเมน สมนฺนาคโตฯ
Brāhmaṇo cāti itaro pana sīlasampanno brāhmaṇo. Kathaṃ jaheti kena kāraṇena taṃ itthipaṭilābhasabhāvaṃ jahissati. Sabbadhammānanti imasmiṃ ṭhāne lokiyāni pañca sīlāni, dasa sīlāni, tīṇi sucaritāni ca, sabbadhammā nāma, tesaṃ so pāraṃ gatoti pāragū. Dhammanti vuttappakārameva dhammaṃ yo anupāleti rakkhati. Dhitimāti sīlarakkhanadhitiyā samannāgato. Saccanikkamoti sacce sabhāvabhūte yathāvutte sīladhamme nikkamena samannāgato.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน ตานิ ปญฺจ ภิกฺขุสตานิ อรหเตฺต ปติฎฺฐหิํสุฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne tāni pañca bhikkhusatāni arahatte patiṭṭhahiṃsu.
ตทา อาจริโย สาริปุโตฺต อโหสิ, ปณฺฑิตมาณโว ปน อหเมว อโหสินฺติฯ
Tadā ācariyo sāriputto ahosi, paṇḍitamāṇavo pana ahameva ahosinti.
สีลวีมํสนชาตกวณฺณนา ปญฺจมาฯ
Sīlavīmaṃsanajātakavaṇṇanā pañcamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๐๕. สีลวีมํสนชาตกํ • 305. Sīlavīmaṃsanajātakaṃ