Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā |
สีมานุชานนกถาวณฺณนา
Sīmānujānanakathāvaṇṇanā
๑๓๘. เอกาวาสคตานํ วเสน สามคฺคิํ ปฎิกฺขิปิตฺวา เอกสีมคตานํ วเสน อนุชานิตุกาโม ภควา ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สีมํ สมฺมนฺนิตุ’’นฺติ อาหฯ อถ อาวาสปริเจฺฉทํ วตฺตุกาโม ภเวยฺยฯ เอตฺตาวตา เอกาวาโส ยาวตา เอกาสีมาฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สีมํ สมฺมนฺนิตุ’’นฺติ วเทยฺยฯ ตสฺมา น อิธ อนุญฺญาตพทฺธสีมาวเสน เอกาวาสปริเจฺฉโท โหติ, อุปจารสีมาวเสเนว โหตีติ เวทิตพฺพํฯ กถํ ชานิตพฺพนฺติ เจ? ปาฬิโตว, ยถาห ‘‘เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา อุปนโนฺท สกฺยปุโตฺต เอโก ทฺวีสุ อาวาเสสุ วสฺสํ วสิ…เป.… เอกาธิปฺปาย’’นฺติ (มหาว. ๓๖๔)ฯ อญฺญถา วสฺสเจฺฉโทติ อนิฎฺฐปฺปสโงฺคว, กถํ? เอกาวาสวเสเนว เจ สามคฺคี, พหุอาวาสอนาวาเสสุ น สมฺภเวยฺยฯ ตโต โส ตํ อาวาสํ คจฺฉโนฺต พหิทฺธา อุโปสถํ กโรติฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, ตทหุโปสเถ สภิกฺขุโก อนาวาโส คนฺตโพฺพ’’ติอาทิ (มหาว. ๑๘๑)-ปาฬิวิโรโธ สติปิ สเงฺฆ อนาวาเส อุโปสถสฺส อกตฺตพฺพโตฯ อนาวาเสปิ เจ สามคฺคี ลพฺภติ, ‘‘เอตฺตาวตา สามคฺคี, ยาวตา เอกาวาโส’’ติ น วตฺตพฺพํ, ตสฺมา สพฺพถา ปุริมนโย ปจฺฉิเมเนว ปฎิกฺขิโตฺตติ กตฺวา นานาวาสวเสนปิ สามคฺคีติ เวทิตพฺพํฯ ‘‘ตํ กมฺมํ กโรมาติ วตฺวา น อกํสู’ติอาทีสุ วิย อนาคตมฺปิ อเปกฺขติ, ตสฺมา ‘กโรมา’ติ วุเตฺต น วฎฺฎตี’’ติ วทนฺติฯ ‘‘สีมํ อโสเธตฺวาปิ นิมิตฺตํ กิเตฺตตุํ วฎฺฎตี’’ติ ลิขิตํฯ เหฎฺฐิมโกฎิยา อฑฺฒฎฺฐมรตนุเพฺพโธ หตฺถิปฺปมาโณฯ สเจ เอโก พโทฺธ โหติ, น กาตโพฺพติ เอตฺถ ‘‘จตูสุ ทิสาสุ จตุนฺนํ ปพฺพตกูฎานํ เหฎฺฐา ปิฎฺฐิปาสาณสทิเส ปาสาเณ ฐิตตฺตา เอกาพทฺธภาเว สติปิ ปถวิโต อุทฺธํ เตสํ สมฺพเนฺธ อสติ เหฎฺฐา ปถวิคตสมฺพนฺธมเตฺต อโพฺพหาริกํ กตฺวา กิเตฺตตุํ วฎฺฎติฯ เตเนว ‘ปิฎฺฐิปาสาโณ อติมหโนฺตปิ ปาสาณสงฺขฺยเมว คจฺฉตี’ติ วุตฺตํฯ ปถวิโต เหฎฺฐา ตสฺส มหนฺตภาเว คยฺหมาเน ปพฺพตเมว โหตี’’ติ อนุคณฺฐิปเท วุตฺตํฯ ‘‘จินิตฺวา กตปํสุปุเญฺช ติณคุมฺพรุกฺขา เจ ชายนฺติ, ปพฺพโต โหตีติ ธมฺมสิริเตฺถโรฯ เนวาติ อุปติสฺสเตฺถโร’’ติ วุตฺตํฯ
138. Ekāvāsagatānaṃ vasena sāmaggiṃ paṭikkhipitvā ekasīmagatānaṃ vasena anujānitukāmo bhagavā ‘‘anujānāmi, bhikkhave, sīmaṃ sammannitu’’nti āha. Atha āvāsaparicchedaṃ vattukāmo bhaveyya. Ettāvatā ekāvāso yāvatā ekāsīmā. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, sīmaṃ sammannitu’’nti vadeyya. Tasmā na idha anuññātabaddhasīmāvasena ekāvāsaparicchedo hoti, upacārasīmāvaseneva hotīti veditabbaṃ. Kathaṃ jānitabbanti ce? Pāḷitova, yathāha ‘‘tena kho pana samayena āyasmā upanando sakyaputto eko dvīsu āvāsesu vassaṃ vasi…pe… ekādhippāya’’nti (mahāva. 364). Aññathā vassacchedoti aniṭṭhappasaṅgova, kathaṃ? Ekāvāsavaseneva ce sāmaggī, bahuāvāsaanāvāsesu na sambhaveyya. Tato so taṃ āvāsaṃ gacchanto bahiddhā uposathaṃ karoti. ‘‘Na, bhikkhave, tadahuposathe sabhikkhuko anāvāso gantabbo’’tiādi (mahāva. 181)-pāḷivirodho satipi saṅghe anāvāse uposathassa akattabbato. Anāvāsepi ce sāmaggī labbhati, ‘‘ettāvatā sāmaggī, yāvatā ekāvāso’’ti na vattabbaṃ, tasmā sabbathā purimanayo pacchimeneva paṭikkhittoti katvā nānāvāsavasenapi sāmaggīti veditabbaṃ. ‘‘Taṃ kammaṃ karomāti vatvā na akaṃsū’tiādīsu viya anāgatampi apekkhati, tasmā ‘karomā’ti vutte na vaṭṭatī’’ti vadanti. ‘‘Sīmaṃ asodhetvāpi nimittaṃ kittetuṃ vaṭṭatī’’ti likhitaṃ. Heṭṭhimakoṭiyā aḍḍhaṭṭhamaratanubbedho hatthippamāṇo. Sace eko baddho hoti, na kātabboti ettha ‘‘catūsu disāsu catunnaṃ pabbatakūṭānaṃ heṭṭhā piṭṭhipāsāṇasadise pāsāṇe ṭhitattā ekābaddhabhāve satipi pathavito uddhaṃ tesaṃ sambandhe asati heṭṭhā pathavigatasambandhamatte abbohārikaṃ katvā kittetuṃ vaṭṭati. Teneva ‘piṭṭhipāsāṇo atimahantopi pāsāṇasaṅkhyameva gacchatī’ti vuttaṃ. Pathavito heṭṭhā tassa mahantabhāve gayhamāne pabbatameva hotī’’ti anugaṇṭhipade vuttaṃ. ‘‘Cinitvā katapaṃsupuñje tiṇagumbarukkhā ce jāyanti, pabbato hotīti dhammasiritthero. Nevāti upatissatthero’’ti vuttaṃ.
ปาสาโณติ ‘‘สุธามยปาสาโณปิ วฎฺฎตี’’ติ วทนฺติฯ วีมํสิตพฺพํ อิฎฺฐกาย ปฎิกฺขิตฺตตฺตาฯ ทฺวตฺติํสปลคุฬปิณฺฑปฺปมาโณ ตุลตาย, น ตุลคณนายฯ โสปีติ ขาณุโก วิย อุฎฺฐิตปาสาโณฯ
Pāsāṇoti ‘‘sudhāmayapāsāṇopi vaṭṭatī’’ti vadanti. Vīmaṃsitabbaṃ iṭṭhakāya paṭikkhittattā. Dvattiṃsapalaguḷapiṇḍappamāṇo tulatāya, na tulagaṇanāya. Sopīti khāṇuko viya uṭṭhitapāsāṇo.
จตุปญฺจรุกฺขนิมิตฺตมตฺตมฺปีติ เอกเจฺจสุ นิมิตฺตสโทฺท นตฺถิฯ เอตฺถ ตโย เจ สารรุกฺขา โหนฺติ, เทฺว อสารรุกฺขา, สารรุกฺขานํ พหุตฺตํ อิจฺฉิตพฺพํฯ ‘‘สุสานมฺปิ อิธ ‘วนเมวา’ติ สงฺขฺยํ คจฺฉติ สยํชาตตฺตา’’ติ วุตฺตํฯ เกจิ ปน ‘‘จตูสุ เทฺว อโนฺตสารา เจ, วฎฺฎติฯ อโนฺตสารา อธิกา, สมา วา, วฎฺฎติฯ ตสฺมา พหูสุปิ เทฺว เจ อโนฺตสารา อตฺถิ, วฎฺฎตี’’ติ วทนฺติฯ
Catupañcarukkhanimittamattampīti ekaccesu nimittasaddo natthi. Ettha tayo ce sārarukkhā honti, dve asārarukkhā, sārarukkhānaṃ bahuttaṃ icchitabbaṃ. ‘‘Susānampi idha ‘vanamevā’ti saṅkhyaṃ gacchati sayaṃjātattā’’ti vuttaṃ. Keci pana ‘‘catūsu dve antosārā ce, vaṭṭati. Antosārā adhikā, samā vā, vaṭṭati. Tasmā bahūsupi dve ce antosārā atthi, vaṭṭatī’’ti vadanti.
ปรภาเคติ เอตฺถ ‘‘เอเตหิ พทฺธฎฺฐานโต คตตฺตา วฎฺฎติฯ ตถา ทีฆมเคฺคปิ คหิตฎฺฐานโต คตฎฺฐานสฺส อญฺญตฺตา’’ติ วทนฺติฯ
Parabhāgeti ettha ‘‘etehi baddhaṭṭhānato gatattā vaṭṭati. Tathā dīghamaggepi gahitaṭṭhānato gataṭṭhānassa aññattā’’ti vadanti.
อนฺวทฺธมาสนฺติ เอตฺถ ‘‘อนุพโทฺธ อทฺธมาโส, อทฺธมาสสฺส วา อนู’’ติ ลิขิตํฯ ‘‘อนฺตรวาสโก เตมิยตี’’ติ วุตฺตตฺตา ตตฺตกปฺปมาณอุทเกเยว กาตุํ วฎฺฎตีติ เกจิฯ เตมิยตีติ อิมินา เหฎฺฐิมโกฎิยา นทิลกฺขณํ วุตฺตํฯ เอวรูปาย นทิยา ยสฺมิํ ฐาเน จตฺตาโร มาเส อปฺปํ วา พหุํ วา อุทกํ อโชฺฌตฺถริตฺวา ปวตฺตติ, ตสฺมิํ ฐาเน อโปฺปทเกปิ ฐตฺวา กาตุํ วฎฺฎตีติ เอเกฯ ‘‘ปวตฺตนฎฺฐาเน นทินิมิตฺต’นฺติ วุตฺตตฺตา เสตุโต ปรโต ตตฺตกํ อุทกํ ยทิ ปวตฺตติ, นที เอวา’’ติ วทนฺติฯ
Anvaddhamāsanti ettha ‘‘anubaddho addhamāso, addhamāsassa vā anū’’ti likhitaṃ. ‘‘Antaravāsako temiyatī’’ti vuttattā tattakappamāṇaudakeyeva kātuṃ vaṭṭatīti keci. Temiyatīti iminā heṭṭhimakoṭiyā nadilakkhaṇaṃ vuttaṃ. Evarūpāya nadiyā yasmiṃ ṭhāne cattāro māse appaṃ vā bahuṃ vā udakaṃ ajjhottharitvā pavattati, tasmiṃ ṭhāne appodakepi ṭhatvā kātuṃ vaṭṭatīti eke. ‘‘Pavattanaṭṭhāne nadinimitta’nti vuttattā setuto parato tattakaṃ udakaṃ yadi pavattati, nadī evā’’ti vadanti.
ชาตสฺสราทีสุ ฐิโตทกํ ชาตสฺสราทิปเทเสน อนนฺตริกมฺปิ นิมิตฺตํ กาตุํ วฎฺฎติ นทิปารสีมาย นิมิตฺตํ วิยฯ สเจ โส ปเทโส กาลนฺตเรน คามเขตฺตภาวํ ปาปุณาติ, ตตฺถ อญฺญํ สีมํ สมฺมนฺนิตุํ วฎฺฎติฯ อุเกฺขปิมนฺติ อุทฺธริตฺวา คเหตพฺพกํฯ
Jātassarādīsu ṭhitodakaṃ jātassarādipadesena anantarikampi nimittaṃ kātuṃ vaṭṭati nadipārasīmāya nimittaṃ viya. Sace so padeso kālantarena gāmakhettabhāvaṃ pāpuṇāti, tattha aññaṃ sīmaṃ sammannituṃ vaṭṭati. Ukkhepimanti uddharitvā gahetabbakaṃ.
อพทฺธสีมวิหารานํ สีมาย อุปจารํ ฐเปตฺวาติ ‘‘อายติํ สมฺมนฺนิตพฺพาย โอกาสํ ฐเปตฺวา’’ติ ลิขิตํฯ อโนฺตนิมิตฺตคเตหิ ปนาติ ‘‘เอกสฺส อุปฑฺฒํ อโนฺตกตฺตุกามตาย สติ สเพฺพสํ อาคมเน ปโยชนํ นตฺถีติ กตฺวา ‘อโนฺตนิมิตฺตคเตหี’ติ วุตฺตํ, ตญฺจ สามีจิวเสนา’’ติ วทนฺติฯ อนาคมนมฺปิ วฎฺฎตีติ ‘‘สีมาย อพทฺธตฺตา วคฺคํ นาม น โหตี’’ติ ลิขิตํฯ ‘‘อญฺญสฺมิํ คามเขเตฺต ฐตฺวา นิมิตฺตกิตฺตนกาเล, สมานสํวาสกสีมาย สมฺมนฺนนกาเล จ อาคมนปโยชนํ นตฺถี’’ติ วุตฺตํฯ เภริสญฺญํ วาติ ‘‘สมฺมนฺนนปริโยสานํ กโรมาติ วตฺวา’’ติ ลิขิตํ, เตน ตาทิเส กาเล ตํ กปฺปตีติ สิทฺธํ โหติฯ กิํ อิมินา? สุขกรณตฺถนฺติ มหาชนสนฺนิปาตนปริสฺสมํ อกตฺวา อปฺปตเรหิ สุขกรณตฺถํฯ ยทิ มหาสีมาพนฺธนกาเล อนฺตราโย โหติ, ตตฺตเกนปิ สุขวิหาโรติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘ปฐม’’นฺติ วุตฺตนฺติ เอเกฯ ตโต โอรํ น วฎฺฎตีติ กถํ ปญฺญายตีติ? วีสติวคฺคกรณียปรมตฺตา สงฺฆกมฺมสฺสฯ กมฺมารเหน สทฺธิํ เอกวีสติ ภิกฺขู เจ คณฺหาติ, วฎฺฎติฯ ตตฺตกปฺปมาณํ สุขนิสชฺชวเสน เวทิตพฺพํฯ ตเมว นิมิตฺตํ อเญฺญปิ กิเตฺตตฺวา สเจ พนฺธนฺติ, วฎฺฎตีติ เอเกฯ
Abaddhasīmavihārānaṃ sīmāya upacāraṃ ṭhapetvāti ‘‘āyatiṃ sammannitabbāya okāsaṃ ṭhapetvā’’ti likhitaṃ. Antonimittagatehi panāti ‘‘ekassa upaḍḍhaṃ antokattukāmatāya sati sabbesaṃ āgamane payojanaṃ natthīti katvā ‘antonimittagatehī’ti vuttaṃ, tañca sāmīcivasenā’’ti vadanti. Anāgamanampi vaṭṭatīti ‘‘sīmāya abaddhattā vaggaṃ nāma na hotī’’ti likhitaṃ. ‘‘Aññasmiṃ gāmakhette ṭhatvā nimittakittanakāle, samānasaṃvāsakasīmāya sammannanakāle ca āgamanapayojanaṃ natthī’’ti vuttaṃ. Bherisaññaṃ vāti ‘‘sammannanapariyosānaṃ karomāti vatvā’’ti likhitaṃ, tena tādise kāle taṃ kappatīti siddhaṃ hoti. Kiṃ iminā? Sukhakaraṇatthanti mahājanasannipātanaparissamaṃ akatvā appatarehi sukhakaraṇatthaṃ. Yadi mahāsīmābandhanakāle antarāyo hoti, tattakenapi sukhavihāroti dassanatthaṃ ‘‘paṭhama’’nti vuttanti eke. Tato oraṃ na vaṭṭatīti kathaṃ paññāyatīti? Vīsativaggakaraṇīyaparamattā saṅghakammassa. Kammārahena saddhiṃ ekavīsati bhikkhū ce gaṇhāti, vaṭṭati. Tattakappamāṇaṃ sukhanisajjavasena veditabbaṃ. Tameva nimittaṃ aññepi kittetvā sace bandhanti, vaṭṭatīti eke.
‘‘เอวํ พทฺธาสุ ปน…เป.… สีมนฺตริกา หิ คามเขตฺตํ ภชตี’’ติ น อาวาสวเสน สามคฺคีปริเจฺฉโท, กินฺตุ สีมาวเสเนวาติ ทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ ‘‘นิมิตฺตุปคปาสาเณ ฐเปตฺวา’’ติ สญฺจาริมนิมิตฺตสฺส ตปฺปรโต วุตฺตํฯ อิโต ปฎฺฐาย คณฺฐิปทกฺกโม โหติ – น สกฺขิสฺสนฺตีติ เต อวิปฺปวาสํ อสลฺลเกฺขตฺวา ‘‘สมานสํวาสกเมว สมูหนิสฺสามา’’ติ วายามนฺตา สมูหนิตุํ น สกฺขิสฺสนฺติฯ ‘‘เอกรตนปฺปมาณา’’ติ สุวิเญฺญยฺยนฺตรา โหตีติ กตฺวา วุตฺตํฯ เอกงฺคุลมตฺตมฺปิ วฎฺฎเตวฯ ขณฺฑสีมโต ปฎฺฐาย พนฺธนํ อาจิณฺณํฯ อาจิณฺณกรเณน วิคตสโมฺมโห โหตีติฯ กุฎิเคเหติ กุฎิฆเร ภูมิฆเรฯ อุทุกฺขลํวาติ ภูมิอุทุกฺขลํ วิย ขุทฺทกาวาฎํฯ ‘‘ปมุเข’’ติ ภูมิกุฎิํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ เอเกฯ เหฎฺฐา น โอตรตีติ ภิตฺติโต โอรํ นิมิตฺตานิ ฐเปตฺวา กิตฺติตตฺตา เหฎฺฐา อากาเส น โอตรติ, อุปริ กเต ปาสาเทติ อโตฺถฯ ภิตฺติลเคฺคติ ภิตฺตินิสฺสิตเกฯ อิเม กิร ภิตฺติลคฺคาปิ ‘‘เอกาพทฺธา’’ติ น วุจฺจนฺติฯ สโพฺพ ปาสาโท สีมโฎฺฐ โหตีติ เอกาพโทฺธ วา โหตุ, มา วาฯ ตาลมูลกปพฺพโต นาม อนุปุเพฺพน ตนุโกฯ อากาสปพฺภารนฺติ อปริเกฺขปปพฺภารํฯ สุสิรปาสาโณ นาม เลณํ โหติฯ อโนฺตเลณนฺติ ปพฺพตสฺส อโนฺตเลณํฯ ทฺวารํ ปน สนฺธาย ปรโต ‘‘โอรโต’’ติ วุตฺตํ, สพฺพถาปิ สีมโต พหิเลเณน โอตรตีติ อธิปฺปาโยฯ
‘‘Evaṃbaddhāsu pana…pe… sīmantarikā hi gāmakhettaṃ bhajatī’’ti na āvāsavasena sāmaggīparicchedo, kintu sīmāvasenevāti dassanatthaṃ vuttaṃ. ‘‘Nimittupagapāsāṇe ṭhapetvā’’ti sañcārimanimittassa tapparato vuttaṃ. Ito paṭṭhāya gaṇṭhipadakkamo hoti – na sakkhissantīti te avippavāsaṃ asallakkhetvā ‘‘samānasaṃvāsakameva samūhanissāmā’’ti vāyāmantā samūhanituṃ na sakkhissanti. ‘‘Ekaratanappamāṇā’’ti suviññeyyantarā hotīti katvā vuttaṃ. Ekaṅgulamattampi vaṭṭateva. Khaṇḍasīmato paṭṭhāya bandhanaṃ āciṇṇaṃ. Āciṇṇakaraṇena vigatasammoho hotīti. Kuṭigeheti kuṭighare bhūmighare. Udukkhalaṃvāti bhūmiudukkhalaṃ viya khuddakāvāṭaṃ. ‘‘Pamukhe’’ti bhūmikuṭiṃ sandhāya vuttanti eke. Heṭṭhā na otaratīti bhittito oraṃ nimittāni ṭhapetvā kittitattā heṭṭhā ākāse na otarati, upari kate pāsādeti attho. Bhittilaggeti bhittinissitake. Ime kira bhittilaggāpi ‘‘ekābaddhā’’ti na vuccanti. Sabbo pāsādo sīmaṭṭho hotīti ekābaddho vā hotu, mā vā. Tālamūlakapabbato nāma anupubbena tanuko. Ākāsapabbhāranti aparikkhepapabbhāraṃ. Susirapāsāṇo nāma leṇaṃ hoti. Antoleṇanti pabbatassa antoleṇaṃ. Dvāraṃ pana sandhāya parato ‘‘orato’’ti vuttaṃ, sabbathāpi sīmato bahileṇena otaratīti adhippāyo.
มหาสีมํ โสเธตฺวาติ สีมฎฺฐํ ทูรคตมฺปิ สีมคตํ สีมสมฺพนฺธํว, ตสฺมา ตํ อนามสิตฺวา ฐาตพฺพนฺติ อธิปฺปาโยฯ ยทิ เอวํ ‘‘ตนฺนิสฺสิตกํ อปเนตฺวา กมฺมํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ วตฺตพฺพํฯ มหาอฎฺฐกถายมฺปิ ‘‘สีมํ โสเธตฺวา กาตพฺพ’’นฺติ เอตฺตกเมว วุตฺตํฯ มหาเถราปิ ‘‘โสเธตพฺพ’’มิเจฺจว วทนฺตีติ เอเกฯ ‘‘มหาสีมํ โสเธตฺวา วา กมฺมํ กาตพฺพ’’นฺติ จ ปาโฐ อตฺถิฯ ‘‘วุตฺตนเยเนวา’’ติ จ ปรโต วกฺขติ, ตสฺมา สาธารณปาโฐว สุนฺทโรติ เอเกฯ ปุริมนเยปีติ ขณฺฑสีมาย อุฎฺฐหิตฺวา มหาสีมาย โอนเตปีติ อโตฺถฯ อุกฺขิปาเปตฺวา กาตุํ น วฎฺฎติฯ กสฺมา? อโนฺต ฐิตตฺตาฯ รุกฺขสฺส เหฎฺฐา ปถวิคตํ มูลํ ขณฺฑสีมาว โหติ, อโพฺพหาริกํ วาติ อปเรฯ ‘‘มเชฺฌ ปน ฉิเนฺน มหาสีมาย ฐิตมูลํ มหาสีมเมว ภชติ, ขณฺฑสีมาย ฐิตํ ขณฺฑสีมเมว ภชติ ตทายตฺตปถวิรสาทีหิ อนุคฺคหิตตฺตา’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘สีมาย ปจฺฉา อุฎฺฐิตรุเกฺข นิสีทิตฺวา กมฺมํ กาตุํ วฎฺฎติ ปจฺฉาสีมายํ กตเคเห วิยา’’ติ วตฺวา ‘‘พนฺธนกาเล ฐิตรุเกฺข นิสีทิตฺวา กาตุํ น วฎฺฎติ อุปริสีมาย อคมนโต’’ติ การณํ วทนฺติฯ เอวํ สติ พนฺธนกาเล ปุน อาโรหณํ นาม นตฺถิ, พนฺธิตกาเล เอว อารุหตีติ อาปชฺชติฯ ปจฺฉา อุฎฺฐิตรุโกฺข ปน ตปฺปฎิพทฺธตฺตา สีมสงฺขฺยเมว คโต, เอวํ ปุเพฺพ อุฎฺฐิตรุโกฺขปีติ คเหตพฺพํฯ ‘‘ยํ กิญฺจิปี’’ติ วจนโต ติณาทิปิ สงฺคหิตํฯ มหาเถราปิ ติณํ โสเธตฺวาว กโรนฺตีติฯ
Mahāsīmaṃ sodhetvāti sīmaṭṭhaṃ dūragatampi sīmagataṃ sīmasambandhaṃva, tasmā taṃ anāmasitvā ṭhātabbanti adhippāyo. Yadi evaṃ ‘‘tannissitakaṃ apanetvā kammaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti vattabbaṃ. Mahāaṭṭhakathāyampi ‘‘sīmaṃ sodhetvā kātabba’’nti ettakameva vuttaṃ. Mahātherāpi ‘‘sodhetabba’’micceva vadantīti eke. ‘‘Mahāsīmaṃ sodhetvā vā kammaṃ kātabba’’nti ca pāṭho atthi. ‘‘Vuttanayenevā’’ti ca parato vakkhati, tasmā sādhāraṇapāṭhova sundaroti eke. Purimanayepīti khaṇḍasīmāya uṭṭhahitvā mahāsīmāya onatepīti attho. Ukkhipāpetvā kātuṃ na vaṭṭati. Kasmā? Anto ṭhitattā. Rukkhassa heṭṭhā pathavigataṃ mūlaṃ khaṇḍasīmāva hoti, abbohārikaṃ vāti apare. ‘‘Majjhe pana chinne mahāsīmāya ṭhitamūlaṃ mahāsīmameva bhajati, khaṇḍasīmāya ṭhitaṃ khaṇḍasīmameva bhajati tadāyattapathavirasādīhi anuggahitattā’’ti vuttaṃ. ‘‘Sīmāya pacchā uṭṭhitarukkhe nisīditvā kammaṃ kātuṃ vaṭṭati pacchāsīmāyaṃ katagehe viyā’’ti vatvā ‘‘bandhanakāle ṭhitarukkhe nisīditvā kātuṃ na vaṭṭati uparisīmāya agamanato’’ti kāraṇaṃ vadanti. Evaṃ sati bandhanakāle puna ārohaṇaṃ nāma natthi, bandhitakāle eva āruhatīti āpajjati. Pacchā uṭṭhitarukkho pana tappaṭibaddhattā sīmasaṅkhyameva gato, evaṃ pubbe uṭṭhitarukkhopīti gahetabbaṃ. ‘‘Yaṃ kiñcipī’’ti vacanato tiṇādipi saṅgahitaṃ. Mahātherāpi tiṇaṃ sodhetvāva karontīti.
๑๔๐. ยสฺมา มชฺฌโต โกณํ โหติ, ตสฺมา ‘‘โกณโต โกณ’’นฺติ วุตฺตํฯ ‘‘อาปตฺติญฺจ อาปชฺชติ อจิตฺตกตฺตา’’ติ วทนฺติฯ ปารยตีติ อโชฺฌตฺถรติฯ กา สา? สีมาฯ ‘‘ยา สพฺพนฺติเมน…เป.… วหตี’’ติ ตโต เหฎฺฐิมา นาวาสงฺขฺยํ น คจฺฉตีติ กตฺวา วุตฺตนฺติ เอเก, ตํ น ยุตฺตํ ทุติยปาราชิเก นาวฎฺฐภณฺฑาธิกาเร ตสฺสาปิ อธิเปฺปตตฺตาฯ มชฺฌิมปุริสสฺส ภารปฺปมาเณน วุตฺตนฺติ เอเกฯ ภิกฺขุนีนมฺปิ นทีปารสีมาสมฺภวโต ตาสํ ‘‘เอกา วา นทีปารํ คเจฺฉยฺยา’’ติ วุตฺตโทสปริหรณตฺถนฺติ อาจริยสฺส ตโกฺกฯ อุภยตฺถาปิ ธุว-สโทฺท คหิโตฯ เตน อุโปสถนฺตราย ปริหรณตฺถํ อุโปสถทิวโส นิยมโตว วุโตฺตฯ เอตฺถ จ นาวา นาม ปมาณยุตฺตา สพฺพสาธารณา ถมฺภนาวา อธิเปฺปตา, น กุลฺลนาวาติ โน ตโกฺกติ อาจริโยฯ รุกฺขํ ฉินฺทิตฺวา กโตติ อโตฺถฯ สเจ เอกํ คามเขตฺตํ, สพฺพนิมิตฺตานํ อโนฺต ฐิเต ภิกฺขู หตฺถปาสคเต กตฺวา สมฺมนฺนิตพฺพาฯ นานาคามเขตฺตํ เจ, อนาคมนมฺปิ วฎฺฎติฯ อุภยตีเร นิมิตฺตกิตฺตนมเตฺตน ทีปโก สงฺคหิโต น โหติ, ตสฺมา ทีปเก นิมิตฺตานิ กิเตฺตตพฺพาเนวฯ ‘‘นทิยา เหฎฺฐา นิสินฺนภิกฺขุ กมฺมํ โกเปติฯ อุปริเยว หิ นที โหตี’’ติ วทนฺติฯ
140. Yasmā majjhato koṇaṃ hoti, tasmā ‘‘koṇato koṇa’’nti vuttaṃ. ‘‘Āpattiñca āpajjati acittakattā’’ti vadanti. Pārayatīti ajjhottharati. Kā sā? Sīmā. ‘‘Yā sabbantimena…pe… vahatī’’ti tato heṭṭhimā nāvāsaṅkhyaṃ na gacchatīti katvā vuttanti eke, taṃ na yuttaṃ dutiyapārājike nāvaṭṭhabhaṇḍādhikāre tassāpi adhippetattā. Majjhimapurisassa bhārappamāṇena vuttanti eke. Bhikkhunīnampi nadīpārasīmāsambhavato tāsaṃ ‘‘ekā vā nadīpāraṃ gaccheyyā’’ti vuttadosapariharaṇatthanti ācariyassa takko. Ubhayatthāpi dhuva-saddo gahito. Tena uposathantarāya pariharaṇatthaṃ uposathadivaso niyamatova vutto. Ettha ca nāvā nāma pamāṇayuttā sabbasādhāraṇā thambhanāvā adhippetā, na kullanāvāti no takkoti ācariyo. Rukkhaṃ chinditvā katoti attho. Sace ekaṃ gāmakhettaṃ, sabbanimittānaṃ anto ṭhite bhikkhū hatthapāsagate katvā sammannitabbā. Nānāgāmakhettaṃ ce, anāgamanampi vaṭṭati. Ubhayatīre nimittakittanamattena dīpako saṅgahito na hoti, tasmā dīpake nimittāni kittetabbāneva. ‘‘Nadiyā heṭṭhā nisinnabhikkhu kammaṃ kopeti. Upariyeva hi nadī hotī’’ti vadanti.
สีมานุชานนกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sīmānujānanakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi / ๗๑. สีมานุชานนา • 71. Sīmānujānanā
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวคฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvagga-aṭṭhakathā / สีมานุชานนกถา • Sīmānujānanakathā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / สีมานุชานนกถาวณฺณนา • Sīmānujānanakathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / สีมานุชานนกถาวณฺณนา • Sīmānujānanakathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๗๑. สีมานุชานนกถา • 71. Sīmānujānanakathā