Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā

    สีมานุชานนกถาวณฺณนา

    Sīmānujānanakathāvaṇṇanā

    ๑๓๘. ‘‘ปุรตฺถิมาย ทิสายา’’ติ อิทํ นิทสฺสนมตฺตํฯ ตสฺสํ ปน ทิสายํ นิมิเตฺต อสติ ยตฺถ อตฺถิ, ตโต ปฎฺฐาย ปฐมํ ‘‘ปุรตฺถิมาย อนุทิสาย, ทกฺขิณาย ทิสายา’’ติอาทินา สมนฺตา วิชฺชมานฎฺฐาเนสุ นิมิตฺตานิ กิเตฺตตฺวา ปุน ‘‘ปุรตฺถิมาย อนุทิสายา’’ติ ปฐมกิตฺติตํ กิเตฺตตุํ วฎฺฎติ, ตีหิ นิมิเตฺตหิ สิงฺฆาฎกสณฺฐานายปิ สีมาย สมฺมนฺนิตพฺพโตฯ ติกฺขตฺตุํ สีมามณฺฑลํ สมฺพนฺธเนฺตนาติ วินยธเรน สยํ เอกสฺมิํเยว ฐาเน ฐตฺวา เกวลํ นิมิตฺตกิตฺตนวจเนเนว สีมามณฺฑลํ สมนฺตา นิมิเตฺตน นิมิตฺตํ พนฺธเนฺตนาติ อโตฺถฯ ตํ ตํ นิมิตฺตฎฺฐานํ อคนฺตฺวาปิ หิ กิเตฺตตุํ วฎฺฎติฯ ติโยชนปรมาย สีมาย สมนฺตโต ติกฺขตฺตุํ อนุปริคมนสฺส เอกทิวเสน ทุกฺกรตฺตา วินยธเรน สยํ อทิฎฺฐมฺปิ ปุเพฺพ ภิกฺขูหิ ยถาววตฺถิตํ นิมิตฺตํ ‘‘ปาสาโณ ภเนฺต’’ติอาทินา เกนจิ วุตฺตานุสาเรน สลฺลเกฺขตฺวา ‘‘เอโส ปาสาโณ นิมิตฺต’’นฺติอาทินา กิเตฺตตุมฺปิ วฎฺฎติ เอวฯ

    138.‘‘Puratthimāyadisāyā’’ti idaṃ nidassanamattaṃ. Tassaṃ pana disāyaṃ nimitte asati yattha atthi, tato paṭṭhāya paṭhamaṃ ‘‘puratthimāya anudisāya, dakkhiṇāya disāyā’’tiādinā samantā vijjamānaṭṭhānesu nimittāni kittetvā puna ‘‘puratthimāya anudisāyā’’ti paṭhamakittitaṃ kittetuṃ vaṭṭati, tīhi nimittehi siṅghāṭakasaṇṭhānāyapi sīmāya sammannitabbato. Tikkhattuṃ sīmāmaṇḍalaṃ sambandhantenāti vinayadharena sayaṃ ekasmiṃyeva ṭhāne ṭhatvā kevalaṃ nimittakittanavacaneneva sīmāmaṇḍalaṃ samantā nimittena nimittaṃ bandhantenāti attho. Taṃ taṃ nimittaṭṭhānaṃ agantvāpi hi kittetuṃ vaṭṭati. Tiyojanaparamāya sīmāya samantato tikkhattuṃ anuparigamanassa ekadivasena dukkarattā vinayadharena sayaṃ adiṭṭhampi pubbe bhikkhūhi yathāvavatthitaṃ nimittaṃ ‘‘pāsāṇo bhante’’tiādinā kenaci vuttānusārena sallakkhetvā ‘‘eso pāsāṇo nimitta’’ntiādinā kittetumpi vaṭṭati eva.

    สุทฺธปํสุปพฺพโตติ น เกนจิ กโต สยํชาโตว วุโตฺตฯ ตถา เสสาปิฯ อิตโรปีติ สุทฺธปํสุปพฺพตาทิโกปิ ปพฺพโตฯ หตฺถิปฺปมาณโตติ เอตฺถ ภูมิโต อุคฺคตปฺปเทเสน หตฺถิปฺปมาณํ คเหตพฺพํฯ จตูหิ วา ตีหิ วาติ สีมาภูมิยํ จตูสุ, ตีสุ วา ทิสาสุ ฐิเตหิฯ เอกิสฺสา เอว ปน ทิสาย ฐิเตหิ ตโต พหูหิปิ สมฺมนฺนิตุํ น วฎฺฎติฯ ทฺวีหิ ปน ทฺวีสุ ทิสาสุ ฐิเตหิปิ น วฎฺฎติฯ ตสฺมาติ ยสฺมา เอเกน น วฎฺฎติ, ตสฺมาฯ ตํ พหิทฺธา กตฺวาติ กิตฺติตนิมิตฺตสฺส อสีมตฺตา อโนฺตสีมาย กรณํ อยุตฺตนฺติ วุตฺตํฯ เตนาห ‘‘สเจ’’ติอาทิฯ

    Suddhapaṃsupabbatoti na kenaci kato sayaṃjātova vutto. Tathā sesāpi. Itaropīti suddhapaṃsupabbatādikopi pabbato. Hatthippamāṇatoti ettha bhūmito uggatappadesena hatthippamāṇaṃ gahetabbaṃ. Catūhi vā tīhi vāti sīmābhūmiyaṃ catūsu, tīsu vā disāsu ṭhitehi. Ekissā eva pana disāya ṭhitehi tato bahūhipi sammannituṃ na vaṭṭati. Dvīhi pana dvīsu disāsu ṭhitehipi na vaṭṭati. Tasmāti yasmā ekena na vaṭṭati, tasmā. Taṃ bahiddhā katvāti kittitanimittassa asīmattā antosīmāya karaṇaṃ ayuttanti vuttaṃ. Tenāha ‘‘sace’’tiādi.

    ทฺวตฺติํสปลคุฬปิณฺฑปฺปมาณตา สณฺฐานโต คเหตพฺพา, น ตุลคณนาวเสน, ภารโต ปลปริมาณญฺจ มคธตุลาย คเหตพฺพํฯ สา จ โลกิยตุลาย ทฺวิคุณาติ วทนฺติฯ อติมหโนฺตปีติ ภูมิโต หตฺถิปฺปมาณํ อนุคฺคนฺตฺวา เหฎฺฐาภูมิยํ โอติณฺณฆนโต อเนกโยชนปฺปมาโณปิฯ สเจ หิ ตโต หตฺถิปฺปมาณํ กูฎํ อุคฺคจฺฉติ, ปพฺพตสงฺขฺยเมว คจฺฉติฯ

    Dvattiṃsapalaguḷapiṇḍappamāṇatā saṇṭhānato gahetabbā, na tulagaṇanāvasena, bhārato palaparimāṇañca magadhatulāya gahetabbaṃ. Sā ca lokiyatulāya dviguṇāti vadanti. Atimahantopīti bhūmito hatthippamāṇaṃ anuggantvā heṭṭhābhūmiyaṃ otiṇṇaghanato anekayojanappamāṇopi. Sace hi tato hatthippamāṇaṃ kūṭaṃ uggacchati, pabbatasaṅkhyameva gacchati.

    อโนฺตสารานนฺติ ตสฺมิํ ขเณ ตรุณตาย สาเร อวิชฺชมาเนปิ ปริณาเมน ภวิสฺสมานสาเรปิ สนฺธาย วุตฺตํฯ ตาทิสานญฺหิ สูจิทณฺฑกปฺปมาณปริณาหานํ จตุปญฺจมตฺตมฺปิ วนํ วฎฺฎติฯ อโนฺตสารมิสฺสกานนฺติ อโนฺตสาเรหิ รุเกฺขหิ สมฺมิสฺสานํฯ เอเตน จ สารรุกฺขมิสฺสมฺปิ วนํ วฎฺฎตีติ ทเสฺสติฯ จตุปญฺจรุกฺขมตฺตมฺปีติ สารรุเกฺข สนฺธาย วุตฺตํฯ วนมเชฺฌ วิหารํ กโรนฺตีติ รุกฺขฆฎาย อนฺตเร รุเกฺข อจฺฉินฺทิตฺวา วติอาทีหิ วิหารปริเจฺฉทํ กตฺวาว อโนฺตรุกฺขนฺตเรสุ เอว ปริเวณปณฺณสาลาทีนํ กรณวเสน ยถา อโนฺตวิหารมฺปิ วนเมว โหติ, เอวํ วิหารํ กโรนฺตีติ อโตฺถฯ ยทิ หิ สพฺพํ รุกฺขํ ฉินฺทิตฺวา วิหารํ กเรยฺยุํ, วิหารสฺส อวนตฺตา ตํ ปริกฺขิปิตฺวา ฐิตํ วนํ เอกตฺถ กิเตฺตตพฺพํ สิยาฯ อิธ ปน อโนฺตปิ วนตฺตา ‘‘วนํ น กิเตฺตตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํฯ สเจ หิ ตํ กิเตฺตนฺติ, ‘‘นิมิตฺตสฺส อุปริ วิหาโร โหตี’’ติอาทินา อนนฺตเร วุตฺตโทสํ อาปชฺชติฯ เอกเทสนฺติ วเนกเทสํ, รุกฺขวิรหิตฎฺฐาเน กตวิหารสฺส เอกปเสฺส ฐิตวนสฺส เอกเทสนฺติ อโตฺถฯ

    Antosārānanti tasmiṃ khaṇe taruṇatāya sāre avijjamānepi pariṇāmena bhavissamānasārepi sandhāya vuttaṃ. Tādisānañhi sūcidaṇḍakappamāṇapariṇāhānaṃ catupañcamattampi vanaṃ vaṭṭati. Antosāramissakānanti antosārehi rukkhehi sammissānaṃ. Etena ca sārarukkhamissampi vanaṃ vaṭṭatīti dasseti. Catupañcarukkhamattampīti sārarukkhe sandhāya vuttaṃ. Vanamajjhe vihāraṃ karontīti rukkhaghaṭāya antare rukkhe acchinditvā vatiādīhi vihāraparicchedaṃ katvāva antorukkhantaresu eva pariveṇapaṇṇasālādīnaṃ karaṇavasena yathā antovihārampi vanameva hoti, evaṃ vihāraṃ karontīti attho. Yadi hi sabbaṃ rukkhaṃ chinditvā vihāraṃ kareyyuṃ, vihārassa avanattā taṃ parikkhipitvā ṭhitaṃ vanaṃ ekattha kittetabbaṃ siyā. Idha pana antopi vanattā ‘‘vanaṃ na kittetabba’’nti vuttaṃ. Sace hi taṃ kittenti, ‘‘nimittassa upari vihāro hotī’’tiādinā anantare vuttadosaṃ āpajjati. Ekadesanti vanekadesaṃ, rukkhavirahitaṭṭhāne katavihārassa ekapasse ṭhitavanassa ekadesanti attho.

    สูจิทณฺฑกปฺปมาโณติ วํสทณฺฑปฺปมาโณฯ เลขนิทณฺฑปฺปมาโณติ เกจิฯ มาติกาฎฺฐกถายํ ปน อเวภงฺคิยวินิจฺฉเย ‘‘โย โกจิ อฎฺฐงฺคุลสูจิทณฺฑกมโตฺตปิ เวฬุ…เป.… ครุภณฺฑ’’นฺติ (กงฺขา. อฎฺฐ. ทุพฺพตฺตสิกฺขาปทวณฺณนา) วุตฺตตฺตา ตนุตโร เวฬุทโณฺฑติ จ สูจิทโณฺฑติ จ คเหตพฺพํฯ วํสนฬกสราวาทีสูติ เวฬุปเพฺพ วา นฬปเพฺพ วา กปลฺลกาทิมตฺติกภาชเนสุ วาติ อโตฺถฯ ตงฺขณมฺปีติ ตรุณโปตเก อมิลายิตฺวา วิรุหนชาติเก สนฺธาย วุตฺตํฯ เย ปน ปริณตา สมูลํ อุทฺธริตฺวา โรปิตาปิ ฉินฺนสาขา วิย มิลายิตฺวา จิเรน นวมูลงฺกุรุปฺปตฺติยา ชีวนฺติ, มียนฺติเยว วา, ตาทิเส กิเตฺตตุํ น วฎฺฎติฯ เอตนฺติ นวมูลสาขานิคฺคมนํฯ

    Sūcidaṇḍakappamāṇoti vaṃsadaṇḍappamāṇo. Lekhanidaṇḍappamāṇoti keci. Mātikāṭṭhakathāyaṃ pana avebhaṅgiyavinicchaye ‘‘yo koci aṭṭhaṅgulasūcidaṇḍakamattopi veḷu…pe… garubhaṇḍa’’nti (kaṅkhā. aṭṭha. dubbattasikkhāpadavaṇṇanā) vuttattā tanutaro veḷudaṇḍoti ca sūcidaṇḍoti ca gahetabbaṃ. Vaṃsanaḷakasarāvādīsūti veḷupabbe vā naḷapabbe vā kapallakādimattikabhājanesu vāti attho. Taṅkhaṇampīti taruṇapotake amilāyitvā viruhanajātike sandhāya vuttaṃ. Ye pana pariṇatā samūlaṃ uddharitvā ropitāpi chinnasākhā viya milāyitvā cirena navamūlaṅkuruppattiyā jīvanti, mīyantiyeva vā, tādise kittetuṃ na vaṭṭati. Etanti navamūlasākhāniggamanaṃ.

    มเชฺฌติ สีมาย มหาทิสานํ อโนฺตฯ โกณนฺติ สีมาย จตูสุ โกเณสุ ทฺวินฺนํ ทฺวินฺนํ มคฺคานํ สมฺพนฺธฎฺฐานํฯ ปรภาเค กิเตฺตตุํ วฎฺฎตีติ เตสํ จตุนฺนํ โกณานํ พหิ นิกฺขมิตฺวา ฐิเตสุ มเคฺคสุ เอกิสฺสา ทิสาย เอกํ, อญฺญิสฺสา ทิสาย จาปรนฺติ เอวํ จตฺตาโรปิ มคฺคา จตูสุ ทิสาสุ กิเตฺตตุํ วฎฺฎตีติ อธิปฺปาโยฯ เอวํ ปน กิตฺติตมเตฺตน กถํ เอกาพทฺธตา วิคจฺฉตีติ วิญฺญายตีติฯ ปรโต คตฎฺฐาเนปิ เอเต เอว เต จตฺตาโร มคฺคาฯ ‘‘จตูสุ ทิสาสุ คจฺฉนฺตี’’ติ หิ วุตฺตํฯ ตสฺมา เอตฺถ การณํ วิจินิตพฺพํฯ

    Majjheti sīmāya mahādisānaṃ anto. Koṇanti sīmāya catūsu koṇesu dvinnaṃ dvinnaṃ maggānaṃ sambandhaṭṭhānaṃ. Parabhāge kittetuṃ vaṭṭatīti tesaṃ catunnaṃ koṇānaṃ bahi nikkhamitvā ṭhitesu maggesu ekissā disāya ekaṃ, aññissā disāya cāparanti evaṃ cattāropi maggā catūsu disāsu kittetuṃ vaṭṭatīti adhippāyo. Evaṃ pana kittitamattena kathaṃ ekābaddhatā vigacchatīti viññāyatīti. Parato gataṭṭhānepi ete eva te cattāro maggā. ‘‘Catūsu disāsu gacchantī’’ti hi vuttaṃ. Tasmā ettha kāraṇaṃ vicinitabbaṃ.

    ‘‘อุตฺตรนฺติยา ภิกฺขุนิยา’’ติ อิทญฺจ ปาฬิยํ (ปาจิ. ๖๙๒) ภิกฺขุนีนํ นทีปารคมเน นทิลกฺขณสฺส อาคตตฺตา วุตฺตํฯ ภิกฺขูนํ อนฺตรวาสกเตมนมตฺตมฺปิ วฎฺฎติ เอว ฯ ‘‘นทิจตุเกฺกปิ เอเสว นโย’’ติ อิมินา เอกตฺถ กิเตฺตตฺวา อญฺญตฺถ ปรโต คตฎฺฐาเนปิ กิเตฺตตุํ น วฎฺฎตีติ ทเสฺสติฯ เตเนว จ ‘‘อสฺสมฺมิสฺสนทิโย จตโสฺสปิ กิเตฺตตุํ วฎฺฎตี’’ติ อสมฺมิสฺส-คฺคหณํ กตํฯ มูเลติ อาทิกาเลฯ นทิํ ภินฺทิตฺวาติ ยถา อุทกํ อนิจฺฉเนฺตหิ กสฺสเกหิ มโหเฆ นิวเตฺตตุํ น สกฺกา, เอวํ นทิกูลํ ภินฺทิตฺวาฯ

    ‘‘Uttarantiyā bhikkhuniyā’’ti idañca pāḷiyaṃ (pāci. 692) bhikkhunīnaṃ nadīpāragamane nadilakkhaṇassa āgatattā vuttaṃ. Bhikkhūnaṃ antaravāsakatemanamattampi vaṭṭati eva . ‘‘Nadicatukkepi eseva nayo’’ti iminā ekattha kittetvā aññattha parato gataṭṭhānepi kittetuṃ na vaṭṭatīti dasseti. Teneva ca ‘‘assammissanadiyo catassopi kittetuṃ vaṭṭatī’’ti asammissa-ggahaṇaṃ kataṃ. Mūleti ādikāle. Nadiṃ bhinditvāti yathā udakaṃ anicchantehi kassakehi mahoghe nivattetuṃ na sakkā, evaṃ nadikūlaṃ bhinditvā.

    อุเกฺขปิมนฺติ ทีฆรชฺชุนา กุเฎน อุสฺสิญฺจนียํฯ

    Ukkhepimanti dīgharajjunā kuṭena ussiñcanīyaṃ.

    อสมฺมิเสฺสหีติ สพฺพทิสาสุ ฐิตปพฺพเตหิ เอว, ปาสาณาทีสุ อญฺญตเรหิ วา นิมิตฺตนฺตราพฺยวหิเตหิฯ สมฺมิเสฺสหีติ เอกตฺถ ปพฺพโต, อญฺญตฺถ ปาสาโณติ เอวํ ฐิเตหิ อฎฺฐหิปิฯ ‘‘นิมิตฺตานํ สเตนาปี’’ติ อิมินา เอกิสฺสาย เอว ทิสาย พหุนิมิตฺตานิ ‘‘ปุรตฺถิมาย ทิสาย กิํ นิมิตฺตํ? ปพฺพโต ภเนฺตฯ ปุน ปุรตฺถิมาย ทิสาย กิํ นิมิตฺตํ? ปาสาโณ ภเนฺต’’ติอาทินา กิเตฺตตุํ วฎฺฎตีติ ทเสฺสติฯ สิงฺฆาฎกสณฺฐานาติ ติโกณาฯ จตุรสฺสาติ สมจตุรสฺสา, มุทิงฺคสณฺฐานา ปน อายตจตุรสฺสาฯ เอกโกฎิยํ สโงฺกจิตา, ตทญฺญาย วิตฺถิณฺณา วา โหตีติฯ สีมาย อุปจารํ ฐเปตฺวาติ อายติํ พนฺธิตพฺพาย สีมาย เนสํ วิหารานํ ปริเจฺฉทโต พหิ สีมนฺตริกปฺปโหนกํ อุปจารํ ฐเปตฺวาฯ พทฺธา สีมา เยสุ วิหาเรสุ, เต พทฺธสีมาปาเฎกฺกนฺติ ปเจฺจกํฯ พทฺธสีมาสทิสานีติ ยถา พทฺธสีมาสุ ฐิตา อญฺญมญฺญํ ฉนฺทาทิํ อนเปกฺขิตฺวา ปเจฺจกํ กมฺมํ กาตุํ ลภนฺติ, เอวํ คามสีมาสุ ฐิตาปีติ ทเสฺสติฯ อาคนฺตพฺพนฺติ สามีจิมตฺตวเสน วุตฺตํฯ เตนาห ‘‘อาคมนมฺปี’’ติอาทิฯ

    Asammissehīti sabbadisāsu ṭhitapabbatehi eva, pāsāṇādīsu aññatarehi vā nimittantarābyavahitehi. Sammissehīti ekattha pabbato, aññattha pāsāṇoti evaṃ ṭhitehi aṭṭhahipi. ‘‘Nimittānaṃ satenāpī’’ti iminā ekissāya eva disāya bahunimittāni ‘‘puratthimāya disāya kiṃ nimittaṃ? Pabbato bhante. Puna puratthimāya disāya kiṃ nimittaṃ? Pāsāṇo bhante’’tiādinā kittetuṃ vaṭṭatīti dasseti. Siṅghāṭakasaṇṭhānāti tikoṇā. Caturassāti samacaturassā, mudiṅgasaṇṭhānā pana āyatacaturassā. Ekakoṭiyaṃ saṅkocitā, tadaññāya vitthiṇṇā vā hotīti. Sīmāya upacāraṃ ṭhapetvāti āyatiṃ bandhitabbāya sīmāya nesaṃ vihārānaṃ paricchedato bahi sīmantarikappahonakaṃ upacāraṃ ṭhapetvā. Baddhā sīmā yesu vihāresu, te baddhasīmā. Pāṭekkanti paccekaṃ. Baddhasīmāsadisānīti yathā baddhasīmāsu ṭhitā aññamaññaṃ chandādiṃ anapekkhitvā paccekaṃ kammaṃ kātuṃ labhanti, evaṃ gāmasīmāsu ṭhitāpīti dasseti. Āgantabbanti sāmīcimattavasena vuttaṃ. Tenāha ‘‘āgamanampī’’tiādi.

    ปพฺพชฺชูปสมฺปทาทีนนฺติ เอตฺถ ภณฺฑุกมฺมาปุจฺฉนํ สนฺธาย ปพฺพชฺชาคหณํฯ เอกวีสติ ภิกฺขูติ นิสิเนฺน สนฺธาย วุตฺตํฯ อิทญฺจ กมฺมารเหน สห อพฺภานการกานมฺปิ ปโหนกตฺถํ วุตฺตํฯ ‘‘นิมิตฺตุปคา ปาสาณา ฐเปตพฺพา’’ติ อิทํ ยถารุจิตฎฺฐาเน รุกฺขนิมิตฺตาทีนํ ทุลฺลภตาย วฑฺฒิตฺวา อุภินฺนํ พทฺธสีมานํ สงฺกรกรณโต จ ปาสาณนิมิตฺตสฺส จ ตทภาวโต ยตฺถ กตฺถจิ อาเนตฺวา ฐเปตุํ สุกรตาย จ วุตฺตํฯ ตถา สีมนฺตริกปาสาณา ฐเปตพฺพาติ เอตฺถาปิฯ จตุรงฺคุลปฺปมาณาปีติ ยถา ขนฺธสีมาปริเจฺฉทโต พหิ นิมิตฺตปาสาณานํ จตุรงฺคุลมตฺตฎฺฐานํ สมนฺตา นิคจฺฉติ, อวเสสํ ฐานํ อโนฺตขนฺธสีมาย โหติเยว, เอวํ เตสุปิ ฐปิเตสุ จตุรงฺคุลมตฺตา สีมนฺตริกา โหตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Pabbajjūpasampadādīnanti ettha bhaṇḍukammāpucchanaṃ sandhāya pabbajjāgahaṇaṃ. Ekavīsati bhikkhūti nisinne sandhāya vuttaṃ. Idañca kammārahena saha abbhānakārakānampi pahonakatthaṃ vuttaṃ. ‘‘Nimittupagā pāsāṇā ṭhapetabbā’’ti idaṃ yathārucitaṭṭhāne rukkhanimittādīnaṃ dullabhatāya vaḍḍhitvā ubhinnaṃ baddhasīmānaṃ saṅkarakaraṇato ca pāsāṇanimittassa ca tadabhāvato yattha katthaci ānetvā ṭhapetuṃ sukaratāya ca vuttaṃ. Tathā sīmantarikapāsāṇā ṭhapetabbāti etthāpi. Caturaṅgulappamāṇāpīti yathā khandhasīmāparicchedato bahi nimittapāsāṇānaṃ caturaṅgulamattaṭṭhānaṃ samantā nigacchati, avasesaṃ ṭhānaṃ antokhandhasīmāya hotiyeva, evaṃ tesupi ṭhapitesu caturaṅgulamattā sīmantarikā hotīti daṭṭhabbaṃ.

    สีมนฺตริกปาสาณาติ สีมนฺตริกาย ฐปิตนิมิตฺตปาสาณาฯ เต ปน กิเตฺตเนฺตน ปทกฺขิณโต อนุปริยายเนฺตเนว กิเตฺตตพฺพาฯ กถํ? ขณฺฑสีมโต หิ ปจฺฉิมาย ทิสาย ปุรตฺถาภิมุเขน ฐตฺวา ‘‘ปุรตฺถิมาย ทิสาย กิํ นิมิตฺต’’นฺติ ตตฺถ สพฺพานิ นิมิตฺตานิ อนุกฺกเมน กิเตฺตตฺวา ตถา อุตฺตราย ทิสาย ทกฺขิณาภิมุเขน ฐตฺวา ‘‘ทกฺขิณาย ทิสาย กิํ นิมิตฺต’’นฺติ อนุกฺกเมน กิเตฺตตฺวา ตถา ปุรตฺถิมาย ทิสาย ปจฺฉิมาภิมุเขน ฐตฺวา ‘‘ปจฺฉิมาย ทิสาย กิํ นิมิตฺต’’นฺติ อนุกฺกเมน กิเตฺตตฺวา ตถา ทกฺขิณาย ทิสาย อุตฺตราภิมุเขน ฐตฺวา ‘‘อุตฺตราย ทิสาย กิํ นิมิตฺต’’นฺติ ตตฺถ สพฺพานิ นิมิตฺตานิ อนุกฺกเมน กิเตฺตตฺวา ปุน ปจฺฉิมาย ทิสาย ปุรตฺถาภิมุเขน ฐตฺวา ปุริมกิตฺติตํ วุตฺตนเยน ปุน กิเตฺตตพฺพํฯ เอวํ พหูนมฺปิ ขณฺฑสีมานํ สีมนฺตริกปาสาณา ปเจฺจกํ กิเตฺตตพฺพาฯ ตโตติ ปจฺฉาฯ อวเสสนิมิตฺตานีติ มหาสีมาย พาหิรนฺตเรสุ อวเสสนิมิตฺตานิฯ อุภินฺนมฺปิ น โกเปนฺตีติ อุภินฺนมฺปิ กมฺมํ น โกเปนฺติฯ

    Sīmantarikapāsāṇāti sīmantarikāya ṭhapitanimittapāsāṇā. Te pana kittentena padakkhiṇato anupariyāyanteneva kittetabbā. Kathaṃ? Khaṇḍasīmato hi pacchimāya disāya puratthābhimukhena ṭhatvā ‘‘puratthimāya disāya kiṃ nimitta’’nti tattha sabbāni nimittāni anukkamena kittetvā tathā uttarāya disāya dakkhiṇābhimukhena ṭhatvā ‘‘dakkhiṇāya disāya kiṃ nimitta’’nti anukkamena kittetvā tathā puratthimāya disāya pacchimābhimukhena ṭhatvā ‘‘pacchimāya disāya kiṃ nimitta’’nti anukkamena kittetvā tathā dakkhiṇāya disāya uttarābhimukhena ṭhatvā ‘‘uttarāya disāya kiṃ nimitta’’nti tattha sabbāni nimittāni anukkamena kittetvā puna pacchimāya disāya puratthābhimukhena ṭhatvā purimakittitaṃ vuttanayena puna kittetabbaṃ. Evaṃ bahūnampi khaṇḍasīmānaṃ sīmantarikapāsāṇā paccekaṃ kittetabbā. Tatoti pacchā. Avasesanimittānīti mahāsīmāya bāhirantaresu avasesanimittāni. Ubhinnampi na kopentīti ubhinnampi kammaṃ na kopenti.

    กุฎิเคเหติ ภูมิยํ กตติณกุฎิยํฯ อุทุกฺขลนฺติ อุทุกฺขลาวาฎสทิสขุทฺทกาวาฎํฯ นิมิตฺตํ น กาตพฺพนฺติ ตํ ราชิํ วา อุทุกฺขลํ วา นิมิตฺตํ น กาตพฺพํฯ อิทญฺจ ยถาวุเตฺตสุ นิมิเตฺตสุ อนาคตเตฺตน น วฎฺฎตีติ สิทฺธมฺปิ อวินสฺสกสญฺญาย โกจิ โมเหน นิมิตฺตํ กเรยฺยาติ ทูรโตปิ วิปตฺติปริหารตฺถํ วุตฺตํฯ เอวํ อุปริ ‘‘ภิตฺติํ อกิเตฺตตฺวา’’ติอาทีสุปิ สิทฺธเมวตฺถํ ปุนปฺปุนํ กถเน การณํ เวทิตพฺพํฯ สีมาวิปตฺติ หิ อุปสมฺปทาทิสพฺพกมฺมวิปตฺติมูลนฺติ ตสฺสา สพฺพํ ทฺวารํ สพฺพถา ปิทหนวเสน วตฺตพฺพํฯ สพฺพํ วตฺวาว อิธ อาจริยา วินิจฺฉยํ ฐเปสุนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Kuṭigeheti bhūmiyaṃ katatiṇakuṭiyaṃ. Udukkhalanti udukkhalāvāṭasadisakhuddakāvāṭaṃ. Nimittaṃ na kātabbanti taṃ rājiṃ vā udukkhalaṃ vā nimittaṃ na kātabbaṃ. Idañca yathāvuttesu nimittesu anāgatattena na vaṭṭatīti siddhampi avinassakasaññāya koci mohena nimittaṃ kareyyāti dūratopi vipattiparihāratthaṃ vuttaṃ. Evaṃ upari ‘‘bhittiṃ akittetvā’’tiādīsupi siddhamevatthaṃ punappunaṃ kathane kāraṇaṃ veditabbaṃ. Sīmāvipatti hi upasampadādisabbakammavipattimūlanti tassā sabbaṃ dvāraṃ sabbathā pidahanavasena vattabbaṃ. Sabbaṃ vatvāva idha ācariyā vinicchayaṃ ṭhapesunti daṭṭhabbaṃ.

    ภิตฺตินฺติ อิฎฺฐกทารุมตฺติกามยํฯ สิลามยาย ปน ภิตฺติยา นิมิตฺตุปคํ เอกํ ปาสาณํ ตํตํทิสาย กิเตฺตตุํ วฎฺฎติฯ อเนกสิลาหิ จินิตํ สกลภิตฺติํ กิเตฺตตุํ น วฎฺฎติ ‘‘เอโส ปาสาโณ นิมิตฺต’’นฺติ เอกวจเนน วตฺตพฺพโตฯ อโนฺตกุฎฺฎเมวาติ เอตฺถ อโนฺตกุเฎฺฎปิ นิมิตฺตานํ ฐิโตกาสโต อโนฺต เอว สีมาติ คเหตพฺพํฯ ปมุเข นิมิตฺตปาสาเณ ฐเปตฺวาติ คพฺภาภิมุเขปิ พหิปมุเข คพฺภวิตฺถารปฺปมาเณ ฐาเน ปาสาเณ ฐเปตฺวา สมฺมนฺนิตพฺพาฯ เอวญฺหิ คพฺภปมุขานํ อนฺตเร ฐิตกุฎฺฎมฺปิ อุปาทาย อโนฺต จ พหิ จ จตุรสฺสสณฺฐานาว สีมา โหติฯ พหีติ สกลสฺส กุฎิเคหสฺส สมนฺตโต พหิฯ

    Bhittinti iṭṭhakadārumattikāmayaṃ. Silāmayāya pana bhittiyā nimittupagaṃ ekaṃ pāsāṇaṃ taṃtaṃdisāya kittetuṃ vaṭṭati. Anekasilāhi cinitaṃ sakalabhittiṃ kittetuṃ na vaṭṭati ‘‘eso pāsāṇo nimitta’’nti ekavacanena vattabbato. Antokuṭṭamevāti ettha antokuṭṭepi nimittānaṃ ṭhitokāsato anto eva sīmāti gahetabbaṃ. Pamukhe nimittapāsāṇe ṭhapetvāti gabbhābhimukhepi bahipamukhe gabbhavitthārappamāṇe ṭhāne pāsāṇe ṭhapetvā sammannitabbā. Evañhi gabbhapamukhānaṃ antare ṭhitakuṭṭampi upādāya anto ca bahi ca caturassasaṇṭhānāva sīmā hoti. Bahīti sakalassa kuṭigehassa samantato bahi.

    อโนฺต จ พหิ จ สีมา โหตีติ มเชฺฌ ฐิตภิตฺติยา สห จตุรสฺสสีมา โหติฯ

    Antoca bahi ca sīmā hotīti majjhe ṭhitabhittiyā saha caturassasīmā hoti.

    ‘‘อุปริปาสาเทเยว โหตี’’ติ อิมินา คพฺภสฺส จ ปมุขสฺส จ อนฺตรา ฐิตภิตฺติยา เอกตฺตา ตตฺถ จ เอกวีสติยา ภิกฺขูนํ โอกาสาภาเวน เหฎฺฐา น โอตรติ, อุปริภิตฺติ ปน สีมฎฺฐาว โหตีติ ทเสฺสติฯ เหฎฺฐิมตเล กุโฎฺฎติ เหฎฺฐิมตเล จตูสุ ทิสาสุ ฐิตกุโฎฺฎฯ สเจ หิ ทฺวีสุ, ตีสุ วา ทิสาสุ เอว กุโฎฺฎ ติเฎฺฐยฺย, เหฎฺฐา น โอตรติฯ เหฎฺฐาปิ โอตรตีติ จตุนฺนมฺปิ ภิตฺตีนํ อโนฺต ภิตฺตีหิ สห เอกวีสติยา ภิกฺขูนํ ปโหนกตฺตา วุตฺตํฯ โอตรมานา จ อุปริสีมปฺปมาเณน โอตรติ, จตุนฺนํ ปน ภิตฺตีนํ พาหิรนฺตรปริเจฺฉเท เหฎฺฐาภูมิภาเค อุทกปริยนฺตํ กตฺวา โอตรติฯ น ปน ภิตฺตีนํ พหิ เกสคฺคมตฺตมฺปิ ฐานํฯ ปาสาทภิตฺติโตติ อุปริตเล ภิตฺติโตฯ โอตรณาโนตรณํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพนฺติ อุปริสีมปฺปมาณสฺส อโนฺตคธานํ เหฎฺฐิมตเล จตูสุ ทิสาสุ กุฎฺฎานํ ตุลารุเกฺขหิ เอกสมฺพนฺธตํ ตทโนฺต ปจฺฉิมสีมปฺปมาณตาทิญฺจ สนฺธาย วุตฺตํฯ กิญฺจาเปตฺถ นิยฺยูหกาทโย นิมิตฺตานํ ฐิโตกาสตาย พชฺฌมานกฺขเณ สีมา น โหนฺติ, พทฺธาย ปน สีมาย สีมฎฺฐาว โหนฺตีติ ทฎฺฐพฺพาฯ ปริยนฺตถมฺภานนฺติ นิมิตฺตคตปาสาณตฺถเมฺภ สนฺธาย วุตฺตํฯ ‘‘อุปริมตเลน สมฺพโทฺธ โหตี’’ติ อิทํ กุฎฺฎานํ อนฺตรา สีมฎฺฐานํ ถมฺภานํ อภาวโต วุตฺตํฯ ยทิ หิ ภเวยฺยุํ, กุเฎฺฎ อุปริมตเลน อสมฺพเนฺธปิ สีมฎฺฐตฺถมฺภานํ อุปริ ฐิโต ปาสาโท สีมโฎฺฐว โหติฯ

    ‘‘Uparipāsādeyeva hotī’’ti iminā gabbhassa ca pamukhassa ca antarā ṭhitabhittiyā ekattā tattha ca ekavīsatiyā bhikkhūnaṃ okāsābhāvena heṭṭhā na otarati, uparibhitti pana sīmaṭṭhāva hotīti dasseti. Heṭṭhimatale kuṭṭoti heṭṭhimatale catūsu disāsu ṭhitakuṭṭo. Sace hi dvīsu, tīsu vā disāsu eva kuṭṭo tiṭṭheyya, heṭṭhā na otarati. Heṭṭhāpi otaratīti catunnampi bhittīnaṃ anto bhittīhi saha ekavīsatiyā bhikkhūnaṃ pahonakattā vuttaṃ. Otaramānā ca uparisīmappamāṇena otarati, catunnaṃ pana bhittīnaṃ bāhirantaraparicchede heṭṭhābhūmibhāge udakapariyantaṃ katvā otarati. Na pana bhittīnaṃ bahi kesaggamattampi ṭhānaṃ. Pāsādabhittitoti uparitale bhittito. Otaraṇānotaraṇaṃ vuttanayeneva veditabbanti uparisīmappamāṇassa antogadhānaṃ heṭṭhimatale catūsu disāsu kuṭṭānaṃ tulārukkhehi ekasambandhataṃ tadanto pacchimasīmappamāṇatādiñca sandhāya vuttaṃ. Kiñcāpettha niyyūhakādayo nimittānaṃ ṭhitokāsatāya bajjhamānakkhaṇe sīmā na honti, baddhāya pana sīmāya sīmaṭṭhāva hontīti daṭṭhabbā. Pariyantathambhānanti nimittagatapāsāṇatthambhe sandhāya vuttaṃ. ‘‘Uparimatalena sambaddho hotī’’ti idaṃ kuṭṭānaṃ antarā sīmaṭṭhānaṃ thambhānaṃ abhāvato vuttaṃ. Yadi hi bhaveyyuṃ, kuṭṭe uparimatalena asambandhepi sīmaṭṭhatthambhānaṃ upari ṭhito pāsādo sīmaṭṭhova hoti.

    สเจ ปน พหูนํ ถมฺภปนฺตีนํ อุปริ กตปาสาทสฺส เหฎฺฐา ปถวิยํ สพฺพพาหิราย ถมฺภปนฺติยา อโนฺต นิมิตฺตปาสาเณ ฐเปตฺวา สีมา พทฺธา โหติ, เอตฺถ กถนฺติ? เอตฺถาปิ ยํ ตาว สีมฎฺฐตฺถเมฺภเหว ธาริยมานานํ ตุลานํ อุปริมตลํ, สพฺพํ ตํ สีมฎฺฐเมว, เอตฺถ วิวาโท นตฺถิฯ ยํ ปน สีมฎฺฐตฺถมฺภปนฺติยา, อสีมฎฺฐาย พาหิรตฺถมฺภปนฺติยา จ สมธุรํ ธาริยมานานํ ตุลานํ อุปริมตลํ, ตตฺถ อุปฑฺฒํ สีมาติ เกจิ วทนฺติฯ สกลมฺปิ คามสีมาติ อปเรฯ พทฺธสีมา เอวาติ อเญฺญฯ ตสฺมา กมฺมํ กโรเนฺตหิ ครุเก นิราสงฺกฎฺฐาเน ฐตฺวา สพฺพํ ตํ อาสงฺกฎฺฐานํ โสเธตฺวาว กมฺมํ กาตพฺพํ, สนฺนิฎฺฐานการณํ วา คเวสิตฺวา ตทนุคุณํ กาตพฺพํฯ

    Sace pana bahūnaṃ thambhapantīnaṃ upari katapāsādassa heṭṭhā pathaviyaṃ sabbabāhirāya thambhapantiyā anto nimittapāsāṇe ṭhapetvā sīmā baddhā hoti, ettha kathanti? Etthāpi yaṃ tāva sīmaṭṭhatthambheheva dhāriyamānānaṃ tulānaṃ uparimatalaṃ, sabbaṃ taṃ sīmaṭṭhameva, ettha vivādo natthi. Yaṃ pana sīmaṭṭhatthambhapantiyā, asīmaṭṭhāya bāhiratthambhapantiyā ca samadhuraṃ dhāriyamānānaṃ tulānaṃ uparimatalaṃ, tattha upaḍḍhaṃ sīmāti keci vadanti. Sakalampi gāmasīmāti apare. Baddhasīmā evāti aññe. Tasmā kammaṃ karontehi garuke nirāsaṅkaṭṭhāne ṭhatvā sabbaṃ taṃ āsaṅkaṭṭhānaṃ sodhetvāva kammaṃ kātabbaṃ, sanniṭṭhānakāraṇaṃ vā gavesitvā tadanuguṇaṃ kātabbaṃ.

    ตาลมูลกปพฺพเตติ ตาลกฺขนฺธมูลสทิเส เหฎฺฐา ถูโล หุตฺวา กเมน กิโส หุตฺวา อุคฺคโต หิ ตาลสทิโส นาม โหติฯ วิตานสณฺฐาโนติ อหิจฺฉตฺตกสณฺฐาโนฯ ปณวสณฺฐาโนติ มเชฺฌ ตนุโก เหฎฺฐา จ อุปริ จ วิตฺถิโณฺณฯ เหฎฺฐา วา มเชฺฌ วาติ มุทิงฺคสณฺฐานสฺส เหฎฺฐา, ปณวสณฺฐานสฺส มเชฺฌฯ

    Tālamūlakapabbateti tālakkhandhamūlasadise heṭṭhā thūlo hutvā kamena kiso hutvā uggato hi tālasadiso nāma hoti. Vitānasaṇṭhānoti ahicchattakasaṇṭhāno. Paṇavasaṇṭhānoti majjhe tanuko heṭṭhā ca upari ca vitthiṇṇo. Heṭṭhā vā majjhe vāti mudiṅgasaṇṭhānassa heṭṭhā, paṇavasaṇṭhānassa majjhe.

    สปฺปผณสทิโส ปพฺพโตติ สปฺปผโณ วิย ขุโชฺช, มูลฎฺฐานโต อญฺญตฺถ อวนตสีโสติ อโตฺถฯ อากาสปพฺภารนฺติ ภิตฺติยา อปริกฺขิตฺตปพฺภารํฯ สีมปฺปมาโณติ อโนฺตอากาเสน สทฺธิํ ปจฺฉิมสีมปฺปมาโณฯ ‘‘โส จ ปาสาโณ สีมโฎฺฐ’’ติ อิมินา อีทิเสหิ สุสิรปาสาณเลณกุฎฺฎาทีหิ ปริจฺฉิเนฺน ภูมิภาเค เอว สีมา ปติฎฺฐาติ, น อปริจฺฉิเนฺนฯ เต ปน สีมฎฺฐตฺตา สีมา โหนฺติ, น สรูเปน สีมฎฺฐมญฺจาทิ วิยาติ ทเสฺสติฯ สเจ ปน โส สุสิรปาสาโณ ภูมิํ อนาหจฺจ อากาสคโตว โอลมฺพติ, สีมา น โอตรติฯ สุสิรปาสาณา ปน สยํ สีมาปฎิพทฺธตฺตา สีมา โหนฺติฯ กถํ ปน ปจฺฉิมปฺปมาณรหิเตหิ เอเตหิ สุสิรปาสาณาทีหิ สีมา น โอตรตีติ อิทํ สทฺธาตพฺพนฺติ? อฎฺฐกถาปมาณโตฯ

    Sappaphaṇasadiso pabbatoti sappaphaṇo viya khujjo, mūlaṭṭhānato aññattha avanatasīsoti attho. Ākāsapabbhāranti bhittiyā aparikkhittapabbhāraṃ. Sīmappamāṇoti antoākāsena saddhiṃ pacchimasīmappamāṇo. ‘‘So ca pāsāṇo sīmaṭṭho’’ti iminā īdisehi susirapāsāṇaleṇakuṭṭādīhi paricchinne bhūmibhāge eva sīmā patiṭṭhāti, na aparicchinne. Te pana sīmaṭṭhattā sīmā honti, na sarūpena sīmaṭṭhamañcādi viyāti dasseti. Sace pana so susirapāsāṇo bhūmiṃ anāhacca ākāsagatova olambati, sīmā na otarati. Susirapāsāṇā pana sayaṃ sīmāpaṭibaddhattā sīmā honti. Kathaṃ pana pacchimappamāṇarahitehi etehi susirapāsāṇādīhi sīmā na otaratīti idaṃ saddhātabbanti? Aṭṭhakathāpamāṇato.

    อปิเจตฺถ สุสิรปาสาณภิตฺติอนุสาเรน มูสิกาทีนํ วิย สีมาย เหฎฺฐิมตเล โอตรณกิจฺจํ นตฺถิฯ เหฎฺฐา ปน ปจฺฉิมสีมปฺปมาเณ อากาเส ทฺวงฺคุลมตฺตพหเลหิ ปาสาณภิตฺติอาทีหิปิ อุปริมตลํ อาหจฺจ ฐิเตหิ สพฺพโส, เยภุเยฺยน วา ปริจฺฉิเนฺน สติ อุปริ พชฺฌมานา สีมา เตหิ ปาสาณาทีหิ อนฺตริตาย ตปฺปริจฺฉินฺนาย เหฎฺฐาภูมิยาปิ อุปริมตเลน สทฺธิํ เอกกฺขเณ ปติฎฺฐาติ นทิปารสีมา วิย นทิอนฺตริเตสุ อุโภสุ ตีเรสุ, เลณาทีสุ อปนีเตสุปิ เหฎฺฐา โอติณฺณา สีมา ยาว สาสนนฺตรธานา น วิคจฺฉติฯ ปฐมํ ปน อุปริ สีมาย พทฺธาย ปจฺฉา เลณาทีสุ กเตสุปิ เหฎฺฐาภูมิยํ สีมา โอตรติ เอวฯ เกจิ ตํ น อิจฺฉนฺติฯ เอวํ อุภยตฺถ ปติฎฺฐิตา จ สา สีมา เอกาว โหติ โคตฺตาทิชาติ วิย พฺยตฺติเภเทสูติ คเหตพฺพํฯ สพฺพา เอว หิ พทฺธสีมา, อพทฺธสีมา จ อตฺตโน อตฺตโน ปกตินิสฺสยภูเต คามารญฺญนทิอาทิเก เขเตฺต ยถาปริเจฺฉทํ สพฺพตฺถ สากเลฺยน เอกสฺมิํ ขเณ พฺยาปินี ปรมตฺถโต อวิชฺชมานาปิ เต เต นิสฺสยภูเต ปรมตฺถธเมฺม, ตํ ตํ กิริยาวิเสสมฺปิ วา อุปาทาย โลกิเยหิ, สาสนิเกหิ จ ยถารหํ เอกเตฺตน ปญฺญตฺตตาย นิสฺสเยกรูปา เอวฯ ตถา หิ เอโก คาโม อรญฺญํ นที ชาตสฺสโร สมุโทฺทติ เอวํ โลเก,

    Apicettha susirapāsāṇabhittianusārena mūsikādīnaṃ viya sīmāya heṭṭhimatale otaraṇakiccaṃ natthi. Heṭṭhā pana pacchimasīmappamāṇe ākāse dvaṅgulamattabahalehi pāsāṇabhittiādīhipi uparimatalaṃ āhacca ṭhitehi sabbaso, yebhuyyena vā paricchinne sati upari bajjhamānā sīmā tehi pāsāṇādīhi antaritāya tapparicchinnāya heṭṭhābhūmiyāpi uparimatalena saddhiṃ ekakkhaṇe patiṭṭhāti nadipārasīmā viya nadiantaritesu ubhosu tīresu, leṇādīsu apanītesupi heṭṭhā otiṇṇā sīmā yāva sāsanantaradhānā na vigacchati. Paṭhamaṃ pana upari sīmāya baddhāya pacchā leṇādīsu katesupi heṭṭhābhūmiyaṃ sīmā otarati eva. Keci taṃ na icchanti. Evaṃ ubhayattha patiṭṭhitā ca sā sīmā ekāva hoti gottādijāti viya byattibhedesūti gahetabbaṃ. Sabbā eva hi baddhasīmā, abaddhasīmā ca attano attano pakatinissayabhūte gāmāraññanadiādike khette yathāparicchedaṃ sabbattha sākalyena ekasmiṃ khaṇe byāpinī paramatthato avijjamānāpi te te nissayabhūte paramatthadhamme, taṃ taṃ kiriyāvisesampi vā upādāya lokiyehi, sāsanikehi ca yathārahaṃ ekattena paññattatāya nissayekarūpā eva. Tathā hi eko gāmo araññaṃ nadī jātassaro samuddoti evaṃ loke,

    ‘‘สมฺมตา สา สีมา สเงฺฆน (มหาว. ๑๔๓)ฯ อคามเก เจ, ภิกฺขเว, อรเญฺญ สมนฺตา สตฺตพฺภนฺตรา, อยํ ตตฺถ สมานสํวาสา เอกูโปสถาฯ สมนฺตา อุทกุเกฺขปา, อยํ ตตฺถ สมานสํวาสา เอกูโปสถา’’ติ (มหาว. ๑๔๗) –

    ‘‘Sammatā sā sīmā saṅghena (mahāva. 143). Agāmake ce, bhikkhave, araññe samantā sattabbhantarā, ayaṃ tattha samānasaṃvāsā ekūposathā. Samantā udakukkhepā, ayaṃ tattha samānasaṃvāsā ekūposathā’’ti (mahāva. 147) –

    อาทินา สาสเน จ เอกโวหาโร ทิสฺสติฯ น หิ ปรมตฺถโต เอกสฺส อเนกธเมฺมสุ พฺยาปนมตฺถิฯ กสิเณกเทสาทิวิกปฺปาสมานตาย เอกตฺตหานิโตติ อยํ โน มติฯ

    Ādinā sāsane ca ekavohāro dissati. Na hi paramatthato ekassa anekadhammesu byāpanamatthi. Kasiṇekadesādivikappāsamānatāya ekattahānitoti ayaṃ no mati.

    อสฺส เหฎฺฐาติ สปฺปผณปพฺพตสฺส เหฎฺฐา อากาสปพฺภาเรฯ เลณสฺสาติ เลณเญฺจ กตํ, ตสฺส เลณสฺสาติ อโตฺถฯ ตเมว ปุน เลณํ ปญฺจหิ ปกาเรหิ วิกเปฺปตฺวา โอตรณาโนตรณวินิจฺฉยํ ทเสฺสตุํ อาห ‘‘สเจ ปน เหฎฺฐา’’ติอาทิฯ ตตฺถ ‘‘เหฎฺฐา’’ติ อิมสฺส ‘‘เลณํ โหตี’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ เหฎฺฐา เลณญฺจ เอกสฺมิํ ปเทเสติ อาห ‘‘อโนฺต’’ติ, ปพฺพตสฺส อโนฺต, ปพฺพตมูเลติ อโตฺถฯ ตเมว อโนฺต-สทฺทํ สีมาปริเจฺฉเทน วิเสเสตุํ ‘‘อุปริมสฺส สีมาปริเจฺฉทสฺส ปารโต’’ติ วุตฺตํ ฯ ปพฺพตปาทํ ปน อเปกฺขิตฺวา ‘‘โอรโต’’ติ วตฺตเพฺพปิ สีมานิสฺสยํ ปพฺพตคฺคํ สนฺธาย ‘‘ปารโต’’ติ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ เตเนว ‘‘พหิเลณ’’นฺติ เอตฺถ พหิ-สทฺทํ วิเสเสโนฺต ‘‘อุปริมสฺส สีมาปริเจฺฉทสฺส โอรโต’’ติ อาหฯ พหิ สีมา น โอตรตีติ เอตฺถ พหีติ ปพฺพตปาเท เลณํ สนฺธาย วุตฺตํ, เลณสฺส พหิภูเต อุปริสีมาปริเจฺฉทสฺส เหฎฺฐาภาเค สีมา น โอตรตีติ อโตฺถฯ อโนฺต สีมาติ เลณสฺส จ ปพฺพตปาทสฺส จ อโนฺต อตฺตโน โอตรณารหฎฺฐาเน น โอตรตีติ อโตฺถฯ ‘‘พหิ สีมา น โอตรติ, อโนฺต สีมา น โอตรตี’’ติ เจตฺถ อตฺตโน โอตรณารหฎฺฐาเน เลณาภาเวน สีมาย สพฺพถา อโนตรณเมว ทสฺสิตนฺติ คเหตพฺพํฯ ตตฺถาปิ อโนตรนฺตี อุปริ เอว โหตีติฯ ‘‘พหิ ปติตํ อสีมา’’ติอาทินา อุปริปาสาทาทีสุ อถิรนิสฺสเยสุ ฐิตา สีมาปิ เตสํ วินาเสน วินสฺสตีติ ทสฺสิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Assa heṭṭhāti sappaphaṇapabbatassa heṭṭhā ākāsapabbhāre. Leṇassāti leṇañce kataṃ, tassa leṇassāti attho. Tameva puna leṇaṃ pañcahi pakārehi vikappetvā otaraṇānotaraṇavinicchayaṃ dassetuṃ āha ‘‘sace pana heṭṭhā’’tiādi. Tattha ‘‘heṭṭhā’’ti imassa ‘‘leṇaṃ hotī’’ti iminā sambandho. Heṭṭhā leṇañca ekasmiṃ padeseti āha ‘‘anto’’ti, pabbatassa anto, pabbatamūleti attho. Tameva anto-saddaṃ sīmāparicchedena visesetuṃ ‘‘uparimassa sīmāparicchedassa pārato’’ti vuttaṃ . Pabbatapādaṃ pana apekkhitvā ‘‘orato’’ti vattabbepi sīmānissayaṃ pabbataggaṃ sandhāya ‘‘pārato’’ti vuttanti daṭṭhabbaṃ. Teneva ‘‘bahileṇa’’nti ettha bahi-saddaṃ visesento ‘‘uparimassa sīmāparicchedassa orato’’ti āha. Bahi sīmā na otaratīti ettha bahīti pabbatapāde leṇaṃ sandhāya vuttaṃ, leṇassa bahibhūte uparisīmāparicchedassa heṭṭhābhāge sīmā na otaratīti attho. Anto sīmāti leṇassa ca pabbatapādassa ca anto attano otaraṇārahaṭṭhāne na otaratīti attho. ‘‘Bahi sīmā na otarati, anto sīmā na otaratī’’ti cettha attano otaraṇārahaṭṭhāne leṇābhāvena sīmāya sabbathā anotaraṇameva dassitanti gahetabbaṃ. Tatthāpi anotarantī upari eva hotīti. ‘‘Bahi patitaṃ asīmā’’tiādinā uparipāsādādīsu athiranissayesu ṭhitā sīmāpi tesaṃ vināsena vinassatīti dassitanti daṭṭhabbaṃ.

    โปกฺขรณิํ ขณนฺติ, สีมาเยวาติ เอตฺถ สเจ เหฎฺฐา อุมงฺคนทิสีมปฺปมาณโต อนูนา ปฐมเมว จ ปวตฺตา โหติฯ สีมา จ ปจฺฉา พทฺธา นทิโต อุปริ เอว โหติ, นทิํ อาหจฺจ โปกฺขรณิยา จ ขตาย สีมา วินสฺสตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ เหฎฺฐาปถวิตเลติ อนฺตรา ภูมิวิวเรฯ

    Pokkharaṇiṃkhaṇanti, sīmāyevāti ettha sace heṭṭhā umaṅganadisīmappamāṇato anūnā paṭhamameva ca pavattā hoti. Sīmā ca pacchā baddhā nadito upari eva hoti, nadiṃ āhacca pokkharaṇiyā ca khatāya sīmā vinassatīti daṭṭhabbaṃ. Heṭṭhāpathavitaleti antarā bhūmivivare.

    สีมามาฬเกติ ขณฺฑสีมงฺคเณฯ ‘‘วฎรุโกฺข’’ติ อิทํ ปาโรโหปตฺถเมฺภน อติทูรมฺปิ คนฺตุํ สมตฺถสาขาสมงฺคิตาย วุตฺตํฯ สพฺพรุกฺขลตาทีนมฺปิ สมฺพโนฺธ น วฎฺฎติ เอวฯ เตเนว นาวารชฺชุเสตุสมฺพโนฺธปิ ปฎิกฺขิโตฺตฯ ตโตติ สาขโตฯ มหาสีมาย ปถวิตลนฺติ เอตฺถ อาสนฺนตรมฺปิ คามสีมํ อคฺคเหตฺวา พทฺธสีมาย เอว คหิตตฺตา คามสีมาพทฺธสีมานํ อญฺญมญฺญํ รุกฺขาทิสมฺพเนฺธปิ สเมฺภทโทโส นตฺถิ, อญฺญมญฺญํ นิสฺสยนิสฺสิตภาเวน ปวตฺติโตติ คเหตพฺพํฯ ยทิ หิ ตาสมฺปิ สมฺพนฺธโทโส ภเวยฺย, กถํ คามสีมาย พทฺธสีมา สมฺมนฺนิตพฺพา สิยา? ยสฺสา หิ สีมาย สทฺธิํ สมฺพเนฺธ โทโส ภเวยฺย, สา ตตฺถ พนฺธิตุเมว น วฎฺฎติ, พทฺธสีมาอุทกุเกฺขปสีมาสุ พทฺธสีมา วิย, อตฺตโน นิสฺสยภูตคามสีมาทีสุ อุทกุเกฺขปสีมา วิย จฯ เตเนว ‘‘สเจ ปน รุกฺขสฺส สาขา วา ตโต นิกฺขนฺตปาโรโห วา พหินทิตีเร วิหารสีมาย วา คามสีมาย วา ปติฎฺฐิโต’’ติอาทินา (มหาว. อฎฺฐ. ๑๔๗) อุทกุเกฺขปสีมาย อตฺตโน อนิสฺสยภูตคามสีมาทีหิ เอว สมฺพนฺธโทโส ทสฺสิโต, น นทิสีมายํฯ เอวมิธาปีติ ทฎฺฐพฺพํฯ อยญฺจโตฺถ อุปริ ปากโฎ ภวิสฺสติฯ อาหจฺจาติ ผุสิตฺวาฯ

    Sīmāmāḷaketi khaṇḍasīmaṅgaṇe. ‘‘Vaṭarukkho’’ti idaṃ pārohopatthambhena atidūrampi gantuṃ samatthasākhāsamaṅgitāya vuttaṃ. Sabbarukkhalatādīnampi sambandho na vaṭṭati eva. Teneva nāvārajjusetusambandhopi paṭikkhitto. Tatoti sākhato. Mahāsīmāya pathavitalanti ettha āsannatarampi gāmasīmaṃ aggahetvā baddhasīmāya eva gahitattā gāmasīmābaddhasīmānaṃ aññamaññaṃ rukkhādisambandhepi sambhedadoso natthi, aññamaññaṃ nissayanissitabhāvena pavattitoti gahetabbaṃ. Yadi hi tāsampi sambandhadoso bhaveyya, kathaṃ gāmasīmāya baddhasīmā sammannitabbā siyā? Yassā hi sīmāya saddhiṃ sambandhe doso bhaveyya, sā tattha bandhitumeva na vaṭṭati, baddhasīmāudakukkhepasīmāsu baddhasīmā viya, attano nissayabhūtagāmasīmādīsu udakukkhepasīmā viya ca. Teneva ‘‘sace pana rukkhassa sākhā vā tato nikkhantapāroho vā bahinaditīre vihārasīmāya vā gāmasīmāya vā patiṭṭhito’’tiādinā (mahāva. aṭṭha. 147) udakukkhepasīmāya attano anissayabhūtagāmasīmādīhi eva sambandhadoso dassito, na nadisīmāyaṃ. Evamidhāpīti daṭṭhabbaṃ. Ayañcattho upari pākaṭo bhavissati. Āhaccāti phusitvā.

    มหาสีมํ วา โสเธตฺวาติ มหาสีมาคตานํ สเพฺพสํ ภิกฺขูนํ หตฺถปาสานยนพหิกรณาทิวเสน สกลํ มหาสีมํ โสเธตฺวาฯ เอเตน สพฺพวิปตฺติโย โมเจตฺวา ปุเพฺพ สุฎฺฐุ พทฺธานมฺปิ ทฺวินฺนํ พทฺธสีมานํ ปจฺฉา รุกฺขาทิสมฺพเนฺธน อุปฺปชฺชนโก อีทิโส ปาฬิมุตฺตโก สเมฺภทโทโส อตฺถีติ ทเสฺสติฯ โส จ ‘‘น, ภิกฺขเว, สีมาย สีมา สมฺภินฺทิตพฺพา’’ติอาทินา พทฺธสีมานํ อญฺญมญฺญํ สเมฺภทโชฺฌตฺถรณํ ปฎิกฺขิปิตฺวา ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สีมํ สมฺมนฺนเนฺตน สีมนฺตริกํ ฐเปตฺวา สีมํ สมฺมนฺนิตุ’’นฺติ อุภินฺนํ (มหาว. ๑๔๘) พทฺธสีมานมนฺตรา สีมนฺตริกํ ฐเปตฺวาว พนฺธิตุํ อนุชานเนฺตน สเมฺภทโชฺฌตฺถรณํ วิย ตาสํ อญฺญมญฺญํ ผุสิตฺวา ติฎฺฐนวเสน พนฺธนมฺปิ น วฎฺฎตีติ สิทฺธตฺตา พทฺธานมฺปิ ตาสํ ปจฺฉา อญฺญมญฺญํ เอกรุกฺขาทีหิ ผุสิตฺวา ฐานมฺปิ น วฎฺฎตีติ ภควโต อธิปฺปายญฺญูหิ สงฺคีติการเกหิ นิทฺธาริโตฯ พนฺธนกาเล ปฎิกฺขิตฺตสฺส สมฺพนฺธโทสสฺส อนุโลเมน อกปฺปิยานุโลมตฺตาฯ

    Mahāsīmaṃ vā sodhetvāti mahāsīmāgatānaṃ sabbesaṃ bhikkhūnaṃ hatthapāsānayanabahikaraṇādivasena sakalaṃ mahāsīmaṃ sodhetvā. Etena sabbavipattiyo mocetvā pubbe suṭṭhu baddhānampi dvinnaṃ baddhasīmānaṃ pacchā rukkhādisambandhena uppajjanako īdiso pāḷimuttako sambhedadoso atthīti dasseti. So ca ‘‘na, bhikkhave, sīmāya sīmā sambhinditabbā’’tiādinā baddhasīmānaṃ aññamaññaṃ sambhedajjhottharaṇaṃ paṭikkhipitvā ‘‘anujānāmi, bhikkhave, sīmaṃ sammannantena sīmantarikaṃ ṭhapetvā sīmaṃ sammannitu’’nti ubhinnaṃ (mahāva. 148) baddhasīmānamantarā sīmantarikaṃ ṭhapetvāva bandhituṃ anujānantena sambhedajjhottharaṇaṃ viya tāsaṃ aññamaññaṃ phusitvā tiṭṭhanavasena bandhanampi na vaṭṭatīti siddhattā baddhānampi tāsaṃ pacchā aññamaññaṃ ekarukkhādīhi phusitvā ṭhānampi na vaṭṭatīti bhagavato adhippāyaññūhi saṅgītikārakehi niddhārito. Bandhanakāle paṭikkhittassa sambandhadosassa anulomena akappiyānulomattā.

    อยํ ปน สมฺพนฺธโทโส – ปุเพฺพ สุฎฺฐุ พทฺธานํ ปจฺฉา สญฺชาตตฺตา พชฺฌมานกฺขเณ วิย อสีมตฺตํ กาตุํ น สโกฺกติฯ ตสฺมา รุกฺขาทิสมฺพเนฺธ อปนีตมเตฺต ตา สีมา ปากติกา โหนฺติฯ ยถา จายํ ปจฺฉา น วฎฺฎติ, เอวํ พชฺฌมานกฺขเณปิ ตาสํ รุกฺขาทิสมฺพเนฺธ สติ ตา พนฺธิตุํ น วฎฺฎตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Ayaṃ pana sambandhadoso – pubbe suṭṭhu baddhānaṃ pacchā sañjātattā bajjhamānakkhaṇe viya asīmattaṃ kātuṃ na sakkoti. Tasmā rukkhādisambandhe apanītamatte tā sīmā pākatikā honti. Yathā cāyaṃ pacchā na vaṭṭati, evaṃ bajjhamānakkhaṇepi tāsaṃ rukkhādisambandhe sati tā bandhituṃ na vaṭṭatīti daṭṭhabbaṃ.

    เกจิ ปน ‘‘มหาสีมํ วา โสเธตฺวาติ เอตฺถ มหาสีมาคตา ภิกฺขู ยถา ตํ สาขํ วา ปาโรหํ วา กายปฎิพเทฺธหิ น ผุสนฺติ, เอวํ โสธนเมว อิธาธิเปฺปตํ, น สกลสีมาโสธน’’นฺติ วทนฺติ, ตํ น ยุตฺตํ อฎฺฐกถาย วิรุชฺฌนโตฯ ตถา หิ ‘‘มหาสีมาย ปถวิตลํ วา ตตฺถชาตรุกฺขาทีนิ วา อาหจฺจ ติฎฺฐตี’’ติ เอวํ สาขาปาโรหานํ มหาสีมํ ผุสิตฺวา ฐานเมว สมฺพนฺธโทเส การณเตฺตน วุตฺตํ, น ปน ตตฺถ ฐิตภิกฺขูหิ สาขาทีนํ ผุสนํฯ ยทิ หิ ภิกฺขูนํ สาขาทิ ผุสิตฺวา ฐานเมว การณํ สิยา, ตสฺส สาขํ วา ตโต นิคฺคตปาโรหํ วา มหาสีมาย ปวิฎฺฐํ ตตฺรโฎฺฐ โกจิ ภิกฺขุ ผุสิตฺวา ติฎฺฐตีติ ภิกฺขุผุสนเมว วตฺตพฺพํ สิยาฯ ยญฺหิ ตตฺถ มหาสีมาโสธเน การณํ, ตเทว ตสฺมิํ วาเกฺย ปธานโต ทเสฺสตพฺพํฯ น หิ อาหจฺจ ฐิตเมว สาขาทิํ ผุสิตฺวา ฐิโต ภิกฺขุ โสเธตโพฺพ อากาสฎฺฐสาขาทิํ ผุสิตฺวา ฐิตสฺสาปิ โสเธตพฺพโต, กิํ นิรตฺถเกน อาหจฺจฎฺฐานวจเนนฯ อากาสฎฺฐสาขาสุ จ ภิกฺขุโน ผุสนเมว การณเตฺตน วุตฺตํ, โสธนญฺจ ตเสฺสว ภิกฺขุสฺส หตฺถปาสานยนาทิวเสน โสธนํ วุตฺตํฯ อิธ ปน ‘‘มหาสีมํ โสเธตฺวา’’ติ สกลสีมาสาธารณวจเนน โสธนํ วุตฺตํฯ

    Keci pana ‘‘mahāsīmaṃ vā sodhetvāti ettha mahāsīmāgatā bhikkhū yathā taṃ sākhaṃ vā pārohaṃ vā kāyapaṭibaddhehi na phusanti, evaṃ sodhanameva idhādhippetaṃ, na sakalasīmāsodhana’’nti vadanti, taṃ na yuttaṃ aṭṭhakathāya virujjhanato. Tathā hi ‘‘mahāsīmāya pathavitalaṃ vā tatthajātarukkhādīni vā āhacca tiṭṭhatī’’ti evaṃ sākhāpārohānaṃ mahāsīmaṃ phusitvā ṭhānameva sambandhadose kāraṇattena vuttaṃ, na pana tattha ṭhitabhikkhūhi sākhādīnaṃ phusanaṃ. Yadi hi bhikkhūnaṃ sākhādi phusitvā ṭhānameva kāraṇaṃ siyā, tassa sākhaṃ vā tato niggatapārohaṃ vā mahāsīmāya paviṭṭhaṃ tatraṭṭho koci bhikkhu phusitvā tiṭṭhatīti bhikkhuphusanameva vattabbaṃ siyā. Yañhi tattha mahāsīmāsodhane kāraṇaṃ, tadeva tasmiṃ vākye padhānato dassetabbaṃ. Na hi āhacca ṭhitameva sākhādiṃ phusitvā ṭhito bhikkhu sodhetabbo ākāsaṭṭhasākhādiṃ phusitvā ṭhitassāpi sodhetabbato, kiṃ niratthakena āhaccaṭṭhānavacanena. Ākāsaṭṭhasākhāsu ca bhikkhuno phusanameva kāraṇattena vuttaṃ, sodhanañca tasseva bhikkhussa hatthapāsānayanādivasena sodhanaṃ vuttaṃ. Idha pana ‘‘mahāsīmaṃ sodhetvā’’ti sakalasīmāsādhāraṇavacanena sodhanaṃ vuttaṃ.

    อปิจ สาขาทิํ ผุสิตฺวา ฐิตภิกฺขุมตฺตโสธเน อภิมเต ‘‘มหาสีมาย ปถวิตล’’นฺติ วิเสสสีโมปาทานํ นิรตฺถกํ สิยา ยตฺถ กตฺถจิ อนฺตมโส อากาเสปิ ฐตฺวา สาขาทิํ ผุสิตฺวา ฐิตสฺส วิโสเธตพฺพโตฯ ฉินฺทิตฺวา พหิฎฺฐกา กาตพฺพาติ ตตฺถ ปติฎฺฐิตภาววิโยชนวจนโต จ วิสภาคสีมานํ ผุสเนเนว สกลสีมาโสธนเหตุโก อฎฺฐกถาสิโทฺธยํ เอโก สมฺพนฺธโทโส อเตฺถวาติ คเหตโพฺพฯ เตเนว อุทกุเกฺขปสีมากถายมฺปิ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๔๗) ‘‘วิหารสีมาย วา คามสีมาย วา ปติฎฺฐิโต’’ติ จ ‘‘นทิตีเร ปน ขาณุกํ โกเฎฺฎตฺวา ตตฺถ พทฺธนาวาย น วฎฺฎตี’’ติ จ ‘‘สเจ ปน เสตุ วา เสตุปาทา วา พหิตีเร ปติฎฺฐิตา, กมฺมํ กาตุํ น วฎฺฎตี’’ติ จ เอวํ วิสภาคาสุ คามสีมาสุ สาขาทีนํ ผุสนเมว สงฺกรโทสการณเตฺตน วุตฺตํ, น ภิกฺขุผุสนํฯ ตถา หิ ‘‘อโนฺตนทิยํ ชาตรุเกฺข พนฺธิตฺวา กมฺมํ กาตพฺพ’’นฺติ นทิยํ นาวาพนฺธนํ อนุญฺญาตํ อุทกุเกฺขปนิสฺสยเตฺตน นทิสีมาย สภาคตฺตาฯ ยทิ หิ ภิกฺขูนํ ผุสนเมว ปฎิจฺจ สพฺพตฺถ สมฺพนฺธโทโส วุโตฺต สิยา, นทิยมฺปิ พนฺธนํ ปฎิกฺขิปิตพฺพํ ภเวยฺยฯ ตตฺถาปิ หิ ภิกฺขุผุสนํ กมฺมโกปการณํ โหติ, ตสฺมา สภาคสีมาสุ ปวิสิตฺวา ภูมิอาทิํ ผุสิตฺวา วา อผุสิตฺวา วา สาขาทิมฺหิ ฐิเต ตํ สาขาทิํ ผุสโนฺตว ภิกฺขุ โสเธตโพฺพฯ วิสภาคสีมาสุ ปน สาขาทิมฺหิ ผุสิตฺวา ฐิเต ตํ สาขาทิํ อผุสนฺตาปิ สเพฺพ ภิกฺขู โสเธตพฺพาฯ อผุสิตฺวา ฐิเต ปน ตํ สาขาทิํ ผุสโนฺตว ภิกฺขุ โสเธตโพฺพติ นิฎฺฐเมตฺถ คนฺตพฺพํฯ

    Apica sākhādiṃ phusitvā ṭhitabhikkhumattasodhane abhimate ‘‘mahāsīmāya pathavitala’’nti visesasīmopādānaṃ niratthakaṃ siyā yattha katthaci antamaso ākāsepi ṭhatvā sākhādiṃ phusitvā ṭhitassa visodhetabbato. Chinditvābahiṭṭhakā kātabbāti tattha patiṭṭhitabhāvaviyojanavacanato ca visabhāgasīmānaṃ phusaneneva sakalasīmāsodhanahetuko aṭṭhakathāsiddhoyaṃ eko sambandhadoso atthevāti gahetabbo. Teneva udakukkhepasīmākathāyampi (mahāva. aṭṭha. 147) ‘‘vihārasīmāya vā gāmasīmāya vā patiṭṭhito’’ti ca ‘‘naditīre pana khāṇukaṃ koṭṭetvā tattha baddhanāvāya na vaṭṭatī’’ti ca ‘‘sace pana setu vā setupādā vā bahitīre patiṭṭhitā, kammaṃ kātuṃ na vaṭṭatī’’ti ca evaṃ visabhāgāsu gāmasīmāsu sākhādīnaṃ phusanameva saṅkaradosakāraṇattena vuttaṃ, na bhikkhuphusanaṃ. Tathā hi ‘‘antonadiyaṃ jātarukkhe bandhitvā kammaṃ kātabba’’nti nadiyaṃ nāvābandhanaṃ anuññātaṃ udakukkhepanissayattena nadisīmāya sabhāgattā. Yadi hi bhikkhūnaṃ phusanameva paṭicca sabbattha sambandhadoso vutto siyā, nadiyampi bandhanaṃ paṭikkhipitabbaṃ bhaveyya. Tatthāpi hi bhikkhuphusanaṃ kammakopakāraṇaṃ hoti, tasmā sabhāgasīmāsu pavisitvā bhūmiādiṃ phusitvā vā aphusitvā vā sākhādimhi ṭhite taṃ sākhādiṃ phusantova bhikkhu sodhetabbo. Visabhāgasīmāsu pana sākhādimhi phusitvā ṭhite taṃ sākhādiṃ aphusantāpi sabbe bhikkhū sodhetabbā. Aphusitvā ṭhite pana taṃ sākhādiṃ phusantova bhikkhu sodhetabboti niṭṭhamettha gantabbaṃ.

    ยํ ปเนตฺถ เกจิ ‘‘พทฺธสีมานํ ทฺวินฺนํ อญฺญมญฺญํ วิย พทฺธสีมาคามสีมานมฺปิ ตทญฺญาสมฺปิ สพฺพาสํ สมานสํวาสกสีมานํ อญฺญมญฺญํ รุกฺขาทิสมฺพเนฺธ สติ ตทุภยมฺปิ เอกสีมํ วิย โสเธตฺวา เอกเตฺถว กมฺมํ กาตพฺพํ, อญฺญตฺถ กตํ กมฺมํ วิปชฺชติ, นเตฺถตฺถ สภาควิสภาคเภโท’’ติ วทนฺติ, ตํ เตสํ มติมตฺตํ, สภาคสีมานํ อญฺญมญฺญํ สเมฺภทโทสาภาวสฺส วิสภาคสีมานเมว ตพฺภาวสฺส สุตฺตสุตฺตานุโลมาทิวินยนเยหิ สิทฺธตฺตาฯ ตถา หิ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สีมํ สมฺมนฺนิตุ’’นฺติ คามสีมายเมว พทฺธสีมํ สมฺมนฺนิตุํ อนุญฺญาตํฯ ตาสํ นิสฺสยนิสฺสิตภาเวน สภาคตา, สเมฺภทโชฺฌตฺถรณาทิโทสาภาโว จ สุตฺตโตว สิโทฺธฯ พนฺธนกาเล ปน อนุญฺญาตสฺส สมฺพนฺธสฺส อนุโลมโต ปจฺฉา สญฺชาตรุกฺขาทิสมฺพโนฺธปิ ตาสํ วฎฺฎติ เอวฯ ‘‘ยํ, ภิกฺขเว…เป.… กปฺปิยํ อนุโลเมติ อกปฺปิยํ ปฎิพาหติฯ ตํ โว กปฺปตี’’ติ (มหาว. ๓๐๕) วุตฺตตฺตาฯ เอวํ ตาว พทฺธสีมาคามสีมานํ อญฺญมญฺญํ สภาคตา, สเมฺภทาทิโทสาภาโว จ สุตฺตสุตฺตานุโลมโต สิโทฺธฯ อิมินา เอว นเยน อรญฺญสีมาสตฺตพฺภนฺตรสีมานํ, นทิอาทิอุทกุเกฺขปสีมานญฺจ สุตฺตสุตฺตานุโลมโต อญฺญมญฺญํ สภาคตา, สเมฺภทาทิโทสาภาโว จ สิโทฺธติ เวทิตโพฺพฯ

    Yaṃ panettha keci ‘‘baddhasīmānaṃ dvinnaṃ aññamaññaṃ viya baddhasīmāgāmasīmānampi tadaññāsampi sabbāsaṃ samānasaṃvāsakasīmānaṃ aññamaññaṃ rukkhādisambandhe sati tadubhayampi ekasīmaṃ viya sodhetvā ekattheva kammaṃ kātabbaṃ, aññattha kataṃ kammaṃ vipajjati, natthettha sabhāgavisabhāgabhedo’’ti vadanti, taṃ tesaṃ matimattaṃ, sabhāgasīmānaṃ aññamaññaṃ sambhedadosābhāvassa visabhāgasīmānameva tabbhāvassa suttasuttānulomādivinayanayehi siddhattā. Tathā hi ‘‘anujānāmi, bhikkhave, sīmaṃ sammannitu’’nti gāmasīmāyameva baddhasīmaṃ sammannituṃ anuññātaṃ. Tāsaṃ nissayanissitabhāvena sabhāgatā, sambhedajjhottharaṇādidosābhāvo ca suttatova siddho. Bandhanakāle pana anuññātassa sambandhassa anulomato pacchā sañjātarukkhādisambandhopi tāsaṃ vaṭṭati eva. ‘‘Yaṃ, bhikkhave…pe… kappiyaṃ anulometi akappiyaṃ paṭibāhati. Taṃ vo kappatī’’ti (mahāva. 305) vuttattā. Evaṃ tāva baddhasīmāgāmasīmānaṃ aññamaññaṃ sabhāgatā, sambhedādidosābhāvo ca suttasuttānulomato siddho. Iminā eva nayena araññasīmāsattabbhantarasīmānaṃ, nadiādiudakukkhepasīmānañca suttasuttānulomato aññamaññaṃ sabhāgatā, sambhedādidosābhāvo ca siddhoti veditabbo.

    พทฺธสีมาย ปน อญฺญาย พทฺธสีมาย, นทิอาทิสีมาสุ จ พนฺธิตุํ ปฎิเกฺขปสิทฺธิโต เจว อุทกุเกฺขปสตฺตพฺภนฺตรสีมานํ นทิอาทีสุ เอว กาตุํ นิยมนสุตฺตสามตฺถิเยน พทฺธสีมาคามสีมาทีสุ กรณปฎิเกฺขปสิทฺธิโต จ ตาสํ อญฺญมญฺญํ วิสภาคตา, อุปฺปตฺติกฺขเณ, ปจฺฉา จ รุกฺขาทีหิ สเมฺภทาทิโทสสมฺภโว จ วุตฺตนเยน สุตฺตสุตฺตานุโลมโต จ สิชฺฌนฺติฯ เตเนว อฎฺฐกถายํ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๔๘) วิสภาคสีมานเมว วฎรุกฺขาทิวจเนหิ สมฺพนฺธโทสํ ทเสฺสตฺวา สภาคานํ พทฺธสีมาคามสีมาทีนํ สมฺพนฺธโทโส น ทสฺสิโต, น เกวลญฺจ น ทสฺสิโต, อถ โข ตาสํ สภาคสีมานํ รุกฺขาทิสมฺพเนฺธปิ โทสาภาโว ปาฬิอฎฺฐกถาสุ ญาปิโต เอวฯ ตถา หิ ปาฬิยํ ‘‘ปพฺพตนิมิตฺตํ ปาสาณนิมิตฺตํ วนนิมิตฺตํ รุกฺขนิมิตฺต’’นฺติอาทินา วฑฺฒนกนิมิตฺตานิ อนุญฺญาตานิฯ เตน เนสํ รุกฺขาทีนํ นิมิตฺตานํ วฑฺฒเนปิ พทฺธสีมาคามสีมานํ สงฺกรโทสาภาโว ญาปิโตว โหติฯ ทฺวินฺนํ ปน พทฺธสีมานํ อีทิโส สมฺพโนฺธ น วฎฺฎติฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘เอกรุโกฺขปิ จ ทฺวินฺนํ สีมานํ นิมิตฺตํ โหติ, โส ปน วฑฺฒโนฺต สีมาสงฺกรํ กโรติ, ตสฺมา น กาตโพฺพ’’ติ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ติโยชนปรมํ สีมํ สมฺมนฺนิตุ’’นฺติ วจนโตปิ จายํ ญาปิโตฯ ติโยชนปรมาย หิ สีมาย สมนฺตา ปริยเนฺตสุ รุกฺขลตาคุมฺพาทีหิ พทฺธสีมาคามสีมานํ นิยเมน อญฺญมญฺญํ สมฺพนฺธสฺส สมฺภวโต ‘‘อีทิสํ สมฺพนฺธนํ วินาเสตฺวาว สีมา สมฺมนฺนิตพฺพา’’ติ อฎฺฐกถายมฺปิ น วุตฺตํฯ

    Baddhasīmāya pana aññāya baddhasīmāya, nadiādisīmāsu ca bandhituṃ paṭikkhepasiddhito ceva udakukkhepasattabbhantarasīmānaṃ nadiādīsu eva kātuṃ niyamanasuttasāmatthiyena baddhasīmāgāmasīmādīsu karaṇapaṭikkhepasiddhito ca tāsaṃ aññamaññaṃ visabhāgatā, uppattikkhaṇe, pacchā ca rukkhādīhi sambhedādidosasambhavo ca vuttanayena suttasuttānulomato ca sijjhanti. Teneva aṭṭhakathāyaṃ (mahāva. aṭṭha. 148) visabhāgasīmānameva vaṭarukkhādivacanehi sambandhadosaṃ dassetvā sabhāgānaṃ baddhasīmāgāmasīmādīnaṃ sambandhadoso na dassito, na kevalañca na dassito, atha kho tāsaṃ sabhāgasīmānaṃ rukkhādisambandhepi dosābhāvo pāḷiaṭṭhakathāsu ñāpito eva. Tathā hi pāḷiyaṃ ‘‘pabbatanimittaṃ pāsāṇanimittaṃ vananimittaṃ rukkhanimitta’’ntiādinā vaḍḍhanakanimittāni anuññātāni. Tena nesaṃ rukkhādīnaṃ nimittānaṃ vaḍḍhanepi baddhasīmāgāmasīmānaṃ saṅkaradosābhāvo ñāpitova hoti. Dvinnaṃ pana baddhasīmānaṃ īdiso sambandho na vaṭṭati. Vuttañhi ‘‘ekarukkhopi ca dvinnaṃ sīmānaṃ nimittaṃ hoti, so pana vaḍḍhanto sīmāsaṅkaraṃ karoti, tasmā na kātabbo’’ti ‘‘anujānāmi, bhikkhave, tiyojanaparamaṃ sīmaṃ sammannitu’’nti vacanatopi cāyaṃ ñāpito. Tiyojanaparamāya hi sīmāya samantā pariyantesu rukkhalatāgumbādīhi baddhasīmāgāmasīmānaṃ niyamena aññamaññaṃ sambandhassa sambhavato ‘‘īdisaṃ sambandhanaṃ vināsetvāva sīmā sammannitabbā’’ti aṭṭhakathāyampi na vuttaṃ.

    ยทิ เจตฺถ รุกฺขาทิสมฺพเนฺธน กมฺมวิปตฺติ ภเวยฺย, อวสฺสเมว วตฺตพฺพํ สิยาฯ วิปตฺติปริหารตฺถญฺหิ อาจริยา นิราสงฺกฎฺฐาเนสุปิ ‘‘ภิตฺติํ อกิเตฺตตฺวา’’ติอาทินา สิทฺธเมวตฺถํ ปุนปฺปุนํ อโวจุํฯ อิธ ปน ‘‘วนมเชฺฌ วิหารํ กโรนฺติ, วนํ น กิเตฺตตพฺพ’’นฺติอาทิรุกฺขลตาทีหิ นิรนฺตเร วนมเชฺฌปิ สีมาพนฺธนเมว อโวจุํฯ ตถา ถมฺภานํ อุปริ กตปาสาทาทีสุ เหฎฺฐา ถมฺภาทีหิ เอกาพเทฺธสุ อุปริมตลาทีสุ สีมาพนฺธนํ พหุธา วุตฺตํฯ ตสฺมา พทฺธสีมาคามสีมานํ รุกฺขาทิสมฺพโนฺธ เตหิ มุขโตว วิหิโตฯ อปิจ คามสีมานมฺปิ ปาเฎกฺกํ พทฺธสีมาสทิสตาย เอกิสฺสา คามสีมาย กมฺมํ กโรเนฺตหิ ทพฺพติณมเตฺตนาปิ สมฺพนฺธา คามนฺตรปรมฺปรา อรญฺญนทิสมุทฺทา จ โสเธตพฺพาติ สกลทีปํ โสเธตฺวาว กาตพฺพํ สิยาฯ เอวํ ปน อโสเธตฺวา ปฐมมหาสงฺคีติกาลโต ปภุติ กตานํ อุปสมฺปทาทิกมฺมานํ, สีมาสมฺมุตีนญฺจ วิปชฺชนโต สเพฺพสมฺปิ ภิกฺขูนํ อนุปสมฺปนฺนสงฺกาปสโงฺค จ ทุนฺนิวาโร โหติฯ น เจตํ ยุตฺตํฯ ตสฺมา วุตฺตนเยเนว วิสภาคสีมานเมว รุกฺขาทีหิ สมฺพนฺธโทโส, น พทฺธสีมาคามสีมาทีนํ สภาคสีมานนฺติ คเหตพฺพํฯ

    Yadi cettha rukkhādisambandhena kammavipatti bhaveyya, avassameva vattabbaṃ siyā. Vipattiparihāratthañhi ācariyā nirāsaṅkaṭṭhānesupi ‘‘bhittiṃ akittetvā’’tiādinā siddhamevatthaṃ punappunaṃ avocuṃ. Idha pana ‘‘vanamajjhe vihāraṃ karonti, vanaṃ na kittetabba’’ntiādirukkhalatādīhi nirantare vanamajjhepi sīmābandhanameva avocuṃ. Tathā thambhānaṃ upari katapāsādādīsu heṭṭhā thambhādīhi ekābaddhesu uparimatalādīsu sīmābandhanaṃ bahudhā vuttaṃ. Tasmā baddhasīmāgāmasīmānaṃ rukkhādisambandho tehi mukhatova vihito. Apica gāmasīmānampi pāṭekkaṃ baddhasīmāsadisatāya ekissā gāmasīmāya kammaṃ karontehi dabbatiṇamattenāpi sambandhā gāmantaraparamparā araññanadisamuddā ca sodhetabbāti sakaladīpaṃ sodhetvāva kātabbaṃ siyā. Evaṃ pana asodhetvā paṭhamamahāsaṅgītikālato pabhuti katānaṃ upasampadādikammānaṃ, sīmāsammutīnañca vipajjanato sabbesampi bhikkhūnaṃ anupasampannasaṅkāpasaṅgo ca dunnivāro hoti. Na cetaṃ yuttaṃ. Tasmā vuttanayeneva visabhāgasīmānameva rukkhādīhi sambandhadoso, na baddhasīmāgāmasīmādīnaṃ sabhāgasīmānanti gahetabbaṃ.

    มหาสีมาโสธนสฺส ทุกฺกรตาย ขณฺฑสีมายเมว เยภุเยฺยน สงฺฆกมฺมกรณนฺติ อาห ‘‘สีมามาฬเก’’ติอาทิ ฯ มหาสงฺฆสนฺนิปาเต ปน ขณฺฑสีมาย อปฺปโหนกตาย มหาสีมาย กเมฺม กริยมาเนปิ อยํ นโย คเหตโพฺพวฯ

    Mahāsīmāsodhanassa dukkaratāya khaṇḍasīmāyameva yebhuyyena saṅghakammakaraṇanti āha ‘‘sīmāmāḷake’’tiādi . Mahāsaṅghasannipāte pana khaṇḍasīmāya appahonakatāya mahāsīmāya kamme kariyamānepi ayaṃ nayo gahetabbova.

    ‘‘อุกฺขิปาเปตฺวา’’ติ อิมินา กายปฎิพเทฺธนปิ สีมํ ผุสโนฺต สีมโฎฺฐว โหตีติ ทเสฺสติฯ ปุริมนเยปีติ ขณฺฑสีมโต มหาสีมํ ปวิฎฺฐสาขานเยปิฯ สีมฎฺฐรุกฺขสาขาย นิสิโนฺน สีมโฎฺฐว โหตีติ อาห ‘‘หตฺถปาสเมว อาเนตโพฺพ’’ติฯ เอตฺถ จ รุกฺขสาขาทีหิ อญฺญมญฺญํ สมฺพนฺธาสุ เอตาสุ ขนฺธสีมายํ ตโย ภิกฺขู, มหาสีมายํ เทฺวติ เอวํ ทฺวีสุ สีมาสุ สีมนฺตริกํ อผุสิตฺวา, หตฺถปาสญฺจ อวิชหิตฺวา ฐิเตหิ ปญฺจหิ ภิกฺขูหิ อุปสมฺปทาทิกมฺมํ กาตุํ วฎฺฎตีติ เกจิ วทนฺติฯ ตํ น ยุตฺตํ ‘‘นานาสีมาย ฐิตจตุโตฺถ กมฺมํ กเรยฺย, อกมฺมํ, น จ กรณีย’’นฺติอาทิ (มหาว. ๓๘๙) วจนโตฯ เตเนเวตฺถาปิ มหาสีมํ โสเธตฺวา มาฬกสีมายเมว กมฺมกรณํ วิหิตํฯ อญฺญถา ภินฺนสีมฎฺฐตาย ตตฺรฎฺฐสฺส คณปูรกตฺตาภาวา กมฺมโกโปว โหตีติฯ

    ‘‘Ukkhipāpetvā’’ti iminā kāyapaṭibaddhenapi sīmaṃ phusanto sīmaṭṭhova hotīti dasseti. Purimanayepīti khaṇḍasīmato mahāsīmaṃ paviṭṭhasākhānayepi. Sīmaṭṭharukkhasākhāya nisinno sīmaṭṭhova hotīti āha ‘‘hatthapāsameva ānetabbo’’ti. Ettha ca rukkhasākhādīhi aññamaññaṃ sambandhāsu etāsu khandhasīmāyaṃ tayo bhikkhū, mahāsīmāyaṃ dveti evaṃ dvīsu sīmāsu sīmantarikaṃ aphusitvā, hatthapāsañca avijahitvā ṭhitehi pañcahi bhikkhūhi upasampadādikammaṃ kātuṃ vaṭṭatīti keci vadanti. Taṃ na yuttaṃ ‘‘nānāsīmāya ṭhitacatuttho kammaṃ kareyya, akammaṃ, na ca karaṇīya’’ntiādi (mahāva. 389) vacanato. Tenevetthāpi mahāsīmaṃ sodhetvā māḷakasīmāyameva kammakaraṇaṃ vihitaṃ. Aññathā bhinnasīmaṭṭhatāya tatraṭṭhassa gaṇapūrakattābhāvā kammakopova hotīti.

    ยทิ เอวํ กถํ ฉนฺทปาริสุทฺธิอาหรณวเสน มหาสีมาโสธนนฺติ? ตมฺปิ วินยญฺญู น อิจฺฉนฺติ, หตฺถปาสานยนพหิสีมากรณวเสเนว ปเนตฺถ โสธนํ อิจฺฉนฺติ, ทินฺนสฺสาปิ ฉนฺทสฺส อนาคมเนน มหาสีมโฎฺฐ กมฺมํ โกเปตีติฯ ยทิ จสฺส ฉนฺทาทิ นาคจฺฉติ, กถํ โส กมฺมํ โกเปสฺสตีติ? ทฺวินฺนํ วิสภาคสีมานํ สมฺพนฺธโทสโตฯ โส จ สมฺพนฺธโทโส อฎฺฐกถาวจนปฺปมาณโตฯ น หิ วินเย สพฺพตฺถ ยุตฺติ สกฺกา ญาตุํ พุทฺธโคจรตฺตาติ เวทิตพฺพํฯ เกจิ ปน ‘‘สเจ เทฺวปิ สีมาโย ปูเรตฺวา นิรนฺตรํ ฐิเตสุ ภิกฺขูสุ กมฺมํ กโรเนฺตสุ เอกิสฺสา เอว สีมาย คโณ จ อุปสมฺปทาเปโกฺข จ อนุสฺสาวโก จ เอกโต ติฎฺฐติ, กมฺมํ สุกตเมว โหติฯ สเจ ปน กมฺมารโห วา อนุสฺสาวโก วา สีมนฺตรโฎฺฐ โหติ, กมฺมํ วิปชฺชตี’’ติ วทนฺติ, ตญฺจ พทฺธสีมาคามสีมาทิสภาคสีมาสุ เอว ยุชฺชติ, ยาสุ อญฺญมญฺญํ รุกฺขาทิสมฺพเนฺธสุปิ โทโส นตฺถิฯ ยาสุ ปน อตฺถิ, น ตาสุ วิสภาคสีมาสุ รุกฺขาทิสมฺพเนฺธ สติ เอกตฺถ ฐิโต อิตรฎฺฐานํ กมฺมํ โกเปติ เอว อฎฺฐกถายํ สามญฺญโต โสธนสฺส วุตฺตตฺตาติ อมฺหากํ ขนฺติฯ วีมํสิตฺวา คเหตพฺพํฯ

    Yadi evaṃ kathaṃ chandapārisuddhiāharaṇavasena mahāsīmāsodhananti? Tampi vinayaññū na icchanti, hatthapāsānayanabahisīmākaraṇavaseneva panettha sodhanaṃ icchanti, dinnassāpi chandassa anāgamanena mahāsīmaṭṭho kammaṃ kopetīti. Yadi cassa chandādi nāgacchati, kathaṃ so kammaṃ kopessatīti? Dvinnaṃ visabhāgasīmānaṃ sambandhadosato. So ca sambandhadoso aṭṭhakathāvacanappamāṇato. Na hi vinaye sabbattha yutti sakkā ñātuṃ buddhagocarattāti veditabbaṃ. Keci pana ‘‘sace dvepi sīmāyo pūretvā nirantaraṃ ṭhitesu bhikkhūsu kammaṃ karontesu ekissā eva sīmāya gaṇo ca upasampadāpekkho ca anussāvako ca ekato tiṭṭhati, kammaṃ sukatameva hoti. Sace pana kammāraho vā anussāvako vā sīmantaraṭṭho hoti, kammaṃ vipajjatī’’ti vadanti, tañca baddhasīmāgāmasīmādisabhāgasīmāsu eva yujjati, yāsu aññamaññaṃ rukkhādisambandhesupi doso natthi. Yāsu pana atthi, na tāsu visabhāgasīmāsu rukkhādisambandhe sati ekattha ṭhito itaraṭṭhānaṃ kammaṃ kopeti eva aṭṭhakathāyaṃ sāmaññato sodhanassa vuttattāti amhākaṃ khanti. Vīmaṃsitvā gahetabbaṃ.

    น โอตรตีติ ปณวสณฺฐานปพฺพตาทีสุ เหฎฺฐา ปมาณรหิตฎฺฐานํ น โอตรติฯ กิญฺจาปิ ปเนตฺถ พชฺฌมานกฺขเณ อุทฺธมฺปิ ปมาณรหิตํ ปพฺพตาทีนิ นาโรหติ, ตถาปิ ตํ ปจฺฉา สีมฎฺฐตาย สีมา โหติฯ เหฎฺฐา ปณวสณฺฐานาทิ ปน อุปริ พทฺธายปิ สีมาย สีมาสงฺขฺยํ น คจฺฉติ, ตสฺส วเสน น โอตรตีติ วุตฺตํ, อิตรถา โอโรหณาโรหณานํ สาธารณวเสน ‘‘น โอตรตี’’ติอาทินา วตฺตพฺพโตฯ ยํ กิญฺจีติ นิฎฺฐิตสีมาย อุปริ ชาตํ วิชฺชมานํ ปุเพฺพ ฐิตํ, ปจฺฉา สญฺชาตํ, ปวิฎฺฐญฺจ ยํกิญฺจิ สวิญฺญาณกาวิญฺญาณกํ สพฺพมฺปีติ อโตฺถฯ อโนฺตสีมาย หิ หตฺถิกฺขนฺธาทิสวิญฺญาณเกสุ นิสิโนฺนปิ ภิกฺขุ สีมโฎฺฐว โหติฯ ‘‘พทฺธสีมายา’’ติ อิทญฺจ ปกรณวเสน อุปลกฺขณโต วุตฺตํฯ อพทฺธสีมาสุปิ สพฺพาสุ ฐิตํ ตํ สีมาสงฺขฺยเมว คจฺฉติฯ

    Na otaratīti paṇavasaṇṭhānapabbatādīsu heṭṭhā pamāṇarahitaṭṭhānaṃ na otarati. Kiñcāpi panettha bajjhamānakkhaṇe uddhampi pamāṇarahitaṃ pabbatādīni nārohati, tathāpi taṃ pacchā sīmaṭṭhatāya sīmā hoti. Heṭṭhā paṇavasaṇṭhānādi pana upari baddhāyapi sīmāya sīmāsaṅkhyaṃ na gacchati, tassa vasena na otaratīti vuttaṃ, itarathā orohaṇārohaṇānaṃ sādhāraṇavasena ‘‘na otaratī’’tiādinā vattabbato. Yaṃ kiñcīti niṭṭhitasīmāya upari jātaṃ vijjamānaṃ pubbe ṭhitaṃ, pacchā sañjātaṃ, paviṭṭhañca yaṃkiñci saviññāṇakāviññāṇakaṃ sabbampīti attho. Antosīmāya hi hatthikkhandhādisaviññāṇakesu nisinnopi bhikkhu sīmaṭṭhova hoti. ‘‘Baddhasīmāyā’’ti idañca pakaraṇavasena upalakkhaṇato vuttaṃ. Abaddhasīmāsupi sabbāsu ṭhitaṃ taṃ sīmāsaṅkhyameva gacchati.

    เอกสมฺพเทฺธน คตนฺติ รุกฺขลตาทิตตฺรชาตเมว สนฺธาย วุตฺตํฯ ตาทิสมฺปิ ‘‘อิโต คต’’นฺติ วตฺตพฺพตํ อรหติฯ ยํ ปน ‘‘อิโต คต’’นฺติ วา ‘‘ตโต อาคต’’นฺติ วา วตฺตุํ อสกฺกุเณยฺยํ อุโภสุ พทฺธสีมาคามสีมาสุ, อุทกุเกฺขปนทิอาทีสุ จ ติริยํ ปติตรชฺชุทณฺฑาทิ, ตตฺถ กิํ กาตพฺพนฺติ? เอตฺถ ปน พทฺธสีมาย ปติฎฺฐิตภาโค พทฺธสีมา, อพทฺธคามสีมาย ปติฎฺฐิตภาโค คามสีมา ตทุภยสีมฎฺฐปพฺพตาทิ วิยฯ พทฺธสีมโต อุฎฺฐิตวฎรุกฺขสฺส ปาโรเห, คามสีมาย คามสีมโต อุฎฺฐิตวฎรุกฺขสฺส ปาโรเห จ พทฺธสีมาย ปติฎฺฐิเตปิ เอเสว นโยฯ มูลปติฎฺฐิตกาลโต หิ ปฎฺฐาย ‘‘อิโต คตํ, ตโต อาคต’’นฺติ วตฺตุํ อสกฺกุเณยฺยโต โส ภาโค ยถาปวิฎฺฐสีมาสงฺขฺยเมว คจฺฉติ, เตสํ รุกฺขปาโรหานํ อนฺตรา ปน อากาสฎฺฐสาขา ภูมิยํ สีมาปริเจฺฉทปฺปมาเณน ตทุภยสีมา โหตีติ เกจิ วทนฺติฯ ยสฺมา ปนสฺส สาขาย ปาโรโห ปวิฎฺฐสีมาย ปถวิยํ มูเลหิ ปติฎฺฐหิตฺวาปิ ยาว สาขํ วินา ฐาตุํ น สโกฺกติ, ตาว มูลสีมฎฺฐตํ น วิชหติฯ ยทา ปน วินา ฐาตุํ สโกฺกติ, ตทาปิ ปาโรหมตฺตเมว ปวิฎฺฐสีมฎฺฐตํ สมุเปติฯ ตสฺมา สโพฺพปิ อากาสฎฺฐสาขาภาโค ปุริมสีมฎฺฐตํ น วิชหติ, ตโต อาคตภาคสฺส อวิชหิตตฺตาติ อมฺหากํ ขนฺติฯ อุทกุเกฺขปนทิอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ตตฺถ จ วิสภาคสีมาย เอวํ ปวิเฎฺฐ สกลสีมาโสธนํ, สภาคาย ปวิเฎฺฐ ผุสิตฺวา ฐิตมตฺตภิกฺขุโสธนญฺจ สพฺพํ ปุเพฺพ วุตฺตนยเมวฯ

    Ekasambaddhena gatanti rukkhalatāditatrajātameva sandhāya vuttaṃ. Tādisampi ‘‘ito gata’’nti vattabbataṃ arahati. Yaṃ pana ‘‘ito gata’’nti vā ‘‘tato āgata’’nti vā vattuṃ asakkuṇeyyaṃ ubhosu baddhasīmāgāmasīmāsu, udakukkhepanadiādīsu ca tiriyaṃ patitarajjudaṇḍādi, tattha kiṃ kātabbanti? Ettha pana baddhasīmāya patiṭṭhitabhāgo baddhasīmā, abaddhagāmasīmāya patiṭṭhitabhāgo gāmasīmā tadubhayasīmaṭṭhapabbatādi viya. Baddhasīmato uṭṭhitavaṭarukkhassa pārohe, gāmasīmāya gāmasīmato uṭṭhitavaṭarukkhassa pārohe ca baddhasīmāya patiṭṭhitepi eseva nayo. Mūlapatiṭṭhitakālato hi paṭṭhāya ‘‘ito gataṃ, tato āgata’’nti vattuṃ asakkuṇeyyato so bhāgo yathāpaviṭṭhasīmāsaṅkhyameva gacchati, tesaṃ rukkhapārohānaṃ antarā pana ākāsaṭṭhasākhā bhūmiyaṃ sīmāparicchedappamāṇena tadubhayasīmā hotīti keci vadanti. Yasmā panassa sākhāya pāroho paviṭṭhasīmāya pathaviyaṃ mūlehi patiṭṭhahitvāpi yāva sākhaṃ vinā ṭhātuṃ na sakkoti, tāva mūlasīmaṭṭhataṃ na vijahati. Yadā pana vinā ṭhātuṃ sakkoti, tadāpi pārohamattameva paviṭṭhasīmaṭṭhataṃ samupeti. Tasmā sabbopi ākāsaṭṭhasākhābhāgo purimasīmaṭṭhataṃ na vijahati, tato āgatabhāgassa avijahitattāti amhākaṃ khanti. Udakukkhepanadiādīsupi eseva nayo. Tattha ca visabhāgasīmāya evaṃ paviṭṭhe sakalasīmāsodhanaṃ, sabhāgāya paviṭṭhe phusitvā ṭhitamattabhikkhusodhanañca sabbaṃ pubbe vuttanayameva.

    ๑๔๐. ปารยตีติ อโชฺฌตฺถรติ, นทิยา อุโภสุ ตีเรสุ ปติฎฺฐมานา สีมา นทิอโชฺฌตฺถรา นาม โหตีติ อาห ‘‘นทิํอโชฺฌตฺถรมาน’’นฺติฯ อโนฺตนทิยญฺหิ สีมา น โอตรติฯ นทิลกฺขเณ ปน อสติ โอตรติ, สา จ ตทา นทิปารสีมา น โหตีติ อาห ‘‘นทิยา ลกฺขณํ นทินิมิเตฺต วุตฺตนยเมวา’’ติฯ อสฺสาติ ภเวยฺยฯ อวสฺสํ ลพฺภเนยฺยา ปน ธุวนาวาว โหตีติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘น นาวายา’’ติ อิมินา นาวํ วินาปิ สีมา พทฺธา สุพทฺธา เอว โหติ, อาปตฺติปริหารตฺถา นาวาติ ทเสฺสติฯ

    140.Pārayatīti ajjhottharati, nadiyā ubhosu tīresu patiṭṭhamānā sīmā nadiajjhottharā nāma hotīti āha ‘‘nadiṃajjhottharamāna’’nti. Antonadiyañhi sīmā na otarati. Nadilakkhaṇe pana asati otarati, sā ca tadā nadipārasīmā na hotīti āha ‘‘nadiyā lakkhaṇaṃ nadinimitte vuttanayamevā’’ti. Assāti bhaveyya. Avassaṃ labbhaneyyā pana dhuvanāvāva hotīti sambandho. ‘‘Na nāvāyā’’ti iminā nāvaṃ vināpi sīmā baddhā subaddhā eva hoti, āpattiparihāratthā nāvāti dasseti.

    รุกฺขสงฺฆาฎมโยติ อเนกรุเกฺข เอกโต ฆเฎตฺวา กตเสตุฯ รุกฺขํ ฉินฺทิตฺวา กโตติ ปาฐเสโสฯ ‘‘สพฺพนิมิตฺตานํ อโนฺต ฐิเต ภิกฺขู หตฺถปาสคเต กตฺวา’’ติ อิทํ อุภินฺนํ ตีรานํ เอกคามเขตฺตภาวํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ปพฺพตสณฺฐานาติ เอกโต อุคฺคตทีปสิขรตฺตา วุตฺตํฯ

    Rukkhasaṅghāṭamayoti anekarukkhe ekato ghaṭetvā katasetu. Rukkhaṃ chinditvā katoti pāṭhaseso. ‘‘Sabbanimittānaṃ anto ṭhite bhikkhū hatthapāsagate katvā’’ti idaṃ ubhinnaṃ tīrānaṃ ekagāmakhettabhāvaṃ sandhāya vuttaṃ. Pabbatasaṇṭhānāti ekato uggatadīpasikharattā vuttaṃ.

    สีมานุชานนกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Sīmānujānanakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi / ๗๑. สีมานุชานนา • 71. Sīmānujānanā

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวคฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvagga-aṭṭhakathā / สีมานุชานนกถา • Sīmānujānanakathā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / สีมานุชานนกถาวณฺณนา • Sīmānujānanakathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / สีมานุชานนกถาวณฺณนา • Sīmānujānanakathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๗๑. สีมานุชานนกถา • 71. Sīmānujānanakathā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact