Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๑๕๒] ๒. สิงฺคาลชาตกวณฺณนา

    [152] 2. Siṅgālajātakavaṇṇanā

    อสเมกฺขิตกมฺมนฺตนฺติ อิทํ สตฺถา กูฎาคารสาลายํ วิหรโนฺต เวสาลิวาสิกํ เอกํ นฺหาปิตปุตฺตํ อารพฺภ กเถสิฯ ตสฺส กิร ปิตา ราชูนํ ราโชโรธานํ ราชกุมารานํ ราชกุมาริกานญฺจ มสฺสุกรณเกสสณฺฐปนอฎฺฐปทฎฺฐปนาทีนิ สพฺพกิจฺจานิ กโรติ สโทฺธ ปสโนฺน ติสรณคโต สมาทินฺนปญฺจสีโล, อนฺตรนฺตเร สตฺถุ ธมฺมํ สุณโนฺต กาลํ วีตินาเมติฯ โส เอกสฺมิํ ทิวเส ราชนิเวสเน กมฺมํ กาตุํ คจฺฉโนฺต อตฺตโน ปุตฺตํ คเหตฺวา คโตฯ โส ตตฺถ เอกํ เทวจฺฉราปฎิภาคํ อลงฺกตปฎิยตฺตํ ลิจฺฉวิกุมาริกํ ทิสฺวา กิเลสวเสน ปฎิพทฺธจิโตฺต หุตฺวา ปิตรา สทฺธิํ ราชนิเวสนา นิกฺขมิตฺวา ‘‘เอตํ กุมาริกํ ลภมาโน ชีวิสฺสามิ, อลภมานสฺส เม เอเตฺถว มรณ’’นฺติ อาหารุปเจฺฉทํ กตฺวา มญฺจกํ ปริสฺสชิตฺวา นิปชฺชิฯ

    Asamekkhitakammantanti idaṃ satthā kūṭāgārasālāyaṃ viharanto vesālivāsikaṃ ekaṃ nhāpitaputtaṃ ārabbha kathesi. Tassa kira pitā rājūnaṃ rājorodhānaṃ rājakumārānaṃ rājakumārikānañca massukaraṇakesasaṇṭhapanaaṭṭhapadaṭṭhapanādīni sabbakiccāni karoti saddho pasanno tisaraṇagato samādinnapañcasīlo, antarantare satthu dhammaṃ suṇanto kālaṃ vītināmeti. So ekasmiṃ divase rājanivesane kammaṃ kātuṃ gacchanto attano puttaṃ gahetvā gato. So tattha ekaṃ devaccharāpaṭibhāgaṃ alaṅkatapaṭiyattaṃ licchavikumārikaṃ disvā kilesavasena paṭibaddhacitto hutvā pitarā saddhiṃ rājanivesanā nikkhamitvā ‘‘etaṃ kumārikaṃ labhamāno jīvissāmi, alabhamānassa me ettheva maraṇa’’nti āhārupacchedaṃ katvā mañcakaṃ parissajitvā nipajji.

    อถ นํ ปิตา อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ตาต, อวตฺถุมฺหิ ฉนฺทราคํ มา กริ, หีนชโจฺจ ตฺวํ นฺหาปิตปุโตฺต, ลิจฺฉวิกุมาริกา ขตฺติยธีตา ชาติสมฺปนฺนา, น สา ตุยฺหํ อนุจฺฉวิกา, อญฺญํ เต ชาติโคเตฺตหิ สทิสํ กุมาริกํ อาเนสฺสามี’’ติ อาหฯ โส ปิตุ กถํ น คณฺหิฯ อถ นํ มาตา ภาตา ภคินี จูฬปิตา จูฬมาตาติ สเพฺพปิ ญาตกา เจว มิตฺตสุหชฺชา จ สนฺนิปติตฺวา สญฺญาเปนฺตาปิ สญฺญาเปตุํ นาสกฺขิํสุฯ โส ตเตฺถว สุสฺสิตฺวา ปริสุสฺสิตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาปุณิฯ อถสฺส ปิตา สรีรกิจฺจเปตกิจฺจานิ กตฺวา ตนุโสโก ‘‘สตฺถารํ วนฺทิสฺสามี’’ติ พหุํ คนฺธมาลาวิเลปนํ คเหตฺวา มหาวนํ คนฺตฺวา สตฺถารํ ปูเชตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสิโนฺน ‘‘กิํ นุ โข, อุปาสก, พหูนิ ทิวสานิ น ทิสฺสสี’’ติ วุเตฺต ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ สตฺถา ‘‘น โข, อุปาสก, อิทาเนว ตว ปุโตฺต อวตฺถุสฺมิํ ฉนฺทราคํ อุปฺปาเทตฺวา วินาสํ ปาปุณิ, ปุเพฺพปิ ปโตฺตเยวา’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Atha naṃ pitā upasaṅkamitvā ‘‘tāta, avatthumhi chandarāgaṃ mā kari, hīnajacco tvaṃ nhāpitaputto, licchavikumārikā khattiyadhītā jātisampannā, na sā tuyhaṃ anucchavikā, aññaṃ te jātigottehi sadisaṃ kumārikaṃ ānessāmī’’ti āha. So pitu kathaṃ na gaṇhi. Atha naṃ mātā bhātā bhaginī cūḷapitā cūḷamātāti sabbepi ñātakā ceva mittasuhajjā ca sannipatitvā saññāpentāpi saññāpetuṃ nāsakkhiṃsu. So tattheva sussitvā parisussitvā jīvitakkhayaṃ pāpuṇi. Athassa pitā sarīrakiccapetakiccāni katvā tanusoko ‘‘satthāraṃ vandissāmī’’ti bahuṃ gandhamālāvilepanaṃ gahetvā mahāvanaṃ gantvā satthāraṃ pūjetvā vanditvā ekamantaṃ nisinno ‘‘kiṃ nu kho, upāsaka, bahūni divasāni na dissasī’’ti vutte tamatthaṃ ārocesi. Satthā ‘‘na kho, upāsaka, idāneva tava putto avatthusmiṃ chandarāgaṃ uppādetvā vināsaṃ pāpuṇi, pubbepi pattoyevā’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต หิมวนฺตปเทเส สีหโยนิยํ นิพฺพตฺติฯ ตสฺส ฉ กนิฎฺฐภาตโร เอกา จ ภคินี อโหสิ, สเพฺพปิ กญฺจนคุหายํ วสนฺติฯ ตสฺสา ปน คุหาย อวิทูเร รชตปพฺพเต เอกา ผลิกคุหา อตฺถิ, ตเตฺถโก สิงฺคาโล วสติฯ อปรภาเค สีหานํ มาตาปิตโร กาลมกํสุฯ เต ภคินิํ สีหโปติกํ กญฺจนคุหายํ ฐเปตฺวา โคจราย ปกฺกมิตฺวา มํสํ อาหริตฺวา ตสฺสา เทนฺติฯ โส สิงฺคาโล ตํ สีหโปติกํ ทิสฺวา ปฎิพทฺธจิโตฺต อโหสิฯ ตสฺสา ปน มาตาปิตูนํ ธรมานกาเล โอกาสํ นาลตฺถ, โส สตฺตนฺนมฺปิ เตสํ โคจราย ปกฺกนฺตกาเล ผลิกคุหาย โอตริตฺวา กญฺจนคุหาย ทฺวารํ คนฺตฺวา สีหโปติกาย ปุรโต โลกามิสปฎิสํยุตฺตํ เอวรูปํ รหสฺสกถํ กเถสิ – ‘‘สีหโปติเก, อหมฺปิ จตุปฺปโท, ตฺวมฺปิ จตุปฺปทา, ตฺวํ เม ปชาปตี โหหิ, อหํ เต ปติ ภวิสฺสามิ, เต มยํ สมคฺคา สโมฺมทมานา วสิสฺสาม, ตฺวํ อิโต ปฎฺฐาย มํ กิเลสวเสน สงฺคณฺหาหี’’ติฯ สา ตสฺส วจนํ สุตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ สิงฺคาโล จตุปฺปทานํ อนฺตเร หีโน ปฎิกุโฎฺฐ จณฺฑาลสทิโส, มยํ อุตฺตมราชกุลสมฺมตา, เอส โข มยา สทฺธิํ อสพฺภิํ อนนุจฺฉวิกํ กถํ กเถติ, อหํ เอวรูปํ กถํ สุตฺวา ชีวิเตน กิํ กริสฺสามิ, นาสาวาตํ สนฺนิรุชฺฌิตฺวา มริสฺสามี’’ติฯ อถสฺสา เอตทโหสิ – ‘‘มยฺหํ เอวเมว มรณํ อยุตฺตํ, ภาติกา ตาว เม อาคจฺฉนฺตุ, เตสํ กเถตฺวา มริสฺสามี’’ติฯ สิงฺคาโลปิ ตสฺสา สนฺติกา ปฎิวจนํ อลภิตฺวา ‘‘อิทานิ เอสา มยฺหํ กุชฺฌตี’’ติ โทมนสฺสปฺปโตฺต ผลิกคุหายํ ปวิสิตฺวา นิปชฺชิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto himavantapadese sīhayoniyaṃ nibbatti. Tassa cha kaniṭṭhabhātaro ekā ca bhaginī ahosi, sabbepi kañcanaguhāyaṃ vasanti. Tassā pana guhāya avidūre rajatapabbate ekā phalikaguhā atthi, tattheko siṅgālo vasati. Aparabhāge sīhānaṃ mātāpitaro kālamakaṃsu. Te bhaginiṃ sīhapotikaṃ kañcanaguhāyaṃ ṭhapetvā gocarāya pakkamitvā maṃsaṃ āharitvā tassā denti. So siṅgālo taṃ sīhapotikaṃ disvā paṭibaddhacitto ahosi. Tassā pana mātāpitūnaṃ dharamānakāle okāsaṃ nālattha, so sattannampi tesaṃ gocarāya pakkantakāle phalikaguhāya otaritvā kañcanaguhāya dvāraṃ gantvā sīhapotikāya purato lokāmisapaṭisaṃyuttaṃ evarūpaṃ rahassakathaṃ kathesi – ‘‘sīhapotike, ahampi catuppado, tvampi catuppadā, tvaṃ me pajāpatī hohi, ahaṃ te pati bhavissāmi, te mayaṃ samaggā sammodamānā vasissāma, tvaṃ ito paṭṭhāya maṃ kilesavasena saṅgaṇhāhī’’ti. Sā tassa vacanaṃ sutvā cintesi – ‘‘ayaṃ siṅgālo catuppadānaṃ antare hīno paṭikuṭṭho caṇḍālasadiso, mayaṃ uttamarājakulasammatā, esa kho mayā saddhiṃ asabbhiṃ ananucchavikaṃ kathaṃ katheti, ahaṃ evarūpaṃ kathaṃ sutvā jīvitena kiṃ karissāmi, nāsāvātaṃ sannirujjhitvā marissāmī’’ti. Athassā etadahosi – ‘‘mayhaṃ evameva maraṇaṃ ayuttaṃ, bhātikā tāva me āgacchantu, tesaṃ kathetvā marissāmī’’ti. Siṅgālopi tassā santikā paṭivacanaṃ alabhitvā ‘‘idāni esā mayhaṃ kujjhatī’’ti domanassappatto phalikaguhāyaṃ pavisitvā nipajji.

    อเถโก สีหโปตโก มหิํสวารณาทีสุ อญฺญตรํ วธิตฺวา มํสํ ขาทิตฺวา ภคินิยา ภาคํ อาหริตฺวา ‘‘อมฺม, มํสํ ขาทสฺสู’’ติ อาหฯ ‘‘ภาติก, นาหํ มํสํ ขาทามิ, มริสฺสามี’’ติฯ ‘‘กิํ การณา’’ติ? สา ตํ ปวตฺติํ อาจิกฺขิฯ ‘‘อิทานิ กหํ โส สิงฺคาโล’’ติ จ วุเตฺต ผลิกคุหายํ นิปนฺนํ สิงฺคาลํ ‘‘อากาเส นิปโนฺน’’ติ มญฺญมานา ‘‘ภาติก, กิํ น ปสฺสสิ, เอโส รชตปพฺพเต อากาเส นิปโนฺน’’ติฯ สีหโปตโก ตสฺส ผลิกคุหายํ นิปนฺนภาวํ อชานโนฺต ‘‘อากาเส นิปโนฺน’’ติ สญฺญี หุตฺวา ‘‘มาเรสฺสามิ น’’นฺติ สีหเวเคน ปกฺขนฺทิตฺวา ผลิกคุหํ หทเยเนว ปหริฯ โส หทเยน ผลิเตน ตเตฺถว ชีวิตกฺขยํ ปตฺวา ปพฺพตปาเท ปติฯ อถาปโร อาคจฺฉิ, สา ตสฺสปิ ตเถว กเถสิฯ โสปิ ตเถว กตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปตฺวา ปพฺพตปาเท ปติฯ

    Atheko sīhapotako mahiṃsavāraṇādīsu aññataraṃ vadhitvā maṃsaṃ khāditvā bhaginiyā bhāgaṃ āharitvā ‘‘amma, maṃsaṃ khādassū’’ti āha. ‘‘Bhātika, nāhaṃ maṃsaṃ khādāmi, marissāmī’’ti. ‘‘Kiṃ kāraṇā’’ti? Sā taṃ pavattiṃ ācikkhi. ‘‘Idāni kahaṃ so siṅgālo’’ti ca vutte phalikaguhāyaṃ nipannaṃ siṅgālaṃ ‘‘ākāse nipanno’’ti maññamānā ‘‘bhātika, kiṃ na passasi, eso rajatapabbate ākāse nipanno’’ti. Sīhapotako tassa phalikaguhāyaṃ nipannabhāvaṃ ajānanto ‘‘ākāse nipanno’’ti saññī hutvā ‘‘māressāmi na’’nti sīhavegena pakkhanditvā phalikaguhaṃ hadayeneva pahari. So hadayena phalitena tattheva jīvitakkhayaṃ patvā pabbatapāde pati. Athāparo āgacchi, sā tassapi tatheva kathesi. Sopi tatheva katvā jīvitakkhayaṃ patvā pabbatapāde pati.

    เอวํ ฉสุปิ ภาติเกสุ มเตสุ สพฺพปจฺฉา โพธิสโตฺต อาคจฺฉิฯ สา ตสฺสปิ ตํ การณํ อาโรเจตฺวา ‘‘อิทานิ โส กุหิ’’นฺติ วุเตฺต ‘‘เอโส รชตปพฺพตมตฺถเก อากาเส นิปโนฺน’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺต จิเนฺตสิ – ‘‘สิงฺคาลานํ อากาเส ปติฎฺฐา นาม นตฺถิ, ผลิกคุหายํ นิปนฺนโก ภวิสฺสตี’’ติฯ โส ปพฺพตปาทํ โอตริตฺวา ฉ ภาติเก มเต ทิสฺวา ‘‘อิเม อตฺตโน พาลตาย ปริคฺคณฺหนปญฺญาย อภาเวน ผลิกคุหภาวํ อชานิตฺวา หทเยน ปหริตฺวา มตา ภวิสฺสนฺติ, อสเมกฺขิตฺวา อติตุริตํ กโรนฺตานํ กมฺมํ นาม เอวรูปํ โหตี’’ติ วตฺวา ปฐมํ คาถมาห –

    Evaṃ chasupi bhātikesu matesu sabbapacchā bodhisatto āgacchi. Sā tassapi taṃ kāraṇaṃ ārocetvā ‘‘idāni so kuhi’’nti vutte ‘‘eso rajatapabbatamatthake ākāse nipanno’’ti āha. Bodhisatto cintesi – ‘‘siṅgālānaṃ ākāse patiṭṭhā nāma natthi, phalikaguhāyaṃ nipannako bhavissatī’’ti. So pabbatapādaṃ otaritvā cha bhātike mate disvā ‘‘ime attano bālatāya pariggaṇhanapaññāya abhāvena phalikaguhabhāvaṃ ajānitvā hadayena paharitvā matā bhavissanti, asamekkhitvā atituritaṃ karontānaṃ kammaṃ nāma evarūpaṃ hotī’’ti vatvā paṭhamaṃ gāthamāha –

    .

    3.

    ‘‘อสเมกฺขิตกมฺมนฺตํ, ตุริตาภินิปาตินํ;

    ‘‘Asamekkhitakammantaṃ, turitābhinipātinaṃ;

    สานิ กมฺมานิ ตเปฺปนฺติ, อุณฺหํวโชฺฌหิตํ มุเข’’ติฯ

    Sāni kammāni tappenti, uṇhaṃvajjhohitaṃ mukhe’’ti.

    ตตฺถ อสเมกฺขิตกมฺมนฺตํ, ตุริตาภินิปาตินนฺติ โย ปุคฺคโล ยํ กมฺมํ กตฺตุกาโม โหติ, ตตฺถ โทสํ อสเมกฺขิตฺวา อนุปธาเรตฺวา ตุริโต หุตฺวา เวเคเนว ตํ กมฺมํ กาตุํ อภินิปตติ ปกฺขนฺทติ ปฎิปชฺชติ, ตํ อสเมกฺขิตกมฺมนฺตํ ตุริตาภินิปาตินํ เอวํ สานิ กมฺมานิ ตเปฺปนฺติ, โสเจนฺติ กิลเมนฺติฯ ยถา กิํ? อุณฺหํวโชฺฌหิตํ มุเขติ, ยถา ภุญฺชเนฺตน ‘‘อิทํ สีตลํ อิทํ อุณฺห’’นฺติ อนุปธาเรตฺวา อุณฺหํ อโชฺฌหรณียํ มุเข อโชฺฌหริตํ ฐปิตํ มุขมฺปิ กณฺฐมฺปิ กุจฺฉิมฺปิ ทหติ โสเจติ กิลเมติ, เอวํ ตถารูปํ ปุคฺคลํ สานิ กมฺมานิ ตเปฺปนฺติฯ

    Tattha asamekkhitakammantaṃ, turitābhinipātinanti yo puggalo yaṃ kammaṃ kattukāmo hoti, tattha dosaṃ asamekkhitvā anupadhāretvā turito hutvā vegeneva taṃ kammaṃ kātuṃ abhinipatati pakkhandati paṭipajjati, taṃ asamekkhitakammantaṃ turitābhinipātinaṃ evaṃ sāni kammāni tappenti, socenti kilamenti. Yathā kiṃ? Uṇhaṃvajjhohitaṃ mukheti, yathā bhuñjantena ‘‘idaṃ sītalaṃ idaṃ uṇha’’nti anupadhāretvā uṇhaṃ ajjhoharaṇīyaṃ mukhe ajjhoharitaṃ ṭhapitaṃ mukhampi kaṇṭhampi kucchimpi dahati soceti kilameti, evaṃ tathārūpaṃ puggalaṃ sāni kammāni tappenti.

    อิติ โส สีโห อิมํ คาถํ วตฺวา ‘‘มม ภาติกา อนุปายกุสลตาย ‘สิงฺคาลํ มาเรสฺสามา’ติ อติเวเคน ปกฺขนฺทิตฺวา สยํ มตา, อหํ ปน เอวรูปํ อกตฺวา สิงฺคาลสฺส ผลิกคุหายํ นิปนฺนเสฺสว หทยํ ผาเลสฺสามี’’ติ สิงฺคาลสฺส อาโรหนโอโรหนมคฺคํ สลฺลเกฺขตฺวา ตทภิมุโข หุตฺวา ติกฺขตฺตุํ สีหนาทํ นทิ, ปถวิยา สทฺธิํ อากาสํ เอกนินฺนาทํ อโหสิฯ สิงฺคาลสฺส ผลิกคุหายํ นิปนฺนเสฺสว สีตตสิตสฺส หทยํ ผลิ, โส ตเตฺถว ชีวิตกฺขยํ ปาปุณิฯ

    Iti so sīho imaṃ gāthaṃ vatvā ‘‘mama bhātikā anupāyakusalatāya ‘siṅgālaṃ māressāmā’ti ativegena pakkhanditvā sayaṃ matā, ahaṃ pana evarūpaṃ akatvā siṅgālassa phalikaguhāyaṃ nipannasseva hadayaṃ phālessāmī’’ti siṅgālassa ārohanaorohanamaggaṃ sallakkhetvā tadabhimukho hutvā tikkhattuṃ sīhanādaṃ nadi, pathaviyā saddhiṃ ākāsaṃ ekaninnādaṃ ahosi. Siṅgālassa phalikaguhāyaṃ nipannasseva sītatasitassa hadayaṃ phali, so tattheva jīvitakkhayaṃ pāpuṇi.

    สตฺถา ‘‘เอวํ โส สิงฺคาโล สีหนาทํ สุตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปโตฺต’’ติ วตฺวา อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา ทุติยํ คาถมาห –

    Satthā ‘‘evaṃ so siṅgālo sīhanādaṃ sutvā jīvitakkhayaṃ patto’’ti vatvā abhisambuddho hutvā dutiyaṃ gāthamāha –

    .

    4.

    ‘‘สีโห จ สีหนาเทน, ททฺทรํ อภินาทยิ;

    ‘‘Sīho ca sīhanādena, daddaraṃ abhinādayi;

    สุตฺวา สีหสฺส นิโคฺฆสํ, สิงฺคาโล ททฺทเร วสํ;

    Sutvā sīhassa nigghosaṃ, siṅgālo daddare vasaṃ;

    ภีโต สนฺตาสมาปาทิ, หทยญฺจสฺส อปฺผลี’’ติฯ

    Bhīto santāsamāpādi, hadayañcassa apphalī’’ti.

    ตตฺถ สีโหติ จตฺตาโร สีหา – ติณสีโห, ปณฺฑุสีโห, กาฬสีโห, สุรตฺตหตฺถปาโท เกสรสีโหติฯ เตสุ เกสรสีโห อิธ อธิเปฺปโตฯ ททฺทรํ อภินาทยีติ เตน อสนิปาตสทฺทสทิเสน เภรวตเรน สีหนาเทน ตํ รชตปพฺพตํ อภินาทยิ เอกนินฺนาทํ อกาสิฯ ททฺทเร วสนฺติ ผลิกมิสฺสเก รชตปพฺพเต วสโนฺตฯ ภีโต สนฺตาสมาปาทีติ มรณภเยน ภีโต จิตฺตุตฺราสํ อาปาทิฯ หทยญฺจสฺส อปฺผลีติ เตน จสฺส ภเยน หทยํ ผลีติฯ

    Tattha sīhoti cattāro sīhā – tiṇasīho, paṇḍusīho, kāḷasīho, surattahatthapādo kesarasīhoti. Tesu kesarasīho idha adhippeto. Daddaraṃ abhinādayīti tena asanipātasaddasadisena bheravatarena sīhanādena taṃ rajatapabbataṃ abhinādayi ekaninnādaṃ akāsi. Daddare vasanti phalikamissake rajatapabbate vasanto. Bhīto santāsamāpādīti maraṇabhayena bhīto cittutrāsaṃ āpādi. Hadayañcassa apphalīti tena cassa bhayena hadayaṃ phalīti.

    เอวํ สีโห สิงฺคาลํ ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา ภาตโร เอกสฺมิํ ฐาเน ปฎิจฺฉาเทตฺวา เตสํ มตภาวํ ภคินิยา อาจิกฺขิตฺวา ตํ สมสฺสาเสตฺวา ยาวชีวํ กญฺจนคุหายํ วสิตฺวา ยถากมฺมํ คโตฯ

    Evaṃ sīho siṅgālaṃ jīvitakkhayaṃ pāpetvā bhātaro ekasmiṃ ṭhāne paṭicchādetvā tesaṃ matabhāvaṃ bhaginiyā ācikkhitvā taṃ samassāsetvā yāvajīvaṃ kañcanaguhāyaṃ vasitvā yathākammaṃ gato.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน อุปาสโก โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ‘‘ตทา สิงฺคาโล นฺหาปิตปุโตฺต อโหสิ, สีหโปติกา ลิจฺฉวิกุมาริกา, ฉ กนิฎฺฐภาตโร อญฺญตรเถรา อเหสุํ, เชฎฺฐภาติกสีโห ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne upāsako sotāpattiphale patiṭṭhahi. ‘‘Tadā siṅgālo nhāpitaputto ahosi, sīhapotikā licchavikumārikā, cha kaniṭṭhabhātaro aññataratherā ahesuṃ, jeṭṭhabhātikasīho pana ahameva ahosi’’nti.

    สิงฺคาลชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ

    Siṅgālajātakavaṇṇanā dutiyā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๕๒. สิงฺคาลชาตกํ • 152. Siṅgālajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact