Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā)

    ๘. สิงฺคาลสุตฺตวณฺณนา

    8. Siṅgālasuttavaṇṇanā

    นิทานวณฺณนา

    Nidānavaṇṇanā

    ๒๔๒. เอวํ เม สุตนฺติ สิงฺคาลสุตฺตํฯ ตตฺรายมนุตฺตานปทวณฺณนา – เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเปติ เวฬุวนนฺติ ตสฺส อุยฺยานสฺส นามํฯ ตํ กิร เวฬูหิ ปริกฺขิตฺตํ อโหสิ อฎฺฐารสหเตฺถน จ ปากาเรน โคปุรฎฺฎาลกยุตฺตํ นีโลภาสํ มโนรมํ, เตน เวฬุวนนฺติ วุจฺจติฯ กลนฺทกานเญฺจตฺถ นิวาปํ อทํสุ, เตน กลนฺทกนิวาโปติ วุจฺจติฯ

    242.Evaṃme sutanti siṅgālasuttaṃ. Tatrāyamanuttānapadavaṇṇanā – veḷuvane kalandakanivāpeti veḷuvananti tassa uyyānassa nāmaṃ. Taṃ kira veḷūhi parikkhittaṃ ahosi aṭṭhārasahatthena ca pākārena gopuraṭṭālakayuttaṃ nīlobhāsaṃ manoramaṃ, tena veḷuvananti vuccati. Kalandakānañcettha nivāpaṃ adaṃsu, tena kalandakanivāpoti vuccati.

    ปุเพฺพ กิร อญฺญตโร ราชา ตตฺถ อุยฺยานกีฬนตฺถํ อาคโต สุรามเทน มโตฺต ทิวา นิทฺทํ โอกฺกมิฯ ปริชโนปิสฺส ‘‘สุโตฺต ราชา’’ติ ปุปฺผผลาทีหิ ปโลภิยมาโน อิโต จิโต จ ปกฺกามิฯ อถ สุราคเนฺธน อญฺญตรสฺมา สุสิรรุกฺขา กณฺหสโปฺป นิกฺขมิตฺวา รโญฺญ อภิมุโข อาคจฺฉติ, ตํ ทิสฺวา รุกฺขเทวตา ‘‘รโญฺญ ชีวิตํ ทมฺมี’’ติ กาฬกเวเสน อาคนฺตฺวา กณฺณมูเล สทฺทมกาสิฯ ราชา ปฎิพุชฺฌิฯ กณฺหสโปฺป นิวโตฺตฯ โส ตํ ทิสฺวา ‘‘อิมาย กาฬกาย มม ชีวิตํ ทินฺน’’นฺติ กาฬกานํ ตตฺถ นิวาปํ ปฎฺฐเปสิ, อภยโฆสญฺจ โฆสาเปสิฯ ตสฺมา ตํ ตโต ปภุติ ‘‘กลนฺทกนิวาโป’’ติ สงฺขฺยํ คตํฯ กลนฺทกาติ หิ กาฬกานํ เอตํ นามํฯ

    Pubbe kira aññataro rājā tattha uyyānakīḷanatthaṃ āgato surāmadena matto divā niddaṃ okkami. Parijanopissa ‘‘sutto rājā’’ti pupphaphalādīhi palobhiyamāno ito cito ca pakkāmi. Atha surāgandhena aññatarasmā susirarukkhā kaṇhasappo nikkhamitvā rañño abhimukho āgacchati, taṃ disvā rukkhadevatā ‘‘rañño jīvitaṃ dammī’’ti kāḷakavesena āgantvā kaṇṇamūle saddamakāsi. Rājā paṭibujjhi. Kaṇhasappo nivatto. So taṃ disvā ‘‘imāya kāḷakāya mama jīvitaṃ dinna’’nti kāḷakānaṃ tattha nivāpaṃ paṭṭhapesi, abhayaghosañca ghosāpesi. Tasmā taṃ tato pabhuti ‘‘kalandakanivāpo’’ti saṅkhyaṃ gataṃ. Kalandakāti hi kāḷakānaṃ etaṃ nāmaṃ.

    เตน โข ปน สมเยนาติ ยสฺมิํ สมเย ภควา ราชคหํ โคจรคามํ กตฺวา เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเป วิหรติ, เตน สมเยนฯ สิงฺคาลโก คหปติปุโตฺตติ สิงฺคาลโกติ ตสฺส นามํฯ คหปติปุโตฺตติ คหปติสฺส ปุโตฺต คหปติปุโตฺตฯ ตสฺส กิร ปิตา คหปติมหาสาโล, นิทหิตฺวา ฐปิตา จสฺส เคเห จตฺตาลีส ธนโกฎิโย อตฺถิฯ โส ภควติ นิฎฺฐงฺคโต อุปาสโก โสตาปโนฺน, ภริยาปิสฺส โสตาปนฺนาเยวฯ ปุโตฺต ปนสฺส อสฺสโทฺธ อปฺปสโนฺนฯ อถ นํ มาตาปิตโร อภิกฺขณํ เอวํ โอวทนฺติ – ‘‘ตาต สตฺถารํ อุปสงฺกม, ธมฺมเสนาปติํ มหาโมคฺคลฺลานํ มหากสฺสปํ อสีติมหาสาวเก อุปสงฺกมา’’ติฯ โส เอวมาห – ‘‘นตฺถิ มม ตุมฺหากํ สมณานํ อุปสงฺกมนกิจฺจํ, สมณานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตพฺพํ โหติ, โอนมิตฺวา วนฺทนฺตสฺส ปิฎฺฐิ รุชฺชติ, ชาณุกานิ ขรานิ โหนฺติ, ภูมิยํ นิสีทิตพฺพํ โหติ, ตตฺถ นิสินฺนสฺส วตฺถานิ กิลิสฺสนฺติ ชีรนฺติ, สมีเป นิสินฺนกาลโต ปฎฺฐาย กถาสลฺลาโป โหติ, ตสฺมิํ สติ วิสฺสาโส อุปฺปชฺชติ, ตโต นิมเนฺตตฺวา จีวรปิณฺฑปาตาทีนิ ทาตพฺพานิ โหนฺติฯ เอวํ สเนฺต อโตฺถ ปริหายติ, นตฺถิ มยฺหํ ตุมฺหากํ สมณานํ อุปสงฺกมนกิจฺจ’’นฺติฯ อิติ นํ ยาวชีวํ โอวทนฺตาปิ มาตาปิตโร สาสเน อุปเนตุํ นาสกฺขิํสุฯ

    Tena kho pana samayenāti yasmiṃ samaye bhagavā rājagahaṃ gocaragāmaṃ katvā veḷuvane kalandakanivāpe viharati, tena samayena. Siṅgālako gahapatiputtoti siṅgālakoti tassa nāmaṃ. Gahapatiputtoti gahapatissa putto gahapatiputto. Tassa kira pitā gahapatimahāsālo, nidahitvā ṭhapitā cassa gehe cattālīsa dhanakoṭiyo atthi. So bhagavati niṭṭhaṅgato upāsako sotāpanno, bhariyāpissa sotāpannāyeva. Putto panassa assaddho appasanno. Atha naṃ mātāpitaro abhikkhaṇaṃ evaṃ ovadanti – ‘‘tāta satthāraṃ upasaṅkama, dhammasenāpatiṃ mahāmoggallānaṃ mahākassapaṃ asītimahāsāvake upasaṅkamā’’ti. So evamāha – ‘‘natthi mama tumhākaṃ samaṇānaṃ upasaṅkamanakiccaṃ, samaṇānaṃ santikaṃ gantvā vanditabbaṃ hoti, onamitvā vandantassa piṭṭhi rujjati, jāṇukāni kharāni honti, bhūmiyaṃ nisīditabbaṃ hoti, tattha nisinnassa vatthāni kilissanti jīranti, samīpe nisinnakālato paṭṭhāya kathāsallāpo hoti, tasmiṃ sati vissāso uppajjati, tato nimantetvā cīvarapiṇḍapātādīni dātabbāni honti. Evaṃ sante attho parihāyati, natthi mayhaṃ tumhākaṃ samaṇānaṃ upasaṅkamanakicca’’nti. Iti naṃ yāvajīvaṃ ovadantāpi mātāpitaro sāsane upanetuṃ nāsakkhiṃsu.

    อถสฺส ปิตา มรณมเญฺจ นิปโนฺน ‘‘มม ปุตฺตสฺส โอวาทํ ทาตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ปุน จิเนฺตสิ – ‘‘ทิสา ตาต นมสฺสาหี’’ติ เอวมสฺส โอวาทํ ทสฺสามิ, โส อตฺถํ อชานโนฺต ทิสา นมสฺสิสฺสติ, อถ นํ สตฺถา วา สาวกา วา ปสฺสิตฺวา ‘‘กิํ กโรสี’’ติ ปุจฺฉิสฺสนฺติฯ ตโต ‘‘มยฺหํ ปิตา ทิสา นมสฺสนํ กโรหีติ มํ โอวที’’ติ วกฺขติฯ อถสฺส เต ‘‘น ตุยฺหํ ปิตา เอตา ทิสา นมสฺสาเปติ, อิมา ปน ทิสา นมสฺสาเปตี’’ติ ธมฺมํ เทเสสฺสนฺติฯ โส พุทฺธสาสเน คุณํ ญตฺวา ‘‘ปุญฺญกมฺมํ กริสฺสตี’’ติฯ อถ นํ อามนฺตาเปตฺวา ‘‘ตาต, ปาโตว อุฎฺฐาย ฉ ทิสา นมเสฺสยฺยาสี’’ติ อาหฯ มรณมเญฺจ นิปนฺนสฺส กถา นาม ยาวชีวํ อนุสฺสรณียา โหติฯ ตสฺมา โส คหปติปุโตฺต ตํ ปิตุวจนํ อนุสฺสรโนฺต ตถา อกาสิฯ ตสฺมา ‘‘กาลเสฺสว อุฎฺฐาย ราชคหา นิกฺขมิตฺวา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    Athassa pitā maraṇamañce nipanno ‘‘mama puttassa ovādaṃ dātuṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā puna cintesi – ‘‘disā tāta namassāhī’’ti evamassa ovādaṃ dassāmi, so atthaṃ ajānanto disā namassissati, atha naṃ satthā vā sāvakā vā passitvā ‘‘kiṃ karosī’’ti pucchissanti. Tato ‘‘mayhaṃ pitā disā namassanaṃ karohīti maṃ ovadī’’ti vakkhati. Athassa te ‘‘na tuyhaṃ pitā etā disā namassāpeti, imā pana disā namassāpetī’’ti dhammaṃ desessanti. So buddhasāsane guṇaṃ ñatvā ‘‘puññakammaṃ karissatī’’ti. Atha naṃ āmantāpetvā ‘‘tāta, pātova uṭṭhāya cha disā namasseyyāsī’’ti āha. Maraṇamañce nipannassa kathā nāma yāvajīvaṃ anussaraṇīyā hoti. Tasmā so gahapatiputto taṃ pituvacanaṃ anussaranto tathā akāsi. Tasmā ‘‘kālasseva uṭṭhāya rājagahā nikkhamitvā’’tiādi vuttaṃ.

    ๒๔๓. ปุถุทิสาติ พหุทิสาฯ อิทานิ ตา ทเสฺสโนฺต ปุรตฺถิมํ ทิสนฺติอาทิมาหฯ ปาวิสีติ น ตาว ปวิโฎฺฐ, ปวิสิสฺสามีติ นิกฺขนฺตตฺตา ปน อนฺตรามเคฺค วตฺตมาโนปิ เอวํ วุจฺจติฯ อทฺทสา โข ภควาติ น อิทาเนว อทฺทส, ปจฺจูสสมเยปิ พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต เอตํ ทิสา นมสฺสมานํ ทิสฺวา ‘‘อชฺช อหํ สิงฺคาลสฺส คหปติปุตฺตสฺส คิหิวินยํ สิงฺคาลสุตฺตนฺตํ กเถสฺสามิ, มหาชนสฺส สา กถา สผลา ภวิสฺสติ, คนฺตพฺพํ มยา เอตฺถา’’ติฯ ตสฺมา ปาโตว นิกฺขมิตฺวา ราชคหํ ปิณฺฑาย ปาวิสิ, ปวิสโนฺต จ นํ ตเถว อทฺทสฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อทฺทสา โข ภควา’’ติฯ เอตทโวจาติ โส กิร อวิทูเร ฐิตมฺปิ สตฺถารํ น ปสฺสติ, ทิสาเยว นมสฺสติฯ อถํ นํ ภควา สูริยรสฺมิสมฺผเสฺสน วิกสมานํ มหาปทุมํ วิย มุขํ วิวริตฺวา ‘‘กิํ นุ โข ตฺวํ, คหปติปุตฺตา’’ติอาทิกํ เอตทโวจฯ

    243.Puthudisāti bahudisā. Idāni tā dassento puratthimaṃ disantiādimāha. Pāvisīti na tāva paviṭṭho, pavisissāmīti nikkhantattā pana antarāmagge vattamānopi evaṃ vuccati. Addasā kho bhagavāti na idāneva addasa, paccūsasamayepi buddhacakkhunā lokaṃ volokento etaṃ disā namassamānaṃ disvā ‘‘ajja ahaṃ siṅgālassa gahapatiputtassa gihivinayaṃ siṅgālasuttantaṃ kathessāmi, mahājanassa sā kathā saphalā bhavissati, gantabbaṃ mayā etthā’’ti. Tasmā pātova nikkhamitvā rājagahaṃ piṇḍāya pāvisi, pavisanto ca naṃ tatheva addasa. Tena vuttaṃ – ‘‘addasā kho bhagavā’’ti. Etadavocāti so kira avidūre ṭhitampi satthāraṃ na passati, disāyeva namassati. Athaṃ naṃ bhagavā sūriyarasmisamphassena vikasamānaṃ mahāpadumaṃ viya mukhaṃ vivaritvā ‘‘kiṃ nu kho tvaṃ, gahapatiputtā’’tiādikaṃ etadavoca.

    ฉทิสาทิวณฺณนา

    Chadisādivaṇṇanā

    ๒๔๔. ยถา กถํ ปน, ภเนฺตติ โส กิร ตํ ภควโต วจนํ สุตฺวาว จิเนฺตสิ ‘‘ยา กิร มม ปิตรา ฉ ทิสา นมสฺสิตพฺพา’’ติ วุตฺตา, น กิร ตา เอตา, อญฺญา กิร อริยสาวเกน ฉ ทิสา นมสฺสิตพฺพาฯ หนฺทาหํ อริยสาวเกน นมสฺสิตพฺพา ทิสาเยว ปุจฺฉิตฺวา นมสฺสามีติฯ โส ตา ปุจฺฉโนฺต ยถา กถํ ปน, ภเนฺตติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยถาติ นิปาตมตฺตํฯ กถํ ปนาติ อิทเมว ปุจฺฉาปทํฯ กมฺมกิเลสาติ เตหิ กเมฺมหิ สตฺตา กิลิสฺสนฺติ, ตสฺมา กมฺมกิเลสาติ วุจฺจนฺติฯ ฐาเนหีติ การเณหิฯ อปายมุขานีติ วินาสมุขานิฯ โสติ โส โสตาปโนฺน อริยสาวโกฯ จุทฺทส ปาปกาปคโตติ เอเตหิ จุทฺทสหิ ปาปเกหิ ลามเกหิ อปคโตฯ ฉทฺทิสาปฎิจฺฉาทีติ ฉ ทิสา ปฎิจฺฉาเทโนฺตฯ อุโภโลกวิชยายาติ อุภินฺนํ อิธโลกปรโลกานํ วิชินนตฺถายฯ อยเญฺจว โลโก อารโทฺธ โหตีติ เอวรูปสฺส หิ อิธ โลเก ปญฺจ เวรานิ น โหนฺติ, เตนสฺส อยเญฺจว โลโก อารโทฺธ โหติ ปริโตสิโต เจว นิปฺผาทิโต จฯ ปรโลเกปิ ปญฺจ เวรานิ น โหนฺติ, เตนสฺส ปโร จ โลโก อาราธิโต โหติฯ ตสฺมา โส กายสฺส เภทา ปรมฺมรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติฯ

    244.Yathākathaṃ pana, bhanteti so kira taṃ bhagavato vacanaṃ sutvāva cintesi ‘‘yā kira mama pitarā cha disā namassitabbā’’ti vuttā, na kira tā etā, aññā kira ariyasāvakena cha disā namassitabbā. Handāhaṃ ariyasāvakena namassitabbā disāyeva pucchitvā namassāmīti. So tā pucchanto yathā kathaṃ pana, bhantetiādimāha. Tattha yathāti nipātamattaṃ. Kathaṃ panāti idameva pucchāpadaṃ. Kammakilesāti tehi kammehi sattā kilissanti, tasmā kammakilesāti vuccanti. Ṭhānehīti kāraṇehi. Apāyamukhānīti vināsamukhāni. Soti so sotāpanno ariyasāvako. Cuddasa pāpakāpagatoti etehi cuddasahi pāpakehi lāmakehi apagato. Chaddisāpaṭicchādīti cha disā paṭicchādento. Ubholokavijayāyāti ubhinnaṃ idhalokaparalokānaṃ vijinanatthāya. Ayañceva loko āraddho hotīti evarūpassa hi idha loke pañca verāni na honti, tenassa ayañceva loko āraddho hoti paritosito ceva nipphādito ca. Paralokepi pañca verāni na honti, tenassa paro ca loko ārādhito hoti. Tasmā so kāyassa bhedā parammaraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjati.

    ๒๔๕. อิติ ภควา สเงฺขเปน มาติกํ ฐเปตฺวา อิทานิ ตเมว วิตฺถาเรโนฺต กตมสฺส จตฺตาโร กมฺมกิเลสาติอาทิมาหฯ กมฺมกิเลโสติ กมฺมญฺจ ตํ กิเลสสมฺปยุตฺตตฺตา กิเลโส จาติ กมฺมกิเลโสฯ สกิเลโสเยว หิ ปาณํ หนติ, นิกฺกิเลโส น หนติ, ตสฺมา ปาณาติปาโต ‘‘กมฺมกิเลโส’’ติ วุโตฺตฯ อทินฺนาทานาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อถาปรนฺติ อปรมฺปิ เอตทตฺถปริทีปกเมว คาถาพนฺธํ อโวจาติ อโตฺถฯ

    245. Iti bhagavā saṅkhepena mātikaṃ ṭhapetvā idāni tameva vitthārento katamassa cattāro kammakilesātiādimāha. Kammakilesoti kammañca taṃ kilesasampayuttattā kileso cāti kammakileso. Sakilesoyeva hi pāṇaṃ hanati, nikkileso na hanati, tasmā pāṇātipāto ‘‘kammakileso’’ti vutto. Adinnādānādīsupi eseva nayo. Athāparanti aparampi etadatthaparidīpakameva gāthābandhaṃ avocāti attho.

    จตุฐานาทิวณฺณนา

    Catuṭhānādivaṇṇanā

    ๒๔๖. ปาปกมฺมํ กโรตีติ อิทํ ภควา ยสฺมา การเก ทสฺสิเต อการโก ปากโฎ โหติ, ตสฺมา ‘‘ปาปกมฺมํ น กโรตี’’ติ มาติกํ ฐเปตฺวาปิ เทสนากุสลตาย ปฐมตรํ การกํ ทเสฺสโนฺต อาห ฯ ตตฺถ ฉนฺทาคติํ คจฺฉโนฺตติ ฉเนฺทน เปเมน อคติํ คจฺฉโนฺต อกตฺตพฺพํ กโรโนฺตฯ ปรปเทสุปิ เอเสว นโยฯ ตตฺถ โย ‘‘อยํ เม มิโตฺต วา สมฺภโตฺต วา สนฺทิโฎฺฐ วา ญาตโก วา ลญฺชํ วา ปน เม เทตี’’ติ ฉนฺทวเสน อสฺสามิกํ สามิกํ กโรติ, อยํ ฉนฺทาคติํ คจฺฉโนฺต ปาปกมฺมํ กโรติ นามฯ โย ‘‘อยํ เม เวรี’’ติ ปกติเวรวเสน ตงฺขณุปฺปนฺนโกธวเสน วา สามิกํ อสฺสามิกํ กโรติ, อยํ โทสาคติํ คจฺฉโนฺต ปาปกมฺมํ กโรติ นามฯ โย ปน มนฺทตฺตา โมมูหตฺตา ยํ วา ตํ วา วตฺวา อสฺสามิกํ สามิกํ กโรติ, อยํ โมหาคติํ คจฺฉโนฺต ปาปกมฺมํ กโรติ นามฯ โย ปน ‘‘อยํ ราชวลฺลโภ วา วิสมนิสฺสิโต วา อนตฺถมฺปิ เม กเรยฺยา’’ติ ภีโต อสฺสามิกํ สามิกํ กโรติ, อยํ ภยาคติํ คจฺฉโนฺต ปาปกมฺมํ กโรติ นามฯ โย ปน ยํกิญฺจิ ภาเชโนฺต ‘‘อยํ เม สนฺทิโฎฺฐ วา สมฺภโตฺต วา’’ติ เปมวเสน อติเรกํ เทติ, ‘‘อยํ เม เวรี’’ติ โทสวเสน อูนกํ เทติ, โมมูหตฺตา ทินฺนาทินฺนํ อชานมาโน กสฺสจิ อูนํ กสฺสจิ อธิกํ เทติ, ‘‘อยํ อิมสฺมิํ อทิยฺยมาเน มยฺหํ อนตฺถมฺปิ กเรยฺยา’’ติ ภีโต กสฺสจิ อติเรกํ เทติ, โส จตุพฺพิโธปิ ยถานุกฺกเมน ฉนฺทาคติอาทีนิ คจฺฉโนฺต ปาปกมฺมํ กโรติ นามฯ

    246.Pāpakammaṃkarotīti idaṃ bhagavā yasmā kārake dassite akārako pākaṭo hoti, tasmā ‘‘pāpakammaṃ na karotī’’ti mātikaṃ ṭhapetvāpi desanākusalatāya paṭhamataraṃ kārakaṃ dassento āha . Tattha chandāgatiṃ gacchantoti chandena pemena agatiṃ gacchanto akattabbaṃ karonto. Parapadesupi eseva nayo. Tattha yo ‘‘ayaṃ me mitto vā sambhatto vā sandiṭṭho vā ñātako vā lañjaṃ vā pana me detī’’ti chandavasena assāmikaṃ sāmikaṃ karoti, ayaṃ chandāgatiṃ gacchanto pāpakammaṃ karoti nāma. Yo ‘‘ayaṃ me verī’’ti pakativeravasena taṅkhaṇuppannakodhavasena vā sāmikaṃ assāmikaṃ karoti, ayaṃ dosāgatiṃ gacchanto pāpakammaṃ karoti nāma. Yo pana mandattā momūhattā yaṃ vā taṃ vā vatvā assāmikaṃ sāmikaṃ karoti, ayaṃ mohāgatiṃ gacchanto pāpakammaṃ karoti nāma. Yo pana ‘‘ayaṃ rājavallabho vā visamanissito vā anatthampi me kareyyā’’ti bhīto assāmikaṃ sāmikaṃ karoti, ayaṃ bhayāgatiṃ gacchanto pāpakammaṃ karoti nāma. Yo pana yaṃkiñci bhājento ‘‘ayaṃ me sandiṭṭho vā sambhatto vā’’ti pemavasena atirekaṃ deti, ‘‘ayaṃ me verī’’ti dosavasena ūnakaṃ deti, momūhattā dinnādinnaṃ ajānamāno kassaci ūnaṃ kassaci adhikaṃ deti, ‘‘ayaṃ imasmiṃ adiyyamāne mayhaṃ anatthampi kareyyā’’ti bhīto kassaci atirekaṃ deti, so catubbidhopi yathānukkamena chandāgatiādīni gacchanto pāpakammaṃ karoti nāma.

    อริยสาวโก ปน ชีวิตกฺขยํ ปาปุณโนฺตปิ ฉนฺทาคติอาทีนิ น คจฺฉติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อิเมหิ จตูหิ ฐาเนหิ ปาปกมฺมํ น กโรตี’’ติฯ

    Ariyasāvako pana jīvitakkhayaṃ pāpuṇantopi chandāgatiādīni na gacchati. Tena vuttaṃ – ‘‘imehi catūhi ṭhānehi pāpakammaṃ na karotī’’ti.

    นิหียติ ยโส ตสฺสาติ ตสฺส อคติคามิโน กิตฺติยโสปิ ปริวารยโสปิ นิหียติ ปริหายติฯ

    Nihīyati yaso tassāti tassa agatigāmino kittiyasopi parivārayasopi nihīyati parihāyati.

    ฉอปายมุขาทิวณฺณนา

    Chaapāyamukhādivaṇṇanā

    ๒๔๗. สุราเมรยมชฺชปฺปมาทฎฺฐานานุโยโคติ เอตฺถ สุราติ ปิฎฺฐสุรา ปูวสุรา โอทนสุรา กิณฺณปกฺขิตฺตา สมฺภารสํยุตฺตาติ ปญฺจ สุราฯ เมรยนฺติ ปุปฺผาสโว ผลาสโว มธฺวาสโว คุฬาสโว สมฺภารสํยุโตฺตติ ปญฺจ อาสวาฯ ตํ สพฺพมฺปิ มทกรณวเสน มชฺชํฯ ปมาทฎฺฐานนฺติ ปมาทการณํฯ ยาย เจตนาย ตํ มชฺชํ ปิวติ, ตสฺส เอตํ อธิวจนํฯ อนุโยโคติ ตสฺส สุราเมรยมชฺชปฺปมาทฎฺฐานสฺส อนุอนุโยโค ปุนปฺปุนํ กรณํฯ ยสฺมา ปเนตํ อนุยุตฺตสฺส อุปฺปนฺนา เจว โภคา ปริหายนฺติ, อนุปฺปนฺนา จ นุปฺปชฺชนฺติ, ตสฺมา ‘‘โภคานํ อปายมุข’’นฺติ วุตฺตํฯ วิกาลวิสิขาจริยานุโยโคติ อเวลาย วิสิขาสุ จริยานุยุตฺตตาฯ

    247.Surāmerayamajjappamādaṭṭhānānuyogoti ettha surāti piṭṭhasurā pūvasurā odanasurā kiṇṇapakkhittā sambhārasaṃyuttāti pañca surā. Merayanti pupphāsavo phalāsavo madhvāsavo guḷāsavo sambhārasaṃyuttoti pañca āsavā. Taṃ sabbampi madakaraṇavasena majjaṃ. Pamādaṭṭhānanti pamādakāraṇaṃ. Yāya cetanāya taṃ majjaṃ pivati, tassa etaṃ adhivacanaṃ. Anuyogoti tassa surāmerayamajjappamādaṭṭhānassa anuanuyogo punappunaṃ karaṇaṃ. Yasmā panetaṃ anuyuttassa uppannā ceva bhogā parihāyanti, anuppannā ca nuppajjanti, tasmā ‘‘bhogānaṃ apāyamukha’’nti vuttaṃ. Vikālavisikhācariyānuyogoti avelāya visikhāsu cariyānuyuttatā.

    สมชฺชาภิจรณนฺติ นจฺจาทิทสฺสนวเสน สมชฺชาคมนํฯ อาลสฺยานุโยโคติ กายาลสิยตาย ยุตฺตปฺปยุตฺตตาฯ

    Samajjābhicaraṇanti naccādidassanavasena samajjāgamanaṃ. Ālasyānuyogoti kāyālasiyatāya yuttappayuttatā.

    สุราเมรยสฺส ฉอาทีนวาทิวณฺณนา

    Surāmerayassa chaādīnavādivaṇṇanā

    ๒๔๘. เอวํ ฉนฺนํ อปายมุขานํ มาติกํ ฐเปตฺวา อิทานิ ตานิ วิภชโนฺต ฉ โข เม, คหปติปุตฺต อาทีนวาติอาทิมาหฯ ตตฺถ สนฺทิฎฺฐิกาติ สามํ ปสฺสิตพฺพา, อิธโลกภาวินีฯ ธนชานีติ ธนหานิฯ กลหปฺปวฑฺฒนีติ วาจากลหสฺส เจว หตฺถปรามาสาทิกายกลหสฺส จ วฑฺฒนีฯ โรคานํ อายตนนฺติ เตสํ เตสํ อกฺขิโรคาทีนํ เขตฺตํฯ อกิตฺติสญฺชนนีติ สุรํ ปิวิตฺวา หิ มาตรมฺปิ ปหรนฺติ ปิตรมฺปิ, อญฺญํ พหุมฺปิ อวตฺตพฺพํ วทนฺติ, อกตฺตพฺพํ กโรนฺติฯ เตน ครหมฺปิ ทณฺฑมฺปิ หตฺถปาทาทิเฉทมฺปิ ปาปุณนฺติ, อิธโลเกปิ ปรโลเกปิ อกิตฺติํ ปาปุณนฺติ, อิติ เตสํ สา สุรา อกิตฺติสญฺชนนี นาม โหติฯ โกปีนนิทํสนีติ คุยฺหฎฺฐานญฺหิ วิวริยมานํ หิริํ โกเปติ วินาเสติ, ตสฺมา ‘‘โกปีน’’นฺติ วุจฺจติ, สุรามทมตฺตา จ ตํ ตํ องฺคํ วิวริตฺวา วิจรนฺติ, เตน เนสํ สา สุรา โกปีนสฺส นิทํสนโต ‘‘โกปีนนิทํสนี’’ติ วุจฺจติฯ ปญฺญาย ทุพฺพลิกรณีติ สาคตเตฺถรสฺส วิย กมฺมสฺสกตปญฺญํ ทุพฺพลํ กโรติ, ตสฺมา ‘‘ปญฺญาย ทุพฺพลิกรณี’’ติ วุจฺจติฯ มคฺคปญฺญํ ปน ทุพฺพลํ กาตุํ น สโกฺกติฯ อธิคตมคฺคานญฺหิ สา อโนฺตมุขเมว น ปวิสติฯ ฉฎฺฐํ ปทนฺติ ฉฎฺฐํ การณํฯ

    248. Evaṃ channaṃ apāyamukhānaṃ mātikaṃ ṭhapetvā idāni tāni vibhajanto cha kho me, gahapatiputta ādīnavātiādimāha. Tattha sandiṭṭhikāti sāmaṃ passitabbā, idhalokabhāvinī. Dhanajānīti dhanahāni. Kalahappavaḍḍhanīti vācākalahassa ceva hatthaparāmāsādikāyakalahassa ca vaḍḍhanī. Rogānaṃ āyatananti tesaṃ tesaṃ akkhirogādīnaṃ khettaṃ. Akittisañjananīti suraṃ pivitvā hi mātarampi paharanti pitarampi, aññaṃ bahumpi avattabbaṃ vadanti, akattabbaṃ karonti. Tena garahampi daṇḍampi hatthapādādichedampi pāpuṇanti, idhalokepi paralokepi akittiṃ pāpuṇanti, iti tesaṃ sā surā akittisañjananī nāma hoti. Kopīnanidaṃsanīti guyhaṭṭhānañhi vivariyamānaṃ hiriṃ kopeti vināseti, tasmā ‘‘kopīna’’nti vuccati, surāmadamattā ca taṃ taṃ aṅgaṃ vivaritvā vicaranti, tena nesaṃ sā surā kopīnassa nidaṃsanato ‘‘kopīnanidaṃsanī’’ti vuccati. Paññāya dubbalikaraṇīti sāgatattherassa viya kammassakatapaññaṃ dubbalaṃ karoti, tasmā ‘‘paññāya dubbalikaraṇī’’ti vuccati. Maggapaññaṃ pana dubbalaṃ kātuṃ na sakkoti. Adhigatamaggānañhi sā antomukhameva na pavisati. Chaṭṭhaṃ padanti chaṭṭhaṃ kāraṇaṃ.

    ๒๔๙. อตฺตาปิสฺส อคุโตฺต อรกฺขิโต โหตีติ อเวลาย จรโนฺต หิ ขาณุกณฺฎกาทีนิปิ อกฺกมติ, อหินาปิ ยกฺขาทีหิปิ สมาคจฺฉติ, ตํ ตํ ฐานํ คจฺฉตีติ ญตฺวา เวริโนปิ นํ นิลียิตฺวา คณฺหนฺติ วา หนนฺติ วาฯ เอวํ อตฺตาปิสฺส อคุโตฺต โหติ อรกฺขิโตฯ ปุตฺตทาราปิ ‘‘อมฺหากํ ปิตา อมฺหากํ สามิ รตฺติํ วิจรติ, กิมงฺคํ ปน มย’’นฺติ อิติสฺส ปุตฺตธีตโรปิ ภริยาปิ พหิ ปตฺถนํ กตฺวา รตฺติํ จรนฺตา อนยพฺยสนํ ปาปุณนฺติฯ เอวํ ปุตฺตทาโรปิสฺส อคุโตฺต อรกฺขิโต โหติฯ สาปเตยฺยนฺติ ตสฺส ปุตฺตทารปริชนสฺส รตฺติํ จรณกภาวํ ญตฺวา โจรา สุญฺญํ เคหํ ปวิสิตฺวา ยํ อิจฺฉนฺติ, ตํ หรนฺติฯ เอวํ สาปเตยฺยมฺปิสฺส อคุตฺตํ อรกฺขิตํ โหติฯ สงฺกิโย จ โหตีติ อเญฺญหิ กตปาปกเมฺมสุปิ ‘‘อิมินา กตํ ภวิสฺสตี’’ติ สงฺกิตโพฺพ โหติฯ ยสฺส ยสฺส ฆรทฺวาเรน ยาติ, ตตฺถ ยํ อเญฺญน โจรกมฺมํ ปรทาริกกมฺมํ วา กตํ, ตํ ‘‘อิมินา กต’’นฺติ วุเตฺต อภูตํ อสนฺตมฺปิ ตสฺมิํ รูหติ ปติฎฺฐาติฯ พหูนญฺจ ทุกฺขธมฺมานนฺติ เอตฺตกํ ทุกฺขํ, เอตฺตกํ โทมนสฺสนฺติ วตฺตุํ น สกฺกา, อญฺญสฺมิํ ปุคฺคเล อสติ สพฺพํ วิกาลจาริมฺหิ อาหริตพฺพํ โหติ, อิติ โส พหูนํ ทุกฺขธมฺมานํ ปุรกฺขโต ปุเรคามี โหติฯ

    249.Attāpissa agutto arakkhito hotīti avelāya caranto hi khāṇukaṇṭakādīnipi akkamati, ahināpi yakkhādīhipi samāgacchati, taṃ taṃ ṭhānaṃ gacchatīti ñatvā verinopi naṃ nilīyitvā gaṇhanti vā hananti vā. Evaṃ attāpissa agutto hoti arakkhito. Puttadārāpi ‘‘amhākaṃ pitā amhākaṃ sāmi rattiṃ vicarati, kimaṅgaṃ pana maya’’nti itissa puttadhītaropi bhariyāpi bahi patthanaṃ katvā rattiṃ carantā anayabyasanaṃ pāpuṇanti. Evaṃ puttadāropissa agutto arakkhito hoti. Sāpateyyanti tassa puttadāraparijanassa rattiṃ caraṇakabhāvaṃ ñatvā corā suññaṃ gehaṃ pavisitvā yaṃ icchanti, taṃ haranti. Evaṃ sāpateyyampissa aguttaṃ arakkhitaṃ hoti. Saṅkiyo ca hotīti aññehi katapāpakammesupi ‘‘iminā kataṃ bhavissatī’’ti saṅkitabbo hoti. Yassa yassa gharadvārena yāti, tattha yaṃ aññena corakammaṃ paradārikakammaṃ vā kataṃ, taṃ ‘‘iminā kata’’nti vutte abhūtaṃ asantampi tasmiṃ rūhati patiṭṭhāti. Bahūnañca dukkhadhammānanti ettakaṃ dukkhaṃ, ettakaṃ domanassanti vattuṃ na sakkā, aññasmiṃ puggale asati sabbaṃ vikālacārimhi āharitabbaṃ hoti, iti so bahūnaṃ dukkhadhammānaṃ purakkhato puregāmī hoti.

    ๒๕๐. กฺว นจฺจนฺติ ‘‘กสฺมิํ ฐาเน นฎนาฎกาทินจฺจํ อตฺถี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ยสฺมิํ คาเม วา นิคเม วา ตํ อตฺถิ, ตตฺถ คนฺตพฺพํ โหติ, ตสฺส ‘‘เสฺว นจฺจทสฺสนํ คมิสฺสามี’’ติ อชฺช วตฺถคนฺธมาลาทีนิ ปฎิยาเทนฺตเสฺสว สกลทิวสมฺปิ กมฺมเจฺฉโท โหติ, นจฺจทสฺสเนน เอกาหมฺปิ ทฺวีหมฺปิ ตีหมฺปิ ตเตฺถว โหติ, อถ วุฎฺฐิสมฺปตฺติยาทีนิ ลภิตฺวาปิ วปฺปาทิกาเล วปฺปาทีนิ อกโรนฺตสฺส อนุปฺปนฺนา โภคา นุปฺปชฺชนฺติ, ตสฺส พหิ คตภาวํ ญตฺวา อนารเกฺข เคเห โจรา ยํ อิจฺฉนฺติ, ตํ กโรนฺติ, เตนสฺส อุปฺปนฺนาปิ โภคา วินสฺสนฺติฯ กฺว คีตนฺติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ เตสํ นานากรณํ พฺรหฺมชาเล วุตฺตเมวฯ

    250.Kvanaccanti ‘‘kasmiṃ ṭhāne naṭanāṭakādinaccaṃ atthī’’ti pucchitvā yasmiṃ gāme vā nigame vā taṃ atthi, tattha gantabbaṃ hoti, tassa ‘‘sve naccadassanaṃ gamissāmī’’ti ajja vatthagandhamālādīni paṭiyādentasseva sakaladivasampi kammacchedo hoti, naccadassanena ekāhampi dvīhampi tīhampi tattheva hoti, atha vuṭṭhisampattiyādīni labhitvāpi vappādikāle vappādīni akarontassa anuppannā bhogā nuppajjanti, tassa bahi gatabhāvaṃ ñatvā anārakkhe gehe corā yaṃ icchanti, taṃ karonti, tenassa uppannāpi bhogā vinassanti. Kva gītantiādīsupi eseva nayo. Tesaṃ nānākaraṇaṃ brahmajāle vuttameva.

    ๒๕๑. ชยํ เวรนฺติ ‘‘ชิตํ มยา’’ติ ปริสมเชฺฌ ปรสฺส สาฎกํ วา เวฐนํ วา คณฺหาติ, โส ‘‘ปริสมเชฺฌ เม อวมานํ กโรสิ, โหตุ, สิกฺขาเปสฺสามิ น’’นฺติ ตตฺถ เวรํ พนฺธติ, เอวํ ชินโนฺต สยํ เวรํ ปสวติฯ ชิโนติ อเญฺญน ชิโต สมาโน ยํ เตน ตสฺส เวฐนํ วา สาฎโก วา อญฺญํ วา ปน หิรญฺญสุวณฺณาทิวิตฺตํ คหิตํ, ตํ อนุโสจติ ‘‘อโหสิ วต เม, ตํ ตํ วต เม นตฺถี’’ติ ตปฺปจฺจยา โสจติฯ เอวํ โส ชิโน วิตฺตํ อนุโสจติฯ สภาคตสฺส วจนํ น รูหตีติ วินิจฺฉยฎฺฐาเน สกฺขิปุฎฺฐสฺส สโต วจนํ น รูหติ, น ปติฎฺฐาติ, ‘‘อยํ อกฺขโสโณฺฑ ชูตกโร, มา ตสฺส วจนํ คณฺหิตฺถา’’ติ วตฺตาโร ภวนฺติฯ มิตฺตามจฺจานํ ปริภูโต โหตีติ ตญฺหิ มิตามจฺจา เอวํ วทนฺติ – ‘‘สมฺม, ตฺวมฺปิ นาม กุลปุโตฺต ชูตกโร ฉินฺนภินฺนโก หุตฺวา วิจรสิ, น เต อิทํ ชาติโคตฺตานํ อนุรูปํ, อิโต ปฎฺฐาย มา เอวํ กเรยฺยาสี’’ติฯ โส เอวํ วุโตฺตปิ เตสํ วจนํ น กโรติฯ ตโต เตน สทฺธิํ เอกโต น ติฎฺฐนฺติ น นิสีทนฺติฯ ตสฺส การณา สกฺขิปุฎฺฐาปิ น กเถนฺติฯ เอวํ มิตฺตามจฺจานํ ปริภูโต โหติฯ

    251.Jayaṃ veranti ‘‘jitaṃ mayā’’ti parisamajjhe parassa sāṭakaṃ vā veṭhanaṃ vā gaṇhāti, so ‘‘parisamajjhe me avamānaṃ karosi, hotu, sikkhāpessāmi na’’nti tattha veraṃ bandhati, evaṃ jinanto sayaṃ veraṃ pasavati. Jinoti aññena jito samāno yaṃ tena tassa veṭhanaṃ vā sāṭako vā aññaṃ vā pana hiraññasuvaṇṇādivittaṃ gahitaṃ, taṃ anusocati ‘‘ahosi vata me, taṃ taṃ vata me natthī’’ti tappaccayā socati. Evaṃ so jino vittaṃ anusocati. Sabhāgatassa vacanaṃ na rūhatīti vinicchayaṭṭhāne sakkhipuṭṭhassa sato vacanaṃ na rūhati, na patiṭṭhāti, ‘‘ayaṃ akkhasoṇḍo jūtakaro, mā tassa vacanaṃ gaṇhitthā’’ti vattāro bhavanti. Mittāmaccānaṃparibhūto hotīti tañhi mitāmaccā evaṃ vadanti – ‘‘samma, tvampi nāma kulaputto jūtakaro chinnabhinnako hutvā vicarasi, na te idaṃ jātigottānaṃ anurūpaṃ, ito paṭṭhāya mā evaṃ kareyyāsī’’ti. So evaṃ vuttopi tesaṃ vacanaṃ na karoti. Tato tena saddhiṃ ekato na tiṭṭhanti na nisīdanti. Tassa kāraṇā sakkhipuṭṭhāpi na kathenti. Evaṃ mittāmaccānaṃ paribhūto hoti.

    อาวาหวิวาหกานนฺติ อาวาหกา นาม เย ตสฺส ฆรโต ทาริกํ คเหตุกามาฯ วิวาหกา นาม เย ตสฺส เคเห ทาริกํ ทาตุกามาฯ อปตฺถิโต โหตีติ อนิจฺฉิโต โหติฯ นาลํ ทารภรณายาติ ทารภรณาย น สมโตฺถฯ เอตสฺส เคเห ทาริกา ทินฺนาปิ เอตสฺส เคหโต อาคตาปิ อเมฺหหิ เอว โปสิตพฺพา ภวิสฺสติเยวฯ

    Āvāhavivāhakānanti āvāhakā nāma ye tassa gharato dārikaṃ gahetukāmā. Vivāhakā nāma ye tassa gehe dārikaṃ dātukāmā. Apatthito hotīti anicchito hoti. Nālaṃ dārabharaṇāyāti dārabharaṇāya na samattho. Etassa gehe dārikā dinnāpi etassa gehato āgatāpi amhehi eva positabbā bhavissatiyeva.

    ปาปมิตฺตตาย ฉอาทีนวาทิวณฺณนา

    Pāpamittatāya chaādīnavādivaṇṇanā

    ๒๕๒. ธุตฺตาติ อกฺขธุตฺตาฯ โสณฺฑาติ อิตฺถิโสณฺฑา ภตฺตโสณฺฑา ปูวโสณฺฑา มูลกโสณฺฑาฯ ปิปาสาติ ปานโสณฺฑาฯ เนกติกาติ ปติรูปเกน วญฺจนกาฯ วญฺจนิกาติ สมฺมุขาวญฺจนาหิ วญฺจนิกาฯ สาหสิกาติ เอกาคาริกาทิสาหสิกกมฺมการิโนฯ ตฺยาสฺส มิตฺตา โหนฺตีติ เต อสฺส มิตฺตา โหนฺติฯ อเญฺญหิ สปฺปุริเสหิ สทฺธิํ น รมติ คนฺธมาลาทีหิ อลงฺกริตฺวา วรสยนํ อาโรปิตสูกโร คูถกูปมิว, เต ปาปมิเตฺตเยว อุปสงฺกมติฯ ตสฺมา ทิเฎฺฐ เจว ธเมฺม สมฺปรายญฺจ พหุํ อนตฺถํ นิคจฺฉติฯ

    252.Dhuttāti akkhadhuttā. Soṇḍāti itthisoṇḍā bhattasoṇḍā pūvasoṇḍā mūlakasoṇḍā. Pipāsāti pānasoṇḍā. Nekatikāti patirūpakena vañcanakā. Vañcanikāti sammukhāvañcanāhi vañcanikā. Sāhasikāti ekāgārikādisāhasikakammakārino. Tyāssa mittā hontīti te assa mittā honti. Aññehi sappurisehi saddhiṃ na ramati gandhamālādīhi alaṅkaritvā varasayanaṃ āropitasūkaro gūthakūpamiva, te pāpamitteyeva upasaṅkamati. Tasmā diṭṭhe ceva dhamme samparāyañca bahuṃ anatthaṃ nigacchati.

    ๒๕๓. อติสีตนฺติ กมฺมํ น กโรตีติ มนุเสฺสหิ กาลเสฺสว วุฎฺฐาย ‘‘เอถ โภ กมฺมนฺตํ คจฺฉามา’’ติ วุโตฺต ‘‘อติสีตํ ตาว, อฎฺฐีนิ ภิชฺชนฺติ วิย, คจฺฉถ ตุเมฺห ปจฺฉา ชานิสฺสามี’’ติ อคฺคิํ ตปโนฺต นิสีทติฯ เต คนฺตฺวา กมฺมํ กโรนฺติฯ อิตรสฺส กมฺมํ ปริหายติฯ อติอุณฺหนฺติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ

    253.Atisītanti kammaṃ na karotīti manussehi kālasseva vuṭṭhāya ‘‘etha bho kammantaṃ gacchāmā’’ti vutto ‘‘atisītaṃ tāva, aṭṭhīni bhijjanti viya, gacchatha tumhe pacchā jānissāmī’’ti aggiṃ tapanto nisīdati. Te gantvā kammaṃ karonti. Itarassa kammaṃ parihāyati. Atiuṇhantiādīsupi eseva nayo.

    โหติ ปานสขา นามาติ เอกโจฺจ ปานฎฺฐาเน สุราเคเหเยว สหาโย โหติฯ ‘‘ปนฺนสขา’’ติปิ ปาโฐ, อยเมวโตฺถฯ สมฺมิยสมฺมิโยติ สมฺม สมฺมาติ วทโนฺต สมฺมุเขเยว สหาโย โหติ, ปรมฺมุเข เวรีสทิโส โอตารเมว คเวสติฯ อเตฺถสุ ชาเตสูติ ตถารูเปสุ กิเจฺจสุ สมุปฺปเนฺนสุฯ เวรปฺปสโวติ เวรพหุลตาฯ อนตฺถตาติ อนตฺถการิตาฯ สุกทริยตาติ สุฎฺฐุ กทริยตา ถทฺธมจฺฉริยภาโว ฯ อุทกมิว อิณํ วิคาหตีติ ปาสาโณ อุทกํ วิย สํสีทโนฺต อิณํ วิคาหติฯ

    Hoti pānasakhā nāmāti ekacco pānaṭṭhāne surāgeheyeva sahāyo hoti. ‘‘Pannasakhā’’tipi pāṭho, ayamevattho. Sammiyasammiyoti samma sammāti vadanto sammukheyeva sahāyo hoti, parammukhe verīsadiso otārameva gavesati. Atthesujātesūti tathārūpesu kiccesu samuppannesu. Verappasavoti verabahulatā. Anatthatāti anatthakāritā. Sukadariyatāti suṭṭhu kadariyatā thaddhamacchariyabhāvo . Udakamiva iṇaṃ vigāhatīti pāsāṇo udakaṃ viya saṃsīdanto iṇaṃ vigāhati.

    รตฺตินุฎฺฐานเทสฺสินาติ รตฺติํ อนุฎฺฐานสีเลนฯ อติสายมิทํ อหูติ อิทํ อติสายํ ชาตนฺติ เย เอวํ วตฺวา กมฺมํ น กโรนฺติฯ อิติ วิสฺสฎฺฐกมฺมเนฺตติ เอวํ วตฺวา ปริจฺจตฺตกมฺมเนฺตฯ อตฺถา อเจฺจนฺติ มาณเวติ เอวรูเป ปุคฺคเล อตฺถา อติกฺกมนฺติ, เตสุ น ติฎฺฐนฺติฯ

    Rattinuṭṭhānadessināti rattiṃ anuṭṭhānasīlena. Atisāyamidaṃ ahūti idaṃ atisāyaṃ jātanti ye evaṃ vatvā kammaṃ na karonti. Iti vissaṭṭhakammanteti evaṃ vatvā pariccattakammante. Atthā accenti māṇaveti evarūpe puggale atthā atikkamanti, tesu na tiṭṭhanti.

    ติณา ภิโยฺยติ ติณโตปิ อุตฺตริฯ โส สุขํ น วิหายตีติ โส ปุริโส สุขํ น ชหาติ, สุขสมงฺคีเยว โหติฯ อิมินา กถามเคฺคน อิมมตฺถํ ทเสฺสติ ‘‘คิหิภูเตน สตา เอตฺตกํ กมฺมํ น กาตพฺพํ, กโรนฺตสฺส วฑฺฒิ นาม นตฺถิฯ อิธโลเก ปรโลเก ครหเมว ปาปุณาตี’’ติฯ

    Tiṇā bhiyyoti tiṇatopi uttari. So sukhaṃ na vihāyatīti so puriso sukhaṃ na jahāti, sukhasamaṅgīyeva hoti. Iminā kathāmaggena imamatthaṃ dasseti ‘‘gihibhūtena satā ettakaṃ kammaṃ na kātabbaṃ, karontassa vaḍḍhi nāma natthi. Idhaloke paraloke garahameva pāpuṇātī’’ti.

    มิตฺตปติรูปกาทิวณฺณนา

    Mittapatirūpakādivaṇṇanā

    ๒๕๔. อิทานิ โย เอวํ กโรโต อนโตฺถ อุปฺปชฺชติ, อญฺญานิ วา ปน ยานิ กานิจิ ภยานิ เยเกจิ อุปทฺทวา เยเกจิ อุปสคฺคา, สเพฺพ เต พาลํ นิสฺสาย อุปฺปชฺชนฺติฯ ตสฺมา ‘‘เอวรูปา พาลา น เสวิตพฺพา’’ติ พาเล มิตฺตปติรูปเก อมิเตฺต ทเสฺสตุํ จตฺตาโรเม, คหปติปุตฺต อมิตฺตาติอาทิมาหฯ ตตฺถ อญฺญทตฺถุหโรติ สยํ ตุจฺฉหโตฺถ อาคนฺตฺวา เอกํเสน ยํกิญฺจิ หรติเยวฯ วจีปรโมติ วจนปรโม วจนมเตฺตเนว ทายโก การโก วิย โหติฯ อนุปฺปิยภาณีติ อนุปฺปิยํ ภณติฯ อปายสหาโยติ โภคานํ อปาเยสุ สหาโย โหติฯ

    254. Idāni yo evaṃ karoto anattho uppajjati, aññāni vā pana yāni kānici bhayāni yekeci upaddavā yekeci upasaggā, sabbe te bālaṃ nissāya uppajjanti. Tasmā ‘‘evarūpā bālā na sevitabbā’’ti bāle mittapatirūpake amitte dassetuṃ cattārome, gahapatiputta amittātiādimāha. Tattha aññadatthuharoti sayaṃ tucchahattho āgantvā ekaṃsena yaṃkiñci haratiyeva. Vacīparamoti vacanaparamo vacanamatteneva dāyako kārako viya hoti. Anuppiyabhāṇīti anuppiyaṃ bhaṇati. Apāyasahāyoti bhogānaṃ apāyesu sahāyo hoti.

    ๒๕๕. เอวํ จตฺตาโร อมิเตฺต ทเสฺสตฺวา ปุน ตตฺถ เอเกกํ จตูหิ การเณหิ วิภชโนฺต จตูหิ โข, คหปติปุตฺตาติอาทิมาหฯ ตตฺถ อญฺญทตฺถุหโร โหตีติ เอกํเสน หารโกเยว โหติฯ สหายสฺส เคหํ ริตฺตหโตฺถ อาคนฺตฺวา นิวตฺถสาฎกาทีนํ วณฺณํ ภาสติ, โส ‘‘อติวิย ตฺวํ สมฺม อิมสฺส วณฺณํ ภาสสี’’ติ อญฺญํ นิวาเสตฺวา ตํ เทติฯ อเปฺปน พหุมิจฺฉตีติ ยํกิญฺจิ อปฺปกํ ทตฺวา ตสฺส สนฺติกา พหุํ ปเตฺถติฯ ภยสฺส กิจฺจํ กโรตีติ อตฺตโน ภเย อุปฺปเนฺน ตสฺส ทาโส วิย หุตฺวา ตํ ตํ กิจฺจํ กโรติ, อยํ สพฺพทา น กโรติ, ภเย อุปฺปเนฺน กโรติ, น เปเมนาติ อมิโตฺต นาม ชาโตฯ เสวติ อตฺถการณาติ มิตฺตสนฺถววเสน น เสวติ, อตฺตโน อตฺถเมว ปจฺจาสีสโนฺต เสวติฯ

    255. Evaṃ cattāro amitte dassetvā puna tattha ekekaṃ catūhi kāraṇehi vibhajanto catūhi kho, gahapatiputtātiādimāha. Tattha aññadatthuharo hotīti ekaṃsena hārakoyeva hoti. Sahāyassa gehaṃ rittahattho āgantvā nivatthasāṭakādīnaṃ vaṇṇaṃ bhāsati, so ‘‘ativiya tvaṃ samma imassa vaṇṇaṃ bhāsasī’’ti aññaṃ nivāsetvā taṃ deti. Appena bahumicchatīti yaṃkiñci appakaṃ datvā tassa santikā bahuṃ pattheti. Bhayassakiccaṃ karotīti attano bhaye uppanne tassa dāso viya hutvā taṃ taṃ kiccaṃ karoti, ayaṃ sabbadā na karoti, bhaye uppanne karoti, na pemenāti amitto nāma jāto. Sevati atthakāraṇāti mittasanthavavasena na sevati, attano atthameva paccāsīsanto sevati.

    ๒๕๖. อตีเตน ปฎิสนฺถรตีติ สหาเย อาคเต ‘‘หิโยฺย วา ปเร วา น อาคโตสิ, อมฺหากํ อิมสฺมิํ วาเร สสฺสํ อติวิย นิปฺผนฺนํ, พหูนิ สาลิยวพีชาทีนิ ฐเปตฺวา มคฺคํ โอโลเกนฺตา นิสีทิมฺห, อชฺช ปน สพฺพํ ขีณ’’นฺติ เอวํ อตีเตน สงฺคณฺหาติฯ อนาคเตนาติ ‘‘อิมสฺมิํ วาเร อมฺหากํ สสฺสํ มนาปํ ภวิสฺสติ, ผลภารภริตา สาลิอาทโย, สสฺสสงฺคเห กเต ตุมฺหากํ สงฺคหํ กาตุํ สมตฺถา ภวิสฺสามา’’ติ เอวํ อนาคเตน สงฺคณฺหาติฯ นิรตฺถเกนาติ หตฺถิกฺขเนฺธ วา อสฺสปิเฎฺฐ วา นิสิโนฺน สหายํ ทิสฺวา ‘‘เอหิ, โภ, อิธ นิสีทา’’ติ วทติฯ มนาปํ สาฎกํ นิวาเสตฺวา ‘‘สหายกสฺส วต เม อนุจฺฉวิโก อโญฺญ ปน มยฺหํ นตฺถี’’ติ วทติ, เอวํ นิรตฺถเกน สงฺคณฺหาติ นามฯ ปจฺจุปฺปเนฺนสุ กิเจฺจสุ พฺยสนํ ทเสฺสตีติ ‘‘สกเฎน เม อโตฺถ’’ติ วุเตฺต ‘‘จกฺกมสฺส ภินฺนํ, อโกฺข ฉิโนฺน’’ติอาทีนิ วทติฯ

    256.Atītena paṭisantharatīti sahāye āgate ‘‘hiyyo vā pare vā na āgatosi, amhākaṃ imasmiṃ vāre sassaṃ ativiya nipphannaṃ, bahūni sāliyavabījādīni ṭhapetvā maggaṃ olokentā nisīdimha, ajja pana sabbaṃ khīṇa’’nti evaṃ atītena saṅgaṇhāti. Anāgatenāti ‘‘imasmiṃ vāre amhākaṃ sassaṃ manāpaṃ bhavissati, phalabhārabharitā sāliādayo, sassasaṅgahe kate tumhākaṃ saṅgahaṃ kātuṃ samatthā bhavissāmā’’ti evaṃ anāgatena saṅgaṇhāti. Niratthakenāti hatthikkhandhe vā assapiṭṭhe vā nisinno sahāyaṃ disvā ‘‘ehi, bho, idha nisīdā’’ti vadati. Manāpaṃ sāṭakaṃ nivāsetvā ‘‘sahāyakassa vata me anucchaviko añño pana mayhaṃ natthī’’ti vadati, evaṃ niratthakena saṅgaṇhāti nāma. Paccuppannesu kiccesu byasanaṃ dassetīti ‘‘sakaṭena me attho’’ti vutte ‘‘cakkamassa bhinnaṃ, akkho chinno’’tiādīni vadati.

    ๒๕๗. ปาปกมฺปิสฺส อนุชานาตีติ ปาณาติปาตาทีสุ ยํกิญฺจิ กโรมาติ วุเตฺต ‘‘สาธุ สมฺม กโรมา’’ติ อนุชานาติฯ กลฺยาเณปิ เอเสว นโยฯ สหาโย โหตีติ ‘‘อสุกฎฺฐาเน สุรํ ปิวนฺติ, เอหิ ตตฺถ คจฺฉามา’’ติ วุเตฺต สาธูติ คจฺฉติฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ อิติ วิญฺญายาติ ‘‘มิตฺตปติรูปกา เอเต’’ติ เอวํ ชานิตฺวาฯ

    257.Pāpakampissa anujānātīti pāṇātipātādīsu yaṃkiñci karomāti vutte ‘‘sādhu samma karomā’’ti anujānāti. Kalyāṇepi eseva nayo. Sahāyo hotīti ‘‘asukaṭṭhāne suraṃ pivanti, ehi tattha gacchāmā’’ti vutte sādhūti gacchati. Esa nayo sabbattha. Iti viññāyāti ‘‘mittapatirūpakā ete’’ti evaṃ jānitvā.

    สุหทมิตฺตาทิวณฺณนา

    Suhadamittādivaṇṇanā

    ๒๖๐. เอวํ น เสวิตเพฺพ ปาปมิเตฺต ทเสฺสตฺวา อิทานิ เสวิตเพฺพ กลฺยาณมิเตฺต ทเสฺสโนฺต ปุน จตฺตาโรเม, คหปติปุตฺตาติอาทิมาหฯ ตตฺถ สุหทาติ สุนฺทรหทยาฯ

    260. Evaṃ na sevitabbe pāpamitte dassetvā idāni sevitabbe kalyāṇamitte dassento puna cattārome, gahapatiputtātiādimāha. Tattha suhadāti sundarahadayā.

    ๒๖๑. ปมตฺตํ รกฺขตีติ มชฺชํ ปิวิตฺวา คามมเชฺฌ วา คามทฺวาเร วา มเคฺค วา นิปนฺนํ ทิสฺวา ‘‘เอวํนิปนฺนสฺส โกจิเทว นิวาสนปารุปนมฺปิ หเรยฺยา’’ติ สมีเป นิสีทิตฺวา ปพุทฺธกาเล คเหตฺวา คจฺฉติฯ ปมตฺตสฺส สาปเตยฺยนฺติ สหาโย พหิคโต วา โหติ สุรํ ปิวิตฺวา วา ปมโตฺต, เคหํ อนารกฺขํ ‘‘โกจิเทว ยํกิญฺจิ หเรยฺยา’’ติ เคหํ ปวิสิตฺวา ตสฺส ธนํ รกฺขติฯ ภีตสฺสาติ กิสฺมิญฺจิเทว ภเย อุปฺปเนฺน ‘‘มา ภายิ, มาทิเส สหาเย ฐิเต กิํ ภายสี’’ติ ตํ ภยํ หรโนฺต ปฎิสรณํ โหติฯ ตทฺทิคุณํ โภคนฺติ กิจฺจกรณีเย อุปฺปเนฺน สหายํ อตฺตโน สนฺติกํ อาคตํ ทิสฺวา วทติ ‘‘กสฺมา อาคโตสี’’ติ? ราชกุเล กมฺมํ อตฺถีติฯ กิํ ลทฺธุํ วฎฺฎตีติ? เอโก กหาปโณติฯ ‘‘นคเร กมฺมํ นาม น เอกกหาปเณน นิปฺผชฺชติ, เทฺว คณฺหาหี’’ติ เอวํ ยตฺตกํ วทติ, ตโต ทิคุณํ เทติฯ

    261.Pamattaṃ rakkhatīti majjaṃ pivitvā gāmamajjhe vā gāmadvāre vā magge vā nipannaṃ disvā ‘‘evaṃnipannassa kocideva nivāsanapārupanampi hareyyā’’ti samīpe nisīditvā pabuddhakāle gahetvā gacchati. Pamattassasāpateyyanti sahāyo bahigato vā hoti suraṃ pivitvā vā pamatto, gehaṃ anārakkhaṃ ‘‘kocideva yaṃkiñci hareyyā’’ti gehaṃ pavisitvā tassa dhanaṃ rakkhati. Bhītassāti kismiñcideva bhaye uppanne ‘‘mā bhāyi, mādise sahāye ṭhite kiṃ bhāyasī’’ti taṃ bhayaṃ haranto paṭisaraṇaṃ hoti. Taddiguṇaṃ bhoganti kiccakaraṇīye uppanne sahāyaṃ attano santikaṃ āgataṃ disvā vadati ‘‘kasmā āgatosī’’ti? Rājakule kammaṃ atthīti. Kiṃ laddhuṃ vaṭṭatīti? Eko kahāpaṇoti. ‘‘Nagare kammaṃ nāma na ekakahāpaṇena nipphajjati, dve gaṇhāhī’’ti evaṃ yattakaṃ vadati, tato diguṇaṃ deti.

    ๒๖๒. คุยฺหมสฺส อาจิกฺขตีติ อตฺตโน คุยฺหํ นิคูหิตุํ ยุตฺตกถํ อญฺญสฺส อกเถตฺวา ตเสฺสว อาจิกฺขติฯ คุยฺหมสฺส ปริคูหตีติ เตน กถิตํ คุยฺหํ ยถา อโญฺญ น ชานาติ, เอวํ รกฺขติฯ อาปทาสุ น วิชหตีติ อุปฺปเนฺน ภเย น ปริจฺจชติฯ ชีวิตมฺปิสฺส อตฺถายาติ อตฺตโน ชีวิตมฺปิ ตสฺส สหายสฺส อตฺถาย ปริจฺจตฺตเมว โหติ, อตฺตโน ชีวิตํ อคเณตฺวาปิ ตสฺส กมฺมํ กโรติเยวฯ

    262.Guyhamassa ācikkhatīti attano guyhaṃ nigūhituṃ yuttakathaṃ aññassa akathetvā tasseva ācikkhati. Guyhamassa parigūhatīti tena kathitaṃ guyhaṃ yathā añño na jānāti, evaṃ rakkhati. Āpadāsu na vijahatīti uppanne bhaye na pariccajati. Jīvitampissa atthāyāti attano jīvitampi tassa sahāyassa atthāya pariccattameva hoti, attano jīvitaṃ agaṇetvāpi tassa kammaṃ karotiyeva.

    ๒๖๓. ปาปา นิวาเรตีติ อเมฺหสุ ปสฺสเนฺตสุ ปสฺสเนฺตสุ ตฺวํ เอวํ กาตุํ น ลภสิ, ปญฺจ เวรานิ ทส อกุสลกมฺมปเถ มา กโรหีติ นิวาเรติฯ กลฺยาเณ นิเวเสตีติ กลฺยาณกเมฺม ตีสุ สรเณสุ ปญฺจสีเลสุ ทสกุสลกมฺมปเถสุ วตฺตสฺสุ, ทานํ เทหิ ปุญฺญํ กโรหิ ธมฺมํ สุณาหีติ เอวํ กลฺยาเณ นิโยเชติฯ อสฺสุตํ สาเวตีติ อสฺสุตปุพฺพํ สุขุมํ นิปุณํ การณํ สาเวติฯ สคฺคสฺส มคฺคนฺติ อิทํ กมฺมํ กตฺวา สเคฺค นิพฺพตฺตนฺตีติ เอวํ สคฺคสฺส มคฺคํ อาจิกฺขติฯ

    263.Pāpā nivāretīti amhesu passantesu passantesu tvaṃ evaṃ kātuṃ na labhasi, pañca verāni dasa akusalakammapathe mā karohīti nivāreti. Kalyāṇe nivesetīti kalyāṇakamme tīsu saraṇesu pañcasīlesu dasakusalakammapathesu vattassu, dānaṃ dehi puññaṃ karohi dhammaṃ suṇāhīti evaṃ kalyāṇe niyojeti. Assutaṃ sāvetīti assutapubbaṃ sukhumaṃ nipuṇaṃ kāraṇaṃ sāveti. Saggassa magganti idaṃ kammaṃ katvā sagge nibbattantīti evaṃ saggassa maggaṃ ācikkhati.

    ๒๖๔. อภเวนสฺส น นนฺทตีติ ตสฺส อภเวน อวุฑฺฒิยา ปุตฺตทารสฺส วา ปริชนสฺส วา ตถารูปํ ปาริชุญฺญํ ทิสฺวา วา สุตฺวา วา น นนฺทติ, อนตฺตมโน โหติฯ ภเวนาติ วุฑฺฒิยา ตถารูปสฺส สมฺปตฺติํ วา อิสฺสริยปฺปฎิลาภํ วา ทิสฺวา วา สุตฺวา วา นนฺทติ, อตฺตมโน โหติฯ อวณฺณํ ภณมานํ นิวาเรตีติ ‘‘อสุโก วิรูโป น ปาสาทิโก ทุชฺชาติโก ทุสฺสีโล’’ติ วา วุเตฺต ‘‘เอวํ มา ภณิ, รูปวา จ โส ปาสาทิโก จ สุชาโต จ สีลสมฺปโนฺน จา’’ติอาทีหิ วจเนหิ ปรํ อตฺตโน สหายสฺส อวณฺณํ ภณมานํ นิวาเรติฯ วณฺณํ ภณมานํ ปสํสตีติ ‘‘อสุโก รูปวา ปาสาทิโก สุชาโต สีลสมฺปโนฺน’’ติ วุเตฺต ‘‘อโห สุฎฺฐุ วทสิ, สุภาสิตํ ตยา, เอวเมตํ, เอส ปุริโส รูปวา ปาสาทิโก สุชาโต สีลสมฺปโนฺน’’ติ เอวํ อตฺตโน สหายกสฺส ปรํ วณฺณํ ภณมานํ ปสํสติฯ

    264.Abhavenassa na nandatīti tassa abhavena avuḍḍhiyā puttadārassa vā parijanassa vā tathārūpaṃ pārijuññaṃ disvā vā sutvā vā na nandati, anattamano hoti. Bhavenāti vuḍḍhiyā tathārūpassa sampattiṃ vā issariyappaṭilābhaṃ vā disvā vā sutvā vā nandati, attamano hoti. Avaṇṇaṃ bhaṇamānaṃ nivāretīti ‘‘asuko virūpo na pāsādiko dujjātiko dussīlo’’ti vā vutte ‘‘evaṃ mā bhaṇi, rūpavā ca so pāsādiko ca sujāto ca sīlasampanno cā’’tiādīhi vacanehi paraṃ attano sahāyassa avaṇṇaṃ bhaṇamānaṃ nivāreti. Vaṇṇaṃ bhaṇamānaṃ pasaṃsatīti ‘‘asuko rūpavā pāsādiko sujāto sīlasampanno’’ti vutte ‘‘aho suṭṭhu vadasi, subhāsitaṃ tayā, evametaṃ, esa puriso rūpavā pāsādiko sujāto sīlasampanno’’ti evaṃ attano sahāyakassa paraṃ vaṇṇaṃ bhaṇamānaṃ pasaṃsati.

    ๒๖๕. ชลํ อคฺคีว ภาสตีติ รตฺติํ ปพฺพตมตฺถเก ชลมาโน อคฺคิ วิย วิโรจติฯ

    265.Jalaṃ aggīva bhāsatīti rattiṃ pabbatamatthake jalamāno aggi viya virocati.

    โภเค สํหรมานสฺสาติ อตฺตานมฺปิ ปรมฺปิ อปีเฬตฺวา ธเมฺมน สเมน โภเค สมฺปิเณฺฑนฺตสฺส ราสิํ กโรนฺตสฺสฯ ภมรเสฺสว อิรียโตติ ยถา ภมโร ปุปฺผานํ วณฺณคนฺธํ อโปถยํ ตุเณฺฑนปิ ปเกฺขหิปิ รสํ อาหริตฺวา อนุปุเพฺพน จกฺกปฺปมาณํ มธุปฎลํ กโรติ, เอวํ อนุปุเพฺพน มหนฺตํ โภคราสิํ กโรนฺตสฺสฯ โภคา สนฺนิจยํ ยนฺตีติ ตสฺส โภคา นิจยํ คจฺฉนฺติฯ กถํ? อนุปุเพฺพน อุปจิกาหิ สํวฑฺฒิยมาโน วมฺมิโก วิยฯ เตนาห ‘‘วมฺมิโกวุปจียตี’’ติฯ ยถา วมฺมิโก อุปจิยติ, เอวํ นิจยํ ยนฺตีติ อโตฺถฯ

    Bhoge saṃharamānassāti attānampi parampi apīḷetvā dhammena samena bhoge sampiṇḍentassa rāsiṃ karontassa. Bhamarasseva irīyatoti yathā bhamaro pupphānaṃ vaṇṇagandhaṃ apothayaṃ tuṇḍenapi pakkhehipi rasaṃ āharitvā anupubbena cakkappamāṇaṃ madhupaṭalaṃ karoti, evaṃ anupubbena mahantaṃ bhogarāsiṃ karontassa. Bhogā sannicayaṃ yantīti tassa bhogā nicayaṃ gacchanti. Kathaṃ? Anupubbena upacikāhi saṃvaḍḍhiyamāno vammiko viya. Tenāha ‘‘vammikovupacīyatī’’ti. Yathā vammiko upaciyati, evaṃ nicayaṃ yantīti attho.

    สมาหตฺวาติ สมาหริตฺวาฯ อลมโตฺถติ ยุตฺตสภาโว สมโตฺถ วา ปริยตฺตรูโป ฆราวาสํ สณฺฐาเปตุํฯ

    Samāhatvāti samāharitvā. Alamatthoti yuttasabhāvo samattho vā pariyattarūpo gharāvāsaṃ saṇṭhāpetuṃ.

    อิทานิ ยถา วา ฆราวาโส สณฺฐเปตโพฺพ, ตถา โอวทโนฺต จตุธา วิภเช โภเคติอาทิมาหฯ ตตฺถ ส เว มิตฺตานิ คนฺถตีติ โส เอวํ วิภชโนฺต มิตฺตานิ คนฺถติ นาม อเภชฺชมานานิ ฐเปติฯ ยสฺส หิ โภคา สนฺติ, โส เอว มิเตฺต ฐเปตุํ สโกฺกติ, น อิตโรฯ

    Idāni yathā vā gharāvāso saṇṭhapetabbo, tathā ovadanto catudhā vibhaje bhogetiādimāha. Tattha sa ve mittāni ganthatīti so evaṃ vibhajanto mittāni ganthati nāma abhejjamānāni ṭhapeti. Yassa hi bhogā santi, so eva mitte ṭhapetuṃ sakkoti, na itaro.

    เอเกน โภเค ภุเญฺชยฺยาติ เอเกน โกฎฺฐาเสน โภเค ภุเญฺชยฺยฯ ทฺวีหิ กมฺมํ ปโยชเยติ ทฺวีหิ โกฎฺฐาเสหิ กสิวาณิชฺชาทิกมฺมํ ปโยเชยฺยฯ จตุตฺถญฺจ นิธาเปยฺยาติ จตุตฺถํ โกฎฺฐาสํ นิธาเปตฺวา ฐเปยฺยฯ อาปทาสุ ภวิสฺสตีติ กุลานญฺหิ น สพฺพกาลํ เอกสทิสํ วตฺตติ, กทาจิ ราชาทิวเสน อาปทาปิ อุปฺปชฺชนฺติ, ตสฺมา เอวํ อาปทาสุ อุปฺปนฺนาสุ ภวิสฺสตีติ ‘‘เอกํ โกฎฺฐาสํ นิธาเปยฺยา’’ติ อาห ฯ อิเมสุ ปน จตูสุ โกฎฺฐาเสสุ กตรโกฎฺฐาสํ คเหตฺวา กุสลํ กาตพฺพนฺติ? ‘‘โภเค ภุเญฺชยฺยา’’ติ วุตฺตโกฎฺฐาสํฯ ตโต คณฺหิตฺวา ภิกฺขูนมฺปิ กปณทฺธิกาทีนมฺปิ ทาตพฺพํ, เปสการนฺหาปิตาทีนมฺปิ เวตนํ ทาตพฺพํฯ

    Ekenabhoge bhuñjeyyāti ekena koṭṭhāsena bhoge bhuñjeyya. Dvīhi kammaṃ payojayeti dvīhi koṭṭhāsehi kasivāṇijjādikammaṃ payojeyya. Catutthañca nidhāpeyyāti catutthaṃ koṭṭhāsaṃ nidhāpetvā ṭhapeyya. Āpadāsu bhavissatīti kulānañhi na sabbakālaṃ ekasadisaṃ vattati, kadāci rājādivasena āpadāpi uppajjanti, tasmā evaṃ āpadāsu uppannāsu bhavissatīti ‘‘ekaṃ koṭṭhāsaṃ nidhāpeyyā’’ti āha . Imesu pana catūsu koṭṭhāsesu katarakoṭṭhāsaṃ gahetvā kusalaṃ kātabbanti? ‘‘Bhoge bhuñjeyyā’’ti vuttakoṭṭhāsaṃ. Tato gaṇhitvā bhikkhūnampi kapaṇaddhikādīnampi dātabbaṃ, pesakāranhāpitādīnampi vetanaṃ dātabbaṃ.

    ฉทฺทิสาปฎิจฺฉาทนกณฺฑวณฺณนา

    Chaddisāpaṭicchādanakaṇḍavaṇṇanā

    ๒๖๖. อิติ ภควา เอตฺตเกน กถามเคฺคน เอวํ คหปติปุตฺตสฺส อริยสาวโก จตูหิ การเณหิ อกุสลํ ปหาย ฉหิ การเณหิ โภคานํ อปายมุขํ วเชฺชตฺวา โสฬส มิตฺตานิ เสวโนฺต ฆราวาสํ สณฺฐเปตฺวา ทารภรณํ กโรโนฺต ธมฺมิเกน อาชีเวน ชีวติ, เทวมนุสฺสานญฺจ อนฺตเร อคฺคิกฺขโนฺธ วิย วิโรจตีติ วชฺชนียธมฺมวชฺชนตฺถํ เสวิตพฺพธมฺมเสวนตฺถญฺจ โอวาทํ ทตฺวา อิทานิ นมสฺสิตพฺพา ฉ ทิสา ทเสฺสโนฺต กถญฺจ คหปติปุตฺตาติอาทิมาหฯ

    266. Iti bhagavā ettakena kathāmaggena evaṃ gahapatiputtassa ariyasāvako catūhi kāraṇehi akusalaṃ pahāya chahi kāraṇehi bhogānaṃ apāyamukhaṃ vajjetvā soḷasa mittāni sevanto gharāvāsaṃ saṇṭhapetvā dārabharaṇaṃ karonto dhammikena ājīvena jīvati, devamanussānañca antare aggikkhandho viya virocatīti vajjanīyadhammavajjanatthaṃ sevitabbadhammasevanatthañca ovādaṃ datvā idāni namassitabbā cha disā dassento kathañca gahapatiputtātiādimāha.

    ตตฺถ ฉทฺทิสาปฎิจฺฉาทีติ ยถา ฉหิ ทิสาหิ อาคมนภยํ น อาคจฺฉติ, เขมํ โหติ นิพฺภยํ เอวํ วิหรโนฺต ‘‘ฉทฺทิสาปฎิจฺฉาที’’ติ วุจฺจติฯ ‘‘ปุรตฺถิมา ทิสา มาตาปิตโร เวทิตพฺพา’’ติอาทีสุ มาตาปิตโร ปุพฺพุปการิตาย ปุรตฺถิมา ทิสาติ เวทิตพฺพาฯ อาจริยา ทกฺขิเณยฺยตาย ทกฺขิณา ทิสาติฯ ปุตฺตทารา ปิฎฺฐิโต อนุพนฺธนวเสน ปจฺฉิมา ทิสาติฯ มิตฺตามจฺจา ยสฺมา โส มิตฺตามเจฺจ นิสฺสาย เต เต ทุกฺขวิเสเส อุตฺตรติ, ตสฺมา อุตฺตรา ทิสาติฯ ทาสกมฺมกรา ปาทมูเล ปติฎฺฐานวเสน เหฎฺฐิมา ทิสาติฯ สมณพฺราหฺมณา คุเณหิ อุปริ ฐิตภาเวน อุปริมา ทิสาติ เวทิตพฺพาฯ

    Tattha chaddisāpaṭicchādīti yathā chahi disāhi āgamanabhayaṃ na āgacchati, khemaṃ hoti nibbhayaṃ evaṃ viharanto ‘‘chaddisāpaṭicchādī’’ti vuccati. ‘‘Puratthimā disā mātāpitaro veditabbā’’tiādīsu mātāpitaro pubbupakāritāya puratthimā disāti veditabbā. Ācariyā dakkhiṇeyyatāya dakkhiṇā disāti. Puttadārā piṭṭhito anubandhanavasena pacchimā disāti. Mittāmaccā yasmā so mittāmacce nissāya te te dukkhavisese uttarati, tasmā uttarā disāti. Dāsakammakarā pādamūle patiṭṭhānavasena heṭṭhimā disāti. Samaṇabrāhmaṇā guṇehi upari ṭhitabhāvena uparimā disāti veditabbā.

    ๒๖๗. ภโต เน ภริสฺสามีติ อหํ มาตาปิตูหิ ถญฺญํ ปาเยตฺวา หตฺถปาเท วเฑฺฒตฺวา มุเขน สิงฺฆาณิกํ อปเนตฺวา นหาเปตฺวา มเณฺฑตฺวา ภโต ภริโต ชคฺคิโต, สฺวาหํ อชฺช เต มหลฺลเก ปาทโธวนนฺหาปนยาคุภตฺตทานาทีหิ ภริสฺสามิฯ

    267.Bhato ne bharissāmīti ahaṃ mātāpitūhi thaññaṃ pāyetvā hatthapāde vaḍḍhetvā mukhena siṅghāṇikaṃ apanetvā nahāpetvā maṇḍetvā bhato bharito jaggito, svāhaṃ ajja te mahallake pādadhovananhāpanayāgubhattadānādīhi bharissāmi.

    กิจฺจํ เนสํ กริสฺสามีติ อตฺตโน กมฺมํ ฐเปตฺวา มาตาปิตูนํ ราชกุลาทีสุ อุปฺปนฺนํ กิจฺจํ คนฺตฺวา กริสฺสามิฯ กุลวํสํ สณฺฐเปสฺสามีติ มาตาปิตูนํ สนฺตกํ เขตฺตวตฺถุหิรญฺญสุวณฺณาทิํ อวินาเสตฺวา รกฺขโนฺตปิ กุลวํสํ สณฺฐเปติ นามฯ มาตาปิตโร อธมฺมิกวํสโต หาเรตฺวา ธมฺมิกวํเส ฐเปโนฺตปิ, กุลวํเสน อาคตานิ สลากภตฺตาทีนิ อนุปจฺฉินฺทิตฺวา ปวเตฺตโนฺตปิ กุลวํสํ สณฺฐเปติ นามฯ อิทํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘กุลวํสํ สณฺฐเปสฺสามี’’ติฯ

    Kiccaṃ nesaṃ karissāmīti attano kammaṃ ṭhapetvā mātāpitūnaṃ rājakulādīsu uppannaṃ kiccaṃ gantvā karissāmi. Kulavaṃsaṃ saṇṭhapessāmīti mātāpitūnaṃ santakaṃ khettavatthuhiraññasuvaṇṇādiṃ avināsetvā rakkhantopi kulavaṃsaṃ saṇṭhapeti nāma. Mātāpitaro adhammikavaṃsato hāretvā dhammikavaṃse ṭhapentopi, kulavaṃsena āgatāni salākabhattādīni anupacchinditvā pavattentopi kulavaṃsaṃ saṇṭhapeti nāma. Idaṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘kulavaṃsaṃ saṇṭhapessāmī’’ti.

    ทายชฺชํ ปฎิปชฺชามีติ มาตาปิตโร อตฺตโน โอวาเท อวตฺตมาเน มิจฺฉาปฎิปเนฺน ทารเก วินิจฺฉยํ ปตฺวา อปุเตฺต กโรนฺติ, เต ทายชฺชารหา น โหนฺติฯ โอวาเท วตฺตมาเน ปน กุลสนฺตกสฺส สามิเก กโรนฺติ, อหํ เอวํ วตฺติสฺสามีติ อธิปฺปาเยน ‘‘ทายชฺชํ ปฎิปชฺชามี’’ติ วุตฺตํฯ

    Dāyajjaṃ paṭipajjāmīti mātāpitaro attano ovāde avattamāne micchāpaṭipanne dārake vinicchayaṃ patvā aputte karonti, te dāyajjārahā na honti. Ovāde vattamāne pana kulasantakassa sāmike karonti, ahaṃ evaṃ vattissāmīti adhippāyena ‘‘dāyajjaṃ paṭipajjāmī’’ti vuttaṃ.

    ทกฺขิณํ อนุปฺปทสฺสามีติ เตสํ ปตฺติทานํ กตฺวา ตติยทิวสโต ปฎฺฐาย ทานํ อนุปฺปทสฺสามิฯ ปาปา นิวาเรนฺตีติ ปาณาติปาตาทีนํ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกํ อาทีนวํ วตฺวา, ‘‘ตาต, มา เอวรูปํ กรี’’ติ นิวาเรนฺติ, กตมฺปิ ครหนฺติฯ กลฺยาเณ นิเวเสนฺตีติ อนาถปิณฺฑิโก วิย ลญฺชํ ทตฺวาปิ สีลสมาทานาทีสุ นิเวเสนฺติฯ สิปฺปํ สิกฺขาเปนฺตีติ อตฺตโน โอวาเท ฐิตภาวํ ญตฺวา วํสานุคตํ มุทฺทาคณนาทิสิปฺปํ สิกฺขาเปนฺติฯ ปติรูเปนาติ กุลสีลรูปาทีหิ อนุรูเปนฯ

    Dakkhiṇaṃ anuppadassāmīti tesaṃ pattidānaṃ katvā tatiyadivasato paṭṭhāya dānaṃ anuppadassāmi. Pāpā nivārentīti pāṇātipātādīnaṃ diṭṭhadhammikasamparāyikaṃ ādīnavaṃ vatvā, ‘‘tāta, mā evarūpaṃ karī’’ti nivārenti, katampi garahanti. Kalyāṇe nivesentīti anāthapiṇḍiko viya lañjaṃ datvāpi sīlasamādānādīsu nivesenti. Sippaṃ sikkhāpentīti attano ovāde ṭhitabhāvaṃ ñatvā vaṃsānugataṃ muddāgaṇanādisippaṃ sikkhāpenti. Patirūpenāti kulasīlarūpādīhi anurūpena.

    สมเย ทายชฺชํ นิยฺยาเทนฺตีติ สมเย ธนํ เทนฺติฯ ตตฺถ นิจฺจสมโย กาลสมโยติ เทฺว สมยาฯ นิจฺจสมเย เทนฺติ นาม ‘‘อุฎฺฐาย สมุฎฺฐาย อิมํ คณฺหิตพฺพํ คณฺห, อยํ เต ปริพฺพโย โหตุ, อิมินา กุสลํ กโรหี’’ติ เทนฺติฯ กาลสมเย เทนฺติ นาม สิขาฐปนอาวาหวิวาหาทิสมเย เทนฺติฯ อปิจ ปจฺฉิเม กาเล มรณมเญฺจ นิปนฺนสฺส ‘‘อิมินา กุสลํ กโรหี’’ติ เทนฺตาปิ สมเย เทนฺติ นามฯ ปฎิจฺฉนฺนา โหตีติ ยํ ปุรตฺถิมทิสโต ภยํ อาคเจฺฉยฺย, ยถา ตํ นาคจฺฉติ, เอวํ ปิหิตา โหติฯ สเจ หิ ปุตฺตา วิปฺปฎิปนฺนา, อสฺสุ, มาตาปิตโร ทหรกาลโต ปฎฺฐาย ชคฺคนาทีหิ สมฺมา ปฎิปนฺนา, เอเต ทารกา, มาตาปิตูนํ อปฺปติรูปาติ เอตํ ภยํ อาคเจฺฉยฺยฯ ปุตฺตา สมฺมา ปฎิปนฺนา, มาตาปิตโร วิปฺปฎิปนฺนา, มาตาปิตโร ปุตฺตานํ นานุรูปาติ เอตํ ภยํ อาคเจฺฉยฺยฯ อุโภสุ วิปฺปฎิปเนฺนสุ ทุวิธมฺปิ ตํ ภยํ โหติฯ สมฺมา ปฎิปเนฺนสุ สพฺพํ น โหติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ปฎิจฺฉนฺนา โหติ เขมา อปฺปฎิภยา’’ติฯ

    Samaye dāyajjaṃ niyyādentīti samaye dhanaṃ denti. Tattha niccasamayo kālasamayoti dve samayā. Niccasamaye denti nāma ‘‘uṭṭhāya samuṭṭhāya imaṃ gaṇhitabbaṃ gaṇha, ayaṃ te paribbayo hotu, iminā kusalaṃ karohī’’ti denti. Kālasamaye denti nāma sikhāṭhapanaāvāhavivāhādisamaye denti. Apica pacchime kāle maraṇamañce nipannassa ‘‘iminā kusalaṃ karohī’’ti dentāpi samaye denti nāma. Paṭicchannā hotīti yaṃ puratthimadisato bhayaṃ āgaccheyya, yathā taṃ nāgacchati, evaṃ pihitā hoti. Sace hi puttā vippaṭipannā, assu, mātāpitaro daharakālato paṭṭhāya jagganādīhi sammā paṭipannā, ete dārakā, mātāpitūnaṃ appatirūpāti etaṃ bhayaṃ āgaccheyya. Puttā sammā paṭipannā, mātāpitaro vippaṭipannā, mātāpitaro puttānaṃ nānurūpāti etaṃ bhayaṃ āgaccheyya. Ubhosu vippaṭipannesu duvidhampi taṃ bhayaṃ hoti. Sammā paṭipannesu sabbaṃ na hoti. Tena vuttaṃ – ‘‘paṭicchannā hoti khemā appaṭibhayā’’ti.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ภควา สิงฺคาลกํ เอตทโวจ – ‘‘น โข เต, คหปติปุตฺต, ปิตา โลกสมฺมตํ ปุรตฺถิมํ ทิสํ นมสฺสาเปติฯ มาตาปิตโร ปน ปุรตฺถิมทิสาสทิเส กตฺวา นมสฺสาเปติฯ อยญฺหิ เต ปิตรา ปุรตฺถิมา ทิสา อกฺขาตา, โน อญฺญา’’ติฯ

    Evañca pana vatvā bhagavā siṅgālakaṃ etadavoca – ‘‘na kho te, gahapatiputta, pitā lokasammataṃ puratthimaṃ disaṃ namassāpeti. Mātāpitaro pana puratthimadisāsadise katvā namassāpeti. Ayañhi te pitarā puratthimā disā akkhātā, no aññā’’ti.

    ๒๖๘. อุฎฺฐาเนนาติ อาสนา อุฎฺฐาเนนฯ อเนฺตวาสิเกน หิ อาจริยํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา อาสนา วุฎฺฐาย ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา หตฺถโต ภณฺฑกํ คเหตฺวา อาสนํ ปญฺญเปตฺวา นิสีทาเปตฺวา พีชนปาทโธวนปาทมกฺขนานิ กาตพฺพานิฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘อุฎฺฐาเนนา’’ติฯ อุปฎฺฐาเนนาติ ทิวสสฺส ติกฺขตฺตุํ อุปฎฺฐานคมเนนฯ สิปฺปุคฺคหณกาเล ปน อวสฺสกเมว คนฺตพฺพํ โหติฯ สุสฺสูสายาติ สทฺทหิตฺวา สวเนนฯ อสทฺทหิตฺวา สุณโนฺต หิ วิเสสํ นาธิคจฺฉติฯ ปาริจริยายาติ อวเสสขุทฺทกปาริจริยายฯ อเนฺตวาสิเกน หิ อาจริยสฺส ปาโตว วุฎฺฐาย มุโขทกทนฺตกฎฺฐํ ทตฺวา ภตฺตกิจฺจกาเลปิ ปานียํ คเหตฺวา ปจฺจุปฎฺฐานาทีนิ กตฺวา วนฺทิตฺวา คนฺตพฺพํฯ กิลิฎฺฐวตฺถาทีนิ โธวิตพฺพานิ, สายํ นหาโนทกํ ปจฺจุปฎฺฐเปตพฺพํฯ อผาสุกาเล อุปฎฺฐาตพฺพํฯ ปพฺพชิเตนปิ สพฺพํ อเนฺตวาสิกวตฺตํ กาตพฺพํฯ อิทํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘ปาริจริยายา’’ติฯ สกฺกจฺจํ สิปฺปปฎิคฺคหเณนาติ สกฺกจฺจํ ปฎิคฺคหณํ นาม โถกํ คเหตฺวา พหุวาเร สชฺฌายกรณํ, เอกปทมฺปิ วิสุทฺธเมว คเหตพฺพํฯ

    268.Uṭṭhānenāti āsanā uṭṭhānena. Antevāsikena hi ācariyaṃ dūratova āgacchantaṃ disvā āsanā vuṭṭhāya paccuggamanaṃ katvā hatthato bhaṇḍakaṃ gahetvā āsanaṃ paññapetvā nisīdāpetvā bījanapādadhovanapādamakkhanāni kātabbāni. Taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘uṭṭhānenā’’ti. Upaṭṭhānenāti divasassa tikkhattuṃ upaṭṭhānagamanena. Sippuggahaṇakāle pana avassakameva gantabbaṃ hoti. Sussūsāyāti saddahitvā savanena. Asaddahitvā suṇanto hi visesaṃ nādhigacchati. Pāricariyāyāti avasesakhuddakapāricariyāya. Antevāsikena hi ācariyassa pātova vuṭṭhāya mukhodakadantakaṭṭhaṃ datvā bhattakiccakālepi pānīyaṃ gahetvā paccupaṭṭhānādīni katvā vanditvā gantabbaṃ. Kiliṭṭhavatthādīni dhovitabbāni, sāyaṃ nahānodakaṃ paccupaṭṭhapetabbaṃ. Aphāsukāle upaṭṭhātabbaṃ. Pabbajitenapi sabbaṃ antevāsikavattaṃ kātabbaṃ. Idaṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘pāricariyāyā’’ti. Sakkaccaṃ sippapaṭiggahaṇenāti sakkaccaṃ paṭiggahaṇaṃ nāma thokaṃ gahetvā bahuvāre sajjhāyakaraṇaṃ, ekapadampi visuddhameva gahetabbaṃ.

    สุวินีตํ วิเนนฺตีติ ‘‘เอวํ เต นิสีทิตพฺพํ, เอวํ ฐาตพฺพํ, เอวํ ขาทิตพฺพํ, เอวํ ภุญฺชิตพฺพํ, ปาปมิตฺตา วเชฺชตพฺพา, กลฺยาณมิตฺตา เสวิตพฺพา’’ติ เอวํ อาจารํ สิกฺขาเปนฺติ วิเนนฺติฯ สุคฺคหิตํ คาหาเปนฺตีติ ยถา สุคฺคหิตํ คณฺหาติ, เอวํ อตฺถญฺจ พฺยญฺชนญฺจ โสเธตฺวา ปโยคํ ทเสฺสตฺวา คณฺหาเปนฺติฯ มิตฺตามเจฺจสุ ปฎิยาเทนฺตีติ ‘‘อยํ อมฺหากํ อเนฺตวาสิโก พฺยโตฺต พหุสฺสุโต มยา สมสโม, เอตํ สลฺลเกฺขยฺยาถา’’ติ เอวํ คุณํ กเถตฺวา มิตฺตามเจฺจสุ ปติฎฺฐเปนฺติฯ

    Suvinītaṃ vinentīti ‘‘evaṃ te nisīditabbaṃ, evaṃ ṭhātabbaṃ, evaṃ khāditabbaṃ, evaṃ bhuñjitabbaṃ, pāpamittā vajjetabbā, kalyāṇamittā sevitabbā’’ti evaṃ ācāraṃ sikkhāpenti vinenti. Suggahitaṃ gāhāpentīti yathā suggahitaṃ gaṇhāti, evaṃ atthañca byañjanañca sodhetvā payogaṃ dassetvā gaṇhāpenti. Mittāmaccesu paṭiyādentīti ‘‘ayaṃ amhākaṃ antevāsiko byatto bahussuto mayā samasamo, etaṃ sallakkheyyāthā’’ti evaṃ guṇaṃ kathetvā mittāmaccesu patiṭṭhapenti.

    ทิสาสุ ปริตฺตาณํ กโรนฺตีติ สิปฺปสิกฺขาปเนเนวสฺส สพฺพทิสาสุ รกฺขํ กโรนฺติฯ อุคฺคหิตสิโปฺป หิ ยํ ยํ ทิสํ คนฺตฺวา สิปฺปํ ทเสฺสติ, ตตฺถ ตตฺถสฺส ลาภสกฺกาโร อุปฺปชฺชติฯ โส อาจริเยน กโต นาม โหติ, คุณํ กเถโนฺตปิสฺส มหาชโน อาจริยปาเท โธวิตฺวา วสิตอเนฺตวาสิโก วต อยนฺติ ปฐมํ อาจริยเสฺสว คุณํ กเถนฺติ, พฺรหฺมโลกปฺปมาโณปิสฺส ลาโภ อุปฺปชฺชมาโน อาจริยสนฺตโกว โหติฯ อปิจ ยํ วิชฺชํ ปริชปฺปิตฺวา คจฺฉนฺตํ อฎวิยํ โจรา น ปสฺสนฺติ, อมนุสฺสา วา ทีฆชาติอาทโย วา น วิเหเฐนฺติ, ตํ สิกฺขาเปนฺตาปิ ทิสาสุ ปริตฺตาณํ กโรนฺติฯ ยํ วา โส ทิสํ คโต โหติ, ตโต กงฺขํ อุปฺปาเทตฺวา อตฺตโน สนฺติกํ อาคตมนุเสฺส ‘‘เอติสฺสํ ทิสายํ อมฺหากํ อเนฺตวาสิโก วสติ, ตสฺส จ มยฺหญฺจ อิมสฺมิํ สิเปฺป นานากรณํ นตฺถิ, คจฺฉถ ตเมว ปุจฺฉถา’’ติ เอวํ อเนฺตวาสิกํ ปคฺคณฺหนฺตาปิ ตสฺส ตตฺถ ลาภสกฺการุปฺปตฺติยา ปริตฺตาณํ กโรนฺติ นาม, ปติฎฺฐํ กโรนฺตีติ อโตฺถฯ เสสเมตฺถ ปุริมนเยเนว โยเชตพฺพํฯ

    Disāsu parittāṇaṃ karontīti sippasikkhāpanenevassa sabbadisāsu rakkhaṃ karonti. Uggahitasippo hi yaṃ yaṃ disaṃ gantvā sippaṃ dasseti, tattha tatthassa lābhasakkāro uppajjati. So ācariyena kato nāma hoti, guṇaṃ kathentopissa mahājano ācariyapāde dhovitvā vasitaantevāsiko vata ayanti paṭhamaṃ ācariyasseva guṇaṃ kathenti, brahmalokappamāṇopissa lābho uppajjamāno ācariyasantakova hoti. Apica yaṃ vijjaṃ parijappitvā gacchantaṃ aṭaviyaṃ corā na passanti, amanussā vā dīghajātiādayo vā na viheṭhenti, taṃ sikkhāpentāpi disāsu parittāṇaṃ karonti. Yaṃ vā so disaṃ gato hoti, tato kaṅkhaṃ uppādetvā attano santikaṃ āgatamanusse ‘‘etissaṃ disāyaṃ amhākaṃ antevāsiko vasati, tassa ca mayhañca imasmiṃ sippe nānākaraṇaṃ natthi, gacchatha tameva pucchathā’’ti evaṃ antevāsikaṃ paggaṇhantāpi tassa tattha lābhasakkāruppattiyā parittāṇaṃ karonti nāma, patiṭṭhaṃ karontīti attho. Sesamettha purimanayeneva yojetabbaṃ.

    ๒๖๙. ตติยทิสาวาเร สมฺมานนายาติ เทวมาเต ติสฺสมาเตติ เอวํ สมฺภาวิตกถากถเนนฯ อนวมานนายาติ ยถา ทาสกมฺมกราทโย โปเถตฺวา วิเหเฐตฺวา กเถนฺติ, เอวํ หีเฬตฺวา วิมาเนตฺวา อกถเนนฯ อนติจริยายาติ ตํ อติกฺกมิตฺวา พหิ อญฺญาย อิตฺถิยา สทฺธิํ ปริจรโนฺต ตํ อติจรติ นาม, ตถา อกรเณนฯ อิสฺสริยโวสฺสเคฺคนาติ อิตฺถิโย หิ มหาลตาสทิสมฺปิ อาภรณํ ลภิตฺวา ภตฺตํ วิจาเรตุํ อลภมานา กุชฺฌนฺติ, กฎจฺฉุํ หเตฺถ ฐเปตฺวา ตว รุจิยา กโรหีติ ภตฺตเคเห วิสฺสเฎฺฐ สพฺพํ อิสฺสริยํ วิสฺสฎฺฐํ นาม โหติ, เอวํ กรเณนาติ อโตฺถฯ อลงฺการานุปฺปทาเนนาติ อตฺตโน วิภวานุรูเปน อลงฺการทาเนนฯ สุสํวิหิตกมฺมนฺตาติ ยาคุภตฺตปจนกาลาทีนิ อนติกฺกมิตฺวา ตสฺส ตสฺส สาธุกํ กรเณน สุฎฺฐุ สํวิหิตกมฺมนฺตาฯ สงฺคหิตปริชนาติ สมฺมานนาทีหิ เจว ปเหณกเปสนาทีหิ จ สงฺคหิตปริชนาฯ อิธ ปริชโน นาม สามิกสฺส เจว อตฺตโน จ ญาติชโนฯ อนติจารินีติ สามิกํ มุญฺจิตฺวา อญฺญํ มนสาปิ น ปเตฺถติฯ สมฺภตนฺติ กสิวาณิชฺชาทีนิ กตฺวา อาภตธนํฯ ทกฺขา จ โหตีติ ยาคุภตฺตสมฺปาทนาทีสุ เฉกา นิปุณา โหติฯ อนลสาติ นิโกฺกสชฺชาฯ ยถา อญฺญา กุสีตา นิสินฺนฎฺฐาเน นิสินฺนาว โหนฺติ ฐิตฎฺฐาเน ฐิตาว, เอวํ อหุตฺวา วิปฺผาริเตน จิเตฺตน สพฺพกิจฺจานิ นิปฺผาเทติฯ เสสมิธาปิ ปุริมนเยเนว โยเชตพฺพํฯ

    269. Tatiyadisāvāre sammānanāyāti devamāte tissamāteti evaṃ sambhāvitakathākathanena. Anavamānanāyāti yathā dāsakammakarādayo pothetvā viheṭhetvā kathenti, evaṃ hīḷetvā vimānetvā akathanena. Anaticariyāyāti taṃ atikkamitvā bahi aññāya itthiyā saddhiṃ paricaranto taṃ aticarati nāma, tathā akaraṇena. Issariyavossaggenāti itthiyo hi mahālatāsadisampi ābharaṇaṃ labhitvā bhattaṃ vicāretuṃ alabhamānā kujjhanti, kaṭacchuṃ hatthe ṭhapetvā tava ruciyā karohīti bhattagehe vissaṭṭhe sabbaṃ issariyaṃ vissaṭṭhaṃ nāma hoti, evaṃ karaṇenāti attho. Alaṅkārānuppadānenāti attano vibhavānurūpena alaṅkāradānena. Susaṃvihitakammantāti yāgubhattapacanakālādīni anatikkamitvā tassa tassa sādhukaṃ karaṇena suṭṭhu saṃvihitakammantā. Saṅgahitaparijanāti sammānanādīhi ceva paheṇakapesanādīhi ca saṅgahitaparijanā. Idha parijano nāma sāmikassa ceva attano ca ñātijano. Anaticārinīti sāmikaṃ muñcitvā aññaṃ manasāpi na pattheti. Sambhatanti kasivāṇijjādīni katvā ābhatadhanaṃ. Dakkhāca hotīti yāgubhattasampādanādīsu chekā nipuṇā hoti. Analasāti nikkosajjā. Yathā aññā kusītā nisinnaṭṭhāne nisinnāva honti ṭhitaṭṭhāne ṭhitāva, evaṃ ahutvā vipphāritena cittena sabbakiccāni nipphādeti. Sesamidhāpi purimanayeneva yojetabbaṃ.

    ๒๗๐. จตุตฺถทิสาวาเร อวิสํวาทนตายาติ ยสฺส ยสฺส นามํ คณฺหาติ, ตํ ตํ อวิสํวาเทตฺวา อิทมฺปิ อมฺหากํ เคเห อตฺถิ, อิทมฺปิ อตฺถิ, คเหตฺวา คจฺฉาหีติ เอวํ อวิสํวาเทตฺวา ทาเนนฯ อปรปชา จสฺส ปฎิปูเชนฺตีติ สหายสฺส ปุตฺตธีตโร ปชา นาม, เตสํ ปน ปุตฺตธีตโร จ นตฺตุปนตฺตกา จ อปรปชา นามฯ เต ปฎิปูเชนฺติ เกฬายนฺติ มมายนฺติ มงฺคลกาลาทีสุ เตสํ มงฺคลาทีนิ กโรนฺติฯ เสสมิธาปิ ปุริมนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    270. Catutthadisāvāre avisaṃvādanatāyāti yassa yassa nāmaṃ gaṇhāti, taṃ taṃ avisaṃvādetvā idampi amhākaṃ gehe atthi, idampi atthi, gahetvā gacchāhīti evaṃ avisaṃvādetvā dānena. Aparapajā cassa paṭipūjentīti sahāyassa puttadhītaro pajā nāma, tesaṃ pana puttadhītaro ca nattupanattakā ca aparapajā nāma. Te paṭipūjenti keḷāyanti mamāyanti maṅgalakālādīsu tesaṃ maṅgalādīni karonti. Sesamidhāpi purimanayeneva veditabbaṃ.

    ๒๗๑. ยถาพลํ กมฺมนฺตสํวิธาเนนาติ ทหเรหิ กาตพฺพํ มหลฺลเกหิ, มหลฺลเกหิ วา กาตพฺพํ ทหเรหิ, อิตฺถีหิ กาตพฺพํ ปุริเสหิ, ปุริเสหิ วา กาตพฺพํ อิตฺถีหิ อกาเรตฺวา ตสฺส ตสฺส พลานุรูเปเนว กมฺมนฺตสํวิธาเนนฯ ภตฺตเวตนานุปฺปทาเนนาติ อยํ ขุทฺทกปุโตฺต, อยํ เอกวิหารีติ ตสฺส ตสฺส อนุรูปํ สลฺลเกฺขตฺวา ภตฺตทาเนน เจว ปริพฺพยทาเนน จฯ คิลานุปฎฺฐาเนนาติ อผาสุกกาเล กมฺมํ อกาเรตฺวา สปฺปายเภสชฺชาทีนิ ทตฺวา ปฎิชคฺคเนนฯ อจฺฉริยานํ รสานํ สํวิภาเคนาติ อจฺฉริเย มธุรรเส ลภิตฺวา สยเมว อขาทิตฺวา เตสมฺปิ ตโต สํวิภาคกรเณนฯ สมเย โวสฺสเคฺคนาติ นิจฺจสมเย จ กาลสมเย จ โวสฺสชฺชเนนฯ นิจฺจสมเย โวสฺสชฺชนํ นาม สกลทิวสํ กมฺมํ กโรนฺตา กิลมนฺติฯ ตสฺมา ยถา น กิลมนฺติ, เอวํ เวลํ ญตฺวา วิสฺสชฺชนํฯ กาลสมเย โวสฺสโคฺค นาม ฉณนกฺขตฺตกีฬาทีสุ อลงฺการภณฺฑขาทนียโภชนียาทีนิ ทตฺวา วิสฺสชฺชนํฯ ทินฺนาทายิโนติ โจริกาย กิญฺจิ อคเหตฺวา สามิเกหิ ทินฺนเสฺสว อาทายิโนฯ สุกตกมฺมกราติ ‘‘กิํ เอตสฺส กเมฺมน กเตน, น มยํ กิญฺจิ ลภามา’’ติ อนุชฺฌายิตฺวา ตุฎฺฐหทยา ยถา ตํ กมฺมํ สุกตํ โหติ, เอวํ การกาฯ กิตฺติวณฺณหราติ ปริสมเชฺฌ กถาย สมฺปตฺตาย ‘‘โก อมฺหากํ สามิเกหิ สทิโส อตฺถิ, มยํ อตฺตโน ทาสภาวมฺปิ น ชานาม, เตสํ สามิกภาวมฺปิ น ชานาม, เอวํ โน อนุกมฺปนฺตี’’ติ คุณกถาหารกาฯ เสสมิธาปิ ปุริมนเยเนว โยเชตพฺพํฯ

    271.Yathābalaṃ kammantasaṃvidhānenāti daharehi kātabbaṃ mahallakehi, mahallakehi vā kātabbaṃ daharehi, itthīhi kātabbaṃ purisehi, purisehi vā kātabbaṃ itthīhi akāretvā tassa tassa balānurūpeneva kammantasaṃvidhānena. Bhattavetanānuppadānenāti ayaṃ khuddakaputto, ayaṃ ekavihārīti tassa tassa anurūpaṃ sallakkhetvā bhattadānena ceva paribbayadānena ca. Gilānupaṭṭhānenāti aphāsukakāle kammaṃ akāretvā sappāyabhesajjādīni datvā paṭijagganena. Acchariyānaṃ rasānaṃ saṃvibhāgenāti acchariye madhurarase labhitvā sayameva akhāditvā tesampi tato saṃvibhāgakaraṇena. Samaye vossaggenāti niccasamaye ca kālasamaye ca vossajjanena. Niccasamaye vossajjanaṃ nāma sakaladivasaṃ kammaṃ karontā kilamanti. Tasmā yathā na kilamanti, evaṃ velaṃ ñatvā vissajjanaṃ. Kālasamaye vossaggo nāma chaṇanakkhattakīḷādīsu alaṅkārabhaṇḍakhādanīyabhojanīyādīni datvā vissajjanaṃ. Dinnādāyinoti corikāya kiñci agahetvā sāmikehi dinnasseva ādāyino. Sukatakammakarāti ‘‘kiṃ etassa kammena katena, na mayaṃ kiñci labhāmā’’ti anujjhāyitvā tuṭṭhahadayā yathā taṃ kammaṃ sukataṃ hoti, evaṃ kārakā. Kittivaṇṇaharāti parisamajjhe kathāya sampattāya ‘‘ko amhākaṃ sāmikehi sadiso atthi, mayaṃ attano dāsabhāvampi na jānāma, tesaṃ sāmikabhāvampi na jānāma, evaṃ no anukampantī’’ti guṇakathāhārakā. Sesamidhāpi purimanayeneva yojetabbaṃ.

    ๒๗๒. เมเตฺตน กายกเมฺมนาติอาทีสุ เมตฺตจิตฺตํ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา กตานิ กายกมฺมาทีนิ เมตฺตานิ นาม วุจฺจนฺติฯ ตตฺถ ภิกฺขู นิมเนฺตสฺสามีติ วิหารคมนํ , ธมกรณํ คเหตฺวา อุทกปริสฺสาวนํ, ปิฎฺฐิปริกมฺมปาทปริกมฺมาทิกรณญฺจ เมตฺตํ กายกมฺมํ นามฯ ภิกฺขู ปิณฺฑาย ปวิเฎฺฐ ทิสฺวา ‘‘สกฺกจฺจํ ยาคุํ เทถ, ภตฺตํ เทถา’’ติอาทิวจนเญฺจว, สาธุการํ ทตฺวา ธมฺมสวนญฺจ สกฺกจฺจํ ปฎิสนฺถารกรณาทีนิ จ เมตฺตํ วจีกมฺมํ นามฯ ‘‘อมฺหากํ กุลูปกเตฺถรา อเวรา โหนฺตุ อพฺยาปชฺชา’’ติ เอวํ จินฺตนํ เมตฺตํ มโนกมฺมํ นามฯ อนาวฎทฺวารตายาติ อปิหิตทฺวารตายฯ ตตฺถ สพฺพทฺวารานิ วิวริตฺวาปิ สีลวนฺตานํ อทายโก อการโก ปิหิตทฺวาโรเยวฯ สพฺพทฺวารานิ ปน ปิทหิตฺวาปิ เตสํ ทายโก การโก วิวฎทฺวาโรเยวฯ อิติ สีลวเนฺตสุ เคหทฺวารํ อาคเตสุ สนฺตํเยว นตฺถีติ อวตฺวา ทาตพฺพํฯ เอวํ อนาวฎทฺวารตา นาม โหติฯ

    272.Mettena kāyakammenātiādīsu mettacittaṃ paccupaṭṭhapetvā katāni kāyakammādīni mettāni nāma vuccanti. Tattha bhikkhū nimantessāmīti vihāragamanaṃ , dhamakaraṇaṃ gahetvā udakaparissāvanaṃ, piṭṭhiparikammapādaparikammādikaraṇañca mettaṃ kāyakammaṃ nāma. Bhikkhū piṇḍāya paviṭṭhe disvā ‘‘sakkaccaṃ yāguṃ detha, bhattaṃ dethā’’tiādivacanañceva, sādhukāraṃ datvā dhammasavanañca sakkaccaṃ paṭisanthārakaraṇādīni ca mettaṃ vacīkammaṃ nāma. ‘‘Amhākaṃ kulūpakattherā averā hontu abyāpajjā’’ti evaṃ cintanaṃ mettaṃ manokammaṃ nāma. Anāvaṭadvāratāyāti apihitadvāratāya. Tattha sabbadvārāni vivaritvāpi sīlavantānaṃ adāyako akārako pihitadvāroyeva. Sabbadvārāni pana pidahitvāpi tesaṃ dāyako kārako vivaṭadvāroyeva. Iti sīlavantesu gehadvāraṃ āgatesu santaṃyeva natthīti avatvā dātabbaṃ. Evaṃ anāvaṭadvāratā nāma hoti.

    อามิสานุปฺปทาเนนาติ ปุเรภตฺตํ ปริภุญฺชิตพฺพกํ อามิสํ นาม, ตสฺมา สีลวนฺตานํ ยาคุภตฺตสมฺปทาเนนาติ อโตฺถฯ กลฺยาเณน มนสา อนุกมฺปนฺตีติ ‘‘สเพฺพ สตฺตา สุขิตา โหนฺตุ อเวรา อโรคา อพฺยาปชฺชา’’ติ เอวํ หิตผรเณนฯ อปิจ อุปฎฺฐากานํ เคหํ อเญฺญ สีลวเนฺต สพฺรหฺมจารี คเหตฺวา ปวิสนฺตาปิ กลฺยาเณน เจตสา อนุกมฺปนฺติ นามฯ สุตํ ปริโยทาเปนฺตีติ ยํ เตสํ ปกติยา สุตํ อตฺถิ, ตสฺส อตฺถํ กเถตฺวา กงฺขํ วิโนเทนฺติ, ตถตฺตาย วา ปฎิปชฺชาเปนฺติฯ เสสมิธาปิ ปุริมนเยเนว โยเชตพฺพํฯ

    Āmisānuppadānenāti purebhattaṃ paribhuñjitabbakaṃ āmisaṃ nāma, tasmā sīlavantānaṃ yāgubhattasampadānenāti attho. Kalyāṇena manasā anukampantīti ‘‘sabbe sattā sukhitā hontu averā arogā abyāpajjā’’ti evaṃ hitapharaṇena. Apica upaṭṭhākānaṃ gehaṃ aññe sīlavante sabrahmacārī gahetvā pavisantāpi kalyāṇena cetasā anukampanti nāma. Sutaṃ pariyodāpentīti yaṃ tesaṃ pakatiyā sutaṃ atthi, tassa atthaṃ kathetvā kaṅkhaṃ vinodenti, tathattāya vā paṭipajjāpenti. Sesamidhāpi purimanayeneva yojetabbaṃ.

    ๒๗๓. อลมโตฺตติ ปุตฺตทารภรณํ กตฺวา อคารํ อชฺฌาวสนสมโตฺถฯ ปณฺฑิโตติ ทิสานมสฺสนฎฺฐาเน ปณฺฑิโต หุตฺวาฯ สโณฺหติ สุขุมตฺถทสฺสเนน สณฺหวาจาภณเนน วา สโณฺห หุตฺวาฯ ปฎิภานวาติ ทิสานมสฺสนฎฺฐาเน ปฎิภานวา หุตฺวา นิวาตวุตฺตีติ นีจวุตฺติฯ อตฺถโทฺธติ ถมฺภรหิโตฯ อุฎฺฐานโกติ อุฎฺฐานวีริยสมฺปโนฺนฯ อนลโสติ นิโกฺกสโชฺชฯ อจฺฉินฺนวุตฺตีติ นิรนฺตรกรณวเสน อขณฺฑวุตฺติฯ เมธาวีติ ฐานุปฺปตฺติยา ปญฺญาย สมนฺนาคโตฯ

    273.Alamattoti puttadārabharaṇaṃ katvā agāraṃ ajjhāvasanasamattho. Paṇḍitoti disānamassanaṭṭhāne paṇḍito hutvā. Saṇhoti sukhumatthadassanena saṇhavācābhaṇanena vā saṇho hutvā. Paṭibhānavāti disānamassanaṭṭhāne paṭibhānavā hutvā nivātavuttīti nīcavutti. Atthaddhoti thambharahito. Uṭṭhānakoti uṭṭhānavīriyasampanno. Analasoti nikkosajjo. Acchinnavuttīti nirantarakaraṇavasena akhaṇḍavutti. Medhāvīti ṭhānuppattiyā paññāya samannāgato.

    สงฺคาหโกติ จตูหิ สงฺคหวตฺถูหิ สงฺคหกโรฯ มิตฺตกโรติ มิตฺตคเวสโนฯ วทญฺญูติ ปุพฺพการินา, วุตฺตวจนํ ชานาติฯ สหายกสฺส ฆรํ คตกาเล ‘‘มยฺหํ สหายกสฺส เวฐนํ เทถ, สาฎกํ เทถ, มนุสฺสานํ ภตฺตเวตนํ เทถา’’ติ วุตฺตวจนมนุสฺสรโนฺต ตสฺส อตฺตโน เคหํ อาคตสฺส ตตฺตกํ วา ตโต อติเรกํ วา ปฎิกตฺตาติ อโตฺถฯ อปิจ สหายกสฺส ฆรํ คนฺตฺวา อิมํ นาม คณฺหิสฺสามีติ อาคตํ สหายกํ ลชฺชาย คณฺหิตุํ อสโกฺกนฺตํ อนิจฺฉาริตมฺปิ ตสฺส วาจํ ญตฺวา เยน อเตฺถน โส อาคโต, ตํ นิปฺผาเทโนฺต วทญฺญู นามฯ เยน เยน วา ปน สหายกสฺส อูนํ โหติ, โอโลเกตฺวา ตํ ตํ เทโนฺตปิ วทญฺญูเยวฯ เนตาติ ตํ ตํ อตฺถํ ทเสฺสโนฺต ปญฺญาย เนตาฯ วิวิธานิ การณานิ ทเสฺสโนฺต เนตีติ วิเนตาฯ ปุนปฺปุนํ เนตีติ อนุเนตาฯ

    Saṅgāhakoti catūhi saṅgahavatthūhi saṅgahakaro. Mittakaroti mittagavesano. Vadaññūti pubbakārinā, vuttavacanaṃ jānāti. Sahāyakassa gharaṃ gatakāle ‘‘mayhaṃ sahāyakassa veṭhanaṃ detha, sāṭakaṃ detha, manussānaṃ bhattavetanaṃ dethā’’ti vuttavacanamanussaranto tassa attano gehaṃ āgatassa tattakaṃ vā tato atirekaṃ vā paṭikattāti attho. Apica sahāyakassa gharaṃ gantvā imaṃ nāma gaṇhissāmīti āgataṃ sahāyakaṃ lajjāya gaṇhituṃ asakkontaṃ anicchāritampi tassa vācaṃ ñatvā yena atthena so āgato, taṃ nipphādento vadaññū nāma. Yena yena vā pana sahāyakassa ūnaṃ hoti, oloketvā taṃ taṃ dentopi vadaññūyeva. Netāti taṃ taṃ atthaṃ dassento paññāya netā. Vividhāni kāraṇāni dassento netīti vinetā. Punappunaṃ netīti anunetā.

    ตตฺถ ตตฺถาติ ตสฺมิํ ตสฺมิํ ปุคฺคเลฯ รถสฺสาณีว ยายโตติ ยถา อาณิยา สติเยว รโถ ยาติ, อสติ น ยาติ, เอวํ อิเมสุ สงฺคเหสุ สติเยว โลโก วตฺตติ, อสติ น วตฺตติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เอเต โข สงฺคหา โลเก, รถสฺสาณีว ยายโต’’ติฯ

    Tattha tatthāti tasmiṃ tasmiṃ puggale. Rathassāṇīva yāyatoti yathā āṇiyā satiyeva ratho yāti, asati na yāti, evaṃ imesu saṅgahesu satiyeva loko vattati, asati na vattati. Tena vuttaṃ – ‘‘ete kho saṅgahā loke, rathassāṇīva yāyato’’ti.

    น มาตา ปุตฺตการณาติ ยทิ มาตา เอเต สงฺคเห ปุตฺตสฺส น กเรยฺย, ปุตฺตการณา มานํ วา ปูชํ วา น ลเภยฺยฯ

    Na mātā puttakāraṇāti yadi mātā ete saṅgahe puttassa na kareyya, puttakāraṇā mānaṃ vā pūjaṃ vā na labheyya.

    สงฺคหา เอเตติ อุปโยควจเน ปจฺจตฺตํฯ ‘‘สงฺคเห เอเต’’ติ วา ปาโฐฯ สมฺมเปกฺขนฺตีติ สมฺมา เปกฺขนฺติฯ ปาสํสา จ ภวนฺตีติ ปสํสนียา จ ภวนฺติฯ

    Saṅgahā eteti upayogavacane paccattaṃ. ‘‘Saṅgahe ete’’ti vā pāṭho. Sammapekkhantīti sammā pekkhanti. Pāsaṃsā ca bhavantīti pasaṃsanīyā ca bhavanti.

    ๒๗๔. อิติ ภควา ยา ทิสา สนฺธาย เต คหปติปุตฺต ปิตา อาห ‘‘ทิสา นมเสฺสยฺยาสี’’ติ, อิมา ตา ฉ ทิสาฯ ยทิ ตฺวํ ปิตุ วจนํ กโรสิ, อิมา ทิสา นมสฺสาติ ทเสฺสโนฺต สิงฺคาลสฺส ปุจฺฉาย ฐตฺวา เทสนํ มตฺถกํ ปาเปตฺวา ราชคหํ ปิณฺฑาย ปาวิสิ ฯ สิงฺคาลโกปิ สรเณสุ ปติฎฺฐาย จตฺตาลีสโกฎิธนํ พุทฺธสาสเน วิกิริตฺวา ปุญฺญกมฺมํ กตฺวา สคฺคปรายโณ อโหสิฯ อิมสฺมิญฺจ ปน สุเตฺต ยํ คิหีหิ กตฺตพฺพํ กมฺมํ นาม, ตํ อกถิตํ นตฺถิ, คิหิวินโย นามายํ สุตฺตโนฺตฯ ตสฺมา อิมํ สุตฺวา ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปชฺชมานสฺส วุทฺธิเยว ปาฎิกงฺขา, โน ปริหานีติฯ

    274. Iti bhagavā yā disā sandhāya te gahapatiputta pitā āha ‘‘disā namasseyyāsī’’ti, imā tā cha disā. Yadi tvaṃ pitu vacanaṃ karosi, imā disā namassāti dassento siṅgālassa pucchāya ṭhatvā desanaṃ matthakaṃ pāpetvā rājagahaṃ piṇḍāya pāvisi . Siṅgālakopi saraṇesu patiṭṭhāya cattālīsakoṭidhanaṃ buddhasāsane vikiritvā puññakammaṃ katvā saggaparāyaṇo ahosi. Imasmiñca pana sutte yaṃ gihīhi kattabbaṃ kammaṃ nāma, taṃ akathitaṃ natthi, gihivinayo nāmāyaṃ suttanto. Tasmā imaṃ sutvā yathānusiṭṭhaṃ paṭipajjamānassa vuddhiyeva pāṭikaṅkhā, no parihānīti.

    สุมงฺคลวิลาสินิยา ทีฆนิกายฎฺฐกถาย

    Sumaṅgalavilāsiniyā dīghanikāyaṭṭhakathāya

    สิงฺคาลสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Siṅgālasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ทีฆนิกาย • Dīghanikāya / ๘. สิงฺคาลสุตฺตํ • 8. Siṅgālasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā) / ๘. สิงฺคาลสุตฺตวณฺณนา • 8. Siṅgālasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact